ทดลองอ่าน เรื่อง Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 1
ผู้เขียน : 木苏里 (Mu Su Li)
แปลโดย : Luna
ผลงานเรื่อง : 黑天 (Hei Tian)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
ประสบการณ์เฉียดตาย บาดแผลทางใจในวัยเด็ก
มีการกล่าวถึงอาการบาดเจ็บเรื้
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 4 ปราการเก่าบาร์นี
ซ่าเอ้อใช้นิ้วชี้เขี่ยเครื่องหมายสีแดงบนแผนที่ดาวผ่านหน้าจออย่างเอ้อระเหยแล้วเอ่ยขึ้น
“นี่ก็น่าสนใจแล้ว”
น่าสนใจอย่างไร
เพราะช็อตโค้ดช่องสัญญาณสื่อสารสาธารณะของฉู่ซือนั้นปลอมแปลงยากเท่าไหร่ สัญลักษณ์ต้นทางของสัญญาณก็ยิ่งแทนที่ได้ยากเท่านั้น ซ่าเอ้ออาจเข้าใจลึกกว่าฉู่ซืออีกขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ เนื่องจากตอนอยู่ในเรือนจำอวกาศเวลาเขานั่งว่างไม่มีอะไรทำก็ชอบค้นคว้าสิ่งเหล่านี้
กล่าวตามจริง การเล่นตุกติกกับช่องโหว่ด้านนี้นักโทษทั้งเรือนจำอวกาศล้วนเป็นยอดฝีมือ เนื่องจากพวกเขาว่างจนเบื่อก็แทบจะป่วนสัญญาณเสมือนอาหารสามเวลาเสียด้วยซ้ำ และในบรรดายอดฝีมือเหล่านี้ หากซ่าเอ้อบอกว่าเป็นรอง ก็คงไม่มีใครกล้าเป็นหนึ่ง
ก็เหมือนกับวิธีการขัดขวางที่พัฒนาอย่างต่อเนื่องในปัจจุบัน การคิดจะบุกเข้าไปในช่องสัญญาณสื่อสารของคนอื่นนั้นยากกว่ายุคบรรพกาลแล้ว ด้วยการดวลกันแบบ ‘ธรรมะสูงหนึ่งคืบ อธรรมสูงหนึ่งศอก’* มานับพันปี ปราการที่สร้างขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อนได้อุดช่องโหว่ที่ค้นพบทั้งหมดอย่างมิดชิด แทบจะไม่เจอช่องโหว่ใหม่ให้เจาะได้อีกแล้ว
สำหรับคนธรรมดา คิดจะสร้างความปั่นป่วนด้านนี้ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์
ต่อให้เป็นพวกนักโทษในเรือนจำที่ว่างจนครั่นเนื้อครั่นตัวกลุ่มนี้ ฝีมือดีสุดก็แค่สอดส่องกับการมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์เท่านั้น
ซ่าเอ้อเป็นคนเดียวในนี้ที่สามารถแทรกแซงช่องสัญญาณสื่อสารของคนอื่นแล้วส่งข้อความสนทนาโดยตรงได้ ทว่าเจ้าอันธพาลเหลือขอนี่ลำเอียงเป็นที่สุด คนทั่วไปเขาไม่แยแสที่จะทำ รู้สึกว่าน่าเบื่อและไร้สาระ ปกติเขาจะเล็งแกล้งอยู่คนเดียว…
คนคนนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฉู่ซือ
เจ้าคนถ่อยคนนี้เจาะช่องสัญญาณสื่อสารส่วนตัวของฉู่ซือได้ราวกับเล่นของเล่น เจาะช่องสัญญาณสื่อสารไลน์ B ในสำนักงานของเขากลับใช้เวลาอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็สำเร็จอยู่ดี
ทว่าช่องสัญญาณสื่อสารไลน์ A ของห้องทำงานฉู่ซือเป็นด่านที่เขาผ่านไม่ได้จนแม้กระทั่งวันที่ดาวระเบิด
ช่องสัญญาณสื่อสารไลน์ A ดังกล่าวก็คือ 50001 ที่ใช้สำหรับส่งความลับและคำสั่งลับสูงสุด
หากบอกว่า ‘การเจาะช่องสัญญาณสื่อสาร 50001’ มีระดับความยากเท่าหินก้อนหนึ่งสำหรับซ่าเอ้อ เช่นนั้นระดับความยากของ ‘การสวมรอย 50001 กับต้นทางสัญญาณสีแดง’ ก็ประมาณดาวดวงหนึ่ง
เพราะนี่ไม่ใช่เพียงความแตกต่างด้านความยากของเทคโนโลยีเท่านั้น สิ่งที่มากกว่านั้นคือความต่างทางด้านอุปกรณ์
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนคนเดียวจะทำได้” ซ่าเอ้อใช้ข้อนิ้วมือเคาะหน้าจอ “อุปกรณ์พลเรือนทั่วไปไม่มีทางทำได้ เขตหวงห้ามก็ยังเจาะไม่ได้ อุปกรณ์ทางการทหารทั่วไปอย่างมากก็เจาะได้แค่ชั้นแรก แถมยังต้องใช้เวลาเกือบครึ่งปี อุปกรณ์ทางการทหารขั้นสูงของคนที่มีอำนาจระดับสูงใช้เวลาประมาณสี่ปีก็เจาะชั้นที่สามได้ แต่ก็แค่นี้เท่านั้น เพราะว่า…จำนวนชั้นของตัวล็อกนิรภัยชั้นนอกมีทั้งหมดสามร้อยยี่สิบหกล้านตัวแล้ว”
ฉู่ซือมองเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “คุณนักโทษแหกคุกหยาง ไม่ทราบว่าทำไมนายถึงรู้เรื่องดัชนีตัวเลขพวกนี้ละเอียดขนาดนี้”
นิ้วที่เคาะหน้าจอของซ่าเอ้อชะงักกึก ชายหนุ่มลากเสียง ‘อ๋อ’ เรียบๆ
เขาเอียงหน้ายิ้มให้ฉู่ซือ “เพราะฉันเคยลองสวมรอยใช้ช่องสัญญาณสื่อสารของนายไปปลดล็อกเครื่องควบคุมไงล่ะ”
ฉู่ซือ “…”
ไงล่ะพ่อนายสิ
เจ้าอันธพาลนี่พูดเรื่องนี้ได้อย่างไร้ความสำนึกผิดใดๆ อีกทั้งหางเสียงยังสูงแปลกๆ เจือแววหยอกเย้าเล็กน้อย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นการท้าทายหรือหมายถึงอย่างอื่น
เอาเป็นว่าฉู่ซือฟังแล้วส่งเสียงฮึ ก่อนเบนสายตาไปมองที่หน้าจออีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คุณหยาง ฉันจำเป็นต้องเตือนนายอย่างเป็นมิตรหน่อยว่าเครื่องควบคุมบนแขนนายไม่ได้ปลดด้วยช่องสัญญาณสื่อสารของฉัน ต่อไปทางที่ดีนายอย่าคิดอะไรแผลงๆ อีก เกิดพลาดกับอุปกรณ์แล้วผลออกมากลับตาลปัตร นายจะไม่มีที่ให้ร้องไห้”
“โอเค ฉันผิดไปแล้ว”
ขณะพูดประโยคนี้นิ้วของเขาก็ง่วนกับการเกลี่ยสายเชื่อมต่อที่ยุบยับราวกับใยแมงมุม แล้วเคาะบนแป้นพิมพ์ น้ำเสียงช่างสบายอารมณ์ ความกะล่อมกะแล่มแทบจะล้นทะลักออกมา
นานมาแล้วมีคนกล่าวว่าซ่าเอ้อเป็นคนเกียจคร้านด้านคำพูด เขาไม่เคยยินดีจะโต้แย้งกับใครเกินสองประโยคในเรื่องเรื่องหนึ่ง ความจริงแล้วเวลาส่วนใหญ่เขาถึงขั้นคร้านจะพูดจาแม้สักประโยคด้วยซ้ำ เพียงแค่ ‘อืม’ สั้นๆ ก็ถือว่าเป็นคำตอบแล้ว
ท่าทางเหมือนจะฟังเข้าหูแล้ว ในใจอาจเยาะเย้ยว่า ‘คนหน้าโง่เท่านั้นแหละที่จะสนใจแก’ พอพริบตาเดียวก็ไม่สนแล้ว และยังคงมั่นใจกับการกระทำของตนเอง
นี่ก็คือแบบฉบับของการนอบน้อมยอมรับผิด แต่ผิดไม่รู้จักจำ
นิสัยเสียนี้มักทำให้คนอื่นโกรธจนกระอักเลือด แต่ดันกระอักใส่เขาไม่ได้ ได้แต่กลืนลงไปย่อยครั้งที่สองอีกรอบ คงมีแต่ฉู่ซือที่ฟังจบแล้วก็ยังคงมีสีหน้าสุขุมปนเย็นชา
เขามองข้ามการยอมรับผิดแบบขอไปทีของซ่าเอ้อ ในหัวยังคงครุ่นคิดถึงเงื่อนไขการสวมรอยที่กล่าวถึงก่อนหน้านี้ เป็นของพลเรือนไม่ได้ ของอำนาจการทหารระดับสูงก็ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีแล้ว…
ไม่สิ มีอยู่ที่หนึ่ง!
“นายรู้จักปราการบาร์นีไหม” ฉู่ซือถามไปประโยคหนึ่ง ยังไม่รอให้ซ่าเอ้ออ้าปาก เขาก็ยักไหล่แล้วพูด “เอาเถอะ นายรู้แน่ๆ ที่นั่นมีสถานีฐานพิเศษอยู่ที่หนึ่ง เคยเป็นสถานีฐานเอกสิทธิ์ทางการทหารเพียงหนึ่งเดียวมาก่อน เพียงแต่ภายหลังถูกปิดอย่างไร้กำหนดเพราะอุบัติเหตุ”
“อืม…” ซ่าเอ้อตอบด้วยเสียงนี้ แสดงให้เห็นว่าเขารู้จักจริงๆ
หากว่ากันอย่างจริงจังแล้วต้นสังกัดของฉู่ซือก็อยู่ในระบบของกองทัพ ต่อให้ตอนเกิดเหตุการณ์ที่ปราการบาร์นีถูกปิดคนรุ่นพวกเขาจะยังเยาว์วัย แต่เขาก็รู้เรื่องเหล่านี้มากกว่าคนทั่วไป
“หลังจากปราการบาร์นีถูกปิด เพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาแบบเดียวกันอีก สถานีฐานพิเศษที่สร้างขึ้นใหม่แบ่งออกเป็นสี่แห่ง สิทธิ์การเข้าถึงกับขอบเขตนั้นลดลงจากปราการบาร์นีหนึ่งระดับ เพื่อสะดวกในการคานอำนาจและผูกมัดระหว่างกันของทั้งสี่แห่ง” ฉู่ซือพูดพลางมองซ่าเอ้อ “หรือก็คือปราการบาร์นียังคงเป็นสถานที่ที่เหนือกว่าสถานีฐานพิเศษทั้งหมดที่มีอยู่ในเวลานี้”
ทั้งยังเหนือกว่ามากทีเดียว
อุปกรณ์ของกองทัพที่สิทธิ์การเข้าถึงขั้นสูงซึ่งมีอยู่ ณ ตอนนี้ทำสิ่งนั้นไม่ได้ แล้วปราการบาร์นีจะทำได้หรือไม่
ตอนที่ส่งมอบช่องสัญญาณสื่อสารสาธารณะอย่าง 50001 ถึงมือฉู่ซือ พวกเขาเพียงแค่อธิบายว่าการออกแบบของช่องสัญญาณสื่อสารนี้มีความละเอียดรัดกุมและมีความแน่นหนาจนแทรกแซงไม่ได้อย่างไร ไม่มีทางบอกฉู่ซือแน่นอนว่าโลกนี้ยังมีช่องโหว่อะไรที่จะเจาะมันได้ บางทีแม้กระทั่งพวกเขาเองก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำ
คำถามเชิงด้านมืดก็จำต้องถามคนที่อยู่ในวงการมืด
ซ่าเอ้อตอบ “ถ้าจะเอาคำตอบให้ได้ ก็คงไม่มีที่ไหนเหมาะสมไปกว่ามันอีกแล้ว” เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนผงกศีรษะ กล่าวอย่างมั่นใจอีกครั้ง “ถ้าเปิดใช้งานปราการบาร์นีก็น่าจะหาคำตอบได้แน่ๆ และอาจใช้เวลาน้อยกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะ เผลอๆ ครึ่งวันก็พอแล้ว ใครจะไปรู้”
ปากเขาบอกว่า ‘ใครจะไปรู้’ ทว่าดวงตากลับหรี่ลง ท่าทางลิงโลดเสียเหลือเกิน
นี่คงเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยของคนที่สวรรค์ให้มันสมองมาแต่กำเนิดแต่ดันเติบโตเป็นพวกหัวขบถ สิ่งสามัญทั่วไปนั้นน่าเบื่อเต็มประดาสำหรับพวกเขา จึงไม่มีอารมณ์ไปสนใจ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาส่วนใหญ่หรือแทบจะทั้งหมดในชีวิตเพื่อแสวงหาความตื่นเต้น ยิ่งอันตรายพวกเขาก็ยิ่งคะนอง ยิ่งคาดคะเนไม่ได้พวกเขาก็จะยิ่งอยากรู้อยากเห็น
ซ่าเอ้อ หยางก็คงเป็นหัวโจกในกลุ่มคนบ้าเหล่านี้
พูดกันตามตรง การกระตุ้นความสนใจของซ่าเอ้อได้ไม่ใช่เรื่องดีเด่อะไร
เพราะไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าความสนใจของเขาอยู่ที่การศึกษาเชิงลึกหรืออยู่ที่การทำลาย บางทีวันนี้อาจเป็นข้อแรก แต่พรุ่งนี้ก็อาจเปลี่ยนเป็นข้อที่สองก็ได้ ทุกอย่าง…ล้วนดูอารมณ์
ฉู่ซือเห็นท่าทางเหมือนครุ่นคิดบางอย่างของอีกฝ่ายแล้วก็ปวดกบาล เขาใช้นิ้วชี้เคาะขอบเคาน์เตอร์
“คุณนักโทษแหกคุก รบกวนช่วยเก็บอาการด้วย ไม่ต้องแสดงออกว่านายอยากก่อเรื่องจนประเจิดประเจ้อขนาดนั้น เครื่องควบคุมนายยังไม่ได้ปลดออกนะจำได้ไหม”
ซ่าเอ้อกล่าวด้วยท่าทางเรื่อยเฉื่อย “เรียนหัวหน้า เจ้าสิ่งนั้นเป็นคนเริ่มก่อน”
ฉู่ซือ “…นายไสหัวออกไปได้แล้ว”
เขาเคาะระบบดวงตาสวรรค์ “เจ้าหนูติดอ่าง รบกวนค้นแผนที่ดาวให้ที หาพิกัดช่องสัญญาณสื่อสาร 9500 หรือ 9501 ออกมาด้วย”
นี่คือช่องสัญญาณสื่อสารของปราการบาร์นีที่ฉู่ซือคาดเดา เลข 9 หมายถึงขึ้นตรงต่อกองทัพ เลข 5 หมายถึงทีมสถานีฐาน ตามหลักความเคยชินในการเรียงลำดับ สถานีปราการบาร์นีหากไม่ใช่เลข 0 ก็คือเลข 1 ต่อให้ตัวสถานีฐานพิเศษถูกปิดกั้นไปแล้ว ทว่าช่องสัญญาณสื่อสารจะไม่ถูกปรับเปลี่ยนง่ายๆ และไม่แน่ว่ามันอาจถูกยกเลิกการปิดกั้นแล้วก็ได้
ตึ๊ง
“คำสั่งไม่ชัดเจน 9500 หรือๆๆๆๆ 9501 ให้ระบุพิกัดอันไหนกันแน่ กรุณาป้อนคำสั่งที่ชัดเจนอีกครั้ง”
ฉู่ซือ “…เข้าใจเลือกจุดติดอ่างจริงนะ”
ตึ๊ง
“หรือๆๆๆๆ เป็นการเน้นย้ำ ไม่ได้ติดอ่าง”
ฉู่ซือ “…”
ตึ๊ง
“ระบบดวงตาสวรรค์ได้ให้บริการอัจฉริยะที่ลื่นไหลที่สุดแก่ท่าน กรุณาป้อนคำสั่งที่ชัดเจนอีกครั้ง”
ลื่นไหลกับผีน่ะสิ
“แกนี่หน้าไม่อายซะจริง” ฉู่ซือเย้ยหยัน
“กรุณาระบุคำสั่งที่ชัดเจนอีกครั้ง คำสั่งที่ชัดเจน คำสั่ง…”
นี่คงเป็นระบบอัจฉริยะที่ขี้บ่นที่สุด น่ารำคาญที่สุด และไร้ยางอายที่สุดเท่าที่ฉู่ซือเคยเจอมาแล้ว
เขาบอกอย่างหัวเสีย “หาพิกัด 9500 ก่อน แล้วค่อยหาของ 9501”
ตึ๊ง
“เริ่มการสแกน ข้อมูลมีจำนวนมาก การคำนวณใช้เวลาประมาณหนึ่งนาที โปรดรอสักครู่ นับเวลาถอยหลัง ห้าสิบเก้า…”
“คราวนี้แกตั้งใจจะให้เครื่องขัดข้องตั้งแต่นับห้าสิบเก้าเลยเหรอ”
“กรุณาอย่าออกคำสั่งไร้ประโยชน์รบกวนการสแกน”
ซ่าเอ้อหันหน้าไปขำเสียงหนึ่ง
ฉู่ซือ “…”
หัวหน้าฉู่ซือผู้ขายาว หน้าหล่อ บุคลิกสง่า มีรสนิยมยอมสยบอย่างหาได้ยาก อีกฝ่ายดันเป็นพวกหัวทึบติดอ่าง แถมไม่ใช่คนอีกต่างหาก
ตึ๊ง
“สแกนเสร็จสิ้น ไม่พบข้อขัดข้อง ผลการสแกน 9500 เป็นหมายเลขช่องสัญญาณสื่อสารผิดพลาด 9501…1…1…1…”
“เอาเป็นว่าพังไอ้สิ่งเฮงซวยแบบแกเลยก็แล้วกัน” ฉู่ซือโกรธจนขำ
“1…ผลการค้นหาพิกัดเป็นไปตามที่แสดงบนแผนที่ดาว ข้อควรระวัง เป้าหมายดังกล่าวห่างออกไปไกลเกินไป พิกัดอยู่นอกขอบเขตที่สัญญาณพิเศษสามารถค้นหา เป้าหมายกำลังใกล้เข้ามา คาดว่าอีกสี่ชั่วโมงจะถึงเขตที่หนึ่งของแผนที่ดาว”
ฉู่ซือฟังผลการค้นหาของมันพลางจ้องแผนที่ดาว
บนหน้าจอขนาดใหญ่ภาพนั้นราวกับเป้ายิง วงกลมที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เท่ากันจากทุกสารทิศทำการแบ่งออกเป็นเขตแดนต่างๆ จากในสู่นอก ทำสัญลักษณ์เป็นเขต 1-10 จุดศูนย์กลางคือ 10 วงด้านนอกสุดคือ 1 มาตรฐานการขีดแบ่งคือความแรงของสัญญาณอวกาศ
หากเป้าหมายอยู่นอกเขตแดนส่วนนอกของเขต 1 อย่างนั้น แม้กระทั่งคลื่นสัญญาณอวกาศก็คงไปไม่ถึง
จุดที่เป็นสัญลักษณ์แทน 9501 นั้นอยู่บนเส้นขอบพอดี พิกัดมีความคลาดเคลื่อนสูง ต้องรอมันเคลื่อนเข้ามาด้านในอีกนิดความคลาดเคลื่อนของพิกัดจึงจะลดน้อยลงจนอยู่ในระดับที่สามารถปฏิบัติการได้
ฉู่ซือกวาดตามองเวลาที่แสดงตรงมุมจอแวบหนึ่ง มองเวลาหน่วยชั่วโมงคร่าวๆ แล้วก็เคาะเกราะหุ้มสมองของดวงตาสวรรค์อีกครั้ง
“เอาเถอะ อีกสี่ชั่วโมงค่อยไปขยับมัน ตอนนี้มีคำสั่งอีกอย่างที่สำคัญกว่า”
ตึ๊ง
“คำสั่งที่ได้มาตรฐานควรสั้นกระชับ ได้ใจความ ขออภัยที่ต้องพูดตามตรง คุณ…”
“ฉันดึงแบตฯ ออกละนะ”
ตึ๊ง
“เชิญป้อนคำสั่ง”
“ค้นดูว่าไอ้ที่ห่วยๆ นี่ยังมีอาหารไหม” ฉู่ซือมีสีหน้าสุขุม แต่สภาพจิตใจกลับหิวจนเจียนจะเป็นโรคจิตอยู่แล้ว
“ได้รับคำสั่งเรียบร้อย เริ่มการค้นหา สาม…สอง…ค้นหาเสร็จสิ้น”
ซ่าเอ้อเอ่ยขึ้น “อ้าว คราวนี้เครื่องไม่ขัดข้องแล้ว แถมยังเสร็จก่อนเวลาอีก?”
ตึ๊ง
“ตามตำแหน่งที่แสดงในภาพ มีสิ่งที่คุณต้องการ”
ทั้งสองหลุบตาลงมอง…ที่ตรงนั้นไม่ใช่ที่อื่น เป็นโกดังเก็บเชื้อเพลิงตรงส่วนท้ายของเคบินกลม ด้านในมีเชื้อเพลิงปฏิสสารไม่กี่สิบมิลลิกรัม แต่อานุภาพที่เกิดจากการระเบิดก็สามารถส่งเรือนจำอวกาศไปสวรรค์ได้เลย
ซ่าเอ้อแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าหนูติดอ่าง ป้อนให้แกกินก่อนสักสองสามกรัมดีไหม”
ตึ๊ง
“เราผิดๆๆๆๆ ไปแล้ว แก้ไขผลการค้นหาเรียบร้อยแล้ว”
เจ้าระบบติดอ่างนี่รนหาที่ตายเป็นพิเศษ แต่ก็ปอดแหกเป็นพิเศษเช่นกัน แค่ขู่หน่อยเดียวก็ยอมจำนนอย่างว่าง่ายแล้ว
แล้วก็เห็นหน้าจอใหญ่บนแผงปฏิบัติการถูกแบ่งออกเป็นห้าส่วน แสดงให้เห็นสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน อาหารที่อยู่ในแต่ละส่วนถูกระบบอัจฉริยะเรียกออกมา แล้วเพิ่มกรอบสีแดงเด่นสะดุดตาเข้าไป ด้านข้างยังมีคำอธิบายอีกหลายประโยค
“ยังมีเหลืออยู่จริงด้วย ดูแล้วเยอะอีกต่างหาก” ฉู่ซือว่า โน้มตัวเข้าไปใกล้หน้าจอ แล้ววาดนิ้วผ่านลอยๆ “ที่แสดงผลอยู่นี่คือที่ไหนบ้าง…”
ภาพส่วนที่หนึ่งมีเตียงเดี่ยวหลังหนึ่ง ด้านข้างยังมีตู้เสื้อผ้าติดผนัง รวมถึงโต๊ะพับอีกตัว ข้างๆ โต๊ะพับเป็นตู้เย็นพกพา กรอบสีแดงขนาดใหญ่วงครอบตู้เย็นทั้งเครื่องไว้
คำอธิบายด้านข้างเขียนกำกับไว้ว่า
‘จำนวนสิ่งของ 17 ชิ้น (โดยประมาณ)
โปรตีนที่ตรวจวัดได้ 312 g (โดยประมาณ)
แคลอรีที่ตรวจวัดได้…’
“นี่คือห้องประจำการของผู้คุมเรือนจำล่ะสิ” ฉู่ซืออ่านคำอธิบายผ่านๆ ก่อนออกความเห็น “คำไร้สาระทั้งนั้น แกมีเวลาคำนวณสิ่งที่ดูดีแต่ใช้ประโยชน์ไม่ได้แบบนั้น สู้ระบุหมายเลขห้องออกมาเลยดีกว่า ช่วยทำเรื่องที่มันมีประโยชน์หน่อยได้ไหม”
เขาพูดพลางเคาะ ‘กะโหลก’ ของเจ้าหนูติดอ่างหนักๆ สองที
ระบบติดอ่างไม่ได้เถียง หน้าจอนิ่งไปเงียบๆ ประมาณสองวินาทีก่อนจะสั่นวูบ เปลี่ยนเป็นตัวอักษรแถวหนึ่ง เพียงแต่ตัวอักษรเหล่านั้นปรากฏแล้วแทบจะหายวับไปในชั่วพริบตา แล้วหน้าจอก็กลับมาเป็นภาพห้าภาพอีกครั้ง
สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนเดิมคือคำอธิบายบนภาพเหล่านั้นเป็นไปตามคำขอของหัวหน้าฉู่ซือ เปลี่ยนเป็นหมายเลขห้องกับตำแหน่ง
ซ่าเอ้อหัวเราะเหมือนกลั้นไม่ไหวแล้ว
ฉู่ซือทำเสียงจิ๊จ๊ะ “เมื่อกี้นายเห็นตัวหนังสือใหญ่ๆ ที่แวบผ่านชัดไหม”
“เห็นชัดเลย เขียนแถวหนึ่งอย่างกับป้ายคำขวัญ ‘สีซอให้ควายฟัง’ ” ซ่าเอ้อเอ่ยตอบ มุมปากยังยกยิ้ม เห็นชัดว่าสนุกที่ได้เห็นฉู่ซือถูกยอกย้อน
ฉู่ซือ “…” เจ้าหนูติดอ่างโง่นี่กล้าหาญชาญชัยแล้วสินะ
ไม่รู้ว่าสีหน้าเช่นนี้ของเขาไปสะกิดต่อมไหนของซ่าเอ้อเข้า จนทำให้อีกฝ่ายหันหน้ามากะทันหันก่อนย่นคิ้วนิดๆ
“อะไรกัน หัวหน้าฉู่ผู้มีสายตาไม่แพ้กล้องจุลทรรศน์ของพวกเราเห็นไม่ชัด?”
ฉู่ซือเบะปาก ตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ก่อนหน้านี้ตาได้รับบาดเจ็บไปครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่เป็นปัญหากับการเล็งตรงไหนยิงตรงนั้นในระยะร้อยกว่าเมตร เพราะฉะนั้นก็พักเถอะ คุณนักโทษแหกคุก อย่าคิดจะมุดช่องโหว่อะไรตรงนี้”
ซ่าเอ้อ “…”
“ถ้านายรื้อระบบติดอ่างนี่แล้วปรับใหม่ รักษาอาการปัญญานิ่มเป็นพักๆ ของมันได้ ไว้นายก่อเรื่องครั้งหน้า ฉันอาจเห็นแก่เรื่องนี้แล้วลืมตาข้างหลับตาข้างก็ได้” ฉู่ซือจำตำแหน่งบนหน้าจอของอาหารเหล่านั้นพลางเสริมอีกประโยค
ตึ๊ง
“คำเตือน กรุณาอย่าสนทนาเรื่องน่าเบื่อลักษณะนี้ในศูนย์มอนิเตอร์อันศักดิ์สิทธิ์ ข้อแนะนำ เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน ภาพที่แสดงบนหน้าจอจะถูกเปลี่ยนในอีกสามวินาที นับเวลาถอยหลัง สาม…สอง…หนึ่ง…”
“แกกล้าเปลี่ยน ฉันก็กล้าแกะกะโหลกแก” ฉู่ซือกล่าวเสียงเรียบ
ตึ๊ง
“ศูนย์จุดเก้าเก้า…ศูนย์จุดเก้าแปด…ศูนย์จุดเก้าเจ็ด…”
ซ่าเอ้อ “แกนี่ไม่แน่จริงเลย”
“ห้องประจำการผู้คุมเรือนจำหมายเลขสอง สาม และเจ็ด ยังมีใต้เคาน์เตอร์บาร์ในโรงอาหาร รวมถึง…ตู้ซ่อมบำรุงในศูนย์มอนิเตอร์ด้วย?”
ตอนที่ฉู่ซืออ่านถึงตำแหน่งสุดท้ายก็หันร่างเดินตรงไปทางตู้ซ่อมบำรุงที่อยู่ด้านหลังไม่ไกล ตู้อิเล็กทรอนิกส์โลหะทั้งแถบมีส่วนคล้ายกับตัวที่อยู่ในห้องเก็บของชั้นใต้ดินในคฤหาสน์ของฉู่ซือ
จุดต่างคือที่อยู่ในคฤหาสน์เป็นของฉู่ซือ จึงเปิดได้โดยสะดวก ส่วนทางนี้…กลับถูกล็อกตาย
“ศูนย์จุดเจ็ดสอง…ศูนย์จุดเจ็ด…เจ็ด…เจ็ด…”
“ไม่ต้องเจ็ดแล้ว ปลดล็อกตู้ทั้งแถบนี้ด้วย” ฉู่ซือเคาะตู้ C ชั้นสองแล้วเร่งรัดระบบติดอ่าง
ดวงตาสวรรค์ที่โต้เถียงกับฉู่ซือกำลังเครื่องขัดข้องหาทางลงไม่ได้ พอได้ยินฉู่ซือออกคำสั่งอื่นก็รีบตามน้ำไปอย่างดีใจน้ำตาไหล
ได้ยินเสียงโคร้งเคร้งดังประสานกัน ประตูตู้ซ่อมบำรุงขนาด 5×12 ก็เปิดผ่างทั้งหมด เหลือก็แต่ยังไม่ได้โยนสมบัติด้านในออกมาด้วย
ฉู่ซือพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เขายื่นมือไปควานในตู้ C ชั้นสองที่ระบุออกมาบนหน้าจอ แล้วได้วัตถุคล้ายยาออกมาสองแผง
เขามีสีหน้ารังเกียจไม่ชอบใจทันที ใช้นิ้วดีดขอบมุมของมันไปสองที “แคปซูลสารอาหารสกัดเข้มข้น ไม่รู้ว่าควรร้องไห้หรือหัวเราะดี”
ของสิ่งนี้หนึ่งแผงมีสิบสองแคปซูล แต่ละแคปซูลสามารถให้ปริมาณน้ำกับสารอาหารที่ร่างกายของคนรูปร่างมาตรฐานทั่วไปต้องการได้สามวัน เป็นสิ่งที่ต้องมีในการเดินทางในอวกาศ แต่ข้อเสียคือกลืนยาก อีกทั้งรสชาติก็แย่ แถมยังมีผลข้างเคียงเล็กน้อยด้วย
หลังจากกลืนแคปซูลสารอาหารสกัดแล้ว ภายในเวลาแปดชั่วโมงคนส่วนน้อยอาจมีอาการปวดท้อง ปวดศีรษะ รวมถึงเป็นไข้ต่ำๆ พอพ้นแปดชั่วโมงอาการก็จะเริ่มดีขึ้น
คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ เอาเป็นว่าฉู่ซือเบื่อรสชาติของสิ่งนี้อย่างสุดซึ้ง
เพราะเขาเคยต้องอาศัยสิ่งนี้เป็นเวลาเกือบแปดเดือนเพื่อรักษาชีวิตรอด นั่นเป็นช่วงที่ต้องบีบจมูกฝืนกลืนอย่างแท้จริง ตั้งแต่นั้นมาทุกครั้งที่เขาเห็นแคปซูลสารอาหารสกัด ปลายจมูกก็จะได้กลิ่นคาวเลือดผสมกลิ่นเปรี้ยวฝาดของแคปซูลสารอาหารสกัดลอยมา
เขาเขย่าแคปซูลสารอาหารสกัดสองแผงในมือจนดังซ่า พร้อมพูดกับระบบดวงตาสวรรค์ “แกเรียกของที่ไม่มีกลิ่นหอมและไม่มีความอร่อยสักอย่างแบบนี้ว่าอาหารเนี่ยนะ”
ตึ๊ง
“ขออภัย หลังผ่านการ…”
เจ้าหนูติดอ่างยังอธิบายไม่จบ ฉู่ซือก็ฉกแคปซูลสารอาหารสกัดใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงสแล็กส์
เจ้าหนูติดอ่าง “…” มีปัญญารังเกียจ แน่จริงก็อย่าเอาสิ!
ซ่าเอ้อ “หัวหน้าที่รัก นายนี่หน้าไม่อายจริงๆ”
ตึ๊ง
“ถูกต้อง…ถูกต้อง…ถูกต้อง…ถูกต้อง…”
ฉู่ซือยักไหล่ “ขอบคุณที่ชม”
“เนื่องด้วยหลักการที่ว่าผู้พบเห็นย่อมมีส่วนแบ่ง หัวหน้าฉู่ไม่คิดจะแบ่งของกลางกับฉันหน่อยเลยเหรอ” ซ่าเอ้อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฉู่ซือหันร่างเดินออกไปนอกประตูทันที “โทษที คนอย่างฉันไม่เคยพูดเรื่องหลักการ” เขาออกคำสั่งกับระบบติดอ่างโดยไม่หันมา “ห้องประจำการของผู้คุมเรือนจำยังล็อกอยู่ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ ปลดล็อกด้วย”
ระบบติดอ่างเงียบไปสองวินาที ก่อนเปิดเสียงบันทึกช่วงหนึ่ง ซึ่งก็คือประโยคที่ว่า ‘นายนี่หน้าไม่อายจริงๆ’ ที่ซ่าเอ้อพูดไปเมื่อครู่
เปิดซ้ำถึงสามรอบ
ฉู่ซือ “…”
ซ่าเอ้อ “…”
ตั้งแต่เข้าเรือนจำมา ความดันโลหิตของทุกคนล้วนพุ่งขึ้นสูง
ฉู่ซือเปิดประตูกั้นออก ขณะกำลังจะเรียกไม้ถูพื้นเล็กใหญ่ที่หลบมุมอยู่ก็รู้สึกได้ว่ามีคนประชิดเข้ามาทางด้านหลัง ซ่าเอ้อกดเสียงลงต่ำ สวมบทเป็นโจรได้อย่างถูกต้อง
“ในเมื่อหัวหน้าฉู่ไม่มีเหตุผล งั้นฉันก็คงได้แต่หยิบโดยไม่บอกแล้ว”
ไม่ทันขาดคำ เมื่อฉู่ซือหลุบตาลงก็เห็นนิ้วเรียวยาวของซ่าเอ้อล้วงเข้ามาในกระเป๋ากางเกงสแล็กส์ของเขาแล้วหยิบแคปซูลสารอาหารสกัดออกมาแผงหนึ่ง
ชายหนุ่มหนีบแผงแคปซูลสารอาหารสกัดด้วยสองนิ้วราวกับกำลังหนีบไพ่ ส่ายไปมาตรงหน้าฉู่ซือ
ฉู่ซือ “…”
สองนิ้วของซ่าเอ้อสะบัดแล้วพลิก แคปซูลสารอาหารสกัดนั้นก็หายลับไปจากสายตาของฉู่ซือ ลีลาพอๆ กับนักมายากล
ฉู่ซือไม่ได้คาดหวังว่าจะแย่งของคืนจากอีกฝ่ายได้ แม้แต่นิ้วก็ไม่ขยับ เขาให้ความเห็นอย่างเฉยชา
“เล่นกลได้คล่องแคล่วดีนี่”
“ขอบคุณที่ชม”
ฉู่ซือกล่าวอย่างสุภาพมีมารยาท “แสดงจบแล้วก็กรุณาไสหัวไป อย่ามาอวดมือของนายตรงนี้”
ไม้ถูพื้นที่ไสหัวกลับมาทันทีที่เห็นประตูกั้นเปิดออกทำท่าราวกับเจอผี “นี่พวกคุณทำอะไรกัน”
ฉู่ซือปรายตามองเขาแวบหนึ่ง มองจนอีกฝ่ายกลั้นหายใจแล้วลอบกลืนน้ำลาย “เชิญครับเชิญ ผมไม่ถามแล้ว”
ไม้ถูพื้นหุบปากตัวเอง จูงไม้ถูพื้นเล็กตามหลังสองคนนั้นไปเงียบๆ ระหว่างทางยังอ้อมผ่านเหล่าหมาป่าที่ถูกขังอยู่ในกรงเสียไกล แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าสายตาของพวกคนในกรงที่มองเขานั้นราวกับขย้ำเขาทั้งเป็นได้เลย ช่างตรงไปตรงมากว่าซ่าเอ้อมากเหลือเกิน
ไม่นานพวกเขาก็เดินย้อนกลับมาถึงโถงทางเดินห้องประจำการของผู้คุมเรือนจำ พลันเห็นประตูแปดบานที่ล็อกแน่นอยู่ตอนแรกเปิดออกเองแล้ว ไฟสีขาวด้านในส่องสว่างนวลตา
“หมายเลขสอง สาม กับเจ็ด” ฉู่ซือยกนิ้วขึ้นแบ่งงาน พวกเขาแยกย้ายกันไปยังห้องหมายเลขต่างกัน
“นี่เป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดในรอบสามปีตั้งแต่ลืมตาตื่น! เยี่ยมไปเลย!” ไม้ถูพื้นกู่ร้องด้วยความลิงโลด หอบของในตู้เย็นในห้องหมายเลขสองออกมาจนหมด แล้วเอาไปกองไว้ด้วยกันกับของที่ฉู่ซือและซ่าเอ้อหามาได้ “ไหนให้พวกเราดูซิว่ามีของดีๆ อะไรบ้าง! แซนด์วิช อาหารกระป๋อง แฮมกระป๋อง ไส้กรอกรมควัน แล้วก็…โอ้ นับไม่หวาดไม่ไหวเลย! สวรรค์ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้กินอาหารสดใหม่แบบนี้ ไอ้แคปซูลสารอาหารสกัดนั่นไปตายเหอะ!”
ฉู่ซือเลิกคิ้วขึ้น “ในเมื่อนายพูดแบบนี้แล้ว งั้นแคปซูลสารอาหารสกัดก็ไม่แบ่งนายละกัน”
ไม้ถูพื้นสะอึกอึ้ง แล้วก็ส่ายหน้าระรัว “ไม่ๆๆๆ ถือเสียว่าผมไม่ได้พูด ผมเอา! แบ่งผมส่วนหนึ่งเถอะ ขอร้องล่ะ!”
เขาพูดพลางคว้าตัวเจ้าหนูที่เพิ่งสูงเลยเอวของเขาออกมาจากด้านหลัง จับดวงหน้าดำคล้ำเล็กๆ หันไปทางฉู่ซือ
“คุณดูสิ พวกเรามีปากรอกินสองปาก”
ฉู่ซือ “…”
“ไอ้หนูนี่เป็นใครกันแน่” เขาบอกอย่างหัวเสีย “มีแต่นายคนเดียวที่ปากพะงาบโวยวายตั้งแต่ต้น ฉันไม่เห็นเขาส่งเสียงสักแอะ”
ไม้ถูพื้นพร้อมใบหน้าที่ผมเผ้าพันกันรุงรัง กุมข้อมือของไม้ถูพื้นเล็กให้คำนับอย่างสุดแสนจะเป็นกุลสตรีกับฉู่ซือ จากนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้มกริ่ม
“ผมขออนุญาตแนะนำอย่างเป็นทางการ นี่คือเจ้าหญิงน้อยของผมครับ”
มนุษย์สองคนที่สกปรกมอซอจนเหมือนสัตว์ป่าคำนับแบบนี้แล้วไม่น่ามองสักเท่าไหร่ ฉู่ซือพูดกับไม้ถูพื้น
“ถ้าเป็นช่วงยุคบรรพกาลของดวงดาว นายเลี้ยงเจ้าหญิงให้มีสภาพนี้ได้นี่ต้องถูกจับลงทัณฑ์มัดกับเสาแล้ว”
ไม้ถูพื้น “…”
“เพราะฉะนั้นเธอเป็น…เด็กผู้หญิง? ลูกสาวนาย?” ฉู่ซือรู้สึกว่ายัยหนูคนนี้คงจะหลับหูหลับตามาเกิด ถึงมีพ่อที่พึ่งไม่ได้อย่างนี้
ไม้ถูพื้นส่ายหน้าสองทีก่อนจะรีบพยักหน้า “อืม”
ฉู่ซือชำเลืองมองอีกฝ่ายแปลกๆ แวบหนึ่ง
“ไม่ใช่ลูกแท้ๆ แต่เป็นลูกสาวสุดที่รักของผมจริงๆ” ไม้ถูพื้นเหมือนกังวลว่าพูดมากเกินไปแล้วไม้ถูพื้นเล็กจะได้ยิน ขณะพูดจึงเอามือปิดหูไม้ถูพื้นเล็กด้วย ก่อนจะถูกคนที่ไม่พูดไม่จาดึงมือออก
“ทำไมเธอถึงไม่พูด ยังไม่ได้หัดเหรอ” ฉู่ซือถาม
ไม้ถูพื้นชี้ที่คอตัวเอง แล้วพูดเสียงเบา “คอเคยบาดเจ็บมาก่อน ตอนนี้เลยพูดไม่ได้ เดิมทีจะรักษาอยู่ นัดกับหมอไว้ว่าฤดูใบไม้ผลิแล้วก็จะไปหา ปรากฏว่า…”
ปรากฏว่าฤดูหนาวมาครั้งหนึ่งก็คือห้าสิบปี
ไม้ถูพื้นถอนใจ “ก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะยังมีโอกาสอีกไหม”
ยัยหนูตัวน้อยกลับเหมือนยังไม่รู้ตัว เธอเอาแต่มองฉู่ซือด้วยดวงตากลมโตดำขลับ เทียบกับคราบเกรอะกรังบนตัวเธอแล้ว ดวงตาคู่นั้นสะอาดปราศจากตำหนิ
“กินอะไรหน่อยแล้วนอนสักตื่น” ฉู่ซือยกมือชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง “เอาไว้ให้ดวงตาสวรรค์เปิดห้องขังพิเศษออก ในนั้นมีเครื่องมือรักษาอยู่บ้าง เผื่อจะใช้งานได้”
ในเวลาเช่นนี้ฉู่ซือกลับไม่ทำตัวระยำแล้ว หลังจากจัดสรรอาหารเรียบร้อย ต่างคนก็ต่างแยกย้ายเข้าไปในห้องประจำการ
ห้องประจำการที่เห็นบนจอนั้นมีเพียงมุมเดียว ซึ่งต่างจากความเป็นจริงอยู่มาก
ฉู่ซือล็อกประตู นั่งลงข้างโต๊ะพับได้ เลือกแซนด์วิชที่ค่อนข้างอยู่ท้อง ก่อนนำอาหารที่เหลือกลับไปไว้ในตู้เย็นอีกครั้ง
เขาแกะแซนด์วิชแล้วกัดพลางค้นส่วนอื่นในห้องประจำการคร่าวๆ จากนั้นใช้นิ้วลูบไปตามรอยต่อบนผนัง
พื้นที่ส่วนตัวทั้งหมดในเรือนจำอวกาศล้วนมีลักษณะเป็นแคปซูล เวลาที่ประสบเหตุฉุกเฉิน ห้องเหล่านี้จะถูกดีดออกจากตัวเรือนจำอวกาศได้ แน่นอนว่าต้องหาจุดลงจอดที่พึ่งพาได้ไว้ล่วงหน้าก่อน มิฉะนั้นดีดไปแล้วก็มีแต่ตายกับตาย
ฟังก์ชันนี้จวบจนวันนี้ก็ยังไม่เคยถูกใช้งาน ฉะนั้นรอยต่อระหว่างผนังยังคงประกอบต่อกันอย่างเรียบแน่น
ในห้องประจำการมีห้องส่วนตัวเล็กๆ ด้านในมีห้องน้ำกับห้องอาบน้ำแบบเรียบง่าย
ฉู่ซือกินแซนด์วิชไปสองชิ้น อาหารกระป๋องหนึ่งกระป๋อง สตรอเบอรี่ครึ่งถ้วย จึงพอจะบรรเทาความหิวโหยที่สั่งสมลงได้บ้าง เขาเปิดตู้เสื้อผ้าแบบเรียบๆ แล้วค้นอยู่พักหนึ่ง อดทนกับสารพัดความไม่คุ้นชิน ได้เสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงสแล็กส์ของผู้คุมเรือนจำมา เตรียมอาบน้ำแล้วงีบสักหน่อย
เขาพาดชุดสำหรับเปลี่ยนไว้บนราวโลหะก่อนปลดกระดุมเสื้อ
ในกระจกสะท้อนให้เห็นกล้ามอกและกล้ามท้องที่สวยงามของเขา บางลีนทว่าพอดี มองแล้วรู้ได้ทันทีว่าไม่ได้ฝึกฝนจากเครื่องออกกำลังกาย ฉู่ซือวางเสื้อเชิ้ตที่ถอดออกมาไว้ข้างอ่างล้างมือ ก้มหน้ากดบริเวณชายโครงด้านซ้าย
ตรงนั้นมีรอยแผลเป็นขนาดเล็กมากแผลหนึ่ง เล็กราวกับเส้นผม หากไม่มองให้ดีก็ยากจะสังเกตเห็น มีเพียงใช้นิ้วลูบจึงจะสัมผัสได้ชัดเจนว่ามันนูนเล็กน้อย
เขาเม้มปากจากนั้นกดไปตามรอยแผลเป็นนั้นรอบหนึ่ง
กริ๊ก
เสียงอิเล็กทรอนิกส์ดังขึ้นแผ่วเบา ผิวหนังส่วนหนึ่งตรงช่วงเอวของเขาก็มีช่องแหวกออกตามรอยแผลเป็นเส้นเล็กนั้น ขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือ ราวกับประตูบานหนึ่ง
นั่นเป็นภาพที่แสนพิศวง ด้านนอกของ ‘ประตูเล็ก’ บานนั้นเป็นผิวเทียมเสมือนจริงขั้นสูง ด้านในเป็นโลหะ ซึ่งบริเวณเอวของฉู่ซือตรงส่วนที่เปิดออกนั้นมีแผ่นโลหะทรงสี่เหลี่ยมขนาดนิ้วโป้งฝังอยู่
หากโน้มเข้าไปเงี่ยหูฟังใกล้ๆ จะได้ยินเสียง ‘ติ๊กๆ’ ดังจากด้านใน มีตัวเลขสีเข้มบนแผ่นโลหะ
‘123 12:07:21’
ตัวเลขช่วงท้ายลดลงเรื่อยๆ ตามเสียง ‘ติ๊กๆ’ ในแต่ละครั้ง
123 วัน 12 ชั่วโมง 7 นาที 21 วินาที
20 วินาที
19 วินาที
18 วินาที…
การนับเวลาถอยหลังนี้ดูแล้วชวนให้เครียด แต่ความจริงแล้วเป็นเพียงการแจ้งเตือนอย่างหนึ่งเท่านั้น มันบอกฉู่ซือว่า ‘ขณะนี้’ เขายังมีชีวิตได้อีกนานเท่าไหร่
หากทำการบำรุงรักษาทั้งหมดให้เรียบร้อยก่อนหมดเวลา ตัวเลขก็จะกลับไปที่ค่าเริ่มต้น เริ่มนับเวลาถอยหลังอีกครั้ง
หากหลังจากการนับเวลาถอยหลังแล้วไม่สามารถรักษาได้ทันภายในเวลายี่สิบชั่วโมง อย่างนั้นคำว่า ‘ขณะนี้’ ก็จะถูกลบตลอดกาล วินาทีที่ตัวเลขหายไปก็คือจุดสิ้นสุดอายุขัยของฉู่ซืออย่างแท้จริง
อุปกรณ์ติดตั้งนี้อยู่ในร่างกายของฉู่ซือมานานหลายปีแล้ว
แต่ละปีช่วงพักร้อนสองสัปดาห์ที่คฤหาสน์ในป่าสนซีดาร์ดำก็คือช่วงเวลาบำรุงรักษาอุปกรณ์ตัวนี้ตามปกติ เพื่อรับรองว่าอีกครึ่งปีให้หลังฉู่ซือจะยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้อย่างแจ่มใส
ตอนที่เพิ่งฝังอุปกรณ์ตัวนี้แรกๆ ฉู่ซือยังเคยประท้วงกับแพทย์ทางเทคนิค เขาถามว่า ‘ช่วยทำให้ไอ้สิ่งนี้มันใช้งานง่ายหน่อยได้ไหม อย่างเช่นเอาไอ้เครื่องนับเวลาถอยหลังชวนสยองนี่ออก ใครไม่รู้จะนึกว่าผมติดระเบิดเวลาอีก พอเปิดฝานี่แล้วยังดังติ๊กๆ ไม่หยุด คุณว่ามันเข้าท่าเหรอ’
แพทย์ทางเทคนิคคนนั้นชื่อเซ่าตุน สังกัดโรงพยาบาลทหารอินทรีขาวระดับสูงสุด เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอำนาจในแวดวงการรักษาด้วยเครื่องกลอัจฉริยะ และเป็นชายชราที่สู้รบตบมือกับคนไข้มานานคนหนึ่ง
สำหรับคนไข้ที่อาศัยว่าหน้าตาดีก็เอาแต่พูดจาเหลวไหลได้ทั้งวันอย่างฉู่ซือ นายแพทย์อาวุโสเซ่าจะใช้นโยบาย ‘สามข้อห้ามรวมเป็นหนึ่ง’ เสมอ…
ห้ามอวดเก่ง ห้ามปั้นหน้าเป็นมิตร ห้ามพูดมาก รวมถึงปฏิเสธทุกคำร้องขอ
ในเวลานั้นร่างกายซีกซ้ายของหัวหน้าฉู่ยังมีปฏิกิริยาต่อต้านเครื่องกลอัจฉริยะอย่างหนักหน่วง มีอาการเลือดออก อาการแพ้ และเป็นไข้สูงสลับกันอย่างต่อเนื่อง ผ้าพันแผลบนดวงตาเพิ่งแกะออกได้เพียงครึ่งวัน เจ้าตัวยังไม่พ้นขีดอันตรายก็มาจุกจิกเรื่องมากกับเครื่องกลรักษาเสียแล้ว
นายแพทย์อาวุโสเซ่าปั้นหน้าบึ้งถมึงทึง สั่งให้พยาบาลสาวข้างๆ ฉีดยาให้ฉู่ซือเข็มหนึ่ง พลางจ้องข้อมูลตัวเลขต่างๆ บนหน้าปัด
‘รับมือกับไอ้ตัวแสบที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ บ้าบิ่นไม่ห่วงชีวิตแบบนาย ก็ควรใช้เครื่องนับเวลาถอยหลังนี่แหละ มีเจ้านี่คอยกระตุ้น นายจะได้ไม่ลืมเรื่องการบำรุงรักษา ไม่งั้นตายเปล่าไม่พอ ยังเปลืองเครื่องกลเครื่องหนึ่งด้วย
นายต้องรักษาให้ดีล่ะ เจ้าเครื่องนี้ทั้งดาวมีแค่ยี่สิบตัว เมื่อไหร่ที่ส่วนสื่อประสานจดจำดีเอ็นเอของนายแล้วก็ใช้กับคนอื่นไม่ได้อีก เสียแล้วก็เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้อีกแล้ว’
นายแพทย์อาวุโสเซ่าสั่งสอนพลางใช้นิ้วที่สวมถุงมือจิ้มตรงจุดรอยต่อระหว่างปากแผลของฉู่ซือกับเครื่องกลอัจฉริยะ
จิ้มจนฉู่ซือหมดฤทธิ์เดชอย่างสิ้นเชิง ได้แต่ยอมรับชะตากรรม
อันที่จริงเครื่องนับเวลาถอยหลังที่ส่งเสียงติ๊กๆ นี้ ปกติจะไม่ได้ยินเสียงเลย แต่ฉู่ซือรู้สึกได้เป็นระยะว่ามันแนบติดกับร่องกระดูกของตัวเอง นับเวลามีชีวิตให้กับเขา นับทีก็เป็นสิบปี มิหนำซ้ำหนึ่งชั่วโมงก่อนดาวระเบิด เขายังบำรุงรักษามันรอบใหม่แล้วด้วย
สิบปี…ไม่ว่าใครก็ชินกับมัน
ฉะนั้นฉู่ซือเพียงแค่หลุบตาลงมองมันผ่านๆ แวบหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าอุปกรณ์ตัวนี้ไม่ได้เกิดความขัดข้องที่ชัดเจนในระหว่างการแช่แข็งถึงห้าสิบปีก็ปิดคลุมผิวหนังส่วนนั้นอีกครั้ง
เวลาที่มีชีวิตอยู่ได้ยังเป็นเลขสามหลัก นานพอที่เขาจะหาสถานที่บำรุงรักษาอีกแห่งได้
ขอเพียงเครื่องนับเวลาถอยหลังไม่ได้เปลี่ยนเป็นเลขหลักหน่วย หัวหน้าฉู่ผู้มีนิสัยไม่ทุกข์ร้อนก็ยังคงรักษาความสุขุมเอาไว้ได้
ฉู่ซือกดผิวหนังส่วนนั้นให้เรียบร้อยอีกครั้งก่อนเข้าห้องอาบน้ำ ไอร้อนพวยพุ่งทันที ปกคลุมประตูกระจกให้มีไอน้ำเกาะชั้นหนึ่ง
* ธรรมะสูงหนึ่งคืบ อธรรมสูงหนึ่งศอก เป็นสำนวน หมายถึงเมื่อเกิดการต่อสู้กัน ไม่ว่าฝ่ายใดจะมีฝีมือยอดเยี่ยมกว่า อีกฝ่ายก็มักจะหาวิธีมาเอาชนะอีกฝ่ายจนได้
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Nights ยามดาราสิ้นสูญ เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.