ทดลองอ่าน เรื่อง Nice Alpha ผมเป็นโอเมก้าที่ชอบอัลฟ่าเชื่องๆ (2 เล่มจบ)
ผู้เขียน : บีBB (비BB)
แปลโดย : pinkimneeda
ผลงานเรื่อง : 참한 알파 (Nice Alpha)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
02.
ซองจุนส่งเสียงหัวเราะลั่นขณะจ้องมองชีฮูที่เดินเข้ามาในออฟฟิศของตนเอง พวกเขาไม่ได้เจอกันมากว่าสามปีแล้ว ชีฮูหลบอีกฝ่ายที่สืบเท้าเข้ามาหาพลางอ้าแขนกว้าง ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบไปนั่งที่โซฟา ซองจุนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจราวกับคาดคิดเอาไว้แล้ว จากนั้นจึงเดินไปจับจองที่นั่งฝั่งตรงข้าม
“ไม่ได้เจอกันหลายปี ดูเหมือนนายจะสบายดีนะ ยังดูดีไม่เปลี่ยนเลยนะนายเนี่ย”
“พี่ก็ดูสบายดีนะ คงทำเงินได้เยอะเลยล่ะสิ”
ชีฮูพูดอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนักพลางกวาดตามองรอบห้องทำงานของซองจุนไปด้วย แม้จะได้ยินเรื่องที่ซองจุนลงทุนสร้างตึกใหม่แล้ว แต่ขนาดของมันก็ใหญ่กว่าที่เขาคาดคิดไว้ ออฟฟิศประธานบริษัทที่ถูกตกแต่งเสียหรูหราอลังการนั้นเป็นเหมือนตราสัญลักษณ์ที่เอาไว้บ่งบอกว่าบริษัทนี้ประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหน
“ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณนายเลยนะชีฮู ถ้าไม่มีนาย เอเจนซี่ของฉันจะไปตั้งหลักได้ยังไงกัน นี่ไม่ได้มาเกาหลีกี่ปีแล้วเนี่ย คอนโดฯ เป็นไงบ้าง ฉันรีบเตรียมไว้ให้ทันทีที่รู้ว่านายกลับมาถึงเกาหลีเลยนะ ไม่เลวใช่ไหม”
“ก็โอเค”
“ใช่ไหมล่ะ ถึงเวลาจะไม่ค่อยมีแต่ก็หาคอนโดฯ ได้ดีไม่หยอก ระบบรักษาความปลอดภัยก็ดี เมื่อสองสามวันก่อนมาร์คโทรมาหาฉันไม่หยุดเลย แถมยังโอดครวญใส่อีกว่านายไม่ยอมรับโทรศัพท์ นี่นายเมินสายหมอนั่นเหรอ”
ชีฮูถอนหายใจราวกับเบื่อหน่ายเมื่อได้ยินสิ่งที่ซองจุนพูด โดยมาร์คที่อีกฝ่ายพูดถึงคือผู้จัดการเอเจนซี่ที่คอยดูแลงานอีเวนต์ให้เขาตอนอยู่ต่างประเทศ
‘อันนี้เป็นลิสต์รายชื่อที่ฉันคัดมาแล้ว นายแค่บอกชื่อดีไซเนอร์ที่นายอยากร่วมงานมา ฉันจะได้ยืนยันวันที่จัดโชว์แล้วจัดตารางงานเลย’
ชีฮูปราดมองลิสต์ที่มาร์คยื่นมาให้ดูด้วยท่าทีเฉยชา ในนั้นมีรายชื่อของดีไซเนอร์ที่อยากทำงานร่วมกับเขาในงานแฟชั่นวีกที่จะถึงนี้เขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรขนาดเล็กเท่าเมล็ดถั่วเขียว ก่อนที่เขาจะทำการวางระเบิดใส่มาร์คที่กำลังกระวีกระวาดจัดการกับกำหนดการอันแสนยุ่งเหยิงในวันข้างหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ
‘ฉันจะไปเกาหลี’
มาร์ครู้สึกเหมือนหาเสียงตัวเองไม่เจอไปครู่หนึ่ง ก่อนยิ้มเจื่อนพลางรีบยกแก้วชาร้อนขึ้นจิบหนึ่งอึก
‘อ้อ งั้นเหรอ ไม่ได้กลับเกาหลีมาสักพักหนึ่งแล้วสินะ จะไปกี่วันล่ะ ยังพอมีเวลาว่างอยู่บ้าง ไม่เป็นไรหรอก แต่ไม่ได้คิดจะหยุดวีกนี้ใช่ไหม’
‘ฉันจะกลับไปอยู่เกาหลีถาวร’
‘หา? ว่าไงนะ’
มาร์คลุกขึ้นพรวดด้วยความตกใจกับสารที่เพิ่งได้รับอย่างกะทันหัน ก่อนนั่งลงพร้อมโน้มตัวไปทางชีฮูโดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าผู้คนรอบข้างกำลังให้ความสนใจกับเสียงโหวกเหวกของเขา
‘นี่นายคิดจะไปแล้วไปลับเลยเหรอ รู้ไหมว่าตอนนี้มีดีไซเนอร์กำลังต้องการตัวนายเยอะมากแค่ไหน ตอนนี้กำลังเป็นช่วงขาขึ้นของนาย แต่นายดันมาบอกว่าจะกลับเกาหลีเนี่ยนะ?’
มาร์คจ้องชีฮูที่นั่งอยู่เบื้องหน้าด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ วินาทีที่ชีฮูกับผู้จัดการชาวเกาหลีอย่างซองจุนเหยียบเข้ามาในบริษัท เขาก็รับรู้ได้เลยว่าเจ้าเด็กนี่ต้องประสบความสำเร็จแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
แม้ชีฮูจะได้เข้าร่วมการออดิชันพร้อมกับผู้สมัครคนอื่นๆ แบบไม่มีข้อยกเว้น แต่ทันทีที่ชีฮูก้าวเข้าไปในงานออดิชันของบรรดาดีไซเนอร์ผู้จัดแฟชั่นโชว์ก็เกิดความเงียบสงัดขึ้นในชั่วพริบตาจากที่กำลังโกลาหลวุ่นวาย และเมื่อความเงียบผ่านพ้นไปผู้คนจึงเริ่มส่งเสียงซุบซิบขึ้นทีละนิด
อัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์
หลายคนต่างพึมพำออกมาเป็นเสียงเดียวกันพร้อมถอนหายใจยาวเหยียด
ในบรรดาโมเดลรันเวย์นั้นมีอัลฟ่าอยู่ไม่น้อย ไม่สิ ต้องบอกว่าอัตราเฉลี่ยมากกว่าเบต้าเสียอีก พวกเขาเกิดมาพร้อมกับหน้าตาและรูปร่างที่โดดเด่นเหนือใคร ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อัลฟ่ามีพื้นที่ในวงการเดินแบบมากกว่าเบต้าเป็นเรื่องธรรมดา
และด้วยความทะเยอทะยาน ทั้งยังมั่นใจในตัวเองสูง พวกเขาจึงไม่ลังเลที่จะปล่อยฟีโรโมนออกมาระหว่างการออดิชันเพื่อเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวเอง ดังนั้นจึงมีกฎที่รู้กันว่าเหล่าทีมงานทั้งหมดต้องเป็นเบต้า และในกรณีที่ดีไซเนอร์เป็นโอเมก้า พวกเขาต้องดื่มยาระงับฟีโรโมนก่อนเข้าร่วมการตัดสินนี้ด้วย
โมเดลตัวท็อประดับโลกที่โลดแล่นอยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่ความสำเร็จล้วนแล้วแต่เป็นอัลฟ่า และเป็นอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์ที่แม้แต่ในหมู่อัลฟ่าด้วยกันเองก็ยังมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เสียด้วยซ้ำ ทั้งโมเดลและทีมงานทุกคนต่างก็หันมาให้ความสนใจในชั่วพริบตา ชีฮูทำหน้านิ่งไม่รู้ร้อนรู้หนาวขณะนั่งรอคิวตามลำดับราวกับไม่ได้ใส่ใจกับสายตาที่มองมา
การเดบิวต์ของชีฮูถือเป็นการพลิกสังเวียนวงการเดินแบบ แม้ไม่ได้สูงชะลูด แต่เขายังมีรูปร่างที่สมส่วน ใบหน้าที่หล่อเหลา และท่วงท่าที่สง่างามในการเดินรันเวย์เฉกเช่นเสือร้าย สิบปีผ่านไปนับตั้งแต่วันที่เดบิวต์ในฐานะนายแบบตัวหลัก ชีฮูก็ไม่เคยได้ก้าวเท้าลงมาจากจุดสูงสุดตรงนั้นเลย
เหล่าดีไซเนอร์ชั้นนำจึงไม่ลังเลที่จะขนานนามชีฮูว่าเป็นเทพบุตรของพวกเขา และพร้อมที่จะยัดเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ได้ชีฮูมาเป็นตัวชูโรงในงานแฟชั่นโชว์ของตน ชีฮูเป็นหนึ่งในนายแบบที่มีพรสวรรค์ที่สุดนับตั้งแต่เข้าวงการมา และเป็นบุคคลซึ่งเปรียบเสมือนกับสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จในสายอาชีพนี้เลยก็ว่าได้
แต่แล้วทำไมกันล่ะ
‘นี่ใกล้จะถึงฤดูกาลแฟชั่นวีกแล้วนะ ตอนนี้ทุกคนรุมโทรเข้ามากันสายแทบไหม้เพราะต้องการตัวนายไปขึ้นเดินในแฟชั่นโชว์ของตัวเอง แต่นายดันจะกลับเกาหลีเนี่ยนะ? แล้วจะให้ฉันไปบอกพวกดีไซเนอร์ที่ยืนกรานว่าโชว์ของพวกเขาต้องเป็นชีฮูเท่านั้นว่ายังไง!’
‘บอกว่าฉันเป็นโรคโฮมซิก* ไม่ก็บอกว่าฉันกลับไปเพราะแม่อยากเจอก็ได้’
‘หา?’
‘อยู่ต่างประเทศมาตั้งสิบปี มันก็ต้องมีช่วงเวลาที่คิดถึงบ้านกันบ้างไม่ใช่หรือไง’
“วุ่นวายชะมัด”
ซองจุนหัวเราะออกมาเพราะน้ำเสียงเนือยๆ นั้นพลางนึกถึงสมัยที่ชีฮูอายุได้สิบแปดปี เขาต้องทุ่มสุดตัวเพื่อโน้มน้าวชีฮูว่า ‘เกาหลีมันแคบเกินไปสำหรับนาย เราไปต่างประเทศกันเถอะ’ ซึ่งตอนนั้นหมอนั่นตอบกลับมาว่า ‘ประสบความสำเร็จแค่ในเกาหลีก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ ทำไมต้องไปต่างประเทศให้มันวุ่นวายด้วย’
เขาต้องไล่ตามตื๊อชีฮูอยู่เป็นเดือนๆ จนสุดท้ายชีฮูที่ไม่อยากไปต่างประเทศให้วุ่นวายก็จำต้องขึ้นเครื่องบินไปกับเขาด้วย เพราะรำคาญเขาที่เอาแต่คอยตามตอแยตลอด และแล้วเขาก็คิดถูก ชีฮูกลายเป็นนายแบบตัวท็อประดับโลกและกลายเป็นนายแบบที่ทำรายได้มหาศาลให้กับบริษัทของเขา
“เอาเถอะ ที่จริงฉันก็เห็นด้วยกับมาร์ค แต่ถ้านายอยากกลับเกาหลีฉันคงไปยุ่งอะไรด้วยไม่ได้ แล้วนายจะเริ่มทำงานที่นี่เลยหรือเปล่า ที่ผ่านมานายยืนอยู่แค่บนเวที ฉันเลยคิดว่าเราควรขยายอิทธิพลของเราออกไปอีกสักหน่อย คนที่นี่ฮือฮากันใหญ่ สงสัยข่าวที่นายกลับมาถึงเกาหลีคงแพร่กระจายไปในหมู่ดีไซเนอร์แล้วล่ะ ฤดูกาลของแฟชั่นวีกเพิ่งจบไป งานช่วงนี้เลยอาจจะมีแต่งานที่เล็กลงนิดหน่อย แต่ก็มีคนกระหน่ำถามเข้ามาเหมือนกันว่านายพอจะไปแฟชั่นโชว์หรืองานเปิดตัวแบรนด์ได้บ้างหรือเปล่า”
ซองจุนยักไหล่ ขอเพียงแค่ชีฮูไม่ได้มีความคิดที่จะลาออกจากวงการแบบสายฟ้าแลบ เขาก็จะพยายามรับฟังความคิดเห็นของชีฮูให้ได้มากที่สุด
ชีฮูคือนายแบบคนแรกของบริษัทที่นำพาให้เอเจนซี่เขาไปสู่ความสำเร็จ เคยมีเอเจนซี่ต่างประเทศติดต่อมาขอซื้อตัวชีฮูไป โดยเสนอสัญญามาพร้อมกับเงินก้อนโต แต่ชีฮูก็ยังคงเลือกที่จะต่อสัญญากับบริษัทของเขา ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาก็แทบไม่เคยได้ทำอะไรให้หมอนี่เลยด้วยซ้ำ นอกจากการลากหมอนี่ขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศในวันนั้น
มีครั้งหนึ่งซองจุนเคยถามชีฮูว่า ‘ถ้าไม่คิดจะรับงานในเกาหลีเลย แล้วจะมาเซ็นต่อสัญญากับฉันทำไม’ ตอนนั้นชีฮูตอบกลับมาด้วยสีหน้าเฉยเมยว่าเพราะขั้นตอนการเซ็นสัญญาของที่อื่นมันวุ่นวายเกินไป ดังนั้นวิธีที่ซองจุนใช้รับมือกับชีฮูจึงเป็นการรับฟังความคิดเห็นของชีฮูให้มากที่สุดและไม่ทำให้อีกฝ่ายรำคาญใจ
“ถ้าเจอดีไซเนอร์ที่เข้าตาก็อยากลองเดินดูสักงานสองงานอยู่หรอก จะได้ถือโอกาสดูบรรยากาศที่เปลี่ยนไปของเกาหลีไปด้วยเลย”
“เอางั้นเหรอ งั้นเดี๋ยวฉันจะลองหาดีไซเนอร์ที่เข้าท่าเข้าทีให้แล้วกัน นายจะเดบิวต์ที่เกาหลีทั้งที คงให้ไปเดินส่งเดชไม่ได้หรอก สรุปตามนั้นนะ”
สีหน้าของซองจุนที่รู้ว่าชีฮูใช้แม่เป็นข้ออ้างเพื่อกลับมาพักผ่อนสักระยะเปลี่ยนเป็นกระดี๊กระด๊าขึ้นมาทันควัน
“ให้พาชมออฟฟิศไหม เด็กๆ น่าจะอยู่ที่ห้องซ้อมเดินแบบกับห้องออกกำลังกายกัน ถ้าพวกนั้นเห็นนายคงต้องชอบใจกันแน่ๆ เพราะนายน่ะเป็นเหมือนวัตถุบูชาของวงการโมเดลเกาหลีเลยล่ะ ถ้าวันไหนเบื่อๆ ลองมาช่วยดูท่าเดินของพวกเขาหน่อยก็…คงจะวุ่นวายนายอีกสินะ”
ซองจุนหัวเราะเฝื่อนๆ ให้กับสายตาของชีฮูที่จ้องมาเขม็ง ไม่ว่าจะเป็นชีฮูตอนอายุสิบแปดหรือยี่สิบแปด แต่รังสีกดดันที่แผ่ออกมาจากความเป็นอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์นั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ไม่สิ ชีฮูในตอนนี้ซึ่งมีความเซ็กซี่เย้ายวนเพิ่มขึ้น และสามารถเก็บซ่อนรังสีกดดันไว้ภายในได้นั้น ดูท่าจะสามารถดึงดูดผู้คนให้หลงใหลได้อย่างหน้ามืดตามัวมากกว่าชีฮูในวัยเยาว์ที่คอยแผ่รังสีกดดันไปทั่วทุกสารทิศแบบไม่มีกั๊กเสียอีก ชีฮูขยับขาที่ไขว่ห้างออกจากกันพลางดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือก่อนลุกขึ้นยืน
“ถ้ามีโชว์ที่พอจะให้ไปเดินได้ก็ติดต่อมาแล้วกัน ตอนนี้ผมต้องไปแล้ว ถึงเวลาลูกผมอาบน้ำเสร็จพอดี”
ชีฮูเดินลิ่วเปิดประตูออกไปไร้ซึ่งคำล่ำลา จนกระทั่งแผ่นหลังนั้นหายลับไปพร้อมกับประตูที่ปิดสนิทลง ซองจุนจึงวิ่งตาลีตาเหลือกตามไปก่อนเปิดประตูพรวด
“นี่! จองชีฮู! เมื่อกี้นายเพิ่งพูดว่า ‘ลูก’ เหรอ!”
