X
    Categories: everYThriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1 บทที่ 2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1

ผู้เขียน : 妄鸦 (Wang Ya)

แปลโดย : จื่อซิน

ผลงานเรื่อง : 无限练习生 (Wu Xian Lian Xi Sheng)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆาตกรรม การทรมาน

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การค้ามนุษย์ การบูลลี่ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

มีการบรรยายถึงงู เลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง

และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 2 หอพักเด็กฝึก (2)

 

‘สตูดิโอ’ ที่หุ่นยนต์นั้นบอกเป็นห้องโถงใหญ่โอ่อ่าหรูหรา ทั้งยังสว่างจ้าอยู่พอสมควร

โคมไฟสีทองอร่ามรูปทรงพิสดารห้อยลงมาจากเพดานด้านบน บนผนังมีลวดลายนูนต่ำหลากสีสันฝีมือประณีต ดูสมจริงราวกับมีชีวิต มุมผนังมีเชิงเทียนทองคำขาววางอยู่ เปลวเทียนวูบไหวสั่นระริก เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

ภายในโถงมีอัฒจันทร์ที่นั่งตั้งเรียงรายทั้งหมดเก้าอัฒจันทร์ เมื่อไล่ลงมาด้านล่างขั้นบันไดจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขั้นแรกที่กว้างที่สุดสามารถจุสนามฟุตบอลขนาดใหญ่ได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ทุกๆ ขั้นบันไดยังปูด้วยพรมคนละสีและมีของตกแต่งวางประดับอยู่แตกต่างกันไป

แน่นอนว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนมากที่สุดก็คือบัลลังก์ 10 บัลลังก์ซึ่งตั้งอยู่บนขั้นบันไดชั้นบนสุด

บัลลังก์เหล่านั้นทำมาจากคริสตัลสุดหรู และบนนั้นยังปูด้วยผ้ากำมะหยี่ ข้างๆ มีน้ำดื่มกับผลไม้วางอยู่ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของลำดับชั้นได้อย่างชัดเจน

แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันบนแต่ละขั้นบันได นั่นก็คือทุกขั้นล้วนหันหน้าไปทางเครื่องฉายภาพสามมิติซึ่งแขวนอยู่กลางอากาศ

เหนือเครื่องนั้นมีคำว่า ‘เด็กฝึกระทึกขวัญ’ ลอยเด่น

ทั้งห้าพยางค์นั้นเป็นภาพสามมิติ มันส่องกระทบเข้าไปในแก้วตาของทุกคน ไม่ว่าห้องนี้จะใหญ่แค่ไหนก็ยังมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องเปลืองแรง เหมือนกับเสียงนั้นที่ดังขึ้นมาให้ได้ยินโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องส่งสัญญาณใดๆ ซึ่งบ่งบอกชัดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่วิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันจะทำได้

คนที่เดินขึ้นๆ ลงๆ จากบันไดแต่ละแห่งเริ่มทยอยเข้ามายืนรวมตัวกันที่กลางห้องโถง

แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นความร้อนรนระคนไม่สบายใจ เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจดังขึ้นไม่ขาดสาย

ขนาดของโถงใหญ่นี้ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่าเลย เพียงแค่รู้สึกว่ามองไม่เห็นจุดสิ้นสุด ทั้งยังมีผู้คนอีกมากมายนับไม่ถ้วน

จงจิ่วยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยความสงบ เขาบริหารนิ้วมือพลางปล่อยให้สายตาจากทั่วทุกทิศมองมาที่ตน

ความงดงามของร่างเดิมในบทตัวรับกระสุนไม่จำเป็นต้องพูดเยอะ ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดของเจ้าตัวแสดงให้เห็นชัดถึงเอกลักษณ์ของคนป่วยโรคผิวเผือกระยะแรก ไหนจะผมสีขาวที่มีมาตั้งแต่เกิดนี่อีก ระหว่างทางที่เดินเข้ามา ขอแค่ตรงนั้นมีคนอยู่ เขาจะกลายเป็นจุดสนใจทันที

จงจิ่วรู้สึกเสียดายนิดหน่อย

ถ้านิยายเรื่องนี้เป็นแนวการแข่งขันเซอร์ไววัลทั่วๆ ไปในวงการบันเทิง ลำพังแค่ใบหน้านี้ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องผลโหวตจากคนดูแล้ว

ทันใดนั้น จู่ๆ กลุ่มคนก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว เสียงกรีดร้องดังระงมขึ้นเป็นระยะ

นั่นก็เพราะตรงช่วงอกของพวกเขามีบางอย่างปรากฏขึ้นมา

“นี่มันอะไร”

ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย จงจิ่วก้มหน้าลงมองเงียบๆ ก่อนจะเห็นว่าตรงอกของตัวเองมีอักษรสีฟ้าปรากฏอยู่

 

‘เด็กฝึกระทึกขวัญ แรงก์ E

 

ร่างเดิมเป็นแค่แจกัน* อันสวยงาม ทั่วทั้งตัวแทบไม่มีกล้ามเนื้อ เป็นเพียงคนบอบบางไร้เรี่ยวแรง จัดให้อยู่แรงก์ E ก็ถือว่าสมเหตุสมผลดี มอบคะแนนเต็มให้ระบบ

ถ้าเป็นเรื่องราวก่อนหน้านี้ยังพอจะมีคำอธิบาย แต่กับป้ายชื่อที่โผล่ขึ้นมาเองคงพูดยากแล้ว

ทุกคนเริ่มปั่นป่วน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเช่นนั้น

อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับกลุ่มคนตรงผนังห้อง

พวกเขามีสีหน้าเดียวกันคือเรียบเฉยและเย็นชา

ป้ายชื่อของคนเหล่านั้นโชว์ให้เห็นว่าพวกเขาอยู่ตั้งแต่แรงก์ C ขึ้นไป จากที่มองเห็น แรงก์ที่สูงที่สุดคือแรงก์ A เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแตกต่างจากคนรอบตัวจงจิ่วที่อยู่แรงก์ E และแรงก์ F ซึ่งกำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

นอกจากนี้ในหมู่พวกเขาเหล่านั้นยังดูเหมือนจะแบ่งกันออกเป็นหลายกลุ่มอีกด้วย ต่างฝ่ายต่างไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน รักษาระยะห่างทางสังคมต่อกัน

แม้จะไม่รู้เรื่องราวในนิยาย แต่จงจิ่วที่รู้ว่านิยายเป็นแนวไหนกลับเข้าใจทันทีเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า

ไม่ใช่เด็กฝึกทุกคนจะเหมือนพวกซย่าชวนที่ถูกย้ายจากโลกจริงเข้ามาในโปรเจ็กต์เด็กฝึกอันนองเลือดและน่าสยดสยองเช่นนี้

เมื่อหลายปีก่อน มี ‘ผู้ถูกเลือก’ ดวงซวยจากทั่วทุกมุมโลกโดนเลือกให้เข้ามาอยู่ในลูปอนันต์อันน่ากลัวแห่งนี้เรื่อยๆ แถมจำนวนยังไม่ใช่น้อยๆ อีกต่างหาก อย่างไรเสียทั่วโลกก็มีคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยทุกปีมากถึงสองร้อยกว่าล้านคน และคาดว่าคงมีอีกหลายล้านคนที่ต้องเข้ามาดิ้นรนอยู่ที่นี่

ลูปอนันต์แห่งนี้ไม่มีวิธีใดที่จะทำให้กลับไปยังโลกจริงได้ อย่าว่าแต่หนีเลย รักษาชีวิตให้รอดยังยาก ผู้ที่อยากมีชีวิตรอดล้วนตายตกกันระนาว ถูกบังคับให้ต้องลงดันเจี้ยนรอบแล้วรอบเล่า เหลือรอดมาได้เพียงน้อยนิดก็ยังต้องดิ้นรนกันต่อไป

เมื่อเทียบกับเด็กเก่าที่มีประสบการณ์โชกโชนซึ่งไม่รู้ว่ามีวิธีเอาตัวรอดเยอะแค่ไหน จงจิ่วที่เหมือนถูกลากเข้ามาเติมให้เต็มจำนวนจึงไร้หนทางจะเอาชนะ

“นานแล้วที่ไม่ได้เห็นคนเยอะขนาดนี้ในครั้งเดียว”

ในระหว่างที่จงจิ่วลอบสังเกตคนกลุ่มนั้นอยู่ คนในกลุ่มนั้นก็เอ่ยกระซิบกระซาบกัน

ในอดีตพวกเขาแบ่งกันเป็นทีมอย่างถาวร ซึ่งทีมหนึ่งกับอีกทีมจะไม่สามารถเจอกันได้ จะเจอกันได้แค่ในดันเจี้ยนเท่านั้น ตอนนี้ได้มาเห็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาเยอะขนาดนี้ แถมยังมีเด็กใหม่อีกนับไม่ถ้วนที่พูดคุยกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวอยู่ข้างล่างนั่น ก็อดจะทอดถอนใจไม่ได้

แม้รางวัลของโปรเจ็กต์เด็กฝึกระทึกขวัญจะดึงดูดมากแค่ไหน ทว่าจำนวนผู้เสียชีวิตที่ระบบประกาศออกมาก็ทำให้เด็กฝึกหลายคนอยากออกจากการแข่งขัน ดังนั้นต่อให้มีเด็กฝึกมากมายมหาศาล แต่คนที่กล้าลงชื่อเข้าร่วมการแข่งขันจริงๆ แล้วผ่านการคัดเลือกด้วยนั้นมีไม่ถึง 10%

มีเด็กเก่าเข้าร่วมการแข่งขันไม่มากนัก และเพื่อกระตุ้นความสนใจ แน่นอนว่าพวกเขาต้องออกมาดึงเด็กใหม่ให้เข้าร่วมด้วย

“คนเยอะแล้วมีประโยชน์อะไร”

ฉินเหยี่ยกอดอกหัวเราะหยัน “ตอนนี้แรงก์สูงๆ เห็นมีแต่คนหน้าเดิมๆ ระบบหลักน่าจะส่งเด็กใหม่เข้ามาเพิ่มความฮึกเหิมในการแข่งขันให้พวกเรามากกว่า”

ใครอีกคนหนึ่งไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่ภายในใจก็แอบเห็นด้วยกับประโยคนั้นของฉินเหยี่ย เขาได้แต่มองไปทางนั้นด้วยแววตาเห็นใจ “เสียดาย ถ้าให้เด็กใหม่เข้าไปสู้สักสองสามดันเจี้ยน โอกาสที่จะชนะแล้วรอดออกมาก็มีเยอะอยู่ แต่เข้ามาปุ๊บดันเป็น Hell Mode* เลยนี่สิ น่าสงสาร”

เด็กใหม่ตรงนั้นยังคุยกันเสียงดังโหวกเหวก เหมือนเวลาซื้อของในตลาดสดที่คนแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์

เด็กเก่ามองดูด้วยความนิ่งเฉย ไม่คิดจะเข้าไปอธิบายหรือจัดระเบียบ

นี่ถือเป็นโปรเจ็กต์เพียงหนึ่งเดียวของลูปอนันต์แห่งนี้ที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมา ไหนจะของรางวัลมากมายเหล่านั้นอีก ยากแค่ไหนไม่ต้องเดาเลย

แม้แต่เด็กเก่ายังไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถเอาชีวิตรอดไปจนถึงรอบสุดท้ายของการแข่งขันนี้ได้โดยไม่ถูกคัดออก แล้วเด็กใหม่ที่ไม่มีประสบการณ์พวกนั้นล่ะ

ทุกคนไม่ใช่พระโพธิสัตว์ อย่าว่าแต่ปกป้องคนอื่นเลย แม้แต่ตัวเองยังจะเอาไม่รอด แค่ดูแลตัวเองได้ก็ดีเท่าไรแล้ว

“หมดเวลา ทำการปิดประตูสตูดิโอเรียบร้อยแล้ว”

ราวกับเป็นการตอบรับประโยคนั้น เมื่อเสียงพูดจบลง ประตูใหญ่รอบด้านก็เลื่อนปิดลงมาทันทีราวกับมีแม่แรง กั้นขวางใครอีกหลายคนที่เข้ามาในโถงไม่ทันให้ยืนอยู่ด้านนอก

“การคัดเลือกรอบแรกเสร็จสิ้น”

เสียงหุ่นยนต์ราบเรียบไร้อารมณ์ดังก้องทั่วห้องโถงใหญ่

เปลวเทียนค่อยๆ ดับลงทีละเล่ม ก่อนที่สะเก็ดไฟจะลอยขึ้นไปรวมตัวกันกลางอากาศจนกลายเป็นเงาร่างเสมือนจริงเงาหนึ่ง

“ยินดีต้อนรับเด็กฝึกระทึกขวัญทุกท่านที่เข้ามาอยู่ในห้องนี้ได้สำเร็จ และดิฉันคือร่างเสมือนของระบบหลัก”

“ต่อจากนี้ดิฉันจะอธิบายกฎกติกาและลำดับการแข่งขันของโปรเจ็กต์เด็กฝึกระทึกขวัญให้ทุกท่านได้ทราบ กรุณาตั้งใจฟังด้วยค่ะ”

มือหนึ่งของซย่าชวนถือโทรศัพท์ เขานั่งอยู่บนขั้นบันไดด้วยความเบื่อหน่ายพลางก้มหน้ามองโทรศัพท์เป็นระยะ

หลังจากทนลำบากมานานขนาดนี้ แบตฯ โทรศัพท์ของเขาก็ใกล้จะหมดเต็มที แถบแบตเตอรี่ลดลงจนกลายเป็นสีแดงแสบตา ไม่รู้จะดับไปเองตอนไหน

แต่สิ่งที่น่าเศร้าก็คือแถบสัญญาณด้านบนยังว่างเปล่าเช่นเดิม

หลังเผชิญกับความวุ่นวายไปแล้วรอบหนึ่ง มีคนไม่น้อยที่ยังรวมตัวกันอยู่ตรงบันได และยังมีอีกหลายคนที่ควักโทรศัพท์เดินเข้ามาถ่ายรูปกับซย่าชวน แม้ในใจเขาจะรำคาญ แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อข้างกายไม่มีผู้ช่วยกับบอดี้การ์ด ดังนั้นซย่าชวนจึงได้แต่ยอม

“แปลกๆ นะ ทำไมมันเงียบจัง”

ในระหว่างที่ทุกคนกำลังต่อแถวเพื่อถ่ายรูปคู่กับดาราดังอยู่นั้น มีใครคนหนึ่งจับสังเกตได้ถึงความผิดปกติ “เอ๊ะ พวกที่อยู่ข้างบนหายไปไหนกันแล้ว ทำไมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยอะ”

หลังจากเสียงหุ่นยนต์เสียงนั้นเอ่ยแจ้งว่าเหลือเวลาอีกห้านาทีก็ไม่ได้ยินเสียงดังมาจากโถงทางเดินอีกเลย แม้กระทั่งเสียงเดินและเสียงโหวกเหวกยังหายวับไปพร้อมๆ กัน บนบันไดมีแต่เสียงของพวกเขาที่สะท้อนก้องไปมา ได้ยินแล้วน่ากลัวอย่างไรชอบกล

“เดี๋ยวนะ แม่งเอ๊ย ไม่ใช่ว่าข้างบนมีทางออกแล้วคนพวกนั้นก็ออกกันไปหมดแล้วหรอกนะ!”

ชายคนหนึ่งที่เพิ่งถ่ายรูปคู่กับซย่าชวนเสร็จพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “คนอื่นออกไปกันหมดแล้ว ส่วนพวกเรายังนั่งโง่อยู่ที่นี่ ยืนอึ้งกันทำไมอีก! รีบไปสิ!”

“บ้าเอ๊ย! จริงด้วย! ไม่งั้นมันจะเงียบขนาดนี้ได้ไง!”

“โง่จริงๆ นั่นแหละ เอาแต่ยืนเอ๋อกันอยู่ได้”

เมื่อทุกคนเริ่มคิดได้จึงทยอยกันเดินขึ้นไปข้างบนจนเกิดเสียงตึกๆๆ ดังก้อง

“แม่มันเถอะ โดนขังอยู่ที่นี่นานจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ไปๆๆ!”

พวกเขารีบพุ่งตัวขึ้นไปข้างบนทันที

แต่เพิ่งจะเดินเลี้ยวมาได้ไม่เท่าไร จู่ๆ คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดกลับหยุดชะงักไม่ยอมเดินต่อ

“เป็นอะไร อย่าขวางทางสิ เดินต่อโว้ย!”

คนด้านหลังส่งเสียงโวยวาย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนข้างหน้าถึงหยุดเดินเอาเสียดื้อๆ

ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แต่อยู่ดีๆ ความไม่สบายใจก็พลันแล่นปราดไปทั่วร่างของซย่าชวน

ในขณะที่เขาคิดจะเงยหน้าขึ้น อะไรบางอย่างที่ทั้งอุ่นร้อนทั้งเหนียวหนืดก็หยดลงมาโดนหัวของเขาเสียก่อน

ดวงตาถูกบดบังโดยฉับพลัน ซย่าชวนรีบกระชากสิ่งนั้นออกจากใบหน้าทันที “นี่มันอะไร”

กระทั่งมือของเขาสัมผัสกับสิ่งนั้น ซย่าชวนถึงรู้สึกว่าเหตุการณ์มันเริ่มไม่ปกติ

ของนั่นทั้งเหนียวทั้งคาว เลือดและอะไรบางอย่างเหนียวหนืดไหลหยด ส่วนอีกจุดที่ฉีกขาดเผยให้เห็นเมือกสีเหลืองคล้ำส่งกลิ่นเหม็นน่าสะอิดสะเอียน

ร่างกายที่ขาดออกเป็นสองท่อนหล่นลงมากลางวงอย่างแรง เลือดและอวัยวะภายในฉีกขาดกระเด็นกระดอนไปรอบทิศ

ใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้นหยุดนิ่งอยู่ที่สีหน้าดีใจ หรือบางทีอาจมีความตื่นตะลึงอันน้อยนิดปะปนอยู่

ซย่าชวนตัวสั่นเทิ้มขณะหวีดร้องเสียงสูง มันสูงยิ่งกว่าการไต่ไฮโน้ตในคอนเสิร์ตครั้งไหนๆ จากนั้นเขาก็โยนสิ่งนั้นทิ้งทันที

สิ่งที่เขากำไว้ในมือเมื่อสักครู่ มันคือลำไส้ที่โชกไปด้วยเลือด

 

ระบบหลักใช้น้ำเสียงราบเรียบอธิบายกฎกติกาของการแข่งขันในลูปอนันต์แห่งนี้ให้เด็กฝึกทุกคนฟัง

แม้จงจิ่วจะรู้กฎพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังตั้งอกตั้งใจฟังตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ดี

กฎกติกาแทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากการแข่งขันบนโลกจริง

ภายในห้องโถงคือเหล่าเด็กฝึกระทึกขวัญนับหมื่นคนที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกเข้ามาได้ และในอนาคตจะต้องมาแข่งขันกันเอง

พวกเขาจะต้องไปเผชิญกับดันเจี้ยนสยองขวัญนับไม่ถ้วน ต้องโดนคัดออกซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งเหลือ 100 คนสุดท้ายและตำแหน่งเซ็นเตอร์เพียงหนึ่งเดียว

การประเมินรอบแรกนี้มาจากการประเมินความสามารถของแต่ละคนผ่านระบบหลัก จากนั้นก็แบ่งเด็กฝึกออกเป็นแรงก์ S, A, B, C, D, E และ F ทั้งหมด 7 แรงก์

“เมื่อการแข่งขันในแต่ละรอบจบลง ระบบและเมนเทอร์จะประเมินผลตามพัฒนาการระหว่างการแข่งขันของเด็กฝึกแต่ละคนใหม่อีกครั้ง”

“ยิ่งแรงก์สูงมากเท่าไหร่ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในหอพักเด็กฝึกก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น ความเป็นส่วนตัวก็จะมากขึ้นเช่นกัน เด็กฝึกแรงก์สูงสามารถใช้ห้องพักคนเดียวได้ และจะได้รับการบริการพิเศษ นอกจากนี้ยังสามารถทราบรายละเอียดของการแข่งขันในรอบถัดไปได้ล่วงหน้าอีกด้วย”

ทุกคนภายในห้องโถงแยกย้ายกันไปอยู่ตามแรงก์ที่ปรากฏขึ้นมาบนป้ายชื่อโดยขึ้นไปยืนอยู่บนขั้นบันไดแต่ละขั้น แม้แต่บัลลังก์ทั้ง 9 ก็ยังมีคนจับจอง เหลือเพียงบัลลังก์ซึ่งเป็นของอันดับ 1 ที่ยังว่างเปล่าอยู่เช่นเดิม

ชายหนุ่มผมขาวเงยหน้าขึ้นมองไปยังแถวด้านหลังที่อยู่สูงที่สุด

น่าเสียดาย จุดที่จงจิ่วยืนนั้นอยู่ต่ำเกินไป คนบนนั้นมองเห็นเขาได้ชัดเจน แต่เขากลับเห็นคนบนนั้นไม่ชัดเท่าไร

จงจิ่วหวนนึกไปถึงบทบรรยายในนิยาย

ห้องพักเด็กฝึกแรงก์ S อยู่ชั้นบนสุดของหอพัก เป็นห้องสวีตสุดหรูชมวิวได้รอบทิศ พร้อมสวนบนดาดฟ้าแบบ 360 องศา แถมยังมีอ่างน้ำวนขนาดใหญ่เทียบเท่าหนึ่งห้องอีกด้วย

ส่วนห้องพักเด็กฝึกแรงก์ E ก็คือห้องรวมแปดคนโกโรโกโสซึ่งเขาพักอยู่ก่อนหน้านี้ แม้แต่ความเป็นส่วนตัวก็ยังไม่มี

“เนื่องจากเป็นรายการวาไรตี้เซอร์ไววัล ทางเราจึงมีการถ่ายทอดสดทั้งรายการพร้อมกับเปิดใช้งานซับกระสุน* แต่เพื่อเป็นการรักษาคุณภาพของรายการและเพื่อไม่ให้ความลับรั่วไหล ระบบถ่ายทอดสดและซับกระสุนจะไม่เปิดให้เด็กฝึกใช้งาน ด้วยเหตุนี้เด็กฝึกจึงไม่สามารถอ่านซับกระสุนได้ ทั้งนี้ระหว่างที่อยู่ในรายการ นอกจากเด็กฝึกด้วยกันแล้ว ระบบการติดต่อของผู้เข้าแข่งขันจะถูกปิดการใช้งานเช่นเดียวกัน

“รายละเอียดมีเพียงเท่านี้ หลังจากนี้จะเปิดให้ถามคำถามได้อย่างอิสระ แต่ต้องเป็นคำถามที่เกี่ยวกับกฎกติกาเท่านั้น ดิฉันถึงจะคลายข้อสงสัยให้ค่ะ”

เห็นได้ชัดว่ามีคนสงสัยในเรื่องเดียวกันกับจงจิ่ว “ทำไมที่นั่งชั้นบนสุดถึงไม่มีใครนั่ง”

“เป็นคำถามที่ดี” ระบบหลักเอ่ยเสียงเย็น “ถ้าคุณคืออันดับหนึ่ง คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่มารวมตัวได้ค่ะ”

เสียงฮือฮาดังขึ้นมาจากกลุ่มคนระลอกหนึ่ง เหล่าเด็กเก่าหรี่ตาพลางกระซิบกระซาบกัน บนใบหน้าแฝงด้วยความหวาดกลัว ดูแล้วไม่ได้มีท่าทางแปลกใจว่าที่นั่งอันดับหนึ่งซึ่งว่างเปล่านั้นเป็นของใคร

เดิมทีทุกคนยังคงตกใจกลัว แต่ไม่นานก็สงบลงแล้วตั้งใจฟังระบบหลักอธิบายจนจบ ครั้นระบบหลักเอ่ยจบ น้ำเสียงฉุนเฉียวน้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาทันที “แล้วทำไมพวกผมต้องฟังที่คุณบอกด้วย”

“นั่นสิ พวกเรามีกันเยอะขนาดนี้ แค่ทุกคนออกแรงช่วยกันก็ออกไปได้แล้ว ถุยน้ำลายคนละทีก็ฝังกลบคุณได้ ถ้าร่วมแรงร่วมใจกัน มีอะไรที่จะทำไม่ได้งั้นเหรอ”

สำหรับเสียงโวยวายที่เอ่ยถึงข้อสงสัยเหล่านี้ ระบบหลักนิ่งเฉยไม่ยอมตอบคำถาม

ส่วนเด็กเก่าได้แต่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ระหว่างที่เด็กใหม่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แถมยังมีกะจิตกะใจไปสงสัยเรื่องอื่น เหล่าเด็กเก่าก็พยายามจดจำกฎกติกาที่ระบบหลักแจ้งเมื่อสักครู่ให้ขึ้นใจ หลังจากนั้นจึงเริ่มคิดวิเคราะห์ด้วยความรวดเร็ว

และทันใดนั้นเองเสียงเรียบๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ก้องสะท้อนจนกลบเสียงเอะอะภายในห้องโถง

“คุณยังไม่ได้บอกกฎการคัดออกเลย”

เสียงนั้นดังมาจากทางบัลลังก์ทั้ง 10 ที่อยู่ชั้นบนสุด

เด็กเก่ามองหน้ากันไปมา

“ถ้าเกิดตายในดันเจี้ยนนับเป็นการคัดออก แล้วการจัดอันดับเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า ถ้าเกี่ยวงั้นก็แสดงว่าหลังจากอันดับลดลงก็จะถูกคัดออกหรือก็คือกำจัดทิ้ง?”

น้ำเสียงเนิบนาบน่าฟังเอ่ยชัดตรงประเด็นด้วยการพูดในสิ่งที่ระบบหลักยังไม่ได้อธิบาย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคนถามมีอันดับสูง หรือเป็นเพราะคำถามนั้นตรงประเด็นมากพอ ระบบหลักถึงได้ตอบคำถามด้วยความรวดเร็ว

“แน่นอนว่าการจัดอันดับมีผลกับการคัดออก หลังจากเสร็จสิ้นการแข่งขันและการประเมินผลจบลง คนที่อยู่แรงก์ต่ำสุดจะถูกคัดออก” เงาร่างสีแดงทองเอ่ยตอบ “เด็กฝึกที่ถูกคัดออกเพราะแรงก์ต่ำจะถูกส่งเข้าไปในดันเจี้ยนรับโทษ หากผ่านด่านนั้นออกมาได้ก็จะมีโอกาสรอดอีกหนึ่งครั้ง”

“แต่ถ้าเด็กฝึกเสียชีวิตอยู่ในดันเจี้ยนการแข่งขัน เช่นนั้นก็ไร้โอกาสให้เข้าไปในดันเจี้ยนรับโทษ”

“คำถามสุดท้าย” เสียงนั้นเอ่ยถามอย่างเย็นชา “…เมนเทอร์คือใคร”

แววตาของเด็กเก่าทุกคนฉายประกายวูบหนึ่ง แผ่นหลังเหยียดตึง

เมื่อสักครู่ระบบหลักแจ้งไปแล้วว่าระบบและเมนเทอร์จะเป็นผู้ประเมิน นั่นหมายความว่าเมนเทอร์ลึกลับคนนั้นกุมชีวิตของเด็กฝึกทุกคนไว้ในมือ

ในลูปอนันต์แห่งนี้ ขอแค่เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงเรียงนามล้วนสมัครเข้าร่วมโปรเจ็กต์เด็กฝึกระทึกขวัญกันทั้งนั้น ไม่มีข้อยกเว้น แต่ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว นอกจากระบบหลักพวกเขาก็ไม่เคยเจอใครที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือถึงขั้นเกี่ยวพันกับความเป็นความตายมาก่อนเลย

ระบบหลักเอ่ยตอบนิ่งๆ “คำถามเกินขอบเขต ขออนุญาตไม่ตอบค่ะ”

“เดี๋ยวนะ”

หลังได้ยินบทสนทนานี้ เด็กใหม่ที่เพิ่งส่งเสียงฮือฮาไปก็พากันชะงัก

“คุณเล่นมุกอะไรอยู่ ตายได้ด้วยเหรอ”

เด็กใหม่คนหนึ่งพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่มั้ง พวกเรามีกันเยอะขนาดนี้…คุณพาพวกเรามาที่นี่ได้แล้วยังอยากได้ชีวิตของพวกเราอีกเหรอ”

“ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับความเป็นจริง” ระบบหลักเอ่ย “เช่นนั้นจงสัมผัสมันด้วยตาของตัวเองก็แล้วกันค่ะ”

จู่ๆ เงาวูบไหวของระบบหลักที่อยู่บนเวทีสูงกลางห้องโถงก็แตกกระจาย กลายเป็นสะเก็ดไฟระยิบระยับนับพันนับหมื่นลอยไปยังเทียนที่ดับไปแล้ว

ประตูใหญ่ของสตูดิโอที่ถูกปิดสนิทค่อยๆ เลื่อนขึ้นจากพื้น

จะบอกว่าประตูใหญ่ก็ไม่ถูกนัก ต้องบอกว่าหลังคาของห้องโถงกำลังเลื่อนขึ้นไปข้างบนต่างหาก คล้ายกับกล่องของขวัญที่รอให้คนมาเปิด เมื่อแกะกระดาษห่อลวดลายสวยงามด้านนอกออกแล้วถึงเผยให้เห็นก้อนเค้กที่วางอยู่ข้างใน

ผนังทั้งสี่ด้านหายไป แสงแดดเจิดจ้าจากภายนอกสาดส่องเข้ามา อาบย้อมพรมผืนหนาให้กลายเป็นสีแดงสลับทองระยิบระยับงดงาม

และสิ่งที่เด่นสะดุดตาเช่นเดียวกับแสงอาทิตย์ ก็คือเลือดสีแดงสดที่เจิ่งนองไปทั่วโถงทางเดิน

ศพที่ไม่มีใครเหลียวแลนอนเกลื่อนอยู่ฝั่งหนึ่ง ใบหน้าซีดเผือด บริเวณอกโดนคว้าน อวัยวะถูกควักออกมากองระเกะระกะอยู่ด้านนอกราวกับขยะ

ซากศพกองพะเนินเหมือนอยู่ในนรก

ปลายโถงทางเดินที่ถูกย้อมด้วยสีแดงแสบตายังมีเสียงลมหายใจดังผะแผ่ว

แผ่นหลังของชายคนนั้นชุ่มโชกไปด้วยเลือด กระดูกสันหลังถูกดึงออกมาครึ่งหนึ่ง เศษเนื้อร่วงกราวลงบนพื้น

ทั้งสตูดิโอตกอยู่ในความเงียบงัน

เด็กเก่าผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน จึงมีสติตั้งรับกับภาพตรงหน้าได้ดีพอสมควร มีเพียงเด็กใหม่แรงก์ต่ำพวกนั้นที่ตกใจกลัวไปตามๆ กัน ก่อนเสียง “แหวะ…” จะดังขึ้น แล้วก้มหน้าอาเจียนกันไปทีละคน

ท่ามกลางเสียงอาเจียน จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยถามด้วยความกลัวว่า “เดี๋ยว เดี๋ยวนะ…นั่น…นั่นซย่าชวนไม่ใช่เหรอ เมนโวคอลคนนั้นน่ะ นั่นซย่าชวน!”

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ชายที่กำลังคลานอยู่บนพื้นก็ได้ยินเสียงแม่แรงยกประตูดังขึ้น เขารีบคลานมาทางนี้ทันทีด้วยความดีใจ

สองมือของเขาขูดไปตามพรมผืนหนา อดกลั้นต่อความเจ็บปวด สีหน้ารวดร้าวทรมานแสนสาหัส ดวงตาปูดโปน กระดูกนิ้วมือสีขาวทิ้งรอยเลือดเป็นทางยาวไว้บนพื้น

“อะ…อึก…”

น้ำเสียงแตกพร่าฟังไม่ได้ศัพท์ดังมาจากลำคอของซย่าชวน เขากำลังร้องขอความช่วยเหลืออย่างอ่อนแรง

ระยะทางสั้นๆ แค่สิบกว่าเมตร กลับดูเหมือนต้องใช้เวลาคลานเป็นศตวรรษ

สุดท้ายก่อนที่ซย่าชวนจะคลานมาถึงประตู อยู่ดีๆ ศีรษะของเขาก็หลุดออกจากลำคอ กลิ้งหลุนๆ ไปอีกทางหนึ่งราวกับลูกบอล เนื้อสมองกระจัดกระจายเต็มพื้น

ดาราที่มักจะปรากฏตัวต่อหน้าสื่อและถูกไมค์ล้อมรอบอยู่เป็นประจำ ตอนนี้กลับไร้เรี่ยวแรงคล้ายแกะอวบอ้วนรอโดนเชือด ไม่มีลางบอกเหตุ ไม่มีอาวุธ และไม่มีอนาคต ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตายยังไง

แต่เขาก็ตายไปเช่นนี้ ซ้ำยังตายท่ามกลางสายตาของทุกคน

เด็กใหม่มองดูฉากนี้อย่างสั่นกลัว

พวกเขากลัวจนหัวหด ไม่กล้าเดินขึ้นไปข้างหน้าเลยสักคน

“นี่คือจุดจบของการไม่ทำตามกติกา และเป็นหลักฐานกับคำอธิบายที่พวกคุณอยากได้ค่ะ”

“ขอแสดงความยินดีกับทุกท่านที่เลือกทางเดินก้าวแรกได้ถูกต้อง”

ราวกับเป็นเสียงตอบรับ หลังคากว้างเลื่อนลงมาจากที่สูงอีกครั้ง

และชั่วขณะนั้นเองที่ทุกคนในห้องโถงถูกพลังงานที่มองไม่เห็นดึงให้ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ

เสียงของระบบหลักดังก้องไปทั่วทั้งห้อง “ได้รับแจ้งจากเมนเทอร์ การแข่งขันรอบแรกที่เดิมทีจะเริ่มในวันพรุ่งนี้ถูกเลื่อนขึ้นมาเป็นวันนี้แทน ทุกท่านกรุณาเตรียมตัวให้พร้อมด้วยค่ะ”

ทุกคนหวาดกลัวจนหน้าเผือดสี และวินาทีถัดมาพรมที่พวกเขาเคยเหยียบยืนก็เปลี่ยนไปทันที มันดึงทุกคนให้ตกลงไปในความมืดมิดที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

* แจกัน เป็นคำที่ใช้เปรียบเปรยว่าสวยงามแต่ไร้ประโยชน์

* Hell Mode คือระดับความยากที่ยากสุดๆ หรือเรียกว่ายากระดับนรก

* ซับกระสุน คือซับไตเติ้ลหรือคอมเมนต์ที่ไม่ได้บอกความหมายแต่เอาไว้บอกความรู้สึกของตนเองกับผู้อื่น โดยซับกระสุนจะเป็นตัววิ่งที่อยู่บนหน้าจอการไลฟ์หรือสตรีมมิ่งบนแพลตฟอร์มของจีน

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: