ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 6
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว
การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่
การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 219 ฆาตกรเป็นคน เป็นผี หรือเป็นเทพ?
เมื่อลิฟต์สะอาดแวววับเจอเข้ากับการเขย่าอย่างรุนแรงจากสนามแม่เหล็กของฟั่นจยาหลัวก็เหมือนมีภาพซ้อนปรากฏออกมา สีสันที่เป็นเปลือกนอกค่อยๆ ถูกลอกออกไปเพื่อพลิกกลับไปเป็นอีกโฉมหน้าหนึ่ง ลิฟต์นั่นเต็มไปด้วยแสงสีเขียวหม่นให้ความรู้สึกกดดันอย่างหาที่สุดไม่ได้ อากาศไม่หมุนเวียน ไม่มีเสียง มีแต่รอยด่างลายตากับความเงียบสนิท
แค่ยืนดูอยู่ข้างนอกพวกเมิ่งจ้งยังสัมผัสได้ถึงอาการหายใจไม่ออกที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แล้วคนที่ถูกขังจริงๆ จะหวาดกลัวและสิ้นหวังมากแค่ไหนกัน
ไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปสำรวจ ต่อให้เป็นหลินเนี่ยนเอินกับหลินเนี่ยนฉือที่ได้รับค่าจ้างสูงลิบก็ยังยืนหน้าซีดอยู่ที่มุมหนึ่งของทางเดิน ไม่กล้าเข้าใกล้ ซ่งรุ่ยอยากเข้าไป แต่กลับถูกสนามแม่เหล็กที่มองไม่เห็นหนึ่งชั้นขวางไว้ด้านนอก ทำได้เพียงใช้มือถือโทรไปหาช่างในศูนย์ซ่อมบำรุงลิฟต์เพื่อให้พวกเขาสั่งปิดประตูลิฟต์จากระยะไกล ด้วยความหวังว่ากล้องวงจรปิดจะสามารถจับภาพผนังด้านในของประตูได้
ฟั่นจยาหลัวใช้สนามแม่เหล็กของตัวเองล็อกมิติซ้อนทับนี้ไว้อย่างแน่นหนา แต่กลับสัมผัสได้ถึงความสั่นคลอนใกล้พังของมัน การปะทะกันของสนามแม่เหล็กสองสนามเหมือนการปะทะกันของกระสุนสองลูก คุณไม่มีทางรู้ว่ากระสุนลูกไหนจะระเบิดก่อน และยิ่งไม่มีทางรู้ว่ากระสุนลูกไหนจะแฉลบออกไปนอกเส้นทาง
แต่เห็นได้ชัดมากว่าสนามแม่เหล็กของฟั่นจยาหลัวแกร่งกว่า ตอนที่เขาเปิดมิติทับซ้อนนี้ แรงกดดันมหาศาลของเขาทำให้มันถล่ม แต่ภายในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนี้ ชายหนุ่มก็ยังคงใช้จิตสัมผัสพลางเอ่ยบรรยายด้วยเสียงเนิบนาบ “ตอนที่คุณเจียงค่อยๆ เดินไปสู่ความตาย ฆาตกรอยู่ที่นี่ด้วย”
ไม่รู้เพราะอะไร ตอนได้ยินคำพูดของเขา หลินเนี่ยนฉือรู้สึกสบายใจมากว่าจะชั่วจะดีอย่างไร การสื่อวิญญาณของเธอไม่ได้ผิดพลาดทั้งหมด แม้ตอนนี้เธอจะไม่มีหน้าเหลืออยู่แล้วก็ตาม
“แต่ไม่ได้เป็นตัวจริง” ฟั่นจยาหลัวเสริม “เขาคือความประสงค์ร้าย เป็นดวงตาที่เฝ้าดูหนึ่งคู่ เป็นปากที่ทำให้คนคลั่ง ผมสัมผัสได้ถึงความรื่นรมย์ของเขา ตอนที่ความทุกข์ทรมานกับความสิ้นหวังของคุณเจียงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ความหรรษาของเขายิ่งทบทวี เขาสื่อสารกับเธอ…”
การใช้จิตสัมผัสของฟั่นจยาหลัวหยุดชะงัก สิ่งที่เข้ามาแทนคือความเศร้าและทอดถอนใจ “ผมไม่ทันได้ยินคำพูดของเขา เพราะมิตินี้ถล่มแล้ว”
เพิ่งขาดคำภาพสีเขียวหม่นที่เต็มไปด้วยด่างดวงของการสึกกร่อนกับคราบเลือดเป็นเส้นๆ พลันปรากฏรอยแยกหนึ่งสาย ในรอยแยกนี้มีความมืดว่างเปล่าที่สูบกลืนทุกสิ่งกับแสงสว่างจ้าที่แผดเผาทุกอย่างพุ่งออกมาทำให้ทุกคนต้องเบือนหน้าหนี ปิดตา ไม่กล้ามองตรงๆ
ความเปลี่ยนแปลงปุบปับนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความเงียบ แต่กลับเหมือนมีเสียงกระจกแตกเป็นชิ้นๆ กับเสียงครืนโครมเหมือนตึกถล่ม แค่ชั่วพริบตามันก็หายไปไม่เหลือร่องรอยใดๆ ภายในลิฟต์กลับมาสะอาดสะอ้านเป็นมันวับเหมือนตอนแรก
ทุกคนปากอ้าตาค้าง สมองทึ่มทื่อ ยังไม่ได้สติกลับคืนมา
แต่ซ่งรุ่ยก้าวเข้าไปทันที เขาสำรวจดูทุกที่ วิเคราะห์ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เมื่อกี้ผมพยายามเข้าไปถ่ายภาพแต่ถูกผนังล่องหนกันไว้ เห็นได้ว่ามิตินั้นกับมิตินี้ถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในมิตินั้นเลยไม่เหลืออยู่ในมิตินี้”
เจ้าหน้าที่เทคนิคที่ตกใจจนอึ้งไม่รู้ว่าจะบรรยายความเป็นมืออาชีพของ ดร. ซ่งอย่างไรดี ขนาดเผชิญหน้ากับเรื่องพิลึกพิลั่นสุดสยองแบบนี้เขายังจดจ่อกับคดีได้อีกเหรอ
หมอโจวผู้เชื่อมั่นในวิทยาศาสตร์ยอมศิโรราบให้แก่ ดร. ซ่งเช่นกัน
เมิ่งจ้งลูบหน้า ดึงตัวเองออกจากความแตกตื่นช้าๆ เขาแสดงความเห็นที่ขัดแย้งกัน “ในเมื่อสองมิติถูกตัดขาดออกจากกันแล้วทำไมเจียงเข่อเข่อถึงถูกจับไปขังได้ เพราะอะไรอยู่ดีๆ ศพของเธอถึงโผล่ออกมา ฉันรู้สึกว่าสองมิตินี้จะต้องมีทางเชื่อมต่อกันแน่นอน”
ซ่งรุ่ยผงกศีรษะ ยอมรับคำพูดของเขา
ฟั่นจยาหลัวเสริม “คนที่สร้างมิตินี้มีอำนาจในการเปิดทางเชื่อมต่อได้ตามต้องการ”
“อาจารย์ฟั่นครับ คุณเปิดทางเชื่อมต่อได้มั้ย” ซุนเจิ้งชี่รีบถาม
“ผมทำไม่ได้” ฟั่นจยาหลัวส่ายหน้า “ผมทำได้แค่ฝืนจับมิตินี้ไว้เพื่อดึงมันให้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง การบีบคั้นกับการปะทะกันของสองมิติและสองสนามแม่เหล็กส่งผลให้มิติที่ถูกสร้างขึ้นนี้เปราะบางมากขึ้น มันถึงพัง ผมเปิดทางเชื่อมไม่ได้ ทำได้แค่ระเบิดพลังเพื่อเคลื่อนย้ายอย่างการใส่คนเข้าไปหรือเอาตัวออกมาเท่านั้น”
ซุนเจิ้งชี่เข้าใจ แต่เขารู้ดีมากว่าพลังอำนาจของอาจารย์ฟั่นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แล้วคนที่สามารถสร้างมิติอื่นขึ้นมาจะเก่งเหมือนกันหรือเปล่า คำตอบคือแน่นอน แต่การดึงของอาจารย์ฟั่นทำให้มิติของฝ่ายตรงข้ามคงตัวไว้ได้ไม่ถึงสี่นาที
ตอนนี้ผู้จัดการคอนโดฯ ที่ดูแคลนฟั่นจยาหลัวมาโดยตลอดเปลี่ยนท่าทีมาเป็นเคารพยกย่อง ประจบประแจง “อาจารย์ฟั่นครับ ต้องลำบากอาจารย์ฟั่นแล้ว! เมื่อกี้ที่คุณบอกว่ามิตินั้นถล่มมันหมายความว่ายังไง หมายความว่าคอนโดฯ เราจะไม่มีเรื่องน่ากลัวแบบนี้อีกใช่หรือเปล่าครับ”
ฟั่นจยาหลัวทำลายความหวังของเขาอย่างไร้น้ำใจ “ผมไม่กล้ารับประกันเพราะยังจับตัวฆาตกรไม่ได้ เขามีอำนาจในการสร้างมิติทับซ้อนในทุกที่ ความเป็นไปได้ในการโยนระเบิดสองลูกเข้าไปในหลุมเดียวกันยังจะสูงเสียกว่า”
เมื่อเห็นเหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผากผู้จัดการคอนโดฯ ชายหนุ่มจึงพูดเสริมว่า “แต่เรายังไม่รู้แรงจูงใจของฆาตกร เขาอาจมีความแค้นกับคุณเจียงเข่อเข่อ เมื่อฆ่าเธอตายแล้วเขาอาจหยุดอยู่แค่นี้”
ผู้จัดการคอนโดฯ ระบายลมหายใจออกมาช้าๆ โค้งตัวเพื่อเป็นการขอบคุณและชดใช้ความผิดด้วยความจริงใจ ท่าทีถ่อมตัวในเวลานี้ต่างจากความเย่อหยิ่งในตอนแรกราวฟ้ากับเหว
หลินเนี่ยนเอินกับหลินเนี่ยนฉือที่วางท่าสูงส่งแบบผู้สืบทอดของสำนักเต๋าเก่าแก่กลายเป็นส่วนเกินที่ถูกทุกคนมองผ่าน
หลินเนี่ยนฉือมองฟั่นจยาหลัว สีหน้าไม่น่าดูอย่างที่สุด หลินเนี่ยนเอินเขย่าแขนเสื้อเธอ ปลอบเสียงเบา “ศิษย์พี่หญิงอย่าคิดมากเลย พี่ก็รู้ว่าฟั่นจยาหลัวเป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่มาเกือบสองร้อยปี เป็นจอมเวทที่เก่งที่สุดในรุ่นของท่านปรมาจารย์ พี่เพิ่งจะอายุเท่าไหร่ การที่พี่สู้เขาไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดา”
หลินเนี่ยนฉืออยากยิ้ม แต่กลับโค้งมุมปากไม่ขึ้น
ผู้จัดการคอนโดฯ หยิบเช็คมูลค่าสองล้านส่งให้พวกเขาอย่างเป็นมิตรและกล่าวคำขอบคุณ แต่ความจริงใจในดวงตากลับดูเสแสร้งมาก ความเสียใจในใจเขารุนแรงจนไม่อาจปิดบัง หลินเนี่ยนฉือจึงสามารถใช้จิตสัมผัสได้อย่างง่ายดาย เขาอาจจะกำลังคิดว่าเสียเงินไปตั้งเยอะ แต่กลับเชิญมาได้แค่นักพรตเถื่อนไร้ประโยชน์สองคน การค้านี้ขาดทุนป่นปี้แล้วจริงๆ
ความเย่อหยิ่งของหลินเนี่ยนฉือทำให้เธอไม่สามารถรับเช็คใบนี้ได้ แต่หลินเนี่ยนเอินกลับรับมันมาอย่างเห็นว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เนื่องจากที่เขาเห็นคือศิษย์พี่หญิงออกแรงแล้ว ใช้จิตสัมผัสความจริงได้ แม้จะไม่ใช่ทั้งหมดแต่ก็มีส่วนช่วยทางตำรวจกับผู้จัดการคอนโดฯ การรับเงินก้อนนี้จึงเป็นเรื่องสมควร
หลินเนี่ยนฉือถลึงตาใส่เขาอย่างตำหนิ หลินเนี่ยนเอินรีบกระซิบ “กลับไปเราค่อยเอาไปบริจาคสร้างกุศลกันสักครึ่งหนึ่ง”
หลินเนี่ยนฉือขัดเขาไม่ได้ ทำได้แค่ปล่อยผ่าน แต่ใจกลับเหมือนมีหินยักษ์กดทับ รู้สึกแย่มาก
เสร็จเรื่องจากพวกเขาแล้วผู้จัดการคอนโดฯ เตรียมเช็คมูลค่าสองล้านอีกใบไปมอบให้ฟั่นจยาหลัวอย่างพินอบพิเทา รอยยิ้มบนหน้ามีความจริงใจและกระตือรือร้น
ทว่าฟั่นจยาหลัวกลับไม่รับเช็ค เขาพูดง่ายๆ “ผมเป็นที่ปรึกษาของทางตำรวจ การสืบหาความจริงเป็นหน้าที่ของผม ถ้าจะรับเงินเดือนผมต้องรับจากกรมตำรวจ” เขาเดินเข้าไปในลิฟต์ พูดคุยกับซ่งรุ่ยและพวกเมิ่งจ้งด้วยเสียงเบา ท่าไม่รับเงินดูนุ่มนวลแต่หนักแน่น
ผู้จัดการคอนโดฯ ไม่ได้รู้สึกดีใจที่ได้เซฟเงินก้อนนี้เลย ตรงข้ามเขาอยากดึงหูตัวเองมาก แม่งเอ๊ย ตอนผู้บริหารให้เขาหาต้าซือมาปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ทำไมเขาถึงมองข้ามร่างทรงวิญญาณคนดังในอินเตอร์เน็ตนะ ต้องโทษที่ภาพลักษณ์ซึ่งบรรดาชาวเน็ตกับกระแสสร้างไว้ให้อีกฝ่ายมันแย่เกินไปทำให้ผู้จัดการคอนโดฯ เข้าใจว่าพวกคนที่ดังอยู่ในอินเตอร์เน็ตล้วนเป็นพวกหลอกลวง ไม่เก่งจริง คิดไม่ถึงว่าอาจารย์ฟั่นคนนี้จะเป็นเพชรตัดทองที่อยู่ท่ามกลางพวกไม่เอาไหน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็เอาอยู่!
ราชการก็ราชการ คนที่พวกเขาเชิญมาต้องไม่เลวแน่ๆ พอคิดได้แบบนี้ผู้จัดการคอนโดฯ ก็ทำได้แค่แอบด่าในความไม่รู้ประสีประสา ตาไม่มีแววของตัวเอง
หลินเนี่ยนฉือที่ถูกเขาทอดทิ้งอยู่ด้านข้างเห็นท่าทางนิ่งๆ ของฟั่นจยาหลัวแล้วเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง ทั้งแดงทั้งเจ็บ หลินเนี่ยนเอินที่รับเอาเช็คมาโดยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ตอนนี้ถึงเพิ่งรู้สึกว่าเช็คบางๆ แผ่นนี้ร้อนลวกมือ
“ฟั่นจยาหลัวต้องจงใจแน่! เขาแอ็กท่าบริสุทธิ์สูงส่งเพื่อโยนความเลวร้ายใจแคบมาให้เรา”
“พอแล้ว เลิกพูดเถอะ ไปกัน”
หลินเนี่ยนฉือก้มหน้าเดินจากไปอย่างเร็วๆ หลินเนี่ยนเอินรีบตาม ตอนเดินไปถึงประตูเขาเห็นว่าข้างๆ มีถังขยะ ชายหนุ่มจึงรีบฉีกเช็คแผ่นนั้นให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วโยนทิ้ง
“มา เรามาดูรูปที่ผมถ่ายกัน” ซ่งรุ่ยส่งรูปในกล้องเข้าไปในมือถือแล้วแชร์เข้ากรุ๊ป
เมิ่งจ้งพยักพเยิดหน้าให้ซุนเจิ้งชี่ “ด็อกเตอร์ซ่งถ่ายรูปด้านข้างในลิฟต์ไม่ได้ เสี่ยวซุน นายไปดูที่ห้องควบคุมซิว่ากล้องวงจรปิดถ่ายได้มั้ย”
“ครับผม!” ซุนเจิ้งชี่วิ่งไปอย่างเร็ว
ทุกคนก้มหน้าดูมือถือของตัวเอง เงียบ ไม่พูด ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามิติทับซ้อนที่อาจารย์ฟั่นค้นออกมาคือที่กักขังเจียงเข่อเข่อจนตาย แต่กลับมีปริศนาใหญ่กว่าเดิมโผล่ออกมาคือคนที่ขังเธอไว้คือใคร เพราะอะไร ทำได้ยังไง ทางตำรวจจะสามารถตรวจสอบตัวตนของเขาเพื่อตามจับและปิดคดีได้หรือไม่
“ฉันคิดว่าเราน่าจะเริ่มตรวจสอบคนรู้จักของเจียงเข่อเข่อ โดยเน้นไปที่คนที่เคยมีความแค้นกับเธอ” เมิ่งจ้งวิเคราะห์
“นี่เป็นเรื่องเบสิกที่สุด” ซ่งรุ่ยผงกศีรษะตอบรับ
“งั้นฉันจะโทรหาจวงเจินเดี๋ยวนี้ ให้เขาเช็กคนที่อยู่รอบตัวเจียงเข่อเข่อ” เมิ่งจ้งหยิบมือถือออกมา
ฟั่นจยาหลัวเดินเข้าไปในลิฟต์ นั่งขัดสมาธิบนพื้นมันวับ หลับตาคิดหนัก เขาเค้นความทรงจำทุกอย่างที่สัมผัสได้จากห้วงมิติที่แตกสลายไปแล้ว อธิบายเสียงเนิบ “ความประสงค์ร้ายของเขาไม่มีความแค้นที่เกิดจากรักไม่สมหวัง”
ทุกคนที่กำลังคุยกันหยุดกิจกรรมที่ทำอยู่ แม้แต่เจ้าหน้าที่เทคนิคจากหน่วยพิสูจน์หลักฐานกับหมอโจวก็ยังมองมาที่ชายหนุ่ม ดวงตาเป็นประกาย เฝ้ารอคำตอบจากเขาอย่างกระตือรือร้น การได้เห็นความมหัศจรรย์ที่คนคนนี้สร้างขึ้นทำให้พวกเขาบังเกิดความเชื่อถือ ถ้ารู้ก่อนว่าอาจารย์ฟั่นตัวจริงเป็นแบบนี้ ตอนที่เขาถูกโจมตีในอินเตอร์เน็ต พวกเขาจะต้องสู้สุดชีวิตเพื่อปกป้องอีกฝ่าย ไม่ใช่แอบดูแล้วขำขันอยู่เงียบๆ
ซ่งรุ่ยจดลงสมุด พูดเสียงขรึม “เพราะฉะนั้นตัดความเป็นไปได้เรื่องถูกฆ่าเพราะความรักออก”
พวกเมิ่งจ้งถึงกลับมาจดอย่างเพิ่งได้สติ
ฟั่นจยาหลัวพูดเสียงเนิบ “…และไม่ใช่ความเกลียดที่เกิดจากความแค้น”
ซ่งรุ่ย “ตัดเรื่องถูกฆ่าเพราะความแค้นออก”
“ไม่มีความละโมบเรื่องผลประโยชน์”
ซ่งรุ่ย “ตัดเรื่องถูกฆ่าเพราะเงินหรือจ้างวานฆ่าออก”
ทุกคนจดกันแกรกๆ
เมิ่งจ้งนิ่งเงียบ “…”
แม้แต่การคลี่คลายคดียังรู้ใจกันขนาดนี้ สองคนนี้ยิ่งดูยิ่งมีปัญหา!
ฟั่นจยาหลัวลืมตา นิ่วหน้า “เจตนาฆ่าของเขาเป็นความชั่วล้วนๆ เป็นความปรารถนาที่จะใช้ความทุกข์ทรมานของคนอื่นมาหล่อเลี้ยงและสร้างความหรรษา ตอนที่ความทุกข์ทรมานของคุณเจียงเข่อเข่อพุ่งขึ้นถึงขีดสุด ผมสัมผัสได้ว่าความสุขของฆาตกรก็พุ่งขึ้นถึงขีดสุดเช่นกัน”
ซ่งรุ่ยเงียบไปพักใหญ่ก่อนบอก “งั้นแรงจูงใจในการฆ่าคนของเขาคือเพื่อตอบสนองความอยากฆ่าของตัวเองล้วนๆ แบบนี้เขามีสิทธิ์ก่อคดีซ้ำสูงมาก เพราะพอความสุขกับความพอใจที่เกิดจากการฆ่าคนหมด เขาจะรู้สึกว่างเปล่ากว่าเดิม และความว่างเปล่าจะกระตุ้นให้เขาก่อคดีร้ายแรงประเภทนี้ต่อไป”
ซ่งรุ่ยถอดแว่น เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงสุขุม “เขามีสิทธิ์กลายเป็นฆาตกรต่อเนื่อง”
พวกหูเหวินเหวินสูดลมหายใจเย็นๆ เข้าปอด สวรรค์ แค่ฆาตกรที่สร้างอีกมิติหนึ่งขึ้นมาได้ก็น่ากลัวมากแล้ว ถ้าเขาฆ่าคนเพื่อเอาสนุกอีก แล้วต่อไปเขาจะก่อคดีหฤโหดอีกมากแค่ไหน วิธีก่อคดีประเภทนี้จะกันก็กันไม่ได้ ตำรวจอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้!
เมิ่งจ้งถามอย่างไม่กล้าเชื่อ “นายแน่ใจ?”
“ฉันเดาเอา” ซ่งรุ่ยสงวนคำตอบ
เมิ่งจ้งหันไปมองอาจารย์ฟั่น
ฟั่นจยาหลัวคิดก่อนตอบ “ผมบอกได้แค่ว่าเขาสนุกกับเรื่องนี้”
ประโยคนี้มีค่าเท่ากับการสนับสนุนความคิดเห็นของซ่งรุ่ยโดยดุษณี เมิ่งจ้งปวดหัว เขานวดขมับไม่หยุด ไตร่ตรองแผนการสารพัดรูปแบบ แม้อาจารย์ฟั่นจะใช้จิตสัมผัสถึงมิติที่ฆาตกรสร้างขึ้นได้ แต่เมืองหลวงใหญ่โตขนาดนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการจะให้อีกฝ่ายตรวจค้นไปทีละแห่งๆ เป็นเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทร ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่มีทางรู้เลยว่าคนร้ายจะก่อคดีอีกตอนไหน และเบาะแสที่ฆาตกรทิ้งไว้อาจหายไปตอนที่มิติทับซ้อนพัง เมื่อทางตำรวจรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวกับฆาตกรไม่ได้ อีกฝ่ายก็เหมือนอยู่ในทุกที่ และก็เหมือนไร้ตัวตน แล้วแบบนี้จะให้ตำรวจสืบหายังไง
เมิ่งจ้งคิดแล้วคิดอีก ในที่สุดเขาก็เอ่ยถามปัญหาที่รู้สึกว่าตึงมือที่สุดออกมา “พวกคุณคิดว่าฆาตกรเป็นตัวอะไร มนุษย์ ผี หรือเทพเซียน?”
ฟั่นจยาหลัวเงียบไปพักหนึ่งก่อนส่ายหน้า “ไม่ใช่เทพแน่นอน แต่ตัวเลือกอีกสองอย่างมีสิทธิ์”
เมิ่งจ้งสบถเบาๆ ปวดหัวหนักขึ้น
เจ้าหน้าที่ที่ทำคดีนี้อีกหลายคนรวมไปถึงผู้จัดการคอนโดฯ ต่างทำหน้าตกใจในลักษณะต่างๆ คนที่ดึงคนเข้าไปในห้วงมิติน่ากลัวแบบนั้นได้ ไม่ว่าจะมองยังไงก็มีสิทธิ์เป็นผีมากกว่า!
ซุนเจิ้งชี่รีบวิ่งกลับมา เขาแชร์คลิปจากกล้องวงจรปิดเข้ากลุ่ม น้ำเสียงตื่นเต้น “กล้องวงจรปิดถ่ายภาพข้างในประตูได้ครับ ชัดมาก”
ทุกคนกดเปิดดู เห็นว่าสองด้านของประตูลิฟต์เต็มไปด้วยรอยเลือด แผ่นเล็บเกลื่อนพื้น นั่นคือสิ่งที่เจียงเข่อเข่อทิ้งไว้ตอนสู้สุดชีวิตเพื่อแงะประตูหนีออกไป นอกจากคราบสึกกร่อน คราบเลือด เล็บ รอยเท้าเปื้อนเลือดภายในลิฟต์แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก แต่กลับมากพอให้รู้สึกพรั่นพรึง
เมิ่งจ้งแชร์คลิปให้เจ้าหน้าที่เทคนิคจากหน่วยพิสูจน์หลักฐาน สั่งว่า “เอากลับไปวิเคราะห์รอยเท้า ดูซิว่านอกจากเจียงเข่อเข่อแล้วยังมีคนอื่นเข้าไปอีกหรือเปล่า”
เจ้าหน้าที่เทคนิคลอบมองฟั่นจยาหลัวแวบหนึ่ง รวบรวมความกล้าเพื่อพูดว่า “รองผู้อำนวยการเมิ่งครับ ผมขอเข้ากลุ่มสืบสวนของพวกคุณด้วยได้มั้ย ต่อไปพอหน่วยพิสูจน์หลักฐานได้ผลการตรวจสอบออกมาแล้วผมจะได้แจ้งคุณทันที” อันที่จริงจุดประสงค์หลักของเขาคืออยากได้วีแชตของอาจารย์ฟั่น
หมอโจวก็รีบเบียดเข้ามาร้องบอกด้วย “ขอผมเข้าร่วมอีกคน” เขาอยากค้นคว้าเรื่องการเปลี่ยนสถานะควอนตัมกับอาจารย์ฟั่น เจียงเข่อเข่อไม่ใช่แค่เหยื่อ แต่เธอยังเป็นแมวของชโรดิงเจอร์ด้วย
ผู้จัดการคอนโดฯ เดินเข้ามาแบบเหนียมๆ “ผมขอเข้ากลุ่มของพวกคุณด้วยสิครับ เผื่อว่าต่อไปพวกคุณอยากให้ผมช่วยตรวจสอบจะได้ติดต่อกันสะดวก” ถ้าได้วิธีติดต่ออาจารย์ฟั่นไปให้ผู้บริหาร การที่เขาจะได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเงินเดือนย่อมอยู่ไม่ไกล! และในเมื่อบนโลกมีเรื่องลี้ลับแบบนี้ เขายิ่งต้องผูกไมตรีกับผู้สูงส่งคนนี้ไว้
เมิ่งจ้งดึงเจ้าหน้าที่เทคนิคกับหมอโจวเข้ากลุ่ม และดีดผู้จัดการคอนโดฯ ออก ใครจะคิดเข้ามาในกลุ่มสืบสวนของพวกเขาก็เข้าได้หรือ เห็นเป็นตลาดสดหรือไงกัน
ซ่งรุ่ยเรียบเรียงความคิดก่อนสั่ง “เสี่ยวหู ของที่ฉันให้เธอเตรียมไว้เอามาแล้วหรือยัง เรามาจำลองสถานที่เกิดเหตุกันหน่อย”
“เรียบร้อยค่ะด็อกเตอร์ซ่ง ฉันจะจัดวางให้เดี๋ยวนี้” หูเหวินเหวินรีบหิ้วกระเป๋าหนังงูหนึ่งใบเดินเข้าไปในลิฟต์เพื่อจัดวางกระเป๋าสะพาย ลิปสติก ปากกาลูกลื่น ผ้าอนามัยไว้ตรงตำแหน่งตอนที่พบศพทีละชิ้นๆ ซ่งรุ่ยหยิบรูปถ่ายออกมาเปรียบเทียบแล้วค่อยๆ เดินไปตรงจุดที่เจียงเข่อเข่อเคยนั่งแน่นิ่งเพื่อนั่งในท่าเดียวกันกับเธอ เขาแหงนหน้ามองไปยังตำแหน่งที่หญิงสาวมองตอนก่อนตายด้วยความสูงและองศาเดียวกัน สุดท้ายเขาพบอินเตอร์คอมฉุกเฉินหนึ่งเครื่อง
ที่แท้ก่อนตายเธอเอาแต่จดจ้องอินเตอร์คอมเครื่องนี้ด้วยความหวังว่าคนที่ขังเธอจะบังเกิดความรู้สึกเมตตาสงสาร แล้วปล่อยตัวเองออกไป เธอเคยทั้งร้องตะโกนขอความช่วยเหลือครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สิ่งที่ได้กลับมีเพียงเสียงหัวเราะเยาะหยันอย่างเย็นชา
“ฆาตกรติดต่อกับผู้ตายผ่านเครื่องนี้ เสียงของเขาดังออกมาจากตรงนี้” ซ่งรุ่ยชี้ไปที่อินเตอร์คอม
ฟั่นจยาหลัวชี้ตำแหน่งที่อยู่เหนืออินเตอร์คอมขึ้นไป พูดเสริม “เขามองคุณเจียงเข่อเข่อผ่านทางกล้องวงจรปิดตัวนั้น นั่นคือดวงตาของเขา”
ทั้งสองคนสรุปออกมาพร้อมกัน “ต้องอาศัยเทคโนโลยีเพื่อเฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวของผู้ตายเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่เทพ ไม่ใช่ผี แต่เป็นมนุษย์ที่บังเอิญได้อำนาจพิเศษมาคนหนึ่ง”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นข่าวดีสำหรับฝ่ายตำรวจ ผู้จัดการคอนโดฯ ที่แอบฟังอยู่ด้านข้างเองก็พลอยโล่งอก
“ตามไปตรวจสอบกับผู้ให้บริการที่อยู่อีกฝั่งของอินเตอร์คอม อาจเจอตัวฆาตกร” ซ่งรุ่ยให้เบาะแสที่สำคัญที่สุด
เมิ่งจ้งส่งซุนเจิ้งชี่ไปตรวจสอบทันที
ในเวลาเดียวกันนี้เสี่ยวหลี่โทรมา น้ำเสียงตื่นเต้น “รองผู้อำนวยการเมิ่งครับ ผมรู้แล้วว่าเจียงเข่อเข่อหายตัวไปได้ยังไง! ผมจะส่งคลิปจากกล้องวงจรปิดให้คุณเดี๋ยวนี้!”
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 26 มี.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.