X
    Categories: everYGuardianทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Guardian เล่ม 1 บทที่ 2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

บทที่ 2

 

แสงไฟที่เหมือนแสงของหิ่งห้อยไม่อาจขับไล่ความมืดมิดทั้งมวลในยามราตรี เด็กสาวย่ำเท้าลงไปบนพื้นกระเบื้องที่เว้าแหว่งชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลาอย่างร้อนรน ไม่รู้ว่าเท้าของเธอสะดุดเข้ากับอะไร เธอจึงล้มลงไปคุกเข่าอยู่ที่พื้น

อากาศในค่ำคืนฤดูร้อนร้อนอบอ้าวราวกับซึ้งนึ่งขนม หลี่เชี่ยนหอบหายใจอย่างแรง มือของเธอกำเสื้อตัวเองแน่นด้วยความหวาดกลัว

เธอได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองและเสียงฝีเท้าของใครอีกคน

มีเพียงรองเท้าผ้าใบพื้นนิ่มแบบโบราณเท่านั้นที่จะทำให้เกิดเสียงดัง ‘แซกๆ’ อย่างนั้นได้ พอฟังดีๆ แล้วเสียงมันเหมือนใครคนนั้นเดินลากเท้าเลื่อนไปบนพื้นทีละก้าวๆ ราวกับคนแข้งขาไม่ค่อยดี

หลี่เชี่ยนหันกลับไปในทันที ทว่านอกจากแมลงที่บินเล่นไฟแล้ว ด้านหลังของเธอก็ไม่มีอะไรเลย

หลี่เชี่ยนถือว่าเป็นเด็กสาวที่รูปร่างหน้าตาดีมากคนหนึ่ง แม้ตอนนี้ผมเผ้าจะยุ่งเหยิง เส้นผมเปียกเหงื่อเหนียวติดอยู่บนใบหน้า ริมฝีปากและใบหน้าขาวซีด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังดูดีพอใช้

เธอแสดงสีหน้าแปลกประหลาดออกมาอย่างช้าๆ ดูเหมือนกำลังยิ้มหยันด้วยความอาฆาตแค้น มีความน่าหวาดหวั่นที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้แฝงอยู่ในใบหน้านั้น

“อย่ามายุ่งกับฉัน…” หลี่เชี่ยนลุกขึ้นโดยพลัน แล้วพูดเสียงลอดไรฟันว่า “ฉันกำจัดแกทิ้งได้ครั้งหนึ่งก็กำจัดแกทิ้งเป็นครั้งที่สองได้”

เสียงฝีเท้าหยุดลง

หลี่เชี่ยนถลกแขนเสื้อแจ็กเก็ตสามส่วนขึ้น เส้นขนบนแขนขาวลุกชันราวกับมีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นทำให้เธอรู้สึกหนาวเย็นในคืนวันกลางฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าว

เธอหยิบก้อนอิฐขึ้นมาจากพื้น เสียงก้าวเดินที่เหมือนถูกหนอนไชกระดูกข้อเท้าพุ่งเข้ามาหาเธอจากรอบทิศทาง ทว่าเธอกลับมองไม่เห็นอะไรเลย

ยิ่งมองไม่เห็นก็ยิ่งน่ากลัว

หลี่เชี่ยนกรีดร้องออกมา เธอสุ่มขว้างก้อนอิฐไปในอากาศด้วยท่าทางดุร้าย

ยิ่งนานก้อนอิฐในมือก็ยิ่งหนัก ฝ่ามือเธอถูกเศษอิฐครูดจนเริ่มเจ็บ เธอเหนื่อยจนหมดแรง ดวงตาทั้งสองเริ่มมืดมัว เธอก้มตัวใช้มือข้างหนึ่งจับหัวเข่าเพื่อพยุงร่างไว้ อ้าปากหอบหายใจ สายตาเลื่อนลงไปที่พื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

ทันใดนั้นรูม่านตาของเธอก็หดตัวอย่างฉับพลัน ตัวเธอสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ก้อนอิฐในมือร่วงหล่น นิ้วที่โพล่พ้นรองเท้าแตะถูกอิฐก้อนนั้นกระแทกใส่ แต่ดูเหมือนเธอไม่รู้สึกอะไรเลย หลี่เชี่ยนก้าวถอยหลังอย่างยากลำบาก เธอก้าวได้เพียงแค่สองก้าวก็เข่าอ่อน ทรุดลงไปกองอยู่ที่พื้น

เงา…มันคือเงานั่นเอง!

