ทดลองอ่าน เรื่อง Psychic ปริศนาลับ สัมผัสวิญญาณ เล่ม 7
ผู้เขียน : 风流书呆 (Feng Liu Shu Dai)
แปลโดย : ปราณหยก
ผลงานเรื่อง : 灵媒 (Ling Mei)
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่
อาการป่วยทางจิต การทำร้ายเด็ก การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ
การบังคับหรือโน้มน้าวให้
การฆ่าตัวตาย การใคร่เด็ก การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทารุณสัตว์ การลักพาตัว
การทรมาน การฆาตกรรมและแยกชิ้นส่วนร่
การสังหารหมู่ และฉากนองเลือด ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
บทที่ 261 จิตแพทย์ที่เก่งที่สุดในโลก
ในที่สุดคดีสังหารโหดทั้งสามคดีก็ได้รับการคลี่คลาย ฟั่นจยาหลัวกับซ่งรุ่ยเดินออกจากกรมตำรวจแล้วถูกนักข่าวที่เฝ้าอยู่นอกประตูรุม แสงแฟลชสว่างวาบๆ เหมือนแสงดาวทำให้ช่วงเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำนั้นสว่างไสวเหมือนกลางวัน
ฟั่นจยาหลัวจูงมือซ่งรุ่ยอย่างเป็นธรรมชาติ เขาใช้สนามแม่เหล็กคุ้มกันอีกฝ่ายเดินออกไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า
นักข่าวที่กำลังบ้าคลั่งอยากพุ่งเข้าไปหาพวกเขา อยากขวางทางพวกเขา อยากดึงรั้งเสื้อผ้าของพวกเขา แต่ทุกคนกลับถูกขุมพลังประหลาดผลักให้ห่าง สุดท้ายเลยได้แต่ยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่นอกระยะปลอดภัย มองฟั่นจยาหลัวกับซ่งรุ่ยเดินห่างออกไป
ฟั่นจยาหลัวยังคงเป็นฟั่นจยาหลัวคนนั้นจริงๆ เย็นชา ห่างเหิน ไม่เข้ากับโลกใบนี้
พวกนักข่าวไม่ยอมแพ้ ไล่ตามหลังทั้งคู่และตะโกนถามไม่หยุด “อาจารย์ฟั่นคะ ทำไมจางหยางถึงเปลี่ยนหน้าได้ เขาเป็นอมนุษย์เหมือนหม่าโยวหรือเปล่าคะ”
“อาจารย์ฟั่นครับ จางหยางฆ่าคนไปทั้งหมดกี่คน นี่ไม่ใช่คดีแรกที่เขาก่อใช่มั้ย”
“อาจารย์ฟั่นคะ ต่อไปคุณจะจัดการกับจางหยางยังไง สกุลจางจะพังหรือยัง ได้ยินว่ากลุ่มธุรกิจสกุลจางถูกปิดเพื่อดำเนินการตรวจสอบแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงทุกคนถูกภาครัฐนำตัวไป ข่าวนี้เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ”
“อาจารย์ฟั่น คุณไม่ได้กินอาหาร ไม่ได้ดื่มน้ำมาห้าวันห้าคืน คุณไม่เป็นอะไรเลยหรือ”
“อาจารย์ฟั่น…”
เสียงเรียก ‘อาจารย์ฟั่น’ ไม่สามารถรั้งฝีเท้าของฟั่นจยาหลัวได้ ตรงกันข้ามมันกลับทำให้เขาเดินเร็วขึ้น ทิ้งห่างทุกคนออกไปไกลลิบ
นักข่าวคนหนึ่งเป็นคนที่กลุ่มปาปารัซซี่ส่งมา สไตล์เลยแตกต่างไปจากทุกคน พอรู้ว่าการวิ่งตามของตัวเองไม่ได้ผลเขาเลยแค่ตะโกนออกไปหนึ่งประโยค “อาจารย์ฟั่นครับ ไม่ทราบว่าด็อกเตอร์ซ่งใช่แฟนคุณหรือเปล่าครับ”
เสียงตะโกนนี้ถูกกลบด้วยคำถามหลากหลายรูปแบบที่กำลังดังเซ็งแซ่ แต่ฟั่นจยาหลัวที่ไม่ควรถูกปล่อยให้เดินหนีไปได้ไกลขนาดนั้นกลับได้ยินและหยุดเดินทันที เขาหันหน้ามากวาดตามองทุกคนก่อนจ้องไปที่ปาปารัซซี่คนนั้น ฟั่นจยาหลัวไม่ได้ให้คำตอบแบบชัดเจน แค่เม้มริมฝีปากสีแดงสด ยิ้มบางๆ
รอยยิ้มนี้ไม่สามารถหาถ้อยคำใดมาบรรยายได้ มันอบอุ่นเหมือนดวงตะวันในหน้าหนาว ปาปารัซซี่คนนั้นอึ้งไปนานกว่าจะดึงเอาจิตวิญญาณของตัวเองคืนมาจากชั่วพริบตาแห่งความแตกตื่นตกใจได้สำเร็จ
เขาเข้าใจว่าอาจารย์ฟั่นเป็นบุคคลปริศนา เย็นชา ห่างเหิน แข็งแกร่งแบบไม่มีใครทำลายได้ แต่เมื่อครู่ในชั่วพริบตาสั้นๆ นั้นเหมือนเขาจะมองเห็นจิตวิญญาณอันอ่อนละมุนอย่างยิ่งยวด อาจารย์ฟั่นในจินตนาการของเขาเหมือนจะเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่มีเลือดมีเนื้อหนึ่งคน
ฟั่นจยาหลัวดึงสายตากลับมาเดินตรงไปข้างหน้า ซ่งรุ่ยที่ถูกเขาจูงอยู่กลับหันมาเพ่งมองปาปารัซซี่คนนั้น บนหน้ามีรอยยิ้มอารมณ์ดีแบบเดียวกัน
ซ่งรุ่ยหันหน้าไปอย่างรวดเร็ว เขาโอบฟั่นจยาหลัวเดินต่อ แต่กลับได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งที่ทำให้เขาแปลกใจมาก
น้ำเสียงที่ทั้งคุ้นและไม่คุ้นของผู้สูงอายุคนหนึ่งดังมาจากลำโพง “ซ่งรุ่ย แกกับฟั่นจยาหลัวเป็นอะไรกัน เขาเป็นแฟนแกจริงเหรอ พวกแกรักกัน?”
ซ่งรุ่ยมองคนข้างตัวเร็วๆ พยักหน้าเนียนๆ “ใช่ครับลุงใหญ่”
ตอนแรกซ่งรุ่ยเข้าใจว่าตาแก่หัวรั้นคนนี้จะต้องระเบิดตูมตามและกีดกันเต็มที่ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะแค่เงียบไปครู่หนึ่ง หัวเราะเบาๆ “ดี มีแฟนแล้วก็ดี ถ้าว่างก็พากลับมาให้ที่บ้านดูตัวหน่อยนะ”
ซ่งรุ่ยหัวเราะเบาๆ พยักหน้ารับคำ
เวลานี้บุญคุณความแค้นและความเข้าใจผิดในอดีตล้วนสิ้นสลายหมดแล้ว
หลังได้รับอิสรภาพฟั่นจยาหลัวรีบไปรับสวี่อี้หยางที่โรงเรียนทันที เด็กน้อยไม่ได้เจอพี่ชายนานจนความคิดถึงเต็มท้อง แต่กลับพูดไม่ออก ทำได้แค่วนเวียนอยู่รอบตัวพี่ชายเหมือนลูกสุนัข เดี๋ยวๆ ก็เอาหัวถูหัวพี่ชาย เดี๋ยวๆ ก็เอาหน้าผากไปวางบนไหล่ ดร. ซ่ง
ซ่งรุ่ยยีหัวเขา หางตามีรอยยิ้มอ่อนโยน
เห็นพวกเขาสนิทกันดีขนาดนี้ รอยยิ้มที่มุมปากของฟั่นจยาหลัวก็สะกดไว้ไม่อยู่
“กลับบ้านเลยมั้ย” ซ่งรุ่ยถามเสียงเบา
“ไปดูผู้รอดชีวิตทั้งสามคนที่โรงพยาบาลก่อนดีกว่าครับ” ฟั่นจยาหลัวโบกมือ
ซ่งรุ่ยขับรถไปที่โรงพยาบาลเพื่อทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมโดยไม่พูดมาก
ยังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะเดินเข้าไปใกล้ห้องพักผู้ป่วยก็ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรจากข้างใน พอผลักประตูเข้าไปก็เห็นเด็กสาวคนหนึ่งถือมีดปอกผลไม้ไว้ในมือ ยืนอยู่บนระเบียงสูง ท่าทางเหมือนเตรียมจะกระโดดลงไป บนข้อมือเธอมีแผลกรีดแบบไม่ลึกไม่ตื้นแผลหนึ่ง เลือดกำลังไหล แต่สีหน้าของเธอกลับปราศจากความเจ็บปวด มีแต่ความรวดร้าวกับความสิ้นหวังอย่างลึกซึ้ง
คนในครอบครัวของเธอตายหมดแล้ว พวกเขาทยอยล้มลงไปทีละคนและถูกควักหัวใจออกมากิน แม่ของเธอใช้กำลังเฮือกสุดท้ายผลักเธอออกไปนอกประตูบ้านแล้วล็อกจากด้านในก่อนเป็นฝ่ายวิ่งเข้าใส่มือที่มีเล็บคมสีดำสนิทข้างนั้น แม่ใช้ร่างกายบังประตูไว้อย่างเอาเป็นเอาตายและใช้หัวใจฉุดรั้งก้าวย่างของปีศาจไว้
เด็กสาวได้ยินเสียงกระดูกหัก เสียงเลือดสดๆ พุ่งกระฉูด เสียงร้องครางแบบคนใกล้ตายแต่กลับทำอะไรไม่ได้ เธอไม่ได้หนี แถมยังตบประตูบ้านอย่างบ้าคลั่ง ตะโกนเสียงดัง ‘แกออกมา! ออกมาฆ่าฉันสิ!’
แม่ทำเพื่อเธออย่างไม่คิดชีวิตได้ เธอก็ทำแบบเดียวกันได้
แต่พอตำรวจมาถึงและพังประตูเข้าไป ภาพที่เด็กสาวเห็นกลับมีแต่ศพเต็มพื้น หน้าอกของพวกเขากลวงโบ๋เป็นรูใหญ่ ปราศจากหัวใจที่เต้นและมีความรักให้เธอตลอดกาล ตอนนั้นเองที่หัวใจของเด็กสาวตายดับไปพร้อมกัน
เธอใช้มีดปอกผลไม้จ่อใส่คนที่พยายามเข้าใกล้ตัวเอง ถอยหลังไปเรื่อยๆ เตรียมจะกระโดดลงไปจากอาคารสูงสิบกว่าชั้น
ซ่งรุ่ยรีบสอบถามเจ้าหน้าที่พยาบาลที่อยู่ข้างๆ “หลายวันมานี้เธอได้ดูทีวีหรือคอมพิวเตอร์หรือเปล่า รู้มั้ยว่าคดีคลี่คลายแล้ว”
“ไม่เลยค่ะ เธอเอาแต่นอนเหม่ออยู่บนเตียงทั้งวันเหมือนคนไร้วิญญาณ ไม่สนใจโลกภายนอกเลย”
ซ่งรุ่ยพยักหน้า เขาวางแผนพูดคุยที่จะทำต่อไปภายในเวลาแค่สิบวินาทีสั้นๆ แต่ยังไม่ทันจะได้เอ่ยปาก ฟั่นจยาหลัวก็ผลักสวี่อี้หยางออกไปนอกห้อง ล็อกเด็กชายไว้ข้างนอกก่อนก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว พูดเสียงเรียบ “ก่อนตาย เธออยากแก้แค้นหรือเปล่า”
จังหวะนี้เองที่เด็กสาวสังเกตเห็นว่าภายในห้องมีคนแปลกหน้าเพิ่มเข้ามาอีกสองคน ไม่สิ ไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า เนื่องจากเธอคุ้นกับใบหน้าของหนึ่งคนในนั้นมาก นั่นมันปีศาจที่ฆ่าคนในครอบครัวเธอตายหมดไม่ใช่หรือ
‘แก้แค้น’ สองคำนี้เหมือนตะปูตัวยาวที่เจาะทะลุเข้าไปในสมองซึ่งกำลังสับสนวุ่นวายของเธอ สลายอารมณ์อยากตายที่แรงกล้าจนไม่สนใจทุกสิ่งทำให้เด็กสาวมีความคิดแบบคนวิกลจริต
“ฉันจะฆ่าแก!” เธอกระโดดลงมาจากขอบหน้าต่างแบบไม่หยุดคิด กวัดแกว่งมีดปอกผลไม้ใส่ฟั่นจยาหลัว
เจ้าหน้าที่พยาบาลที่เฝ้าอยู่สองด้านของระเบียงพยายามรั้งเด็กสาวไว้ แต่กลับถูกพลังประหลาดผลักออกไป ซ่งรุ่ยเพิ่งจะยกเท้า เตรียมไปกันอยู่ด้านหน้าฟั่นจยาหลัวก็ถูกอีกฝ่ายดึงให้ไปอยู่ด้านหลังเหมือนกัน
ฟั่นจยาหลัวเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่พุ่งเข้ามาพร้อมไอสังหารรุนแรง เขาจับมือข้างที่ถือมีดของเด็กสาวไว้อย่างง่ายดาย ล็อกท้ายทอยเธอไว้ กดตัวเด็กสาวเข้ามาในวงแขนตน ร่างกายเขาเย็นจัด เด็กสาวดิ้นพราด
แต่ไม่นานกระแสความอบอุ่นขุมหนึ่งได้ห่อหุ้มตัวเธอไว้ มันไต่ขึ้นมาตามแผ่นหลังที่แข็งทื่อของเธออย่างอ่อนโยน และลูบหนังศีรษะของเธอเบาๆ ก่อนซึมเข้าไปในสมองและหัวใจของเธอเพื่อดึงเอาความเจ็บปวด ความเศร้าเสียใจ ความโกรธแค้น และความสิ้นหวังที่ไร้หนทางระบายออกมาอย่างแช่มช้า อ่อนโยน
เด็กสาวที่ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบลงอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว สีหน้าดุดันค่อยๆ คลายลง กลายเป็นความสงบนิ่งแล้วเปลี่ยนเป็นงุนงง
นับตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลมา เธอไม่เคยพูดเลยสักประโยคและไม่มีน้ำตาไหลสักหยด เหมือนทุกสิ่งในร่างกายของเธอถูกควักออกไปจนว่างโหวง ไม่มีหัวใจ ไม่มีวิญญาณ ไม่มีความคิด และไม่รับรู้ เธอยังมีชีวิตแต่สภาพหนักกว่าคนตาย
เจ้าหน้าที่พยาบาลมาเยี่ยมเธอทุกวัน พวกเขาตระหนักดีว่าถ้ากำจัดความเจ็บปวดในใจออกไปไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วเด็กสาวต้องทำร้ายตัวเอง แต่ความทุกข์ทรมานที่เธอเจอมันหนักหนาสากรรจ์มาก จะกำจัดมันทิ้งไปได้หรือ ต่อให้หาจิตแพทย์ที่เก่งที่สุดในโลกมาได้ แต่การจะทำให้เธอกลับเป็นเหมือนเมื่อก่อนก็ยังเป็นเรื่องยาก ต้องใช้ความพยายามเป็นสิบปี ยี่สิบปี หรืออาจจะถึงขั้นตลอดชีวิต
แต่ตอนนี้เด็กสาวคนที่เคยมึนชาจนไม่เหลือสติและอารมณ์ใดๆ กลับซบอยู่ในอ้อมแขนของ ‘คู่อาฆาต’ น้ำตาไหลเงียบๆ หยาดน้ำรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นทำนบพัง
เธอถูกกักให้ดิ้นรนด้วยความสิ้นหวังอยู่ในห้วงฝันร้าย หาทางออกไม่พบ แต่คนที่กอดเธอไว้คนนี้กลับช่วยเปิดประตูที่ซ่อนอยู่ในความมืดเพื่อให้แสงตะวันส่องเข้ามาหาเธอ
จากเดิมที่น้ำตาไหลเงียบๆ เปลี่ยนเป็นการร้องไห้โฮจนน้ำหูน้ำตาเต็มหน้า เด็กสาวมองคนที่มีสีหน้าอ่อนโยน พูดเสียงขาดห้วงแต่หนักแน่น “คุณไม่ใช่เขา” จบคำ มีดปอกผลไม้ในมือก็ร่วงลงพื้น
ไม่จำเป็นต้องดูไลฟ์ ไม่จำเป็นต้องอ่านข่าว แค่อาศัยสัญชาตญาณ เด็กสาวก็รู้แจ้งแก่ใจดีว่าปีศาจที่ฆ่าล้างครอบครัวเธอคนนั้นไม่ใช่คนที่อยู่ตรงหน้านี้ ถึงจะมีหน้าตาเหมือนกัน แต่ออร่าที่ฉายออกมากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งเยือกเย็นอำมหิต อีกคนอ่อนโยนนุ่มนวล
ฟั่นจยาหลัวใช้ฝ่ามือลูบดวงตาเด็กสาวเบาๆ กระซิบเสียงนุ่ม “แม่ของเธอใช้หัวใจตัวเองแลกกับชีวิตของเธอมา นับจากวันนี้เป็นต้นไปเธอต้องประคับประคองหัวใจอันอบอุ่นของท่านไว้เพื่อใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความสุขนะ”
เสียงร้องไห้ของเด็กสาวหยุดลง แต่ไม่ยอมตอบรับ
ฟั่นจยาหลัวกุมข้อมือเด็กสาว รวบสองมือที่ว่างเปล่าของเธอเข้าไว้ด้วยกัน หงายฝ่ามือขึ้นเป็นท่าประคองก่อนวางฝ่ามือของตัวเองลงไปบนนั้น พูดเสียงนุ่ม “สัมผัสได้มั้ย”
“อะไรเหรอคะ”
สีหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความงุนงงก่อนเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง ทำหน้าช็อก เมื่อเธอสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งที่มองไม่เห็นกำลังค่อยๆ รวมตัวอยู่ในฝ่ามือของตัวเอง มันนุ่มนิ่มมาก อบอุ่นมาก เหมือนก้อนเมฆหรืออะไรบางอย่าง แต่ไม่นานมันก็เริ่มเต้นตุบๆ เบาๆ แต่หนักแน่นทรงพลัง
เด็กสาวมองสองมือที่ว่างเปล่าแต่เหมือนกำลังประคับประคองบางสิ่งอยู่จริงๆ ของตัวเองด้วยสายตาไม่กล้าเชื่อ
“นี่มัน…นี่มัน…” เธออ้าปาก น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลทะลักออกมาแบบถล่มทลายอีกครั้ง
“นี่คือสิ่งที่ครอบครัวเธอฝากไว้ให้เธอดูแล รักษามันไว้ให้ดีนะ” ฟั่นจยาหลัวลูบศีรษะเด็กสาวก่อนหมุนตัวเดินจากไป
เขาผลักประตูออกไปเจอสวี่อี้หยางที่โกรธจนแก้มป่อง ฟั่นจยาหลัวหัวเราะเบาๆ ไม่กี่เสียง
เสียงหัวเราะเบาๆ อย่างอ่อนโยนเหมือนสายฟ้าที่ผ่าปลุกเด็กสาวทำให้สองมือที่ประสานอยู่ด้วยกันของเธอสั่นไม่หยุด เธอสัมผัสได้แล้วว่าสิ่งที่เต้นอยู่กลางฝ่ามือของเธอคือหัวใจหนึ่งดวง เป็นหัวใจที่มีชีวิต อบอุ่น เต็มไปด้วยความสุขและความรักอย่างหาที่สุดไม่ได้
เธอรับรู้ถึงเสียงดังๆ ของแม่ได้ เสียงนั้นค่อยๆ รวมตัวกันเป็นคำที่ทรงพลังอย่างยิ่งว่า…ใช้ชีวิตให้ดี
ใช้ชีวิตให้ดีเผื่อทุกคน ไม่อย่างนั้นเธอจะสู้หน้าแม่ที่ใช้ตัวกันประตู อุทิศหัวใจของตัวเองให้ปีศาจได้ยังไง
ความคิดนี้เหมือนดวงตะวันอันเจิดจ้าที่ส่องมายังหัวใจของเด็กสาว ช่วยเยียวยาแผลสดที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยากจะประสานนี้ให้กลายเป็นรอยแผลเป็น และหยุดเลือดที่ไหลริน เด็กสาวเอามือแนบหัวใจทันที เพื่อเก็บหัวใจล่องหนที่กำลังเต้นอยู่นั้นเข้าไปในอกที่ว่างโหวงของตัวเอง
เธอนั่งนิ่งอยู่บนพื้น น้ำตานองเต็มหน้า แต่แววตาเปลี่ยนเป็นเข้มแข็งแบบที่ไม่เคยเป็น เธอตายไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และนับจากวันนี้เป็นต้นไปหัวใจดวงนี้จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็ก
“หมอคะ ช่วยทำแผลให้ฉันหน่อยได้มั้ย” เด็กสาวเป็นฝ่ายชูข้อมือที่เปื้อนเลือดของตัวเองขึ้นมา
เจ้าหน้าที่พยาบาลที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นรีบรุมกันเข้ามาช่วยทำแผลให้เด็กสาวกันคนละไม้คนละมือ
“ช่วยโทรหาตำรวจให้ฉันหน่อยได้หรือเปล่าคะ ฉันอยากเปลี่ยนคำให้การ ฆาตกรไม่ใช่อาจารย์ฟั่น ฉันกล้ายืนยันว่าคืนนั้นฉันดูผิดไปเอง” เด็กสาวเอ่ย
เจ้าหน้าที่พยาบาลชะงัก เธอค่อยๆ อธิบาย “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ คดีคลี่คลายแล้ว ตอนนี้คนทั้งประเทศรู้แล้วว่าอาจารย์ฟั่นไม่ใช่ฆาตกร”
“คลี่คลายได้ยังไงคะ ฆาตกรเป็นใคร” เด็กสาวรีบซัก
“อาจารย์ฟั่นไลฟ์…” เสียงของพยาบาลค่อยๆ จางหายไปเพราะการจ้องเขม็งของหมอ พวกเขากลัวว่าเด็กสาวจะได้รับความสะเทือนใจอีกครั้ง
“ไลฟ์? ฉันดูได้มั้ยคะ” สีหน้าของเด็กสาวยังคงเข้มแข็ง นิ่งสงบ
“เธอไม่กลัวเหรอ” หมอมองเด็กสาวด้วยแววตาสับสน
เด็กสาวกดหัวใจที่เต้นอย่างหนักแน่นทรงพลังในช่องอก ส่ายหน้าเอ่ย “ไม่กลัวแล้วค่ะ” เพราะบนโลกนี้มีคนอย่างอาจารย์ฟั่น!
ฟั่นจยาหลัวไปเยี่ยมผู้รอดชีวิตอีกสองคน ตอนเจอกันแรกๆ อารมณ์ของพวกเขาพลุ่งพล่านมาก แต่หลังได้คุยกันครู่หนึ่งพวกเขาก็กลับเป็นปกติ สีหน้าท่าทางดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หมอที่คอยเฝ้าดูอยู่ด้านข้างเพิ่งตระหนักได้ว่าไม่จำเป็นต้องไปหาจิตแพทย์ที่เก่งที่สุดในโลกมาจากที่ไหน ในเมื่ออาจารย์ฟั่นก็ทำได้เหมือนกัน…ไม่ใช่หรือ
ก่อนออกจากโรงพยาบาลฟั่นจยาหลัวไปเยี่ยมเด็กสาวคนนั้นอีกครั้ง เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “คุณอยากลบความทรงจำที่แสนเจ็บปวดนี้ออกไปมั้ย ผมช่วยคุณได้นะ”
เด็กสาวส่ายหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวและกล่าวคำขอบคุณอย่างจริงใจ ผู้รอดชีวิตอีกสองคนก็เลือกจะเก็บความทรงจำนี้ไว้เหมือนกัน
ฟั่นจยาหลัวไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้ ตอนเดินออกจากอาคารพักฟื้น เขาหันหน้าไปมองอย่างอดไม่อยู่ ถอนหายใจ “มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตเดียวบนโลกที่จดจำความเจ็บปวดได้ และนี่เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้พวกเขามีชีวิตที่มีสีสัน”
ซ่งรุ่ยแอบมองเห็นความเคารพยำเกรงและใฝ่ฝันต่อชีวิตในดวงตาของฟั่นจยาหลัว จนบีบมืออีกฝ่ายไปอย่างไม่รู้ตัว
แผนร้ายของจางหยางไม่ประสบผลสำเร็จ แถมยังเป็นการทุบทำลายเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของฟั่นจยาหลัวขึ้นมาใหม่ทำให้ผู้คนต่างให้เกียรติและเคารพยกย่องเขามากขึ้น เนื่องจากตราบใดที่มีฟั่นจยาหลัวอยู่ ต่อให้โลกนี้มีภูตผีปีศาจอย่างพวกอมนุษย์โผล่ออกมาอีก พวกเขาก็ไม่กลัว
เมืองหลวงที่ระส่ำระสายไปชั่วขณะหนึ่งกลับคืนสู่ความสงบเหมือนในอดีต แต่เรื่องราวยังอยู่ห่างจากบทจบมาก
จางหยางไม่ยอมบอกว่าผลไม้ที่ใช้ทำยาสีฟ้าอยู่ที่ไหนทำให้รัฐบาลไม่สามารถขุดรากถอนโคนต้นไม้ประหลาดชนิดนี้ได้ ได้แต่จัดมันเข้าไปอยู่ในหมวดสารพิษรูปแบบใหม่ มีอันตรายยิ่งกว่าเฮโรอีน แต่จางหยางบอกที่อยู่หนึ่งให้แบบอ้อมๆ เพื่อให้หัวหน้าเหยียนส่งกองทหารไปตรวจสอบ
‘ถ้าอยากรู้ความจริง คนที่นี่จะบอกพวกคุณได้ จริงสิ เอากองทหารไปเยอะๆ ติดอาวุธให้พร้อม คนคนนี้รับมือได้ไม่ง่าย’ จางหยางย้ำคำเตือน
หัวหน้าเหยียนเลือกที่จะเชื่อว่ามีบางสิ่งอยู่ แทนที่จะเชื่อว่าไม่มีอยู่จริง คืนนั้นเขารวบรวมกำลังทหารหนึ่งกองไปโอบล้อมที่นั่น
ที่นั่นเป็นตึกแบบตะวันตกหลังเล็กที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ตั้งอยู่บนยอดเขากลางป่ารกร้าง ในรัศมีสิบหลี่มีบ้านคนอยู่หลังเดียว ไม่มีอาคารข้างเคียง ด้วยเหตุนี้ตอนที่กองทหารเข้าประชิด คนในตึกเลยมองเห็นพวกเขาได้ทันที
อีกฝ่ายไม่สนใจเสียงตะโกนสั่งให้ยกมือยอมแพ้ของหัวหน้าเหยียน แต่เปิดหน้าต่างด้านหลังเผ่นหนีไปในป่ามืด
หัวหน้าเหยียนสั่งยิงทันที ตอนแรกเขาตั้งใจยิงขาสองข้างของคนคนนี้เพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย แต่พบว่าพอกระสุนไปถูกตัวกลับเหมือนถูกแผ่นเหล็ก ดีดเด้งกระจัดกระจาย ทั้งยังมีประกายไฟ ภาพประหลาดนี้ทำให้ทุกคนมองกันตาค้าง
“ปีศาจอีกแล้ว! ยิงสิยิง ทุกคนยิง!” หัวหน้าเหยียนออกคำสั่งทันที
กระสุนสาดใส่ร่างที่กำลังวิ่งทะยานเป็นห่าใหญ่ ไม่นานเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวเขาก็กลายเป็นเศษผ้า เขาวิ่งต่อไปในสภาพเปลือยเปล่า แต่ร่างที่ถูกเสื้อผ้าห่อหุ้มนั้นกลับไม่ใช่กล้ามเนื้อแข็งแรง หากเป็นร่างผอมแห้งสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ
กระดูกทุกท่อนของเขามีหนังบางๆ หุ้มอยู่ มองเห็นชัดว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นศพแห้งๆ ศพหนึ่ง!
โปรดติดตามตอนต่อไป…
ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 12 พ.ค. 65
Comments
comments
No tags for this post.