บทที่ 82
ด้วยข้อจำกัดเรื่องการตั้งท้อง ดันเจี้ยนระดับสูงสุดที่พวกเขาสามารถลงได้จึงเป็นระดับสามดาวเท่านั้น ความยากที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินของมันเลยไม่จำเป็นต้องตั้งใจบังคับตัวละครมากนักทำให้จิ่งฮวนมีเวลาว่างครุ่นคิดเรื่องอื่นระหว่างลงดันเจี้ยน
อย่างเช่นเซี่ยงไหวจือรู้ว่าเขาคือจิ่งแสนหวานตัวน้อยตั้งแต่เมื่อไร
จิ่งฮวนขมวดคิ้วมุ่น เขารู้ดีว่าเซี่ยงไหวจือมีนิสัยค่อนข้างเย็นชา แต่คงไม่ถึงกับโดนสาวปลอมหลอกแล้วยังเป็นทองไม่รู้ร้อนหรอกมั้ง
ยิ่งกว่านั้นคนที่หลอกเขาก็คือจิ่งฮวน…ทั้งสองคนอยู่ใกล้กันขนาดนี้ ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนเขามีแผนการอื่นอยู่ชัดๆ
จิ่งฮวนเท้าคางครุ่นคิดอยู่นานจนทำให้เขาคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ในช่วงก่อนหน้านี้เขาลงไปซื้อยาก็เจอเซี่ยงไหวจือมาวิ่งรอบดึกพอดี พอมาคิดดูแล้วตอนนั้นเซี่ยงไหวจือไม่มีเหงื่อสักหยด แถมยังไม่มีเพื่อนวิ่งด้วยเลย ดูไม่เหมือนมาวิ่งรอบดึกเลยสักนิด…เหมือนอีกฝ่ายมาดักรอเขามากกว่า
จิ่งฮวนนึกได้ทันที เซี่ยงไหวจือจะต้องมาดักรอเขาแน่นอน! ที่แท้เซี่ยงไหวจือก็อยากจัดการเขาจริงๆ ด้วย!
แต่หลังจากนั้นทำไมไม่ลงมือทำอะไรเลยล่ะ เพราะเขาไม่สบายอยู่เหรอ
จิ่งฮวนขบคิดอยู่นาน คิดวกไปวนมาก็ได้ข้อสรุปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…
เซี่ยงไหวจือช่างเป็นคนดีจริงๆ
จิ่งฮวนลงดันเจี้ยนจนถึงช่วงบ่ายก็รู้สึกทนไม่ไหวขึ้นมานิดหน่อยจึงลุกไปหยิบยา ในบ้านเขาไม่มียาลดไข้ แต่ยาแก้หวัดที่ซื้อมาเมื่อคราวก่อนก็ยังเหลืออยู่มาก
เขาฝืนกินมันเข้าไป แค่กินก็น่าจะพอแล้วล่ะ
เดิมทีเขารู้สึกปวดหัวจนทรมาน หลังจากกินยาเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกง่วงนอน แต่เมื่อเคลียร์ดันเจี้ยนระดับต่ำเสร็จเรียบร้อยเขาก็ยังชักช้าไม่ยอมออกจากปาร์ตี้
“เสี่ยวจิ่งจิ่ง” ลู่หังพูด “ฉันยินดีพาเธอลงดันเจี้ยนระดับสูงนะ แต่สามีเธอเหมือนจะไม่พอใจสุดๆ เลยล่ะ”
จิ่งฮวนพลันได้สติกลับมา เขารีบออกจากปาร์ตี้และเข้าร่วมปาร์ตี้ของเซี่ยงไหวจือ
“ไปทำอะไรมาน่ะ” เซี่ยงไหวจือถาม
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : ไปรินน้ำมาค่ะ
เซี่ยงไหวจือเอ่ย “ดื่มน้ำร้อนนะ”
จิ่งฮวนกำลังคิดจะส่งอีโมจิไปสักตัว แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : ?
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : ทำไมพี่ไม่ไปลงดันเจี้ยนระดับสูงกับพวกนั้นล่ะคะ…
เซี่ยงไหวจือบอกว่า “ไม่ไป ไม่ได้ขาดค่าประสบการณ์”
ถ้าจิ่งฮวนเป็นมือใหม่ Nine Heroes จริงๆ คงเชื่ออยู่หรอก
แต่ในเกม Nine Heroes นั้นสามารถเล่นได้ไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะเป็นการอัพเลเวล แต้มสกิล ไปจนถึงไอเทมและอัญมณีประดับ ทุกอย่างล้วนต้องใช้ค่าประสบการณ์ของผู้เล่น ดังนั้นทั่วทั้งเซิร์ฟเวอร์จึงไม่มีผู้เล่นคนไหนกล้าบอกว่าตัวเองไม่ขาดค่าประสบการณ์
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไม่ต้องสนใจฉันหรอก ฉันเล่นอีกแป๊บเดียวก็พอแล้ว
“ถ้าฉันไม่สนใจเธอแล้วใครจะสนใจเธอ” เซี่ยงไหวจือขมวดคิ้วถาม
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : …
เซี่ยงไหวจือหันกลับมามองแวบหนึ่งก็สบตาเข้ากับลู่หังพอดี
ลู่หัง “…”
ลู่หัง “อะไร”
เซี่ยงไหวจือบอกว่า “ใส่หูฟัง”
ลู่หัง “…?”
“ห้ามแอบฟัง”
“แม่ง นายเห็นฉันเป็นคนยังไงวะ คิดว่าฉันจะรำคาญที่นายเสียงดังเหรอ!”
ถึงเขาจะกำลังแอบฟังอยู่จริงๆ แต่ก็จะยืนกรานแถต่อไป
ลู่หังรู้สึกแปลกจริงๆ ปกติเซี่ยงไหวจือแม้แต่สายตาก็ยังไม่ชอบจะส่งให้คนอื่น แต่ตอนนี้กลับแชตกับแฟนในอินเตอร์เน็ตทุกวัน…
เขามองไปที่จิ่งแสนหวานตัวน้อยอีกครั้ง ปกติเวลาอยู่ต่อหน้าพวกเขายังแสดงออกขนาดนี้ ถ้าอยู่ในที่ส่วนตัวจะไม่แสดงออกยิ่งกว่านี้อีกเหรอ!
ลู่หังสูดลมหายใจ สายตาทอประกายลุ่มลึกขึ้นมาเล็กน้อย
เซี่ยงไหวจือหรี่ตาลง “นายกำลังคิดอะไรอยู่”
“คิดว่า…” ลู่หังยอมสวมหูฟังแต่โดยดี “ดันเจี้ยนคงใกล้จะเริ่มแล้ว ฉันเข้าไปจอย YY กิลด์ดีกว่า ไปแจมกับพวกนั้นน่าจะสะดวกกว่า”
จิ่งฮวนดื่มน้ำร้อนเป็นแก้วที่สามแล้ว ทั่วทั้งร่างของเขาเหมือนแช่อยู่ในน้ำร้อน รู้สึกอึดอัดจนไม่สบายตัวแถมยังหายใจไม่ออกอีกต่างหาก
ทว่าเขาก็ไม่อยากไปพักผ่อนเลยสักนิด
เซี่ยงไหวจือพาเขาไปทำเควสต์คู่รัก ทำถึงรอบที่แปด คนในปาร์ตี้ก็ยังไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
เซี่ยงไหวจือถาม “ไม่อยากทำอันนี้เหรอ”
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : อยากค่ะ
รอบที่เก้าของเควสต์คู่รักก็คือคำถามปรนัยสำหรับคู่รักจาก NPC เพื่อทดสอบความเข้าใจซึ่งกันและกันของคู่รัก
ปกติในรอบนี้พวกผู้เล่นจะใช้ระบบคุยผ่านเสียง
เซี่ยงไหวจือมองดูหัวข้อก่อนเอ่ยถาม “เธอชอบสีอะไร”
ช่องแชตปาร์ตี้เงียบกริบ
เมื่อจิ่งฮวนมีปฏิกิริยาตอบสนอง เวลาในการตอบคำถามก็เหลือเพียงแค่สี่วินาทีเท่านั้น
เขาได้สติขึ้นมาอย่างฉับพลัน พร้อมทั้งเปิดไมค์โดยไม่รู้ตัว และเนื่องจากไม่ได้ใช้เสียงมานานเสียงของเขาจึงแหบจนน่าตกใจ “อา สีขาว…”
เวลาสิ้นสุดลงแล้ว การท้าทายล้มเหลว
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : อ๊าๆ ขอโทษค่ะ เมื่อกี้ฉันเหม่อไปหน่อย ลองกดอีกทีเถอะค่ะ
เงื่อนไขของเควสต์คู่รักไม่ได้เข้มงวด ล้มเหลวแล้วก็สามารถท้าทายใหม่ได้
แต่เซี่ยงไหวจือไม่ได้กดที่ NPC อีกครั้ง เขาถาม “เธอเป็นไข้เหรอ”
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : อืม…แค่นิดเดียวเอง
เซี่ยงไหวจือถามต่อ “เป็นไข้กี่องศา”
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : ไข้ต่ำ 37.7
เซี่ยงไหวจือว่า “ถ่ายรูปเครื่องวัดอุณหภูมิมาให้ฉันดูสิ”
“…”
จิ่งฮวนถูกจับได้โดยไม่ทันตั้งตัว ความจริงวันนี้เขาวัดอุณหภูมิไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมมันยังสูงถึง 38.7 องศาด้วย
จิ่งฮวนหยิบเครื่องวัดอุณหภูมิออกมาวัดใหม่อีกครั้ง เมื่อก้มลงมองตัวเลขในใจก็ได้แต่คิดว่า 37.7…37.7…
เสียงติ๊ดดังขึ้นมา เทอร์โมมิเตอร์ก็แสดงตัวเลข
38.9
จิ่งฮวน “…”
อีกนิดก็จะสูงเกินไปแล้วไหม!?
เซี่ยงไหวจือเอ่ย “ถ่ายหรือยัง”
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : เครื่องวัดอุณหภูมิเหมือนจะเสียเลยค่ะ จู่ๆ มันก็วัดไม่ได้ O.O! จริงๆ นะคะ!
ทันใดนั้นไหล่ของลู่หังที่กำลังลงดันเจี้ยนอย่างตื่นเต้นก็ถูกตบเบาๆ
เขาเจียดเวลาหันหน้ามา “อะไรอีกล่ะ คราวนี้ฉันไม่ได้แอบฟังจริงๆ นะ!”
หมายความว่าหลายครั้งก่อนหน้านี้ก็แอบฟังหมดเลยสินะ
เซี่ยงไหวจือขี้เกียจคิดเล็กคิดน้อย “ของขวัญที่นายเตรียมไว้ให้จิ่งฮวนอยู่ไหน”
“อยู่บนเตียง ขนส่งเพิ่งมาส่งเมื่อเช้า…” ลู่หังชะงักไป “เฮ้ย นายจะเอาของขวัญไปทำไมวะ!”
“ฉันจะไปส่งให้นายไง”
…?
ลู่หังงุนงงเล็กน้อย “นี่ฉันไม่มีแขนไม่มีขาหรือไง ทำไมต้องให้นายไปส่งให้ฉันด้วย”
เซี่ยงไหวจือยัดของขวัญเข้าไปในกระเป๋า “มีอะไรจะฝากฉันไปบอกไหม”
ลู่หังพูดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ฝากบอกว่าสุขสันต์วันเกิดแล้วกัน…”
เมื่อลู่หังลงดันเจี้ยนเสร็จ เซี่ยงไหวจือก็สวมเสื้อโค้ตเตรียมพร้อมจะออกจากห้องพอดี เขารู้สึกสงสัย “นายจะไปหาจิ่งฮวนทำไม”
“มีธุระ” เซี่ยงไหวจือพับหน้าจอคอมพิวเตอร์
“โอเค อย่าหาว่าฉันไม่ได้เตือนนายนะ ของขวัญของฉันน่ะดีกว่าผ้าพันคอผืนเล็กกากๆ ของนายเยอะเลย ถึงตอนนั้นนายอย่ามาทำหน้าบูดแล้วกัน” ลู่หังหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง “จริงสิ จิ่งฮวนแอดวีแชตนายหรือยัง”
เซี่ยงไหวจือกำลังจะดึงประตูเปิดออก พอได้ยินคำนั้นฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงัก “วีแชตอะไร”
“ไอดีวีแชตไง” ลู่หังพูดยิ้มๆ “เมื่อวานหมอนั่นมาถามไอดีวีแชตนายจากฉัน…จะว่าไปนายทิ้งไอดีวีแชตสำรองไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมเอากลับมาใช้อีกล่ะ”
เซี่ยงไหวจือมองเขาด้วยสายตาราบเรียบไม่พูดอะไร
ลู่หังถูกจ้องจนรู้สึกขนลุกซู่ รอยยิ้มค่อยๆ แข็งค้าง “ทะ…ทำไมวะ”
“นายได้เอาวีแชตฉันให้เขาหรือเปล่า” เซี่ยงไหวจือถาม
“ให้ดิ…ให้ไม่ได้เหรอ” ลู่หังงุนงง
เซี่ยงไหวจือนิ่งอยู่กับที่ทันที “ตอนนั้นเขาได้พูดอะไรไหม”
“ก็ไม่ได้พูดอะไรนะ” ลู่หังว่า “ที่จริงฉันก็อยากจะแอดวีแชตเขา แต่เขาดันทำโทรศัพท์ตกเลยไม่ได้แอด”
เซี่ยงไหวจือเงียบไปหลายวินาทีก่อนจะพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
ลู่หังเห็นว่าน้ำเสียงอีกฝ่ายแปลกไปเลยคิดจะถามอีกสักประโยคสองประโยค แต่ก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นมาก่อน รูมเมตของเขาปิดประตูเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาซะแล้ว
ด้านนอกมีสายฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อย เซี่ยงไหวจือติดกระดุมเสื้อโค้ตและสวมหมวกลวกๆ ขณะที่เดินไปยังประตูหน้าเขาก็ก้มลงมองโทรศัพท์ไปด้วย
มิน่าล่ะเมื่อวานสีหน้าของหมอนั่นถึงดูแปลกขนาดนั้น ตั้งแต่กลับมาจากห้องน้ำก็ไม่กล้ามองเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แถมยังหน้าแดงอีก
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาเบาๆ เมื่อกี้เซี่ยงไหวจือทิ้งท้ายประโยคไว้ว่ามีธุระและต้องไปแล้ว ส่วนคนที่อยู่อีกฝั่งกลับเพิ่งจะตอบกลับมาอย่างเชื่องช้าเอาตอนนี้
เสี่ยวจิ่งยา ค่ะ งั้นฉันไปทำเควสต์ประจำวันแล้วนะ
เซี่ยง ไปนอน
เสี่ยวจิ่งยา นอนก็หลับสิคะ…
จิ่งฮวนมึนหัวจึงนั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้โต๊ะคอมฯ ขาเรียวทั้งสองข้างวางพาดอยู่บนเตียงด้วยท่าทางไม่น่าดูเอาซะเลย
วันนี้เขาลาแล้ว ที่จริงนอนไปก็คงไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้านอนตื่นขึ้นมาเขาต้องถูกเซี่ยงไหวจืออัดแน่
พอคิดถึงตรงนี้เขาก็รู้สึกว่าควรถนอมช่วงเวลาที่เขาไม่สบายแบบนี้เอาไว้
โทรศัพท์สั่นเล็กน้อย เขาค่อยๆ ก้มหน้าดู
เมื่อเห็นว่าไม่ใช่ข้อความที่เซี่ยงไหวจือส่งมา แม้แต่จะเปิดเขาก็ยังขี้เกียจ ทว่าคนที่อยู่ในกลุ่มแชตกลับไม่ยอมปล่อยเขาไปแถมยังแท็กเขาตรงๆ อีกต่างหาก
ลู่เหวินเฮ่า อาการนายเป็นยังไงบ้าง อยากให้เพื่อนไปมอบความอบอุ่นให้ที่บ้านไหมจ๊ะ อากาศหนาวชะมัด ฉันกับเสียงเอ๋อร์ว่าจะกินหม้อไฟ จะได้ใช้ห้องครัวแกพอดีเลย [เขิน]
ลู่เหวินเฮ่า @เสี่ยวจิ่งยา อยู่ไหม เฮ้ยวันนี้หอเราโชคร้ายหรือเปล่าวะ เมื่อกี้ฉันก็ตกบันได อีกนิดเดียวก็จะตกลงไปตายแล้ว
เกาจื้อเสียง ไม่เห็นจะตายสักหน่อย เพื่อนที่อยู่ข้างหน้านึกว่าแผ่นดินไหวเลยวิ่งอย่างเร็ว
ลู่เหวินเฮ่า : แม่ง &%#!@#…!
ลู่เหวินเฮ่าสบถด่าหยาบคายไปเป็นร้อยคำ แถมยังแท็กเขาพร้อมถามว่าเขาอยากใส่อะไรในหม้อไฟด้วย
จิ่งฮวนไม่มีแรงจะพิมพ์เลยกดปุ่มพูด “นายบ้าหรือเปล่า พ่อนายป่วยหนักขนาดนี้ยังจะมาทำหม้อไฟอีก อยากให้ฉันตายเร็วๆ หรือไง”
ลู่เหวินเฮ่ารีบตอบข้อความเสียงอย่างรวดเร็ว “เฮ้ย เสียงนาย ถ้าไม่รู้คงคิดว่านายร้องแหกปากทั้งคืนแน่”
จากนั้นสองวินาทีเขาก็ได้ยินเกาจื้อเสียงขำพรืด จิ่งฮวนกล่าวสั้นกระชับ “ไปไกลๆ”
ลู่เหวินเฮ่าว่า “ฉันคิดว่านายแกล้งป่วยหนีเรียน แต่นี่ป่วยจริงเหรอ ไม่งั้นให้ฉันเอายาไปให้ไหม ตอนนี้ฉันกำลังมาทายาที่ห้องพยาบาลพอดี”
จิ่งฮวนพูดเสียงแหบ “ไม่ต้องมา นายเสียงดังเกินไป แล้วนายไปหกล้มตรงไหนอะ”
ลู่เหวินเฮ่าส่งรูปมาให้เขาทันที ด้านหลังรูปภาพยังมีอีโมจิร้องไห้หนักอีกสองสามตัว จิ่งฮวนกวาดตามองผ่านๆ แล้วถึงกับพูดไม่ออกไปทันที
จากนั้นเขาก็พูดพลางยิ้มเย็น “คงรีบไปหาหมอสินะ ไม่อย่างงั้นคงไม่ใกล้หายแล้ว”
ลู่เหวินเฮ่ารัวอีโมจิมาทั้งหน้าด้วยความโมโห
จิ่งฮวนเลิกพูดจาไร้สาระกับเขา เมื่อเห็นว่าเซี่ยงไหวจือยังไม่ตอบเขาก็เปิดแอพฯ ไว่ม่ายเพื่อซื้อยา จากนั้นก็โยนโทรศัพท์ไปบนเตียง ก่อนจะควบคุมตัวละครในเกมให้วิ่งไปทางแผนที่ป่าสักแห่ง
เขาคิดดีแล้ว ไม่ใช่แค่ต้องกล่าวขอโทษ แต่ยังต้องชดเชยความสูญเสียให้เซี่ยงไหวจือด้วย
ถ้าชดใช้ด้วยเงินไปตรงๆ เซี่ยงไหวจืออาจจะไม่รับ ดังนั้นเขาจึงวางแผนจะสร้างเข็มขัดดีๆ สักเส้นให้เซี่ยงไหวจือ วันนั้นที่เขาล็อกอินเข้าไปจึงเห็นว่าไอเทมของเซี่ยงไหวจือแทบจะเป็นระดับสุดยอดทั้งหมด มีเพียงช่องเดียวเท่านั้นที่สามารถพัฒนาได้ นั่นก็คือเข็มขัด
การตีมอนสเตอร์ป่าในแผนที่ป่าก็มีโอกาสดร็อปวัตถุดิบเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถนำไปหลอมเข็มขัดได้อยู่พอสมควร แต่ไม่นานเขาก็พบปัญหายุ่งยากอย่างหนึ่ง
โดยภาพรวมของเขาไม่สามารถรับมือกับมอนสเตอร์ป่าในแผนที่ป่าได้
ในเซิร์ฟเวอร์เก่าจิ่งฮวนมีสมญานามว่าเสี่ยวป้าหวัง* แห่งแผนที่ป่า ความเร็วในการจัดการมอนสเตอร์เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมเป็นที่หนึ่ง แต่วันนี้เสี่ยวป้าหวังมึนหัวอยู่นิดหน่อย แม้แต่การตอบสนองก็ยังช้ากว่าคนอื่นอยู่หลายวินาทีจนมอนสเตอร์ป่าตัวเดียวก็ยังฆ่าไม่ได้
เขาสบถออกมาเสียงต่ำ ขณะที่กำลังจะไปแผนที่อื่นก็มีข้อความเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ
[ชิวเฟิงส่งคำเชิญให้คุณเข้าร่วมปาร์ตี้ — (ยอมรับ) (ปฏิเสธ)]
[เพื่อน] ชิวเฟิง : ปาร์ตี้เราก็กำลังฟาร์ม** อยู่เหมือนกัน ขาดอยู่พอดี มาด้วยกันสิ
จิ่งฮวนลังเลเล็กน้อยก่อนจะกดยอมรับ
ถึงยังไงก็ดีกว่าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าไปคนเดียวโดยไม่มีเป้าหมาย
เขานำสัตว์อัญเชิญออกมา ขณะที่กำลังเตรียมตัวจะ AFK ก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้น
[ปาร์ตี้] จิ่งแสนหวานตัวน้อย : ฉัน AFK ไปเอาของที่สั่งไว้ก่อนนะ เดี๋ยวมา
เขาลุกขึ้นเดินออกไปนอกประตูและเปิดประตูออกโดยที่แม้แต่ตาแมวก็ยังขี้เกียจจะมอง
“…”
ด้านนอกประตูเซี่ยงไหวจือยืนตัวตรงสวมหมวกปกปิดเส้นผมไปกว่าครึ่ง ปอยผมที่โผล่ออกมาบนหน้าผากเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ตอนนี้จึงดีดขึ้นมาเล็กน้อย
ดวงตาของชายหนุ่มเป็นสีดำสนิทและกำลังมองตรงมาที่เขา
ชั่วขณะนั้นจิ่งฮวนยังคิดว่าตัวเองเห็นภาพหลอน
“ลู่หังให้ฉันเอาของขวัญมาให้นาย” เซี่ยงไหวจือพูด
จิ่งฮวนก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัวก่อนจะมองเห็นกล่องเล็กๆ ที่เขาถือเอาไว้ในมือ แถมยังมีถุงพลาสติกอีกใบ
ด้านในถุงพลาสติกคือกล่องยาจำนวนหนึ่ง
“สีหน้านายไม่ค่อยดีเลย”
จิ่งฮวนอ้าปากกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ ชายหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าก็ยกมืออีกข้างขึ้นมาปัดเส้นผมของเขาขึ้นก่อนใช้หลังมือแตะลงบนหน้าผาก
มันให้ความรู้สึกเย็นเฉียบทั้งยังเปียกชื้นเล็กน้อย
“เป็นไข้เหรอ” เขาได้ยินเซี่ยงไหวจือถาม
บทที่ 83
เมื่อสัมผัสได้ว่าหยดน้ำฝนบนฝ่ามือของตัวเองทำให้เส้นผมของเขาเปียกชื้น เซี่ยงไหวจือก็ชักมือกลับมา หลุบตาลงรอคำตอบของเขาเงียบๆ
จิ่งฮวนกำลูกบิดประตูไว้ กว่าจะหาเสียงตัวเองเจอนั้นไม่ง่ายเลย เขาเอ่ยถามไปด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “พี่…รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่”
เซี่ยงไหวจือพูด “ลู่หังบอก”
ความจริงก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเขาสองคนกลับมาด้วยกัน เซี่ยงไหวจือก็ตั้งใจสังเกตเป็นพิเศษ หลังจากจิ่งฮวนเดินเข้าไปในตึกหลังใหญ่ ผ่านไปไม่กี่นาทีแสงไฟในชั้นนี้ก็สว่างขึ้นมา
เรื่องนี้ถ้าพูดออกไปก็ดูเหมือนจะโรคจิตไปหน่อย ดังนั้นเขาเลยโยนขี้ไปให้ลู่หังซะเลย
จิ่งฮวนส่งเสียง “อ้อ” ตอบรับ
เซี่ยงไหวจือยื่นกล่องของขวัญให้เขา
จิ่งฮวนรับมันมาด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน ก่อนจะเอ่ยปากพูดรีบๆ โดยไม่มองมันแม้แต่แวบเดียว “ขอบคุณครับ”
เฮ้ย นี่มันอะไรวะเนี่ย!
บอกแล้วไงว่าหายป่วยจะไปมอบตัวเอง! ทำไมตอนนี้ดันมาจับกันถึงหน้าประตูบ้านล่ะเนี่ย!!!
จิ่งฮวนกลืนน้ำลายลงคอ ความเจ็บปวดที่พุ่งขึ้นมาจากลำคอทำให้เขาได้สติขึ้นมาเต็มๆ
เซี่ยงไหวจือเหล่มองรอยแยกของประตูที่เปิดออกเล็กน้อย จากนั้นจึงแกว่งถุงที่อยู่ในมือไปมา
ไม่รู้ว่าทำไมจิ่งฮวนจับสังเกตได้แล้วก็ยังไม่ยอมเปิดเผยความจริงกับเขา เซี่ยงไหวจือก็ได้แต่เล่นละครไปกับอีกฝ่าย
เขาว่า “ลู่หังเป็นไข้ ฉันเลยแวะซื้อยาลดไข้ไปให้มันด้วย ไหนๆ นายก็เป็นไข้เหมือนกัน งั้นให้นายก่อนแล้วกัน”
“…”
เป็นไข้กับผีน่ะสิ
เมื่อกี้ยังกระดี๊กระด๊าคุยกับฉันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ!
จิ่งฮวนรู้ดีว่านี่เป็นยาที่เซี่ยงไหวจือซื้อมาให้เขาโดยเฉพาะ จึงกัดฟันรับมา “ผมเกรงใจจัง ขอบคุณนะครับ”
จิ่งฮวน ให้ตายยังไงนายก็ต้องนิ่งไว้นะ นายไม่รู้อะไรทั้งนั้น
ตราบใดที่ทักษะการแสดงของนายดีพอ หมัดของเซี่ยงไหวจือก็จะไม่ทำอะไรนาย
เซี่ยงไหวจือสวมเสื้อโค้ตสีเขียวเข้ม ยิ่งเปียกฝนสีก็เข้มขึ้นไปอีก
หลังจากรู้ว่าตัวเองไม่สบายจิ่งฮวนก็ปิดหน้าต่างมิดชิด ทั้งยังดึงม่านลงเลยไม่รู้ว่าด้านนอกฝนตก
“พี่เปียกฝนเหรอครับ” จิ่งฮวนว่า “ไม่ได้เอาร่มมาเหรอ”
เจตนาเดิมของเขาคือคิดจะให้เซี่ยงไหวจือยืมร่มสักคัน แต่ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกอีกฝ่ายตัดบทซะก่อน
“อืม” เซี่ยงไหวจือพูด “ขอยืมห้องหลบฝนก่อนได้ไหม”
จิ่งฮวน “…” เวร!!!
ชั่วขณะนั้นจิ่งฮวนถึงกับขนลุกซู่…
เอาไงดีล่ะ คอมพิวเตอร์เขายังเปิดยูสเซอร์เกมค้างไว้อยู่เลย จะทำยังไงดี
นายจะให้ฉันแสดงยังไงวะ ต่อให้ดาราออสการ์มาอยู่นี่ก็เล่นละครต่อไปไม่ได้หรอก!!!
ปฏิเสธไปเถอะ ไล่ออกไปเลย!
บอกไปว่าตอนนี้ป่วยจนรู้สึกไม่ดี! บอกไปว่าห้องสกปรกให้ใครเห็นไม่ได้! บอกไปว่าอยู่กับคนอื่นไม่สะดวกรับแขก!
เซี่ยงไหวจือถาม “ไม่ได้เหรอ”
“…” จิ่งฮวนหัวใจเต้นตุบๆๆ แต่ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง จากนั้นจึงเปิดประตูออกช้าๆ เหมือนกำลังแง้มโลงศพตัวเอง “ได้ครับ ได้อยู่แล้ว”
ทันทีที่เซี่ยงไหวจือก้าวเข้าไปก็มองเห็นชั้นวางรองเท้าที่สูงจนถึงเอวของเขา ด้านในทุกชั้นอัดแน่นไปด้วยรองเท้าผ้าใบ แต่ละคู่ราคาไม่ใช่ถูกๆ เลย
เป็นธรรมดาที่ผู้ชายจะรกไม่เรียบร้อยมากกว่าผู้หญิง บนพื้นบริเวณโถงทางเข้าด้านหน้ายังมีรองเท้าวางระเกะระกะอยู่ด้านข้างอีกสองสามคู่ ถึงอย่างนั้นแม้จะดูรกรุงรังแต่ในอากาศไม่มีกลิ่นแปลกๆ เลย
จิ่งฮวนอยากเอาสลิปเปอร์สักคู่มาให้เซี่ยงไหวจือ แต่ก้มหน้าหาอยู่นานถึงคิดได้ว่าในบ้านของตัวเองมีสลิปเปอร์แค่คู่เดียวเท่านั้น
ดังนั้นเขาเลยถอดสลิปเปอร์ออก “อันนี้เป็นสลิปเปอร์ของผม พี่ทนๆ ใส่ไปก่อนแล้วกัน”
“ไม่ต้องหรอก นายใส่เองดีกว่า” สายตาของเซี่ยงไหวจือยังคงจับจ้องอยู่ที่ชั้นรองเท้าและแกล้งถามเหมือนไม่ได้สนใจ “นายชอบรองเท้าบาสมากเหรอ”
คำตอบแล่นมาถึงริมฝีปาก แต่ถูกจิ่งฮวนฝืนกลืนกลับเข้าไปอีกครั้ง
เขายืนอยู่กับที่พร้อมแผ่นหลังเหยียดเกร็ง
เดี๋ยวก่อนนะ…
ก่อนหน้านี้เขาสร้างเรื่องว่าเป็นสาวน้อยผู้น่าสงสารที่พ่อแม่หย่าร้างและมีชีวิตอยู่อย่างยากจนข้นแค้นใช่ไหม
เซี่ยงไหวจือพิจารณาอยู่สักพักก็เข้าใจ
รองเท้าที่วางอยู่ในชั้นบนสุดของตู้มีราคาแพงที่สุด ส่วนคู่ถูกๆ ก็จะอยู่ด้านล่างสุด คู่ที่วางเอาไว้ข้างนอกก็แพงแสดงว่าเป็นคู่ที่ใส่บ่อยๆ
ใบหูของจิ่งฮวนร้อนผ่าวขณะเค้นประโยคหนึ่งออกมา “พวกนี้เป็นของก๊อปเกรดเอครับ”
เซี่ยงไหวจือถาม “คุณลุงคุณป้ายอมให้นายใส่ของก๊อปด้วยเหรอ”
“…” เขาลืมไปว่าเซี่ยงไหวจือเคยเจอพ่อแม่เขามาก่อน
จิ่งฮวนรู้สึกหนาวขึ้นมาอีกหลายส่วน เขาอยากกลบเกลื่อนคำโกหกแต่ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เนียน
เซี่ยงไหวจือยิ้มมุมปากเล็กน้อยจนมองไม่เห็นแต่ก็ไม่ได้แกล้งเขาต่อ “ไปกินยาก่อนเถอะ”
น้ำร้อนที่จิ่งฮวนต้มเอาไว้ก่อนหน้านี้แทบจะมองเห็นก้นหม้ออยู่แล้ว เขารินน้ำให้เซี่ยงไหวจือแก้วหนึ่ง เมื่อเดินออกจากห้องครัวก็เห็นอีกฝ่ายนั่งอยู่บนโซฟาโดยที่สายตาจับจ้องไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขา
จิ่งฮวนแทบจะถือแก้วน้ำเอาไว้ไม่อยู่
ซวยแล้ว
ทำไมตอนแรกเขาถึงต้องเห็นแก่ความสบายจนเช่าบ้านที่ไม่มีห้องนอนด้วยนะ
บ้านที่จิ่งฮวนเช่ามีห้องแยกแค่ห้องน้ำกับห้องครัวเท่านั้น ดังนั้นทั้งเตียง โซฟา และโต๊ะจึงอยู่ในห้องนั่งเล่นทั้งหมด ดูปลอดโปร่งสะดวกสบาย เป็นห้องแบบที่เขาชอบและเหมาะที่จะอยู่คนเดียว
แต่ตอนนี้เขากลับนึกย้อนเสียใจ เสียใจสุดๆ ไปเลย
เขาบังคับตัวเองให้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนจะเอาแก้วไปวางตรงหน้าเซี่ยงไหวจือ
“พี่เพิ่งเปียกฝนมา กินน้ำร้อนสักหน่อยสิครับ…”
“นายเล่น Nine Heroes ด้วยเหรอ”
บรรยากาศเงียบสนิท ลมหายใจของจิ่งฮวนถี่กระชั้นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“ก็เล่นไปงั้นๆ แหละครับ” ทันใดนั้นจิ่งฮวนก็ไอออกมาสองสามครั้งแล้วหยิบยาที่อยู่บนโต๊ะเพื่อบังคับให้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ยาพวกนี้ต้องกินครั้งละกี่เม็ดเหรอครับ”
เซี่ยงไหวจือเบนสายตากลับมา เขาหยิบกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กๆ อันหนึ่งออกมาจากถุงพลาสติก เมื่อเปิดออกก็พบว่ามันเป็นเครื่องวัดอุณหภูมิผ่านทางช่องหู
จิ่งฮวนเอื้อมมือไปหยุดเขา “ไม่ต้องแกะหรอกครับ อันนี้…” ผมก็มี
…?
จิ่งฮวน นายกำลังทำอะไรอยู่ เครื่องวัดอุณหภูมิของนายมันวัดอุณหภูมิไม่ได้นะ!!
เซี่ยงไหวจือช้อนตาขึ้น “หืม?”
“เอ่อ…” จิ่งฮวนคิดถึงคำโกหกสมัยประถมของตนเองก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆ “ผมใช้ไม่เป็น”
เซี่ยงไหวจือไม่ได้พูดอะไร เขาโยนคู่มือไปด้านข้าง ก่อนจะหยิบเครื่องวัดอุณหภูมิทางช่องหูที่สวมฝาครอบหูเรียบร้อยแล้วหันกลับมา จากนั้นจึงยกมือขึ้นจับใบหูของจิ่งฮวน
ปลายนิ้วของเขายังคงเย็นเฉียบ จิ่งฮวนรู้สึกชาวาบที่ใบหูจึงคิดจะหลบโดยไม่รู้ตัว
เซี่ยงไหวจือเอื้อมมือไปกดคออีกฝ่ายไว้
“อย่าขยับ” เขาถือเครื่องวัดอุณหภูมิเอาไว้ หลังจากมั่นใจว่ามันสามารถใช้ได้แล้วเขาก็สอดปลายด้านหน้าเข้าไปในหูของจิ่งฮวน
จิ่งฮวนนั่งอึ้งอยู่บนโซฟา จู่ๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะเอามือเท้าไปวางไว้ตรงไหนดี
ตั้งแต่เล็กจนโตถึงจิ่งฮวนจะไม่ใช่พวกขาใหญ่ แต่เขาก็นับว่าเป็นเสี่ยวป้าหวัง ในช่วงวัยต่อต้านถ้าเขาไม่ยั่วโมโหคนอื่น คนอื่นก็ไม่กล้ามาหาเรื่องเขา ไม่ว่าจะเป็นการต่อยตีหรือการสอบ เขาก็ไม่เคยหวาดหวั่นมาก่อน
ทว่าตอนนี้เวลานี้เขากลับรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวจนเอาไปทอดไข่ดาวได้เลย
บ้าเอ๊ย นี่คือค่าตอบแทนของการโกหกสินะ!
ฉันผิดไปแล้ว ต่อไปฉันไม่กล้าอีกแล้ว
เครื่องวัดอุณหภูมิน่าจะวางอยู่ในหูของเขาเพียงแค่สิบวินาทีเท่านั้น แต่ต่อให้น้อยกว่านี้จิ่งฮวนก็ยังรู้สึกว่ามันยาวนานยิ่งกว่าการสอบข้าราชการร้อยนาทีซะอีก จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของคนข้างกายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“สามสิบแปดจุดเก้า”
จิ่งฮวนตกใจ “สูงขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
เซี่ยงไหวจือหลุบตาลง
เมื่อสบตากันม่านตาของจิ่งฮวนก็สั่นไหวเล็กน้อย ภายในใจก็รู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา
“ผมวัดตอนตื่นยังไม่ถึงสามสิบแปดเลยนะครับ” จิ่งฮวนละสายตาไป “จริงๆ นะ”
เซี่ยงไหวจือโยนที่ครอบหูลงถังขยะก่อนเปิดกล่องยา
“อันนี้กินตอนไข้ขึ้นครั้งละสองเม็ด” นิ้วมือเรียวยาวของเซี่ยงไหวจือหยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากในถุงพลางพูดไปด้วย “อันนี้กินทุกวัน วันละสองครั้ง ครั้งละหนึ่งเม็ด”
จิ่งฮวนจ้องมองนิ้วมือของเขา มือของเซี่ยงไหวจือสวยมากจริงๆ ขนาดผู้ชายอย่างเขายังคิดแบบนี้เลย มันทั้งยาวทั้งตรง
“อันนี้…” เซี่ยงไหวจือเหลือบมองเขา “นายยังฟังอยู่หรือเปล่า”
จิ่งฮวนได้สติกลับมา “ครับ!”
กระทั่งกินยาเข้าไปแล้วจิ่งฮวนถึงได้รู้สึกว่าท่าทางที่ตัวเองแสดงออกไปเมื่อกี้นี้มันค่อนข้างเยอะไปหน่อย
ตั้งแต่จำความได้เขาก็ไม่เคยให้ใครมาคอยดูแลเขากินยาอีกเลย
พอเห็นเขากินยาเสร็จเซี่ยงไหวจือก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาเช็ดปอยผมบนหน้าผากของเขาลวกๆ
จิ่งฮวนถึงเพิ่งจะตระหนักได้ “เดี๋ยวผมไปเอาผ้าขนหนูมาให้พี่นะ”
“ไม่ต้องหรอก นี่ก็แห้งไปประมาณนึงแล้ว”
สายฝนที่อยู่ด้านนอกค่อยๆ แรงขึ้น เม็ดฝนกระทบลงบนกระจกจนเกิดเสียงเปาะแปะดังชัดเจน
จิ่งฮวนกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จู่ๆ โทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้นมา
เขาปลดล็อกหน้าจอดูก็พบว่าเป็นการโทรจากวีแชต
มาจากชิวเฟิง
ทั้งสองคนอึ้งไป คราวนี้จิ่งฮวนมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วมาก เขารีบตัดสายนั้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังไม่ทันการ
ซวย!
นี่มันคือการฉวยโอกาสเอาชีวิตกันตอนที่กำลังล้มป่วยเหมือนในนิยายสินะ!!!
ชิวเฟิง ?
ชิวเฟิง ได้ของที่สั่งหรือยัง AFK ถึงเวลาแล้วนะ เธอกลับมากดใหม่อีกรอบสิ
การ AFK ใน Nine Heroes จะมีการจำกัดจำนวนรอบการโจมตี ถ้าโจมตีเกินสี่สิบรอบจะต้องกดปุ่ม AFK อีกรอบไม่อย่างนั้นตัวละครจะยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
“ของที่สั่ง?” เซี่ยงไหวจือเลิกคิ้วดูเป็นธรรมชาติมาก
“อืม ผมสั่งยาน่ะครับ แต่ตอนนี้ยังไม่มาเลย…”
จิ่งฮวนพิมพ์ข้อความท้าสายตาแผดเผาจากทางด้านขวา
เสี่ยวจิ่งยา นายเตะฉันออกเลย!
ชิวเฟิง อา ไม่เป็นไร เธอจะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ฉันจะ AFK รอเธอ ยังไงอีก 10 นาทีมอนสเตอร์ในป่าก็คงถูกฆ่าหมดแล้ว พวกมันคงยังไม่เกิดใหม่หรอก
เสี่ยวจิ่งยา นายอย่ารอฉันเลย!
เสี่ยวจิ่งยา เตะฉันออกไปเถอะ!
วันนี้ฉันคงกลับไปเล่นไม่ได้แล้ว
ชิวเฟิง เธอเป็นอะไรหรือเปล่า O.O
ชิวเฟิง ไม่ต้องห่วง เมื่อกี้ฉันเพิ่งไปดูมา หัวใจเพรียกหา AFK อยู่ในเเดนเซียนเผิงไหล เขาจับพวกเราไม่ได้หรอก [กะพริบตา] [เขิน]
ฮัลโหล?
ระหว่างเรามีเรื่องอะไรให้เซี่ยงไหวจือต้องมาจับด้วยเหรอ
ฉันไปทำอะไรให้นายโกรธแค้นไม่ทราบ ถึงต้องมาแก้แค้นฉันแบบนี้???
จิ่งฮวนไม่อยากแม้แต่จะตอบเลยล็อกหน้าจอไปทันที
เซี่ยงไหวจือมองดูเนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบก่อนจะเอ่ยถาม “กำลังทำภารกิจอะไรอยู่เหรอ”
“…” จิ่งฮวนปิดเสียงโทรศัพท์ “เคลียร์แผนที่ป่าครับ”
พูดจบเขาก็เสริมอีกประโยค “เคลียร์แบบเป็นทีมน่ะครับ ผมฆ่ามอนสเตอร์ไม่ได้ พอดีเจอคนในกิลด์ก็เลยไปเข้าตี้ด้วย”
เซี่ยงไหวจือถาม “ไม่ไปกด AFK อัตโนมัติเหรอ”
จิ่งฮวนส่ายหน้า “AFK ได้แค่สี่สิบรอบ ยุ่งยากเกินไป…อีกอย่างเดี๋ยวผมว่าจะพักผ่อนแล้ว เลิกเล่นก่อนดีกว่า”
หน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้นมาอีกครั้ง ด้านบนล้วนเป็นข้อความของชิวเฟิง
ชิวเฟิง ล้อเล่นน่า ฮ่าๆ
ชิวเฟิง ไม่งั้นเธอเอาไอดีมาให้ฉันสิ เดี๋ยวฉันช่วยเธอตีเอง
ชิวเฟิง เธออยากได้วัตถุดิบอะไรล่ะ ฉันจะได้ดูให้ว่าฉันมีเยอะหรือเปล่า
ฉันไม่ต้องการอะไรแล้วโว้ย ไสหัวไป๊!
จิ่งฮวนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เลยเอื้อมมือไปวางโทรศัพท์คว่ำหน้าไว้บนโต๊ะ
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากพูด คนที่อยู่ข้างๆ ผุดลุกขึ้นยืน
“ถึงฉันจะไม่ได้เล่นมานานแล้วแต่ก็ยัง AFK เป็นนะ” เซี่ยงไหวจือพูด “ไม่เป็นไร นายไปนอนเถอะ เดี๋ยวฉันเคลียร์ให้นายเอง”
จิ่งฮวนเบิกตาโพลง เขานึกอยากจะคว้าเสื้อเซี่ยงไหวจือเพื่อหยุดอีกฝ่ายไว้โดยสัญชาตญาณแต่ก็หยุดไม่ทัน เซี่ยงไหวจือขายาวมาก เดินไปแค่สองก้าวก็ถึงหน้าคอมพิวเตอร์ของเขาแล้ว อีกฝ่ายขยับเม้าส์ไปมา ภาพพักหน้าจอที่ปรากฏอยู่บนคอมพิวเตอร์ก็หายไปทันที
เซี่ยงไหวจือประคองเม้าส์ของเขาเอาไว้แล้วเปิดโหมด AFK ด้วยความชำนาญ “นายเล่นไอดีผู้หญิงเหรอ”
“…” จิ่งฮวนพูดด้วยความเศร้า “ไอเทมไอดีผู้ชายแพงไป เล่นไอดีผู้หญิงประหยัดกว่า…”
สายตาของเซี่ยงไหวจือมองลงไปด้านล่าง ทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงร้อง “อ้อ” ขึ้นมาเบาๆ “แถมยังแต่งงานแล้วด้วย”
จิ่งฮวนยู่หน้า “อืม ก็…”
เขาติดอ่างอยู่นานแต่ก็คิดคำแก้ตัวที่สมเหตุสมผลไม่ออกสักอย่าง ดังนั้นเขาจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นเดินมาที่ด้านหลังเซี่ยงไหวจือ “เดี๋ยวผมทำเอง ไม่รบกวนพี่ดีกว่า”
ขณะนั้นเสียงชิวเฟิงก็ดังออกมาจากลำโพง
ชิวเฟิงส่งเสียงร้อง “เอ๋? เสี่ยวจิ่งจิ่งกลับมาแล้วเหรอ”
ชิวเฟิงใช้การ์ดเสียงซึ่งเป็นเสียงผู้ชายเจ้าชู้ตามมาตรฐานทั่วไป คำว่า ‘เสี่ยวจิ่งจิ่ง’ ที่พูดออกมาจากปากของเขาจึงแตกต่างจากที่ถนนยาวไกลพูดอย่างสิ้นเชิง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้ที่จิ่งฮวนรู้สึกอึดอัดในการใส่หูฟัง เขาเลยเชื่อมต่อลำโพง ประสิทธิภาพของมันก็เลยยิ่งชัดเจนเข้าไปอีก
หนังตาของจิ่งฮวนกระตุกเบาๆ
ขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรสักอย่างก็เห็นเซี่ยงไหวจือกด F5 ไปทันที…มันคือปุ่มพูดในเกมนั้นเอง
จิ่งฮวนตัวชาวาบ เขารีบก้มลงไปปิดไมค์ของตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยไม่แม้แต่จะคิดก่อนที่จะพูดขึ้นมา “อย่านะ พี่ชาย…”
ฉันเปิดโปรแกรมแปลงเสียงเอาไว้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์!!!
ถึงฉันจะทำตัวหน้าไม่อาย แต่ฉันจะปล่อยให้นายขายหน้าไปกับฉันไม่ได้เด็ดขาด!!!
การกระทำของเซี่ยงไหวจือหยุดชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขา
เมื่อเห็นว่าเขาปล่อยปุ่ม F5 ไปแล้ว จิ่งฮวนก็พรูลมหายใจตามไปด้วย “พี่ชาย ไมค์ของผม…”
เซี่ยงไหวจือถาม “รู้จักเรียกพี่ชายด้วยเหรอ”
จิ่งฮวน “…”
ฮะ เดี๋ยวนะ นี่ฉันเพิ่งเรียกว่าพี่ชายออกไปเรอะ
จิ่งฮวนอึ้งไปทันทีก่อนจะค่อยๆ หวนคิด
“ผมว่าจู่ๆ ผมคงพูดติดอ่างน่ะ” จิ่งฮวนกะพริบตาปริบๆ “พี่เชื่อไหม”
เซี่ยงไหวจือเลิกคิ้วใส่เขาเงียบๆ
“งั้นก็ได้” จิ่งฮวนก้มหน้าดิ้นรนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่สองวินาทีก็ถอดใจ
เขาเล่นละครต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ
“พูดต่อสิ” เซี่ยงไหวจือถือขาตั้งไมโครโฟนพลางถาม “ไมค์นี่มันเป็นอะไร”
“ก็…เปิดแล้ว…นั่นน่ะ”
“นั่นอะไรล่ะ”
จิ่งฮวนพูดออกมาทีละคำอย่างยากลำบาก “เครื่อง…แปลงเสียง”
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ จะเหลือก็แต่เสียงระบายความร้อนของคอมพิวเตอร์ที่ดังหึ่งๆ
จิ่งฮวนอับอายจนแทบระเบิด แต่นี่เป็นความตายที่เขาทำตัวเอง คงโทษใครไม่ได้ เขากลืนน้ำลายลงคอพลางกำชายเสื้อแน่น “ขอโทษครับ พี่…พี่ต่อยผมเหอะ!”
เซี่ยงไหวจือรู้สึกขบขันกับท่าทางยอมรับความตายของเขา แต่บนใบหน้าของเจ้าตัวกลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา
เขาครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเลื่อนไมโครโฟนออกไปไกลๆ แล้วลุกขึ้นพูด “อืม นายหลับตาสิ”
จิ่งฮวนหัวใจหล่นวูบ จากนั้นก็ยอมหลับตาลงอย่างยอมรับชะตากรรม
เขากัดฟันรอคอยหมัด เมื่อเบื้องหน้ามืดมิดลงความรู้สึกทั้งหมดก็ประเดประดังเข้ามา ทั้งอับอาย ตื่นตกใจ หวาดกลัว…รวมทั้งความเสียใจ
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังเสียใจเรื่องอะไร เขาไม่ได้กลัวถูกต่อยแต่เพียงคิดว่าคนที่กำลังจะต่อยเขาคือเซี่ยงไหวจือ…เขาก็รู้สึกอึดอัดสุดๆ
รออยู่สิบวินาทีก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ จิ่งฮวนรอจนรู้สึกร้อนรนเล็กน้อย เหมือนมีมีดจ่ออยู่บนศีรษะของเขา จะแทงก็ไม่แทงลงมาจนรู้สึกอึดอัดไปหมด
เขาทนไม่ไหวจนนึกอยากลืมตามอง แต่หนังตาของเขายังไม่ทันเปิดขึ้นความอุ่นร้อนก็ประทับลงบนแก้มของเขาซะแล้ว
เป็นฝ่ามือของชายหนุ่มที่ปัดผ่านใบหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา แรงเท่านี้อย่าว่าแต่ตีเลย มันไม่นับว่าเป็นการตบด้วยซ้ำ…ถ้าจะให้อธิบายจริงๆ คงต้องบอกว่าเป็นการลูบ หรือไม่ก็เป็นการทำ ‘ด้วยความทะนุถนอม’
ตอนเด็กๆ พ่อเขามักจะลูบผมของเขาแบบนี้บ่อยๆ จิ่งฮวนคิดว่าที่เซี่ยงไหวจือทำในตอนนี้เหมือนจะมีอะไรมากกว่าพ่อเขาอยู่นิดหน่อย แต่อะไรที่มากกว่านั้นเขาเองก็บอกไม่ถูก
เขารู้แค่ว่าตอนนี้หัวใจของตัวเองเต้นแรงอย่างกับกลองรัว มันดังยิ่งกว่าเสียงสายฝนด้านนอกนั่น ดังจนเหมือนจะได้ยินไปทั้งโลกอย่างไรอย่างนั้น
“เอาล่ะ ลืมตาได้” เซี่ยงไหวจือพูด
จิ่งฮวนลืมตาขึ้นมาช้าๆ ลึกลงไปในดวงตาฉายแววงุนงง
แค่นี้เนี่ยนะ
จบแล้วเหรอ
จิ่งฮวนยืนอยู่ที่เดิมอย่างไม่อยากเชื่อและสงสัยนิดๆ ว่าตัวเองคงกำลังฝันไป
เซี่ยงไหวจือนั่งลงบนเก้าอี้ ในเกมชิวเฟิงยังคงส่งข้อความมาในกล่องแชตเพื่อถามว่าจิ่งฮวนปิดไมค์หรือเปล่า ทำไมไม่พูดอะไรออกมาเลย
เซี่ยงไหวจือกวาดตามองเนื้อหาบทสนทนาก่อนจะถามคนข้างๆ “ออกจากตี้ได้ไหม ไม่อยากเห็นเขาพูดพล่ามไร้สาระ”
จิ่งฮวนถูกเรียกสติกลับมาจึงตอบไปโดยไม่แม้แต่จะคิด “ได้ครับ”
เอาตามที่พี่สบายใจเลย
หรือพี่จะให้ผมเปิดโหมด PK กับหมอนั่นก็ได้
* เสี่ยวป้าหวัง เป็นฉายาของพระเจ้าซุนเซ็ก กษัตริย์ในยุคสามก๊ก เป็นแม่ทัพที่มีจิตใจห้าวหาญ ไม่กลัวใคร
** ฟาร์ม หมายถึงการเก็บเงินหรือเก็บเลเวลจากการตีมอนสเตอร์หรือเล่นโหมดง่ายๆ
**หมายเหตุ : ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบู
—
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 ก.ย. 65
Comments
comments
No tags for this post.