“ยินดีต้อนรับค่า”
เสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งดังขึ้นเหนือประตู แก้มของช่างประจำร้านสัตว์เลี้ยงขึ้นสีแดงระเรื่อ มองชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามา ชายคนนั้นคือคนที่นำสุนัขมอลทีสที่ขนพันกันเป็นก้อนๆ เหมือนไม่ได้รับการดูแลมาฝากเอาไว้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน
“น้องเต้าหู้ตัดขนเสร็จแล้วค่ะ พอดีขนพันกันเยอะมาก ฉันเลยไถออกไปให้เหลือไว้ประมาณสามมิลลิเมตรค่ะ คราวหน้าว่าจะลองใช้เป็นกรรไกรแต่งขนเอาดีกว่า เพราะเดี๋ยวนี้คนไม่ค่อยนิยมตัดสั้นแบบนี้แล้วน่ะค่ะ”
สีหน้าของชีฮูตึงเครียดหลังจากรับเจ้าสุนัขตัวน้อยที่นอนอยู่บนหมอนอิงตรงมุมหนึ่งของร้านมาไว้ในอ้อมอก ขนาดตัวที่ปกติเล็กอยู่แล้วพอขนหายไปก็ดูเหมือนจะหดเล็กลงไปอีก ตอนนี้เจ้าเต้าหู้ตัวเบาลงกว่าเดิมมากจนเริ่มสงสัยว่าก่อนหน้านี้เจ้าเต้าหู้นั้นหนักเพราะขนหรืออย่างไร
เมื่ออุ้มเจ้าเต้าหู้จนกลับถึงห้อง ชีฮูจึงหลุบตามองเจ้าเต้าหู้ตัวฟีบที่กำลังสั่นเป็นระยะๆ อุณหภูมิร่างกายที่โดนตัวเขานั้นอุ่นร้อน อาจเป็นเพราะขนที่หายไป จะว่าไประหว่างทางกลับคอนโดฯ เจ้าเต้าหู้ก็เอาแต่สั่นคอยแต่จะซุกเข้ามาใต้วงแขนของเขาตลอด
เขาวางมันลงกับพื้นอย่างเบามือ เจ้าเต้าหู้จับจองที่นั่งก่อนจะนอนขดตัวกลมบนเบาะนอนอีกฝั่งของห้องที่ใช้เวลาทำความคุ้นเคยได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน ท่าทางมันดูหนาวมากเขาเลยต้องไปหาผ้าห่มผืนเล็กมาคลุมตัวมันก่อนจะลุกยืนขึ้น
เจ้าเต้าหู้เป็นสุนัขมอลทีสซึ่งมีขนสีขาวที่ปลิวไสวไปตามลมอันเป็นเอกลักษณ์ แม้จะชื่อเต้าหู้ก็จริง แต่เบื้องหน้าเขากลับเป็นมอลทีสสีชมพูไปเสียนี่ ชีฮูจ้องมองเนื้อสีชมพูอ่อนดูเกลี้ยงเกลาของเจ้าเต้าหู้ที่โดนตัดขนจนสั้นเกรียนด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
ชีฮูเดินกลับเข้าห้องหลังจากออกกำลังกายในยามเช้าตรู่เสร็จ ชายหนุ่มเริ่มวิ่งจ๊อกกิ้งเบาๆ แถวคอนโดฯ ตอนเช้ามืดตั้งแต่เริ่มอาชีพนายแบบมาตลอดสิบปี จนตอนนี้มันกลายเป็นกิจวัตรที่เขาทำทุกเช้าไปแล้ว คอนโดมิเนียมของชีฮูที่ทางเอเจนซี่เป็นฝ่ายจัดหามาให้นั้นเหมาะแก่การวิ่งยืดเส้นยืดสายมากเพราะมีทางเดินอยู่ติดกับตัวตึก สมกับเป็นคอนโดฯ หรูราคาแพงหูฉี่
ทันทีที่เปิดประตูและก้าวเข้ามาในห้อง เจ้าเต้าหู้พลันหูตั้งเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ก่อนจะลุกจากเบาะนอนวิ่งดุ๊กๆ มาหา เขาอ้าแขนรับเจ้าเต้าหู้ที่ยกขาหน้าของมันเกาะขาของเขาขึ้นมาอุ้มไว้ ทั้งสองเริ่มสนิทสนมและผูกพันกันแม้เพิ่งจะมาอยู่ด้วยกันได้แค่ไม่กี่วัน
‘เจ้าหนูน้อยของแม่น่ารักกว่าเจ้าลูกชายที่แทบไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็นเสียอีก’
ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่แม่พูดกับเขาทุกครั้งที่กลับมาเกาหลีปีละหนแล้ว สิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่คอยต้อนรับเราเสมือนไม่ได้เจอกันมาเป็นสิบปี ทั้งที่ความจริงเพิ่งห่างกันเพียงหนึ่งชั่วโมงนั้นเหมือนจะช่วยเติมเต็มความเหงาและความว่างเปล่าที่ต้องจากบ้านไปคนเดียวนานนับสิบปีให้เขาได้ นี่คงเป็นเหตุผลที่คนเราชอบเลี้ยงสัตว์กันล่ะมั้ง
ชีฮูลูบหลังเจ้าเต้าหู้เบาๆ ขณะซึมซับความอบอุ่นผ่านร่างกายที่อุณหภูมิสูงกว่ามนุษย์ ก่อนวางมันลงแล้วเดินตรงไปยังแผ่นรองซับปัสสาวะ เขาเปลี่ยนแผ่นรองที่หมักหมมมาตลอดทั้งคืน รวมถึงเปลี่ยนอาหารกับน้ำให้ใหม่ เขาทำสิ่งเหล่านี้จนเริ่มชำนาญบ้างแล้ว ส่วนเจ้าเต้าหู้ก็คอยวิ่งตามติดชีฮูที่เดินไปเดินมาระหว่างห้องน้ำกับห้องนั่งเล่น
จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่แรกเขาไม่เคยคิดเลยว่าของเสียจากเจ้าเต้าหู้เป็นสิ่งสกปรก ความรู้สึกแรกตอนเหยียบของเละๆ ครั้งนั้นมีเพียงความตกใจเท่านั้น ทว่าไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือโกรธเคืองอะไร เมื่อนึกไปถึงพรมผืนที่ใช้เป็นแผ่นรองกันเปื้อนให้เจ้าเต้าหู้อยู่ทั้งวัน จนสุดท้ายก็ต้องเนรเทศลงถุงขยะไปแล้วก็เผลอหลุดยิ้มออกมา
มันน่าจะเป็นพรมที่ดีไซเนอร์ที่รู้จักให้มาเป็นของขวัญเพราะรู้ว่าเขาสนใจด้านอินทีเรียดีไซน์ ดีไซเนอร์ขี้ตื๊อนั่นออกจะน่ารำคาญไปสักหน่อย แต่พรมที่ให้มาดันตรงกับรสนิยมของเขา เขาเลยจำต้องแบกมันกลับมาถึงเกาหลีด้วย เขาก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรหรอก แต่ก็คิดว่ามันน่าจะเป็นแผ่นรองกันเปื้อนที่แพงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้
ชีฮูนั่งลงบนโซฟาพร้อมกาแฟหนึ่งแก้วโดยมีเจ้าเต้าหู้ยืนสองขาเกาะแกะเขาเพื่ออ้อนขอขึ้นไปนั่งด้วย ชีฮูเห็นเช่นนั้นจึงแตะจมูกของมันเบาๆ
“แกก็ขึ้นบันได* มาสิ บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ายืนสองขาบ่อยๆ”
เจ้าเต้าหู้เอียงคอคล้ายกับอยากรู้ในสิ่งที่เขาพูด ซึ่งท่าทางแบบนั้นก็ทำให้ชีฮูระเบิดหัวเราะออกมา
“ตอนนี้แกดูไม่ได้เลยแฮะ ทำยังไงดีเนี่ย ถ้าให้กินอาหารเสริมขนจะยาวเร็วขึ้นไหมนะ”
“ค่ะ ทางเราทำอะไรไม่ได้จริงๆ ค่ะ ยังไงก็ช่วยทำให้น้องสงบก่อนแล้วค่อยพามานะคะ…ค่ะ ทราบแล้วค่ะ”
เยจินเอียงศีรษะเมื่อเห็นจินอาถอนหายใจหลังจากวางสายโทรศัพท์
“พี่คะ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“เขาบอกว่าจะพาแมวมาที่นี่ แต่แมวเขาค่อนข้างกลัวคลินิกน่ะสิ ฉันเลยถามไปว่าจะเอามาได้ไหม”
“เขาจะพามาตอนนี้เลยเหรอคะ”
“ทางนั้นบอกเพิ่งออกเดินทาง อีกสักพักคงถึงแล้วล่ะ”
“อ้อ งั้นเราคงต้องเตรียมใจแล้วสินะคะ”
“แหงสิ ว่าแต่ฉันเอาถุงมือป้องกันไปวางไว้ไหนกันนะ”
จินอากับเยจินยืนข้างกันและถอนหายใจด้วยความกังวล ปกติพวกแมวมักมีนิสัยไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่ประเภทที่กลัวคลินิกก็มีไม่น้อยเช่นกัน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีโรงพยาบาลสัตว์เฉพาะทางสำหรับแมวไว้ต่างหาก
“เมี้ยววว! แง้ว!”
ไหล่ของอูกยองกระตุกเฮือกกับเสียงร้องบาดหู
“คุณเจ้าของคะ ช่วยพูดกับน้องหน่อยนะคะ”
“จับขาหน้าน้องไว้ค่ะ”
อูกยองได้ยินเสียงความโกลาหลดังมาจากห้องตรวจข้างๆ เห็นทีว่าแมวเจ้าอารมณ์จะมาถึงแล้ว
“เมี้ยววว!”
“คุณจินอาครับ ต้องเอาผ้ามาคลุมแล้วล่ะครับ”
“สักครู่นะคะ”
อูกยองนั่งฟังเสียงนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจและลุกเดินเข้าไปในห้องตรวจฉุกเฉิน เขาหยิบยาระงับประสาทจากตู้ยา ก่อนใช้เข็มดูดยาขึ้นมา จากนั้นจึงถือเข็มฉีดยาเดินตรงไปยังห้องตรวจข้างๆ
เมื่อเดินพ้นประตูที่เชื่อมระหว่างห้องตรวจและห้องฉุกเฉินไปก็พบกับแผ่นหลังของซอนโฮ จินอา และเยจินที่ตาลีตาเหลือกพุ่งเข้าไปจับแมวพร้อมกันสามคน เมื่อถอยหลังไปหนึ่งก้าวก็เจอกับเจ้าของที่ย่ำเท้าเดินไปมาด้วยความลนลาน สีหน้ารับมือไม่ถูกเพราะไม่เคยเจอท่าทางของแมวตัวเองที่ไม่ค่อยได้เห็นในเวลาปกติ
อูกยองคิดแล้วว่าตนน่าจะแทรกเข้าไประหว่างสามคนที่มะรุมมะตุ้มกันลำบาก จึงเดินกลับเข้าห้องตรวจของตัวเองอีกรอบ ก่อนจะเดินออกมาทางประตูที่เชื่อมกับห้องนั่งเล่นแทน จากนั้นจึงเดินเข้าห้องตรวจของซอนโฮ
“แง่ง แง่ง แง้ววว!”
เขาขยับเข้าไปทางฝั่งหัวของแมวที่กำลังตื่นกลัวเพราะความเครียด ก่อนจะใช้แขนล็อกคอแล้วดันให้ตัวของมันติดกับสีข้างของตัวเอง อูกยองที่กำลังล็อกคอแมวไม่ให้มันขยับหัวได้หยุดชะงักไปครู่หนึ่งพลางขมวดคิ้ว ก่อนจะรีบจับเนื้อส่วนคอขึ้นมาแล้วฉีดยาระงับประสาทเข้าไป
“คุณเยจิน ใส่คอลล่า* ให้ทีครับ”
“ตายแล้ว! ทำยังไงดี คุณหมอคะ!”
เยจินร้องหวีดร้องเสียงหลงเมื่อหันไปเห็นแมวเจ้าอารมณ์กัดเข้าที่ด้านหลังของอูกยองที่กำลังกำราบมันอยู่
“ส่งคอลล่ามาครับ”
เยจินตะลีละลานสวมคอลล่าลอดใต้แขนของอูกยอง ชายหนุ่มถอยหลังกลับทันทีที่เจ้าเหมียวยอมปล่อยปาก
“คุณหมอพัคครับ คุณน่าจะหาอะไรมาห่อตรงส่วนเล็บไว้เผื่อด้วยนะครับ”
“ครับ”
เยจินกับจินอาช่วยกันจับเท้าหน้าและเท้าหลังก่อนจับเจ้าเหมียวพลิกตัว ซอนโฮพันเท้าของมันด้วยผ้าพันแผลแบบกาว เสร็จแล้วจึงจับเจ้าเหมียวยืดหลังขึ้นตรง
“เดี๋ยวจะย้ายไปห้องเอ็กซเรย์แล้ว รบกวนคุณเจ้าของรอตรงนี้นะครับ”
ทั้งสามคนหายไปแล้ว ตอนนี้ได้ยินแค่เพียงเสียงร้องแผ่วเบาของเจ้าเหมียวที่อ่อนแรงลงเพราะยาเริ่มออกฤทธิ์ทีละน้อย อูกยองจึงหันกลับมาหาเจ้าของแมวที่เดินไปเดินมาด้วยท่าทางลนลานเมื่อครู่
“คุณเจ้าของครับ”
“คะ?”
“เวลาปกติตอนอยู่ที่บ้านลองเอาน้องใส่กระเป๋าแมวบ้างนะครับ น้องจะได้ชิน แล้วก็หมั่นลูบหมั่นจับน้องตอนให้ขนมบ่อยๆ น้องจะได้ไม่กลัวเวลาใครเอามือเข้าไปใกล้หน้า แมวบางตัวเวลาอยู่บ้านก็ปกติดี แต่พอมาคลินิกกลับตื่นตระหนกแบบนี้ก็มีอยู่เยอะ หากเกิดอะไรขึ้นพอถึงเวลาจำเป็นจริงๆ อาจจะรักษาไม่ทันเอาได้นะครับ เพราะมีบางกรณีที่หัวใจวายเฉียบพลัน”
“ค่ะ”
“อีกอย่างถึงผมจะเป็นหมอ แต่ถ้าโดนข่วนหรือโดนกัดก็เจ็บเป็นเหมือนครับ”
“ค่ะ ฉันขอโทษจริงๆ นะคะ”
เจ้าของแมวสะดุ้งกับประโยคสุดท้ายนั้นแล้วรีบโค้งตัวกล่าวคำขอโทษ อูกยองโค้งตัวตอบก่อนหมุนตัวกลับไปทางประตู แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าไปครู่หนึ่ง เมื่อมองเห็นชายหนุ่มที่ยืนนิ่งราวกับรูปปั้นผ่านทางประตู
“เชิญมาที่ห้องตรวจผมได้เลยครับ”
อูกยองเปิดประตูออกแล้วเดินผ่านเขาไป ชีฮูจึงเดินตามแผ่นหลังบางนั้นเข้าไป อูกยองนั่งลงประจำที่ก่อนเคาะมือกับโต๊ะตรวจเมื่อเห็นกระเป๋าสัตว์เลี้ยงในมือของชายหนุ่มเป็นเชิงบอกให้วางเจ้าเต้าหู้ที่อยู่ในกระเป๋านั้นลงมาบนโต๊ะ
“คุณหมอทำแผลที่โดนกัดก่อนเถอะครับ”
“ผมไม่เป็นไร ตรวจให้เสร็จก่อนก็ได้ครับ”
อูกยองเลิกคิ้วใส่ชีฮูที่ยืนถือกระเป๋าสัตว์เลี้ยงไม่หือไม่อือ พอเห็นชายหนุ่มที่ไม่ยอมขยับเขยื้อนเสมือนจะไม่ให้ตนตรวจถ้าไม่ยอมทำแผลก่อน อูกยองจึงเสยผมหน้าม้าขึ้น เลื่อนเก้าอี้ออก ก่อนลุกขึ้นยืน
เขาเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน หยิบสำลีแอลกอฮอล์ ยาป้าย กับพลาสเตอร์กันน้ำมาถือไว้ ก่อนจะเลิกเสื้อสครับ* สีน้ำเงินขึ้น เขาคิดว่าแผลน่าจะอยู่แถวแนวรักแร้ยาวไปจนถึงด้านหลังสักที่ ทว่าพยายามหันไปดูเท่าไรก็ยังหาไม่เจอ จังหวะที่กำลังลดเสื้อลงและคิดว่าคงต้องรอให้ซอนโฮตรวจเสร็จก่อน จู่ๆ ก็มีมือยื่นมาจากทางด้านหลังพร้อมกับเลิกเสื้อเขาขึ้นไปอีกเล็กน้อย
“ทำอะไรของคุณน่ะ”
เสียงแหวสูงด้วยความตกใจของอูกยองดังลั่นห้องตรวจ ชีฮูจึงตอบกลับพลางพินิจดูบาดแผลอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ก็คุณหมอมองไม่เห็นแผลไม่ใช่เหรอครับ”
อูกยองสะดุ้งตามเสียงที่ดังขึ้นด้านหลัง ลมหายใจของชายหนุ่มถูกปล่อยออกมาพร้อมกับคำพูดกระทบเข้ากับต้นคอของเขาก่อนสลายหายไป ถ้าบอกให้อีกฝ่ายถอยออกไป เขาคงจะดูเล่นใหญ่เกินไปหน่อย ในขณะที่อูกยองกำลังลังเลอยู่นั้น นิ้วของชีฮูก็สัมผัสโดนบริเวณบาดแผลพอดี อูกยองพลันเด้งตัวขึ้นหลังตรงทันที
“รอบๆ แผลเหมือนจะเริ่มบวมแล้ว ไม่เจ็บเหรอครับ”
“เจ็บครับ”
อูกยองนิ่วหน้าตอบน้ำเสียงที่ไถ่ถามมาอย่างสุขุม ชีฮูเพ่งมองรอยแผลก่อนพยักหน้า รอยเขี้ยวแหลมคมปรากฏให้เห็นเด่นชัด แม้เลือดจะหยุดไหลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ผิวบริเวณรูแผลนั้นกำลังบวมขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่ชายหนุ่มพยักหน้าเมื่อครู่ เส้นผมก็ปัดผ่านโดนแผ่นหลังของเขาด้วยคงเพราะเอาศีรษะเข้ามาใกล้มาก เรียวนิ้วของอูกยองกำเข้าหากันแน่นกับสัมผัสที่ชวนให้รู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ กลิ่นประจำกายที่ชวนให้รู้สึกสดชื่นของชายหนุ่มลอยมาแตะจมูก แม้ไม่ใช่กลิ่นฟีโรโมนแต่ก็สามารถทำให้อูกยองกัดริมฝีปากด้วยความประหม่าจนหน้าท้องหดเกร็งได้
“ยืนดูเฉยๆ แผลมันไม่หายหรอกนะครับ”
สิ้นเสียงของอูกยองชายหนุ่มจึงได้เริ่มลงมือหยิบก้านสำลีแอลกอฮอล์ขึ้นมาจากกล่องปฐมพยาบาลที่วางอยู่ข้างๆ มาล้างบริเวณรอบๆ บาดแผลให้เขา คงเป็นเพราะชายหนุ่มพิถีพิถันไปหน่อย กว่าจะล้างแผลเสร็จจนทั่วก็ใช้เวลาไปนานกว่าที่เขาคิด ในขณะที่อูกยองกำลังคิดว่าจะบอกให้อีกฝ่ายหยุดมือลง ชีฮูก็ใช้คอตตอนบัดป้ายยาแล้วนำมาทาที่แผล ก่อนจะแปะพลาสเตอร์ให้เสร็จสรรพ จากนั้นก็ยืดตัวขึ้นตรง ทันทีที่อีกฝ่ายผละออกห่าง อูกยองก็รีบดึงชายเสื้อลงทันที เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงของชายหนุ่มซึ่งอยู่ด้านหลังดังขึ้น
“จะไม่ขอบคุณกันหน่อยเหรอครับ”
“ขอบคุณครับ ทีนี้ผมคงไปดูน้องเต้าหู้ได้แล้วสินะครับ”
อูกยองตอบเจือเสียงแค่นหัวเราะที่ชายหนุ่มยอกย้อนประโยคที่เขาเคยพูดเมื่อหลายวันก่อน เขาย้ายตัวเองกลับไปยังห้องตรวจอีกครั้ง ชายหนุ่มซึ่งเดินหลังตามมาจึงเดินมาเปิดซิปกระเป๋าสัตว์เลี้ยงให้ อูกยองแทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเห็นสภาพเจ้าเต้าหู้ที่ชีฮูอุ้มออกมาจากกระเป๋า
“ไส้กรอก…สีชมพู…?”
ชีฮูหยุดมือที่กำลังจะอุ้มเจ้าเต้าหู้วางลงบนโต๊ะตรวจก่อนจ้องอูกยองเขม็ง เมื่ออูกยองเห็นสายตานึกตำหนิจากชายหนุ่มก็ไม่อาจทนได้จนต้องเบือนสายตาหลบ นี่คงเป็นความรู้สึกของพ่อแม่ที่ชอบว่าลูกตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่พอคำนั้นหลุดออกจากปากคนอื่นกลับทนฟังไม่ได้เสียอย่างนั้น แต่ถึงอย่างนั้นอูกยองก็จำต้องหันไปดุชายหนุ่มเพื่อแก้เขิน
“ครั้งหน้าอย่าตัดสั้นแบบนี้อีกนะครับ น้องอาจจะบาดเจ็บเพราะความร้อนหรือใบมีดของเครื่องโกนขนได้ อีกอย่างถ้าเกิดตัดจนสั้นเกินไปพวกสุนัขเองก็รู้สึกอับอายเป็นเหมือนกันนะครับ”
“…”
“ผมเองก็หวังว่าเลนส์ตาน้องจะแค่ขุ่นเฉยๆ แต่ท่าทางจะเป็นต้อกระจกจริงๆ ถึงมันจะเป็นโรคที่เกิดขึ้นตามวัย แต่ต้อกระจกก็ไม่มีวิธีรักษาขั้นพื้นฐานอื่นนอกจากการผ่าตัดแล้วล่ะครับ พวกสุนัขแม้จะมีอายุและสูญเสียการมองเห็นไป แต่ก็ไม่ได้กระทบกับการทำกิจกรรมต่างๆ มากมาย ดังนั้นผมแนะนำให้ใช้วิธีชะลออาการด้วยยาหยอดตาดีกว่าการผ่าตัดครับ”
สุนัขนั้นมีประสาทการได้ยินเป็นเลิศอยู่แล้ว จึงไม่ต้องพึ่งพาประสาทการมองเห็นมากนัก พอคนเราเห็นดวงตาที่ขุ่นมัวก็จะทำให้รู้สึกว่าพวกมันอายุเยอะมากแล้ว ทว่าความจริงพวกสุนัขเองก็ไม่ได้รู้สึกลำบากลำบนอะไร ชีฮูได้แต่พยักหน้ารับฟังอูกยองเงียบๆ
“สายตาของน้องจะแย่ลงเรื่อยๆ พยายามอย่าเปลี่ยนตำแหน่งสิ่งของภายในบ้านเท่าที่จะทำได้นะครับ สิ่งของจำเป็นเช่นชามข้าวกับแผ่นรองซับก็ต้องวางไว้ที่เดิมตลอด ส่วนของตกแต่งที่เกะกะเวลาเดินไปเดินมาแล้วอาจทำให้บาดเจ็บได้ก็รบกวนจัดเก็บให้ดีด้วยครับ”
อูกยองยื่นมือไปตรงขาหลังของเจ้าเต้าหู้ ตั้งอกตั้งใจกับการลูบคลำกระดูกข้อต่อจนชีฮูมองเห็นแพขนตายาวสีดำสนิทและนวลแก้มขาวไร้รอยตำหนิ เขาลองดึงขาของมันมาด้านหลังพลางย่นหัวคิ้วด้วยความจดจ่อ
“ลูกสะบ้าเคลื่อนด้วยนะครับเนี่ย ความรุนแรงอยู่ในระยะที่สองเห็นจะได้”
อูกยองหยิบโมเดลจำลองขาหลังออกมาจากข้างโต๊ะ
“ส่วนที่เรียกว่าลูกสะบ้าคือ…”
การตรวจดำเนินต่อไปยาวนานพอสมควร ชีฮูไล่มองตามนิ้วเรียวยาวของอูกยองที่บรรจงชี้ไปตามลำตัวเจ้าเต้าหู้
“ผมอาจจะพูดเกี่ยวกับเรื่องโรคต่างๆ มากไปหน่อย แต่ถ้าลองเทียบเป็นอายุคน เจ้าเต้าหู้ก็คงอายุประมาณหกสิบปีได้ ยังไงก็ต้องมีเจ็บป่วยบ้างเป็นธรรมดา ต้องทำใจยอมรับด้วยว่าเวลาของลูกคุณจะผ่านไปรวดเร็วกว่าเวลาของคุณ ถ้าน้องอายุน้อยกว่านี้ผมคงเสนอให้ทำการผ่าตัดไปแล้ว แต่ตอนนี้ไม่มีโรคที่ร้ายแรงถึงชีวิต การดูแลร่างกายเลยจะเป็นวิธีที่ดีกว่าการผ่าตัดครับ”
ในน้ำเสียงที่หากฟังผ่านๆ อาจดูเหมือนไม่แยแสนั้น ทว่าชีฮูสัมผัสได้ถึงความพยายามใส่ใจในการเลือกคำพูด แม้มันอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจไปสักหน่อยแต่ยังยอมรับได้ แม้ไม่ใช่น้ำเสียงละมุนละม่อม หากแต่ในความเย็นชานั้นแฝงไปด้วยความจริงใจ
“ผมเข้าใจดีว่าคุณโดนผลักให้เข้ามาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้โดยไม่ทันได้เตรียมตัว แถมจู่ๆ ยังต้องมารับเลี้ยงเจ้าเต้าหู้อีก แต่ในเมื่อคุณเลือกแล้ว คุณก็จำเป็นต้องรับผิดชอบ หนึ่งวันของสัตว์เลี้ยงจะเท่ากับหนึ่งเดือนของคน เวลาของคุณผ่านไปเร็วเท่าไหร่ เวลาของเจ้าเต้าหู้ก็จะผ่านไปเร็วยิ่งกว่า ผมอยากให้คุณทุ่มเทและเอาใจใส่เขา บั้นปลายชีวิตของเขาจะได้ไม่ต้องโดดเดี่ยวและยากลำบาก ทุกชีวิตต่างก็มีค่าไม่แตกต่างกัน ดังนั้นได้โปรดอย่าด้อยค่าอีกชีวิตที่เขาหวังพึ่งพาคุณเลยนะครับ”
สายตาของทั้งคู่สบประสานกัน มีเพียงความเงียบที่คั่นกลางระหว่างสายตาของเขาทั้งสอง ริมฝีปากบางสีทับทิมของอูกยองวาดยิ้มสวยน่ามอง แก้มนวลพลันยกนูนขึ้นเพราะรอยยิ้มนั้น นัยน์ตาสีดำคมเข้มของชีฮูจับจ้องดวงตากลมมนไม่ละสายตา
“ที่ผมพูดมากขนาดนี้เพราะผมรู้ว่าอดีตของเจ้าเต้าหู้เป็นมายังไง เลยชอบเข้าไปยุ่งบ่อยๆ แต่ต่อจากนี้ผมจะไม่พูดอะไรมากแล้วครับ คุณแค่ต้องคอยหยอดตากับป้อนยาบำรุงให้ครบถ้วน สำหรับสัตว์เลี้ยงสูงอายุให้มาตรวจสุขภาพสักปีละสองครั้งกำลังดีครับ สังเกตดูอาการว่าน้องมีอาเจียน ท้องร่วง หรืออ่อนแรงบ้างไหม ถ้าเจอสิ่งผิดปกติก็แวะมาได้เลยครับ”
“คือ…”
สุ้มเสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากของชีฮูเรียกความสงสัยให้ผุดขึ้นในดวงตาของอูกยอง
“ผมไม่เคยคิดว่าคุณพูดมากเลยนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
อูกยองมองแผ่นหลังของคนที่พยักหน้าเบาๆ ก่อนเปิดประตูเดินออกไป
ทั้งสุนัขตัวน้อยที่มาให้เห็นจนชินตากับเจ้าของผู้มีเสน่ห์…ช่างเป็นคู่ที่ชวนให้หันไปสนใจได้เสมอเลยจริงๆ
“เฮ้อ ให้ตายสิ”
ซอนโฮเดินเข้ามาในห้องตรวจของอูกยองพลางส่งเสียงบ่นกระปอดกระแปด คงเพราะเหนื่อยล้ากับแมวเหมียวเจ้าอารมณ์
“เหนื่อยหน่อยนะ คราวหลังก็ฉีดยาระงับประสาทก่อนเอาออกจากกระเป๋า เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาน้องอาจจะช็อกเอาได้”
“คงต้องแบบนั้นแหละครับ คราวนี้ผมประมาทไปหน่อย”
เยจินเดินตามหลังซอนโฮเข้ามา สีหน้าของเธอเจือไปด้วยความกังวลใจ
“คุณหมอคะ ทำแผลไปหรือยังคะ”
“เอ๊ะ? รุ่นพี่โดนกัดเหรอครับ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดการแล้ว”
“ทำแผลเองเหรอคะ”
“เจ้าของน้องเต้าหู้มาช่วยทำให้น่ะครับ”
“อ้อ! จริงด้วย ผมเห็นลูกค้าอัลฟ่าคนนั้นแล้ว!”
“เอ๊ะ คุณก็เห็นเหรอคะ พี่จินอาเองก็วี้ดว้ายอยู่พักหนึ่งเลย”
โทนเสียงซอนโฮสูงขึ้นระดับหนึ่งราวกับตื่นเต้นเพราะคำพูดของเยจิน
“เห็นแวบเดียวก็บอกได้เลยครับว่าเพอร์เฟ็กต์ทั้งใบหน้าทั้งหุ่น ถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยใบหน้าแบบนั้นบ้างจะรู้สึกยังไงกันนะ”
“รู้สึกเหนื่อยน่ะสิ”
อูกยองพูดอย่างตายด้านขัดอารมณ์ของซอนโฮที่ทำตัวตื่นเต้นจนเกินเหตุ นิ้วเรียวคลิกเม้าส์ดังกริ๊กๆ คล้ายไม่สนใจในบทสนทนา
“เหนื่อยเหรอครับ ทำไมอะ”
“ก็ต้องเหนื่อยเพราะคนมองกันตลอดเวลาที่ไปไหนมาไหนน่ะสิ หรือขนาดตัวไม่อยู่ก็ยังถูกเอาไปเป็นหัวข้อสนทนาได้เลย”
“งั้นเหรอ แต่ถึงอย่างนั้นถ้าได้ใช้ชีวิตด้วยใบหน้าแบบนั้นสักวันบ้างคงดีไม่หยอกนะครับ อ้อ หน้าแบบรุ่นพี่ผมก็ไม่ติดนะ”
“ก็เอาสิ เอาไปได้ก็เอาไปเลย หน้าฉันน่ะ”
อูกยองยิ้มขำกับสิ่งที่ซอนโฮพูด ดูท่าซอนโฮจะไม่ถูกใจกับใบหน้าน่ารักกลมดิ๊กไร้เหลี่ยมของตัวเองน่าดู
“โห น้ำใจงามจังเลยนะครับ”
ซอนโฮเหน็บแนมอูกยอง และจู่ๆ ก็ถามขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
“ว่าแต่เราไม่มีไปกินเลี้ยงอะไรด้วยกันหน่อยเหรอครับ คลินิกเราก็เปิดมาพักนึงแล้ว แต่ผู้อำนวยการคลินิกของเรายังไม่เคยออกปากชวนไปกินข้าวด้วยกันสักครั้งเลยนะครับเนี่ย”
“ข้าวกลางวันก็กินด้วยกันทุกวัน ยังจะมากินเลี้ยงอะไรกันอีกล่ะ ยุ่งยากจริง”
“โห่ รุ่นพี่ กินข้าวกลางวันกับกินเลี้ยงนี่มันเหมือนกันตรงไหนครับ เดี๋ยวนะ ไปเรียกคุณจินอามาด้วยดีกว่า ทุกคนมาประชุมกันเถอะ”
ใต้แสงไฟมืดสลัว ภายในร้านอาหารเต็มไปด้วยเหล่าผู้คนที่มารวมตัวสนทนากันอย่างออกรสออกชาติหลังจากเลิกงาน พอได้ฟังเรื่องที่ซอนโฮเล่า เยจินก็แย้มยิ้มออกมาก่อนจะเงยหน้าขึ้น
เอ๊ะ สบตากันอีกแล้ว
สีหน้าของเยจินเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เธอสบตากับคนโต๊ะตรงข้ามตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นแค่ความบังเอิญ แต่แล้วเธอก็เริ่มมั่นใจในตอนที่อีกฝ่ายมองตัวเองแล้วเอาไปหัวเราะขำขันกับคนด้านข้างที่นั่งหันหลังให้เธอ แต่ก็ยังเหลียวมามองสบตาเธอ
พวกเขาคงมองแผลแล้วเอาไปนินทากัน เพราะแบบนี้เธอเลยไม่ชอบสถานที่ที่มีคนรวมอยู่ด้วยกันเยอะๆ โดยเฉพาะคนที่พอเหล้าเข้าปากมารยาทก็เริ่มหายไปและหยาบคายขึ้น ถึงขั้นเดินเข้ามาหาเรื่องเธอเลยก็มี แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่กล้าที่จะใช้เหตุผลนี้มาปฏิเสธการกินเลี้ยงครั้งนี้อยู่ดี
เธอเอาแต่ก้มศีรษะและห่อไหล่พลางยกแก้วโซจูกระดกเข้าปากอย่างเงียบๆ เพราะอยากหลีกเลี่ยงสายตาของคนพวกนั้น
หล่อนจะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะ นี่มันกินเลี้ยงครั้งแรกกับเพื่อนร่วมงานที่เคยมีเป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะ
เธอพยายามปลอบประโลมตัวเองด้วยการหลับตาแน่นๆ เมื่อเปิดตาขึ้นมาก็เห็นมือของอูกยองที่กำลังเติมโซจูให้ตนอยู่พอดี
“เมาก่อนถือว่าขี้โกงนะครับ”
อูกยองวาดยิ้มจนเห็นเป็นเส้นโค้งเล็กน้อย เธออยากจะพูดว่า ‘หน้าตาคุณหมอนั่นแหละค่ะที่ขี้โกง’ ทว่าเธอก็ทำได้แค่กลืนมันลงไปแล้วหัวเราะออกมาแทน
ถ้าเราหน้าตาดีแบบนั้นบ้าง จะมั่นใจมากขึ้นไหมนะ
เยจินถือกระเป๋าลุกขึ้นก่อนเอ่ยปากขอตัวไปห้องน้ำสักครู่
เธอก้มศีรษะลงและล้างมือด้วยน้ำเย็น เพราะไม่อยากเงยหน้าขึ้นมามองกระจก ซึ่งตัวเธอเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เธอก็ไม่อยากส่องมันเลย
ไม่เป็นไรน่า วันนี้มากินเลี้ยงสนุกๆ ทั้งที อย่าทำลายบรรยากาศสิยะ สนุกไปกับคนอื่นๆ ดีกว่า
เยจินหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่งก่อนเดินออกจากห้องน้ำไป
สุดปลายโถงทางเดินเยจินพบชายสองคนกำลังยืนพิงกำแพงพูดคุยกันอยู่ และในจังหวะที่เธอกำลังจะเดินผ่านพวกเขาไปนั้น ฝีเท้าของเยจินก็จำต้องสะดุดลง คนพวกนั้นคือผู้ชายโต๊ะที่หันมาสบตากับเธอบ่อยๆ ความมั่นใจที่อุตส่าห์ปลุกปั้นมาในห้องน้ำเมื่อครู่พลันสลายหายไปราวกับหมอกควัน
เยจินละล้าละลังทันทีเมื่อมองไปที่ชายสองคนซึ่งกำลังกระซิบกระซาบกันว่าเธอออกมาจากห้องน้ำแล้ว ถ้าจะกลับไปนั่งที่ก็ต้องผ่านสองคนนี้ไปให้ได้ ทว่าเธอกลับไม่มีความกล้าอยู่เลยสักนิด
เยจินที่ราวกับถูกตรึงเท้าไว้เมื่อครู่รีบโน้มศีรษะแล้วสาวเท้าเดินปรี่ออกมา ถ้าจุดมุ่งหมายของคนพวกนั้นคือการทำให้เธอขายหน้า อย่างไรเสียเธอก็คงเลี่ยงไม่ได้ เยจินสูดหายใจเข้าออกสองสามทีอย่างเตรียมใจ แต่กลับต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อเห็นเท้าสี่ข้างกำลังขวางทางเธออยู่
“หน้าด้านหน้าทนเดินไปไหนมาไหนด้วยหนังหน้าอย่างนี้เนี่ยนะ โลกสวยจังเลยนะเธอเนี่ย”
“ใส่แมสก์ปิดหน่อยก็ได้มั้ง”
“เอ๊ะ แต่นี่มันร้านอาหารนะเว้ย ใส่แมสก์แล้วจะแดกเนื้อได้ไงล่ะวะ”
“เออว่ะ นั่นดิ”
คนพวกนั้นพูดกันอย่างขำขันตรงหน้าเธอราวกับเป็นเรื่องสนุก ในขณะที่เธอทำได้เพียงยืนหายใจหอบอยู่ตรงนั้น เธอทั้งอับอาย เสียหน้า และหวาดกลัว
อูกยองสังเกตเห็นสีหน้าอึมครึมของเยจินตั้งแต่ก่อนหน้านี้ตอนกำลังพลิกเนื้อหมูบนตะแกรงย่าง ตอนแรกเธอก็ดูสดใสร่าเริงดี แต่จู่ๆ กลับตึงเครียดขึ้นมาเสียอย่างนั้น แม้จะพยายามเก็บซ่อนและเข้ามามีส่วนร่วมในบทสนทนาบ้างเป็นพักๆ แต่สีหน้าไม่สบายใจก็ยังคงปรากฏให้เห็นเด่นชัด
อูกยองขมวดคิ้วมุ่นกับท่าทีของเธอที่มักจะถอยเก้าอี้ไปชิดกำแพงเหมือนกับพยายามหาที่หลบอะไรสักอย่าง พอเห็นเยจินก้มศีรษะลงจนคางชิดอก เขาจึงเอี้ยวตัวหันไปหาสิ่งที่เธอชำเลืองมองมาพักใหญ่ อูกยองหันไปปะทะสายตากับผู้ชายโต๊ะด้านหลังพร้อมย่นหัวคิ้วเข้าหากัน
คนพวกนั้นกำลังซุบซิบกัน แต่เมื่อสบตากับอูกยองเข้า พวกนั้นจึงทำเป็นคึกคักชนแก้วไปมาเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น วินาทีนั้นริมฝีปากของอูกยองพลันเม้มปิดแน่นสนิท
อูกยองลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบทันทีที่เห็นว่าเยจินหายไปจากที่นั่งนานกว่าที่คิด ยิ่งเห็นว่าชายโต๊ะด้านหลังสองคนหายไปด้วยแล้ว เขาจึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นไปอีก บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของคนที่ยืนขวางหญิงสาวอยู่ตรงหัวมุมทางเดินไปห้องน้ำ
“เอาหน้าโสโครกของพวกแกไปให้พ้นทางหน่อยสิวะ ขวางทางชะมัด”
ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเย็นยะเยือกของอูกยอง ศีรษะของเยจินที่กำลังจ้องพื้นอย่างฝืนทนจึงผงกขึ้น ชายสองคนชักสีหน้าไม่พอใจหันมามองอูกยอง ก่อนจะผงะก้าวถอยหลังไป
“สงสัยร้านนี้คงต้องคัดลูกค้าหน่อยแล้วมั้ง พอเห็นอะไรทุเรศๆ แล้วกินข้าวไม่อร่อยเลย ยิ่งหน้าของพวกแกยิ่งแล้วใหญ่”
“หา? ว่าไงนะ” ชายผู้ที่หยุดชะงักไปเพราะเห็นส่วนสูงของอูกยองเริ่มตวาดเสียงดังด้วยแรงโทสะ อูกยองจึงแกล้งยิ้มเยาะเย้ย
“ไม่รู้สิ เมื่อกี้ฉันพูดว่าอะไรนะ เจอกับคนปากสกปรกๆ แบบนี้ ฉันก็คงกำลังเอาคืนด้วยคำพูดสกปรกๆ ล่ะมั้ง”
“แก…”
“พวกน่ารังเกียจที่วันๆ เอาแต่แส่เรื่องชาวบ้าน ฉันล่ะสงสัยจริงๆ ที่พวกแกพูดจาหมาๆ ทำลายความมั่นใจชาวบ้านเขาแบบนี้คงมีปมด้อยเรื่องหน้าตาสินะ ไหนลองอธิบายมาให้ฟังหน่อยดิ”
“เฮ้ย พอเถอะว่ะ กลับกันเหอะ”
ชายอีกคนพูดห้ามพลางรั้งชายที่กำลังจะก้าวเท้าออกมาเพราะอารมณ์ขึ้นเอาไว้ อูกยองเดินหลบไปยืนชิดกำแพงพร้อมผายมือเป็นการเชิญ
“ไปก็ไปวะ”
ขณะที่ชายอีกคนกำลังลากชายที่ทำหน้าตาโมโหกระฟัดกระเฟียดผ่านหน้าไป อูกยองแอบยื่นเท้าออกมาข้างหน้านิดหน่อย ทำให้ชายที่สะดุดขาเขาจนเกือบล้มโน้มตัวลงจ้องมองกลับมาอย่างฉุนเฉียว อูกยองแค่นหัวเราะพลางยักไหล่
“โทษที ก็อย่างที่เห็น พอดีฉันขายาวไปหน่อย แต่ก็น่าเสียดายนะที่เมื่อกี้ไม่มีหมาตัวไหนล้ม”
อูกยองมองดูชายคนนั้นกลืนคำสบถพร้อมเดินกลับไปทางร้านอาหาร ก่อนจะหันกลับมาหาเยจิน หญิงสาวหลุบตามองพื้นพลางกัดริมฝีปากล่างแน่นเสมือนอับอายที่อีกฝ่ายมาพบเจอเธอในสถานการณ์เช่นนี้ อูกยองจึงสาวเท้าเข้าไปหาเธอก้าวหนึ่ง
“จะทนฟังไปทำไมครับ”
“แล้วจะให้ฉันทำยังไงได้ล่ะคะ”
ริมฝีปากเธอสั่นระริกคล้ายกำลังฝืนกลั้นหยาดน้ำตาที่กำลังจะไหลทะลักออกมาอย่างสุดกำลัง
ในสถานการณ์แบบนี้ฉันต้องทำยังไงเหรอ ฉันต้องตบหน้าผู้ชายพวกนั้นสักฉาดอย่างนั้นเหรอ
“ก็เตะไอ้นั่นของพวกมันไปเลยสิครับ แต่จะว่าไปก็ดูไม่ค่อยจะมีสักเท่าไหร่ เล็กเกินไปหน่อย เตะไปก็คงไม่เจ็บหรอกมั้ง”
อูกยองพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแสที่แทบไม่มีโทนสูงต่ำ ทำเอาเยจินหลุดยิ้มและระเบิดหัวเราะออกมา น้ำตาที่ฝืนกลั้นเอาไว้พลันเอ่อล้นคลอหน่วยตา วินาทีที่มันไหลหยดลงมาเยจินก็นั่งฟุบลงกลางโถงทางเดินไปห้องน้ำ
เยจินนั่งเอามือวางไว้บนเข่าพร้อมกับซุกใบหน้าลงไป เมื่ออูกยองเห็นไหล่ที่สั่นเครือของเธอก็ถึงกับต้องถอนหายใจแรงด้วยความที่ไม่รู้ว่าตนต้องทำตัวอย่างไร เขาเดินเข้าไปหาเยจินที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่กับพื้น ก่อนจะนั่งลงในท่าทางแบบเดียวกัน
“ผมทำอะไรที่มันชวนจั๊กจี้อย่างการปลอบใจใครไม่เป็นหรอกนะครับ พอดีผมเป็นพวกแสดงออกไม่ค่อยเก่ง แต่การมานั่งร้องไห้คนเดียวในที่แบบนี้มันดูน่าสงสารเกินไปหน่อย เพราะงั้นผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง”
เยจินพูดอู้อี้ทั้งที่ยังคงฝังหน้าอยู่กับแขนของตัวเอง เสียงสะอื้นไห้สั่นเครือไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันก็ได้ค่ะ ฉันชินแล้ว”
อูกยองขมวดคิ้วพลางเสยผมขึ้นลวกๆ สายตาที่ใช้มองหัวไหล่ซึ่งสั่นไหวเล็กๆ นั้นเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ แต่ก็รู้สึกอึดอัดในคราเดียวกัน
“คุณชินกับเรื่องแบบนี้จริงๆ หรือแค่คิดเอาเองว่าชินแล้วกันแน่? ถึงแผลเก่าสมานแล้วก็ใช่ว่าจะมีแผลใหม่เกิดซ้ำที่เดิมไม่ได้นะครับ ทำไมคุณต้องมาทำตัวชินกับเรื่องพรรค์นี้ด้วย คุณจำคำที่ผมเคยพูดกับคุณตอนสัมภาษณ์งานได้ไหมครับ”
“คำว่าอะไรเหรอคะ”
“ผมเคยบอกคุณไปแล้วไงว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่รอยแผลของคุณ ปัญหามันอยู่ที่ท่าทีและปฏิกิริยาตอบสนองของคุณต่างหาก”
พอได้ยินที่อูกยองพูด เยจินจึงเงยหน้าขึ้นจากที่เอาแต่ซุกใบหน้ากับหัวเข่า
“นี่คุณหมอจะบอกว่าการที่คนพวกนั้นทำกับฉันเป็นความผิดของฉันงั้นเหรอคะ”
บนใบหน้าของเยจินที่ภายในใจปรารถนาคำปลอบโยนนั้นแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกไม่ยุติธรรม เธอเคยนึกว่าอูกยองจะดีกว่าคนรอบตัวเธอ คิดว่าเขาจะเข้าอกเข้าใจและเข้าข้างเธอโดยการบอกว่าคนพวกนั้นเป็นฝ่ายที่ผิด แทนที่อูกยองจะด่าว่าคนที่ด้อยค่าเธอ แต่เขากลับมาตำหนิเธอเสียอย่างนั้น บนใบหน้าที่เปียกปอนไปด้วยน้ำตาจึงแสดงความรู้สึกน้อยใจออกมาอย่างปิดไม่มิด
“สิ่งที่คนพวกนั้นทำมันผิดอยู่แล้วแหละครับ แต่คุณลองสมมตินะครับ ถ้าคุณสบตาคนพวกนั้นแล้วไม่ยอมหลบตาหนี คุณว่ามันจะเป็นยังไงครับ พวกนั้นมันจะตามคุณมาถึงที่นี่ไหม ท่าทีที่ดูไม่มั่นใจในตัวเองของคุณนั่นแหละที่ทำให้พวกมันได้ใจ อย่าพยายามทำตัวให้ชินกับเรื่องแบบนี้เลยครับ พยายามเชิดหน้าสร้างความมั่นใจให้มากขึ้นกว่านี้จะดีกว่านะครับ”
“คนอย่างคุณหมอไม่มีทางเข้าใจหรอกค่ะ”
เยจินพูดทั้งน้ำตาพลางจ้องใบหน้าอูกยอง
คนที่มีดีพร้อมทุกอย่างจะไปรู้อะไรล่ะ คนที่แค่เดินอยู่บนถนนก็มีคนเหลียวหลังมองแล้วแบบนั้นน่ะ
“คนอย่างผม?”
“คนที่ได้รับความรักจากใครต่อใครไงคะ”
อูกยองพ่นลมออกจากปากยามที่ได้ฟังคำนั้น
ได้รับความรักจากใครต่อใครงั้นเหรอ ดูท่าจะเข้าใจผิดไปไกลเลยแฮะ
“มันอาจไร้เหตุผลที่ผมได้เป็นคนที่ได้รับความรักแบบนั้น แต่ถ้าคุณเริ่มเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเมื่อไหร่ คุณก็จะเอาแต่นั่งเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอย่างนี้ตลอดไปนั่นแหละครับ อย่าปรารถนาในสิ่งที่ตัวเองไม่มี คุณลองมองคนที่มีเหมือนกับตัวคุณดูสิครับ มีผู้คนมากมายที่มีรอยแผลใหญ่กว่าคุณอีก แต่พวกเขายังใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ ใครๆ ก็ชอบและนับถือคนที่มั่นใจในตัวเองกันทั้งนั้นแหละครับ แล้วไม่มีใครทำอะไรคนที่มั่นใจในตัวเองได้หรอกนะ อย่าปฏิเสธตัวตนของตัวเองเลยครับ ลองมองมันตรงๆ ดูบ้าง เพราะต่อให้คุณเยจินจะพยายามปฏิเสธมันแค่ไหนก็ใช่ว่าร่องรอยบาดแผลนั้นมันจะหายไปได้ เคารพแล้วก็รักในสิ่งที่ตัวเองเป็นเถอะนะครับ จะมีใครมารักคนที่ไม่เคยคิดแม้แต่จะรักตัวเองกันล่ะครับ”
เยจินหลุบตาลงรับฟังคำพูดของอูกยอง แพขนตาเปียกชื้นจนรู้สึกหนักอึ้ง ในหัวของเธอรับรู้ถึงสิ่งที่อูกยองต้องการจะสื่อ แต่เธอก็ได้แต่คิดว่ามันทำอย่างนั้นได้จริงหรือ
ฉันจะรักใบหน้าของตัวเองลงเหรอ ตอนนี้ฉันจะสามารถทำในสิ่งที่ที่ผ่านมาไม่เคยทำได้จริงๆ น่ะเหรอ
“ไม่จำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนแปลงมันให้ได้ภายในครั้งเดียวหรอกครับ เพราะเวลาชีวิตคุณยังมีอีกเหลือเฟือ แล้วก็ลืมสิ่งที่ไอ้พวกขี้ขลาดเมื่อกี้พูดไปให้หมดด้วยนะครับ”
อูกยองวางฝ่ามือลงบนไหล่ของเยจินที่ก้มหน้าอยู่และตบมันปุๆ ด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ก็อย่างที่เคยได้บอกไปแล้วว่าเขาปลอบใครไม่เป็นจริงๆ เขาเกือบหลุดยิ้มออกมาตอนที่รู้สึกว่าเหมือนกำลังตบก้นลูกสุนัขเวลาปลอบพวกมันอย่างไรอย่างนั้น
หากอูกยองคิดจะปลอบโยนกันด้วยวิธีที่เงอะงะล่ะก็ เธอคงระเบิดน้ำตาออกมาเพราะความรันทดใจเป็นแน่ แต่ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว อาจเพราะได้ร้องไห้ออกมาในคราเดียว หรืออาจเพราะได้รับการปลอบประโลมในเรื่องเดิมๆ ด้วยวิธีที่ต่างออกไป
“อ้าว? สองคนนี้มาทำอะไรตรงนี้ครับ เห็นไม่มาสักทีก็คิดว่าหายไปไหน มานั่งยองๆ หน้าห้องน้ำทำไมครับเนี่ย”
เยจินรีบเช็ดใบหน้าลวกๆ เมื่อได้ยินเสียงซอนโฮดังขึ้นเหนือศีรษะ อูกยองลุกขึ้นยืนบังด้านหน้าหญิงสาวแบบเนียนๆ พลางวางแขนเข้ากับบ่าของซอนโฮ
“ไม่มีอะไร แค่มาเข้าห้องน้ำเฉยๆ”
“ผมถึงได้ถามไงว่ามานั่งทำอะไรหน้าห้องน้ำ”
“พอดีกระเป๋าตกเลยก้มเก็บของกันอยู่น่ะ ว่าแต่นายเถอะ เหมือนจะเมาแล้วนะ”
อูกยองแสร้งพูดเปลี่ยนเรื่อง ซอนโฮยู่หน้าทำฟึดฟัด
“เมาที่ไหนครับ พูดอะไรน่าเศร้าใจจัง เราย้ายที่กันเถอะครับ ไปต่อรอบสองที่ไหนกันดี”
“ยังจะพูดเรื่องไปต่ออีก ฉันจะกลับบ้านแล้ว นายไปต่อรอบสองคนเดียวแล้วกัน”
“พูดอะไรอย่างนั้นครับ นี่เป็นการกินเลี้ยงอย่างเป็นทางการครั้งแรกของเราเลยนะ จะให้กินแค่เนื้อแล้วแยกย้ายเลยแบบนี้เนี่ยนะครับ”
ไอ้รุ่นน้องเวรนี่!
อูกยองขมวดคิ้วพลางจับแขนซอนโฮที่เมาเป๋พาดบ่าตัวเอง แล้วพยายามเดินประคองไม่ให้ล้มคะมำ สุดท้ายแผนการไปต่อรอบสองก็เป็นอันต้องจบลงที่ซอนโฮเมาปลิ้น เพราะดันไปท้าดื่มกับนักดื่มคอทองแดงอย่างจินอา เขาเห็นเธอกำลังยืนอยู่ด้วยสติครบถ้วน แม้จะผลัดกันดื่มกับซอนโฮไปแล้วไม่น้อยก็ตาม
‘พี่มีลิมิตเท่าไหร่คะเนี่ย’ เยจินถามอย่างตกตะลึง จินอาจึงยิ้มสดใสตอบกลับไป ‘นั่นสินะ ไม่รู้เหมือนกันแฮะ พอดีฉันไม่เคยเมาเลยน่ะ’
“คุณหมอคะ งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ”
“พักผ่อนให้เต็มที่แล้วเจอกันอาทิตย์หน้าครับ”
“ค่ะ กลับดีๆ นะคะคุณหมอ”
จินอากับเยจินตัดสินใจขึ้นแท็กซี่กลับพร้อมกันเพราะบ้านไปทางเดียวกัน อูกยองดูเลขทะเบียนแท็กซี่ที่เพิ่งออกตัวไปก่อนจะพิมพ์ส่งให้หญิงสาวทั้งสอง จากนั้นจึงพาซอนโฮมาในบริเวณที่ปลอดภัยกว่าแล้วจับพิงกำแพง
“ตั้งสติหน่อย อีกเดี๋ยวคนขับรถก็ใกล้ถึงแล้ว”
“หืม? รุ่นพี่ คุณจินอาไปไหนแล้วล่ะครับ ผมยังต้องดวลกับคุณจินอาอีกแก้วหนึ่งนะ…”
“ดูท่าชีวิตนี้นายไม่มีทางชนะคุณจินอาได้หรอก”
“ไม่จริง ครั้งหน้า…ผมจะชนะให้ได้เลย”
อูกยองยิ้มขำซอนโฮที่พูดงึมงำ ดีที่การกินเลี้ยงจบลงเร็วกว่าที่คิดเพราะซอนโฮเมาไวเกินไป ชายหนุ่มจ้องมองท้องถนนที่ยังแออัดในเวลาสี่ทุ่มกว่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับสายคนขับรถที่โทรมาและส่งซอนโฮขึ้นรถไป
วันนี้พวกเขาออกมาทานข้าวกันที่ร้านเนื้อย่างใกล้คลินิก หากเดินจากที่นี่ไปถึงคอนโดฯ ก็ใช้เวลาไม่เกินสามสิบนาที อูกยองจึงย่างเท้าเดินไปอย่างไม่รีบร้อน ต้องขอบคุณบรรยากาศดีๆ ในฤดูใบไม้ผลิที่ทำให้ทางเท้ายังเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกันสัพเพเหระ มีตั้งแต่พนักงานออฟฟิศที่เลิกงานแล้วมาดื่มกันไปจนถึงคู่รักที่มาออกเดต
จู่ๆ เขาก็ดันรู้สึกอยากได้แอลกอฮอล์เพิ่ม คงเป็นเพราะต้องมาเดินอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนที่ดูสนุกสนานร่าเริงหรือเพราะซอนโฮรีบเมาก็ไม่อาจทราบได้ ความอยากดื่มนั้นทำให้อูกยองเพิกเฉยต่อความจริงที่ว่าตัวเขาเองก็เริ่มกรึ่มๆ บ้างแล้ว
เขากำลังครุ่นคิดว่าจะไปบาร์ของจองชิกที่ไม่ได้แวะเวียนไปเสียนานดีไหม แต่แล้วก็ต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งด้วยความหงุดหงิด เขาเดินเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อย กว่าจะรู้ตัวก็ใกล้ถึงคอนโดฯ แล้ว เขาเดินเข้าร้านสะดวกซื้อตรงหน้าและหยิบเบียร์สองกระป๋องกับขนมอีกหนึ่งห่อ จากนั้นหยิบมันใส่ถุงพลาสติกแล้วถือห้อยแกว่งไปมา ก่อนจะเปิดประตูเดินออกมาและหมายมั่นว่าจะนั่งดื่มตรงเก้าอี้หน้าร้านสะดวกซื้อก่อนกลับเข้าห้อง
“เอ๊ะ! เต้าหู้?!”
อูกยองมองเห็นสุนัขที่คุ้นตาพอดีขณะเดินออกจากร้าน เขาตรงไปหาเจ้าเต้าหู้พร้อมรอยยิ้มกว้างและนั่งลงยองๆ โดยไม่ทันได้สนใจชีฮูที่หยุดฝีเท้าลง ก่อนเขยิบเข้าไปลูบหัวเจ้าเต้าหู้ที่กระดิกหางดุ๊กดิ๊กเพราะเจอคนรู้จัก
พอทักทายกับเจ้าเต้าหู้เสร็จ อูกยองจึงลุกขึ้น ส่งแววตายิ้มๆ ให้ชีฮูที่ยืนจ้องตนอยู่พร้อมกับสั่นถุงพลาสติกในมือเบาๆ
“สักหน่อยไหมครับ”
ชีฮูมองเขาด้วยสีหน้าเรียบนิ่งก่อนเอ่ยปากพูด
“คุณดื่มมาแล้วนี่ครับ”
อูกยองได้ฟังดังนั้นก็เอียงศีรษะเล็กน้อย
อุตส่าห์คิดว่ายังไม่เมา…ดูออกเลยเหรอ
ชีฮูยักไหล่ดูท่าคล้ายจะปฏิเสธ อูกยองจึงส่งยิ้มเล็กๆ แทนคำบอกลาให้เขาแล้วเดินไปที่เก้าอี้หน้าร้านสะดวกซื้อ ก่อนทรุดตัวลงนั่ง
“หืม?”
เจ้าเต้าหู้กระโดดขึ้นตักอูกยองที่กำลังจัดแจงนำกระป๋องเบียร์จากถุงพลาสติกออกมาวางบนโต๊ะ เขาอุ้มมันเอาไว้โดยอัตโนมัติ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นแผ่นหลังของชีฮูเดินเข้าร้านสะดวกซื้อไปเงียบๆ เขาจ้องอีกฝ่ายอยู่เช่นนั้นสักพักพลางตบก้นเจ้าเต้าหู้ด้วยความเคยชิน
“นี่เต้าหู้ ปกติพ่อแกพูดน้อยแบบนี้อยู่แล้วเหรอ”
ขณะที่อูกยองกำลังเกาคอให้เจ้าเต้าหู้ที่ไม่มีคำตอบให้ ชีฮูก็นั่งลงฝั่งตรงข้าม ในมือถือขวดโซจูกับแก้วกระดาษเอาไว้ อูกยองยิ้มขำเพราะอีกฝ่ายดูเหมือนคนดื่มเป็นแต่เหล้านอกรสเลิศ ทว่ากลับติดดินกว่าที่คิด
อูกยองจัดท่าทางเพื่อให้เจ้าเต้าหู้นั่งสบายขึ้นอีกนิด เขาเปิดกระป๋องเบียร์และส่งยิ้มให้ชีฮูก่อนเอ่ยถาม
“คุณดูออกเลยเหรอครับว่าผมดื่มมา”
“ดูหน้าก็รู้แล้วครับ”
“ดูหน้า?”
“เพราะปกติคุณจะยิ้มให้ผมแค่ตอนที่เราจากกัน แต่วันนี้คุณยิ้มกลับให้ผมทันทีที่เจอหน้ากันไงครับ”
ชีฮูปรับฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อให้เข้ากับจังหวะการเดินย่องของเจ้าเต้าหู้ เขาเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ตามทางที่มันนำไป หากมันหยุดเขาก็หยุด หากมันเปลี่ยนทิศเขาก็เปลี่ยนตาม หลังจากเห็นถึงความสำคัญในการเดินเล่นของสุนัข เขาก็เริ่มพาเจ้าเต้าหู้มาเดินเล่นแถวละแวกคอนโดฯ วันละครั้งเหมือนเป็นอีกหนึ่งกิจวัตรที่สำคัญ
ประเทศเกาหลีที่ไม่ได้กลับมาเนิ่นนานดูจะปลอดภัย มีชีวิตชีวา และสงบสุขกว่ายุโรปที่ไปอาศัยอยู่มาเป็นสิบปีเสียอีก ก้าวแรกในประเทศเกาหลีไปได้สวยกว่าที่คิด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะที่นี่คือบ้านเกิดของตัวเองด้วยหรือเปล่า
“เอ๊ะ! เต้าหู้?!”
โทนเสียงที่สูงกว่าปกติเรียกให้ฝีเท้าของชีฮูชะงักลง ใบหน้าของคนที่เพิ่งออกมาจากร้านสะดวกซื้อเปี่ยมด้วยรอยยิ้มราวกับได้เจอคนรู้จักโดยไม่คาดคิด เขาเห็นผมสีดำขลับของอูกยองที่ใส่เทรนช์โค้ต* สีกรมท่าทรุดฮวบลงนั่งทักทายเจ้าเต้าหู้โดยไม่สนใจว่าชายเสื้อของตัวเองกำลังละไปกับพื้น
อูกยองนั่งเล่นอยู่ตรงพื้นได้ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นมาสบตากับชีฮู รูปตาเรียวรีบนใบหน้าผอมเพรียวที่ปกติติดจะเย็นชาไม่แสดงสีหน้าใดๆ ตอนนี้กลับโค้งขึ้นจากยิ้มสวยที่ส่งมาให้ ยามที่อูกยองยกริมฝีปากสีแดงยิ้มเป็นเส้นโค้งอ่อนโยน เขาไม่ทันได้รู้ตัวเลยว่าแววตาของตัวเองนั้นวูบไหวไปเสี้ยววินาทีหนึ่ง
“สักหน่อยไหมครับ”
แม้อูกยองจะถามคำถามจบแล้ว ทว่ารอยยิ้มแสนหวานที่ต่างไปจากเวลาปกตินั้นยังคงประดับอยู่บนใบหน้า ชีฮูพึมพำออกมาเมื่อเห็นริ้วแดงระเรื่อที่ปรากฏจางๆ บนใบหน้านั้น
“คุณดื่มมาแล้วนี่ครับ”
อูกยองเอียงศีรษะกับคำพูดของชีฮูทีหนึ่งก่อนจะส่งยิ้มสดใสให้อีกครั้ง ชีฮูยิ่งขมวดคิ้วหนักเข้าไปใหญ่ เขามองอูกยองที่หันกลับไปหาเก้าอี้นั่งโดยไม่สาวความต่อพลางถอนหายใจยาวเหยียด ดูท่าแล้วเขาคงจะปล่อยให้คนเมาอย่างอูกยองอยู่คนเดียวไม่ได้แน่
“คุณดูออกเลยเหรอครับว่าผมดื่มมา”
“ดูหน้าก็รู้แล้วครับ”
“ดูหน้า?”
“เพราะปกติคุณจะยิ้มให้ผมแค่ตอนที่เราจากกัน แต่วันนี้คุณกลับยิ้มให้ผมทันทีที่เจอหน้ากันไงครับ”
เขามองอูกยองที่กลอกตาไปมาพลางทำสีหน้าเป็นเชิงถามว่า ‘ฉันเป็นแบบนั้นเหรอ’ ขนตายาวหนาเป็นแพกะพริบช้าๆ มือข้างหนึ่งถือกระป๋องเบียร์ ส่วนมืออีกข้างก็ตบก้นเจ้าเต้าหู้ไปด้วย ท่าทางดูผ่อนคลาย
อูกยองครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอียงศีรษะราวกับไม่อยากคิดต่อแล้ว จากนั้นจึงแย้มยิ้มเงียบๆ อยู่คนเดียว ดวงตาของชีฮูเบิกกว้างขึ้นเมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาหวานซึ้งที่ต่างไปจากเคยอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาเองก็รู้สึก ทุกครั้งที่อีกฝ่ายยิ้ม เขารู้สึกราวกับว่าใบหน้าของอูกยองมีแรงดึงดูดแปลกๆ แผ่ออกมา ต่างไปจากเวลาปกติที่มักจะมีท่าทีและคำพูดที่แข็งกระด้าง คงเป็นเพราะริมฝีปากสีกุหลาบที่ถูกจัดวางอยู่ใต้จมูกโด่งเป็นสันนั้นช่วยเพิ่มชีวิตชีวาให้กับใบหน้าเย็นชาทุกครั้งยามที่ยกยิ้มขึ้น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสีหน้าในตอนนี้กับเวลาปกติมันต่างกันมาก หรือเพราะนี่เป็นสีหน้าที่น้อยครั้งนักจะได้เห็น แต่พอได้เห็นรอยยิ้มของอูกยองทีไรก็มักจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปไหนได้เลย
คงเป็นประเภทที่เมาแล้วยิ้มเก่งสินะ?
ชีฮูยกแก้วขึ้นดื่มขณะพินิจมองนิสัยยามเมาที่ดูไม่ค่อยจะเข้ากับเจ้าตัวสักเท่าไร
เมื่อฟ้ามืดลงสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่พัดเอื่อยๆ อาจทำให้รู้สึกหนาวเย็นขึ้นกว่าเดิม อูกยองจึงหยิบชายเสื้อโค้ตที่ห้อยตกลงพื้นขึ้นมาห่มให้เจ้าเต้าหู้ที่อยู่บนตัก ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูนุ่มนวลกว่าปกติและเอื่อยลงนิดหน่อยพร้อมกับสีหน้าที่ดูอ่อนล้า
“แปลกดีนะครับ…ทั้งที่เจ้าเต้าหู้ควรจะเกลียดที่โดนผู้หญิงคนนั้นทิ้งอย่างไม่ไยดี แต่ดูท่ามันจะไม่เคยนึกเกลียดหรือแค้นใจอะไรผู้หญิงคนนั้นเลย นี่สินะที่เขาเรียกกันว่ารักบริสุทธิ์ คนเราคงจะรักสัตว์เลี้ยงกันเพราะสัตว์เลี้ยงมันรักเจ้าของอย่างไม่มีเงื่อนไขแบบนี้ล่ะมั้ง”
“เพราะงั้นคุณก็เลยมาเป็นสัตวแพทย์สินะครับ?”
“เวลาเลือกงานเราไม่ได้ดูที่ปัจจัยปัจจัยเดียวนี่ครับ เราต้องชั่งน้ำหนักระหว่างความฝันกับความเป็นจริง สรุปผลแล้วค่อยตัดสินใจ อาชีพนี้น่ะยิ่งชอบเราจะยิ่งเหนื่อย ถ้าผมรู้ความจริงข้อนี้ตั้งแต่ตอนนั้นก็คงจะดี”
อูกยองผ่อนลมหายใจออกมาทางปากอย่างอ้อยอิ่งพลางลูบแผ่นหลังของเจ้าเต้าหู้ที่นอนสงบเสงี่ยมอยู่บนตักอย่างเบามือ
“ยังไงซะ อาชีพนี้ก็เป็นอาชีพที่ต้องทำงานกับความตายและความเจ็บปวดอยู่แล้วนี่เนอะ”
จู่ๆ รอยยิ้มสดใสเมื่อครู่ก็พลันดับมืดลงคล้ายกับท้องฟ้ายามราตรี สีหน้าว่างเปล่าคล้ายกระดาษขาวพอผสมผสานด้วยห้วงอารมณ์อันหลากหลายก็ยิ่งเห็นได้ชัดเจนเป็นเท่าทวีคูณ
อูกยองละสายตาจากเจ้าเต้าหู้ หันไปจ้องมองหยดน้ำที่เกาะบนผิวกระป๋องเบียร์ ก่อนจะขมวดคิ้วและเดาะลิ้นเหมือนลืมอะไรบางอย่างไป จากนั้นก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อเพื่อนำมาเช็ดปากกระป๋อง ชีฮูหลุดยิ้มเล็กน้อย เมื่อครู่ยังนั่งจนชายเสื้อระพื้นอยู่เลย การกระทำช่างเข้าใจยากพอๆ กับสีหน้าเลยทีเดียว
“แล้วคุณพ่อเต้าหู้ล่ะครับ ได้ทำงานอย่างที่ใฝ่ฝันไว้หรือเปล่า”
“…จองชีฮูครับ”
หลังจากบอกชื่อของตนจบ ชีฮูสังเกตเห็นมุมปากของอูกยองยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย โดยที่อูกยองเองไม่ได้แก้คำเรียกขานชื่อของเขาใหม่
“ผมเป็นคนประเภทที่ถ้าได้เริ่มลงมือทำอะไรแล้ว ต้องทำมันให้สำเร็จเท่านั้นน่ะครับ”
“แล้วสำเร็จบ้างไหมครับ”
“อยู่ที่ว่าเกณฑ์ของแต่ละคนมันอยู่ตรงไหนนะครับ แต่โดยส่วนตัวผมคิดว่าผมเองก็ประสบความสำเร็จประมาณนึง”
“เท่จังเลยนะครับที่คุณสามารถพูดได้เต็มปากว่าตัวเองประสบความสำเร็จแล้วน่ะ”
ชีฮูพยักหน้าก่อนเบนสายตาออกไปทางถนน ส่วนอูกยองก็จิบเบียร์มองดูผู้คนเดินผ่านไปมาเงียบๆ ราวกับว่าตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการเพื่อนดื่มแล้ว เพราะมีผู้คนเดินสัญจรไปมาเต็มไปหมด สายลมที่พัดเอื่อยมาทำให้อูกยองต้องเสยผมที่ร่วงลงมาปรกตาขึ้นอย่างนึกรำคาญใจจนเห็นหน้าผากขาว
สถานการณ์ที่ต่างคนต่างมองไปคนละทิศและดื่มเครื่องดื่มในส่วนของตนไปเรื่อยๆ โดยไม่จำเป็นต้องมีบทสนทนาเช่นนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ความรักของคนธรรมดาทั่วไปนี่ดีจังนะครับ”
เสียงของอูกยองดังขึ้นทำลายความเงียบ ชีฮูเลิกคิ้วขึ้น เมื่อมองตามสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องไปยังทิศทางเดิมก็พบกับชายหนุ่มหญิงสาวกำลังยืนพูดคุยกันตรงริมถนน ทั้งยิ้มหัวเราะและโอบเอวกันเช่นคู่รักแสนอบอุ่น
“คนธรรมดาทั่วไป?”
สีหน้าของชีฮูฉายแววฉงน จริงอยู่ที่คู่รักริมถนนนั้นเป็นคู่รักธรรมดาทั่วไป แต่ไม่เห็นจำเป็นจะต้องนิยามเจาะจงถึงขนาดนั้น อูกยองหันกลับมามองชีฮูพลางเปิดเบียร์กระป๋องที่สองและยกมันขึ้นดื่ม นิ้วเรียวตรงยาวสะกิดเขี่ยถุงขนมที่แกะแล้วแต่ยังไม่มีใครแตะต้อง
“ผมไม่ค่อยเข้าใจความรักระหว่างอัลฟ่ากับโอเมก้าเท่าไหร่ มันคือความรักจริงๆ หรือเป็นแค่ความใคร่ที่เกิดขึ้นเพราะฟีโรโมนกันแน่ คู่แห่งโชคชะตาอะไรนั่นน่ะ ผมเคยเห็นแค่ในซีรี่ส์กับภาพยนตร์เท่านั้นแหละ”
ชีฮูเลิกคิ้วขึ้นกับหัวข้อสนทนาที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน อีกฝ่ายดูไม่เหมือนคนที่จะกล้าพูดเรื่องแบบนี้ออกมาง่ายๆ สักเท่าไร คงจะเมาเข้าแล้วจริงๆ ขณะที่ชีฮูกำลังมองอูกยองอยู่นั้น อูกยองก็เริ่มพูดต่อ
“ขนาดจำนวนประชากรเบต้ามีเยอะกว่าใครพวก แต่ทำไมคู่รักอัลฟ่ากับโอเมก้ากลับมีเปอร์เซ็นต์สูง ไม่ใช่เพราะดึงดูดกันด้วยฟีโรโมนหรอกเหรอ เรื่องแบบนี้ก็ไม่ต่างจากเรื่องเพ้อฝันเหมือนในละครหลังข่าวเลยไม่ใช่หรือไง คุณไม่เคยลองคิดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยเหรอครับ”
ชีฮูจมดิ่งลงสู่ภวังค์ทันทีที่ถูกอีกคนถาม ขณะใช้แขนข้างหนึ่งเท้าคางพร้อมมองมาด้วยดวงตาปรือปรอย
เขาไม่เคยลองคิดถึงเรื่องแบบนั้นเลยสักครั้ง ความจริงแล้วเขาเองก็เคยมีคนรักเป็นเบต้ามาก่อน และนอกจากเบต้าคนนั้นเขาก็ไม่เคยเรียกใครว่าคนรักอีกเลย แต่ถึงกระนั้นเขากับคนรักคบกันได้ไม่ถึงปีก็มีอันต้องแยกทางกันไป นั่นอาจเป็นเพราะเขาทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีแต่อัลฟ่า แถมเขาก็ไม่เคยนึกสนใจอะไรในตัวโอเมก้าด้วย เพราะเขาเป็นอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์จึงไม่เคยได้รับผลกระทบจากฟีโรโมนของโอเมก้า
เขาเคยได้ยินจากเพื่อนร่วมงานมาว่ารสชาติเซ็กซ์ของโอเมก้าและเบต้านั้นให้ความสุขสมกันคนละแบบ แต่เขาก็ไม่เคยนึกอยากลองหลับนอนกับโอเมก้าเพียงเพราะแค่สงสัยใคร่รู้ในความสุขสมนั้น
อูกยองที่อยู่ข้างเขาตอนนี้คงกำลังสงสัยว่าคู่รักริมถนนคู่นั้นดึงดูดกันเพราะเป็นธรรมชาติของอัลฟ่ากับโอเมก้า หรือดึงดูดกันที่เนื้อแท้จากตัวตนข้างในจริงๆ ชีฮูหลับตาลงจมสู่ความมืดมิด และมันก็ทำให้เขานึกสงสัยอะไรบางอย่างขึ้นมาฉับพลัน
“ถ้าอัลฟ่ากับโอเมก้าดึงดูดกันและกันจริง งั้นเราสองคนในตอนนี้ล่ะครับ…เรากำลังดึงดูดกันอยู่หรือเปล่า”
อูกยองเบิกตาขึ้นกับคำถามที่ไม่คาดคิดของชีฮู ก่อนจะหรี่ลงเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว แววตาคู่นั้นดูแย้มยิ้มขึ้นมาทันตา
“นี่ผมกำลังดึงดูดคุณอยู่หรือเปล่านะ”
ชีฮูลูบคางเมื่อถูกอูกยองถามด้วยโทนเสียงทีเล่นทีจริง ความเงียบงันเข้ามาคั่นกลางระหว่างสองสายตาที่สอดประสานกัน
“ไม่รู้สิครับ แล้วทางนั้นล่ะครับ คิดว่าผมกำลังดึงดูดคุณอยู่หรือเปล่า”
อูกยองจ้องมองเขาเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นโดยที่ไม่ยอมตอบคำถามนั้นของเขา จากนั้นก็เดินอ้อมโต๊ะเพื่อมาส่งเจ้าเต้าหู้ลงบนตักของเขา ชีฮูผ่อนลมหายใจเข้าออกหลังรับเจ้าเต้าหู้มาไว้บนตัก นั่นจึงทำให้เขาได้กลิ่นประจำกายที่เคล้ากับกลิ่นแอลกอฮอล์อ่อนๆ ลอยมาแตะจมูกยามที่อีกฝ่ายเดินผ่าน เป็นกลิ่นที่ช่างหอมหวานเสียเหลือเกิน
“นี่ก็ดึกมากแล้ว ขอบคุณที่มาดื่มด้วยกันนะครับ คุณพ่อเต้าหู้”
03.
ฝ่ามือยื่นโผล่พ้นออกมานอกผ้าห่มแล้วจับคลำโต๊ะข้างหัวเตียง เสียงถอนหายใจดังลอดออกมาเมื่อควานมือหาของที่ต้องการไม่เจอ เขาดึงผ้าห่มที่คลุมถึงศีรษะลงก่อนดีดตัวขึ้นนั่งอย่างอิดออด แล้วจึงค่อยกะพริบตาสองสามทีไล่อาการง่วงงุนที่ยังคงหลงเหลืออยู่
อูกยองมองนาฬิกาติดผนังพลางเอียงคออย่างนึกฉงนที่โทรศัพท์หายไปจากตำแหน่งประจำของมัน เขาบิดขี้เกียจเมื่อเห็นว่าตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว เขาก้าวขาลงจากเตียงพลางนึกหงุดหงิดในใจว่าเมื่อวานพวกเขากินเลี้ยงกันและวันนี้คือวันอาทิตย์ แทนที่จะได้พักผ่อนให้เต็มที่ แต่ดันตื่นเร็วกว่าที่คิดเสียอย่างนั้น
ชายหนุ่มหันซ้ายหันขวาขณะบิดขี้เกียจเพื่อยืดเส้นยืดสายจากตอนนอน อูกยองไล่สายตามองไปทั่ว ก่อนจะหยุดลงตรงกองเสื้อผ้าที่สวมใส่เมื่อวานแถวหน้าประตูห้องน้ำ
เมื่อวานเมามากขนาดนี้เลย?
อูกยองเอียงคอให้กับพฤติกรรมที่ปกติตนนั้นไม่เคยทำ เขาหยิบสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายกันออก ก่อนโยนเสื้อผ้าทั้งหมดลงตะกร้าผ้าและเดินไปเปิดเครื่องชงกาแฟในห้องครัว กลิ่นกาแฟหอมเข้มอบอวลไปทั่วห้อง เขาดื่มด่ำไปกับกาแฟหอมกรุ่นที่เพิ่งรินลงแก้ว ก่อนจะถือแก้วแล้วหมุนตัวออกเดิน ในหัวนึกถึงใบหน้าของชีฮูเมื่อวานที่ถามเขาด้วยน้ำเสียงทุ้มสุขุม
‘งั้นเราสองคนในตอนนี้ล่ะครับ…เรากำลังดึงดูดกันอยู่หรือเปล่า’
อูกยองหยุดยืนถือแก้วในมือนิ่ง รอยย่นผุดขึ้นบนหน้าผาก เขาวางแก้วลงบนโต๊ะอาหารก่อนหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นมาถูใบหน้าอย่างแรง การกระทำของเมื่อวานเวียนย้อนกลับเข้ามาอย่างต่อเนื่องพลางคิดว่าตัวเองทำอะไรน่าอับอายลงไป
ถ้าเห็นว่าเมาแล้วก็เดินหนีไปสิ ทำไมหมอนั่นต้องมานั่งเป็นเพื่อนด้วยนะ
อูกยองใช้นิ้วเคาะโต๊ะเสียงดังรัวๆ แทนการระบายความอึดอัด เขาคิดว่าตัวเองแปลกไปที่ชอบเข้าไปวุ่นวายกับอีกฝ่ายทั้งๆ ที่นั่นไม่ใช่ตัวเขาเลยสักนิด ไม่รู้ว่าเพราะภาพจำตอนเจอกันที่คลินิกครั้งแรกมันประทับใจเขามาก หรือเพราะเห็นอีกฝ่ายมากับเจ้าเต้าหู้กันแน่ อูกยองประทับใจที่อีกฝ่ายเชื่อฟังคำพูดเขาเป็นอย่างดี ทั้งที่อีกฝ่ายจะรู้สึกไปในทางลบกับเขา จะคิดว่าเขาไร้มารยาทหรืออวดดีก็ได้ อีกทั้งเขายังชอบใจที่ชายคนนั้นไม่ได้หยิ่งผยอง แม้จะเป็นอัลฟ่ายีนเด่นที่ปกติแล้วจะชอบทำตัวถือตนและคิดว่าตัวเองมีอำนาจใหญ่คับโลก
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยนึกอยากสานสัมพันธ์ฉันมิตรกับใครเป็นการส่วนตัวเลย เขาถึงได้อึ้งทึ่งกับตัวเองที่กล้านั่งดื่มกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่นำมารักษา ซ้ำยังชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องอัลฟ่ากับโอเมก้าอีก
เขาเกลียดการผูกมิตรส่วนตัวกับผู้คนที่พบเจอกันในการทำงานมาก อูกยองรัวเคาะนิ้วด้วยความหงุดหงิดเสร็จก็ถอนหายใจอีกครั้งพลางยกกาแฟเย็นชืดขึ้นดื่มก่อนจะลุกขึ้นยืน
อูกยองคิดว่าคลินิกของเขากับที่พักอาศัยของชายคนนั้นน่าจะอยู่ในละแวกเดียวกันแน่ๆ เพราะปกติแล้วถ้าไม่มีเรื่องให้ต้องไปที่โรงพยาบาลหรือคลินิกใหญ่ คนส่วนมากก็มักจะพาสัตว์เลี้ยงมารักษาที่คลินิกใกล้บ้านอยู่แล้ว จะว่าไปแล้วต่อให้เขากับชายคนนั้นมีโอกาสที่จะอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกันสูงมาก แต่โอกาสที่จะได้พบเจอกันโดยบังเอิญนั้นมันจะมากสักแค่ไหนเชียว ขนาดจะเจอหน้าคนในคอนโดฯ เดียวกันสักครั้งสองครั้งยังยากเลย หากไม่ได้มาใช้บริการที่คลินิกก็คงไม่มีเรื่องที่จะได้เจอหน้ากันเลย ถ้าหากต้องเจอหน้าอีกฝ่ายที่คลินิกจริงๆ แม้ใจไม่พร้อมแต่เขาเองก็จะพยายามไม่คิดมาก เพราะเวลาเจอกันในคลินิกอีกฝ่ายก็จะเป็นแค่เจ้าของสัตว์ ไม่ได้มีสถานะอะไรไปมากหรือน้อยกว่านั้น
“ว่าแต่…ระหว่างเรากับเขานี่ดึงดูดกันหรือเปล่านะ”
อูกยองบ่นงึมงำพลางนึกถึงคำตอบของชีฮูที่บอกว่าไม่รู้ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
หลังจากขับรถมานานสามชั่วโมงกว่าๆ ในที่สุดก็ถึงที่หมาย อูกยองก้าวลงจากรถพลางแหงนหน้ามองท้องฟ้าโปร่งไร้เมฆบดบัง สถานที่แห่งนี้โอบล้อมไปด้วยหุบเขาเขียวชอุ่มและท้องฟ้าสีคราม สายลมเย็นของฤดูใบไม้ผลิพัดเอื่อยมาปะทะเข้ากับเส้นผมของอูกยอง
แม้ตอนนี้จะยังอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่หากไม่ได้คิดไปเองว่าช่วงเวลาของฤดูนี้มันกำลังสั้นลงเรื่อยๆ เขาคงต้องเตรียมตัวต้อนรับฤดูอันแสนทรหดที่ใกล้จะมาถึงในไม่ช้านี้ เพราะฤดูร้อนกับฤดูหนาวของที่นี่เป็นช่วงเวลาที่ไม่ว่าคนหรือสัตว์ต่างก็ยากลำบากพอควร
สายตาคมกวาดมองพื้นที่กว้างซึ่งถูกล้อมด้วยลวดหนาม เขาทำตัวราวกับเป็นผู้คุมที่มาคอยสอดส่องบริเวณโดยรอบแบบละเอียดยิบและเช็กกล้องวงจรปิดว่ายังทำงานดีอยู่หรือไม่
ตึกอาคารหลายหลังตั้งกระจายอยู่ภายในสนามที่มีขนาดใหญ่ประมาณครึ่งหนึ่งของสนามฟุตบอล หญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากอาคารใกล้ประตูทางเข้า เธอเห็นอูกยองเข้า ก่อนจะวิ่งมาหาเขาด้วยสีหน้าปีติยินดี
“อูกยอง!”
อูกยองยกยิ้มอย่างอารมณ์ดีให้หญิงวัยกลางคนที่เดินปรี่เข้ามาเปิดประตู ก่อนจะคว้าจับมือของเขาเอาไว้ เธอมองมาที่ชายหนุ่มด้วยความรักใคร่ รอบดวงตาปรากฏร่องรอยเหี่ยวย่นอันเป็นเครื่องยืนยันว่าช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเธอเหนื่อยยากเพียงใด
“สบายดีไหมครับ”
“สบายดีสิจ๊ะ แล้วจู่ๆ จะมาทำไมไม่บอกไม่กล่าวกันก่อนล่ะลูก”
“หลังจากที่นี่สร้างเสร็จผมก็ไม่เคยมีโอกาสได้มาเลยนี่ครับ เลยอยากมาดูสักหน่อยแล้วก็อยากทานบิบิมกุกซู* ฝีมือคุณป้าด้วย ทำให้ผมทานหน่อยได้ไหมครับ”
“แหม แค่อูกยองของป้าออกปาก จะกี่ร้อยจานป้าก็ทำให้ได้อยู่แล้วจ้ะ ขับรถมาตั้งนานคงเหนื่อยแย่ นี่ป้าก็ว่าจะออกมากินมื้อเที่ยงพอดี เรากินก่อนแล้วค่อยออกมาเยี่ยมดูก็แล้วกันนะ”
บิบิมกุกซูรสเปรี้ยวหวานที่คลุกเคล้ากับไข่และแตงกวาถูกวางไว้ตรงหน้าของอูกยอง ในขณะที่หญิงวัยกลางคนกำลังรื้อค้นหวังหาของกินเล่นมาเพิ่มให้ แต่อูกยองก็ปรามเอาไว้ก่อน
“น่าจะโทรมาบอกกันสักหน่อยสิ ป้าจะได้เตรียมอะไรอร่อยๆ ไว้ให้”
“บิบิมกุกซูของคุณป้าอร่อยที่สุดแล้วครับ ผมก็บอกไปแล้วว่าผมมากินจานนี้โดยเฉพาะเลย”
“ปัดโธ่ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ครั้งหน้าต้องโทรมาบอกก่อนล่ะ เข้าใจไหม”
อูกยองแย้มรอยยิ้มที่ส่งไปถึงดวงตาก่อนยกตะเกียบขึ้น อดไม่ได้ที่จะน้ำลายสอกับเมนูที่ไม่ได้กินมานาน
“ช่วงนี้มีเรื่องไม่สบายใจอะไรบ้างหรือเปล่าครับ”
“ไม่มีอะไรจะสบายไปกว่าตอนนี้แล้วล่ะ ทั้งหมดนี่ก็ต้องขอบคุณเธอนะ ป้าไม่รู้จะตอบแทนยังไงดีเลย”
“พูดอะไรแบบนั้นตลอดเลยนะครับ คุณป้าก็รู้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะทำแบบคุณป้าได้”
“ป้ามาถึงจุดนี้ได้ก็เพราะมีเธอร่วมลำบากมาด้วยกันนั่นแหละ ลำพังแค่ตัวป้าคนเดียว ป่านนี้มีหวังได้ทิ้งเด็กๆ พวกนี้แล้วก็คงจะหนีหายไปแล้วล่ะ”
ผู้จัดการพัคนึกย้อนถึงเรื่องราวที่ผ่านมาพลางใช้ทิชชูซับน้ำตาไปด้วย เมื่อราวๆ ยี่สิบปีก่อนเธอเริ่มรวบรวมสุนัขจรจัดและจัดตั้งมูลนิธิเพื่อสัตว์ไร้บ้านขึ้นมาด้วยความสงสาร
แรกๆ ตอนจำนวนสมาชิกยังน้อยนิดเธอยังพอทนไหว ทว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนผันสถานการณ์ก็เริ่มกลับกลายเป็นดั่งนรก จำนวนสุนัขเพิ่มพูนขึ้นในระยะเวลาอันสั้นเพราะไม่ได้จับทำหมันไว้แต่เนิ่นๆ รวมถึงมีผู้คนที่ได้ยินข่าวเรื่องมูลนิธิเข้าจึงแอบเอาสุนัขมาทิ้งไว้อีก
เธอจำต้องรับอาสาสมัครและเปิดรับเงินบริจาค แต่ก็ยังขาดแรงงานคนและเงินอยู่เสมอ สิ่งอำนวยความสะดวกกับสภาพแวดล้อมมีแต่จะย่ำแย่ลง ชีวิตของเธอเองจึงเริ่มตกต่ำตามไปด้วยโดยปริยาย ภายในใจทั้งเหน็ดเหนื่อยทั้งอยากหลบหนี ทว่าพอหันกลับไปมองสุนัขนับร้อยชีวิตที่เธอดูแลมาด้วยตัวคนเดียวแล้วก็ไม่กล้าจากพวกมันไป
และแล้วในตอนนั้นเองอูกยองที่เพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่ๆ ก็มาเป็นอาสาสมัครพร้อมกับเพื่อนในคณะเดียวกัน
‘คุณดูเหนื่อยจังเลยนะครับ? เดี๋ยวพวกผมจะช่วยเอง ทั้งคุณแล้วก็ทั้งสุนัขพวกนี้เลย’
นี่คือคำพูดที่เด็กหนุ่มพูดกับเธอในวันนั้น
ผู้จัดการพัคนึกเย้ยหยันคำพูดจากใบหน้าละอ่อนของอูกยองที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่มาหมาดๆ ขนาดตัวเธอพยายามประคับประคองทุกอย่างมาเป็นสิบปียังทำอะไรมากไม่ได้เลย แล้วเด็กนักศึกษาแบบนี้จะมาจัดการกับนรกแห่งนี้ได้อย่างไรกัน
‘ถ้าคุณผู้จัดการอยากเปลี่ยนแปลงที่นี่ พวกผมก็จะอาสาช่วยคุณเอง’
สิ่งที่อูกยองทำในวันนั้นคือค่อยๆ จัดสร้างระบบขึ้นมา ทั้งเข้าหารุ่นพี่ชักชวนให้มาเป็นแพทย์อาสาด้วยกัน ทั้งสร้างเว็บไซต์เพื่อเอาไว้แจกแจงจำนวนเงินบริจาคกับรายละเอียดการนำไปใช้ไว้อย่างชัดเจนโปร่งใส และไม่ลืมลบที่อยู่ของมูลนิธิที่แพร่กระจายออกไปในโลกอินเตอร์เน็ตเพื่อไม่ให้มีคนเอาสัตว์มาทิ้งเพิ่ม นอกจากนี้เขายังขอความร่วมมือจากชมรมอาสาสมัครกับชมรมที่ทำงานเกี่ยวกับสัตว์ในมหาวิทยาลัยให้มาร่วมช่วยอีกแรงด้วย
ทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนไปในชั่วพริบตาเดียว มันใช้เวลาหลายปีกับการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย สุขภาพร่างกายของพวกเด็กๆ ก็ดีขึ้นตามลำดับจากการทำโครงการแพทย์อาสาอย่างสม่ำเสมอ จนเริ่มมีคนมาอนุเคราะห์พวกสุนัขกันมากขึ้น ในที่สุดพอไม่ได้มีการเปิดเผยข้อมูลที่อยู่ของมูลนิธิก็เริ่มสามารถควบคุมจำนวนสุนัขได้ แถมในภายหลังผู้คนก็เริ่มมาบริจาคเงินให้กับมูลนิธิมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะทางมูลนิธิได้แจกแจงจำนวนเงินที่เรี่ยไรพร้อมรายละเอียดการใช้จ่ายเอาไว้อย่างชัดเจน
ครั้นพอมีคนมาร่วมแรงร่วมใจกันก็รู้สึกได้ถึงความรวดเร็วในการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม บ้างก็มาช่วยอาบน้ำตัดขน บ้างก็ช่วยซ่อมแซมที่พักให้ใหม่ หรือบางทีก็มีกลุ่มเด็กนักเรียนมารับหน้าที่อาสาพาสุนัขไปเดินเล่น และแล้วมูลนิธิก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ยิ่งพวกเขาประกาศออกไปว่าสภาพแวดล้อมที่นี่มีคุณภาพ ไม่มีการทำการุณยฆาตและมีการจัดการเงินบริจาคที่สุจริต คนก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาช่วยเหลือกันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนจากบริษัทเข้ามาเป็นอาสาสมัคร รวมทั้งสนับสนุนให้ของใช้เพิ่มเติมอีกด้วย
‘พวกเงินบริจาคก้อนใหญ่มันช่วยแก้ไขปัญหาได้ชั่วคราวเท่านั้นแหละครับ สถานการณ์อาจจะกลับไปย่ำแย่เหมือนเดิมอีกก็ได้ งานนี้ไม่ใช่งานที่คุณควรทำคนเดียว แล้วนี่ก็ไม่ใช่งานที่จะสามารถรับผิดชอบได้ด้วยตัวคนเดียวด้วย ทุกคนต้องร่วมมือกันถึงจะไปรอดครับ’
อูกยองในตอนนั้นกล่าวเอาไว้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำมันทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว ถ้อยคำจากเด็กนักศึกษาที่ยังไม่ทันได้ผจญโลกกว้างนั้นเป็นพลังอันยิ่งใหญ่สำหรับเธอเหลือเกิน ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเด็กหนุ่มดำเนินผ่านมานานหลายปี กระทั่งเด็กหนุ่มเรียนจบแล้วก็ยังอุตส่าห์แวะเวียนมาเยี่ยมอยู่ไม่ขาดจนชีวิตเธอมาถึงจุดนี้
“ถ้าเธอไม่จัดการที่ดินตรงนี้ให้ ป้าก็ไม่รู้จะเป็นยังไงเหมือนกัน ป้าล่ะซาบซึ้งน้ำใจเธอจริงๆ…”
ถึงสภาพแวดล้อมจะพัฒนาดีขึ้นมากเพียงใด ทว่ามูลนิธิกลับยังเป็นที่เกลียดชังจากคนในหมู่บ้าน เธอเลือกที่จะเงียบแล้วอดทนต่อสายตาทิ่มแทงและคำก่นด่ามานับยี่สิบปี โดยที่ความจริงแล้วเธอกำลังมืดแปดด้าน ทั้งเสียงเห่าหอนของสุนัข กลิ่นเหม็นสาบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไปจนถึงปัญหาการจัดการสิ่งปฏิกูล จนเจ้าของที่ดินไม่สามารถให้เช่าต่อได้ แล้วมาแจ้งให้เธอย้ายออกในที่สุด ความจริงที่เจ้าของที่ดินยอมอดทนก็เพราะเธอจ่ายค่าเช่าให้สูงกว่าราคาตลาดนั่นเอง
“ผมบอกป้าไปแล้วนี่ครับว่าผมซื้อมาเก็บไว้เพราะที่ตรงนี้เป็นที่รกร้าง ราคาก็เลยถูกมาก อีกอย่างที่ตรงนี้เป็นที่ดินของผม ผมเองก็ไม่ได้ให้ป้าใช้สอยฟรีๆ เสียหน่อย อย่ากังวลไปเลยครับ”
ที่นี่เป็นที่ที่เขาไตร่ตรองคัดเลือกมาเป็นอย่างดี ตั้งแต่ผู้จัดการพัคมาบอกด้วยน้ำเสียงวิตกกังวลว่าเธอต้องหาที่ดินสำหรับย้ายมูลนิธิ เขาก็จัดการซื้อที่ดินตรงนี้ทันที ตอนแรกมันเป็นแค่ที่ดินรกร้างติดกับเนินเขาซึ่งเต็มไปด้วยหญ้า ทั้งยังอยู่ห่างจากเขตชุมชนออกมาพอประมาณซึ่งคงจะพอช่วยลดปัญหาต่างๆ ได้บ้าง นอกจากนี้ที่ดินผืนนี้ก็กว้างพอให้สร้างอาคารสำหรับสุนัขพันธุ์เล็กใหญ่กับแมว ซ้ำยังมีที่เหลือพอสร้างอาคารที่พักของผู้จัดการพัคกับพนักงานคนอื่นได้อย่างเหลือเฟืออีกด้วย
การตกลงซื้อขายนี้ทั้งเจ้าของที่ดินกับอูกยองต่างพอใจด้วยกันทั้งคู่ มันไม่ใช่การจ่ายเงินก้อนใหญ่ที่ชวนให้หนักใจเหมือนกับการซื้อรถนำเข้าราคาแพงหูฉี่หรือสะสมของแบรนด์เนมอะไรเสียหน่อย ถ้าสิ่งนี้มันทำให้ทุกคนมีความสุขขึ้นได้ อูกยองก็อิ่มเอมใจแล้ว
ถึงอูกยองที่อุตส่าห์ขับรถตั้งนานเพื่อถ่อไปกินบิบิมกุกซู แต่เขาก็คิดว่าควรจะช่วยทำความสะอาดตอบแทนเสียหน่อย เขาเลยจัดการทำความสะอาดกรงสัตว์จนเสร็จแล้วค่อยเดินทางกลับ ตอนนี้เขากำลังรอขึ้นลิฟต์พลางบริหารคอคลายเมื่อยขณะจ้องมองตัวเลขที่เลื่อนลงมา เขาทำจมูกฟุดฟิดสูดดมกลิ่นบริเวณสาบเสื้อที่น่าจะมีกลิ่นเหงื่อติดอยู่ ความหงุดหงิดเริ่มก่อตัวขึ้นในใจเพราะอยากรีบกลับไปอาบน้ำอุ่นเร็วๆ แต่ดูเหมือนวันนี้ลิฟต์จะขยับเขยื้อนชักช้าเสียเหลือเกิน
อูกยองหลับตาลงครู่หนึ่งด้วยความเหนื่อยอ่อน ก่อนจะก้าวเท้าเดินเมื่อได้ยินเสียงประตูลิฟต์เปิด แต่พอเขาลืมตาขึ้นก็เป็นอันต้องหยุดชะงัก หัวคิ้วมนย่นเข้าหากันทันใด
“เดี๋ยวนะ…นี่คุณอยู่ที่นี่เหรอครับ”
‘ชีฮู วันนี้วันเกิดฉัน ออกมาหาอะไรดื่มด้วยกันหน่อยไหม’
‘ไม่ล่ะ’
คริส เพื่อนในวงการนายแบบที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยที่ชีฮูเริ่มเป็นนายแบบฉีกยิ้มให้กับท่าทีไม่ยินดียินร้ายของชีฮู ก่อนกระแซะเข้าที่แขนของเขา
‘ไม่เอาน่า มาจอยแป๊บเดียวก็ได้ ฉันชวนแต่คนสนิทมาไม่กี่คนเอง แค่มาฉลองให้ฉันสักหน่อยแล้วค่อยกลับก็ยังดี’
สุดท้ายชีฮูก็มาหยุดยืนนิ่งจับลูกบิดประตูห้องที่คริสเป็นคนนัดหมาย กลิ่นฟีโรโมนเข้มข้นไหลลอดผ่านช่องประตูที่ปิดสนิทออกมาทีละน้อย ชายหนุ่มขมวดคิ้วพลางเสยผมลวกๆ และออกแรงหมุนลูกบิดเข้าไป
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปสายตาของชีฮูพลันฉายแววหงุดหงิดพลางกวาดมองไปทั่วห้องซึ่งมีนายแบบอัลฟ่าหน้าคุ้นอยู่ประมาณห้าหกคนกับโอเมก้านับสิบกำลังกอดรัดกันแน่นจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ต่างฝ่ายต่างปลดปล่อยฟีโรโมนกลิ่นเข้มใส่กันคละคลุ้งเต็มห้องจนหายใจแทบไม่ออก หากฟีโรโมนมีรูปร่าง ตอนนี้เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นฟีโรโมนเหนียวหนืดและข้นจับตัวกันเป็นกลุ่มก้อนราวกับเมฆฝนทึบหนา
ชายหนุ่มมองเห็นคริสกำลังซุกไซ้ลำคอพลางสอดมือเข้าไปในสาบเสื้อของโอเมก้าคนหนึ่งบนโซฟาสำหรับนั่งสองคน เขาระงับโทสะเอาไว้ก่อนเดินเข้าไปหาแล้วยกปลายเท้าเตะสะกิดเข้าที่น่องของอีกฝ่ายเบาๆ
“มาแล้วเหรอ”
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าเรียกฉันมาที่แบบนี้”
คริสยิ้มรับอย่างไม่สนใจท่าทีหงุดหงิดของชีฮูก่อนดึงโอเมก้าที่นั่งข้างตนมาไว้บนตัก จับเอวบางขาวมาพิงแผ่นอกของตน แล้วถกชายเสื้อของโอเมก้าขึ้นเพื่อให้หน้าอกขาวปรากฏสู่สายตาชีฮู ในขณะที่เสียงของโอเมก้าดังครางเครือเพราะถูกครอบงำจากฟีโรโมนของอัลฟ่า
“เอ้า ว่าไง นายเองก็เลิกกับคนเก่ามานานแล้วไม่ใช่หรือไง โอเมก้าพวกนี้ฉันคัดมาแต่ของดีๆ ทั้งนั้น นายเองก็เลือกสักคนสิ”
คริสใช้นิ้วสัมผัสยอดอกของโอเมก้าบนตักพลางใช้ลิ้นไล้เลียด้านหลังลำคอ ชีฮูมองภาพนั้นด้วยแววตาสะอิดสะเอียน คริสเห็นดังนั้นจึงกระซิบบางอย่างข้างหูคนบนตัก ทันใดนั้นโอเมก้าก็ลุกตรงมาหาชีฮูด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้ม
โอเมก้าคนนั้นโซเซลุกขึ้น ก่อนจะถอดเสื้อออกแล้วใช้แขนยาวเกี่ยวพันรอบลำคอแกร่งของชีฮูเอาไว้พลางขยับเบียดแก่นกายที่กำลังตื่นตัวของตนเข้ากับต้นขาแกร่งของอัลฟ่าอย่างไม่ลังเล
“นายเองก็มาสนุกด้วยกันสักหน่อยน่า ลองเอากับหมอนี่ดูก็ได้ บอกเลยว่าเด็ด คนละชั้นกับพวกเบต้าเลยล่ะ”
คริสเดินเข้าไปหาชีฮูที่ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนโดยมีโอเมก้ายืนกอดคออยู่ ก่อนจะกำเส้นผมของโอเมก้าแล้วกระชากรั้งให้เงยหน้าขึ้น ตาสีฟ้าของโอเมก้าไม่ได้สะท้อนความเจ็บปวดใดออกมา ทว่ากลับหันหน้ามามองใบหน้าของชีฮูพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง
คริสดึงกางเกงพร้อมชั้นในของโอเมก้าลงด้วยความรุนแรงในทีเดียว เขากระชากเอวบางแยกออกจากชีฮูและรั้งเข้าหาตัวเอง ทันทีที่เขาปลดเข็มขัดกางเกงและควักส่วนแข็งขืนที่กำลังชูชันของตนออกมา โอเมก้าหนุ่มก็รีบก้มลงมาใช้ปากรับส่วนแข็งขืนนั้นไว้
คริสลอบเลียริมฝีปากแล้วยิ้มอย่างผ่อนคลาย สายตาของเขามองไปทางชีฮูที่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดิม คริสใช้ฝ่ามือกดแผ่นหลังของโอเมก้าที่กำลังใช้ปากกับแก่นกายของตนให้ก้มลงมามากขึ้นเพื่อให้ชีฮูได้เห็นช่องทางสีสวยที่กำลังขมิบส่งน้ำหล่อลื่นเยิ้มไหลลงมาถึงต้นขา
“อา…ไม่มีอารมณ์ทำหรือไง เลิกแสร้งทำตัวเป็นพ่อพระนักบุญแล้วมาขย้ำหมอนี่กันดีกว่าน่า โคตรเด็ดเลยนะเว้ย”
ราวกับฟางเส้นสุดท้ายกำลังจะขาดสะบั้น ชีฮูหลับตาสะกดกลั้นอารมณ์ฉุนเฉียวของตัวเองไว้ คริสคือคนที่เขาเคยสนิทตั้งแต่เริ่มทำอาชีพนายแบบ เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายติดเหล้า ยา และเซ็กซ์ ทว่าคริสก็ให้ความเคารพเขาเป็นอย่างดี ดังนั้นคริสเลยเป็นอีกหนึ่งคนที่เขายอมรับทั้งในฐานะเพื่อนร่วมงานและนายแบบ
โอเมก้าอีกคนที่เมื่อครู่ติดหนึบอยู่กับอัลฟ่าคนอื่นเดินตรงเข้ามาหาชีฮู ฝ่ามือลูบไล้หน้าอกแข็งแกร่งของเขาซึ่งเป็นอัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์ที่ต่อให้ไม่ปล่อยฟีโรโมนออกมา แต่สัญชาตญาณอันแข็งแกร่งกว่าอัลฟ่าทั่วไปก็ยังสามารถดึงดูดโอเมก้าได้โดยง่าย
“แค่นายปล่อยฟีโรโมนออกมา โอเมก้าที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดก็จะพากันวิ่งมารุมอ้อนนายแล้ว ไม่สนหรือไง”
คริสพูดโน้มน้าวชีฮูไม่หยุดพลางจิกผมสีบลอนด์ของโอเมก้าที่กำลังกอบกำแก่นกายใหญ่ด้วยสองมือพร้อมดูดเลียให้ ก่อนจะจับมันกระทุ้งเข้าไปในลำคอด้วยแรงอารมณ์
“อึก! แกมันน่ารำคาญ ไอ้สายตาที่เหมือนจ้องสิ่งโสโครกนั่นก็ด้วย ถ้าได้ลองสักครั้งแกก็ไม่ต่างจากฉันหรอกว่ะ”
ชีฮูกระชากข้อมือโอเมก้าที่ปล่อยฟีโรโมนพลางลูบหน้าอกของเขาออกอย่างแรง พออีกฝ่ายล้มลงก็ยังไม่วายยื่นมือเลื้อยขึ้นมาตามต้นขา ไล่ไปเรื่อยจนจวนจะถึงส่วนกลางลำตัว ชีฮูจึงรีบปัดมือนั้นออกอย่างไม่ไยดี
“ขอให้ไม่มีเรื่องที่ต้องเจอกันเป็นการส่วนตัวแบบนี้อีกก็แล้วกัน”
ในวินาทีที่เขากำลังจะปิดประตูลง เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งของคริสดังลอดตามออกมา สายสัมพันธ์นับสิบปีของพวกเขาเป็นอันจบลงด้วยเหตุนี้
ชีฮูเสียบหูฟังพลางมองออกไปยังนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ขณะวิ่งอยู่บนลู่วิ่งไฟฟ้ามาได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว ใบหน้าสงบนิ่งไม่มีเหงื่อเกาะสักหยด ช่วงขายาวขยับเคลื่อนไหวด้วยท่าทางและความเร็วสม่ำเสมอแบบไม่มีหยุดพัก ทิวทัศน์ภายนอกอาจดูน่าเบื่อ แต่สายตาของเขาก็ยังเอาแต่โฟกัสไปยังจุดจุดเดียว
สายตาทุกคู่ต่างมองมาที่แผ่นหลังของชีฮู ทั้งนายแบบ นางแบบ และพนักงานร่วมบริษัทต่างพยายามหาช่องว่างเพื่อที่จะเข้ามาทักทายเขากันให้วุ่น แต่กลับไม่มีช่องให้แทรกเข้าไปได้ง่ายๆ เสียที จึงได้แต่ย่ำเท้าเดินไปมาอยู่รอบๆ
ซองจุนที่เพิ่งเข้ามาในห้องออกกำลังกายทันเห็นฉากนั้นเข้าพอดีจึงยิ้มกว้างแล้วระเบิดหัวเราะออกมา สายตาของคนอื่นดูลุกลี้ลุกลนกันมาก แต่ท่าทีของชีฮูกลับยังคงสงบนิ่งไม่มีเปลี่ยน แต่ว่าก็ว่าเถอะ คนมันเคยเดินบนเวทีต่อหน้าผู้คนนับพันนับหมื่น สายตาไม่กี่คู่แค่นี้คงทำอะไรชีฮูไม่ได้อยู่แล้ว
ซองจุนขานรับเหล่าพนักงานกับโมเดลในสังกัดที่หันมาเห็นตัวเองและเอ่ยทักทายกัน จากนั้นจึงเข้าไปใกล้ชีฮูก่อนจะดึงหูฟังอีกฝ่ายออก เขาส่งยิ้มให้ชีฮูที่ขมวดคิ้วพลางหันศีรษะมาหาตน
“ฝนท่าจะตกนะเนี่ย นึกครึ้มยังไงถึงได้มาออกกำลังกายที่นี่”
ซองจุนกำลังแปลกใจ เพราะปกติชีฮูมักจะออกกำลังกายและดูแลตัวเองเอาเอง ไม่ก็จ้างเทรนเนอร์ส่วนตัวมามากกว่า วันนี้เขานัดชีฮูให้มาคุยเรื่องตารางงาน แต่เลขาฯ กลับบอกว่าหมอนี่มาก่อนเวลานัด แถมยังมาออกกำลังกายอยู่อีก เขาเลยจะมาดูให้เห็นกับตาเสียหน่อย ชีฮูปิดเครื่องก่อนก้าวลงมาพร้อมขยับบิดตัวเล็กน้อย
“แค่อยากมา”
“แค่อยากมา?”
ซองจุนมองชีฮูที่ยักไหล่อย่างไม่แยแสแล้วถามทวนอีกครั้งทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าคงไม่ได้คำตอบดีๆ อะไรกลับมา
“ออกกำลังกายเสร็จก็ล้างตัวแล้วตามมาที่ห้องทำงานฉันด้วยล่ะ ทักทายสตาฟฟ์นายสักหน่อยแล้วเดี๋ยวเริ่มคุยงานกันเลย”
ชีฮูพยักหน้ารับก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องอาบน้ำ รอบตัวชีฮูเริ่มมีบรรดาโมเดลคนอื่นค่อยๆ ขยับเข้ามาห้อมล้อมทักทาย ชีฮูทำเพียงพยักหน้าส่งๆ ให้คนที่เข้ามาทักทายพร้อมแนะนำตัว จากนั้นก็เดินผ่านไปอย่างไม่นึกเหลียวแล ซองจุนเห็นดังนั้นจึงเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจ
“ไอ้คนไม่มีมนุษยสัมพันธ์เอ๊ย”
“เอาล่ะ นี่คือคุณจางยองมิน หัวหน้าฝ่ายที่จะมาดูแลเรื่องตารางงานทั้งหมด ส่วนนี่คุณชเวฮยอนอูผู้จัดการของนาย ก่อนอื่นเลยนะชีฮู นายไม่ใช่คนที่รับงานเยอะ เพราะงั้นพวกเขาจะไม่ได้มาดูแลนายแค่คนเดียว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกนะ พวกเขาจะรับผิดชอบตารางงานของนายให้ถึงที่สุดอยู่แล้ว”
“สวัสดีครับ ผมจางยองมินครับ”
“สวัสดีครับ ผมชเวฮยอนอูนะครับ โอ้โห ได้มาเห็นตัวจริงแล้วดูดีกว่าที่ได้ยินมาอีกนะครับ พอรู้ว่าตัวเองจะได้มาดูแลคุณชีฮูก็ทำเอาเมื่อคืนนอนไม่หลับเลยล่ะครับ”
ฮยอนอูที่เพิ่งทำงานได้เพียงปีเดียวพรั่งพรูความประทับใจออกมาพร้อมกับแววตาเป็นประกายระยิบระยับ แถมยังไม่ยี่หระต่อปฏิกิริยาอันเฉยเมยของชีฮูอีกต่างหาก
“แรกๆ ถ้ายังไม่สนิทกันอาจจะลำบากหน่อยนะครับคุณฮยอนอู แต่พอสนิทแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก หมอนี่ไม่ได้เอาแต่ใจหรือไร้มารยาท ทำงานด้วยง่ายแน่นอนครับ”
ซองจุนยิ้มอย่างพอใจกับฮยอนอูที่มองชีฮูเสมือนเป็นไอดอล ถ้าได้คนมนุษยสัมพันธ์ดีมาอยู่ด้วยสักคนก็คงจะสบายขึ้นมาก เพราะเจ้าชีฮูทั้งพิถีพิถันในการดูแลตัวเอง ไม่เคยสร้างเรื่อง ไม่เคยเจ้าอารมณ์ และไม่เคยงี่เง่า
แต่เห็นแบบนั้นแต่หมอนั่นก็มีจุดอ่อนในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ ช่วงแรกเลยอาจตีสนิทยากไปสักหน่อย แต่หากทำดีด้วยก็จะยอมอ่อนข้อลงไปเอง ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องมีคนอัธยาศัยดีสักคนมาช่วยทำให้บรรยากาศยืดหยุ่นมากขึ้น
“นี่เป็นงานแฟชั่นโชว์สำหรับเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในประเทศจากบริษัท B ครับ คุณชีฮูคงพอทราบอยู่บ้าง เพราะเคยเดินให้แบรนด์จากบริษัท B อยู่ปีละครั้ง ส่วนอีกงานหนึ่งเป็นงานของดีไซเนอร์ที่ทำงานในเกาหลีมาได้สามปีแล้ว แต่คุณชีฮูอาจจะไม่ค่อยคุ้นหน้าเท่าไหร่ ธีมเสื้อผ้าของดีไซเนอร์ท่านนี้จะเป็นเสื้อผ้าที่ทำจากหนังสังเคราะห์ เน้นใช้โทนสีมืดและดูทรงพลัง”
หลังยองมินอธิบายจบซองจุนจึงเสริมขึ้น
“ก็ไม่เลวทั้งสองงานเลยนะ บริษัท B เองก็เป็นแบรนด์ดังอยู่แล้ว คงไม่ต้องอธิบายให้มากความ ส่วนดีไซเนอร์ท่านนี้ล่าสุดก็กำลังเนื้อหอมเป็นที่รู้จักกันในหมู่วัยรุ่นเกาหลี เห็นว่ากำลังเตรียมคอลเล็กชั่นต่างประเทศสำหรับปีหน้าอยู่ด้วย พอรู้ว่าชีฮูกลับมาถึงเกาหลีแล้วก็ติดต่อเข้ามาหาบริษัทเราไม่เว้นวันเลย คงอยากให้เราร่วมงานกับเขาไปจนถึงปีหน้าเลยล่ะมั้ง”
“งั้นก็เอาแค่งานนี้สิ”
“แล้วงานของบริษัท B ล่ะ”
“เดินเวทีเดิมๆ มันน่าเบื่อ ช่วยจัดการตารางให้ผมที แต่ผมเอาแค่โชว์ครั้งนี้นะ ไม่เอาคอลเล็กชั่นต่างประเทศ”
งานนี้น่าเสียดายเกินกว่าจะปัดผ่านเพราะแค่คำว่าน่าเบื่อ แต่ถึงกระนั้นซองจุนก็พยักหน้าเข้าใจอย่างเสียไม่ได้ เพราะเขาไม่อยู่ในฐานะที่จะไปบังคับให้ชีฮูทำตามคำสั่งได้อยู่แล้ว
“โอเค ถ้านายว่าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้นี่นะ รบกวนช่วยจัดการตามนี้ทีนะครับหัวหน้าจาง”
“ครับ งั้นพวกผมขอตัวก่อนนะครับ”
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบครับ! ไว้พบกันคราวหน้านะครับ!”
เสียงฮยอนอูดังก้องไปทั่วห้อง หลังจากสองคนนั้นออกไปแล้วซองจุนจึงพูดกลั้วหัวเราะ
“คุณฮยอนอูน่ารักใช่ไหมล่ะ หวังว่าพวกนายจะทำงานเข้าขากันได้ดีนะ พอบอกไปว่าให้มาดูแลนายเขาก็ฮึดเต็มที่เลยนะ นี่ก็ใกล้จะเย็นแล้วไม่ได้กินข้าวด้วยกันมานาน ไปหาอะไรกินกันหน่อยไหม”
“ไว้วันหลัง”
“ทำตัวว่างเหมือนตกงานแล้วยังจะมาปฏิเสธกันอีกนะ”
ซองจุนบ่นกระปอดกระแปดพลางจ้องชีฮูเขม็ง ชายหนุ่มที่เห็นเช่นนั้นจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดถาม
“แล้วจะทำไม”
“นายมีอะไรในใจอยู่ใช่ไหม”
“อะไร”
ชีฮูเอนกายฝังตัวลงไปกับโซฟา ซองจุนค่อยๆ พิจารณาใบหน้าของชีฮูพลางยกมุมปากขึ้น
“ถึงจะไม่ค่อยได้เจอกันแต่เราก็รู้จักกันมาตั้งนาน คิดว่าเห็นแวบเดียวแล้วฉันจะดูไม่ออกเหรอ นายดูค้างคาใจกับอะไรสักอย่างอยู่นะ”
พอซองจุนพูดขึ้น ชีฮูจึงลอบยิ้มยามนึกถึงสีหน้าของอูกยองที่เจอกันหน้าลิฟต์เมื่อหลายวันก่อน สีหน้านั้นราวกับอยากพูดว่า ‘ไม่เอาน่า ไม่จริงใช่ไหม ไม่หรอกมั้ง พูดออกมาสิว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง’
ซองจุนพ่นลมหายใจออกมาทันทีที่เห็นสีหน้าของชีฮู
“มีอะไรจริงๆ ด้วยสินะ อะไรล่ะ เป็นเรื่องที่ฉันควรรู้ในฐานะประธานไหม”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ช่วงนี้บังเอิญได้เจอกับคนคนหนึ่งบ่อยๆ น่ะ”
“แล้วยังไง สนใจ? หรือว่ารำคาญ?”
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็อยากลองพิสูจน์อยู่เหมือนกัน”
ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้า แสงอาทิตย์กำลังทอแสงแผ่ออกไปทั่วฟ้า ชีฮูเลือกวิ่งเหยาะๆ บนทางเท้าฝั่งที่เริ่มสัมผัสกับแสงอาทิตย์ ยามนี้ถนนกำลังปลอดโปร่งเพราะผู้คนยังไม่ค่อยออกมาสัญจรกันเท่าไร
ชีฮูวิ่งด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อพบเห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างทางที่โล่งว่าง มันคือรถที่จอดในตำแหน่งเดิมและเวลาเดิมมาตั้งแต่เมื่อสองวันที่แล้ว เขาหยุดวิ่งแล้วครุ่นคิดว่าวันนี้จะเมินไปเหมือนเดิมดีไหม แต่สุดท้ายก็สาวเท้าเดินไปทางฝั่งคนขับ
เขามองเห็นอูกยองกำลังหลับตานอนพิงเบาะคนขับผ่านกระจกที่เลือนรางเล็กน้อย ชีฮูขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ครั้นพอสังเกตเห็นแก้มนวลที่แลดูอิดโรยถัดจากใต้ดวงตาที่ปิดสนิท สองวันก่อนเขาวิ่งผ่านอูกยองที่กำลังดูโทรศัพท์อยู่ในรถไป คิดว่าคงมีเหตุผลอะไรสักอย่างเลยไม่อยากเข้าไปยุ่ง แต่วันนี้ก็นับเป็นวันที่สามแล้ว เขาจึงไม่สามารถปล่อยผ่านได้
ชีฮูเคาะกระจกฝั่งคนขับเบาๆ เท้าที่สวมรองเท้าออกกำลังกายกระดิกด้วยความร้อนใจ ยิ่งเห็นอูกยองไม่หือไม่อือชายหนุ่มจึงเคาะกระจกแรงและรัวกว่ารอบแรก
อูกยองดีดตัวผึง ลืมตาผวากับเสียงเคาะกระจก พอเห็นว่าเป็นชีฮูที่กำลังโน้มตัวจ้องเข้ามา ใจที่เต้นถี่ระรัวจึงค่อยๆ สงบลง ชีฮูนิ่วหน้าคล้ายไม่ค่อยชอบใจที่เห็นอูกยองลูบใบหน้าด้วยท่าทางที่ดูเหนื่อยล้า
เขาชี้มือชี้ไม้ทำท่าบอกให้อูกยองที่หันมาลดกระจกลง อีกฝ่ายจึงเปิดประตูรถก่อนก้าวออกมา ชีฮูกอดอกนิ่งมองอีกคนนวดหัวไหล่คลายเส้นพร้อมกับหมุนคอ พอนวดเสร็จจนพอใจอูกยองก็ยืนพิงรถแล้วเลิกคิ้วไปทางชีฮู เสียงแหบแห้งปนอ่อนล้าถามขึ้น
“อะไรของคุณ”
“แล้วทางนั้นล่ะครับกำลังทำอะไรอยู่”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเจือความไม่พอใจของชีฮูทำให้อูกยองเอียงคอสงสัย ชีฮูจึงยกเรียวนิ้วขึ้นนวดหัวคิ้วเมื่อเห็นสายตาของอูกยองที่ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าตนคือเหตุที่ทำให้เขาไม่พอใจ
“สามวันที่ผ่านมาคุณมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ครับ”
อูกยองปรายตามองชีฮูทั่วทั้งตัว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสวมชุดวอร์มแล้วจึงได้แต่ลูบคางนิ่งๆ
“แค่ทำธุระเฉยๆ ครับ”
ชีฮูขบกรามแน่นกับคำตอบของอูกยองที่ไม่ยอมบอกให้ชัดเจน
ทำไมถึงได้กวนใจขนาดนี้นะ
ทั้งใบหน้าอิดโรย ทั้งเสื้อเชิ้ตยับย่นราวกับอยู่กินแต่ในรถ ไหนจะสีหน้าที่ดูเนือยๆ ชวนให้สงสัยนั่นอีก ทั้งหมดนั้นมันกวนใจเขาได้อย่างน่าประหลาด
เห็นสีหน้าของชีฮูเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ อูกยองจึงถอนหายใจเบาๆ พลางคิดว่าตนคงถอยไปไหนไม่ได้แล้วจนกว่าจะเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้อีกฝ่ายฟัง ตามเนื้อตัวรู้สึกหนักอึ้งและเมื่อยล้าอันเป็นผลกระทบจากการอดหลับอดนอนอยู่ในรถมาสามวันติด นอกจากนั้นตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาเข้างานของเขาแล้วด้วย
“เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อประมาณอาทิตย์ก่อนครับ”
* โรคโฮมซิก หรือโรคคิดถึงบ้าน เป็นอาการของโรคที่เกิดกับคนที่อยู่ไกลบ้าน เป็นอาการอาลัยอาวรณ์คิดถึงพ่อแม่ พี่น้อง ญาติ สัตว์เลี้ยง สิ่งของ บรรยากาศ และอีกหลายๆ สิ่งที่บ้าน โดยคนที่เป็นโรคโฮมซิกจะมีอาการเศร้าซึม หดหู่ ไม่มีความสุข
* บันไดสัตว์เลี้ยง มีไว้สำหรับการเดินขึ้นลงพื้นที่ต่างระดับ เพื่อลดความเสี่ยงในการกระแทกหรือการเจ็บขาของสัตว์ขณะกระโดด
* คอลล่า (Elizabethan Collar) มีลักษณะคล้ายจานหรือลำโพง วัสดุทำจากพลาสติก ใช้สำหรับสวมใส่ให้กับสัตว์เพื่อป้องกันการเลียบาดแผล
* ชุดสครับ (Scrub Suit) เป็นเครื่องแบบทางการแพทย์ ประกอบด้วยเสื้อแขนสั้นและกางเกงขายาว
* เทรนช์โค้ต (Trench Coat) เป็นเสื้อโค้ตตัวยาว โดยความยาวจะอยู่ที่ระดับหัวเข่าจนถึงกลางหน้าแข้ง มีกระดุมสองแถว มีเข็มขัดผ้ารัดเสื้อโค้ตตรงช่วงเอว เพื่อช่วยให้เสื้อกระชับกับตัวมากขึ้น
* บิบิมกุกซู (비빔국수) หรือหมี่ยำเกาหลี มีทั้งรสเผ็ด เปรี้ยว และหวาน นิยมทานในฤดูร้อน
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Nice Alpha ผมเป็นโอเมก้าที่ชอบอัลฟ่าเชื่องๆ (2 เล่มจบ)
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-Book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts /
comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.