Chapter 7-3
นี่ฉันเป็นพวกโฮโมโฟเบีย* หรือเปล่านะ
ระหว่างทางที่โยกย้ายจากโรงยิมไปยังร้านอาหาร ภายในหัวของยูแจมีคำถามคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาอยู่ตลอด โดยที่เขาไม่อาจสลัดมันออกไปจากสมองได้เลย
ถ้าหากว่าเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น เขาก็ไม่รู้เลยว่าจะนิยามความรู้สึกต่อต้านที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างน่าประหลาดนี้ได้อย่างไร
เขาก็แค่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยเวลาที่เห็นไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดนั่นทำตัวสนิทสนมกับฮันจุนมากเกินควร ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาอารมณ์เสียยิ่งกว่านั้นก็คือคำพูดของซึงมินในวันนี้ที่บอกว่าการมาไฟต์คลับทุกวันจะทำให้มิตรภาพระหว่างผู้ชายนั้นใกล้ชิดและแนบแน่นได้มากยิ่งขึ้นทุกวันๆ
ถึงแม้ว่ายูแจจะไม่ได้สนใจเรื่องการชกมวยเลยสักนิด แต่พอได้ลองคิดว่าถ้าหากได้เจอฮันจุนทุกวัน ได้ลองเล่นกีฬาที่ฮันจุนชอบด้วยกันทุกวัน พวกเขาก็อาจจะสามารถกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ในวันใดวันหนึ่ง ทว่าพอเอาเข้าจริงแล้ว ภาพที่ได้เห็นกับตาตัวเองในวันนี้นั้นมันเกินความคาดหมายของเขาไปมาก
ถึงพวกผู้ชายจะสามารถปฏิบัติตัวอย่างอ่อนโยนต่อกันได้ก็จริง ทว่าสำหรับเขาแล้ว มันก็เป็นการยากเกินไปที่จะไม่เก็บมาคิด แถมซอฮันจุนเองก็เป็นคนที่ชอบผู้ชาย…ซึ่งนั่นมันรวมถึงเขาด้วย ยูแจตกใจมากที่เห็นฮันจุนที่มีนิสัยแบบนั้นสนิทสนมกับชายอื่นได้อย่างแนบแน่นและลึกซึ้ง ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยเห็นเลยว่าจะมีใครที่ฮันจุนสนิทใจได้แบบนี้ เมื่อก่อนเขาเคยไม่มั่นใจว่าฮันจุนเป็นเกย์หรือเปล่า แต่พอได้มาเห็นภาพที่ฮันจุนยิ้มพลางสบตากับผู้ชายคนอื่น ทั้งโอบกอดกันอย่างแนบแน่นแล้วยังทำตัวออดอ้อนออเซาะกับตาตัวเองเต็มสองตาแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามันต่างไปจากที่ตัวเองเคยคิดอย่างสิ้นเชิง
เขาไม่เคยคิดอะไรในแง่นี้เลยตอนที่ฮันจุนอยู่กับยูบินหรือจองยุน ในทางกลับกันเขากลับคิดว่าการที่ฮันจุนมีความรักกับผู้หญิง มันน่าจะช่วยทำให้ฮันจุนลืมเรื่องที่อกหักจากเขาไปได้ เขาเคยคิดแบบนั้นจนถึงขั้นที่เขารู้สึกราวกับว่ากำลังจะเสียฮันจุนไปให้กับพวกเธอ ทว่าครั้งนี้มันกลับไม่ใช่ความรู้สึกแบบนั้น ภายในท้องของเขามันรู้สึกปวดมวนไปหมด
ทำไมกันนะ
เพราะว่าคราวนี้อีกฝ่ายเป็นผู้ชายเหมือนกันงั้นเหรอ
นี่เรามารู้สึกเอาตอนนี้เนี่ยนะ ทั้งที่สมัยก่อนตอนที่โดนสารภาพรักก็ยังไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นแล้วอะไรที่มันต่างไปจากเดิมกันล่ะ หรือเป็นเพราะว่าพอได้มาเห็นกับตาตัวเองแล้วก็เลยรู้สึกเหมือนจะเสียฮันจุนไปจริงๆ ขึ้นมา?
ภาพความรักระหว่างผู้ชายผุดขึ้นมาเต็มหัวไปหมด ทั้งที่ตอนซอฮันจุนสารภาพว่าชอบเขา เขายังไม่เคยวาดภาพจินตนาการถึงมันเป็นรูปเป็นร่างแบบนี้เลยสักครั้ง ภาพซอฮันจุนกับไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดนั่นที่เพลิดเพลินและเล่นสนุกด้วยกันในทุกๆ วันไปกับเรื่องที่ต่างคนต่างก็มีความสนใจร่วมกันอย่างการชกมวย ภาพที่ซอฮันจุนคอยทำตัวน่ารักออดอ้อนและแชตกับไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดนั่นอยู่ตลอดเวลา ภาพซอฮันจุนที่ส่งเสียงครางตอนที่ถูกไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดนั่นจับเอวเอาไว้อยู่
รวมไปถึงภาพซอฮันจุนที่ชอบผู้ชาย
“ยูแจยา ไปเอาเค้กมาให้หน่อยสิ”
พอถูกเรียกชื่อ ยูแจก็หลุดออกจากภวังค์ความคิดอันแสนเพ้อเจ้อในทันที เขาส่ายศีรษะแล้วหยิบเค้กวันเกิดของฮันจุนที่พวกชมรมไฟต์คลับเตรียมเอาไว้ออกมา ฮันจุนมองเค้กครีมสดก้อนโตแล้วยู่จมูกราวกับว่าขัดเขิน ก่อนจะเขยิบตัวเอาไหล่เข้าไปแนบชิดแล้วกระซิบกระซาบกับซึงมิน
“พี่ครับ นี่พี่คงไม่ได้เหมาร้านนี้ไว้หรอกใช่ไหม ไม่เห็นมีใครนอกจากพวกเราเลย แถมยังติดลูกโป่งบนผนังอีก”
“อืม ฉันเหมา ดูท่าวันนี้น่าจะส่งเสียงดังกันมากๆ ก็เลยกลัวว่าจะไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นเขาไง ส่วนพวกลูกโป่งนั่นน่ะ พี่กับพวกเด็กๆ เพิ่งจะเอามาติดกันเมื่อกี้นี้เอง”
“ขอบคุณนะครับ”
“เนื้อนั่นก็กินเยอะๆ ล่ะ อยากกินอะไรก็สั่งเลย”
“ค่าอาหารนี่พี่ก็เป็นคนจ่ายเหรอครับ ผมว่าพี่เก็บค่าธรรมเนียมสมาชิกเถอะครับ”
“ฮันจุนอา นี่นายกล้าพูดเรื่องเงินต่อหน้าพี่เหรอ”
ซึงมินถามพลางยกยิ้มขึ้นอย่างอวดรวย ฮันจุนปิดปากสนิทโดยไม่ได้บ่นอะไรออกมาเหมือนอย่างเคย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะทนความหน้าไม่อายของคนพูดอย่างซึงมินไม่ได้หรืออย่างไร
ยูแจที่มองอยู่ได้แต่แค่นหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ซึงมินใช้ในการจัดงานปาร์ตี้วันนี้ หรือจะเป็นเงินที่เขาใช้เพื่อซื้อโน้ตบุ๊ก มันก็ต่างเป็นเงินจำนวนหลายแสนวอนด้วยกันทั้งคู่ คนที่โมโหฉุนเฉียวและถามเขาว่า ‘นายเป็นคนในครอบครัวฉันหรือไง’ กลับนิ่งเงียบเมื่ออยู่ต่อหน้าการอวดรวยของซึงมิน
นี่ฉันต้องทำตัวอวดรวยโดยไม่ต้องแสร้งทำเป็นถ่อมตัวบอกว่าใช้คูปองลดราคาซื้อมา แถมยังต้องทำงานพาร์ตไทม์เก็บเงินมาตลอดหนึ่งเดือนกว่าจะได้เงินก้อนนั้นมางั้นสินะ?
ในขณะที่กำลังข่มความหงุดหงิดในใจอยู่เงียบๆ นั้น ทุกคนก็ต่างเริ่มร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดกันอย่างสนุกสนาน
“…ซอฮันจุนที่รัก*…”
ยูแจจ้องมองริมฝีปากของซึงมินยามที่ร้องเพลงและเอื้อนเอ่ยชื่อของฮันจุน ซึ่งในตอนนั้นฮันจุนกำลังกุมมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกันแน่นพลางยิ้มกว้าง
เขาดูมีความสุข…
ความจริงแล้วยูแจคิดว่าบางทีมันอาจมีความเป็นไปได้สูงที่ฮันจุนจะเข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อเขาผิดไป เพราะว่ารอบตัวของพวกเขานั้นไม่เคยมีกรณีที่ผู้ชายดันมาชอบผู้ชายแบบนี้เกิดขึ้นเลย อาจเป็นเพราะในช่วงวัยแตกหนุ่มพวกเขาตัวติดกันตลอด บางทีฮันจุนเลยอาจจะเข้าใจผิดคิดไปว่าความผูกพันนั้นมันคือความรัก แม้จะเคยสงสัยว่าฮันจุนเป็นเกย์หรือเปล่า แต่ภายในใจลึกๆ นั้นเขากลับคิดว่าอีกไม่นานเดี๋ยวฮันจุนก็คงจะมีแฟนสาว เพราะเห็นฮันจุนสนิทกับจองยุนและยูบินตั้งแต่ต้นเทอม เขาสามารถจินตนาการภาพที่ซอฮันจุนคบกับพวกเธอได้อย่างง่ายดาย และหากมันเกิดขึ้นจริงก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรเท่าไรนัก
ทว่าสิ่งที่คาดการณ์เอาไว้มันกลับผิดพลาดไปเสียหมด คนที่ฮันจุนมองด้วยแววตาอันหวานซึ้งนั้นกลับเป็นรุ่นพี่ผู้ชายที่ชอบสวมเสื้อแขนกุดผ่าลึกจนน่าหมั่นไส้ ไม่ใช่จองยุนและยูบิน ตอนอยู่บนสังเวียนพวกเขาก็เข้าขากันได้ดีอย่างกับเตรียมกันมาแล้วล่วงหน้า แม้บางเวลาจะดูสนิทสนมกันเหมือนเพื่อนพ้องหรือพี่น้องทั่วไป แต่บางเวลาก็ดูสนิทกันอย่างแนบแน่น
…เหมือนกับพวกเราในวันวาน
ในตอนนั้นเองยูแจถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าความรู้สึกต่อต้านและไม่ยอมรับนี้นั้นไม่ได้มาจากความรังเกียจหรือความกลัว แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับจองยุนและยูบิน แต่เขากลับรู้สึกมันกับซึงมิน
“อ๊ะ! อย่านะครับ!”
ยูแจเงยหน้าขึ้นเพราะเสียงร้องของฮันจุน ฮันจุนกำลังลนลานหนีพวกพี่ๆ ที่พยายามไล่ตามเพื่อเอาเค้กมาป้ายหน้า ก่อนจะถูกไล่ต้อนกระทั่งจนมุม หลังจากออกแรงขัดขืนพวกรุ่นพี่ตัวยักษ์ใหญ่ไปอย่างเหนื่อยเปล่า สุดท้ายแล้วฮันจุนก็โดนเค้กครีมสดโปะลงบนบริเวณแก้มและใบหูจนได้ยินเสียงดังเผละ
“โอ๊ย พวกพี่นี่มัน…”
ฮันจุนที่หน้าตาเปรอะเปื้อนไปด้วยครีมอย่างน่าสงสารกำหมัดแน่น เขาวิ่งไล่จับพวกรุ่นพี่ที่พยายามจะวิ่งหนีทีละคน แล้วเริ่มเช็ดหน้าด้วยการเอาแก้มตัวเองไปถูกับพวกรุ่นพี่ รุ่นพี่สามสี่คนถูกเขาเอาแก้มไปเช็ดจนเลอะครีม ซึงมินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โชยูแจได้แต่ทอดสายตามองภาพนั้นนิ่งๆ
ฮันจุนเอาแขนล็อกคอของซึงมินที่กำลังดิ้นไปมาก่อนจะยื่นแก้มเข้าไปใกล้ ซึงมินไม่ได้คิดที่จะหลบหนี เขาทำเพียงหัวเราะร่าแล้วส่งเสียงร้องแบบตลกๆ แปลกๆ ออกมาเท่านั้น จนกระทั่งครีมสดที่ละลายไปแล้วเพราะการเสียดสีเปื้อนลงบนผิวของเขา ฮันจุนถึงได้ยอมถอยออกมาพลางหายใจหอบถี่อย่างรุนแรงก่อนจะเงยหน้าขึ้น
ยูแจรู้สึกได้ถึงความซุกซนในดวงตาคู่นั้นที่มองมายังตัวเอง ในใจเขาแอบคาดหวังไว้ครึ่งหนึ่งว่าฮันจุนจะวิ่งเข้ามาหาเขา ทว่าฮันจุนกลับทำเพียงแค่เลียริมฝีปากอย่างเขินอายแล้วกลับไปยังที่นั่งของตัวเอง
“เพื่อวันเกิดของฮันจุน เพื่อยูแจ รุ่นน้องที่มาใหม่ของพวกเรา เพื่อไฟต์คลับ เอ้า ชน!”
ทันทีที่ซึงมินตะโกนเสียงดังลั่น ทุกคนก็ยกแก้วขึ้นมากระดกราวกับว่ากำลังรอเวลานี้อยู่ เสียงดังเอะอะวุ่นวายและกลิ่นเนื้อย่างทำให้ประสาทสัมผัสของเขาด้านชา ในขณะที่ทุกสิ่งทุกอย่างตรงหน้ากำลังเลือนราง ภาพที่ไม่คุ้นเคยก็พลันหลั่งไหลประเดประดังเข้ามาไม่หยุด
ภาพซอฮันจุน…ภาพบรรดาพวกผู้ชาย…ภาพซอฮันจุนที่ชอบผู้ชาย…
ภาพจี้ใจดำพวกนั้นกำลังครอบงำสติสัมปชัญญะของเขา ยูแจหลับตาลงแน่น เขาไม่สามารถจดจ่อหรือแม้กระทั่งโฟกัสกับอะไรได้อีกแล้ว
“เดี๋ยวผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีว่าผมรู้สึกไม่ค่อยดีนิดหน่อย”
หลังจากเริ่มกินอาหารมาได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ยูแจก็เอ่ยปากขออนุญาตกับอีกฝ่ายก่อนจะลุกขึ้น คำพูดที่บอกไปว่ารู้สึกไม่ค่อยดีนั้นไม่ใช่คำพูดที่อ้างไปเรื่อย เพราะตอนนี้ความคิดเพ้อเจ้อทั้งหมดในหัวนั้นมันกำลังทำให้เขารู้สึกปวดศีรษะ
ถึงแม้ซึงมินจะรั้งเอาไว้พลางถามย้ำว่า ‘จะไปแล้วเหรอ’ ทว่ายูแจก็รีบปลีกตัวหนีออกมาทันทีหลังจากที่ได้บอกลาออกไป ความเหนื่อยล้าของเขามันพุ่งขึ้นมาจนถึงขีดสุดแล้ว เพียงเพราะแค่ได้มองเห็นใบหน้าของซึงมิน ภาพของฮันจุนก็ปรากฏซ้อนทับขึ้นมาทันที แถมปาร์ตี้นี้ก็ไม่ได้อยู่ในแผนของเขามาตั้งแต่แรกแล้ว ทันทีที่ออกมาจากร้านอาหารที่มีเสียงดังอึกทึก ยูแจก็ถอนหายใจออกมา
“นี่”
ทว่าตอนที่กำลังจะก้าวเท้าเดินออกไป เขาก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งเรียกขึ้นมา ยูแจหันหลังกลับไปมอง ก่อนจะเห็นซอฮันจุนที่ตามออกมากำลังยืนเว้นระยะห่างระหว่างพวกเขาไว้อย่างน่าอึดอัด
“จะกลับแล้วเหรอ”
“อือ ขอให้สนุกนะ”
ยูแจบอกลาสั้นๆ แล้วตั้งท่าจะหันหลังกลับ แต่ในวินาทีนั้นเองฮันจุนก็รีบวิ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เส้นผมนั้นยังคงเปรอะเปื้อนไปด้วยครีมสด ฮันจุนละล้าละลังคิดหาคำพูดอยู่สักพักก่อนที่จะขยับริมฝีปากเอ่ยมันออกมา
“ขอบคุณที่มาวันนี้นะ ในอนาคตก็ขอให้นายสนุกกับมวยนะ ถ้ามีอะไรไม่รู้ก็ถามมาได้เลย จะได้มาสนุกด้วยกัน”
“…”
“จะว่าไปแล้วพวกเรามาคุยกันหน่อยไหม ห้องนายอยู่แถวๆ นี้นี่ ขึ้นไปคุยกันสักแป๊บเถอะ”
จู่ๆ ฮันจุนที่กำลังขมวดคิ้วมุ่นก็ยอมเปิดปากพูดถึงสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ออฟฟิศเทลของยูแจอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงห้านาที ยูแจไหวไหล่แล้วเอ่ยตอบ
“เอางั้นก็ได้ แต่นี่มันปาร์ตี้วันเกิดนายนะ หนีออกมาก่อนได้หรือไง”
“คุยกันสักแป๊บแล้วเดี๋ยวค่อยกลับเข้าไปใหม่ก็ได้”
“แล้วแต่”
ยูแจเดินนำหน้า ส่วนฮันจุนก็ทำได้เพียงแค่เดินตามหลังไปเงียบๆ โดยไม่ได้พยายามจะไล่ตามให้ทัน
เมื่อมาถึงออฟฟิศเทล ยูแจถึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองโยนโน้ตบุ๊กทิ้งไว้แถวๆ โถงทางเข้าหน้าประตู
ช่างแม่ง…
ตอนนี้เขาหงุดหงิดมากจนไม่อยากจะคิดอะไรให้รกสมองแล้ว เขาจึงเปิดประตูเข้าไปทั้งอย่างนั้น
ฮันจุนก้มลงมองกล่องโน้ตบุ๊กที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะเหลือบมองมาทางยูแจ ยูแจจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขารู้สึกว่าใบหน้าของฮันจุนที่สะท้อนอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์นั้นมันน่าตลกดี ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะมานึกกังวลกับเส้นผมของตัวเองที่มีครีมสดเลอะเต็มไปหมด
เล่นเอาหมดแรงเลยแฮะ
ยูแจทรุดตัวนั่งลงบนเตียงพลางเหยียดขาออกไป ฮันจุนที่กำลังใช้หลังมือเช็ดถูแก้มตัวเองอยู่นั้นเดินตามเข้ามาหาแล้วนั่งลงข้างๆ เขาใช้เวลาทำใจอยู่พักใหญ่ก่อนจะพูดขึ้น
“ฉันรู้ว่านายนึกถึงฉันก็เลยซื้อมาให้ เรื่องก่อนหน้านี้ฉันขอโทษนะ”
“อืม”
ยูแจไม่รู้ว่าจะต้องตอบกลับไปว่าอะไร แถมการได้รับคำขอโทษแบบนี้มันก็เป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี เพราะจริงๆ แล้วเขาเองก็เผื่อใจเอาไว้ประมาณหนึ่งแล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ยอมรับโน้ตบุ๊กของเขา
ในขณะที่ยูแจกำลังจะหันหน้าหนีเพราะไม่รู้จะพูดอะไร ฮันจุนก็โพล่งถามขึ้นมา
“นายจะโกรธหรือจะดุด่าฉันก็ได้นะ”
“ก็ไม่ได้โกรธหนิ”
“ถ้าเสียใจก็บอกมาสิว่าเสียใจ ถ้านายพูดมา ฉันก็จะได้อธิบายให้นายฟังได้ไง…แต่ถ้านายไม่พูดแบบนี้ ฉันจะแก้ไขอะไรได้ล่ะ”
“ช่างมันเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้วไปสระผมก่อนไป”
ยูแจพูดตอบกลับไปอย่างไม่สนใจก่อนจะเอนตัวนอนลง ถึงแม้ว่าจะแกล้งทำเป็นเล่นกาเกาทอล์กรอ แต่ฮันจุนก็ยังไม่คิดที่จะขยับเขยื้อนไปไหน พอสายตาของเขาเลื่อนมองผ่านเหนือโทรศัพท์ขึ้นไปก็เห็นว่าฮันจุนกำลังนั่งเกาศีรษะอยู่
“นี่”
“มีอะไร”
“วันนี้นายเพิ่งเคยดูมวยครั้งแรกนี่ นายว่าฉันเป็นไงบ้าง”
เขาได้แต่เม้มริมฝีปากแล้วเกาศีรษะพลางครุ่นคิดว่าจะพูดอะไรออกไปดี ถึงจะเพิ่งเคยเห็นฮันจุนอยู่บนสังเวียนเป็นครั้งแรก แต่เขากลับจำไม่ได้เลยว่าฟอร์มของฮันจุนเป็นอย่างไร หรือมีเทคนิคแบบไหน สิ่งเดียวที่เขาประทับใจและจำติดตาได้ก็คือภาพตอนที่ฮันจุนถูกต่อยเข้ากลางศีรษะจนได้ยินเสียงดังพลั่ก
“ไอคิวหายไปหมดแล้วมั้ง”
ฮันจุนหัวเราะแห้งๆ กับคำตอบที่แสนตรงไปตรงมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคาดไม่ถึงกับคำตอบนั้นหรือเปล่า เขาถึงได้นิ่งไปแล้วเหม่ออยู่สักพัก ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ แล้วหัวเราะออกมา
พอได้เห็นรอยยิ้มที่ดูเหมือนคนโง่นั้นของฮันจุน ยูแจก็เผลอหลุดยิ้มตามออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้นเอาไว้ได้ นี่คือซอฮันจุนคนที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาชอบฮันจุนที่เป็นแบบนี้จนอยากที่จะหยุดเวลาเอาไว้อย่างนั้น ยูแจโยนโทรศัพท์ออกไปก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
หลังจากที่เสียงหัวเราะเริ่มเบาลง ฮันจุนก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบหน้าพลางถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยิบโน้ตบุ๊กมา
“ไหนๆ ก็ซื้อมาแล้ว เรามาลองเปิดดูกันสักครั้งเถอะ”
ยูแจนิ่งเฉยปล่อยให้ฮันจุนแกะกล่อง ข้างในนั้นมีโน้ตบุ๊กขนาดเล็กสเป็กไม่สูงอยู่ เขาเลือกซื้อสีดำที่ดูเข้ากับฮันจุนมาให้ เดิมทีโน้ตบุ๊กมันก็เล็กอยู่แล้ว ยิ่งพอฮันจุนถือขึ้นมา มันก็ยิ่งดูเล็กขึ้นไปอีก
“โคตรเบาเลยอะ”
ฮันจุนพึมพำพลางใช้ปลายนิ้วลูบไล้โน้ตบุ๊กอย่างทะนุถนอม เขาลูบสัมผัสฟิล์มที่ยังไม่ได้ลอกออก จากนั้นเปิดฝาพับโน้ตบุ๊กขึ้นแล้วจ้องมองด้านใน ดวงตาที่ลากไล้มองทุกส่วนอย่างพินิจส่องประกายแวววับ ถึงแม้ว่าฮันจุนจะไม่สามารถแสดงท่าทีดีใจออกมาได้อย่างสบายใจแบบเต็มที่ แต่สายตานั้นมันก็ช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน
ที่เขาซื้อมันมาก็เพราะอยากเห็นใบหน้านั้น
“ถึงสเป็กจะต่ำและหน้าจอค่อนข้างเล็ก แต่มันก็พอแล้วสำหรับใช้ในการทำงาน”
ยูแจอธิบายออกไปสั้นๆ ทางด้านฮันจุนเองก็พยักหน้ารับอย่างเงียบๆ ก่อนจะลองวางมือลงบนคีย์บอร์ด เขารู้สึกเขินอยู่หน่อยๆ เพราะตัวเครื่องมันเล็กขนาดที่ว่าถ้าวางมือทั้งสองข้างลงไปแล้วก็แทบจะไม่มีที่ว่างเหลืออยู่เลย หากจะบอกว่ามันเป็นโน้ตบุ๊กที่มีขนาดเล็กกว่าของเขาเกือบครึ่งหนึ่งก็นับว่าไม่เกินจริงเลยสักนิด ทว่ายูแจก็จำใจต้องซื้อรุ่นนี้มาอย่างไม่มีทางเลือก เพราะเขาต้องคอยรักษาขอบเขตเพื่อไม่ให้ฮันจุนรู้สึกลำบากใจจนเกินไป
ฮันจุนจับโน้ตบุ๊กพลิกไปมาดูทุกซอกทุกมุม เมื่อโน้ตบุ๊กเครื่องเล็กๆ นี้น่าจะไม่มีอะไรให้ดูอีกแล้ว เขาก็ใช้ปลายเล็บครูดลงบนสติ๊กเกอร์ที่แปะอยู่ด้านหลังเบาๆ พลางขยับนิ้วเท้าไปมาอย่างคนที่กำลังดีใจ
“ขอบคุณนะ”
ฮันจุนพูดคำนั้นออกมาในขณะที่ก้มหน้าลงเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง อีกทั้งน้ำเสียงท้ายประโยคนั้นสั่นเครือก่อนที่ตัดจบลง
คงจะเมาแล้วสิท่า ใครยื่นแก้วมา ก็เล่นรับมาดื่มซะหมด
ยูแจจงใจแกล้งทำเป็นเกรี้ยวกราดตอบกลับไป
“อะไรของนาย ฉันจะเอาไปรีฟันด์”
ฮันจุนหัวเราะออกมาจนตัวงอกระทั่งศีรษะทิ่มไปด้านหน้า เลือดไหลย้อนลงไปที่ใบหน้าจนขึ้นสีแดงก่ำ ความร้อนที่มารวมกันอยู่บนใบหน้าเป็นจุดๆ นั้นเหมือนกับใบหน้าที่เห็นแวบๆ บนสังเวียนไม่มีผิด ใบหน้ายามที่ถูกซึงมินกอดจมอกจนแทบหายใจไม่ออก
ยูแจหุบยิ้มลงอย่างเชื่องช้าก่อนจะยื่นมือออกไป
มือเขาค่อยๆ ลูบไล้แผ่นหลังของฮันจุนอย่างช้าๆ ก่อนจะเลื่อนผ่านไปยังต้นคอ ผิวบริเวณที่ฝ่ามือลูบผ่านนั้นร้อนผะผ่าวและขึ้นสีระเรื่อ เขาสอดนิ้วเข้าไปในกลุ่มผมที่เปรอะเปื้อนครีมสดแล้วลองเริ่มขยับมือลูบเบาๆ สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าด้านข้างของฮันจุน เริ่มไล่พินิจมองตั้งแต่เปลือกตา ริมฝีปาก ไปจนถึงการขยับเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้านั้น
ยูแจกลืนน้ำลายดังเอื๊อกจนพาให้ลูกกระเดือกขยับไหวขึ้นลงอย่างเห็นได้ชัด เขาเห็นดวงตาบนใบหน้าด้านข้างนั้นกะพริบตาอยู่สองสามครั้งพลางหายใจเข้าออกอย่างไร้สุ้มเสียง เขาไล้มือลงมาผ่านต้นคอนั้นอีกครั้งพลางแอบเงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจที่สั่นไปชั่วขณะหนึ่ง ยูแจลอบสังเกตอยู่เงียบๆ โดยไม่ปล่อยให้ทุกการเคลื่อนไหวบนใบหน้าที่แตกต่างกันออกไปในทุกวินาทีนั้นหลุดลอดไปจากสายตา
ดวงตาของฮันจุนที่ก่อนหน้านี้กำลังจ้องมองอากาศอันว่างเปล่าค่อยๆ เลื่อนมามองทางยูแจอย่างช้าๆ ก่อนจะจ้องหน้ายูแจด้วยแววตาที่วูบไหวด้วยความสับสน
“นายจะทำอะไรน่ะ”
ยังไม่ทันที่ยูแจจะได้ชักมือกลับไป ฮันจุนก็ลุกพรวดขึ้น เขาใช้มือสางผมจัดทรงให้เข้าที่เข้าทางอย่างลวกๆ แล้วทำเป็นกระแอมออกมา
“ฉันไปก่อนนะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“โอเค”
ยูแจเอนหลังนอนลงบนเตียงพลางฟังเสียงยามที่กายของฮันจุนเคลื่อนไหว เสียงสวบสาบของเสื้อผ้าที่เสียดสีกันขณะที่ฮันจุนเดินไปยังประตูทางเข้าแล้วหารองเท้า เสียงประตูห้องที่เปิดและปิดลงหลังจากที่มีเสียงดังโครมครามอยู่ครู่หนึ่ง
ยูแจจ้องเพดานพลางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดบรรยากาศอันเงียบสงบก็กลับมา ทว่าภายในใจเขากลับไม่ได้รู้สึกสงบลงตามเลยแม้แต่นิดเดียว
“นี่ นายก็ดูหน้าจอของนายดิ อึดอัดจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
ฮันจุนที่รู้สึกทนไม่ไหวแล้วเอาศอกถองเข้าสีข้างของยูแจ เมื่อโดนศอกกระแทกไปทีหนึ่ง โชยูแจที่ก่อนหน้านี้ทำเป็นตีหน้าซื่อจึงยอมล่าถอยออกมา
โต๊ะที่มีให้ในโคชีเทลนั้นมีขนาดพอดีสำหรับนั่งกินข้าวได้แค่คนเดียว พอวางโน้ตบุ๊กสองเครื่องและไก่ทอดลงบนโต๊ะ พื้นที่จึงแคบลงทันตา ซ้ำร้ายโชยูแจก็ยังเอาแต่วอแวก่อกวนอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาพลางขำคิกคักที่คีย์บอร์ดมันเล็กมากเมื่อเทียบกับมือของเขา อีกฝ่ายก่อกวนจนเขาหาข้อมูลสำหรับทำรายงานไม่ได้เลยแม้แต่หน้าเดียว
จู่ๆ ยูแจก็ยื่นหน้าเข้ามาถามในขณะที่ฮันจุนกำลังกวาดสายตาอ่านข่าวที่เสิร์ชเจอคร่าวๆ อยู่
“นายตั้งพาสเวิร์ดโน้ตบุ๊กไว้ว่าอะไรเหรอ”
“นายจะอยากรู้รหัสฉันไปทำอะไร”
“เปล่า พอมาคิดดูแล้วก็แค่อยากลองทายดูเฉยๆ น่ะ วันเกิดนายก็วันเกิดเจ้าโน้ตบุ๊กนี่เหมือนกัน นายเกิดวันที่ 7 พฤษภา เพราะงั้นถ้าเอามารวมกันก็จะเป็น 0507 เอามาตั้งเป็นพาสเวิร์ดก็เท่ดีออกไม่ใช่หรือไง”
ยูแจทำทีเป็นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงน่ารัก ฮันจุนพลันรีบเม้มริมฝีปากที่เผลอหลุดยิ้มเข้าหากันแน่น แล้วโบกมือไล่ยูแจ
“นี่ ถ้าไม่มีอะไรจะทำก็ไปนอนซะไป”
“ไม่เอาอะ ฉันไม่กวนแล้วก็ได้”
ยูแจพูดจบก็เอาส้อมจิ้มไก่ไม่มีกระดูกที่เหลือเป็นชิ้นสุดท้ายแล้วเอาเข้าปาก เขาเคี้ยวไก่เต็มปากเต็มคำพลางถือโน้ตบุ๊กไปด้วยมือข้างเดียว ก่อนจะไปนั่งลงบนเตียงของเจ้าของห้องโดยไม่ได้รับอนุญาต พอฮันจุนรีบหันขวับกลับไปค้อนสายตามอง ยูแจก็ตอบกลับมาอย่างหน้าไม่อาย
“ก็นายบอกเองนี่ว่าอึดอัด เพราะงั้นเดี๋ยวฉันนั่งอยู่ตรงนี้แหละ”
ฮันจุนหันกลับมาเงียบๆ แล้วเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการหาข้อมูลอีกครั้ง เขาจะต้องเลือกเฉพาะเนื้อหาสำคัญจากข้อมูลที่ไปคัดลอกเอามาวางไว้แล้วเรียบเรียงใหม่ให้เรียบร้อย เขาจ้องไปที่บรรทัดแรกของบทความที่น่าจะอ่านมาเป็นรอบที่ร้อยแล้ว ในระหว่างที่กวาดสายตามองบทความที่ยังไม่เคยได้อ่าน หลายสิ่งหลายอย่างในหัวเขามันก็ยิ่งตีรวนชวนให้สับสนมากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่โชยูแจสมัครเข้าชมรมไฟต์คลับมา พวกเขาก็มีเวลาอยู่ร่วมกันมากขึ้น อีกทั้งคลาสเรียนก็ทับซ้อนกันเกือบจะทั้งหมด เพราะอย่างนั้นจึงเรียกได้ว่าตอนนี้เขากับยูแจเจอหน้ากันบ่อยเสียยิ่งกว่าตอนสมัยอยู่มัธยมปลายอีก ต่อให้จะไม่ได้ชกมวยด้วยกันตลอดทั้งวันก็ตาม
ตำแหน่งของยูแจกับฮันจุนในชมรมไฟต์คลับนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับในสโมสรนักศึกษาที่พวกเขามีจุดยืนอยู่ในจุดเดียวกัน อันดับแรก ในชมรมไฟต์คลับนั้นแทบจะไม่มีนักศึกษาปีหนึ่ง และบรรดาพวกนักศึกษาปีหนึ่งไม่กี่คนเหล่านั้นก็ไม่มีใครที่เป็นมือใหม่เหมือนโชยูแจ ถึงแม้ที่โรงยิมจะมีพวกรุ่นพี่คอยตั้งใจช่วยสอน แต่ยูแจกลับวิ่งโร่ไปหาฮันจุนที่ด้านนอกโรงยิมอยู่เสมอ
และเป็นแบบนี้แทบจะทุกวัน
แม้จะเป็นเพื่อนกันมานาน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มันเป็นแบบนี้ ตอนเรียนก็ได้คะแนนใกล้เคียงกัน หรืออย่างตอนที่สนุกสนานกับการเล่นบาสหรือฟุตบอลเป็นงานอดิเรก ความสามารถก็สูสีกันเลยทำให้เข้าขากันได้เป็นอย่างดี แต่ครั้งนี้ฮันจุนกลับเป็นฝ่ายที่ต้องคอยสอนยูแจอยู่ฝ่ายเดียว โชยูแจเป็นคนอยากรู้อยากเห็นไปหมดเสียทุกเรื่องและมีสิ่งที่สงสัยมากมาย เจ้าตัวมักจะส่งข้อความมาถามโน่นถามนี่กับเขาเสมอเมื่อมีโอกาส ทุกคาบว่างตลอดทั้งสัปดาห์พวกเขาก็มักจะออกมาเจอกันแล้วพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของการชกมวย บางครั้งก็สั่งไก่ทอดมากินกันแบบนี้ระหว่างที่คุยกันไป
แทนที่จะรู้สึกรำคาญ ฮันจุนกลับรู้สึกอารมณ์ดีเสียด้วยซ้ำ เขารู้สึกสนุกที่ได้แสดงภาพลักษณ์ที่ดูดีให้ยูแจได้เห็น รวมถึงรู้สึกสนุกที่ยูแจชอบในสิ่งที่ตัวเองสนใจด้วย แม้ว่าเขามักจะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวขึ้นมาบ่อยครั้งยามอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกดีอยู่ดี ยกเว้นเสียก็แต่เรื่องอาการประหม่าของเขายามอยู่ด้วยกันกับอีกฝ่าย
ร่างกายของเขามักจะร้อนผ่าวทุกครั้งยามที่ถูกสัมผัสด้วยมือของยูแจ ร้อนผ่าวทุกครั้งยามที่รู้สึกได้ถึงสายตาที่อีกฝ่ายจ้องมองมา แม้กระทั่งในตอนนี้ ฮันจุนก็ยังรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองมาจากทางด้านหลังของเขา จนมีบ้างบางครั้งที่เขาเกิดเข้าใจผิดคิดว่ายูแจอาจจะกำลังลอบมองใบหน้าของเขาอยู่
โคตรเพ้อเจ้อ
แต่ไหนแต่ไรมายูแจก็มักจะชอบสบตายามพูดคุยกันอยู่แล้ว เพียงแค่เพราะชอบ เขาก็เลยยิ่งรู้สึกมากขึ้นก็เท่านั้นเอง ทั้งๆ ที่ยูแจมองออกว่าเขาแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้สึกอะไรแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังปล่อยผ่านแล้วทำตัวเหมือนสมัยก่อนโดยไม่ได้รู้สึกกังวลใดๆ อีกทั้งสัมผัสและสายตาที่จ้องมองมานั้น มันไม่ต่างไปจากการทรมานเขาเลยสักนิด
“นี่”
ฮันจุนได้ยินเสียงของโชยูแจอยู่ใกล้ๆ ทั้งที่นึกว่าอีกฝ่ายนั้นนั่งอยู่บนเตียงที่อยู่ห่างออกไป ฮันจุนสะดุ้งโหยงแล้วหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นโชยูแจกำลังยืนจับพนักพิงเก้าอี้ที่เขานั่งอยู่ ยูแจหัวเราะพลางขมวดคิ้วมองเป็นเชิงถามว่าจะตกใจอะไรขนาดนั้น
“อีกเดี๋ยวก็จะออกไปโรงยิมแล้วสินะ?”
“ไม่อะ วันนี้สอนพิเศษเสร็จแล้วน่าจะเหนื่อยน่ะ”
“โอเค ถ้างั้นฉันพักด้วยดีกว่า เดี๋ยวอาทิตย์หน้าเซกนายต้องไปเอ็มที* กัน เพราะงั้นเรามาพักผ่อนทำตัวชิลๆ สบายๆ จนกว่าจะถึงวันนั้นกันเถอะ”
“เอ็มทีเซกฉันนายยังจะตามมาอีกเหรอ”
“ทำไมอะ ทีเพื่อนเซกอื่นเขายังมาร่วมแจมกันได้เลย”
ยูแจเบ้ปากพลางทำเป็นเชิดหน้างอนอย่างซุกซน ฮันจุนอ่านบทความไปได้อีกสองบรรทัด ยูแจก็ยัดโน้ตบุ๊กใส่กระเป๋าและยกขึ้นสะพายไหล่แล้ว
ยูแจที่เตรียมตัวจะกลับเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาใกล้ๆ ก่อนที่ฮันจุนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างเหนื่อยใจแล้วเงยหน้าขึ้น ยูแจกำลังส่งยิ้มมาให้ทั้งที่ยังคงวางกำปั้นไว้กลางกระหม่อมของฮันจุนอยู่
“ฉันไปก่อนนะ”
“อื้อ”
มือที่ก่อนหน้านี้วางอยู่บนศีรษะราวกับการแหย่กันเล่นของเด็กๆ ค่อยๆ เลื่อนลงมาเฉียดผ่านใบหู บริเวณที่ถูกมือของอีกฝ่ายสัมผัสนั้นร้อนผะผ่าว ฮันจุนเอาแต่จ้องมองไปที่ขอบของโน้ตบุ๊ก โดยกะว่าจะรอจนกว่ายูแจจะเป็นฝ่ายถอยออกไปก่อน ทว่ายูแจกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
ความรู้สึกนี้อีกแล้ว
นับเป็นอีกครั้งที่ฮันจุนรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา ฮันจุนพลันรู้สึกเสียววูบวาบจนขนอ่อนลุกชันตั้งแต่ขมับลามไปจนถึงแก้ม ทำเอาเขาสะดุ้งเล็กน้อยจนเผลอเชิดคางขึ้น
ทันทีที่สายตาสอดประสานกัน ยูแจก็หัวเราะออกมาน้อยๆ ก่อนจะตบไหล่ฮันจุนดังปุๆ จากนั้นจึงหันหลังเดินออกไป
“เฮ้อ…”
ทันทีที่ประตูปิดลงฮันจุนก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
เกือบตายแล้วเรา
ฮันจุนพยายามที่จะทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกันก็เพราะว่าดันเกิดความต้องการทางเพศขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่าการทำแบบนั้นจะทำให้เขารู้สึกเหนื่อยมากจนเกินไป ฮันจุนพยายามรวบรวมสติที่กระจัดกระจาย ควบคุมจิตใจที่ฟุ้งซ่านแล้วกลับมาจดจ่อกับโน้ตบุ๊กตรงหน้าอีกครั้ง หลังจากที่อ่านบทความอย่างละเอียดไปหนึ่งย่อหน้า เขาก็คัดเลือกแค่ข้อมูลที่จำเป็นเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็มองมือของตัวเองที่วางอยู่บนคีย์บอร์ด
‘อย่างนายน่ะ ใช้มือแค่ข้างเดียวก็คงปิดมิดหมดแล้ว’
คำพูดที่ยูแจเคยพูดขณะเดินร่อนไปร่อนมาอยู่รอบๆ ตัวดังสะท้อนก้องอยู่ในโสตประสาท ฮันจุนกางฝ่ามือออก ก่อนจะลองวางลงบนคีย์บอร์ดดู ความร้อนวูบวาบที่ชวนจั๊กจี้ไล่ลามตั้งแต่ท้ายทอยขึ้นมาจนถึงกระหม่อมราวกับว่ามีใครบางคนเอาริมฝีปากมาแนบชิดใบหูแล้วหัวเราะเบาๆ มันเป็นเสียงที่ราวกับเสียงหัวเราะของยูแจ
“…อ้า ให้ตายเหอะ”
ฮันจุนหลับตาลงแน่นพยายามข่มความรู้สึกหงุดหงิดลงไป ความรู้สึกวาบหวามเอ่อล้นทะลักออกมาจนเต็มไปทั่วภายในท้อง แม้ว่ามันจะไม่ใช่การกระทำที่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เขาก็แค่ถอดกางเกงออกแล้วรูดรั้งชักขึ้นชักลงเพื่อรีดเค้นเอาความรู้สึกนั้นออกไปก็เท่านั้นเอง ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกทรมานใจทุกครั้งที่ทำมัน
เพราะนั่นเป็นสัญญาณว่าความต้องการที่แสนเลือนรางของเขามันกำลังค่อยๆ ก่อตัวและชัดเจนมากยิ่งขึ้น
จูบของยูแจจะเป็นยังไงกันนะ
การที่เขาจินตนาการถึงสีหน้าของตัวเองยามที่กำปั้นของยูแจซึ่งวางอยู่บนเหนือศีรษะนั้นเลื่อนลงมาผ่านแก้มและใบหู มันยังทำให้เขารู้สึกใจเต้นแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่เขานึกสงสัยว่ายูแจจะทำหน้าอย่างไรยามที่ช่วยตัวเองเสียอีก จะว่าไปแล้วในกรณีหลังนั้น ดูเหมือนฮันจุนจะจินตนาการภาพนั้นได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังรู้สึกละอายแก่ใจมากไปกว่าเดิมอีกด้วย
เขายังจำมือของยูแจที่ลูบไล้ต้นคอเขาโดยที่เจ้าตัวไม่ทันได้คิดอะไรได้อยู่เลย
ถ้าหากมือนั้นมันล้วงเข้าไปในกางเกงล่ะ มันจะเป็นยังไงนะ
หลังจากจินตนาการไปเรื่อยๆ ได้สักพัก กางเกงชั้นในของเขาก็เริ่มเปียกชื้น พอก้มลงมองดูส่วนนั้นที่อยู่ตรงกลางระหว่างขาซึ่งกำลังขยายตัวขึ้นมา เขาก็พลันรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาในทันที…
ทั้งๆ ที่เราแข็งจนปวดหนึบขนาดนี้ ยังมีหน้าไปทำเป็นอวดดีสอนมวยให้หมอนั่นอีก
เขาไม่ได้อยากมีอารมณ์เลยสักนิด ฮันจุนพยายามอดกลั้นทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะวางมือลงบนคีย์บอร์ดอีกครั้ง หน้าจอนั้นดับมืดลงไปแล้วหลังจากที่ละทิ้งไปพักหนึ่ง มือที่กำลังจะพิมพ์พาสเวิร์ดลงไปกลับหยุดชะงักค้างกลางอากาศ
gkswns0507
พอนึกถึงพาสเวิร์ดที่นำวันเกิดมาใช้ในการตั้ง ภาพยูแจที่ยิ้มแก้มปริจนตาปิดก็ผุดขึ้นมาในหัว
ฮันจุนจ้องมองหน้าจอโน้ตบุ๊กที่มืดสนิทอยู่พักหนึ่ง ภายในห้องที่ไร้ผู้คน จู่ๆ เขาก็นึกถึงสายตาชวนวาบหวิวที่ไล้มองแก้มและใบหูอีกครั้งหนึ่ง สายตาที่ไล่พินิจมองอย่างเชื่องช้า และมือที่กุมต้นคอของเขา
ฮันจุนขบริมฝีปากล่างเบาๆ พลางควบคุมลมหายใจ เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แผ่นอกเขาก็ดันเสื้อยืดตัวบางขึ้นมา ทันทีที่เห็นยอดอกเล็กแข็งเป็นไตค่อยๆ นูนขึ้นและดันเสื้อยืดออกมา เขาก็รีบพับจอปิดโน้ตบุ๊กลงอย่างรวดเร็วในทันที เพราะภาพของตัวเองที่กำลังสะท้อนอยู่บนหน้าจอ ในขณะเดียวกันนั้นขนทั่วกายเขาพลันลุกเกรียวไปตามแนวกระดูกสันหลัง
ทั้งที่พยายามจะลบเลือนภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้ ทว่าเขากลับเผลอก้มศีรษะลงมองส่วนนั้นที่อยู่ข้างล่างบ่อยๆ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองนั้นเหมือนคนโง่ แต่เขาก็ไม่สามารถอดทนเอาไว้ได้เลย ยิ่งรู้สึกดีกับมันมากเท่าไร ความรู้สึกของเขาที่มีต่อยูแจมันก็ยิ่งลึกซึ้งและอ่อนไหวมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะพยายามอดกลั้นมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
สายตาของเขา เสื้อยืดตัวบาง และยอดอกที่แข็งเป็นไตนูนออกมา
ฮันจุนวางมือลงบนโต๊ะทั้งที่ยังคงกัดริมฝีปากเอาไว้ เขากำหมัดแน่นแล้วลองต่อต้านกับความรู้สึกนี้ดู ทว่าภาพใบหน้าของโชยูแจยามจ้องมองมาที่ตัวเองนั้นกลับผุดขึ้นมาเต็มไปหมด สายตาที่คอยเฝ้ามองใบหน้าของเขายังคงตราตรึงอยู่ในใจ ฮันจุนเริ่มลูบคลำส่วนนั้นที่อยู่ตรงหว่างขาด้วยฝ่ามืออีกข้างที่ก่อนหน้านี้วางพาดอยู่บนตัก
อวัยวะส่วนนั้นอยู่ในสภาพที่แข็งตัวชูชันจนเห็นเป็นรอยนูนเด่นชัดขึ้นมาราวกับว่าไม่มีความคิดที่จะเก็บซ่อนความกระสันนั้นเอาไว้เลย เมื่อเขาเอามือกอบกุมส่วนบนแล้วนวดคลึงมันซ้ำไปซ้ำมาช้าๆ ท่อนลำที่ถูกจับเอาไว้ก็แข็งตัวขึ้นเต็มที่ ฮันจุนเอามือล้วงเข้าไปในกางเกง โดยที่ฝืนใจไม่ก้มลงไปมอง
“ฮึก”
กางเกงชั้นในเปียกชื้นแนบสนิทกับหลังมือ กลิ่นคาวความเป็นชายคลุ้งกระจายไปทั่ว เพียงแค่เขาบดคลึงหยอกล้อส่วนนั้นไปเรื่อยๆ จนถึงใต้ถุงกลมกลึง น้ำลายก็พลันเอ่อไหลออกมาเต็มโพรงปาก ฮันจุนพยายามสกัดกั้นกลืนชื่อที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากเอาไว้
เขาไม่อยากเรียกชื่อ ไม่อยากจินตนาการให้มันละเอียดไปมากกว่านี้ เขาเพียงแค่อยากรีบๆ ปลดปล่อยความต้องการออกมาแล้วใช้เวลาที่เหลือทำการบ้านให้เสร็จ…
ถ้ามือที่เคยลูบท้ายทอยนั่นเปลี่ยนมาบดขยี้ยอดอกที่แข็งเป็นไตสู้มือนี่ล่ะ…?
เพียงเสี้ยววินาทีเดียวที่สติล่องลอยไป ลมหายใจของเขาก็พลันหอบกระเส่าขึ้น กว่าจะรู้สึกตัวอีกที มืออีกข้างของเขาก็เลื่อนมาบดขยี้ตุ่มไตนั่นผ่านเสื้อตัวบางที่สวมใส่อยู่แล้ว มือของเขาขยับมารังแกบีบดึงยอดอกที่กำลังแข็งขืนเต็มที่นั้นอย่างรุนแรง ราวกับว่ามือของเขากำลังขยับไปตามความต้องการของคนอื่นที่ไม่ใช่ความต้องการของตัวเอง มือใหญ่ของโชยูแจที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปน ฮันจุนนึกถึงภาพมือแกร่งที่กำลังบีบลูกบาสจนแทบจะแตกพลางใช้มือกอบกุมกล้ามหน้าอกของตัวเอง ก่อนจะบีบขยำฟอนเฟ้นมันอย่างรุนแรง
“ฮึก!…อึก ฟู่…”
มือข้างที่สอดอยู่ในกางเกงกำลังรูดรั้งแกนกายขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ส่วนแข็งขืนที่โดนมือสัมผัสอยู่นั้นทั้งแข็ง ทั้งร้อนผ่าวและเปียกชื้น กล้ามเนื้อบริเวณน่องแข็งตึงเนื่องจากเขาเกร็งเท้าจิกพื้นสุดแรง
หน้าอกฝั่งซ้ายถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจนชาวาบไร้ความรู้สึก ฮันจุนดึงมือที่กำลังช่วยตัวเองออกแล้วล้วงเข้าไปในเสื้อ ก่อนจะใช้ปลายนิ้วบดคลึงยอดอกฝั่งขวาที่แข็งเป็นไตอย่างนุ่มนวล มือที่ชื้นไปด้วยเหงื่อเสียดสีกับมันจนแข็งตั้งเป็นไต เมื่อแกนกายและยอดอกทั้งสองข้างถูกกระตุ้นเร้าจนเห่อร้อน ฮันจุนก็จินตนาการถึงแววตาอันดิบเถื่อนของโชยูแจขึ้นมา
หยาดน้ำหล่อลื่นเอ่อไหลออกมาจากส่วนปลายแกนกายจนได้ยินเสียงเฉอะแฉะเคล้าไปกับเสียงครางที่พยายามข่มกลั้นเอาไว้ ทำเอาโสตประสาทของเขาอ่อนไหวมากยิ่งขึ้นไปอีก พอประสาทการรับเสียงเริ่มทำงาน ฮันจุนก็ก้มลงไปมองที่หว่างขาที่ตนพยายามเมินเฉยมันมาจนถึงตอนนี้ แกนกายที่ถูกควักออกมานอกกางเกงนั้นขยายตัวจนปวดคัดเต็มที่ สีของมันไม่ต่างไปจากยอดอกที่ปรากฏให้เห็นวับแวมผ่านคอเสื้อ ความรู้สึกทั่วสรรพางค์กายพลุ่งพล่านพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัวจนแทบจะระเบิดออกมา
ทว่ามันยังไม่พอ
แต่ต่อให้มันจะยังไม่พอก็ไม่เป็นไร เพราะอย่างไรเสียมันก็ควรที่จะเป็นอย่างนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ริมฝีปาก…เขานึกถึงภาพมุมปากของยูแจยามที่ขบเม้มบดเบียดเข้าหากันอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะเผลออ้าออกอย่างช้าๆ ฮันจุนหลับตาลงพลางส่งเสียงครวญครางเพื่อที่จะได้เห็นภาพโชยูแจยามลิ้มเลียยอดอกและแกนกายของตัวเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
“อ๊ะ…!”
ฮันจุนหอบหายใจถี่กระเส่าพลางเอาหน้าผากแนบลงกับต้นแขน เพราะหลับตาแน่นเกินไป ยามลืมตาขึ้นมาอีกครั้งภาพตรงหน้าจึงได้พร่าเลือนไปหมด เขารู้สึกว่าลมหายใจที่สั่นสะท้านกำลังค่อยๆ สงบลง ก่อนจะก้มลงมองดูกางเกงชั้นในที่เปียกเลอะของตัวเอง
นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย
ฮันจุนค่อยๆ ยืดตัวนั่งหลังตรงแล้วย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ นี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาจินตนาการภาพของโชยูแจยามทำเรื่องอะไรพวกนี้
สุดท้ายแล้วฮันจุนก็เผลอจินตนาการภาพพวกนั้นขึ้นมาจนได้ ภาพท่าทีของโชยูแจที่ไม่สมกับเป็นเจ้าตัว และสายตาที่ชอบจ้องมองมาที่เขาอย่างโจ่งแจ้งในช่วงนี้
ฮันจุนเหม่อลอย ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง ในขณะที่กวาดสายตามองภายในห้องอันว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งร่องรอยของยูแจ อัตราการเต้นของหัวใจก็ค่อยๆ ผ่อนคลายจนกระทั่งสงบลง เขาก้มมองมือที่เหนียวเหนอะหนะไปด้วยน้ำรักแล้วอ้าปากค้าง ริมฝีปากแห้งผากเห่อร้อนไปหมด หลังจากที่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ เขาก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน แล้วแค่นหัวเราะออกมา
ทั้งที่เราก็ไม่ได้ทำแบบนี้แค่ครั้งสองครั้ง…แต่ทำไมถึงได้เศร้าขนาดนี้กันนะ
ฮันจุนลุกขึ้นยืนแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ ใบหน้าของตัวเองที่เขาเห็นทันทีที่เดินเข้าไปในห้องน้ำซึ่งสะท้อนอยู่ในกระจกนั้นยังคงแดงระเรื่อ เขาละสายตาจากกระจกแล้วถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็ไปยืนอยู่ใต้ฝักบัวแล้วเริ่มชำระล้างสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้จนสะอาด
สายน้ำที่ไหลลงมาไม่ขาดสายได้ชะล้างความรู้สึกผิดในใจนี้ออกไปได้อีกครั้งหนึ่ง
Chapter 7-4
ถึงจะได้ชื่อว่าเป็น ‘กิจกรรมเอ็มทีของคนในเซก’ แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว เอ็มทีในครั้งนี้นักศึกษาส่วนใหญ่ที่เรียนอยู่ต่างคณะก็มาลงชื่อเข้าร่วมกันโดยไม่สนว่าตัวเองจะอยู่เซกไหน พูดง่ายๆ ก็คือทุกคนที่ไปต่างก็รู้จักกันหมด
ทั้งที่ฮันจุนตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่คาดหวังอะไรกับการไปเอ็มทีครั้งนี้มากนัก แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว เมื่อถึงวันจริงเขากลับรู้สึกอารมณ์ดีมาก เพราะวันๆ ที่ผ่านมาเขาก็วนเวียนอยู่กับแค่ห้องเรียนและโรงยิมที่มีแต่กลิ่นเหงื่อ พอนึกถึงทะเลขึ้นมาก็พาให้เขารู้สึกตื่นเต้นทันที ฤดูใบไม้ผลิในช่วงเดือนพฤษภาคมนั้นค่อนข้างอบอุ่น ท้องฟ้าก็เป็นสีฟ้าและโปร่งโล่งไม่มีเมฆเลยแม้แต่ก้อนเดียว การได้พูดคุยเรื่องไร้สาระกับคนที่คุ้นหน้าคุ้นตากันในบรรยากาศแบบนี้ก็สนุกดีเหมือนกัน
ยูแจสูดอากาศเข้าไปจนเต็มปอดก่อนจะเงยหน้ามองดูท้องฟ้า ท้องฟ้าที่อึลวังรี* นั้นแจ่มใสต่างไปจากความคิดในหัวของเขาที่ขุ่นมัวไปหมดเพราะซอฮันจุน สายลมเย็นสบายพัดหอบเอากลิ่นอายของทะเลโชยมา
ในทัศนวิสัยการมองเห็นของเขาที่เต็มไปด้วยภาพของท้องฟ้านั้นมีกระหม่อมของซอฮันจุนโผล่มาให้เห็นอยู่ที่ริมขอบของสายตา ฮันจุนกำลังถ่ายรูปท้องฟ้าพลางหยีตาลงจนเรียวเล็กเพราะแสงแดดที่ส่องลงมา
“ว้าว สวยจัง”
เจ้าตัวพูดคนเดียวไปพลางอุทานไปพลาง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรูปไม่ถูกใจหรือเปล่า ฮันจุนถึงได้เปลี่ยนมุมถ่ายรูปไปหลายครั้งเพื่อเก็บภาพต่างๆ ของชายหาดเอาไว้ในมือถือ
จริงจังกับภาพถ่ายขนาดนั้นเลยหรือไง
ยูแจไม่เคยเห็นท่าทางแบบนี้ของฮันจุนมาก่อน อันที่จริงพวกเขาไม่เคยไปเที่ยวแบบจริงๆ จังๆ เลยสักครั้งจนถึงตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้ถ่ายรูปด้วยกันบ่อยนัก
ฮันจุนตั้งใจเลือกรูปภาพโดยค่อยๆ กดมือถือไล่ดูทีละรูปราวกับว่ากำลังเลือกรูปเพื่อที่จะส่งไปให้ใครสักคนอยู่ ยูแจจึงแอบเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วถามขึ้น
“จะส่งไปอวดหรือไงว่ามาทะเล”
“อื้อ พี่ซึงมินบอกว่าพวกพี่เขาเองก็จะมาด้วย”
ซึงมิน? นี่นายส่งรูปไปให้ชีซึงมินงั้นเหรอ นายควรดื่มด่ำกับทิวทัศน์อันสวยงามที่อยู่ตรงหน้านี้ก่อนไหม เอาแต่ยุ่งอยู่กับการถ่ายรูปส่งไปให้คนอื่นอยู่นั่นแหละ
เขารู้สึกไม่ชอบขี้หน้าซึงมิน ถึงจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรวยมากแค่ไหน แต่ไอ้การแสดงความหวังดีทั้งที่ชาวบ้านชาวช่องไม่ได้ร้องขอตามใจตัวเอง และไอ้นิสัยที่ชอบโอ้อวดนั้นมันเหมือนกับพ่อของเขาไม่มีผิด ซึงมินมักจะให้ของขวัญแก่คนในชมรมอยู่บ่อยๆ และมีคำพูดติดปากที่ว่า ‘สำหรับคนที่อยู่ในไฟต์คลับแล้ว ฉันไม่มีอะไรให้เสียดายหรอก’
สำหรับเด็กๆ ของชมรมเราแล้ว…มั่นใจได้น่า…เล็กๆ น้อยๆ น่า…ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกน่า…ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็บอกมาได้เลย พี่อย่างนั้น พี่อย่างนี้ บลาๆๆ
มันล้วนเป็นคำพูดที่มีแต่คนโง่เง่าเท่านั้นที่จะใช้กัน
ยูแจเข้าใจวาทศิลป์ที่แสนจำเจน่าเบื่อของซึงมินเป็นอย่างดี เพราะอย่างนั้นเวลาที่สมาชิกในชมรมไฟต์คลับตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง พวกเขาจึงมักจะไปปรึกษากับซึงมินทุกครั้ง ทุกอย่างในชมรมล้วนโคจรอยู่รอบตัวเขา โดยที่มีเขาเป็นศูนย์กลางทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่ใช่ประธานชมรม มันไม่ใช่เพราะว่าทุกคนเลื่อมใสและเคารพในตัวเขา แต่มันเป็นเพราะเขาใช้เงินซื้ออำนาจในชมรม และทำให้ชมรมเหมือนกลายเป็นอะไรสักอย่างไป
ซึงมินเป็นคนประเภทที่ปกติแล้วยูแจจะไม่คบค้าสมาคมด้วย
จู่ๆ ยูแจก็นึกถึงอีอินกยูขึ้นมา อีอินกยูเป็นคนที่เขาคิดว่าแย่ที่สุดในบรรดาเพื่อนทั้งหมด และที่เขายังทนคบกับหมอนั่นอยู่ก็เป็นเพราะซอฮันจุนทั้งนั้น แต่หมอนั่นก็นับว่ายังอยู่ในระดับที่เขาสามารถอดรนทนได้เยอะกว่ามาก หากเทียบกับชีซึงมิน
พอเห็นฮันจุนกำลังส่งรูปทะเลไปให้คนแบบนั้น เขาก็พลันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ยูแจพยายามข่มความรู้สึกหงุดหงิดนั้นเอาไว้พลางวางมือลงบนแผ่นหลังของฮันจุน
เพราะสัมผัสที่เผลอทำลงไปโดยไม่รู้ตัว เป็นผลให้สายตาของฮันจุนที่กำลังจดจ้องมือถืออยู่ละออกมาทันที ในวินาทีที่สบตากับฮันจุนที่ผงะเงยหน้าขึ้นมา ยูแจก็รู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของฮันจุนนั้นสะดุ้งเหยียดขึ้นตรง ยูแจเองจึงพลอยสะดุ้งยืดหลังตรงตามไปด้วย ก่อนจะสังเกตดูท่าทีของฮันจุน
ซอฮันจุนกำลังประหม่าด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่าโดนเขาสัมผัสตัว
ทันทีที่ตระหนักได้ถึงความจริงในข้อนี้ จู่ๆ เขาก็พลันรู้สึกไม่คุ้นเคยกับร่างกายที่สัมผัสมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หมอนี่เป็นแบบนี้มาตลอดเลยหรือเปล่านะ
ยูแจเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ก่อนจะค่อยๆ ลองเลื่อนมือจากแผ่นหลังลงไปยังสะโพกช้าๆ ทั้งๆ ที่อยู่ท่ามกลางเสียงเฮฮาของเพื่อนคนอื่นๆ ที่กำลังพูดคุยกัน ทว่าร่างกายของฮันจุนที่ถูกมือขวาของเขาลูบไล้ลงไปด้านล่างเรื่อยๆ นั้นก็พลันไวต่อความรู้สึกขึ้นมา
ยูแจรู้สึกได้ว่าฮันจุนนั้นกำลังบิดตัวไปมา ฮันจุนรีบเอามือถือยัดใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง จากนั้นฮันจุนที่ดูเหมือนว่าจะหมดความสนใจในมือถือไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็เหลือบมองมาที่เขา ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะกำลังลอบเม้มริมฝีปากทำเป็นเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ยูแจรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังนึกถึงสัมผัสนั้นอยู่ตลอดเวลา
เขาไม่คิดเลยว่าการดึงดูดความสนใจจากฮันจุนมันจะเป็นเรื่องง่ายดายมากขนาดนี้ เพราะปกติแล้วฮันจุนเป็นคนที่หากมองอะไรผ่านๆ แล้วละความสนใจไปแล้วก็จะไม่หันกลับมาเก็บเอาไปใส่ใจอีก
ความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกประหลาดใจนั้นคือความพึงพอใจ ทันทีที่รู้สึกตัว ยูแจก็รีบละมือออกทันที
“เรามาแบ่งทีมเล่นเกมขี่ม้า* กันเถอะ”
จีฮุนที่ถูกเพื่อนจับโยนลงน้ำไปแล้วครั้งหนึ่งเดินมาพูดพร้อมกับทำท่าทำทางตื่นเต้น ยูแจซุกเท้าที่เหนียวเหนอะหนะเพราะเปียกน้ำทะเลลงไปในทรายอุ่นๆ พลางบ่นขึ้นมา
“นายจะยอมเป็นม้าให้คนอื่นขี่ไหมล่ะ คงไม่ได้จะมาสั่งให้ฉันเป็นม้าอีกหรอกนะ?”
“ทำไมอะ นายไม่อยากเป็นม้าให้เพื่อนที่ตัวหนักขี่หรือไง นี่นายไม่หยอกยูบินแรงเกินไปหน่อยเหรอ”
“ชินจีฮุน นายอยากตายหรือไงยะ”
ทรายที่ยูบินกำขึ้นมาถูกปาไปติดอยู่บนเสื้อยืดที่เปียกชุ่มของจีฮุน การแหย่เล่นกันขำๆ นั้นช่วยเพิ่มบรรยากาศสนุกสนานให้กับทุกคนได้อย่างรวดเร็ว ยูแจเองก็หัวเราะไปกับเพื่อนๆ ที่ส่งเสียงดังวุ่นวาย
“โชยูแจ นายกับซอฮันจุนต้องเป็นม้าให้เพื่อนขี่คอนะ ชินจีฮุนมันผอมเกิน แบกใครไม่น่าไหวอะ เพื่อนคนอื่นๆ ไม่ได้ตัวหนักขนาดนั้นหรอกน่า ดูแทยองสิ เท้าเธอแค่สองร้อยสี่สิบมิลเอง”
“งั้นให้แทยองกับมินฮีเป็นคนขี่หลังนะ พวกเธอสองคนน่าจะตัวเบาที่สุดแล้ว”
จีฮุนเผลอหลุดพูดชื่อของมินฮีออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ยูแจจึงตอบกลับไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
“ฉันไม่ได้กลัวหนักสักหน่อย ที่กลัวน่ะกลัวจะกระชากกันจนคอหักต่างหากล่ะ”
ถ้าหากจะขี่หลังกัน ตามธรรมชาติแล้วก็จะต้องยึดจับที่ผม ถึงแม้ยูแจจะพูดออกไปโดยไม่มีความหมายอะไรแอบแฝง ทว่ามินฮีกลับเลิกคิ้วขึ้นช้าๆ ก่อนที่ยูแจจะยิ้มให้เธอเสี้ยววินาทีหนึ่งในตอนที่สบตากัน ในระหว่างที่พวกเขาจ้องมองกันอยู่นั้น ความเงียบก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทุกคนก็สังเกตเห็นมัน จีฮุนจึงแกล้งกระแอมออกมา
“ไม่เอาละ ไม่เล่นขี่ม้าดีกว่า เราเปลี่ยนไปเล่น…”
“ทำไมล่ะ ฉันชอบนะ เล่นขี่ม้านี่แหละ”
มินฮีพูดตัดบทแทรกขึ้นมา ยูแจยักไหล่ให้เป็นเชิงว่าจะเล่นอะไรก็ได้ และในระหว่างที่ไม่มีใครกล้าเปิดปากพูดอะไรขึ้นมา ฮันจุนจึงตัดสินใจทำลายความเงียบนั้นลง
“ถ้างั้นฉันกับยูแจจะเป็นม้าเอง เดี๋ยวฉันสองคนจะเป็นเป่ายิงฉุบเลือกทีม เล่นสนุกๆ กันสักตาแล้วค่อยไปหากินข้าวกันก็ได้”
ฮันจุนบอกแพลนง่ายๆ แล้วยื่นมือออกมา ทันทีที่ยูแจเห็นรอยยิ้มบางๆ นั้น เขาก็รู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์นี้คือเดจาวู
สมัยอยู่มัธยมปลาย พวกเขาเคยแบ่งฝั่งเล่นดอดจ์บอลแบบนี้กันอยู่หลายครั้ง ในระหว่างที่เป่ายิงฉุบนั้น ไม่ว่าจะออกอะไร ไม่ว่าจะออกมาแล้วแพ้หรือชนะ ซอฮันจุนก็มักจะเลือกโดยต่อให้เขาเสมอ คราวนี้เองก็เช่นกัน เขามั่นใจว่าฮันจุนจะเลือกมินฮีไปอยู่ฝั่งตัวเองอย่างแน่นอน
แสงแดดสาดส่องลงมากระทบดวงตาที่แสนสดใสของฮันจุน เขาขบกัดริมฝีปากอย่างซุกซนแล้วเอามือข้างหนึ่งไปไพล่ไว้ข้างหลัง ยูแจเคยเป่ายิงฉุบกับฮันจุนมานับครั้งไม่ถ้วน เขาเริ่มตั้งท่าเป่ายิงฉุบตามฮันจุนพลางขมวดคิ้วมุ่นแสร้งทำเป็นเหมือนว่ากำลังเอาจริงเอาจังแบบสุดๆ
ถ้าไม่ใช่ค้อน ก็คงจะเป็นกระดาษ เพราะหมอนี่ไม่ค่อยออกกรรไกรในตาแรกที่เป่ายิงฉุบ
“เป่ายิงฉุบ!”
ยูแจยกยิ้มเมื่อเห็นมือที่ยื่นออกมาอย่างรวดเร็ว ปรากฏว่าฮันจุนออกค้อน จู่ๆ เขาก็รู้สึกดีใจขึ้นมาที่อีกฝ่ายออกค้อนซึ่งไม่ต่างจากที่คาดเดาเอาไว้ เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขาหลุดขำออกมา เขาก็รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปยังสนามกีฬาของโรงเรียนสมัยมัธยมปลาย ยูแจหัวเราะคิกคักพร้อมกับเลื่อนมือที่ออกกระดาษของตัวเองไปคว้ากำปั้นที่ออกค้อนของฮันจุนเอาไว้แน่น
ฮันจุนเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นลูกกระเดือกที่ขยับไหวน้อยๆ ยูแจจะต้องเป็นฝ่ายเลือกสมาชิกในทีมก่อน เขาจึงต้องเลือกเผื่อไว้ให้ฮันจุนได้เลือกมินฮี เพราะเขารู้ว่าฮันจุนจะต้องเลือกมินฮีอย่างแน่นอน
“แทยอง”
ยูแจปล่อยมือออกแล้วพูดขึ้น จากนั้นฮันจุนก็หันไปมองรอบๆ ก่อนที่จะเปิดปากพูดขึ้นตามโดยที่มือยังคงกำแน่นแนบอยู่ข้างลำตัว
“อีมินฮี”
ยูแจยิ้มกริ่ม เพราะคำตอบนั้นคือคำตอบที่เป็นไปตามคาด
“ปล่อยฉันลงนะยะ โชยูแจ!”
แทยองระเบิดหัวเราะลั่น ยูแจแบกเธอไว้บนไหล่แล้ววิ่งลุยขึ้นจากน้ำมาด้วยความเร็วโดยไม่สนใจการดีดดิ้นขัดขืนของเธอเลยสักนิด มันเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะสำหรับแทยองที่อดทนยืนหยัดอยู่บนหลังยูแจได้จนถึงที่สุด แต่กระนั้นเธอกลับใช้สองมือขยุ้มทึ้งผมของยูแจแน่นพลางกรีดร้องเสียงดังลั่น
“โอ๊ย แทยอง มันเจ็บนะ ปล่อยผมฉันที”
“นายนั่นแหละที่ต้องปล่อยฉัน! ตัวสูงเป็นบ้าเลย มันน่ากลัวนะยะ!”
“เข้าใจแล้วน่า แต่เธอปล่อยผมฉันก่อนดิ เฮ้ จีฮุน”
จีฮุนวิ่งเข้ามาหาตามเสียงเรียกของยูแจก่อนจะช่วยจับมือของแทยองเอาไว้ หลังจากที่ยูแจค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลงช้าๆ แล้วช่วยพาเธอลงมา ยูแจก็หันไปมองหาฮันจุนที่ยังอยู่ในทะเล
ดูท่าหมอนั่นเองก็น่าจะโดนดึงผมออกไปสักสองสามเส้นเหมือนกัน
ฮันจุนกำลังเดินขึ้นมาจากทะเลช้าๆ พร้อมกับมินฮี ผมของฮันจุนที่ถูกคว้าขยำอย่างไร้ความปรานีนั้นชี้โด่ชี้เด่ไม่รู้ทิศ ไม่รู้ว่ามินฮีรู้สึกผิดหรืออย่างไรถึงได้ช่วยเกลี่ยจัดทรงผมให้ฮันจุน ทว่าการจัดการผมที่เปียกน้ำทะเลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฮันจุนจึงเสยผมด้านหน้าที่ลู่ลงมาตามหน้าผากขึ้นให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
“เฮ้ ทุกคน พวกเรามาถ่ายรูปกันเถอะ!”
ยูแจตะโกนเสียงดังเรียกเพื่อนๆ มารวมตัวกัน ฮันจุนรีบจ้ำอ้าววิ่งเข้ามาหา พอฮันจุนเขยิบเข้ามาใกล้ๆ ยูแจถึงได้เห็นในสิ่งที่เขาไม่ทันได้เห็นตอนอยู่ในน้ำ เสื้อยืดตัวบางนั้นเปียกลู่จนแนบสนิทไปกับเรือนกาย เผยให้เห็นเค้าโครงร่างกายภายใต้ร่มผ้าได้อย่างชัดเจน
กล้ามเนื้อใต้ดวงตาของเขาพลันกระตุกไหว เขาเองก็เคยเห็นท่อนบนเปลือยเปล่าของฮันจุนมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว แม้ว่าหุ่นที่ดูแข็งแรงของฮันจุนนั้นจะเคยดึงดูดสายตาเขา แต่เขาก็ไม่เคยกวาดสายตามองร่างกายของฮันจุนไปทั่วทั้งร่างด้วยสายตาแปลกๆ แบบนี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะชีซึงมิน หมอนั่นมักจะสวมเสื้อรัดรูปที่แนบสนิทพอดีกับร่างกาย ไม่เสื้อแนบเนื้อก็เสื้อแกนกุด ใส่แต่เสื้อแบบนี้อย่างกับคนที่ไม่มีเสื้อแบบอื่นให้ใส่ ซ้ำยังชอบมาสัมผัสตรงโน้นตรงนี้ตอนฮันจุนกำลังออกกำลังกาย และบางครั้งถ้าหากฮันจุนเล่นเวท หมอนั่นก็มักจะไปยืนซ้อนด้านหลัง ทำให้ลำตัวท่อนล่างแนบชิดกันยามย่อตัวลงนับจำนวนครั้งตอนยกเวท แถมเวลาพูดคุยก็มักจะพูดคุยกันอยู่ในท่านั้น ซ้ำร้ายคือเขารู้ความจริงที่ว่าซอฮันจุนชอบผู้ชาย เขาจึงไม่อาจมองภาพแบบนั้นอย่างบริสุทธิ์ใจได้เลย
พอได้เห็นแบบนั้นแล้ว มันก็ทำให้เขาสังเกตเห็นว่าซอฮันจุนนั้นมีปฏิกิริยาแตกต่างออกไปเล็กน้อยยามถูกเขาสัมผัสกาย และตอนนี้ยูแจก็เพิ่งตระหนักได้ว่าทั้งเขาและฮันจุนต่างก็เปียกโชกไปทั้งตัวจนมองเห็นเรือนร่างของกันและกันได้อย่างชัดเจน ในขณะที่กำลังขยับตัวจัดตำแหน่งเพื่อถ่ายรูป เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าซอฮันจุนเขยิบตัวหนีห่างเขาไปไกล
เขารู้สึกปวดศีรษะจนแทบคลั่ง เพราะว่าเขาเอาแต่เล่นน้ำจนหมดเรี่ยวหมดแรงเข่าอ่อนปวกเปียกไปหมด แถมยังหิวข้าวอีก เขาอยากหยุดความคิดไม่รักดีแบบนี้ เขาต้องหยุดคิดเรื่องซอฮันจุนได้แล้ว
นี่มันไม่ปกติเอาซะเลย
“เอาละนะ หนึ่ง สอง สาม!”
ยูแจทำได้เพียงปล่อยสมองให้โล่งแล้วหันไปฉีกยิ้มให้กล้อง
พวกเขาทุกคนตกลงกันว่ามื้อเที่ยงนี้จะไปกินโจแกจิม* ด้วยกันที่ร้านอาหาร ดังนั้นทุกคนจึงต้องกลับไปยังที่พักแล้วอาบน้ำก่อนที่จะออกไปกินข้าว พวกเขามีทั้งหมดสิบห้าคน โดยแบ่งเป็นห้องใหญ่หนึ่งห้องและห้องเล็กสามห้อง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ที่การอาบน้ำห้าคนจะใช้เวลานาน ยูแจได้อยู่ห้องที่ใหญ่ที่สุด และเขาก็รอต่อคิวอาบน้ำมากว่ายี่สิบนาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้อาบน้ำสักที
เสียงโครกครากดังออกมาจากท้อง ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยน้ำทะเลเหนียวเหนอะหนะไปหมด เขาที่ไม่สามารถนั่งลงบนเตียงได้เลยต้องยืนรอทั้งอย่างนั้นด้วยความไม่สบายตัว ในขณะที่ชินจีฮุนซึ่งตั้งใจเข้าไปอาบน้ำก่อนเป็นคนแรกยังคงอาบน้ำอย่างสบายใจเฉิบอยู่คนเดียว เขากระโดดแทงเข่าใส่จีฮุนทันทีที่อีกฝ่ายโผล่หัวออกมาจากห้องน้ำด้วยผิวกายนุ่มลื่น ก่อนที่แรวอนจะพูดกับฮันจุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“นี่ จะใช้เวลานานเกินไปไม่ได้นะ พวกเราเข้าไปอาบทีละสองคนกันเถอะ ฮันจุนอา คัมมอน”
เข้าไปอาบน้ำทีละสองคน?
ยูแจขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“ห้องอาบน้ำมันไม่แคบไปหน่อยเหรอ”
“ไอ้แคบมันก็แคบแหละ แต่ให้ทำไงได้อะ ขืนอาบน้ำทีละคน กว่าจะอาบครบก็คงสองชั่วโมง”
“นายจะให้ฉันอาบกับชเวแจอีเหรอ”
“อ้าว นี่นายไม่อยากอาบกับแจอีงั้นเหรอ งั้นนายมาอาบกับฉันไหมล่ะ”
จะแรวอนหรือแจอีก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลยสักนิด เขาไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่จะอาบน้ำกับสองคนนั้นไม่ได้ ยูแจเมินชเวแจอีที่โวยวายถามเขาขึ้นมาว่าทำไมถึงไม่อยากอาบด้วยกัน ก่อนจะถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งแล้วหันไปมองฮันจุน เจ้าตัวที่นั่งกอดเข่านิ่งอยู่บนพื้นจึงเอ่ยปากขึ้น
“นายจะอาบก่อนก็ไปอาบสิ”
“ไม่อะ นายอาบก่อนเลย”
พอยูแจเสียสละให้ ฮันจุนก็ลุกพรวดขึ้นแล้วถอดเสื้อยืดออก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะห้องอาบน้ำคับแคบเลยถอดเสื้อผ้าลำบากหรือเปล่า ฮันจุนกับแรวอนถึงได้เริ่มถอดเสื้อผ้าออกพร้อมกันต่อหน้าต่อตาตรงนั้นเลย ถึงแม้ว่าฮันจุนจะถอดเสื้อออกโดยยังคงเหลือกางเกงไว้ติดกาย แต่แรวอนกลับถอดทั้งเสื้อและกางเกงอย่างไม่ลังเล พวกเขาทั้งสองที่ตัวเกือบจะเปล่าเปลือยเปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินเข้าไปในพื้นที่คับแคบด้วยกัน
ยูแจละความสนใจแล้วหันมาเล่นเกมในมือถือ เขาเลือกเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์ซึ่งเป็นเกมที่เบาสมอง สามารถเล่นได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก แต่กลับแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนในบันทึกคะแนนมีแต่คะแนนต่ำๆ ถึงแม้จะหงุดหงิดที่ได้คะแนนน้อย ทว่าเขาก็ยังไม่คิดที่จะเลิกเล่น จนกระทั่งเสียงน้ำหยุดลงก่อนที่ฮันจุนจะเดินออกมาจากห้องน้ำ
ไม่รู้ว่าสองคนก่อนหน้าอาบน้ำด้วยน้ำร้อนทั้งที่อากาศวันนี้ก็อบอุ่นหรือเปล่า ในห้องอาบน้ำถึงได้เต็มไปด้วยไอชื้นที่ร้อนอบอ้าวแบบนี้ ยูแจแสร้งทำเป็นไม่เห็นฮันจุนที่ตัวแดงระเรื่อแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที โดยมีชเวแจอีที่เดินล่อนจ้อนตามเข้ามา แจอีถือว่าเป็นคนที่ค่อนข้างผอมมาก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่าห้องน้ำมันคับแคบจนถ้าหากเผลอขยับตัวผิดไปนิดก็อาจจะทำให้ร่างกายเปลือยเปล่าสัมผัสโดนกัน เพราะอย่างนั้นยูแจจึงรีบยึดพื้นที่ตรงอ่างอาบน้ำในทันที
หลังจากอาบน้ำเปล่าล้างตัวโดยพยายามอาบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขาก็เตรียมตัวจะเดินออกไปก่อน โดยทิ้งชเวแจอีที่กำลังสระผมอยู่ไว้อย่างนั้น และในตอนนั้นเองยูแจที่กำลังหาผ้าเช็ดตัวอยู่ถึงได้พบว่าบนชั้นวางติดผนังมีผ้าเช็ดตัวแห้งๆ เหลืออยู่เพียงแค่ผืนเดียวเท่านั้น
“แจอี มีผ้าเช็ดตัวเหลือแค่ผืนเดียวเอง”
“จริงดิ? ลองถามพวกนั้นดูสิ”
ยูแจโผล่ศีรษะออกไปนอกประตูห้องน้ำแล้วตะโกนเรียก
“นี่! พวกนายเอาผ้าเช็ดตัวออกไปหมดเลยหรือไง แล้งน้ำใจกันจังเลยนะ”
“ฮะ? ข้างในนั้นไม่มีเหรอ ฉันใช้ไปแค่ผืนเดียวเองนะ เฮ้ ซอฮันจุน!”
“ช่างเถอะ เอาผืนที่ใช้แล้วมาก็ได้”
ชินจีฮุนเรียกฮันจุน ซึ่งฮันจุนเองก็ได้ยินบทสนทนาที่พวกเขาคุยกันทั้งหมด
“ฮันจุนอา นายใช้ผ้าเช็ดตัวเสร็จยัง”
“เสร็จแล้ว ทำไมอะ นายไม่มีผ้าเช็ดตัวเหรอ”
“ในห้องน้ำเหลือผ้าเช็ดตัวแค่ผืนเดียว นายเอาผืนนั้นไปให้ยูแจ”
“ผืนนี้? แต่ฉันใช้เช็ดตัวไปแล้วนะ”
“แล้วไงอะ ฉันใช้ของฉันเช็ดเท้าไปแล้วอะ จะเอาไปให้มันก็ยังไงๆ อยู่ เฮ้! โชยูแจ! ผ้าเช็ดตัวผืนนั้นเป็นผืนที่ฮันจุนใช้แล้วนะ ถ้าไม่สะดวกใจก็เอาไปซักแล้วค่อยเอามาใช้ก็ได้!”
“นี่! ฉันใช้สะอาดหรอกน่า!”
ยูแจได้ยินเสียงที่ฮันจุนตะโกนลั่น จากนั้นฮันจุนก็สะบัดผ้าเช็ดตัวในอากาศแล้วเดินเอามาให้
“มันชื้นหน่อยนะ นายก็เช็ดๆ ไปเถอะ”
ฮันจุนยู่จมูกแล้วหันหลังเดินกลับไปทันทีราวกับว่ารู้สึกอาย ผ้าขนหนูที่เขารับมาจากฮันจุนนั้นเปียกชื้นเล็กน้อย
ยูแจเหลือบสายตามองผ้าเช็ดตัวที่ยังไม่ผ่านการใช้งานในห้องน้ำ
ผมของชเวแจอีค่อนข้างยาว เพราะงั้นคงจำเป็นต้องใช้ผ้าแห้งเช็ดสินะ
ยูแจเริ่มซุกหน้าลงกับผ้าเช็ดตัวที่เปียกชื้นเพื่อเช็ดใบหน้าที่มีหยดน้ำเกาะพราว และนั่นมันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ตลอดเวลาที่ใช้มันเช็ดหยดน้ำที่เกาะอยู่บนแก้มและจมูก
เหี้ยเอ๊ย นี่มัน…
“เฮ้ย นี่นายเอาผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ให้ฉันเลยเหรอ โห…ประทับใจจนพูดไม่ออกเลยแฮะ”
ชเวแจอีพูดพึมพำอยู่ทางด้านหลัง ในขณะที่ยูแจเช็ดตัวลวกๆ ก่อนจะเอาเสื้อสวมศีรษะทันที
เมื่อไปถึงร้านอาหารทุกคนต่างก็อยู่ในสภาพที่หิวโซ ในขณะที่ฟังเสียงถอนหายใจของแต่ละคนที่บ่นว่าหิวจนจะตายอยู่แล้วไปผ่านๆ ยูแจก็ลูบหน้าท้องแบนราบของตัวเอง
เขาหิวข้าวจนรู้สึกแสบท้อง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วเพราะวันนี้เขาเคลื่อนไหวและใช้พลังงานไปเยอะมากเมื่อเทียบกับอาหารเบาๆ ที่กินรองท้องไปตอนที่อยู่บนรถไฟ นอกจากนี้เขายังคิดว่ามันมีความเป็นไปได้สูงมาก เพราะว่าการที่วันนี้เขาเอาแต่คิดอะไรแปลกๆ อยู่บ่อยๆ นั้นมันก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้สมองทำงานหนักมากขึ้นและทำให้รู้สึกหิวมากขึ้น แม้ว่าความอยากอาหารจะเป็นความต้องการของร่างกายอย่างหนึ่ง แต่ในตอนที่เขาใช้ผ้าเช็ดตัวที่ซอฮันจุนเอาไปเช็ดร่างกายแล้วนั้น มันก็มีเสี้ยววินาทีหนึ่งเหมือนกันที่เขารู้สึกสับสนว่านี่มันก็คือความต้องการของร่างกายเช่นกันหรือเปล่า
อิ่มแล้วเดี๋ยวก็คงจะดีขึ้นแหละ พอดีขึ้นแล้วเดี๋ยวก็คงจะหยุดจินตนาการอะไรไร้สาระนั่นได้เอง
ยูแจเริ่มโฟกัสกับความคิดเรื่องโจแกจิมที่ตัวเองไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน
ถึงจะไม่ค่อยชอบกินอาหารทะเลสักเท่าไร แต่เขาก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าโจแกจิมที่ทำจากหอยสดๆ ซึ่งมากินถึงที่ทะเลนั้นมันจะมีรสชาติอย่างไร จะว่าไปแล้วซอฮันจุนเองก็น่าจะชอบพวกเนื้อมากกว่าอาหารทะเลเหมือนกัน
หยุดคิดถึงหมอนั่นเดี๋ยวนี้นะ
ยูแจพยายามลบซอฮันจุนที่โผล่เข้ามาในหัวโดยอัตโนมัติออกไป ขณะที่เขากำลังนั่งฟังเพื่อนคนอื่นๆ พูดคุยกันเสียงดังพลางจัดแจงเอาชีสใส่ลงในตัวหอยซองพลูและหอยเชลล์ จู่ๆ มินฮีก็ถามขึ้น
“จริงสิ ยูแจยา ได้ยินว่านายไปเข้าชมรมไฟต์คลับเหรอ”
ยูแจรู้สึกได้ว่าทุกคนต่างก็กำลังโฟกัสมาที่ตัวเอง เขาหันหน้าไปมองมินฮี ในขณะที่ฮันจุนที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นก็หันมามองพวกเขาสลับกันไปมา คำถามที่เธอถามออกมาอย่างกะทันหันนั้นมันดูน่าสงสัยแปลกๆ ทว่ายูแจก็พยักหน้าตอบกลับไป
“อืม อยากลองเรียนมวยดูน่ะ”
“อ๋อเหรอ น่าแปลกจัง ไหนนายบอกว่าอยากให้ฮันจุนรีบๆ ถอนตัวออกมาจากชมรมไง”
“แล้วไง เธอคิดว่าฉันพูดจริงจังหรือไง”
ยูแจหัวเราะพลางตอบกลับไป พอมาลองคิดดูอีกทีแล้ว เขาคิดว่าเธออาจจะถามออกมาเพราะแค่สงสัยจริงๆ ก็ได้ เพราะว่าเขาเองก็เคยโน้มน้าวให้ฮันจุนออกจากชมรมไฟต์คลับอยู่หลายต่อหลายครั้งต่อหน้ามินฮี
คิดได้ดังนั้นเขาจึงตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่มินฮีก็ไม่ยอมปล่อยผ่านไป เธอยกแก้วขึ้นดื่มก่อนจะเอ่ยปากถามขึ้นอีกครั้ง
“งั้นก็แสดงว่านายสนใจชกมวยอยู่แล้วสินะ? มันมีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ”
“พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว ฉันไม่เคยเห็นฮันจุนชกมวยเลยสักครั้ง เพราะงั้นก็เลยคิดว่าอยากจะลองไปดูสักหน่อย แต่พอได้ไปเห็นแล้วก็…”
สายตาของเขาค่อยๆ เลื่อนไปมองฮันจุนโดยอัตโนมัติ ยูแจนิ่งเพื่อเฟ้นหาคำพูดอยู่สักพักก่อนจะพูดออกไปโดยที่ไม่ได้ละสายตาไปจากฮันจุน
“…รู้สึกว่ามันเท่มาก”
ฉับพลันนั้นฮันจุนอ้าปากค้างทันที ยูแจค่อยๆ หรี่ตาลงมองลำคอของฮันจุนที่เริ่มขึ้นสีแดงก่ำ ก่อนที่ฮันจุนจะเบือนหน้าหนีไปมองที่ป้ายเมนู แล้วหลังจากนั้นมินฮีก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“พวกนายดูสนิทกันจริงๆ เลยนะ ถ้าถึงขั้นสมัครเข้าชมรมไฟต์คลับด้วยกัน งี้พวกนายสองคนก็ต้องเข้าชมรมแล้วก็เรียนด้วยกันหมดเลยน่ะสิ? แหม ดูเหมือนจะไม่มีเวลาให้แยกกันเลยเนอะ”
“จะว่าไปแล้วมันก็เป็นอย่างที่เธอว่าจริงๆ ด้วยแฮะ”
“พอพูดแบบนั้นแล้ว ดูเหมือนมันจะเป็นเรื่องบังเอิญเลยเนอะ นี่ ไม่ใช่นายหรอกเหรอที่ตามติดฮันจุนเขาไปทุกที่น่ะ”
มินฮีจี้จุดเขาเข้าอย่างจัง
นี่ฉันทำแบบนั้นเหรอ
ยูแจยิ้มให้เธอพลางนั่งนึกโดยลองนับดูทีละอย่างอยู่ในใจ ตั้งแต่สโมสรนักศึกษา ไฟต์คลับ หรือแม้กระทั่งวิชาเลือกในสาขา พอลองมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าอันไหนที่เขาสามารถทำได้ เขาก็ตามฮันจุนไปลงเรียนด้วยทุกตัวจริงๆ
แม้ว่าผลสรุปมันจะเป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ แต่ว่าเขาก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะตามไปทุกที่อย่างที่เธอเข้าใจ ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะลงเรียนวิชาเดียวกันก็เท่านั้น แต่เป็นเพราะซอฮันจุนนั่นแหละที่ทำตัวไม่ได้ดั่งใจเขา เขาเลยตามไปสมัครด้วยแม้กระทั่งชมรม เขาไม่เคยคิดว่ามันแปลกมาก่อน เพราะฮันจุนก็เป็นคนที่อยู่ด้วยกัน ซึ่งอีกฝ่ายนั้นตัวติดกันกับเขาแบบนี้มาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว
การอยู่ด้วยกันกับซอฮันจุน มันกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่แสนจะคุ้นชินไปแล้ว
ในตอนนั้นเองฮันจุนที่กำลังเฝ้าดูอยู่เงียบๆ ก็ได้พูดเสริมขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ตอนอยู่ ม.ปลาย พวกเราก็อยู่ด้วยกันทุกวัน”
“เพราะงั้นไง มันถึงได้สุดยอดมาก เอ หรือเป็นเพราะฉันไม่เคยมีเพื่อนแบบนั้นหรือเปล่านะ ถ้าเจอกันทุกวันขนาดนั้นก็คงจะน่าเบื่อแย่ ลำพังแค่เรียนซ้ำกันหลายวิชาก็น่าเบื่อมากพอแล้ว”
คำพูดที่บอกว่าเรียนซ้ำกันหลายวิชาแล้วน่าเบื่อนั้น เจ้าตัวคงจะพูดถึงเขาอย่างแน่นอน ยูแจยกยิ้มมุมปาก ดูเหมือนว่ามินฮีจะยังโกรธเขาอยู่เล็กน้อย
ฉันล่ะทึ่งยัยนี่จริงๆ ยึดติดกับฉันอะไรขนาดนั้น ปกติแล้วคนเราผิดใจกันครั้งหนึ่งก็หันหลังให้กันแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่มานั่งสงสัยจับผิดชีวิตชาวบ้านเขาแบบนี้หรอก
เพื่อนในสโมสรนักศึกษาที่เป็นเพื่อนของมินฮี รวมไปถึงฮันจุน ทุกคนล้วนแต่กำลังจับตามองเขาอยู่
ช่างเป็นตำแหน่งการนั่งที่สมบูรณ์แบบดีจริงๆ
ยูแจยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วเปิดปากพูดขึ้น
“ฉันไม่เห็นจะเบื่อเลย”
“…”
“ทั้งซอฮันจุน ทั้งเธอ”
รอยยิ้มค่อยๆ จางหายไปจากริมฝีปากของมินฮี เธอกลอกตามองบนด้วยสีหน้าที่ดูหัวเสียเอามากๆ ยูแจหันไปมองฮันจุนหมายจะขอความเห็นด้วยอย่างขี้เล่น ทว่าฮันจุนกลับหันหน้าหนี
* โฮโมโฟเบีย คืออาการรังเกียจหรือกลัวผู้มีความหลากหลายทางเพศ
* ประโยคนี้เป็นหนึ่งในท่อนร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดของเกาหลี โดยเนื้อร้องท่อนนี้จะมีการเติมชื่อเจ้าของวันเกิดเข้ามา ซึ่งมีความหมายว่าบุคคลนั้น (ชื่อเจ้าของวันเกิด) ผู้เป็นที่รัก
* เอ็มที (Membership Training) หมายถึงกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในทุกเทอมของมหาวิทยาลัยในเกาหลีใต้ ซึ่งจะเป็นการรวมตัวกันของรุ่นพี่รุ่นน้องในมหาวิทยาลัย เพื่อมาทำความรู้จักกัน โดยอาจจะจัดที่มหาวิทยาลัยหรือจัดเป็นทริปนอกสถานที่ ทั้งนี้จะเน้นกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์
* อึลวังรี เป็นอ่าวริมหาดขนาดเล็กและมีชื่อเสียงมากๆ ในเมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้
* เกมขี่ม้า เป็นเกมที่ต้องเล่นเป็นทีม โดยในแต่ละทีมจะประกอบไปด้วยม้าและคนขี่ม้า หน้าที่ของม้าคือการแบกคนขี่ไว้บนหลังแล้วป้องกันทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้คนขี่ตกลงมา ส่วนคนขี่นั้นมีหน้าที่ต่อสู้กับคนขี่ของทีมอื่น ซึ่งกติกานั้นก็ตามแต่จะตกลง บ้างก็ให้คนขี่โพกผ้าสีและแย่งผ้าสีของทีมอื่นมา บ้างก็ให้คนขี่ล้มคนขี่ทีมตรงข้ามให้ตกจากหลังม้าให้ได้
* โจแกจิม คืออาหารประเภทซุปน้ำใสอย่างหนึ่ง โดยมีวัตถุดิบหลักคือหอยทะเล
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.