โคมไฟถนนอยู่ตรงหน้าเธอ แต่ทำไมพื้นถนนใต้แสงไฟถึงมีเงาที่ชัดเจนอย่างนี้!

มันเหมือนแอ่งน้ำหมึกที่ถูกสาดลงบนพื้น ไม่รู้ว่ามัน ‘มอง’ เธออยู่ตรงนั้นมานานแค่ไหนแล้ว

หลี่เชี่ยนคุกเข่าอยู่บนพื้น แต่เงานั่นกลับอยู่ในท่ายืน

เธอมีตัวตนไม่ใช่หรือ มีตัวตนแล้วจะไปกลัวเงาทำไม

ราวกับเธอได้ยินเสียงแหลมของใครบางคนกำลังหัวเราะ

 

ยังไม่ถึงตีห้า เสียงเรียกเข้าจากมือถือบนตู้หัวเตียงส่งเสียงดังขึ้นเหมือนจะปลุกวิญญาณให้ตื่น

จ้าวอวิ๋นหลานทำงานล่วงเวลาทั้งคืน กลับถึงบ้านยังไม่ทันได้ถอดเสื้อผ้าก็ล้มตัวลงบนเตียงทันที เขารู้สึกเหมือนเพิ่งจะล้มตัวลงนอนก็โดนปลุกให้ตื่นเสียแล้ว

เขาลืมตาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก หนังตาที่บวมใหญ่ทำให้มองเห็นเค้าโครงของดวงตาได้ชัดเป็นพิเศษ ดูเหมือนเขาจ้องมองเพดานบ้านตัวเองด้วยสายตาแค้นเคือง ผ่านไปสามวินาทีเขาก็ลุกขึ้นมานั่งนิ่งๆ เหมือนศพ สมองยังคงทำงานอย่างเชื่องช้า จากนั้นก็กระเสือกกระสนไปคว้าโทรศัพท์มือถือบนตู้หัวเตียง

ห้องของจ้าวอวิ๋นหลานรกรุงรังไปหมด ใครได้เห็นก็คงลืมไม่ลง จะบอกว่ามันเป็นบ้านหมา หมายังประท้วงเลย

เสื้อผ้าถูกโยนทิ้งไว้ทั้งบนเตียงและบนพื้น ไม่รู้เขาจะใส่หรือจะซัก บนเตียงคิงไซส์มีข้าวของกองเกะกะ ถ้าไม่นับแล็ปท็อปที่ถูกถุงเท้าข้างหนึ่งวางพาด แว่นกันแดดกับร่มกันฝนก็ยังพอรับได้ แต่หมวกกระดาษทรงสูงใบใหญ่กับกระปุกใส่ชาดใบโตนั่นคงยากที่ใครจะเข้าใจ…เมื่อข้าวของพวกนี้มากองรวมกันก็เหลือเพียงที่เล็กๆ พอให้เขาแทรกตัวลงไปนอนได้เท่านั้น และเขาก็น่าจะเป็นคนแหวกช่องไว้ก่อนที่ตัวเองจะล้มตัวนอน

จ้าวอวิ๋นหลานหน้าบึ้ง เหมือนเขากำลังจะแหกปากร้องด่า แต่กลับหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาเพียงแต่แหบแห้งไปบ้างเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขาคุ้นชินกับเรื่องแบบนี้แล้ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกล่ะ”

เสียงของวังเจิงดังผ่านโทรศัพท์ออกมาสั้นๆ แต่ชัดเจนว่า “มีคนตาย”

“เมื่อไหร่”

“ไม่เมื่อคืนก็เช้ามืดวันนี้ หรือไม่ก็เมื่อกี้นี่เอง”

“ที่ไหน”

“บนถนนในมหา’ลัย”

“อือ…” จ้าวอวิ๋นหลานถูคลึงใบหน้าของตัวเองอย่างแรง “ให้เหล่าฉู่ไปดูก่อน”

“เหล่าฉู่ออกไปทำงานที่เมืองเซียงซี”

“หลินจิ้งล่ะ”

“ท้องที่อื่นยืมตัวไปแล้ว”

“แม่งเอ๊ย งั้นจู้หง…ช่างเถอะไม่ต้องพูดถึงจู้หงหรอก เมื่อวานพระจันทร์เต็มดวง เธอลางานไปแล้ว ยังเหลือใครอีก”

“ฉัน” วังเจิงพูด “แต่พระอาทิตย์กำลังจะขึ้นแล้ว อีกไม่นานฉันก็ต้องเลิกงาน แล้วก็มีต้าชิ่งกับกัวฉางเฉิงเด็กฝึกงานที่มาใหม่”

จ้าวอวิ๋นหลานอ้าปากหาวทีหนึ่ง เขาพูดอย่างใจสู้แต่ไร้เรี่ยวแรง “เธอให้ต้าชิ่งพาเด็กฝึกงานไปดูก่อน ให้โอกาสเด็กมันได้เรียนรู้งาน”

“เด็กฝึกงานกัวฉางเฉิงตอนนี้ยังไปไหนไม่ได้หรอก” วังเจิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อคืนตอนมารายงานตัว เขาตกใจจนเป็นลม ตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย”

“โดนใครเล่นงานจนเป็นลมไปล่ะ” จ้าวอวิ๋นหลานซักถาม

“ฉันกับเหล่าอู๋” วังเจิงไล่เรียงเหตุการณ์ให้เขาฟังแล้วพูดปิดท้ายว่า “ฉันบอกตั้งนานแล้วว่าให้ไปหาร้านทำศพมืออาชีพมาสร้างร่างกายให้เหล่าอู๋ จู้หงฝีมือแย่กว่าฝีเท้าเสียอีก แค่เย็บถุงทรายยังเย็บไม่มิดเลย ทำออกมาเหมือนคนกระดาษ ไม่ได้เหมือนคนจริงๆ สักนิด”

จ้าวอวิ๋นหลานนั่งซึมกะทืออยู่บนเตียงครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา “ถ้าฉันออกหน้าเองเลยมันผิดขั้นตอน กลัวจะทำให้ชาวบ้านตกใจ…แต่ไม่มีทางเลือกอื่นนี่นา ช่างเถอะ งั้นอีกเดี๋ยวฉันจะไปดูเอง เธอบอกให้ต้าชิ่งรอฉันด้วย”

เขาวางสาย ใช้เวลาอาบน้ำหวีผมสามนาที แล้วขับรถราวกับบินไปยังมหาวิทยาลัย

หลังจากผ่านประตูหน้า จ้าวอวิ๋นหลานก็ลดความเร็วลง จู่ๆ เงาดำลูกหนึ่งก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า แล้วตกใส่กระโปรงหน้ารถของเขาจนเกิดเสียงดัง ‘ตุ้บ!’ ราวกับมีใครปาระเบิดมือใส่ เขาเห็นสัตว์ตัวกลมๆ ตัวหนึ่งกระโจนใส่รถของเขาอย่างรุนแรง ยังดีที่มันไม่กระแทกจนกระโปรงหน้ารถของเขาบุบ

จ้าวอวิ๋นหลานต้องเหยียบเบรกกะทันหัน เขายื่นหัวออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วเดาะลิ้นอย่างปวดใจ “นี่เขาเรียกว่ารถยนต์ เป็นยานพาหนะ ไม่ใช่กระบะทรายของแมว! นายระวังหน่อยไม่ได้รึไง”

แมวดำตัวหนึ่งนั่งตัวตรงอยู่บนกระโปรงรถ มันมีขนช่วงลำคอที่ดูนุ่มละมุน ใบหน้ากลมเหมือนลูกพลับมีขน รูปร่างก็กลมเหมือนลูกบอล มองผ่านๆ ราวกับเป็นพี่น้องชาวแอฟริกันของเจ้าแมวอ้วนการ์ฟิลด์

มันนั่งงอขาหลัง พยายามเก็บพุงและเหยียดขาหน้าสั้นๆ ไปแตะพื้นกระโปรงรถอย่างยากลำบากเพื่อรักษาท่านั่งที่ดูสง่างามตามแบบฉบับของแมวเอาไว้

เจ้าแมวเหมียวหน้าลูกพลับกวาดตามองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าแถวนั้นไม่มีคนมันก็กระดิกหนวดแล้วเปิดปากพูดด้วยเสียงค่อนข้างทุ้มต่ำของผู้ชาย “อย่ามัวพล่ามไร้สาระ รีบลงมาจากรถ…นายไม่ได้กลิ่นนี้รึไง”

ในอากาศมีกลิ่นเหม็นเน่าที่สุดจะบรรยายลอยคละคลุ้งอยู่จริงๆ กลิ่นของมันเทียบได้กับอาวุธชีวภาพ จ้าวอวิ๋นหลานจอดรถข้างทาง ใช้มืออุดจมูก ขมวดคิ้วเอ่ยถามเจ้าแมว “เหม็นขนาดนี้ นายตดใช่มั้ย”

เจ้าแมวอ้วนดำไม่สนใจเขาให้เสียเวลา มันกระโดดลงจากกระโปรงหน้ารถอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด สะบัดก้นอันอ้วนใหญ่ใส่เขา แล้วเดินไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าราวกับนางแบบบนแคตวอล์ก

ถนนด้านหน้ามีรถตำรวจจอดอยู่หลายคัน เจ้าหน้าที่ใช้เทปกั้นแสดงเขตห้ามเข้าที่ปากซอยเล็กๆ แห่งหนึ่งเอาไว้แล้ว

หลังจากควานหาในกระเป๋าอยู่นาน จ้าวอวิ๋นหลานก็ดึงใบอนุญาตทำงานขาดๆ วิ่นๆ ออกมา นายตำรวจชั้นผู้น้อยที่ยืนหน้าซีดเฝ้าสถานที่เกิดเหตุอยู่หน้าเทปกั้นเขตรับไปกวาดตามองอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ลนลานยัดใบอนุญาตกลับมาที่อกของจ้าวอวิ๋นหลาน ก่อนจะวิ่งเตลิดไปเกาะกำแพงแล้วอ้วกออกมาอย่างทนไม่ไหว

จ้าวอวิ๋นหลานเกาหัวที่ยุ่งเหยิงปานรังนกของเขาอย่างประหลาดใจ “สารรูปของฉันมันชวนอ้วกขนาดนั้นเลยเหรอ”

เจ้าแมวดำมาถึงที่หมายก่อนเขาหลายก้าว เมื่อเห็นว่าเขายังพูดจาไร้สาระอยู่ตรงนั้นมันก็ทนไม่ไหว หันกลับมาทำขนพอง ส่งเสียงร้องเรียก “เมี้ยว”

“ได้ๆๆ ทำงาน…โอ๊ย ให้ตายเถอะ กลิ่นนี้มันฆ่าคนตายได้ในสิบก้าวเลยนะเนี่ย”

ทันทีที่จ้าวอวิ๋นหลานปรากฏตัว คนข้างในก็รีบออกมาต้อนรับ เขาใช้กระดาษทิชชูปิดจมูก พูดเสียงดังก้องเหมือนอยู่ในตุ่มว่า “เจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบสวนคดีพิเศษใช่มั้ยครับ”

ในกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ ทุกคนต่างก็รู้จักหน่วยงานลึกลับที่ชื่อว่า ‘หน่วยสืบสวนคดีพิเศษ’ หน่วยนี้

พวกเขาไม่ใช่หน่วยงานระดับล่าง แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่างานของพวกเขาคืออะไร มีกฎบัตรอย่างไร แต่ทุกครั้งที่หน่วยสืบสวนคดีพิเศษออกโรงล้วนเป็นคำสั่งโดยตรงจากเบื้องบน จึงไม่มีทางที่ใครจะคัดค้านได้

ถ้าพวกเขาไม่มาด้วยตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปเชิญตัวมาจากที่ไหน

พวกเขาขึ้นตรงกับกระทรวงความมั่นคงแห่งชาติ แต่บางครั้งก็ทำงานอย่างอิสระ และเนื่องจากเป็นหน่วยงานลับ จึงไม่เปิดเผยรูปแบบการทำคดี สื่อมวลชนไม่เคยได้รับอนุญาตให้สัมภาษณ์ อย่าว่าแต่จะตามตัวมาให้สัมภาษณ์เลย ตามปกติแม้แต่เงาของคนในหน่วยสืบสวนคดีพิเศษพวกเขายังหาไม่เจอ

ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจัดการกับคดียังไง สรุปได้ว่าเมื่อคดีถูกส่งไปที่นั่น มันก็เหมือนถูกส่งเข้ากล่องดำ สิ่งที่เปิดเผยต่อสาธารณชนมีเพียงรายงานปิดคดีที่น่าพิศวงเท่านั้น

บางครั้งเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ในหน่วยสืบสวนคดีพิเศษยังลึกลับยิ่งกว่าคดีที่น่าค้างคาใจเหล่านั้นเสียอีก

รายงานปิดคดีของพวกเขามีรายละเอียดครบถ้วน ทั้งมูลเหตุของคดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผลลัพธ์ ข้อมูลผู้ต้องหา เหตุการณ์และขั้นตอนการจับกุม ทุกเรื่องมีคำอธิบายไว้อย่างชัดเจน มีการวิเคราะห์ตามหลักเหตุผลอย่างรอบคอบและแจกแจงทุกขั้นตอน ไม่มีทางที่ใครจะหาข้อบกพร่องออกมาได้

ข้อสงสัยมีเพียงอย่างเดียวก็คือ…เมื่อคดีปิดลง ผู้ต้องหาทุกคนก็ตายไปแล้ว

ทุกคดีที่ไปถึงมือพวกเขาล้วนเป็นคดีที่เลวร้ายมาก ถึงผู้ต้องหาจะตายก็ไม่สาสมกับความผิดที่ทำ แต่…มันก็บังเอิญมากเกินไปอยู่ดี

เวลานี้ผู้รับผิดชอบงานตรวจสอบที่เกิดเหตุคือนายตำรวจสูงวัยแซ่หยาง เขาจับมือจ้าวอวิ๋นหลานอย่างกระตือรือร้นพลางพินิจมองอีกฝ่ายด้วยความประหลาดใจ

“คุณชื่ออะไรครับ” เขาเอ่ยถามอย่างนอบน้อม

“ผมแซ่จ้าว จ้าวอวิ๋นหลาน คุณเรียกผมว่าเสี่ยวหลานก็ได้”

เหล่าหยางประหลาดใจที่ได้ยินคำพูดนั้น เขาคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าหน่วยสืบสวนคดีพิเศษคนปัจจุบันจะมาด้วยตัวเอง ตามที่เขาเห็น หัวหน้าจ้าวคนนี้อายุน่าจะยังไม่ถึงสามสิบปี เทียบกับตำแหน่งแล้วออกจะยังหนุ่มเกินไป อีกฝ่ายตัวสูง ผอมบาง บุคลิกสุภาพเรียบร้อย มองเผินๆ เหมือนนายแบบโฆษณาเสื้อผ้าบนแม็กกาซีน เพียงแต่เสื้อเชิ้ตยับยู่ยี่ กระดุมสองเม็ดด้านบนก็ไม่ได้ติด ชายเสื้อครึ่งหนึ่งยัดอยู่ในขอบกางเกง อีกครึ่งหลุดลุ่ยออกมา รวมเข้ากับเส้นผมยุ่งเหยิงราวกับรังนกแล้วดูเหมือนเจ้าตัวจะเป็นคนซกมกไปหน่อย

แต่คนที่อยู่ในตำแหน่งระดับนี้อย่าว่าแต่ซกมกเลย ต่อให้เปลือยกายออกจากบ้านผู้ใต้บังคับบัญชาก็จำต้องสรรเสริญเยินยอเหมือนเป็นผู้นำเทรนด์แฟชั่น

เหล่าหยางร้องออกมา “โอ้! คุณคือหัวหน้าจ้าวนี่เอง! เอ่อ…เอ่อ ผมนี่ตาไม่ถึงจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าหัวหน้าของพวกเราจะอายุน้อยขนาดนี้…”

เห็นได้ชัดว่าจ้าวอวิ๋นหลานคุ้นเคยกับการแสดงประเภทนี้อยู่แล้ว เขาเอ่ยปากโต้ตอบกลับไปอย่างสอดคล้องราวนักร้องประสานเสียง

ในตอนนี้มี ‘คน’ อารมณ์เสียซะแล้ว เมื่อได้ยินเสียงดัง ‘เมี้ยว’ เหล่าหยางก็ก้มหน้าลง เขาเห็นเงาดำร่างหนึ่งเคลื่อนไหวรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน มันเคลื่อนที่จากขากางเกงของจ้าวอวิ๋นหลาน ไต่ขึ้นไปตามเสื้อผ้า ปีนไปยังหัวไหล่ของชายหนุ่ม

มันคือแมวดำตัวหนึ่ง ดวงตาสีเขียวมรกต ตามหลักแล้วการปรากฏตัวของแมวดำในสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรมฟังดูเหมือนเรื่องลี้ลับ แต่เจ้าแมวเหมียว ‘ลี้ลับ’ ตัวนี้มันช่างจ้ำม่ำเสียเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำไมพอเห็นมันแล้ว ความน่ายำเกรงและน่าสะพรึงกลัวก็แปรเปลี่ยนเป็นความวิตกกังวลเกี่ยวกับระดับโคเลสเตอรอลที่น่าจะสูงเกินไปของมันแทน

ดวงตาเล็กหยีของเหล่าหยางปะทะกับดวงตากลมโตของมัน “นี่…นี่…”

จ้าวอวิ๋นหลานคว้ากางเกงที่เกือบจะถูกเจ้าแมวอ้วนเกี่ยวจนหลุดอย่างเก้อเขิน เขาหัวเราะฝืดๆ “นี่คือเจ้าหน้าที่แมวของพวกเรา ปกติมันจะปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด ตอนนี้คงจะไม่พอใจที่เห็นพวกเราเอาแต่คุยกัน”

“…”

เจ้าแมวดำร้องเมี้ยวออกมาคำหนึ่งอย่างไม่แยแส มันสะบัดหางอ้วนพีที่วางอยู่บนไหล่ของจ้าวอวิ๋นหลานอย่างไม่สบอารมณ์แล้วเชิดคอขึ้นอย่างหยิ่งยโส…แต่ก็ยากที่ใครจะมองเห็น เพราะการหาตำแหน่งลำคอของมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

จ้าวอวิ๋นหลานเข้าใจ เขายื่นมือไปคลำหาบัตรประจำตัวจากคอของมันซึ่งลำบากไม่ใช่น้อยกว่าจะแยกบัตรออกมาจากชั้นไขมันและเส้นขนอันหนาทึบได้ เขาส่งบัตรให้เหล่าหยาง “นี่คือใบอนุญาตจากหน่วยสืบสวนคดีพิเศษ เทียบเท่ากับใบอนุญาตทำงานของพวกเราทุกคน มันได้รับการอนุมัติให้ผ่านเข้าออกสถานที่เกิดเหตุได้ทุกที่ คุณวางใจได้ แมวแก่ รู้งานดี ไม่ก่อเรื่องวุ่นวายหรอก”

“…”

เหล่าหยางเริ่มคิดว่าเรื่องนี้มันชักจะไร้สาระเกินไปแล้ว

ครู่ต่อมาหัวหน้าจ้าวซึ่งเป็นถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็อุ้มเจ้าแมวเหมียวเดินตามเหล่าหยางเข้าไปในที่เกิดเหตุ

ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ กลิ่นเหม็นก็ยิ่งคละคลุ้ง

ในซอยเล็กๆ มีศพหญิงสาวคนหนึ่งนอนอยู่ เธอสวมเสื้อเชิ้ตสกรีนข้อความว่า ‘น้องใหม่มหา’ลัยหลงเฉิง’ ลูกตาเธอแทบถลนออกมาจากเบ้า แขนขาถูกจัดให้กางออกเป็นอักษรคำว่าต้า (大) ปากของเธออ้าค้าง ช่องท้องถูกผ่าด้วยของมีคม อวัยวะภายในว่างเปล่า ไส้ถูกควักกระจัดกระจายเหมือนหุ่นยัดนุ่น

เหล่าหยางใช้กระดาษทิชชูปิดจมูกอีกครั้ง ใบหน้าเขายับย่น ดูบิดเบี้ยวจนแทบแยกไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นส่วนไหน

เจ้าแมวอ้วนบนไหล่ของจ้าวอวิ๋นหลานลากเสียงร้องเหมียวแล้วกระโดดลงไปที่พื้น มันเดินวนรอบศพสองรอบ สุดท้ายก็หยุดลงตรงจุดหนึ่ง มันนั่งหมอบอยู่ตรงนั้นพลางเงยหน้ามองจ้าวอวิ๋นหลาน ทำท่าเหมือนสุนัขตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนจนชำนาญเวลาตรวจพบยาเสพติด

จ้าวอวิ๋นหลานเดินเข้าไปหา ล้วงถุงมือยับยู่ยี่จากกระเป๋ากางเกงที่ยับย่นออกมาสวม เขาลูบไปบนพื้นตรงที่เจ้าแมวเหมียวหมอบอยู่ จากนั้นเขาก็ยกแขนข้างหนึ่งของศพขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

เหล่าหยางคอยื่นคอยาว เขาเห็นรอยฝ่ามือเปื้อนเลือดครึ่งหนึ่งที่ถูกบดบังเอาไว้ใต้ศพ

นั่นไม่ใช่รอยฝ่ามือของคนอย่างแน่นอน ฝ่ามือเล็กเหมือนฝ่ามือเด็ก แต่นิ้วมือกลับยาวอย่างน้อยยี่สิบเซนติเมตร ตลอดชีวิตการเป็นตำรวจสืบสวนของเหล่าหยาง เขาไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

เหล่าหยางเบิกตาอ้าปากค้าง เขาตกใจจนสะดุ้งเมื่อได้ยินจ้าวอวิ๋นหลานพูดอย่างขึงขังว่า “ต่อไปคดีนี้จะถูกโอนไปยังหน่วยสืบสวนคดีพิเศษ กระบวนการสืบสวนจะแล้วเสร็จภายในสองวันทำการ”

พูดจบจ้าวอวิ๋นหลานไม่รอให้เหล่าหยางตอบกลับ เขาชี้ไปยังประตูพังๆ ที่อยู่บนกำแพงแล้วเอ่ยถาม “นั่นประตูอะไร”

มันคือประตูข้างของมหาวิทยาลัยหลงเฉิง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

Editor Jamsai: