X
    Categories: everYPsychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 6 บทที่ 220 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 6

ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)

แปลโดย : ปราณหยก

ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง ปัญหาในครอบครัว

อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ การข่มขืน

การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว

การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่างกาย

การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

 

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

บทที่ 220 เหยื่อรายที่สองปรากฏ

คลิปที่เสี่ยวหลี่ส่งมาสั้นมาก แค่หนึ่งนาทีสามสิบวินาทีเท่านั้น ช่วงเวลาในคลิประบุว่าเป็นหนึ่งทุ่มสี่สิบแปดนาทีของเมื่อหกวันก่อน เป็นช่วงที่มีคนเข้าออกคอนโดฯ เยอะที่สุด คนหนึ่งกลุ่มลากสังขารอันเหนื่อยล้าหลังเลิกงานเดินเข้าลิฟต์ และเจียงเข่อเข่อก็อยู่ในกลุ่มพวกเขา ในมือหิ้วถุงพลาสติกสีดำหนึ่งใบ

คนในลิฟต์เยอะมาก คำนวณคร่าวๆ ได้ประมาณสิบสามถึงสิบสี่คน ทันทีที่ประตูเปิดพวกเขาก็แย่งกันเข้าไปข้างใน เจียงเข่อเข่อตัวผอมเล็กมาก พอเบียดอยู่ในกลุ่มคนแล้วก็มองไม่เห็น หลังเข้าลิฟต์หญิงสาวถูกชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำสองคนบังมิดเห็นแค่กระหม่อมสีดำเป็นจุด

ถ้าเสี่ยวหลี่ไม่ใช้ลูกศรสีแดงชี้ตำแหน่งที่เธออยู่แล้วให้ดูคลิปกันอย่างเดียว คาดว่าคงไม่มีใครเห็นเธอ ลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นไม่หยุด แต่ยังไม่ทันถึงชั้นที่หมายของคนในลิฟต์ เส้นผมสีดำที่อยู่ใต้ลูกศรสีแดงก็หายไปใต้หนังตาของทุกคน

“เมื่อกี้ฉันตาลายไปหรือเปล่า” เมิ่งจ้งชูมือถือตัวเอง “แค่สิบแปดวินาทีเจียงเข่อเข่อก็หายไปแล้วเหรอ”

พวกหูเหวินเหวินผงกศีรษะทั้งที่หน้าซีดเผือด “รองผู้อำนวยการเมิ่งคะ คุณไม่ได้ตาลาย เธอหายไปจริงๆ!”

เมิ่งจ้งกัดฟัน ดูคลิปต่อ

ลิฟต์ไปถึงชั้นที่ทุกคนกดทีละชั้นๆ มีคนออกไปตลอด ที่ว่างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้พื้นที่แคบๆ ดูคล้ายจะกว้างขึ้น ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำสองคนที่บังเจียงเข่อเข่อออกไปไล่ๆ กัน เผยให้เห็นพื้นที่ด้านหลังของพวกเขาว่าตรงนั้นมีแต่ผนังโลหะเยียบเย็น ไม่มีอย่างอื่น ตั้งแต่ต้นจนจบเจียงเข่อเข่อไม่ได้ออกจากลิฟต์เลย แต่เธอกลับหายตัวไป ในขณะที่คนที่โดยสารลิฟต์ตัวเดียวกับเธอไม่ได้สังเกตเห็นปรากฏการณ์น่าสะพรึงนี้

พวกเขากลับบ้าน กินข้าว ดื่มน้ำ ทั้งที่บนโลกมีใครคนหนึ่งหายตัวอย่างลึกลับเงียบเชียบไปตลอดกาล

พอดูคลิปจบหูเหวินเหวินก็กอดตัวเองแน่น ถ้าเธอเจอเรื่องแบบนี้จะน่ากลัวแค่ไหนกัน ลองคิดดูสิว่าข้างตัวคุณมีคนแบบนี้แอบซ่อนอยู่ เขาสามารถจับคุณไปได้ตลอดเวลา สามารถขังคุณไว้เงียบๆ จนตาย แล้วยังซ่อนตัวอยู่หลังกล้องวงจรปิดเพื่อเฝ้าดูคุณดิ้นรนด้วยความสิ้นหวัง จากนั้นก็ส่งเสียงมาให้ความหวังคุณในบางครั้งเพื่อผลักคุณไปสู่หุบเหวแห่งความสิ้นหวังอย่างรุนแรง

ถ้าบนโลกจะมีทัณฑ์ทรมานที่สยองกว่าการตัดมือและเท้าก่อนตัดศีรษะจริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเป็นวิธีนี้แน่ เพราะนี่ไม่ใช่แค่การทำร้ายทางร่างกาย แต่ยังเป็นการทำลายจิตใจด้วย

หูเหวินเหวินยิ่งคิดยิ่งหวาดผวา ส่งเสียงครางอย่างอดไม่ได้ “ฆาตกรรายนี้เป็นคนจริงเหรอคะ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเขาไม่มีความเป็นคนสักนิดเลย!”

ซ่งรุ่ยพูดประโยคที่ทำให้หญิงสาวยิ่งพรั่นพรึง “มีแต่มนุษย์ที่ทำเรื่องไร้มนุษยธรรมแบบนี้ได้”

ถูกต้อง มีแต่มนุษย์ที่สามารถลบล้างความเป็นมนุษย์ได้ และมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในโลกที่หาความสำราญจากการเข่นฆ่า พอคิดถึงเรื่องนี้ทุกคนก็คิดหนัก

“คลิปนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าเจียงเข่อเข่อถูกขังในมิติทับซ้อนในลิฟต์เมื่อหกวันก่อน แต่นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไร” ซ่งรุ่ยชี้ไปที่รูปอีกใบ “ที่ผมสนใจมากกว่าคือพวกเล็บที่อยู่บนพื้น พวกคุณคิดดูสิว่าศพของเจียงเข่อเข่อกับข้าวของของเธอถูกฆาตกรปล่อยออกมาจากห้วงมิติทับซ้อน เก็บไว้แต่เล็บเปื้อนเลือดพวกนี้ มันเป็นเพราะอะไร คงไม่ใช่เพราะเขาลืมหรอกใช่มั้ย ถ้าไม่ลืม แล้วเขาตั้งใจจะเก็บเล็บไว้ทำอะไร”

เมิ่งจ้งพูดเสียงเนิบออกมาสามคำ “บำเหน็จศึก”

พวกหูเหวินเหวินตาสว่าง รู้สึกหนาวเยือกไปทั้งตัว

ซ่งรุ่ยผงกศีรษะ “ฉันก็เดาว่านี่คือบำเหน็จศึกของเขา เขาอาจกำลังเตรียมเข้าไปในห้วงมิตินั้นเพื่อเก็บรวบรวมเล็บกลับไปเป็นสมบัติ”

ฟั่นจยาหลัวนิ่วหน้า “แต่ห้วงมิตินั้นถูกผมทำลายไปแล้ว เขาน่าจะรู้ เท่ากับเขามาไม่ได้อีก ดูเหมือนผมจะทำลายโอกาสในการจับคนร้ายของพวกคุณ”

ซ่งรุ่ยรีบปลอบ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ถ้าไม่ได้คุณช่วยหามันออกมา เราไม่มีทางเห็นสภาพด้านใน และเดาความคิดของฆาตกรไม่ออก ยิ่งไม่มีทางอยู่ที่นี่เพื่อเฝ้าตอรอกระต่าย แล้วยังจะคุยเรื่องจับเขาได้ยังไง สองเรื่องนี้ไม่เป็นเหตุเป็นผลกันเลย คุณอย่าคิดมากสิ การที่คุณหาห้วงมิติออกมาทำให้เรามองเห็นหน้าตาทั้งหมดของคดีนี้และคลำเจอเบาะแส”

เขายื่นมือไปตบไหล่ฟั่นจยาหลัวทำให้สีหน้าเคร่งเครียดของชายหนุ่มคลายลง

เมิ่งจ้งนิ่งอีกครั้ง “…”

สองคนนี้ต้องมีซัมธิงกันแน่ๆ!

ซ่งรุ่ยเรียบเรียงการคาดเดาของตัวเองออกมาเป็นตัวอักษรแล้วแชร์เข้าไปในกลุ่มสอบสวน พวกจวงเจินที่ออกไปทำการสอบปากคำข้างนอกทยอยตอบกลับมา

 

‘ได้รับแล้ว’

 

ผลการตรวจสอบผู้คนรอบตัวเจียงเข่อเข่อออกมาเร็วมาก เนื่องจากหญิงสาวไม่มีแฟน วันๆ เอาแต่ทำงานอยู่ที่บ้าน ไม่มีเพื่อนที่สนิทกันมากๆ และยิ่งไม่มีปัญหาเรื่องงานกับใคร เธอเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวเป็นพิเศษ สังคมแคบจนน่าสงสาร จินตนาการได้ยากมากว่าจะมีคนเกลียดแค้นเธอจนถึงขั้นปล่อยให้เธออดตายได้

เมื่อเบาะแสขาดลงที่เธอ การคาดเดาจากสิ่งรอบตัวของซ่งรุ่ยกับฟั่นจยาหลัวจึงได้รับการพิสูจน์ว่าเธออยู่ผิดเวลา อยู่ผิดสถานที่ จึงถูกเลือกจากฆาตกร

ซ่งรุ่ยพิจารณาผลการตรวจสอบที่จวงเจินส่งมาอย่างละเอียดแล้วให้เบาะแสใหม่อีกเบาะแส “พวกนายสังเกตมั้ยว่าเจียงเข่อเข่อเป็นเหยื่อการถูกกักขังจนตายในอุดมคติ สังคมเธอแคบ นิสัยเก็บตัว ต่อให้หายตัวไปหลายวันก็ไม่มีใครสังเกตเห็น ทำให้ฉันสงสัยว่าฆาตกรไม่ได้สุ่มเลือกเธอ แต่เขารู้จักเธอดีประมาณหนึ่ง และน่าจะเฝ้าดูเธอมาสักพักแล้ว”

“ฉันจะให้เสี่ยวหลี่เช็กกล้องวงจรปิดในช่วงก่อนหน้านั้นเดี๋ยวนี้ ดูว่ามีคนน่าสงสัยตามสะกดรอยเจียงเข่อเข่อหรือเปล่า” เมิ่งจ้งเรียบเรียงข้อมูลพลางบอก

“อืม ตอนนี้เบาะแสที่เราให้พวกนายได้มีแค่นี้ พวกนายลองตามไปตรวจสอบดู มีอะไรค่อยติดต่อเรา” ซ่งรุ่ยมองฟั่นจยาหลัว ความหมายคือคุณอยากเสริมอะไรอีกไหม

ฟั่นจยาหลัวส่ายหน้าเอ่ย “เรากลับบ้านกันเถอะครับ”

เยี่ยม สองคนนี้อ้าปากหุบปากก็มีแต่เรา แถมยังอยู่ด้วยกันแบบเปิดเผย แบบนี้เท่ากับตีตราจองกันแล้ว! ดวงตาของเมิ่งจ้งสั่นระริก ความคิดสับสน แต่กลับได้ยินซ่งรุ่ยพูดอย่างเป็นธรรมชาติ “กลับบ้านเวลานี้ไม่ค่อยเหมาะ เพราะพอกลับไปได้ไม่นานต้องวิ่งออกมารับเจ้าหนูน้อยหลังเลิกเรียนอีก ไปหาที่นั่งข้างนอกฆ่าเวลากันก่อนดีกว่า”

ฟั่นจยาหลัวผงกศีรษะ “ก็ได้ครับ งั้นไปให้อาหารเป็ดที่สวนสาธารณะกัน”

ซ่งรุ่ยหัวเราะเสียงทุ้มเบา น้ำเสียงแฝงนัยที่อธิบายได้ยาก “ได้ วันนี้ผมจะซื้อเม็ดข้าวโพดให้คุณเป็นถุงเลย”

ริมฝีปากของฟั่นจยาหลัวเผลอยกสูงขึ้นเห็นได้ชัดว่าดีใจมาก ทั้งคู่เดินคุยเรื่องสัพเพเหระกันพลางเดินห่างออกไปท่าทางเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา

หูเหวินเหวินมองเงาแผ่นหลังของพวกเขาแล้วทอดถอนใจ “ฉันเข้าใจว่าอาจารย์ฟั่นกับด็อกเตอร์ซ่งเป็นคนสูงส่งเย็นชาเป็นพิเศษ คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะไปให้อาหารเป็ดที่สวนสาธารณะได้ด้วย ไว้วันหลังฉันจะไปบ้าง”

เมิ่งจ้งตบหน้าผาก สลัดความคิดเรื่องโบรแมนซ์พวกนั้นทิ้ง พูดเสียงหงุดหงิด “ให้อาหงอาหารอะไร สืบคดีให้กระจ่างก่อนค่อยคุย”

พวกเขาเพิ่งจะออกจากคอนโดฯ โรสโกลด์ซุนเจิ้งชี่ก็โทรมา น้ำเสียงแสนเสียดาย “รองผู้อำนวยการเมิ่งครับ สายของอินเตอร์คอมขาดไป ผมถามศูนย์ดูแลแล้ว หลายเดือนมานี้พวกเขาไม่ได้รับสายแจ้งว่าลิฟต์เกิดอุบัติเหตุเลย ชุมสายเอาบันทึกการโทรให้พวกเราดู ยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริงครับ”

เมิ่งจ้งปวดหัว “ก็ใช่ สายขอความช่วยเหลือของเจียงเข่อเข่อที่โทรจากมิตินั้นศูนย์ดูแลในมิตินี้รับไม่ได้หรอก มีแต่ฆาตกรที่ติดต่อได้”

ซุนเจิ้งชี่เดา “ก็น่าจะใช่ครับ”

เมิ่งจ้งเงียบไปพักหนึ่ง น้ำเสียงเหนื่อยล้า “งั้นเรากลับไปประชุมที่กรมก่อน สะสางคดีกันอีกรอบแล้วนายค่อยไปแจ้งคนอื่นๆ”

ซุนเจิ้งชี่รับคำอย่างแค้นใจแต่ไร้แรง

ยุ่งอยู่กว่าครึ่งวันเบาะแสทั้งหมดที่พวกเขาหาได้กลับขาดวิ่น ฆาตกรซุ่มซ่อนอยู่ในมุมที่ไม่มีใครหาพบเหมือนวิญญาณร้ายผลุบๆ โผล่ๆ วิธีก่อคดียิ่งพิสดาร ไม่ทิ้งรอยให้ตาม ด้วยเหตุนี้พวกตำรวจจึงกังขาข้อสรุปของ ดร. ซ่งกับฟั่นจยาหลัว…ฆาตกรเป็นมนุษย์จริงหรือ มนุษย์ทำอะไรแบบนี้ได้หรือ

ในเวลาเดียวกันฟั่นจยาหลัวกับซ่งรุ่ยที่นั่งอยู่ในรถก็กำลังถกปัญหานี้กัน

ซ่งรุ่ย “ฆาตกรน่าจะเป็นมนุษย์?”

“เป็นมนุษย์ครับ ผมไม่รู้สึกถึงไอหยินในห้วงมิติของเขา”

“พลังแบบนี้ประหลาดมาก มันเกี่ยวกับป้ายหยกที่คุณรวบรวมอยู่หรือเปล่า”

“ผมสัมผัสได้ถึงความปรารถนาสังหารที่รุนแรงของเขา และความปรารถนานี้น่าจะเป็นตัวการที่ทำให้เขามีพลังพิเศษ”

“เพราะฉะนั้นแปดเก้าในสิบส่วนคือเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับป้ายหยก?”

“ใช่ครับ”

“งั้นทำไมป้ายหยกถึงแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเยอะแยะแบบนี้”

“เพราะความกรุณาของเทพธิดาเจ๋อโจว” ฟั่นจยาหลัวมองออกไปนอกหน้าต่าง น้ำเสียงเคร่งขรึม “บางครั้งคุณเข้าใจว่าตัวเองทำกุศล แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่คุณทำส่งผลให้ทั้งโลกประสบกับหายนะแบบที่ไม่อาจจินตนาการได้”

เห็นอีกฝ่ายหลีกเลี่ยงคำถามของตน ซ่งรุ่ยจึงไม่ได้ซักให้ลึกไปกว่านั้น เขาถอนหายใจ “ผมเข้าใจความหมายของคุณ คุณอยากบอกว่าการทำความดีบางอย่างไม่ใช่การสร้างกุศล แต่อาจเป็นการสร้างบาป ตัวอย่างเช่นคุณช่วยคนเลวระยำคนหนึ่งไว้ พอเขารอดก็ไปฆ่าคนเป็นพันเป็นหมื่น หนี้ชีวิตของคนเป็นพันเป็นหมื่นเลยมาตกอยู่ที่คุณ”

“ความหมายประมาณนี้ครับ แต่บาปกรรมของเธอไปไกลกว่านั้น” ฟั่นจยาหลัวส่ายหน้า หลับตาอย่างเหนื่อยล้า

ในเมื่อเขาไม่อยากเล่า ซ่งรุ่ยก็ไม่ซัก

 

ถึงที่สุดแล้วคดีฆาตกรรมในลิฟต์กลายเป็นคดีแขวนค้าง ครึ่งเดือนผ่านไปการสืบสวนของตำรวจไม่มีความคืบหน้าว่าจะสามารถคลี่คลายคดีได้เลย ก่อนเจียงเข่อเข่อตาย ไม่มีคนน่าสงสัยสะกดรอยหญิงสาว ส่งผลให้เบาะแสเรื่องนี้ขาดหาย ดีที่เบื้องบนรู้ว่าคดีนี้ไม่ใช่คดีที่มนุษย์ธรรมดาจะสืบสาวให้กระจ่างได้ จึงไม่ได้กดดันหน่วยเฉพาะกิจและให้เน้นไปที่การปิดข่าวแทน

ผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ ตอนเมิ่งจ้งจวนเจียนล้มเลิกการสืบสวนแล้ว โทรศัพท์แจ้งความสายหนึ่งทำให้เขาตระหนักว่าสถานการณ์กำลังดำเนินไปในทิศทางที่เลวร้ายที่สุด เมื่อศพผู้หญิงหนึ่งคนไปโผล่ในลิฟต์ของคอนโดฯ แห่งหนึ่งอย่างเป็นปริศนาแบบเดียวกับเจียงเข่อเข่อคือดวงตาเบิกโพลงมองจ้องไปที่อินเตอร์คอมฉุกเฉินอย่างไม่ยอมแพ้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความโกรธแค้น

เมิ่งจ้งรีบเร่งไปยังสถานที่เกิดเหตุ พวกหมอโจวกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างศพเพื่อทำการตรวจสอบเบื้องต้น

เสี่ยวหลี่ถือแท็บเลตหนึ่งเครื่อง บอกว่า “รองผู้อำนวยการเมิ่งครับ นี่เป็นภาพที่กล้องวงจรปิดถ่ายไว้ได้ คุณดูก่อน ผมจะไปหาคลิปวันที่เธอหายตัวไป”

จวงเจินบอกอย่างเจนงาน “ผมจะไปตรวจสอบเรื่องกับผู้พักอาศัยในคอนโดฯ”

หมอโจวดึงเครื่องวัดอุณหภูมิตับออกจากศพ คำนวณอยู่พักหนึ่ง “เธอตายได้ประมาณสิบสองชั่วโมงขึ้นไป”

“เจียงเข่อเข่อตายได้วันกว่าถึงถูกปล่อยตัวออกมา เหยื่อรอบนี้ตายได้สิบสองชั่วโมงก็ถูกปล่อยตัวออกมาแล้ว ดูเหมือนฆาตกรจะใจร้อนขึ้น” เมิ่งจ้งวิเคราะห์

เสียงห้าวทุ้มของใครคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังของเขา “ไม่ใช่ใจร้อนแต่จัดเจน ทุกครั้งที่ฆ่าคน ฆาตกรจะมีประสบการณ์ เวลาที่ต้องเสียไปเลยสั้นลงเรื่อยๆ อีกอย่างเล็บเธอก็ไม่อยู่แล้ว” ซ่งรุ่ยที่สวมสูทเนี้ยบเดินมาที่หน้าลิฟต์ เขาชี้ไปที่มือเละเทะทั้งสองข้างของผู้ตาย

เมิ่งจ้งถามตามสัญชาตญาณ “ทำไมอาจารย์ฟั่นถึงไม่มากับนายด้วยล่ะ พวกนายสองคนเป็นเจียวไม่ห่างเมิ่ง เมิ่งไม่ห่างเจียว ไม่ใช่เหรอ”

ซ่งรุ่ยเลิกคิ้ว มองอีกฝ่ายด้วยแววตาแฝงนัยลึกซึ้ง

เมิ่งจ้งยกมือขึ้นตบปากตัวเอง รู้สึกผิดที่ปากพล่อย

ซ่งรุ่ยคอยให้เขาตบปากเสร็จแล้วก็หัวเราะเบาๆ “อาจารย์ฟั่นจอดรถอยู่ อีกเดี๋ยวก็มา”

ชั่วพริบตานั้นเมิ่งจ้งรู้สึกได้ว่าตัวเองตบปากเสียเปล่าแล้ว แม่งเอ๊ย ซ่งรุ่ยชอบแกล้งคนจริงๆ! แต่ตัวเขาที่เป็นแบบนี้ดูมีความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ฟั่นจยาหลัวเดินมาอย่างไม่เร็วไม่ช้า น้ำเสียงวิตกกังวล “คนคนนั้นกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องไปแล้วจริงๆ หรือครับ”

เมิ่งจ้งส่ายหน้า “นี่เพิ่งจะเป็นเหยื่อรายที่สอง ตอนนี้ยังบอกอะไรไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าผู้ตายรู้จักกับเจียงเข่อเข่อแล้วผูกใจเจ็บกับฆาตกรเหมือนกันหรือเปล่า เรายังไม่ได้เช็กภูมิหลังช่วงที่พวกเธอเรียนอยู่ บางทีแรงจูงใจของฆาตกรอาจซ่อนอยู่ในอดีตของพวกเธอก็ได้ สรุปคือมีโอกาสที่สองคดีนี้จะมีอะไรบางอย่าง ยังต้องคอยให้ผลการตรวจสอบออกมาก่อนถึงจะบอกได้”

จวงเจินเอาผลการตรวจสอบภูมิหลังมาให้อย่างรวดเร็ว เขาส่ายหน้า “ผู้ตายชื่อหลี่ว์เล่อ เป็นนักเขียนในอินเตอร์เน็ต นิสัยเก็บตัว สังคมแคบ ไม่มีศัตรูคู่แค้น และไม่เคยมีแฟน การไม่ออกจากบ้านสองสามเดือนเป็นเรื่องปกติ อย่างมากก็แค่ไปซื้อของใช้เล็กๆ น้อยๆ ที่มินิมาร์ตใต้ตึก เธอเป็นคนต่างถิ่น วิถีชีวิตไม่เคยเจอเจียงเข่อเข่อเลย”

ซ่งรุ่ยมองเมิ่งจ้ง ส่ายหน้า “การคาดเดาเมื่อครู่ของนายถูกปัดตกไปแล้ว หลี่ว์เล่อกับเจียงเข่อเข่อไม่เคยเจอกัน แสดงว่าพวกเธอไม่มีโอกาสในการล่วงเกินฆาตกรในเวลาเดียวกัน สังเกตมั้ยว่าไลฟ์สไตล์ของเธอกับเจียงเข่อเข่อเหมือนกัน นี่ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เป็นการตั้งใจเลือกของฆาตกร ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขากำลังเดินไปทางแนวฆาตกรต่อเนื่อง เมื่อมีเหยื่อรายที่หนึ่ง ย่อมมีเหยื่อรายที่สอง และต้องมีเหยื่อรายที่สาม รายที่สี่”

เมิ่งจ้งลูบหน้า รับรู้ได้ดีว่าปัญหานี้ร้ายแรงมาก

“เรามาเดาดูซิว่าฆาตกรเอาเล็บเธอไปแล้วหรือยัง” ซ่งรุ่ยพยักพเยิดหน้าไปทางศพผู้หญิงที่อยู่ในลิฟต์

หมอโจวเอ่ย “รอบตัวศพไม่มีแผ่นเล็บ ผมเดาว่าพวกมันน่าจะถูกฆาตกรทิ้งไว้ในมิติทับซ้อน ส่วนเรื่องที่ว่าเขาเอามันไปเป็นบำเหน็จศึกแล้วหรือยัง พวกเราคงไม่มีใครตอบได้นอกจากจะให้อาจารย์ฟั่นเปิดมิติ แต่ต่อให้เปิดก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะฆาตกรย่อมรู้ตัวและหนีไปแล้ว”

เมิ่งจ้งตาเป็นประกาย “หรือฉันจะให้ตำรวจอยู่เฝ้าตอรอกระต่ายแถวนี้ดี?”

ซ่งรุ่ยส่ายหน้า “ครั้งก่อนเขาช้าไปหนึ่งก้าวทำให้เสียบำเหน็จศึก จะต้องจำฝังใจแน่ รอบนี้ที่เขาปล่อยศพออกมาไว ฉันเดาว่าเขาจะต้องเอาบำเหน็จศึกไปแล้ว แต่พวกนายอยากเฝ้าตอรอกระต่ายก็ได้ เพราะถึงยังไงตอนนี้ก็ไม่มีวิธีอื่น แต่ฉันขอแนะนำให้เช็กกล้องวงจรปิดในช่วงตั้งแต่ผู้ตายเสียชีวิตจนถึงตอนพบศพ กล้องอาจจะจับภาพช่วงที่ฆาตกรมาเอาเล็บได้”

เมิ่งจ้งตื่นเต้นมาก แต่เขากลับถูกฟั่นจยาหลัวสาดน้ำเย็นใส่หนึ่งกระบวย “ในเมื่อเขากล้ามา แสดงว่าต้องมีการปลอมตัว ผมสามารถใช้สนามแม่เหล็กอำพรางตัวเพื่อเดินข้างนอกตามใจชอบได้ เขาเองก็น่าจะใช้อีกมิติหนึ่งห่อหุ้มตัวเพื่อเตร็ดเตร่ไปในทุกที่ได้เหมือนกัน ผมรู้สึกว่าโอกาสที่จะเจอเบาะแสของเขาในคลิปจากกล้องวงจรปิดมีไม่มาก แต่ตอนนี้พวกคุณก็ไม่มีวิธีอื่น จะลองดูก็ได้”

เมิ่งจ้งแทบหายใจหายคอไม่ออกจนเกือบตาย แม่งเอ๊ย สองคนนี้ติดนิสัยกันมาหรือเปล่า ทำไมการพูดจาถึงเหมือนกันมากขึ้นทุกวัน ทำให้หัวใจคนอื่นเด้งขึ้นเด้งลง ผลุบๆ โผล่ๆ มันสนุกมากหรือไง

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 29 มี.. 65

 

 

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: