X
    Categories: everYI Can Do It ใครไม่ไหว ฉันลุยเอง!ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน I Can Do It ใครไม่ไหว ฉันลุยเอง! เล่ม 4 บทที่ 114-115 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง I Can Do It ใครไม่ไหว ฉันลุยเองเล่ม 4

ผู้เขียน : 酱子贝 (Jiang Zi Bei)

แปลโดย : หมั่งสีโสว ซื่อเก้เหล้าก้าย

ผลงานเรื่อง : 我行让我来〔电竞〕 (Wo Xing Rang Wo Lai (Dian Jing))

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 ** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

114

หยวนเชียนสูดจมูกรอเพื่อนร่วมทีมกอดกันอยู่ด้านข้าง

เขามองซ้ายมองขวาแต่สองคนตรงหน้ากลับไม่มีความคิดจะปล่อยมือจากกัน เขาเดินไปเดินมาอย่างทำตัวไม่ถูกอยู่ครู่หนึ่ง ความคิดที่ว่า ‘กอดนานเกินไปหรือเปล่า’ เพิ่งผุดขึ้นมาก็ถูกพี่ติงที่พุ่งมาจากด้านล่างเวทีกอดเอาไว้แล้ว

หลังการแข่งขันสิ้นสุดกล้องตกเป็นของผู้ชนะอยู่ตลอด ฉากนี้ถูกตากล้องจับภาพเอาไว้ทั้งหมดจากทุกทิศทาง

ซับกระสุนในการถ่ายทอดสดฟลัดคำว่า ‘TTC สุดยอด’ ครู่หนึ่ง จากนั้นถูกฉากนี้ทำให้เบี่ยงเบนไป…

 

[ชอตแย่งบารอนของเทพลู่ฉันดูจนท้องเลยว้ายยย…]

[Savior ร้องไห้แล้ว น่าสงสารมากเลย ฮือๆ T-T อย่าร้องไห้ PUD ปีหน้าพวกเราเอาใหม่! และขอแสดงความยินดีกับ TTC!]

[Soft จะไปฝัง rish ที่เกาหลีจริงๆ แล้ว…]

[กอดกันหนึ่งนาทียี่สิบวินาทีแล้วนะ พอได้แล้ว]

[ทำไมล่ะๆ เสี่ยวไป๋นายคิดรัดคอ Pine ให้ตายเหรอ!]

[เชี่ย! มือของ Road วางอยู่บนก้นลูกชายฉัน!]

[Soft แทบกำเสื้อสามีฉันจนขาดแล้ว…]

[จากแฟนคลับแท้ๆ เพราะปีนี้ลูกชายติดตามการแข่งขัน LoL เป็นครั้งแรก อยากถามหน่อยว่าเมื่อก่อนตอนที่ทีมคว้าแชมป์ก็กอดแบบนี้เหรอ ฉันกับสามีฉันยังไม่เคยกอดกันแน่นขนาดนี้เลย]

[พี่เชียนคือผู้ชนะในชีวิตที่มีแฟนสาวเพียงคนเดียวในทีมไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ดูแล้วน่าสงสารกว่าคนโสดซะอีก ฮ่าๆๆๆๆๆๆ]

 

สุดท้ายเป็นเพราะพี่ติงตบไหล่ของพวกเขาให้ไปรับถ้วยรางวัล เจี่ยนหรงจึงผละออกมา

ใบหน้าของเจี่ยนหรงแดงเพราะความตื่นเต้น ดวงตาลุกวาวและยังเลียริมฝีปากหลายครั้งระหว่างทางที่ไปกลางเวที

พวกเขาทั้งห้าคนยืนล้อมถ้วยรางวัลเอาไว้ ชูถ้วยรางวัลขึ้นพร้อมกันท่ามกลางเสียงกรี๊ดเสียงตะโกนนับไม่ถ้วนของผู้ชมและเสียงของพิธีกร

หลังจากนั้นเขาลงเวทีอย่างไร กอดกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นอย่างไร ยัดอุปกรณ์ต่อพ่วงเข้ากระเป๋าอย่างไร…เจี่ยนหรงจำได้ไม่ชัดแล้ว เขารู้สึกว่ามีชั่วขณะหนึ่งที่ตนเองลอยอยู่ จนเมื่อนั่งลงบนที่นั่งสัมภาษณ์หลังการแข่งขัน เขาจึงถูกแสงแฟลชที่เบื้องหน้าดึงสติกลับมา

พวกเขาทั้งห้าคนนั่งเรียงแถวเป็นหน้ากระดาน เป็นทางการเหมือนงานแถลงข่าวหลังการแข่งขันของ NBA หรือฟุตบอลโลก

“ทำไมงานการแข่งขันฤดูใบไม้ผลิปีนี้ใหญ่ขนาดนี้” หยวนเชียนประหลาดใจ “นี่คืองานแบบการแข่งขันระดับโลกปีที่แล้วเชียวนะ”

“อย่าถามเลย คำตอบก็คือ LPL มีมูลค่าทางธุรกิจมากขึ้นทุกปี” พี่ติงยิ้มน้อยๆ ให้บรรดานักข่าว พูดเสียงแผ่วเบาว่า “เอาล่ะ ใกล้จะเริ่มแล้ว”

ถึงแม้รูปแบบงานจะใหญ่กว่าเดิม แต่ไปๆ มาๆ คำถามก็มีแค่ไม่กี่คำถามเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นด้านการแข่งขันปะปนกับคำถามส่วนตัวไม่กี่คำถาม

สมาชิกของ TTC ต่างกร้านโลกแล้ว แม้แต่ Pine ก็เคยแข่งระดับโลกมาสองครั้ง พวกเขาล้วนมีทักษะในการตอบคำถาม แต่เพราะพื้นฐานที่เป็นเด็กติดเกมกลุ่มหนึ่ง การพูดคุยแบบประจันหน้ากับนักข่าวนั้นไม่ได้มีอิสระเหมือนเปิดสตรีมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างพูดน้อย แม้แต่เสี่ยวไป๋ก็เพียงแค่ตอบคำถามตามมาตรฐานเสร็จก็ไม่พูดอะไรแล้ว

เมื่อถึงตาลู่ป๋อหยวน นักข่าวถามว่า “ในฐานะรุ่นพี่ คุณรู้สึกว่าถัวถัวจังเกิ้ลคนใหม่ของ PUD แสดงผลงานเป็นยังไงบ้างคะ”

ลู่ป๋อหยวนพูดอย่างรวบรัดตัดความ “ไม่เลวครับ”

“เทียบกับ XIU คู่ปรับเก่าของคุณล่ะคะ”

“ต่างกันนิดหน่อย” ลู่ป๋อหยวนพูดอย่างเฉยชา “แต่ถ้าเขายังเอาแต่ส่งข้อความมารบกวนผมทุกวันจนไม่เป็นอันทำงานอีก ไม่นานคงถูกคนใหม่แทนที่แล้วมั้งครับ”

นักข่าวทนไม่ไหวหัวเราะพรืดออกมา จากนั้นเธอก็ดึงกลับเข้าคำถาม “โอเคค่ะ…งั้นคำถามสุดท้าย ความจริงแฟนคลับสนใจความรักของคุณมาก ถือโอกาสที่วันนี้มีความสุขช่วยเปิดเผยให้ทุกคนฟังหน่อยได้มั้ยคะ”

ลู่ป๋อหยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย ก่อนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

ขณะที่นักข่าวคิดว่าเขาคงไม่ตอบแล้ว กำลังคิดจะบอกว่า ‘ไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไรค่ะ’ นั้นเอง…

“เขาผมสั้น” ลู่ป๋อหยวนชะงักสองวินาทีแล้วพูดเสริม “แถมยังย้อมสีผม”

ในสนามเงียบสงัดหลายวินาที มีเพียงแสงแฟลชที่สว่างอย่างต่อเนื่อง

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาประหลาดใจของเพื่อนร่วมทีมอีกหลายคน และแววตาที่มีน้ำตาในรอยยิ้มของพี่ติง ลู่ป๋อหยวนเลยส่งเสียงเตือนอย่างเฉยชา “ผมพูดจบแล้ว”

นักข่าว “อ๊ะ…โอเคค่ะ…ขอบคุณค่ะ”

กล้องเคลื่อนไปทางขวาอีก…

มิดเลนผมสั้นสีฟ้าของ TTC ปรากฏตัวในกล้อง

นักข่าว “…”

เจี่ยนหรง “…”

ผู้ชมที่กำลังดูการถ่ายทอดสดรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ถูกต้อง “…?”

พี่ติงฝืนยิ้ม “หวังว่าทุกคนจะถามคำถามที่เกี่ยวกับการแข่งขันสักหน่อยนะครับ”

นักข่าวพยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ ถามคำถามที่ค่อนข้างปกติทั่วไปอีกหลายคำถาม

สองมือของเจี่ยนหรงกุมอยู่ตรงท้องน้อย พูดตามที่พี่ติงสอนก่อนหน้านี้โดยไม่มีข้อผิดพลาดอะไร

พอถึงตอนสุดท้ายนักข่าวถามว่า “คุณกับเพื่อนร่วมทีมกำลังจะเป็นตัวแทน LPL กรีธาทัพสู่การแข่งขันกลางฤดูของปีนี้ และเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันระดับนานาชาติขนาดใหญ่ครั้งแรกของคุณ รู้สึกตื่นเต้นมั้ยคะ”

เจี่ยนหรงตอบว่า “ไม่ครับ”

“มีทีมหรือนักแข่งที่ค่อนข้างกลัวมั้ยคะ อย่างเช่น Master มิดเลนที่ตอนนี้ถูกเรียกขานว่าเป็นอันดับหนึ่งของโลกจากทีม HT…”

“ไม่มีครับ ถึงผมจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนประเมินมิดเลนอันดับหนึ่งของโลก…” เจี่ยนหรงขัดจังหวะเธอ สายตาที่มองไปยังกล้องสงบเยือกเย็น “แต่อีกไม่นานคนคนนั้นก็จะต้องเปลี่ยนมุมมองของตัวเองแล้ว”

 

เสร็จสิ้นกระบวนการซับซ้อนมากมาย หนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังการแข่งขันสิ้นสุด TTC ก็ได้นั่งอยู่บนรถที่กำลังขับกลับโรงแรมในที่สุด

แม้จะแข่งไปสี่เกมแถมวันนี้ยังตื่นเช้า แต่หลังคว้าแชมป์มาได้กลับไม่มีใครรู้สึกเหนื่อย ต่างตื่นเต้นจนแทบเลี้ยวรถกลับสเตเดี้ยมไปแข่ง Bo5 อีกสักแมตช์

สถานที่จัดงานเลี้ยงฉลองคือห้องส่วนตัวของโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง พี่ฟู่จองไว้ตั้งแต่วันที่การแข่งขันรอบรองชนะเลิศสิ้นสุด ตามคำพูดของเขาในตอนนั้นถ้าคืนนี้ชนะคืองานเลี้ยงฉลองความสำเร็จในการคว้าแชมป์ ถ้าแพ้ก็คืองานเลี้ยงฉลองความสำเร็จรองแชมป์

พอกลับถึงโรงแรมและอาบน้ำเรียบร้อย ทุกคนจึงเดินไปที่ห้องอาหาร

เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ง่วงหลังกินข้าว นอกจากเจี่ยนหรงที่มีประวัติน้ำตาลในเลือดต่ำเลยกินขนมปังไปหลายแผ่นแล้ว วันนี้คนอื่นๆ ต่างไม่ได้กินอะไร ดังนั้นพออาหารมาเสิร์ฟทุกคนจึงก้มหน้ากินพริกเคล้ากับแอลกอฮอล์อย่างบ้าคลั่ง

“พวกนายลองบอกมาว่านี่มันเรื่องอะไร…” หยวนเชียนยกมือถือของตัวเองเอาไว้ ใบหน้าเขาแดงเพราะความเผ็ด “ช่องการค้นหายอดนิยม TTC คว้าแชมป์ครั้งแรก SoftRoad กอดกันครั้งที่สอง ByePine กอดกันครั้งที่แปด หยวนเชียนไม่มีคนกอดครั้งที่เก้า…นี่แม่ง…”

เสี่ยวไป๋จับจุดสำคัญได้อย่างแม่นยำ “ทำไมลำดับของผมกับ Pine อยู่ด้านล่างพวกพี่ชาย!”

ลู่ป๋อหยวนมองไปยังพี่ติง “ทีมของพวกเราเหมาการค้นหายอดนิยมของเวยป๋อรายปี?”

พี่ติงพูดในใจว่า ต่อให้ฉันจ่ายเงินจริงก็ไม่มีทางให้เพื่อนร่วมทีมสี่คนของตัวเองขึ้นไปขายความวายในการค้นหายอดนิยม

“นี่ก็คือความนิยมของ LPL ในตอนนี้” พี่ติงดื่มเหล้าขาวหนึ่งอึก เริ่มเมาเล็กน้อยแล้ว “ดังนั้นพวกนายลองดู…ลองดูรอยย่นที่หางตาฉัน…มีจิตสำนึกหน่อยเถอะ อย่าก่อเรื่องให้ฉันไม่เว้นวัน”

คำสั่งห้ามดื่มแอลกอฮอล์ถูกยกเลิกชั่วคราว บรรยากาศในคืนนี้ดีเหลือเกิน แม้แต่เจี่ยนหรงก็อดไม่ได้ที่จะดื่มสองแก้ว

ลู่ป๋อหยวนกำลังคิดจะบอกให้เขาดื่มน้อยลงหน่อย เสี่ยวไป๋ก็ชิงพูดตัดหน้าเขาซะก่อน “นายเลิกดื่มได้แล้ว คราวก่อนดื่มจนเป็นยังไงไม่รู้เหรอ วันนี้นายคว้าแชมป์การแข่งขันฤดูใบไม้ผลิ เกิดบ้าๆ บอๆ จนถูกแบกออกไปเหมือนคราวก่อนจะทุเรศแค่ไหน”

วิธีการชวนดื่มแบบเอาเป็นเอาตายเช่นนี้ ลู่ป๋อหยวนนับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว

หลังการเลี้ยงฉลองจบลงถึงเจี่ยนหรงไม่ได้เมาแต่ก็ไม่แตกต่างกันนัก แม้กระทั่งก้าวเดินก็โซซัดโซเซ หรี่ตาเอาไว้มองเห็นคนไม่ชัด แต่เสี่ยวไป๋หนักกว่าเล็กน้อย สภาพของเขาในตอนนี้เหมือนขณะคว้าแชมป์หมาดๆ เพราะตั้งแต่ออกจากร้านอาหารจนถึงโรงแรมล้วนกอดลำคอของ Pine ไม่ยอมปล่อยเลย

แค่กอดคอยังพอว่า แต่นี่ปากของเขาก็ยังพูดไม่หยุดอีกด้วย “ฉันฝึกดื่มเบียร์ตั้งแต่อายุสิบห้า ฉันคอแข็งโป๊ก…ฉันเคยกลัวใครที่ไหน! คราวก่อนใครกันแน่! ดื่มเหล้าขาวสองแก้วก็อ้างไปฉี่แล้ว แน่จริงก็ชนอีกสองแก้วสิ…”

เจี่ยนหรงพิงอยู่บนร่างลู่ป๋อหยวน หรี่ตาพูดว่า “มาสิ”

จากนั้นเสี่ยวไป๋ยังตามไปถึงห้องของพวกเขาจริงๆ

เขาเมาไม่ได้สติแล้ว ออกท่าออกทางเกินปกติ Pine กลัวทำเขาบาดเจ็บจึงได้แต่พยุงอยู่ด้านหลัง

ประตูห้องนอนทั้งสองห้องเปิดอยู่ เสี่ยวไป๋เดินไปยังห้องสะอาดสะอ้านตามสัญชาตญาณ หลังนอนบนเตียงจึงรู้สึกแปลกๆ ตะโกนไปด้านนอกว่า “ห้องนี้…เอิ๊ก ใครอยู่เหรอ ทำไมไม่มีกระเป๋าเดินทาง ไม่มีเสื้อผ้า…เตียงก็ไม่เคยแตะต้อง…”

ลู่ป๋อหยวนไม่ได้สนใจเขา เพียงพยุงเอวของเจี่ยนหรงเอาไว้และพูดกับ Pine ที่ตามเข้ามาว่า “รอเขาหลับแล้วค่อยพากลับไป”

Pine มองดูกระเป๋าเดินทางสองใบที่พื้นห้องนอนฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง ไม่กี่วินาทีให้หลังจึงรั้งสายตากลับมา “อืม เขาเมาแล้วหลับเร็วมาก ผมจะรอเขาที่นี่”

เดิมทีเจี่ยนหรงนอนไม่พออยู่แล้ว ยิ่งดื่มแอลกอฮอล์ก็รู้สึกปวดหัวแทบระเบิด หลังถูกลู่ป๋อหยวนวางลงบนเตียงจึงหลับตาลง

ลู่ป๋อหยวนช่วยเขาถอดถุงเท้าออก ก่อนหันกายไปซักผ้าขนหนูที่ห้องน้ำ

เจี่ยนหรงหลับไปเงียบๆ ลู่ป๋อหยวนก้มตัวลง ยกมือเสยผมตรงหน้าผากของเขาไปด้านหลังทั้งหมด ใช้ผ้าขนหนูช่วยเช็ดหน้าให้เขา ผิวของเจี่ยนหรงแดงง่าย ขณะลู่ป๋อหยวนเช็ดจึงตัดใจออกแรงไม่ลง

ขณะที่เช็ดไปถึงคาง เจี่ยนหรงก็พลันลืมตาขึ้น

นัยน์ตาของเจี่ยนหรงเป็นประกายมาก เขาเหมือนดื่มจนมึนเล็กน้อยแล้ว สบตาอยู่กับลู่ป๋อหยวนสองวินาทีค่อยจำได้ว่าเบื้องหน้าคือใคร

สายตาของเจี่ยนหรงตกตะลึงอยู่บ้าง ลู่ป๋อหยวนสบตากับเขาด้วยความตลกครู่หนึ่ง นิ้วมือแตะคางของเขา “เงยหน้า เช็ดคอหน่อย…”

เขายังไม่ทันพูดจบเจี่ยนหรงก็ยกมือขึ้นมากอดลำคอของลู่ป๋อหยวนเอาไว้ ออกแรงเล็กน้อยดึงเขาลงมา

ลู่ป๋อหยวนนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มศีรษะลงไป

เขาก้มตัวเอาไว้ มือข้างหนึ่งวางอยู่ข้างหมอนเจี่ยนหรง จูบกับเขาอย่างเงียบงันและเร่าร้อน

ตอนแรกเจี่ยนหรงเป็นฝ่ายรุกแต่เวลานี้เขารู้สึกมึนอยู่บ้าง หลังจับคนลงมาจูบแล้วกลับเฉื่อยชาลงมาก หลับตายอมให้ลู่ป๋อหยวนเป็นฝ่ายกระทำ

เจี่ยนหรงถูกจูบจนหูแดง ลู่ป๋อหยวนโยนผ้าขนหนูไปบนพรม มืออีกข้างจับข้างลำคอของเขาอย่างเบามือ นิ้วโป้งกดลงบนลูกกระเดือกของเจี่ยนหรงแล้วนวดเบาๆ สองทีเป็นบางครั้ง บอกเป็นนัยให้เขาปรับลมหายใจ

ด้านหลังถ่ายทอดเสียงแอ๊ดมาโดยไม่ทันตั้งตัวเพราะประตูถูกคนที่ด้านนอกเปิดออก

ลู่ป๋อหยวนถอยออกมาทันที

ผ่านไปประมาณสองวินาทีเขาจึงลุกขึ้นอย่างสงบนิ่ง ยื่นมือช่วยเช็ดริมฝีปากให้เจี่ยนหรงที่หลับตาไปแล้ว จากนั้นหันหน้ามองไปนอกประตู

เสี่ยวไป๋ที่คิดมาต่อสู้กับเจี่ยนหรงอีกสามร้อยเพลงรบด้วยความเมามายยังยืนโง่อยู่ที่เดิม อ้าปากเตรียมพูดครึ่งค่อนวันแต่ก็ไม่ได้ผายลมออกมา เขาจับ Pine ที่พยุงตนเองไว้แน่น มองดูลู่ป๋อหยวนก่อน แล้วค่อยมองเจี่ยนหรงที่ถูกจูบจนหลับไป

เมื่อได้มาเห็นฉากนี้ต่อให้ดื่มเหล้าขาวสิบจินก็ควรสร่างได้แล้ว

ดื่มเหล้าแล้วขวัญกล้า เสี่ยวไป๋มึนงงเนิ่นนาน สักพักถึงเอ่ยถามอย่างตะกุกตะกักราวกับลิ้นคับปาก “พี่ชาย…พี่…เขา…พวกพี่…พี่กับเจี่ยนหรงจูบปากกันเหรอ”

ลู่ป๋อหยวนพูดว่า “อืม”

เสี่ยวไป๋ “…”

115

พี่ติงจองตั๋วเครื่องบินกลับเซี่ยงไฮ้ตอนสิบเอ็ดโมงเช้า วันต่อมาคนทั้งหมดถูกพี่ติงโทรปลุกตั้งแต่เก้าโมง

เจี่ยนหรงรู้สึกว่าบนหนังตาตนเองมีตุ้มถ่วงน้ำหนักห้อยอยู่ แม้แต่ตอนแปรงฟันก็ยังหลับตาเอาไว้

หลังแปรงฟันเสร็จเขายังหลับอยู่ที่เดิมหลายนาที กระทั่งถูกโฟมยาสีฟันทำให้แสบจนทนไม่ไหวจึงก้มตัวบ้วนปาก

พอเงยหน้าก็เห็นลู่ป๋อหยวนยืนพิงอยู่ด้านข้าง มองดูตนเองด้วยสีหน้าขบขัน

เจี่ยนหรงถือแปรงสีฟันที่เพิ่งล้างสะอาดเอาไว้ “ผมจะเสร็จแล้ว”

“อืม ฉันจะไปเก็บของ”

ลู่ป๋อหยวนพูดจบก็เขยิบเข้ามาก้มหน้าจูบเขาหนึ่งที

แม้ปกติจะแอบจูบกันในแคมป์อยู่แล้ว แต่จูบตอนที่เพิ่งตื่นนอนยังคงเป็นครั้งแรก เจี่ยนหรงรักษาท่าทางถือแปรงสีฟันเอาไว้อย่างนั้น ความโกรธที่ถูกเสียงดังปลุกให้ตื่นสลายไปครึ่งหนึ่ง

ก่อนลู่ป๋อหยวนออกไปคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันหน้ามาพูดว่า “เมื่อคืนเสี่ยวไป๋เข้ามาในห้อง”

เจี่ยนหรงไม่ได้สนใจ ก้มศีรษะล้างหน้า “ตอนไหน”

“ตอนที่นายกอดคอฉัน”

“อ้อ”

ลู่ป๋อหยวนออกจากห้องน้ำเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ด้านในห้องน้ำก็ถ่ายทอดเสียงทุ้มจากการที่มีสิ่งของบางอย่างตกพื้นมา จากนั้นเป็นเสียงฝีเท้ากระวนกระวาย

เจี่ยนหรงยืนอยู่ที่ประตูห้องน้ำ ใต้คางมีหยดน้ำเกาะพราว “ผม…กอดคุณ…เมื่อไหร่”

ลู่ป๋อหยวนพูดว่า “ตอนที่ฉันจูบนาย”

เจี่ยนหรง “…”

เจี่ยนหรงล้างหน้าเสร็จก็ออกมา ลู่ป๋อหยวนเองก็ช่วยเขาเก็บของเสร็จแล้ว พักอยู่แค่สองคืนทุกคนต่างไม่ได้พกสิ่งของอะไรมามากมายทำให้จัดเก็บสัมภาระง่ายมาก

พี่ติงกลัวตกเครื่องจึงเร่งในกลุ่มหลายรอบ มือถือของคนทั้งสองดังไม่หยุด

เจี่ยนหรงแย่งกระเป๋าเดินทางสองใบมาจากมือลู่ป๋อหยวน ขณะเปิดประตูเตรียมเดินออกไปก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้ามาถามว่า “เมื่อคืนเขาดื่มมากขนาดนั้น…ดื่มจนภาพตัดหรือเปล่า”

ลู่ป๋อหยวนกลั้นหัวเราะ “เป็นไปได้แหละ”

หลังลงมาถึงชั้นล่างและยื่นคีย์การ์ดให้พนักงานเพื่อเช็กเอาต์เรียบร้อยแล้ว เจี่ยนหรงตามลู่ป๋อหยวนขึ้นรถไป พอขึ้นรถก็เห็นเสี่ยวไป๋พิงอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าซีดเผือด

เสี่ยวไป๋กวาดสายตามองมาเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว

จากนั้นเม้มริมฝีปาก กะพริบตา สายตาสอดส่องอยู่บนร่างพวกเขาสองคนตลอด สีหน้าประหลาดใจและอึดอัดเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จะพูดบางคำแต่ก็หยุดไว้ครึ่งค่อนวัน และเอาแต่เขยิบก้นอย่างอยู่ไม่สุขตลอดเวลา ทั้งใบหน้าเขียนคำว่า ‘ฉันไม่ได้ภาพตัด ถึงขั้นทบทวนความทรงจำอันน่าอกสั่นขวัญแขวนและเพลิดเพลินของเมื่อคืนขึ้นมาในสมอง’

ในตอนที่เจี่ยนหรงลังเลว่าจะช่วยให้เสี่ยวไป๋สูญเสียความทรงจำไปเลยดีหรือไม่ ลู่ป๋อหยวนที่ด้านข้างก็หันหน้ามาจับข้อมือของเขาเอาไว้ก่อนจูงเขาไปตรงที่นั่งแล้ว

รถแล่นไปยังสนามบินเจี่ยนหรงไม่มีความง่วงอีกต่อไป ถ่างตาจ้องทิวทัศน์นอกหน้าต่าง

“เดี๋ยวถึงสนามบินแล้วใส่ผ้าปิดปากอะไรให้หมด” พี่ติงทำลายความเงียบงัน “มีหลายเจ้านัดสัมภาษณ์กับฉันไว้ ล้วนเป็นการสัมภาษณ์ที่ทางออฟฟิเชียลปฏิเสธไม่ได้ แต่ฉันย้ายกำหนดการพวกนี้ไปสัปดาห์หน้าให้พวกนายแล้ว ช่วงหลายวันนี้พวกนายก็พักผ่อนให้เต็มที่ เที่ยวให้เต็มที่…แน่นอนว่าอย่าเที่ยวมากเกินไป”

หยวนเชียนตอบว่า “รู้แล้วครับ”

พี่ติงหันหน้ามองแวบหนึ่ง มองเห็นเสี่ยวไป๋ที่สีหน้าดูไม่มีชีวิตชีวาก็เลิกคิ้วถามด้วยความประหลาดใจ “นายยังปวดหัวอยู่หรือเปล่า”

เสี่ยวไป๋ฝืนกอบกู้ศักดิ์ศรี “ไม่ปวด เมื่อคืนผมไม่ได้ดื่มมากเท่าไหร่”

“พอเถอะ ดื่มจนเป็นหมูตายขนาดนั้น แล้วยังจะโวยวายตามพวกเจี่ยนหรงไปนอนห้องเดียวกันอีก” พี่ติงพูด “มีแค่ Pine ที่ดูแลนาย”

เสี่ยวไป๋ “…”

ทั้งที่มีเบาะกั้นอยู่แท้ๆ แต่เขายังคงรู้สึกได้ถึงสายตาน่าสะพรึงที่ถ่ายทอดมา

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่พบเห็นเมื่อคืนเสี่ยวไป๋ยังคงรู้สึกตื่นตะลึงมาก ถึงแม้ในสภาพแวดล้อมการทำงานของพวกเขาล้วนเป็นผู้ชายทั้งนั้น แต่ก็เพิ่งเคยพบเจอเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก แถมคู่รักที่ว่ายังเป็นเพื่อนร่วมทีมสองคนของตัวเอง…

สิ่งที่ประหลาดกว่าคือฉากนั้นทำให้เขาตกใจมาก ทว่าไม่ได้รู้สึกขยะแขยงเลยสักนิด กลับมีความเข้าใจว่า ‘ที่แท้เป็นแบบนี้’

นมเปรี้ยวขวดหนึ่งซึ่งเป็นยี่ห้อที่ปกติเขาชอบดื่มที่สุดถูกยื่นมาให้

เสี่ยวไป๋หันหน้าไปถาม “เอามาจากไหน”

Pine ไม่ได้มองเขา พูดเพียงว่า “ไปซื้อที่ร้านสะดวกซื้อก่อนขึ้นรถ”

เสี่ยวไป๋จ้องมองสันกรามของ Pine หลายวินาที สะกดกลั้นความคิดที่อยากถามอีกฝ่ายว่าคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้เอาไว้ เขาก้มหน้ากัดหลอดแล้วดูดหนึ่งอึก

Pine เอ่ย “ถือไว้”

“ไม่เอา” เสี่ยวไป๋กลืนนมเปรี้ยวลงไป “กินข้าวเช้าอิ่มนิดหน่อย ฉันดื่มแค่อึกเดียว ที่เหลือนายดื่มเถอะ”

พี่ติงพลันนึกอะไรขึ้นได้จึงหันหน้ามาอีก “ถึงคำถามนี้จะเกินความจำเป็นไปหน่อยก็เถอะ แต่ว่า…เสี่ยวลู่ วันเกิดนายพรุ่งนี้ไม่สตรีมเหรอ”

ตอนแรกเจี่ยนหรงเอามือเท้าคางมองดูเมืองที่นอกหน้าต่าง พอได้ยินจึงยกหน้าขึ้นมา จากนั้นหันไปด้วยความตกตะลึง

ลู่ป๋อหยวนซึ่งกำลังพิงเบาะนอนชดเชยอยู่พูดโดยไม่แม้แต่จะลืมตา “ไม่สตรีมครับ”

พี่ติงพึมพำคำว่า “รู้แล้ว”

พี่ติงเพิ่งรั้งสายตากลับไป เสื้อของลู่ป๋อหยวนก็ถูกดึงเบาๆ

หลังเจี่ยนหรงตรวจสอบวันที่ของพรุ่งนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนแน่ใจจึงพูดด้วยความตกตะลึงว่า “พรุ่งนี้วันที่ยี่สิบเก้าเมษายน”

“หืม?”

เจี่ยนหรงพูดด้วยความงุนงง “วันเกิดคุณ…ไม่ใช่วันที่ห้าสิงหาคมเหรอ”

ลู่ป๋อหยวนเลิกคิ้วเล็กน้อย “ฟังมาจากไหน”

“ไป่ตู้”

ลู่ป๋อหยวนพยักหน้า จากนั้นพูดว่า “เขียนผิดแล้ว”

“…”

ลู่ป๋อหยวนไม่เคยสตรีมในวันเกิด เมื่อก่อนเจี่ยนหรงก็ไม่ได้สนใจกิจกรรมของที่ระลึกวันเกิดแต่อย่างใด ดังนั้นหากเขาอยากรู้วันเกิดของลู่ป๋อหยวน หนทางเดียวที่คิดได้ก็คือเข้าอินเตอร์เน็ตแล้วค้นข้อมูล

แต่คิดไม่ถึงว่าจะเขียนผิด

แผนการของเจี่ยนหรงถูกปั่นป่วน คนที่เมื่อวานสีหน้าสงบนิ่งท่ามกลางการสัมภาษณ์ของผู้ชมร้อยกว่าล้านคน ตอนนี้ทำตัวไม่ถูกอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อมองเห็นสีหน้าของเจี่ยนหรง ลู่ป๋อหยวนก็ยื่นมือตบหัวของเขา กลั้นหัวเราะและเอ่ยปลอบใจว่า “ฉันไม่ฉลองอะไรพวกนั้น”

ลู่ป๋อหยวนไม่ได้ฉลองจริงๆ เพียงแต่พี่ติงจะซื้อเค้กกลับมาทุกปี และในวันเกิดที่ไม่มีการแข่งฝึกซ้อม ลู่ป๋อหยวนจะเชิญทุกคนออกไปร้านอาหาร

แต่เจี่ยนหรงไม่ได้รู้สึกว่าถูกปลอบใจเลย หลังรู้ตัวว่าพรุ่งนี้คือวันเกิดของลู่ป๋อหยวน เขาก็ก้มหน้าเล่นมือถืออยู่ตลอด ข้อความวีแชตสั่นครืดๆ กระทั่งขึ้นเครื่องบิน เสียงประกาศบอกให้ผู้โดยสารปิดมือถือ เจี่ยนหรงจึงตัดใจตั้งค่ามือถือเป็นโหมดเครื่องบินแล้วสอดเข้าในกระเป๋า

ทุกคนต่างไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ นอนหลับบนเครื่องบินแค่งีบเดียว เมื่อกลับถึงแคมป์แล้วจึงนอนต่อ

ลู่ป๋อหยวนไม่มีความง่วงแต่อย่างใด เขาจัดเก็บสัมภาระง่ายๆ หลังเปลี่ยนชุดลำลองเสร็จก็ไปเคาะประตูห้องของแฟนหนุ่ม

เคาะสองทีไม่มีคนตอบ ลู่ป๋อหยวนเลยคิดว่าเขาหลับอยู่

“เสี่ยวเจี่ยนออกไปแล้ว” คุณป้ากำลังจะไปตากเสื้อผ้าที่ระเบียงพอดี มองเห็นฉากนี้จึงส่งเสียงเตือน

ลู่ป๋อหยวนเลิกคิ้ว “ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

“พอกลับมาก็ออกไปเลย ป้าให้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้ามาให้ซักก่อนแต่เขาไม่ยอม” คุณป้าแย้มยิ้ม “บอกว่านัดกับเพื่อนเอาไว้ กำลังรีบ”

ลู่ป๋อหยวนพยักหน้า “โอเค เข้าใจแล้วครับ”

เพิ่งแข่งขันแมตช์ใหญ่จบ วันพักผ่อนมีแค่สองวัน เป็นใครก็ไม่อยากแตะคอมพิวเตอร์อีก

ลู่ป๋อหยวนส่งข้อความให้เจี่ยนหรงง่ายๆ จากนั้นค้น Switch ที่ฝุ่นจับออกมาจากลิ้นชักห้องนั่งเล่น จากนั้นเชื่อมต่อกับโทรทัศน์แล้วนั่งเล่นเกมคนเดียว

กระทั่งเพื่อนร่วมทีมคนอื่นตื่นนอน เล่นเกมมือถือ และคุยเล่นกันด้วยความกระปรี้กระเปร่าอยู่บนโซฟา ลู่ป๋อหยวนจึงได้รับการตอบกลับ

 

R ไปไหนแล้ว

ห-รง หาเพื่อน

ห-รง ก่อนหน้านี้มือถือแบตฯ หมด…

 

“กัปตัน…กัปตัน?”

ลู่ป๋อหยวนเพิ่งพิมพ์ได้สองตัวก็ถูกหยวนเชียนขัดจังหวะ เขาเงยหน้าขึ้น “หืม?”

“คืนนี้พวกเราจะออกไปเที่ยว กินข้าวสักมื้อค่อยไปบาร์ นายไปด้วยกันมั้ย” หยวนเชียนยิ้มน้อยๆ พูดว่า “ไปกับแฟนฉัน เธอพาเพื่อนสาวของเธอมาหลายคน ฉันยังนัดพวกพี่หนิวไว้ด้วย…นายเรียกแฟนนายมาด้วยกันดีมั้ย”

พอคำพูดนี้ออกมาท่าเล่นมือถือของเสี่ยวไป๋หยุดชะงักไปทันที

แฟนนาย…แฟนนายที่ว่าแม่งอยู่ด้วยกันมาตลอด

หยวนเชียนพูดต่อ “ใช่แล้ว เรียกเจี่ยนหรงมาด้วยมั้ยล่ะ เขาอายุน้อยเกินไปหรือเปล่า แล้วนี่ทำไมเขายังไม่กลับมา”

เสี่ยวไป๋เอ่ย “อายุสิบแปดยังน้อย? พี่ชาย ตอนพี่ไปบาร์ครั้งแรกอายุสิบแปดเหรอ”

หยวนเชียนพูดด้วยความสัตย์จริง “เปล่า งั้นฉันจะลองโทรถามเขาดู…”

Pine เอ่ยขัดจังหวะขึ้นว่า “ไม่ต้องถามแล้วล่ะ”

เขาชูมือถือตัวเองขึ้นมาแกว่งเล็กน้อย ด้านในคือเวยป๋อที่เพิ่งรีเฟรชไปเจอโพสต์หนึ่ง “เขาอยู่หนิงปัว*

ลู่ป๋อหยวนตอบเจี่ยนหรงว่า ‘โอเค’ จากนั้นจึงไปหาเวยป๋อโพสต์ที่ Pine บอก

พวกเขาต่างไม่ได้ติดตามสือหลิวแต่เจี่ยนหรงเพิ่งกดถูกใจให้โพสต์นั้น ดังนั้นเวยป๋อนี้จึงปรากฏในหน้าแรกของพวกเขาเช่นกัน

 

ซิงคงทีวีสือหลิว Soft สุดยอด [มีความสุขเหลือเกิน] ขอบคุณแชมเปี้ยนที่เลี้ยงของหวานผม [รูปคู่]

 

โลเกชั่นของเวยป๋ออยู่ที่หนิงปัว

ในรูปภาพคนที่ลู่ป๋อหยวนรอมาตลอดทั้งช่วงบ่ายกำลังนั่งอยู่ตรงข้ามสือหลิว บนร่างเขายังสวมชุดทีมอยู่เลย เขาพกหมวกที่ระลึกของลู่ป๋อหยวนไปด้วย บนโต๊ะอาหารมีของหวานหลากหลายลานตา บนเค้กก้อนหนึ่งมีหัวใจและดาว ดูแล้วหวานเลี่ยนทั้งสิ้น

ใต้เวยป๋อมีคอมเมนต์อยู่ร้อยกว่า หลายคอมเมนต์ที่ด้านบนสือหลิวตอบกลับหมดแล้ว

 

[คิดถึงคืนวันที่นายสองคนเล่นดูโอ้ด้วยกันก่อนหน้านี้ ช่วงนั้นฉันดูสตรีมทุกวัน รู้สึกมีความสุขมากเลย]

[ซิงคงทีวีสือหลิว ตอบกลับ ผมเองก็คิดถึงเป็นพิเศษ ฮ่าๆ]

[เมื่อไหร่จะได้ดูพวกนายเล่นเกมด้วยกัน!]

[ซิงคงทีวีสือหลิว ตอบกลับ เพิ่งถามเสี่ยวหรงมา เขาบอกว่าถ้ากลับไปแล้วมีเวลาว่างก็จะเล่น!]

[ฉันนึกว่าหลัง Soft เล่นอาชีพจะไม่ติดต่อกับนายแล้วซะอีก]

[ซิงคงทีวีสือหลิว ตอบกลับ จะเป็นไปได้ยังไง! เราสองคนคุยกันประจำ อย่าพูดมั่วสิ]

 

“เขาเพิ่งกลับมาจากรอบชิงชนะเลิศ พอลงเครื่องก็ไม่นอนพักไม่เปลี่ยนชุด ดั้นด้นไปหนิงปัวแล้ว?!” หยวนเชียนประหลาดใจ ก่อนล้อเล่นว่า “งั้นเขาสองคนคงมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นสินะ”

เสี่ยวไป๋หัวใจเต้นแรงขึ้น รีบมองดูพี่ชายของตัวเองแวบหนึ่งพลางพูดว่า “ธรรมดาๆ มั้ง ก็เพื่อนไม่ใช่เหรอ”

หยวนเชียนส่ายหน้า “คงไม่ใช่แค่นั้นหรอก ฉันกลับแคมป์มายังเหนื่อยจนไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงตอบข้อความเมียฉันเลย”

เสี่ยวไป๋ “…”

ลู่ป๋อหยวนวางมือถือลง พิงโซฟาหยิบจอยเกมขึ้นมาเล่นต่อ

เสี่ยวไป๋มองเห็นพี่ชายกดบอสลงกับพื้นแล้วทุบตีด้วยสีหน้าเงียบสงบ จึงเขยิบไปทาง Pine เงียบๆ

หยวนเชียน “งั้นกัปตัน…”

“ฉันไม่ไปแล้ว” ลู่ป๋อหยวนพูดเสียงเฉยชา “พวกนายไปเที่ยวเถอะ”

กลุ่มคนพากันจากไป ในแคมป์เหลือเพียงลู่ป๋อหยวน

ลู่ป๋อหยวนทำภารกิจอีกสองภารกิจก็รู้สึกเบื่อหน่ายเลยปิดโทรทัศน์ ในมือถือมีการแจ้งเตือนแบบพุชหลายข้อความ ล้วนเป็นข่าวที่เกี่ยวกับทีมของพวกเขา ลู่ป๋อหยวนอ่านดูนิดหน่อยระหว่างเดินกลับห้อง หลังเข้าห้องจึงปิดหน้าจอโยนมือถือไปบนเตียง

เขาหยิบแท็บเลตออกมาจากลิ้นชัก เปิดวิดีโอรีเพลย์สตรีมที่ก่อนหน้านี้ยังดูไม่จบต่อ

สือหลิวพูดถูกต้อง เขาช่วยเจี่ยนหรงตอนที่สตรีมในช่วงแรกไว้เยอะมากจริงๆ ในรีเพลย์สตรีมของเจี่ยนหรงมีวิดีโอที่กดดูโอ้กับสือหลิวแทรกอยู่หลายคลิป สือหลิวยังช่วยเจี่ยนหรงโฆษณาในสตรีม ตอนนั้นเจี่ยนหรงนิสัยเก็บตัวกว่าตอนนี้เล็กน้อย จะถูจมูกแล้วพูดขอบคุณสือหลิว

ลู่ป๋อหยวนมองดูเงียบๆ บางครั้งจะขมวดคิ้วเบาๆ ขณะได้ยินพวกเขากรีดร้องด้วยความตื่นเต้นเพราะเก็บเอสได้ แต่ไม่นานก็กลับสู่สภาพเดิม

กระทั่งบนแท็บเลตมีการแจ้งเตือนปริมาณแบตเตอรี่เด้งขึ้นมา ลู่ป๋อหยวนจึงได้สติจากวิดีโอเหล่านี้ เหลือบตามองดูเวลาพบว่าใกล้เที่ยงคืนแล้ว

ไม่รู้เขาไปโดนโหมดปิดเสียงมือถือตอนไหน เวลานี้แจ้งเตือนด้านบนมีข้อความมากมาย ลู่ป๋อหยวนอ่านทั้งหมดรอบหนึ่งแต่ไม่มีของเจี่ยนหรงเลย

เขาพ่นลมหายใจเฮือกหนึ่งออกมาหนักๆ ก่อนจะขยับไปชาร์จแบตฯ แท็บเลต

จากนั้นเขาพลันได้ยินเสียงเคาะประตู

เสียงนั้นเบามากซ้ำยังดังขึ้นเพียงสองครั้ง เหมือนกลัวว่าเขากำลังนอนหลับอยู่ พอเคาะเสร็จจึงไม่เคาะแล้ว แต่ยังมองเห็นเงาดำจากช่องว่างใต้รอยต่อของประตู คนที่เคาะยังไม่ไปไหน

เมื่อนึกถึงเสี่ยวไป๋ที่สองนาทีก่อนเพิ่งส่งวิดีโอเต้นดิสโก้ในกลุ่มวีแชตมา ลู่ป๋อหยวนโยนมือถือในมือแล้วลงจากเตียงไปเปิดประตู

เจี่ยนหรงสวมชุดทีมยืนอยู่นอกประตู หมวกถูกเขาถอดมาถือไว้ในมือ ผมเผ้าถูกทับมาทั้งวันแล้ว ยุ่งจนเหมือนเพิ่งต่อยกับเสี่ยวไป๋มา

พอมองเห็นลู่ป๋อหยวนนัยน์ตาเจี่ยนหรงก็ลุกวาว

“ผมคิดว่าคุณนอนแล้ว”

“เกือบแล้ว” ลู่ป๋อหยวนมองดูผมของเขา “กลับมายังไง รถไฟความเร็วสูงไม่มีรอบแล้วไม่ใช่เหรอ”

“นั่งรถ ขาไปก็ไม่มีรถไฟความเร็วสูง วันแรงงานคนเลยเยอะนิดหน่อย…” เจี่ยนหรงชะงักเล็กน้อย “คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไปต่างเมือง”

ผ่านไปหลายวินาทีเจี่ยนหรงก็ถามอีก “…คุณรู้ได้ยังไงว่าไม่มีรถไฟความเร็วสูง”

เป็นเพราะตอนแรกลู่ป๋อหยวนคิดไปหนิงปัวเพื่อตามหาคน จากนั้นก็พบว่าวันนี้เป็นวันแรงงาน แม้แต่ที่นั่งชั้นสองก็ไม่มี

“เห็นเวยป๋อของสือหลิวน่ะ” ลู่ป๋อหยวนตอบเพียงคำถามเดียว “ไปทำอะไรที่หนิงปัว”

เจี่ยนหรงพลันนึกถึงเรื่องสำคัญขึ้นมา เขามองดูมือถือแวบหนึ่ง พ้นเที่ยงคืนไปหลายนาทีแล้ว

เจี่ยนหรงยื่นถุงในมือของตนเองออกไป

ทีแรกลู่ป๋อหยวนสนใจเพียงมองดูผมของอีกฝ่าย เวลานี้ถึงค่อยพบว่าในมือของเขายังถือสิ่งของอยู่อีกหลายอย่าง

บนถุงบรรจุภัณฑ์คือโลโก้แบรนด์หรูแบรนด์หนึ่ง ลู่ป๋อหยวนรับมาก่อนพูดว่า “…เพื่อซื้อสิ่งนี้?”

“ถือว่าใช่แหละมั้ง หลายวันก่อนสือหลิวไปเที่ยวต่างประเทศ ผมเลยให้เขาช่วยซื้อ” เจี่ยนหรงอธิบาย “ตอนแรกคิดว่าอีกไม่กี่วันเขามาเซี่ยงไฮ้ค่อยแวะเอามาให้…แต่ผมจำวันผิดไป”

ดังนั้นพอกลับถึงแคมป์เขาจึงออกไปข้างนอกทันที ทว่าซื้อตั๋วรถไฟความเร็วสูงไม่ได้จึงได้แต่นั่งรถสาธารณะ หลังถึงที่นั่นยังรีบเลี้ยงชายามบ่ายสือหลิวเป็นการขอบคุณ

ลูกกระเดือกของลู่ป๋อหยวนขยับขึ้นลง “ทำไมไม่บอกฉัน ฉันจะได้ขับรถไปรับ”

เจี่ยนหรงยิ้มเล็กน้อย “ก่อนให้ของขวัญทุกคนต้องเก็บเป็นความลับไม่ใช่เหรอ”

ลู่ป๋อหยวนส่งเสียงอืมเบาๆ “ถ้าขับรถไปใช้เวลาแค่ไหน”

“สามชั่วโมงกว่ามั้ง” เจี่ยนหรงพูด “คนขับบอกว่าปกติไม่นานขนาดนี้ แต่เพราะเป็นวันแรงงานทางด่วนเลยมีรถเยอะมาก”

เมื่อวานเพิ่งแข่งขันสี่เกมท่ามกลางแรงกดดันจบไป แถมยังดวลเหล้ากับเสี่ยวไป๋ เช้านี้ง่วงจนตอนแปรงฟันก็ลืมตาไม่ขึ้น จากนั้นยังนั่งรถไปกลับเกือบเจ็ดชั่วโมงเพื่อไปเอาของขวัญให้เขา…

ลู่ป๋อหยวนลอบสูดลมหายใจเข้าลึก มองดูเจี่ยนหรงอย่างแน่วนิ่ง

ไม่ได้พลาดวันเกิดของแฟนหนุ่ม เจี่ยนหรงเลยรู้สึกโล่งอก ทั้งร่างผ่อนคลายลงมากแล้ว

เขาพิงอยู่ข้างวงกบประตูพลางพูดว่า “คุณลองเปิดดูว่าชอบมั้ย ผม…ไม่เคยให้ของขวัญใครมาก่อน”

ลู่ป๋อหยวนถามว่า “ไม่เคยให้สือหลิว?”

ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาถึงพูดถึงสือหลิวขึ้นมา เจี่ยนหรงตกตะลึง “ก็เคยให้ ของขวัญในสตรีมนี่…นับมั้ย”

ลู่ป๋อหยวนรู้สึกว่าตัวเองขี้น้อยใจไปพลางเชิดมุมปากขึ้นไปพลาง

เขายิ้มเล็กน้อย ไม่ได้เปิดถุงออก “ถ้าฉันบอกว่าไม่ชอบจะทำยังไง”

เจี่ยนหรงสีหน้านิ่งค้าง ต่อมาดวงตาก็เปลี่ยนเป็นตาชั้นเดียวที่ไม่ค่อยน่ายั่วโมโหนัก “งั้นก็คืนผมมา…”

ลู่ป๋อหยวนยิ้มพลางก้มหน้าเขยิบเข้าไป คำพูดของเจี่ยนหรงหายไปในปาก

ปฏิกิริยาแรกของเจี่ยนหรงก็คือยื่นมือออกไป กำลังจะดันไหล่ลู่ป๋อหยวนเพราะคิดว่าพวกเขากำลังยืนอยู่นอกประตู แต่ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าคนอื่นไปบาร์กันหมดแล้ว

ในเวลานี้ทั้งแคมป์มีเพียงพวกเขา

ลู่ป๋อหยวนกัดริมฝีปากล่างของเจี่ยนหรงอย่างไม่หนักไม่เบา นิ้วมือเจี่ยนหรงสั่นเล็กน้อย มือที่วางอยู่บนหน้าอกของลู่ป๋อหยวนพลันเลื่อนขึ้นไป คล้องลำคอของอีกฝ่ายเอาไว้

ตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมาเจี่ยนหรงยังด่าตัวเองว่าน่าผิดหวัง…ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้อยู่กับลู่ป๋อหยวนตามลำพัง แถมยังไม่มีการแข่งขันอีกด้วย ทำไมฉันถึงนอนหลับได้วะ

จากนั้นก็ต้องไปหนิงปัวรอบหนึ่ง เสียเวลาไปอีก ตอนอยู่บนรถเจี่ยนหรงนึกเสียใจอยู่ตลอดทาง คิดพูดคุยกับลู่ป๋อหยวนเพื่อบรรเทาความหงุดหงิดเหล่านี้สักหน่อย แต่มือถือก็ดันแบตฯ หมด

หงุดหงิดอยู่หนึ่งวัน ขณะนี้ถึงสงบลงในที่สุด

วันนี้ลู่ป๋อหยวนเองก็ไม่ค่อยเบิกบานใจเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงจูบอย่างดุดันเล็กน้อย เจี่ยนหรงขยับจากปากประตูไปยังผนังห้อง สิ่งของที่อยู่ในมือของคนทั้งสองถูกโยนไปบนพื้นชั่วคราว ลู่ป๋อหยวนเอามือล้วงเข้าในชายเสื้อ เจี่ยนหรงเอวอ่อนระทวยเล็กน้อย ยื่นมือไปจับไหล่ของเขาเอาไว้ตามสัญชาตญาณ

หลังริมฝีปากเป็นอิสระ เจี่ยนหรงก็พิงผนังพลางหอบหายใจเบาๆ

ตอนแรกลู่ป๋อหยวนคิดนอนหลับสักครู่ ดังนั้นในห้องจึงเปิดแค่ไฟหัวเตียงไว้เพียงดวงเดียว สิ่งที่สว่างที่สุดในห้องคือดวงตาของเจี่ยนหรง

ลู่ป๋อหยวนยื่นมือไปเสยผมของเขา จากนั้นพูดว่า “ทำไมไม่มีกลิ่นเค้ก”

เจี่ยนหรงขมวดคิ้วด้วยความงุนงง “อะไร”

“ไปกินของหวานมาไม่ใช่เหรอ”

“ผมไม่ได้กิน” เจี่ยนหรงถูกจูบจนติดลมอยู่บ้าง พูดเสียงแผ่วเบา “สือหลิวก็ไม่ได้กินเหมือนกัน สุดท้ายเขาห่อกลับไปให้แฟนสาวแล้ว”

ลู่ป๋อหยวนส่งเสียงอืม ก้มหน้าจูบไฝที่ปลายจมูกของเจี่ยนหรงเบาๆ

เจี่ยนหรงกลับฟังออกถึงความพอใจหลายส่วนในคำว่า ‘อืม’ ของเขา

เมื่อหัวข้อสนทนานี้ถูกหยิบยกขึ้นมา เจี่ยนหรงถึงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเดินทางอยู่ด้านนอกมาทั้งวันแล้ว “ผมไปอาบน้ำก่อน”

“โอเค” ตอนนี้คนอยู่ข้างกายแล้ว ความกระสับกระส่ายที่ลู่ป๋อหยวนมีก่อนหน้านี้ก็หายไปหมด สุ้มเสียงในขณะนี้จึงแฝงความเกียจคร้านเล็กน้อย “อาบที่ห้องฉัน?”

หัวใจของเจี่ยนหรงเต้นเร็วขึ้นหลายจังหวะตามคำพูดประโยคนี้ของเขา

“ฉันจะหาเสื้อผ้าของฉันให้นายใส่” ลู่ป๋อหยวนพูด “ใหญ่มาก สบายกว่าชุดนอนของนาย”

ในใจเจี่ยนหรงแทบไม่ขัดขืนแต่อย่างใด

เขาถือเสื้อผ้าของลู่ป๋อหยวนไว้ในมือ เพิ่งเปิดประตูห้องน้ำออกก็ได้ยินลู่ป๋อหยวนถามอย่างเป็นธรรมชาติว่า “อาบด้วยกันได้มั้ย”

แม้ช่วงนี้ใกล้จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้วแต่น้ำที่อาบยังคงอุ่นอยู่เล็กน้อย

พวกเขาจูบกันในห้องอาบน้ำ ผนังกระเบื้องในนี้เย็นกว่าผนังห้องซะอีก เจี่ยนหรงหัวสมองร้อนผ่าว แผ่นหลังเย็นเฉียบ ตื่นเต้นจนแม้แต่จูบก็ทำไม่ค่อยเป็นแล้ว

ลู่ป๋อหยวนเองก็ไม่ได้บังคับให้เขาจูบต่ออีก เขาแนบติดกับเจี่ยนหรง ยื่นมือเข้าไปในผมของอีกฝ่าย ก่อนเอ่ยถามเสียงแผ่วว่าตรงนี้จะสระด้วยหรือไม่

 

ตอนแรกเจี่ยนหรงคิดเพียงว่าก็คงเหมือนกับที่ผ่านมา

ขณะเขาออกจากห้องน้ำแล้วถูกลู่ป๋อหยวนลากไปจูบบนเตียงจึงพบว่า…คล้ายจะไม่ค่อยเหมือนกัน

การตอบสนองของพวกเขารุนแรงกว่าก่อนหน้านี้ เสียงลมหายใจของคนทั้งสองดังปะปนกันอยู่ในห้อง

หัวสมองเจี่ยนหรงว่างเปล่า เบื้องหน้าของเขาเหลือเพียงลู่ป๋อหยวน ท่ามกลางแสงไฟที่ไม่ได้สว่างไสวเท่าไรนักเขารู้สึกถึงลมหายใจ อุณหภูมิร่างกาย และมือของลู่ป๋อหยวนได้อย่างชัดเจน

ลู่ป๋อหยวนหยุดลง สองมือยันอยู่ข้างหมอนขณะมองดูเจี่ยนหรง

ไหล่ของเขากว้างมาก บนริมฝีปากมีร่องรอยถูกกัดเบาๆ จากเจี่ยนหรง แววตาดำมืดที่หลุบลงมาเปี่ยมด้วยความรู้สึกของการเป็นเจ้าของ

“เจี่ยนหรง” ลู่ป๋อหยวนพูดด้วยเสียงแหบต่ำ “ถ้านายยังไม่เอาขาลงมาอีก ก็ห้อยไว้ทั้งคืนแล้วกัน”

ลู่ป๋อหยวนดุนดันเข้ามาลึกเหลือเกิน และเพื่อให้พื้นที่แก่ลู่ป๋อหยวนขาขวาของเจี่ยนหรงจึงพาดอยู่บนเอวของอีกฝ่ายตามสัญชาตญาณ

เจี่ยนหรงไม่ได้ขยับ

แม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจทำความเข้าใจเรื่องแบบนั้นเป็นพิเศษ…แต่เขาเคยติดต่อกับคนมากมายในอินเตอร์เน็ต สตรีมเมอร์บางคนชอบเย้าคนดูด้วยเรื่องต่ำตมเพื่อความนิยม ในเทรนด์ก็มีภาพหรือบทความที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอย่างว่ามากมาย ดังนั้นจะมากจะน้อยอย่างไรเขาก็เข้าใจความหมายในคำพูดประโยคนี้ของลู่ป๋อหยวนดี

เจี่ยนหรงสบตากับเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นเอียงศีรษะไปกัดลูกกระเดือกของเขา แสร้งทำสีหน้าสงบนิ่งออกมาด้วยใบหน้าแดงฉาน “ผมอายุน้อย ขาแข้งดีอยู่แล้ว ห้อยไว้ก็ไม่เมื่อย”

ลู่ป๋อหยวนที่อายุมากกว่าเขาห้าปีเลิกคิ้วนิ่งเงียบหลายวินาที จากนั้นก็จับคางเขาไว้พลางปิดปากของเด็กหนุ่มอีกครั้ง

เจี่ยนหรงรู้สึกมาตลอดว่าตัวเองจิตใจเข้มแข็ง เรื่องใหญ่อะไรก็ไม่อยู่ในสายตา อีกทั้งตัวเขาเองก็อยากเชื่อมต่อกับลู่ป๋อหยวนให้ลึกซึ้งกว่าเดิมสักนิด ลึกขึ้นอีกหน่อย จนถึงขั้นแน่นแฟ้นที่สุด

แต่ผ่านไปไม่กี่นาที

เขานอนคว่ำอยู่บนเตียง ทั้งใบหน้าซุกอยู่ในหมอน ทั้งหัวสมองล้วนเป็น…

เชี่ย…

นี่คือมือของแชมป์โลก…นิ้ว…

ฉันเหมือนไม่ค่อยไหว

เจี่ยนหรงรับไม่ไหวจริงๆ กับการที่ลู่ป๋อหยวนทำแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงอื้อสั้นๆ แถมยังรู้สึกเก้อเขิน เขาทนอีกหลายวินาทีสุดท้ายกลั้นไม่อยู่ซุกหน้าอยู่ในหมอนพลางพูดว่า “รอเดี๋ยว…คุณมาเลย”

“ทนหน่อย” ลู่ป๋อหยวนพูดเสียงแผ่วเบา “ไม่งั้นจะเจ็บ”

เจี่ยนหรงแดงก่ำไปทั้งร่าง “…ผมไม่กลัวเจ็บ…ผม…ไม่กลัวจริงๆ…”

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ในที่สุดเจี่ยนหรงจึงระบายลมหายใจเฮือกหนึ่งออกมา เขาจับหมอน ทั้งร่างอ่อนระทวยจนไม่อาจขยับ พอได้ยินเสียงฉีกบรรจุภัณฑ์เจี่ยนหรงก็หันหน้าอย่างเชื่องช้า

ผ่านไปหลายวินาทีเจี่ยนหรงจึงจำแนกสิ่งของในมือของลู่ป๋อหยวนได้แล้วพูดออกมาด้วยความตื่นตกใจ “คุณ…ซื้อมาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ช่วงก่อน” ลู่ป๋อหยวนยิ้ม “แค่วางเอาไว้ ไม่เคยคิดว่าจะใช้ตอนไหน”

เจี่ยนหรงถามเขาว่า “คุณคิดว่าผมเชื่อมั้ย”

ลู่ป๋อหยวนยิ้มกว้างกว่าเดิม จับขาของเจี่ยนหรงเอาไว้แล้วยกตัวเขาไปอย่างง่ายดาย

เจี่ยนหรงรู้สึกว่าคนผอมเสียเปรียบเหลือเกิน

ถูกคนอื่นอุ้มขึ้นมาได้ง่ายๆ แบบนี้ยังนับเป็นผู้ชายอะไรอีก

ระหว่างนั้นลู่ป๋อหยวนเปิดเครื่องปรับอากาศเอาไว้เรียบร้อย แต่คนทั้งสองยังคงมีเหงื่อออกเล็กน้อย

ทำได้ไม่นานเท่าไหร่เจี่ยนหรงก็หมดแรงแล้ว

ส่วนลู่ป๋อหยวนนั้นยังคงกระปรี้กระเปร่ามากอย่างชัดเจน เจี่ยนหรงนอนอยู่บนเตียง ขาวางไว้ด้านข้างตามอำเภอใจ ขณะงอเอาไว้มองเห็นหัวเข่าสั่นไหวเล็กน้อย

หางตาแดงฉานของเขาเหลือบไปเห็นลู่ป๋อหยวนก้มตัวหยิบกล่องของขวัญที่เขาให้ขึ้นมาจากใต้เตียง

กล่องถูกลู่ป๋อหยวนแกะออกขณะกำลังหาเสื้อผ้า ด้านในคือเข็มขัดเส้นหนึ่ง

ลู่ป๋อหยวนถามว่า “ซื้อมาเท่าไหร่”

เจี่ยนหรงพูดเสียงแหบพร่า “…ไม่กี่หมื่น”

“ลงทุนขนาดนี้เชียว”

“ตอนแรกอยากซื้อเส้นที่แพงกว่านี้” เจี่ยนหรงทำท่ากลืนน้ำลาย “แต่ยังแข่งไม่จบ ไม่มีเงินรางวัล เงินฝากก่อนหน้านี้ก็ฝากประจำไปทั้งหมด…ไม่มีเงินแล้ว”

ลู่ป๋อหยวนแย้มยิ้ม

เขาถือเข็มขัดพลางคุกเข่าเข้ามา จากนั้นถามอีกฝ่ายว่า “ให้ของขวัญฉันอีกอย่าง?”

“อะไร”

“นายช่วยฉันลองเข็มขัดหน่อย”

เจี่ยนหรงขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจว่านี่นับเป็นของขวัญอะไร เขาพูดว่า “งั้นรอตอนผมใส่เสื้อผ้า…”

ยังไม่ทันขาดคำมือข้างหนึ่งของเขาก็ถูกลู่ป๋อหยวนดึงไป ใช้เข็มขัดพันแล้วมัดเอาไว้ เข็มขัดสีดำตัดกับข้อมือขาวๆ ของเจี่ยนหรงอย่างชัดเจน

หัวสมองของเจี่ยนหรงมีเสียงดังวิ้ง ลมหายใจหนักหน่วงกว่าเดิม

ลู่ป๋อหยวนเอามือของเขาวางไว้บนเตียง นิ้วมือสอดเข้าไปตามซอกนิ้ว จากนั้นนิ้วทั้งสิบก็กุมประสานกัน

เขาพูดว่า “ตอนแรกอยากมัดทั้งสองมือ”

เจี่ยนหรงเลียริมฝีปากเล็กน้อย พยายามสงบจิตใจ “…คุณเป็นอะไรไป”

“ไม่รู้” ลู่ป๋อหยวนก้มหน้าจูบเขาก่อนพูดเสียงแหบว่า “เหมือนหึงนิดหน่อย”

เจี่ยนหรงตกตะลึง ยังไม่ทันตอบสนองอะไรก็ถูกลู่ป๋อหยวนจับน้องเอาไว้ ลากเข้าไปในคลื่นความปั่นป่วนอีกครั้ง

 

* หนิงปัว เป็นเมืองท่าทางทะเล ตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศจีน

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 11 .. 65

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: