บทที่ 1
อาคารหมายเลขสี่ ถนนกวงหมิง*
วันที่สิบห้าเดือนเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติ ท้องฟ้ายังคงมืดมิด
เหล่าแมวจรจัดน้อยใหญ่พากันกลับถิ่นไปหมดแล้ว เวลานี้แม้แต่ถนนใหญ่ของเมืองหลงเฉิงเองก็เริ่มเปลี่ยวร้าง มีเพียงเสียงร้องของแมลงดังแว่วมาจากพุ่มไม้เป็นครั้งคราว เดี๋ยวดังเดี๋ยวเงียบ ยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวจนขนหัวลุก
ตอนนี้เป็นเวลาตีสองครึ่ง น้ำค้างเริ่มลงและอากาศเริ่มชื้น
ทั้งชื้นทั้งเหนียวเหนอะหนะ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีลมหรือเปล่า ตามซอกมุมถึงได้ดูเหมือนมีเงาของอะไรบางอย่างแวบไปแวบมาตลอดเวลา ทำให้คนเดินถนนอดรู้สึกไม่ได้ว่ามีบางอย่างจับจ้องอยู่ที่หลังของตน
ในตอนนี้กัวฉางเฉิงได้ถือจดหมายแจ้งให้ทราบของเขาเดินเข้าไปยังอาคารหมายเลขสี่ ถนนกวงหมิง
พ่อแม่ของกัวฉางเฉิงตายตั้งแต่เขายังเด็ก เขาไม่หล่อแถมยังมีนิสัยรักสันโดษและขี้ขลาด เป็นพวกที่เกิดมาแล้วต้องพึ่งพาคนอื่นเสมอ โชคดีที่มีบรรดาป้าๆ ในบ้านเลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดี ผลัดกันดูแลจนกระทั่งเขาเรียนจบมหาวิทยาลัย
น่าเสียดายที่กัวฉางเฉิงเป็นคนเหยาะแหยะ การเรียนจึงกระท่อนกระแท่นอยู่ในระดับปลายแถวของมหาวิทยาลัย เกรดเฉลี่ยก็ปานกลาง เวลายืนนิ่งๆ เขาดูสูงใหญ่น่าเกรงขาม แต่พอเจอคนแปลกหน้าทีไรเป็นขี้หดตดหายทุกที
ดังนั้นกัวฉางเฉิงจึงไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังด้วยการไม่ยอมหางานทำ หลังจากเรียนจบเขาก็เอาแต่นั่งๆ นอนๆ หมกตัวอยู่แต่ในบ้านมากว่าครึ่งปีแล้ว
ต่อมาลุงรองของเขาที่ถูกย้ายไปทำงานในกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติทนดูต่อไปไม่ไหว จึงใช้เส้นสายช่วยหางานในเครือกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติให้หลานชายที่ไม่เอาไหนอย่างเขา อย่างน้อยเขาจะได้มีอะไรทำบ้าง
เดิมทีกัวฉางเฉิงคิดว่าวิถีชีวิตในอนาคตของเขาต่อจากนี้คือการใส่เครื่องแบบ ไปทำงานตั้งน้ำชงชา จัดแฟ้มเล่นเกมเรียงไพ่ เข้างานเก้าโมงเลิกงานห้าโมงเย็น…จนกระทั่งเขาได้รับจดหมายแปลกๆ ฉบับนี้ ‘จดหมายแจ้งข้อเสนออย่างเป็นทางการ’
ตอนแรกกัวฉางเฉิงยังคิดว่าที่ไหนออกจดหมายมาผิด แต่ก็เห็นว่าบนจดหมายนั้นเขียนด้วยตัวหนังสือแดงเข้มว่า
‘สหายกัวฉางเฉิง
ยินดีด้วย คุณได้รับคัดเลือกจากหน่วยงานของเราให้ทำงานที่นี่ คุณจะได้รับเงินเดือนและสวัสดิการที่สูงกว่าข้าราชการระดับเดียวกันหรือระดับสูงกว่าจากหน่วยอื่นๆ ของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ ในขณะเดียวกันยังได้รับใช้ประชาชนโดยการรับผิดชอบงานสำคัญ หวังว่าวันข้างหน้าคุณจะอุทิศตนและทุ่มเทให้กับการทำงานในตำแหน่งใหม่ ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมุ่งมั่น เชื่อมั่นในอุดมการณ์ของผู้นำ รักสามัคคี เป็นมิตรที่ดีของเพื่อนร่วมงาน สร้างผลงานให้ตนเองด้วยการร่วมกันสร้างเสถียรภาพทางสังคมและความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศชาติ
ในวันที่สามสิบเอ็ดเดือนแปด (วันที่สิบห้าเดือนเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติ) เวลาสองนาฬิกาสามสิบนาที กรุณานำบัตรประชาชนและจดหมายแจ้งให้ทราบฉบับนี้มารายงานตัวที่สำนักงานของเราให้ตรงเวลา (อาคารหมายเลขสี่ ถนนกวงหมิง ชั้นหนึ่งฝ่ายบุคคลและธุรการ) ในนามของบุคลากรทุกคนในหน่วยงาน ผมขอต้อนรับคุณมาเป็นเพื่อนร่วมงานและสหายที่ดีของพวกเรา
กระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ
หน่วยสืบสวนคดีพิเศษ
วันที่ XX เดือน XX ปี XXXX’
ตามปกติแล้ว เมื่อเห็นช่วงเวลาที่ให้ไปรายงานตัวแปลกๆ แบบนี้ คนทั่วไปย่อมคิดว่าเป็นการพิมพ์ผิด อย่างน้อยก็ต้องโทรศัพท์ไปขอคำยืนยันสักหน่อย แต่กัวฉางเฉิงเป็นโรคกลัวการเข้าสังคม ชีวิตที่ปิดตายกว่าครึ่งปียิ่งทำให้โรคกลัวการโทรศัพท์ของเขากำเริบรุนแรงยิ่งขึ้น แค่คิดว่าจะต้องโทรหาคนอื่น เขาก็เครียดจนนอนไม่หลับทั้งคืนแล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ยอมโทรไปจนกระทั่งถึงเที่ยงคืนของวันที่สามสิบเดือนแปด
และแล้วกัวฉางเฉิงก็คิดหาทางออกที่เขาคิดเอาเองว่าดีที่สุดได้…เขายอมอดนอนหนึ่งคืน ตัดสินใจว่าจะไปด้วยตัวเองตอนตีสองครึ่งรอบหนึ่ง ถ้าไม่เจอใครก็จะไปแอบงีบในร้านแมคโดนัลด์ที่อยู่ใกล้ๆ พอบ่ายสองโมงครึ่งค่อยไปอีกรอบ เวลาที่คาดไว้สองรอบนี้ยังไงซะก็ต้องมีที่ถูกต้องสักรอบหนึ่ง
เวลาแบบนี้รถไฟใต้ดินในเมืองหยุดวิ่งหมดแล้ว กัวฉางเฉิงจึงต้องขับรถไปเอง หลังจากเสียเวลาขับรถวนหาอยู่นาน ในที่สุดเขาก็เจอที่หมายโดยมีเนวิเกเตอร์เป็นตัวช่วย
อาคารหมายเลขสี่ ถนนกวงหมิงไม่ได้อยู่ติดถนน แต่ซ่อนตัวอย่างมิดชิดอยู่ในสวนแห่งหนึ่ง กัวฉางเฉิงยืนอยู่หน้าประตูสวน เขาสอดส่ายสายตามองหาอยู่นานโดยมีแสงไฟจากหน้าจอมือถือเป็นตัวช่วย ในที่สุดเขาก็เจอป้ายเล็กๆ ป้ายหนึ่งอยู่ใต้ใบหนาทึบของต้นบอสตันไอวี่ เขามองเห็นหมายเลขที่อยู่ชัดเจน
ใต้ป้ายบ้านเลขที่มีตัวอักษรเล็กจิ๋วแถวหนึ่งสลักอยู่บนก้อนหิน มันสลักเป็นคำว่า ‘หน่วยสืบสวนคดีพิเศษ’ และมีตราประทับของกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติอยู่ด้านล่าง
พื้นที่ในสวนถูกจัดไว้เป็นอย่างดี มีที่จอดรถอยู่หน้าประตู เมื่อเดินเข้าไปข้างในจะเจอกับต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านงอกงามเรียงเป็นแถวราวกับป่าขนาดย่อมที่มีเพียงถนนสายเล็กๆ กั้นกลาง เดินตามถนนไปเขาก็มองเห็นบ้านหลังน้อยที่คาดว่าคงเป็นป้อมยาม และมีอาคารสำนักงานที่ดูเก่าแก่อีกหลังหนึ่ง
ไฟในป้อมยามยังคงสว่าง มีแสงส่องผ่านบานหน้าต่างออกมา กัวฉางเฉิงเห็นเงาคนใส่เครื่องแบบ สวมหมวกใบใหญ่อยู่บนหัว กำลังพลิกหน้าหนังสือพิมพ์ในมือเป็นครั้งคราว
กัวฉางเฉิงไม่ทันได้พิจารณาเจ้าหน้าที่ในป้อมยามให้ดีๆ เขาสูดลมหายใจอย่างแรง ตื่นเต้นจนเหงื่อออกฝ่ามือ
“ผมมาสมัครงาน นี่คือจดหมายแจ้งให้ทราบของผม…ผมมาสมัครงาน นี่คือจดหมายแจ้งให้ทราบของผม…ผมมาสมัครงาน นี่คือจดหมายแจ้งให้ทราบของผม…” กัวฉางเฉิงยืนอยู่ที่เดิม ท่องประโยคนี้งึมงำอยู่ในปากหลายสิบเที่ยวเหมือนกำลังท่องหนังสือ สุดท้ายก็ฝืนทำใจกล้า เดินเข้าไปใช้มืออันสั่นเทาเคาะหน้าต่างป้อมยามสองสามที อีกฝ่ายยังไม่ทันเงยหน้าขึ้นมาเขาก็เอ่ยปากแนะนำตัวเหมือนคนที่กำลังจะขาดใจตายว่า “ผม…ผมมาแจ้งให้ทราบ นี่คือจดหมายสมัครงานของผม…”
คนในป้อมยามมองชายหนุ่มที่มารายงานตัวอย่างงุนงง “เอ๋?”
หมดกัน แค่นี้ยังจะพูดผิดอีก กัวฉางเฉิงอยากจะร้องไห้ อัดอั้นตันใจจนใบหน้ากลายเป็นมันม่วงหัวใหญ่
ดีที่อีกฝ่ายมองเห็นจดหมายแจ้งให้ทราบในมือของเขาแล้วเข้าใจทันที จึงเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “โอ๊ะโอ! นายคือสหายที่มาใหม่ปีนี้ใช่ไหม จะให้เรียกว่าอะไร โอ๊ะ…ฉันเห็นแล้ว เสี่ยวกัว**! พวกเราที่นี่ไม่ได้เห็นคนหน้าใหม่มาหลายปีแล้ว เป็นยังไงบ้าง ที่นี่หาเจอยากไหม”
กัวฉางเฉิงถอนใจโล่งอก เขาชอบคนที่อัธยาศัยดีและเป็นมิตรอย่างนี้ที่สุด เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นคนช่างพูดชอบพล่ามไม่หยุด เขาก็ไม่ต้องพูดอะไร แค่ส่ายหัวกับพยักหน้าก็พอ
“มารายงานตัววันแรกใช่ไหม จะบอกให้นะ นายนี่โชคดีจริงๆ คืนนี้หัวหน้าของพวกเราอยู่พอดี ไปกันเถอะ ฉันจะพาไปทำความรู้จักทุกคน”
พอได้ยินอย่างนั้นกัวฉางเฉิงก็ขนลุกชัน…เขาไม่ได้รู้สึกโชคดี กลับรู้สึกว่าหัวของตัวเองเริ่มจะมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา
* อาคารหมายเลขสี่ ถนนกวงหมิง ใช้เปรียบเปรยได้กับสถานที่อันเป็นทางผ่านก่อนคนตายจะไปพบทางสว่าง หรือหมายถึงที่อยู่ของคนตายก็ได้ ซึ่งคำว่าสี่ในภาษาจีนออกเสียงเหมือนคำว่าตาย ส่วนคำว่ากวงหมิงหมายถึงแสงสว่าง
** ชาวจีนจะใช้คำว่า ‘เสี่ยว’ เรียกเพื่อนหรือผู้ที่มีอายุน้อยกว่าแล้วต่อด้วยนามสกุล ใช้แสดงความสนิทสนมหรือเป็นชื่อเล่น ส่วนคำว่า ‘เหล่า’ จะใช้เรียกคนที่สนิทสนมกัน แต่อีกฝ่ายมีอายุมากกว่า
กัวฉางเฉิงรู้สึกเหมือนคนหมดอนาคต เขากลัวคนที่มีสถานะหรือท่าทางมีอำนาจมากที่สุด ตอนเด็กแค่เจอหน้าครู ตะคริวก็กินน่องเขาแล้ว ต่อให้เห็นครูใหญ่อยู่ไกลแปดสิบฟุตเขายังต้องเดินอ้อม แม้แต่พวกคุณลุงจากกองกำลังติดอาวุธที่ยืนอยู่ตามถนนในวันชาติก็ไม่เว้น ทุกครั้งที่เห็นเขาจะรู้สึกไม่ต่างอะไรกับหนูเห็นแมว จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านต่างพากันมองเขาด้วยสายตาสงสัย
ให้ไปเจอหัวหน้า? สู้ให้เขาไปเจอผียังดีเสียกว่า
ตอนนี้เอง ประตูหน้าของอาคารหลังเล็กได้ถูกคนข้างในผลักให้เปิดออก ชายหนุ่มคนหนึ่งสาวเท้าเดินออกมาอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มคนนี้คาบบุหรี่อยู่ในปาก มือล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง รูปร่างเขาสูงโปร่ง ไหล่ตั้งตรง คิ้วหนา เบ้าตาลึก ดั้งจมูกโด่ง ดูหล่อเหลามาก แต่สีหน้าช่างมืดมน
เขาขมวดคิ้ว ก้าวเท้าอย่างรวดเร็วพลางใช้ภาษากายบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ‘หลีกไป อย่ามาเกะกะขวางทาง หลบไปให้พ้น ลูกพี่จะเดิน’ กัวฉางเฉิงโชคร้ายหันไปสบตากับเขาพอดี ดวงตาสีดำที่ทั้งงดงามทั้งเย็นเยือกนั่นทำให้กัวฉางเฉิงตกใจจนขวัญหาย น่าประหลาดที่ตนรับรู้ได้ว่า…พี่ชายสุดหล่อคนนี้กำลังอารมณ์ไม่ดี
แต่เมื่อพี่ชายสุดหล่อเห็นผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตู เท้าของเขาก็เบรกกะทันหัน วินาทีต่อมา ด้วยทักษะอันล้ำเลิศ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไป จากฟ้าร้องฟ้าผ่ากลายเป็นท้องฟ้าอันสดใสในบัดดล รอยยิ้มที่อบอุ่นเป็นกันเองเกิดขึ้นบนใบหน้าเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่มีการวางฟอร์มเลยแม้แต่นิดเดียว
รอยยิ้มของเขาเผยให้เห็นลักยิ้มตื้นๆ ที่สองข้างแก้ม ดวงตาหยีโค้ง และเพราะคาบบุหรี่อยู่ทำให้มุมปากเบี้ยวไปนิดหน่อย ทำให้ดูไม่ค่อยดีนัก…แต่ก็เหมาะเจาะลงตัว ให้ความรู้สึกว่าเข้าถึงคนอื่นได้ง่าย
“ให้มันได้อย่างนี้ พูดถึงโจโฉโจโฉก็มา มาเถอะน้องเล็ก ทำความรู้จักไว้ซะ ท่านนี้คือหัวหน้าของพวกเรา” กัวฉางเฉิงถูกชายหนุ่มในป้อมยามผลักจากด้านหลัง เขาเซถลาไปข้างหน้าครึ่งก้าว ซ้ำร้ายเมื่อได้ยินคนข้างหลังส่งเสียงดังลั่นว่า “หัวหน้าเจ้า คราวนี้พวกเราได้เพื่อนร่วมงานคนใหม่แล้วนะ” หัวสมองของเขาก็ขาวโพลนไปหมด
หัวหน้าเจ้ายื่นมือออกมาอย่างกระตือรือร้น “สวัสดีๆ ยินดีต้อนรับ”
กัวฉางเฉิงเหมือนถูกอัมพาตกินครึ่งตัว เขาเอาฝ่ามือถูกับกางเกงเพื่อเช็ดเหงื่อหลายครั้ง จากนั้นยังทำขายขี้หน้าด้วยการยื่นมือออกไปผิดข้าง จนเกือบจะคว้าเอาหลังมือของเจ้านายในอนาคตเข้า เขายื่นมือข้างใหม่ออกไปแตะและหดมือกลับอย่างรวดเร็วเหมือนประตูไฟฟ้า จะเรียกการกระทำที่รวดเร็วนี้ว่า ‘สายฟ้าแลบ’ หรือ ‘ลุกลี้ลุกลนจนเหมือนลิง’ ก็ได้ กัวฉางเฉิงเหงื่อออกจนใต้วงแขนและด้านหลังของเสื้อเชิ้ตแขนสั้นเปียกชุ่มในพริบตา แผนที่ของโลกใบใหม่เอี่ยมกำลังค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในชีวิตเขา
หัวหน้าเจ้าต้องกลั้นหัวเราะแทบแย่ แต่การแสดงความเอาใจใส่ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา เขายกมือที่ยื่นออกไปเพื่อจะจับมือด้วย เปลี่ยนเป็นตบลงบนไหล่ของกัวฉางเฉิงสองสามทีอย่างไม่ถือสา แล้วเปิดฉากแสดงวาทศิลป์ “ไม่ต้องตื่นเต้น ทุกคนที่นี่รักสามัคคีและเป็นมิตร ที่จริงวันนี้นายมาทำงานวันแรก ฉันควรพานายไปทำความรู้จักกับทุกคน แต่ดูสิ วันนี้มันเป็นวันพิเศษ พวกเรายุ่งกันมากจริงๆ ตอนนี้คงยังดูแลนายไม่ได้ อย่าถือสากันเลยนะ ไว้อีกสักพักฉันจะเป็นเจ้ามือเลี้ยงต้อนรับนายเอง ตายล่ะ นี่มันก็ดึกแล้ว…เอาอย่างนี้ ให้เหล่าอู๋พานายไปหาวังเจิง…พนักงานธุรการของเราก่อน ให้เธอจัดการรับนายเข้าทำงานตามขั้นตอน แล้วนายก็กลับไปพักผ่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยมารายงานตัวดีมั้ย”
กัวฉางเฉิงรีบพยักหน้า
ไม่ว่าก่อนหน้านี้หัวหน้าเจ้าจะหงุดหงิดร้อนใจสักแค่ไหน แต่ตอนนี้เขากลับยืนนิ่งพูดคุยกับคนอื่นราวกับกำลังขึ้นพูดหน้าเสาธงในวันจันทร์อย่างไรอย่างนั้น จังหวะในการพูดไม่เร็วไม่ช้า น้ำเสียงสบายๆ ไม่ร้อนรน ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกถึงความหมางเมิน แต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าเขากระตือรือร้นมากเกินไปเช่นกัน
“ขอโทษนะ ฉันมีเรื่องด่วนนิดหน่อย ต้องรีบไปก่อน คราวหน้าต้องการอะไรมาหาฉันได้เลยไม่ต้องเกรงใจ ต่อไปก็จะเป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว แต่วันนี้คงต้องลำบากหน่อยนะ!” หัวหน้าเจ้ายิ้มขอโทษขอโพย เขากล่าวทักทายเหล่าอู๋คำหนึ่งแล้วเดินออกไปอย่างรีบร้อน
เหล่าอู๋เป็นเหมือนแฟนคลับสมองกลวงของหัวหน้าเจ้า แม้เรื่องที่ได้ยินจะเป็นแค่เรื่องสัพเพเหระ แต่เขาก็ยึดถือเป็นประกาศิต เขาพากัวฉางเฉิงเดินเข้าไปในอาคารสำนักงานพลางพูดจ้อไม่หยุดว่า “หัวหน้าเจ้าของพวกเรานี่นะ อายุยังน้อย มีความสามารถ นิสัยก็ดี ไม่เคยวางก้ามกับคนอื่น…”
สติของกัวฉางเฉิงยังไม่ฟื้นคืนกลับมาจากบรรยากาศที่น่าสยดสยองของการเผชิญหน้ากับหัวหน้าใหญ่ เขาอึ้งเหมือนถูกผีหลอก หูฟังแต่ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
เนื่องจากเขาไม่เคยกล้ามองหน้าใครตรงๆ ดังนั้นจึงไม่ทันได้สังเกตเลยว่าใบหน้าของเหล่าอู๋ภายใต้แสงไฟนั้นซีดขาวเหมือนผนังปูน ริมฝีปากก็แดงฉานเหมือนสีเลือด มุมปากฉีกถึงใบหู เวลาที่ปากเขาอ้าๆ หุบๆ จะเห็นว่าในปากนั้นไม่มีลิ้น
ในสำนักงานมีผู้คนเดินขวักไขว่ ดูวุ่นวายผิดปกติ
ตอนนี้เองกัวฉางเฉิงถึงเริ่มรู้สึกอย่างช้าๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตามหลักแล้วหากมีเรื่องด่วนจริง การทำงานจนดึกดื่นเที่ยงคืนถือเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงขนาดต้องให้พนักงานต้อนรับและพนักงานธุรการมาทำงานล่วงเวลาเลยหรือ
เหล่าอู๋คงดูออกเมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของกัวฉางเฉิง เขาอธิบายอยู่ข้างๆ อย่างมีน้ำใจ “เสี่ยวกัวนายอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ส่วนใหญ่แล้วนายจะต้องมาทำงานในตอนเช้า ถ้าไม่มีคดีใหญ่ น้อยมากที่พวกเราจะต้องอยู่ทำงานล่วงเวลาจนดึก แต่นี่มันเดือนเจ็ดตามปฏิทินจันทรคติ แต่ละปีวันที่ต้องทำงานจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันก็มีแค่ไม่กี่วันนี่แหละ แล้วนายก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียเปรียบ ค่าล่วงเวลาคิดให้สามเท่าของเงินเดือน และโบนัสรายเดือนก็เพิ่มเป็นสองเท่าเชียวนะ”
กัวฉางเฉิงยิ่งสงสัยว่า ‘วันที่ต้องทำงานจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันก็มีแค่ไม่กี่วันนี่แหละ’ มันคืออะไร หรือว่าองค์กรอาชญากรรมยักษ์ใหญ่มีการจัดประชุมสรุปผลงานกลางปีและมีการจัดสัมมนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยเหมือนกัน?
แถมยังจัดตามปฏิทินจันทรคติอีกด้วย?
แต่เขากลัวว่าตัวเองจะดูโง่เง่ามากเกินไปและเกรงใจที่จะเอ่ยปากถาม จึงพยักหน้าไปส่งเดช “อืม”
เหล่าอู๋พูดต่อไป “ปกติฉันจะทำงานกะกลางคืน กลางวันจะมีเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่งมาทำงานที่ป้อมยาม เดาว่าต่อไปโอกาสที่นายจะเจอฉันคงมีน้อย เฮ้อ ความจริงฉันก็อยากจะอยู่ร่วมกับพวกคนหนุ่มสาวนะ นายเพิ่งจะเรียนจบใช่ไหม เรียนจบมหา’ลัยอะไร เรียนด้านไหน”
กัวฉางเฉิงหยุดความสงสัยของเขาเอาไว้ชั่วคราว รู้สึกอับอายที่จะต้องอธิบายถึงระดับการศึกษาที่ไม่น่าอวดใครของตัวเอง สุดท้ายจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบาหวิวราวกับเสียงยุงว่า “ผมเรียนไม่ค่อยดีนัก…”
“โอ๊ย จะเป็นไปได้ยังไง! นายเป็นถึงนักศึกษามหา’ลัยนะ” เหล่าอู๋โบกไม้โบกมือ “ฉันชอบคนหนุ่มสาวที่มีการศึกษา เพราะตัวเองไม่มี ตอนเด็กครอบครัวฉันยากจน ได้เรียนส่วนตัวกับครูในหมู่บ้านตอนเจ็ดแปดขวบแค่ไม่กี่ปี คุณครูก็จากไปแสวงหาอนาคตที่อื่นซะแล้ว มันผ่านมานานมากจนไอ้สิ่งที่เรียนมานิดๆ หน่อยๆ ก็ดูเหมือนจะคืนครูไปหมดแล้ว ตัวหนังสือก็จำได้ไม่หมด ได้แต่พยายามอ่านหนังสือพิมพ์ให้ออก”
หมายความว่าไง เรียนส่วนตัว?
เป็นอีกครั้งที่กัวฉางเฉิงฟังไม่เข้าใจ แต่เขาก็ยังกลัวว่าจะโชว์โง่ออกไป จึงไม่คิดที่จะซักถาม
ตอนนี้เอง เหล่าอู๋ก็พูดอย่างร่าเริงว่า “เอ้า พวกเรามาถึงแล้ว!”
กัวฉางเฉิงเงยหน้ามอง เห็นตัวอักษรขนาดใหญ่เขียนว่า ‘ห้องธุรการ’ อยู่บนประตู ตัวอักษรสีแดงบนพื้นหลังสีขาวมันดูแดงจนผิดปกติ แต่ผิดปกติตรงไหนนั้นเขาเองก็พูดไม่ถูก พอจ้องมองตัวอักษรนั่นนานเข้า ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้…สีแดงที่มีรอยอย่างกับขึ้นสนิมแบบนี้…มันเหมือนคราบเลือดที่แห้งกรังนี่เอง!
เหล่าอู๋เคาะประตูอยู่ข้างๆ “เสี่ยววังอยู่รึเปล่า ฉันพาเพื่อนใหม่มาเข้างาน รบกวนเธอช่วยดำเนินการให้หน่อยได้ไหม”
เงียบงันอยู่ชั่วอึดใจ เสียงอันแผ่วเบาของหญิงสาวก็ดังลอดออกมาจากข้างใน “อืม มาแล้ว”
เสียงนั้นเหมือนมาจากที่แสนไกล แต่ก็เหมือนลอยมาอยู่ข้างหู กัวฉางเฉิงได้ยินแล้วก็ตัวสั่นสะท้านขึ้นมาตามสัญชาตญาณ รู้สึกเย็นวูบวาบตรงท้ายทอย
แต่เหล่าอู๋กลับไม่รู้สึกอะไรเลย เขายังคงพูดจ้อต่อไป “ขอโทษจริงๆ นะเสี่ยวกัวที่ทำให้นายลำบากต้องวิ่งมาตอนดึก แต่จะทำยังไงได้ ฉันกับเสี่ยววังพวกเราเหมือนกัน ทำได้แต่งานกะกลางคืนเท่านั้น ดังนั้นการรับนายเข้าทำงานจึงต้องทำในเวลานี้”
เดี๋ยวก่อน…
ทำไมถึงพูดว่า ‘ทำได้’ แต่กะกลางคืน
ทันใดนั้นเหงื่อก็แตกเต็มแผ่นหลังของกัวฉางเฉิงอีกรอบ เขารวบรวมความกล้า กวาดตามองพวกพนักงานอย่างรวดเร็วทั้งที่กลัวจนตัวสั่น ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกหูตาสว่างพร่างพราว พร้อมกับหนาวเย็นซาบซ่านไปถึงใจ
การมองครั้งนี้ทำให้เขาเห็นคนสวมเครื่องแบบคนหนึ่งลอยผ่านด้านข้างของเขาไปโดยที่เท้าไม่แตะพื้น
เขา…เขาๆๆๆ! ไม่มีเท้านี่นา!
ประตูห้องตรงหน้าส่งเสียงดัง ‘แกร๊ก’ แล้วเปิดออก บานพับประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเบาๆ หญิงสาวในชุดเดรสสีขาวคนหนึ่งปรากฏตัวที่หน้าประตู เธอใช้น้ำเสียงล่องลอยชวนให้ขนลุกแบบเดิมพูดว่า “ได้เอาหนังสือแจ้งให้ทราบกับบัตรประชาชนมาหรือเปล่า”
อากาศเย็นยะเยือกถาโถมออกมาจากช่องประตูที่เปิดอ้า หัวใจกัวฉางเฉิงแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอกทั้งที่มันอาจจะหยุดเต้นนิ่งแข็งไปแล้ว เขาตระหนักว่าหากเวลานี้ยังแกล้งทำเป็นใบ้ ไม่แน่ตัวเองอาจจะเป็นคนที่โง่เง่าจริงๆ
เขากลั้นหายใจ เงยหน้าขึ้นช้าๆ เลื่อนสายตาขึ้นตามชุดเดรสสีขาวจนมาถึงลำคอที่ไร้อาภรณ์ปกปิด…
วินาทีต่อมา เสียงดัง ‘อึกอัก’ เหมือนคนถูกบีบคอก็ดังออกมาจากปากของกัวฉางเฉิง เขาอ้าปาก แต่กรีดร้องไม่ออก ดวงตาเบิกโพลงจนลูกตาแทบจะถลนออกมา เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความหวาดกลัวระคนตื่นตกใจ มือไม้แข้งขาเย็นจนแข็งเป็นท่อนไม้ราวกับมันไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไป
เขาเห็น…เห็น ‘เส้นด้ายสีแดง’ ล้อมรอบลำคอของหญิงสาว! นั่นไม่ใช่เครื่องประดับ เพราะมันฝังแน่นอยู่ในผิวหนัง…มันคือตะเข็บที่เย็บลำคอกับส่วนหัวของเธอให้ติดกัน!
ฝ่ามือเย็นเฉียบข้างหนึ่งวางลงบนไหล่ของกัวฉางเฉิง เสียงของเหล่าอู๋ดังแว่วมา “เอ้า เสี่ยวกัว นายเป็นอะไรไป”
กัวฉางเฉิงหันกลับมาโดยไม่ทันคิด เขาเจอเข้ากับใบหน้าที่ขาวราวกับกระดาษและปากสีเลือดที่ฉีกกว้างไปถึงใบหูของเหล่าอู๋เข้าพอดี
เมื่อกี้เขาคิดเหลวไหลว่าเจอผียังดีกว่าเจอหัวหน้า ทำให้ตอนนี้ถูกกรรมสนองอย่างสาสม เห็นได้ชัดว่าคืนนี้กัวฉางเฉิงได้โชคสองชั้น…เขาไม่เพียงได้เจอหัวหน้า แต่ยังได้เจอผีอีกด้วย
หลังจากชะงักไปสองวินาที กัวฉางเฉิงก็เป็นลมล้มพับลงไปโดยไม่ทันได้ร้องออกมาสักแอะ
เขาล้มลงไปกองที่พื้น…ใช่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันเป็นเพราะเขาไม่อยากจะดูโง่เง่าเลยไม่ซักถาม แล้วยังขี้ขลาดจนไม่กล้ามองหน้าคนอื่น
งานดีๆ ที่ลุงกับป้าแท้ๆ ของเขาหามาให้มันช่างแปลกแหวกแนวจริงๆ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments