ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 3
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว
มีการกล่าวถึงอาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน
การฆ่าตัวตาย และการใคร่เด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 98 ป้ายหยกที่ทำให้สิ่งที่คิดเป็นจริง
หลังตกลงกันเสร็จ ซ่งรุ่ยก็หยิบกระดาษปากกาออกมาแล้วเริ่มสอบปากคำ ในสายอาชีพ เขาได้ชื่อว่าเป็นเครื่องจับเท็จในร่างมนุษย์ ย่อมต้องมีวิธีการเป็นของตัวเอง ตอนแรกเขาแค่ถามคำถามง่ายๆ เช่น คุณชื่ออะไร ปีนี้อายุเท่าไหร่ บ้านเดิมอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร เพื่อให้ผู้ต้องหาคลายความระแวดระวังตัวลง และเพื่อสร้างมาตรฐานความจริงเท็จ ซึ่งพอมีมาตรฐานนี้แล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะแต่งเรื่องโกหกขึ้นมามากแค่ไหน เขาแค่มองปราดเดียวก็รู้
หลี่โหย่วเต๋อตอบคำถามช่วงแรกนี้ได้โดยไม่ต้องหยุดคิด
ซ่งรุ่ยผงกศีรษะพลางจดบันทึก พอแก้มเกร็งๆ ของอีกฝ่ายผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เขาก็โพล่งถามออกมาว่า “คุณพบว่าตัวเองมีมือปีศาจงอกออกมาเมื่อไหร่”
หลี่โหย่วเต๋ออึ้งไปพักหนึ่ง กลอกตาเล็กน้อยก่อนตอบ “เมื่อหนึ่งเดือนกว่า”
เมื่อหนึ่งเดือนกว่าคือจุดเริ่มต้นของการก่อคดีอย่างอุกอาจ เมิ่งจ้งลอบผงกศีรษะเพื่อเป็นการบอกว่าสิ่งที่เขาพูดน่าจะเป็นความจริง
แต่ซ่งรุ่ยกลับพูดเสียงเย็นเอาดื้อๆ ว่า “ไม่จริง”
พริบตาหนึ่งประกายหม่นในดวงตาของหลี่โหย่วเต๋อก็สั่นไหวเล็กน้อย ทว่าสีหน้ากลับยังคงนิ่งสนิท เขาพบว่าตัวเองมีมือปีศาจคู่นั้นงอกออกมาเมื่อไหร่ คำตอบของคำถามนี้มีแค่เขาและฟ้าดินที่รู้ ยกเว้นว่าอีกฝ่ายจะสามารถเจาะเข้าไปอ่านความทรงจำในสมองของเขา ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีทางพูดเรื่องจริงออกมาจากปาก
ซ่งรุ่ยพลิกข้อมูลโดยละเอียดของหลี่โหย่วเต๋อที่เมิ่งจ้งให้ตนมา ไม่นาน เขาก็ใช้ปลายปากกาจิ้มที่บันทึกส่วนหนึ่ง หัวเราะเบาๆ “เมื่อสามเดือนก่อนล่ะสิ หรือจะพูดให้ถูกคือเมื่อปลายเดือนสี่?”
มือที่ซ่อนอยู่ในผ้าห่มของหลี่โหย่วเต๋อกำเป็นหมัดอย่างเงียบๆ แต่ใบหน้ากลับฉายแววงุนงง จังหวะนี้เองเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจเขาพลันกรีดเสียงร้องแหลม ฟ้องว่าการเต้นของหัวใจเขามันสับสนมากเกินไป เขากำลังโกหก!
เมิ่งจ้งเผลอปรายตามองซ่งรุ่ยแวบหนึ่ง ความสามารถในการอ่านคนด้วยไหวพริบระดับสุดยอดของคนคนนี้ช่างน่าตื่นตะลึง เขาเคยนึกสงสัยอยู่หลายครั้งว่าซ่งรุ่ยเป็นร่างทรงวิญญาณหรือเปล่า เพราะอีกฝ่ายสามารถอ่านคนที่มาอยู่ตรงหน้าทุกคนได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
หลี่โหย่วเต๋อสบถพลางถอดสายเครื่องวัดต่างๆ บนตัว
ซ่งรุ่ยไม่ห้าม เขาพูดต่อไปว่า “วันที่ยี่สิบเอ็ดเดือนสี่ คุณถูกรูมเมตลากไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ เพราะคุณโอนเงินจากแอพฯ อาลีเพย์ในมือถือเขาไปสองร้อยไคว่ ตอนนั้นคุณบอกตำรวจว่าที่คุณโอนเงินก้อนนั้นไปได้เพราะคุณแอบเห็นรหัสอาลีเพย์ของรูมเมตตอนเขาซื้อของแล้วจำไว้ ผมยังคงสงสัยในคำตอบอันนี้”
หลี่โหย่วเต๋อฝืนตั้งสติเพื่อโต้แย้ง “มีอะไรน่าสงสัย ตอนนั้นผมสนิทกับเขา เขาไม่เคยปิดบังผมเวลาใส่รหัส”
ซ่งรุ่ยหัวเราะเบาๆ “ที่ผมสงสัยไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว แต่ยังมีพฤติกรรมของคุณหลังจากนั้น หลังออกจากคุก คุณคืนห้องเช่าเดิม ย้ายมาอยู่ห้องเช่าปัจจุบัน ลองคิดดูนะว่าคนคนหนึ่งที่อยู่ห้องใต้ดินที่ยอมแชร์ห้องกับคนอื่นเพื่อจ่ายค่าเช่าแปดร้อยไคว่เพื่อประหยัดค่ากินอยู่ คนที่โลภถึงขั้นขโมยเงินสองร้อยไคว่ของคนอื่น จะยอมจ่ายเงินสูงถึงหนึ่งพันเจ็ดร้อยไคว่เพื่อเช่าห้องอยู่คนเดียวได้? สำหรับคนอื่น เงินหนึ่งพันเจ็ดร้อยไคว่อาจไม่ถือว่าเป็นอะไร แต่สำหรับคุณในตอนนั้นมันน่าจะแพงเกินไปไม่ใช่หรือ เท่าที่ผมรู้ คุณเที่ยวหยิบยืมคนโน้นคนนี้เพื่อให้ได้เงินก้อนนี้มา และก่อนหน้านั้นคุณเคยเช่าห้องพักหลายแห่งในราคาไม่เกินหนึ่งพัน แถมยังต้องหาคนมาแชร์เพื่อแบ่งเบาภาระ แต่หลังจากนั้นไลฟ์สไตล์คุณกลับเปลี่ยนไป มันเป็นเพราะอะไร”
หลี่โหย่วเต๋อฝืนยิ้ม “เพราะลำบากมาพอแล้วไง ใครจะไม่อยากให้ตัวเองอยู่สบายขึ้นบ้างล่ะ”
ซ่งรุ่ยสั่นศีรษะช้าๆ “ไม่ ไม่ใช่เพราะคุณอยากให้ตัวเองอยู่สบายขึ้น แต่เป็นเพราะคุณจะปล่อยให้คนอื่นรู้ความลับของตัวเองไม่ได้ ก่อนหน้านี้คุณเคยโดนเชฟที่ร้านด่าอยู่บ่อยๆ ว่าคุณเอาแต่ใจลอย ไม่ให้เกียรติงานผู้ช่วยเชฟ ไม่ยอมเรียนรู้เทคนิค ทำงานออกมาได้แย่มาก อีกนิดเดียวคุณก็จะถูกเลิกจ้างอยู่แล้ว แต่หลังเปลี่ยนที่อยู่ ใจคุณสงบลง คุณเริ่มฝึกหั่นผัก ไม่นานก็ได้รับคำชมจากเชฟใหญ่ คนที่อยู่ตึกเดียวกับคุณเล่าให้เราฟังว่าพวกเขาได้ยินเสียงคุณหั่นผักตอนกลางดึกเป็นประจำ และตอนเช้าจะเห็นผักซอยละเอียดยิบเป็นกองอยู่ในถังขยะของคุณ คุณถึงขั้นหั่นเต้าหู้ให้กลายเป็นเส้นไหมละเอียดยิบได้ ตอนที่คุณโยนทิ้งขยะ เพื่อนบ้านก็เห็น เขาประทับใจเรื่องนี้มากเลยตั้งใจเล่าให้เราฟัง”
พูดมาถึงตรงนี้ซ่งรุ่ยก็ถอดแว่นออก เขามองหลี่โหย่วเต๋อด้วยสายตาคมปลาบปราศจากการปกปิดพลางยิ้มบางๆ “คุณฝึกหั่นผักด้วยความยากลำบาก หรือฝึกมือที่เพิ่งงอกออกมากันแน่ เพราะถึงมันจะเป็นของคุณ แต่มันกลับไม่ยอมทำตามคำสั่ง สามเดือนหลังจากนั้น จากพฤติกรรมของคุณ ดูเหมือนความพยายามนั้นจะไม่ได้สูญเปล่านะ”
กล้ามเนื้อทุกมัดบนหน้าของหลี่โหย่วเต๋อสั่นสะท้าน เขาไม่รู้ว่าควรเอาความรู้สึกแบบไหนมากลบเกลื่อนความกลัวและความลนในใจของตัวเอง
ทว่าซ่งรุ่ยกลับไม่ซักไซ้ เขาโยนอีกหนึ่งคำถามให้อย่างง่ายๆ “คุณรู้ได้ยังไงว่าตัวเองเริ่มมีการแปรสภาพ”
หลี่โหย่วเต๋อตอบตามสัญชาตญาณ “จู่ๆ มันก็เกิดขึ้นเอง” พอตอบออกไปแล้ว เขาถึงเพิ่งทำตาโต มองอีกฝ่ายอย่างหวาดๆ คิดว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมสมองของเขาถึงคิดอะไรไม่ออกเลย และทำไมปากของเขาถึงคุมไม่ได้
ซ่งรุ่ยไม่ให้เวลาเขาได้ต่อต้าน ถามต่อว่า “งั้นคุณรู้สาเหตุที่ทำให้ตัวคุณแปรสภาพมั้ย”
“ไม่รู้!” ประเด็นนี้หลี่โหย่วเต๋อเคยเตือนตัวเองเป็นร้อยเป็นพันรอบว่าห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ ถึงปราการในใจของเขาจะถูกทำลายไปแล้ว แต่เขาก็ยังคงตอบปฏิเสธแบบตัดตะปูเฉือนเหล็กทันที
ทว่าซ่งรุ่ยกลับสรุปทันควัน “คุณโกหก!”
สองมือของหลี่โหย่วเต๋อจิกผ้าปูที่นอนแน่น สีหน้าแตกตื่นราวกับมีเส้นปอยุ่งๆ กลุ่มหนึ่งมัดเขาไว้อย่างแน่นหนาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ซ่งรุ่ยปรายตามองเขาแวบหนึ่ง แล้วโยนระเบิดหนึ่งลูกไปให้อย่างสบายๆ “ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากของชิ้นนั้นใช่มั้ย”
“ของอะไร” ลำคอของหลี่โหย่วเต๋อฝืดเฝื่อนมากถึงขั้นทำให้เสียงของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทว่าอารมณ์ที่ตึงเครียดมากเกินไปทำให้ตัวเขาไม่ทันสังเกต
เมิ่งจ้งที่ยืนดูอยู่เงียบๆ ที่ด้านข้างรับรู้ได้ว่าซ่งรุ่ยถามเข้าประเด็นแล้ว ก่อนหน้านี้เขาใช้เรื่อง ‘ใกล้ตาย’ มาทำลายปราการในใจของคนคนนี้ ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามของอีกฝ่ายทีละก้าวๆ แล้วบุกเข้าไปถึงแท่นบูชาปีศาจที่ไม่ว่าใครก็แตะต้องไม่ได้ ทุกประโยคของเขาล้วนเป็นกับดัก
ซ่งรุ่ยหยิบมือถือของตัวเองออกมา ชี้ไปที่ชายหนุ่มใบหน้าหล่อสวยเกินจริงบนหน้าจอ “ของที่เขาเอาไป”
หลี่โหย่วเต๋อส่ายหน้า เหงื่อเย็นๆ แตกซิก “ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร เขาจะเอาอะไรไปจากผมได้ ตอนพวกเขาจับผม ผมใส่แค่เสื้อยืดกับกางเกงบ็อกเซอร์ ผมจะซ่อนอะไรไว้ในตัวได้” เขาไม่รู้ว่ายิ่งพูด ตัวเองยิ่งหลุดปาก
ซ่งรุ่ยไม่อยากคุยกับหลี่โหย่วเต๋ออีก เนื่องจากเขาพอจะปะติดปะต่อเรื่องจริงส่วนใหญ่ได้แล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้กระจ่างไม่ใช่คำตอบกึ่งจริงกึ่งเท็จของหลี่โหย่วเต๋อ แต่เป็นคำเตือนเพียงประโยคเดียวของฟั่นจยาหลัว
ซ่งรุ่ยใช้ปลายปากกาจิ้มคำให้การของเลี่ยวฟาง ในนั้นบันทึกคำพูดของฟั่นจยาหลัวไว้ว่า
‘เขาเป็นพวกเดียวกับพวกคุณ แต่เขาถูกความโลภบงการจนกลายเป็นทาสของความโลภ ทำให้สูญเสียตัวตนเดิมไป’
ทำไมจู่ๆ คนคนหนึ่งถึงกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปได้ นอกจากความปรารถนาที่ไม่สามารถเติมให้เต็มแล้วยังจะมีอะไรอีก สัตว์ประหลาดอย่างหลี่โหย่วเต๋อก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น บนโลกยังมีสัตว์ประหลาดที่คลุมด้วยหนังมนุษย์และน่ากลัวกว่าเขาอยู่อีกมาก อย่างเช่นตัวเขาเอง พวกเขาล้วนเป็นเดรัจฉานเดินได้ที่ถูกความปรารถนาบงการ…
ซ่งรุ่ยวางปากกาและเริ่มเช็ดเลนส์แว่นช้าๆ พลางเฉลยความจริงทีละคำ ทีละประโยค “พูดกันจริงๆ ถึงการแปรสภาพของคุณจะเกิดจากวัตถุ แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นตัวคุณเอง ผมนึกภาพกระบวนการแปรสภาพของคุณทั้งหมดได้ว่าตอนปลายเดือนสี่ คุณจนกรอบแทบไม่มีกินแล้ว อยากได้เงินแบบด่วนๆ และตอนนี้เองที่คุณเห็นมือถือที่รูมเมตทิ้งไว้ที่บ้าน คุณรู้ว่าในอาลีเพย์ของเขามีเงินเลยพยายามแก้รหัส แต่ไม่มีประโยชน์ ด้านหนึ่งมันเป็นเงินที่หามาได้ง่ายๆ แต่อีกด้านคือมันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางทำสำเร็จ ความโลภกับอารมณ์ร้อนใจผสมผสานกันอยู่ในตัวคุณ ควบรวมกันเป็นกระแสน้ำไหลบ่าสายหนึ่งกระแทกใส่ตัวคุณ คุณเลยมีมืออัปลักษณ์อย่างที่สุดคู่หนึ่งงอกออกมา พวกมันช่วยคุณปลดล็อกมือถือได้ง่ายๆ ทำให้ความปรารถนาของคุณเป็นจริง พวกมันคือผลผลิตของความโลภ”
หลี่โหย่วเต๋อดึงมือออกมาจากผ้าห่ม เริ่มเช็ดเหงื่อเย็นๆ ที่หยดลงมาจากหน้าผากถี่ๆ
เมิ่งจ้งมองซ่งรุ่ย สายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกสับสน เพราะถ้าพูดในอีกความหมายหนึ่ง ความสามารถของคนคนนี้ก็นับว่าเป็นร่างทรงวิญญาณเหมือนกัน!
ซ่งรุ่ยยังบรรยายต่อ “คุณกลัวมาก คืนนั้นคุณเลยทนเจ็บเพื่อตัดแขนทั้งสองข้างออก สับมันจนเละเทะแล้วโยนลงถังขยะ คุณอยากถามผมว่ารู้ได้ยังไง เพราะตอนนั้นมีคนทำความสะอาดคนหนึ่งร้องเรียนว่าคอนโดฯ พวกคุณมีคนเอาสัตว์ปีกที่สับจนเละหนึ่งถุงทิ้งลงในถังขยะประเภทสารพิษ”
เล่ามาถึงตรงนี้ซ่งรุ่ยก็หัวเราะเบาๆ “สัตว์ปีก สีเหมือนมือคุณเลยเหรอ”
แต่หลี่โหย่วเต๋อไม่ขำสักนิด ตรงกันข้าม เขาเริ่มตัวสั่น
ซ่งรุ่ยเล่าต่อ “แต่พอวันต่อมา ตอนที่คุณถูกจับอยู่ที่สถานีตำรวจ พวกเขากลับไม่เจอแผลบนตัวคุณ แสดงว่านอกจากสิ่งนี้จะทำให้ความปรารถนาของคุณเป็นจริงแล้ว มันยังสามารถฟื้นฟูร่างกายของคุณได้อย่างรวดเร็วด้วยใช่หรือเปล่า เป็นของวิเศษดีจริงๆ”
หลี่โหย่วเต๋อตัวสั่นเหมือนใบไม้ร่วงกลางสายลม
ซ่งรุ่ยหยิบมือถือมาจ้องหน้าจอที่มีแสงเรืองๆ โดยไม่เลื่อนสายตาไปทางอื่น น้ำเสียงอ่อนโยน “พอออกจากคุก จนแล้วจนรอดคุณก็ลืมมือคู่ที่สามารถแก้รหัสง่ายๆ คู่นั้นไม่ได้ และพวกมันเหมือนจะได้ยินเสียงเรียกหาของคุณเลยงอกออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้คุณไม่กลัวแล้ว แถมยังดีใจจนแทบคลั่ง เพราะคุณมองหาเส้นทางทำเงินดีๆ ไว้ให้พวกมันเรียบร้อย คุณใช้เวลาสามเดือนในการฝึกพวกมัน และใช้ทุกช่องทางเพื่อเปิดบัญชีผี คุณวางแผนอนาคตอย่างละเอียดรอบคอบ เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคงไม่ต้องให้ผมเล่าแล้วมั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะคุณรู้สึกว่าตัวเองมีเงินแล้ว อยากหาแฟนสักคน และเพื่อให้สะดวกกับการออกเดต คุณเลยตัดมือคู่นั้นอีกครั้ง เราคงไม่มีทางจับคุณได้เร็วขนาดนี้”
หลี่โหย่วเต๋อกอดแขนทั้งสองข้างแน่น กัดฟัน ไม่กล้าพูดสักคำ เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าน่ากลัวกว่าชายหนุ่มคนนั้นเสียอีก ทั้งที่เจอกันครั้งแรก แต่อีกฝ่ายกลับเหมือนภูตผีที่คอยตามติดอยู่ข้างกายตนเหมือนเงา เฝ้ามองทุกอย่างที่เกิดขึ้นเงียบๆ ความลับที่เขาอยากปิดบังล้วนถูกอีกฝ่ายขุดออกมา ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดในชีวิต ทุกถ้อยคำที่พูด รวมไปถึงความตั้งใจในทุกครั้งและความคิดในทุกชั่วพริบตาของตัวเอง…
หลี่โหย่วเต๋อถึงขั้นสงสัยว่าคนคนนี้จะเจาะเข้าสมองของคนอื่นเพื่อขโมยความทรงจำได้! เขาไม่สามารถฝืนทำเป็นนิ่งได้อีก เขาอยากหนีออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!
ซ่งรุ่ยไม่จำเป็นต้องได้รับการตอบรับจากฝ่ายตรงข้ามก็รู้ว่าตัวเองเดาถูก ชายหนุ่มพูดพลางพิจารณาปฏิกิริยาโต้ตอบของหลี่โหย่วเต๋อ ค่อยๆ เสริมเรื่องราวให้สมบูรณ์ อันที่จริงพอตั้งสมมติฐานได้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะหลี่โหย่วเต๋อใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากมาสามสิบกว่าปี ถ้าเขาแปรสภาพได้เร็วกว่านี้ เขาคงไม่จมปลักอยู่แบบนี้ ด้วยเหตุนี้ ความสามารถของเขาจะต้องเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน ประกอบกับมีคำเตือนจากฟั่นจยาหลัว ทำให้คำตอบถูกเปิดเผยออกมา
ทันใดนั้นซ่งรุ่ยพลันรู้สึกว่าน่าเบื่อมาก เขาสวมแว่นที่เช็ดจนแวววับเป็นพิเศษกลับไปบนสันจมูก หัวเราะเบาๆ “พิสูจน์ได้ว่าคุณโกหกผมหลายต่อหลายครั้ง และผมรู้เรื่องที่ควรรู้หมดแล้ว เพราะฉะนั้นข้อตกลงของเราเป็นโมฆะ คุณหลี่ คุณยังมีเวลาอีกสองชั่วโมง ขอให้คุณพักผ่อนอย่างสงบนะครับ”
หลี่โหย่วเต๋อโผออกไปข้างหน้า ตะโกนเสียงร้อนรน “คอยเดี๋ยว เดี๋ยวก่อน! คุณยังอยากรู้เรื่องอะไร ผมจะบอก ผมจะบอกหมดเลย! ผมจะบอกพวกคุณตามความจริงทุกอย่าง พวกคุณให้ผมเจอเขานะ!”
แต่ซ่งรุ่ยกลับไม่เหลือบแล และเดินตรงออกไปทันที
เมิ่งจ้งฉวยโอกาสถาม “ตกลงของที่ฟั่นจยาหลัวเอาไปจากคุณคืออะไร”
หลี่โหย่วเต๋อบอกกลับแทบไม่ทัน “มันเป็นหยกสลักจิ๋วที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของผม! ย่าให้ผมรักษามันไว้ให้ดีๆ บอกว่ามันสามารถทำความปรารถนาของผมให้เป็นจริง หยกสลักจิ๋วชิ้นนี้ฝีมือประณีตมาก ผมคิดว่ามันน่าจะขายได้เงินไม่น้อยเลยทำเป็นจี้ห้อยคอ พกติดตัวไว้ตลอด วันนั้นผมอยากเอาเงินออกมาจากมือถือมาก แล้วหยกสลักจิ๋วนั่นก็เปล่งแสงหายเข้าไปในตัวผม ทำให้ความปรารถนาของผมเป็นจริง เวลามือที่งอกออกมาแตะถูกใคร ลายนิ้วมือก็จะเปลี่ยนไปเหมือนคนคนนั้น ดังนั้นพอมือถือของพวกเขามาอยู่ในมือผมเลยถูกปลดล็อกได้อย่างรวดเร็ว พวกคุณช่วยเอาหยกสลักจิ๋วคืนมาให้ผมเถอะนะ ช่วยผมด้วย ผมจะมอบมันให้เป็นสมบัติของแผ่นดิน! จริงๆ นะ เชื่อผมเถอะ!”
เมิ่งจ้งยิ้มน้อยๆ ผงกศีรษะ “ได้ เราจะช่วยคุณหาหยกสลักจิ๋วกลับมา”
หลี่โหย่วเต๋อสงบลงทันที เขาล้มลงไปนอนหอบบนหมอนใบสูง
เมิ่งจ้งถามอีก “แล้วย่าของคุณไปได้มันมาจากไหน”
“ไม่รู้ ย่าบอกว่ามันตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ให้ผมรักษาไว้ดีๆ ผมมีคำถามมากมายอยากถามท่าน แต่ท่านเสียไปสองสามปีแล้ว”
เมิ่งจ้งตรวจสอบภูมิหลังครอบครัวของหลี่โหย่วเต๋อไว้ตั้งแต่ต้น เขาจึงไม่ได้ถามมาก บอกว่าจะไปตามฟั่นจยาหลัวด้วยสีหน้ายิ้มๆ แล้วเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
ซ่งรุ่ยยืนคอยอยู่ที่ปลายสุดของทางเดิน เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นยิ่ง “นายจะไปหาฟั่นจยาหลัว?”
“จะทำแบบนั้นได้ไง” เมิ่งจ้งส่ายหน้าอย่างไม่ต้องหยุดคิด “อันที่จริง ฉันมองฟั่นจยาหลัวมาตั้งแต่มีคดีของเกาอี้เจ๋อแล้ว โพรไฟลิ่งที่นายทำให้เขาทำเอาพวกเราเครียดมากว่าต้องใช้มาตรการเด็ดขาดอะไรหรือเปล่า”
ใบหน้างดงามของซ่งรุ่ยเครียดขึ้นทันที เครียดจนเส้นเลือดเขียวๆ ที่คอปูดขึ้นมาให้เห็นเป็นเส้นๆ การทำให้เขาเครียดได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่แค่พูดคำว่า ‘ฟั่นจยาหลัว’ สามคำ ก็สามารถกระตุ้นอารมณ์ทั้งหมดของเขาขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย
เมิ่งจ้งมองซ่งรุ่ยยิ้มๆ พูดต่อ “แต่ความจริงก็พิสูจน์แล้วว่าความเข้าใจที่นายมีต่อเขาล้วนผิดพลาด เขาไม่ได้เป็นพวกต่อต้านสังคมอะไร ตรงข้าม เขากลับเต็มไปด้วยความเคารพและรักโลกนี้ เขาช่วยไป๋มู่เปลี่ยนดวงโดยไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่โลภ คำทำนายสามนาที รวมไปถึงคนทั้งสี่ที่ถูกเขาแช่ง สำหรับคนที่สร้างกรรมน้อยได้รับบาดเจ็บภายนอกนิดหน่อย แต่เจ๊ชิ่งที่ขายเด็กสาวเป็นสินค้า ก็ต้องตาบอดไปหนึ่งข้าง พี่สี่ที่มือเปื้อนเลือดกลายเป็นอัมพฤกษ์ระหว่างหลบหนีการจับกุมของตำรวจ ฟั่นจยาหลัวเชื่อในเรื่องเหตุผลดีชั่ว เขาจึงรู้ดีว่าผลลัพธ์ของการทำชั่วคืออะไร นั่นทำให้เขาเป็นคนไม่ล้ำเส้น”
เมิ่งจ้งเดินเข้าไปในมุมที่มืดกว่าเดิม พูดเสียงหนัก “ฟั่นจยาหลัวทำให้เราสังเกตเห็นฉงหมิงและทำการตรวจสอบ จนพบว่าคดีฆาตกรรมที่เกิดจากน้ำมือของเขามีจำนวนไม่น้อยทีเดียว เริ่มต้นตั้งแต่ตอนอายุห้าขวบ คนข้างตัวเขามักล้มหายตายจากแบบแปลกๆ แต่กลับหาสาเหตุไม่พบ ถ้าไม่ใช่เพราะฟั่นจยาหลัว เราคงไม่มีทางสังเกตเห็นเขา ความสามารถของฉงหมิงเรียกได้ว่าพอๆ กับยมทูต! แต่หลังเจอกับฟั่นจยาหลัว เขาก็ได้รับผลจากการกระทำของตัวเอง คนที่เราลงมืออะไรด้วยไม่ได้แต่ฟั่นจยาหลัวทำได้ ฟั่นจยาหลัวเปลี่ยนฉงหมิงเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งหมา ทำให้เขามีสติทว่าต้องใช้ชีวิตที่เหลือแบบไม่ใช่คนไม่ใช่ผี นับตั้งแต่นั้น ดูเหมือนฟั่นจยาหลัวจะได้ความสามารถของฉงหมิงมา ถึงชุบชีวิตสวี่อี้หยางได้”
เมิ่งจ้งถอนหายใจ “นายพอจะนึกภาพความรู้สึกกระวนกระวายใจของพวกเราตอนนั้นได้มั้ย ตอนแรกเราคิดว่าเขาเป็นคนที่มีหลักการ ไม่ล้ำเส้นคนหนึ่ง แต่การที่เขาชุบชีวิตคนตายขึ้นมามันล้มล้างข้อสรุปนี้ เราเข้าใจว่าเขาจะใช้สวี่อี้หยางไปแก้แค้น ประมาณว่าแทงพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเองอะไรทำนองนั้น…”
ฟังมาถึงตรงนี้ ซ่งรุ่ยก็หัวเราะเสียงเย็น “ไม่ใช่แค่ฉันที่ผิด นายเองก็เตลิดไปเหมือนกัน”
เมิ่งจ้งผงกศีรษะ “ใช่ สุดท้ายเราถึงรู้ว่าความคิดนี้มันผิดมหันต์ เขาดึงเด็กคนนั้นกลับออกมาจากนรกเพื่อทำความปรารถนาสุดท้ายของเด็กให้เป็นจริง นายพอจะจินตนาการความรู้สึกสับสนของฉันในตอนนั้นได้มั้ย เราจับตาดูเขาอย่างใกล้ชิดทำให้รู้ทัศนะต่อการเวียนว่ายตายเกิดของเขา เขาบอกเลี่ยวฟางว่าการขัดขวางชะตากรรมคือการเอากายเนื้อไปขวางรถไฟ จุดจบสุดท้ายคือร่างกายแหลกเหลว แต่เพื่อทำความปรารถนาสุดท้ายของเด็กที่ตายไปแล้วคนหนึ่งให้เป็นจริง เขากลับยอมขวางหน้ารถไฟขบวนนั้น เขาให้ความเคารพยำเกรงต่อทุกชีวิต แม้อีกฝ่ายจะตายไปแล้วก็ตาม”
เมิ่งจ้งทอดเสียงให้ช้าลง “หลังจากเฝ้ามองเป็นเวลานาน เราพบว่าคุณฟั่นเป็นคนที่เชื่อในผลตอบแทนของความดีความชั่วอย่างแรงกล้า เขาจะทำแต่เรื่องที่คิดว่าถูก ต่อให้เป็นการทำร้ายตัวเองก็ตาม คนแบบนี้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เรียกได้ว่าเป็นขนหงส์เขากิเลน* ดังนั้นฉันถึงยกย่องเขาอย่างที่สุด ต่อให้มีความสามารถพิสดารแบบผิดธรรมชาติ ฉันก็ไม่รู้สึกว่าน่าห่วง เพราะฉันเชื่อมั่นในคนแบบเขา ของที่เขาเอาไปจากหลี่โหย่วเต๋อครั้งนี้ ฉันก็ไม่คิดจะเอากลับมา ป้ายหยกที่ทำให้ความปรารถนาเป็นจริงนั้นฟังดูสวยหรู แต่ถ้าคิดดูดีๆ นายจะรู้ว่ามันน่ากลัวมากแค่ไหน แม้แต่ตัวฉันเองยังไม่กล้าการันตีว่าจะเก็บมันไว้โดยไม่เกิดความคิดชั่วๆ ขึ้นมา แต่ฉันเชื่อว่าฟั่นจยาหลัวทำได้ ปณิธานของเขาไม่มีวันสั่นคลอน”
ซ่งรุ่ยยิ้มเย็นพลางเดินไปที่ลิฟต์ “พวกนายไม่ได้ยกย่องเขาหรอก พวกนายแค่จำเป็นต้องเชื่อเขาต่างหาก เพราะถ้ากระทรวงความมั่นคงสามารถจัดการเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้นถี่ๆ พวกนี้ได้ นายคงไม่มาขอให้ฉันช่วย และไม่จัดรายการเฟ้นหาเจินเหริน และยิ่งไม่จับตาดูฟั่นจยาหลัวแบบนี้หรอก เวลานี้พวกนายต้องขอร้องเขา เลยทำอะไรเขาไม่ได้ จริงมั้ย”
ซ่งรุ่ยกดปุ่มลงชั้นล่างพลางพูดช้าๆ “นายเดาซิว่าฟั่นจยาหลัวจะรู้เรื่องที่พวกนายสะกดรอยเขามั้ย”
เมิ่งจ้งปฏิเสธทันที “ไม่มีทาง เจ้าหน้าที่ข่าวกรองของเราระดับไหน นายก็น่าจะรู้”
ซ่งรุ่ยเดินเข้าไปในลิฟต์ หัวเราะเสียงหยัน “ฉันกล้าพนันเลยว่าเขารู้แน่ เขาแค่ขี้เกียจสนใจพวกนาย ไม่มีใครคุมเขาได้ นายรีบเลิกล้มความคิดพวกนี้ไปจะดีกว่า”
“ไว้ตอนเจอกันฉันจะขอให้เขาเป็นพยาน ซ่งรุ่ย นายเปลี่ยนไปเยอะนะ ท่าทางนายตอนนี้เหมือนคนธรรมดาเลย” คำพูดของเมิ่งจ้งถูกกั้นด้วยประตูลิฟต์ที่ปิดสนิท เขาจ้องมองแผ่นโลหะเย็นเยียบพลางยิ้มอย่างอ่อนใจ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 8 ธ.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.