X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 132

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 132

วันนั้นเฉิงเซ่าซางกับหยวนเซิ่นไม่ได้ปะทะคารมกันอย่างหาได้ยาก ทั้งยังกล่าวคำว่า ‘พบกันใหม่’ กันอย่างเกรงอกเกรงใจ นางมาคิดดูในภายหลัง นับว่าวันนั้นเป็นการเบิกฤกษ์ที่ดี เพราะถัดมานางกับเขาไม่เคยมี ‘บรรยากาศอันเอิกเกริก’ โต้ฝีปากกันทุกทีที่เจอหน้าอีก

ในวังกับราชสำนักกลับคืนสู่ความสงบเรียบร้อยอีกครา ฮ่องเต้จัดการขุนนางระดับกลางที่พูดคุกคามกดดันรัชทายาทในวันนั้น ที่ก่นด่าก็ก่นด่า ที่ลดขั้นก็ลดขั้น อีกทั้งนอกจากงานพิธีวันเทศกาลซั่งซื่อในเดือนหน้าแล้ว พระองค์ยังให้รัชทายาทร่วมว่าราชการในท้องพระโรงด้วย

เพียงแต่ตามคำกล่าวของตัวรัชทายาทเอง เขาขออยู่ในตำหนักบูรพาอ่านตำราเขียนอักษร ยามว่างดื่มสุราค้างปีที่หวานหอมสักจอก วาดภาพดอกท้ออันนิ่งสงบสักภาพ ตกปลาริมทะเลสาบ ชมทิวทัศน์กลางขุนเขา ยังดีกว่ามาฟังคำกราบทูลที่บ้างคลุมเครือบ้างดุเดือดของบรรดาขุนนางราชสำนัก…ราวกับหมายจะยืนยันความน่าเชื่อถือของคำกล่าวนี้ รัชทายาทเพียงสะบัดหน้าก็มอบตราประทับกับป้ายคำสั่งประจำตำหนักบูรพาให้หลิงปู้อี๋ไปทั้งหมด

ฮองเฮาบอกว่า…นับวันรัชทายาทยิ่งคล้ายบิดาของนาง หรือก็คือนายท่านผู้เฒ่าเซวียนที่ด่วนล่วงลับไป

ในที่สุดเฉิงเซ่าซางก็ได้ยลโฉมของ ‘เทพเซียนเหยียน’ ผู้ลือนามมาช้านาน เขาอาวุโสกว่าท่านลุงฮ่องเต้ถึงยี่สิบสามสิบปี ยามนี้ผมเผ้าหนวดเคราล้วนขาวโพลนแล้ว ทว่าดวงหน้ายังคงแดงเปล่งปลั่งสดใส กิริยาวาจาเปี่ยมด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง สนุกสนานน่าเข้าใกล้ ผู้คนยุคนี้โดยทั่วไปอายุขัยไม่ยืนยาวนัก อย่างผู้เฒ่าเหยียนดาวอายุยืนที่แลเห็นสง่าราศีดุจเซียนตั้งแต่ปราดแรกนี้ ย่อมทำให้นางบังเกิดความนับถือเลื่อมใสโดยธรรมชาติ

ว่ากันว่าปีนั้นท่านลุงฮ่องเต้เพาะปลูกได้ผลดี จึงขายเสบียงเป็นค่าเล่าเรียน ได้รู้จักกับผู้เฒ่าเหยียนช่วงที่ดั้นด้นไปเล่าเรียนถึงเมืองหลวงของราชวงศ์ก่อน คนทั้งสองได้ชื่อว่าเป็นสหายเก่าร่วมสำนักศึกษา แท้จริงยังมีไมตรีเช่นศิษย์อาจารย์ด้วยครึ่งหนึ่ง

ยากนักได้พานพบกันอีกครา ท่านลุงฮ่องเต้ลูบหนังท้องท้วมๆ ของเทพเซียนเหยียนพลางขอร้องให้เขามาเป็นขุนนางในราชสำนักอีกเช่นเคย เทพเซียนเหยียนฟังจบก็บอกว่าจะต้องไปล้างหู* ท่านลุงฮ่องเต้จึงคว้าตัวเขาไว้แล้วต่อว่าเบาๆ “อย่าเอะอะก็เอาอย่างการกระทำของปราชญ์ยุคก่อนได้หรือไม่ ปราชญ์ผู้นั้นกินผลไม้ป่าดื่มน้ำลำธาร ส่วนท่านน่ะสุรา เนื้อสัตว์ ดนตรีเคยขาดอย่างใดบ้าง”

เทพเซียนเหยียนตอบอย่างมีอารมณ์ขันยิ่ง “ความจริงข้าผู้เฒ่ากำลังเยินยอว่าฝ่าบาททรงพระปรีชาเช่นเหยาตี้นะ”

เมื่อคำขอร้องไร้ผล ท่านลุงฮ่องเต้ก็ได้แต่เชื้อเชิญผู้เฒ่าเหยียนอยู่พำนักหลายๆ วัน มานอนชนเท้าสนทนากันข้ามคืน ปรากฏว่าขณะหลับผู้เฒ่าเหยียนยกต้นขาทับถูกท้องของท่านลุงฮ่องเต้ โหรหลวงจึงถวายรายงานอย่างเป็นเดือดเป็นแค้นว่าดาวอาคันตุกะข่มปะทะดาวกษัตริย์ ทำเอาท่านลุงฮ่องเต้ต้องนวดหน้าท้องไปพลางพูดแก้ต่างแทนผู้เฒ่าเหยียนอย่างจนใจไปพลาง ผิดกับผู้เฒ่าเหยียนที่ถือโอกาสคิดจะกล่าวอำลาอีก

ฮ่องเต้รีบคล้องแขนท่านผู้เฒ่าไว้ ก่อนทอดถอนใจ “ท่านได้เห็นจื่อเซิ่งแล้วหรือไม่ นี่ญาติรุ่นหลังเพียงหนึ่งเดียวของพี่ฮั่วชงเชียวนะ ชั่วดีอย่างไรท่านก็พำนักถึงเดือนหน้า รอเขาแต่งงานแล้วค่อยไปเถิด ท่านจำได้หรือไม่ ปีนั้นเราสองเจอโจรภูเขา หากมิใช่ท่านลุงของจื่อเซิ่งมาช่วยไว้ได้ทันกาล ท่านยังจะเป็นเทพเซียนอันใดได้ ต้องไปเป็นภูตผีแต่แรกแล้ว!”

เทพเซียนเหยียนถอนหายใจบ้าง “ข้าผู้เฒ่าบอกแต่ต้นแล้วชัดๆ เส้นทางสายนั้นไปไม่ได้ ทางเข้าภูเขาลาดต่ำ ยอดเขาเรียงซ้อนดุจหมอกบังตา ในทางภูมิลักษณ์เป็นลักษณะที่ไม่มงคลอย่างยิ่ง แต่ฝ่าบาทตรัสว่าทางใกล้ ดึงดันจะไปให้ได้ เฮ้อๆๆ เอาเถิด รอจนถึงเดือนหน้าก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

ทุกสิ่งที่จำเป็นในพิธีแต่งงานของหลิงปู้อี๋ ท่านลุงฮ่องเต้ได้เริ่มตระเตรียมตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนนู่นแล้ว ทองหยกมุกมรกต เครื่องบวงสรวงไม้หอม สิ่งทอต่วนแพรหลากชนิดล้วนมีพร้อมครบครัน อีกทั้งนับแต่บุตรบุญธรรมหมั้นหมายเมื่อเกือบหนึ่งปีก่อน พระองค์ก็มีคำสั่งให้กองงานเย็บปักในวังเร่งตัดชุดมงคลเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงให้กรมพิธีการจัดงานแต่งโดยยึดตามหลักเกณฑ์ขององค์ชายด้วย

ใช่ว่าไม่มีขุนนางในราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ เพียงแต่ผู้ใดมีความเห็นแย้ง ท่านลุงฮ่องเต้ล้วนตอกกลับเสียทุกรายไป หากไม่ติติงอีกฝ่ายเรื่องแนวทางการใช้ชีวิต ก็เป็นต้องจับผิดปัญหาชู้สาว หรือไม่ก็หาว่าอีกฝ่ายเลือกกิน เป็นพฤติกรรมอันฟุ่มเฟือย จากนั้นมาทุกคนจึงพากันเงียบกริบ…ไหนๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใด หลับตาไปข้างหนึ่งก็แล้วกัน

ทว่ายิ่งใกล้กำหนดแต่งงาน หลิงปู้อี๋กลับยิ่งเงียบขรึมกลัดกลุ้ม หากมิใช่งานยุ่งจนไม่เห็นเงา เขาก็จะมานั่งนิ่งอยู่ด้านข้าง ไม่พูดไม่จาครึ่งค่อนวัน มีหลายครั้งเฉิงเซ่าซางนอนพักกลางวันอยู่ในห้องที่ตำหนักฉางชิว ตื่นมาเห็นหลิงปู้อี๋นั่งอยู่ข้างกายนาง กำลังพิศมองนางอย่างเหม่อลอย แววตาของเขาคลุมเครือไม่แน่ชัด คล้ายทุกข์ตรม คล้ายห่วงหายากจะหักใจปล่อยมือ

เฉิงเซ่าซางอดไม่ได้ต้องถามเขาว่าเป็นอะไรไป หลิงปู้อี๋ตอบนางอย่างยากลำบาก “คนที่ส่งไปเสาะหาบริวารเก่าของท่านลุงจนบัดนี้ก็ยังไม่กลับมา ไม่แน่ว่า…จะต้องพบกับความว่างเปล่าอีกครั้งแล้ว”

นางรู้ว่านี่เป็นเงื่อนปมในใจเขาจึงกล่าวปลอบโยน “หากพวกเขาล้วนไม่อยู่บนโลกแล้วจริงๆ เช่นนั้นดวงวิญญาณอันหาญกล้าย่อมจะมุ่งไปสู่ภพภูมิใหม่ ไม่แน่อาจมาเกิดในครอบครัวที่มั่งมีสุขสงบแล้วก็เป็นได้ พวกเราพยายามให้เต็มที่ แล้วฟังลิขิตฟ้าเถิด”

หลิงปู้อี๋สั่นศีรษะ นิ่งเงียบไปอีกพักหนึ่งค่อยเอ่ยปาก “สุขภาพท่านแม่ก็ไม่สู้ดีเลย…”

นางถอนหายใจ นี่สิเรื่องที่น่าวิตกอย่างแท้จริง ช่วงเวลาที่ฮั่วจวินหวาสติรางเลือนมีมากขึ้นทุกที วันทั้งวันชุยโย่วหลั่งน้ำตาอาบหน้า ตัวนางเองหมายช่วยดูแลเรื่องหยูกยา เดี๋ยวนี้จึงแทบกลายเป็นว่าอยู่ในวังหนึ่งวัน จะต้องไปอยู่ที่เรือนดอกซิ่งสองวัน ในฐานะ ‘หลานสะใภ้ที่ชอบมาขอเงิน’ การดูแลอย่างรอบคอบกระตือรือร้นของนางถึงกับได้รับคำชมเชยจากฮั่วจวินหวาหลายหน

นางกล่าว “เข้าสู่ฤดูวสันต์แล้ว ไอหนาวยังคงรุนแรงอยู่บ้าง รอจนเดือนหน้าอากาศอบอุ่นดอกไม้ผลิบาน ไม่แน่สุขภาพของฮั่วฮูหยินอาจจะหายดีแล้ว”

หลิงปู้อี๋ผงกศีรษะรับ ทว่ารอยกลัดกลุ้มในดวงตาไม่ต่างจากไอหมอกกลางหุบเขาต้นฤดูวสันต์ หนาทึบเสียจนทำอย่างไรก็ไม่สลาย

ขณะที่หนุ่มสาวสกุลหลิงกับเฉิงทางนี้เป็นกังวลเรื่องสุขภาพของฮั่วจวินหวา จวนหรู่หยางอ๋องทางนั้นก็ส่งข่าวมาว่าชายาผู้เฒ่าดูท่าจะไม่สู้ดีแล้ว

เพียงแต่เห็นชัดว่าชายาผู้เฒ่าไม่ยินยอมจากไปอย่างเงียบเชียบ ระหว่างป่วยหนักก็ยังมิวายถวายหนังสือร้องขอให้ฮ่องเต้ปูนบำเหน็จ ความว่า

 

…บุตรหลานคนอื่นๆ ข้าผู้เฒ่าไม่ห่วงพะวง สงสารก็แต่หนี่ว์อิ๋ง เสียบิดามารดาไปตั้งแต่อายุน้อยๆ วันหน้าผู้ปกครองจวนอ๋องก็คือท่านอากับอาสะใภ้ของนาง ความสัมพันธ์ห่างไปอีกชั้นหนึ่งแล้ว ขอฝ่าบาทโปรดเห็นแก่บิดาที่ด่วนจากไปของหนี่ว์อิ๋ง เวทนาสงสารนางมากหน่อย

 

ฮ่องเต้ทอดถอนใจเมื่อนึกถึงญาติผู้น้องที่รบเพื่อพระองค์จนตัวตาย ด้วยเหตุนี้จึงมอบอากรจากพื้นที่ศักดินาอีกสองอำเภอเพิ่มให้ท่านหญิงอวี้ชัง ทั้งแต่งตั้งตำแหน่งที่มีหน้ามีตาอย่างซั่นฉีต้าฟู* ให้แก่ว่าที่สามีของนาง หรือก็คือน้องชายต่างมารดาของหลิงปู้อี๋

รัชทายาทสงสารเห็นใจยิ่งยวด “น้องหนี่ว์อิ๋งประพฤติดีเรียบร้อยมาแต่เล็ก หวังว่าชีวิตนางในวันข้างหน้าจะราบรื่นไร้กังวล เฉกเมล็ดพันธุ์ที่ถูกสายลมหอบร่วงหล่น แม้แรกเริ่มต้องเผชิญลมฝน แต่ท้ายที่สุดก็หยั่งรากแตกหน่อด้วยตนเอง สร้างตัวสร้างครอบครัวขึ้นมาจนได้”

วาจานี้บรรจุทั้งห้วงศิลป์ทั้งความรู้สึกอันลึกซึ้ง ฮ่องเต้กำลังรู้สึกซาบซึ้งใจ องค์ชายสามกลับโพล่งขึ้นประโยคหนึ่งอย่างไม่ให้ตั้งตัว “เสด็จพ่อควรรอจนชายาผู้เฒ่าจากไปก่อนค่อยแต่งตั้ง ยามนี้นางเพียงป่วยหนัก ยังไม่ทันลาโลกเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”

อารมณ์ซาบซึ้งใจของฮ่องเต้ถูกฉุดกลับไปทันใด พระองค์เหลือกตาใส่บุตรชายคนที่สามปราดหนึ่ง ต่างจากเทพเซียนเหยียนที่หัวเราะฮ่าๆ พลางชี้มือไปทางองค์ชายสาม “พระโอรสองค์นี้คล้ายฝ่าบาทยิ่งนัก”

ฮ่องเต้ฟังจบผิวหน้าก็พลันอมเขียว ไล่ตะเพิดคนอื่นๆ ออกไปแล้วต่อว่าเทพเซียนเหยียน “พูดจาเหลวไหล ท่านแก่ชราตาฝ้าฟางแล้ว! วัยเยาว์เราใจกว้างถึงเพียงใด พวกที่เคยรังแกว่าเราพี่น้องไม่มีบิดาหัวเดียวกระเทียมลีบ เราไม่ได้ถือสาหาความใครเลยนะ!”

เทพเซียนเหยียนช้อนหนังท้องท้วมๆ ของตนพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า “ฝ่าบาทสบายพระทัยก็พอพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่รู้ว่าปากอีกาขององค์ชายสามแม่นยำเกินไปใช่หรือไม่ ชายาหรู่หยางอ๋องผู้เฒ่าที่ ‘เข้าขั้นวิกฤต’ มาเจ็ดแปดวันแล้วก็ยังคงยืนหยัดได้อยู่จริงๆ เสียด้วย ครานี้มิเพียงฮ่องเต้ไม่พอใจอยู่บ้าง แม้แต่จวนหรู่หยางอ๋องก็ประดักประเดิดยิ่งยวด…มิใช่พวกเขาหวังให้ชายาผู้เฒ่าเร่งจากไปไวๆ แต่หากนางประคองตัวผ่านไปได้ขึ้นมา ทั้งอยู่ยาวต่อไปอีกสักสามปีห้าปีแปดปีสิบปีเล่า ‘ความห่วงใยในวาระสุดท้าย’ ที่ฮ่องเต้มีให้เหล่านั้นจะนับเป็นเรื่องใดกัน คราวหน้าถึง ‘วาระสุดท้าย’ อีก ยังจะต้องให้ ‘ความห่วงใย’ หรือไม่เล่า

กลับกันทางเรือนดอกซิ่งมีข่าวด่วนจากชุยโย่วส่งมาว่า…ฮั่วจวินหวาอาการหนักจริงๆ เสียแล้ว

ยามที่ข่าวส่งมาถึง ฮ่องเต้กำลังบังเกิดอารมณ์กวี นั่งอยู่ในตำหนักฉางชิวเขียนกลอนฟู่สำหรับเทศกาลซั่งซื่อร่วมกับฮองเฮาเจ้าประโยคข้าประโยค ครั้นได้ยินข่าวนี้ นิ้วมือของพระองค์ก็สั่นวูบ พาให้สีดำเข้มปื้นใหญ่ป้ายไปบนผ้าไหมสีขาวหิมะ สิ้นเสียงทอดถอนใจอย่างหดหู่ พระองค์ก็รีบสั่งการให้หลิงปู้อี๋หยุดงานในมือทั้งหมดรุดไปยังเรือนดอกซิ่ง เฉิงเซ่าซางเองก็รีบจัดเก็บสัมภาระไปดูแล

ยามที่หนุ่มสาวทั้งสองรุดไปถึง เรือนดอกซิ่งประหนึ่งอยู่ระหว่างเส้นแบ่งความเป็นและความตายแล้ว นอกเรือนคือเหล่าผู้ทำพิธีกรรมที่ขับร้องร่ายรำทั้งวันทั้งคืน ในเรือนคือกลิ่นยาอันอบอวล แออัดไปด้วยหมอหลวงเจ็ดแปดคน มีตัวยาล้ำค่ากับสิ่งอำนวยพรซึ่งส่งมาจากเมืองหลวงไม่ขาดสาย

ใต้ขอบตาของชุยโย่วดำคล้ำไปทั้งแถบ สีหน้าเศร้าระทม นั่งอยู่ข้างเตียงของฮั่วจวินหวาหลั่งน้ำตาโดยไร้เสียง อาเอ่าร่ำไห้จนขอบตาแห้งผากแล้ว สะอึกสะอื้นเสียงแหบเครือ ต่างจากหลิงปู้อี๋ที่นั่งคุกเข่าตัวตรงอยู่อีกด้าน เงียบขรึมเย็นยะเยือกปานขุนเขาสูงชันที่สุมด้วยหิมะหมื่นปีไม่สลาย

“จวินหวาน้อย จวินหวาน้อย เจ้าฟื้นสิ…” ชุยโย่วเกาะกุมมือของฮั่วจวินหวาไว้พลางร้องเรียกเบาๆ ไม่หยุด ทว่าจนแล้วจนรอดคนบนเตียงก็ยังคงสลบไสลไม่ได้สติ

คนทั้งหมดเฝ้าอยู่ในห้องโดยตลอด ยามที่สีแห่งรัตติกาลปรกผืนป่าดอกซิ่ง เฉิงเซ่าซางได้ยินเสียงเปาะแปะดังถี่ เม็ดฝนเริ่มตกหนักแล้ว

จวบจนกลางดึกชุยโย่วรู้สึกได้ว่ามือตึงวูบ เขารีบยืดกายขึ้นร้องเรียกเสียงระรัว และแล้วฮั่วจวินหวาก็ฟื้นตื่นขึ้นมาโดยปราศจากเค้าลาง ทั้งคว้ากุมมือของเขาไว้แน่น

หลายเดือนที่ผ่านมา ช่วงเวลาที่เฉิงเซ่าซางเคียงข้างฮั่วจวินหวามิใช่สั้นๆ กระนั้นนางกลับไม่เคยเห็นสีหน้าเช่นนี้ปรากฏบนดวงหน้าของอีกฝ่ายมาก่อน…ฮั่วจวินหวาไม่ใช่เด็กสาวที่แง่งอนเอาแต่ใจคนเดิมนั้นอีกต่อไป หากแต่เป็นสตรีเจริญวัยที่แบกรับความเจ็บปวดผ่านการเคี่ยวกรำของกาลเวลามาผู้หนึ่ง

ฮั่วจวินหวาเพ่งมองชุยโย่วแน่วนิ่ง พึมพำราวคำละเมอ “อาหยวน อาหยวน…ท่านเด็ดลูกหม่อนมาแล้วหรือยัง…”

“เจ้า…เจ้า…” ชุยโย่วทำตัวไม่ถูก เดาไม่ออกว่านางจดจำเรื่องในอดีตได้ใช่หรือไม่

“…ข้าอยากได้ลูกหม่อนที่อยู่สูงสุดพวงนั้น สีของมันทั้งดำทั้งม่วง จะต้องหวานมากแน่ๆ…พี่ชาย ท่านอย่าดุข้าเลย ไม่ใช่ข้าที่เรียกให้อาหยวนปีนขึ้นไปสูงเพียงนั้นนะ ไม่เชื่อท่านถามเขาดูสิ…” ฮั่วจวินหวานอนนิ่งอยู่บนเตียง น้ำตาหยดใหญ่ไหลเผาะๆ ลงมาตามแก้มทั้งสองข้าง

“เจ้าอยากกินลูกหม่อน ข้าจะไปเด็ดนะ จะไปเด็ดให้ เจ้าวางใจได้…” ชุยโย่วพูดย้ำติดๆ กัน

“อาหยวน อาหยวน หากข้าแต่งให้ท่านก็คงจะดี!” ฮั่วจวินหวาพลันตะเบ็งเสียงอันแหลมสูงโศกสลด เบื้องนอกสายฝนกระหน่ำหนัก จู่ๆ อสนีฤดูวสันต์สายหนึ่งก็ดังขึ้นสะท้านจิตวิญญาณ

“จวินหวา!” ชุยโย่วตะลึงค้างชั่วอึดใจ ก่อนโผตรงไปกอดสตรีในดวงใจไว้แนบแน่น

ฮั่วจวินหวายื่นสองแขนอันซูบผอมซีดขาวไปโอบรั้งลำคอของบุรุษตรงหน้า

“หากข้าแต่งให้ท่านก็คงดี ข้าเป็นคนตาบอด เป็นตัวโง่งม ข้าควรจะแต่งให้ท่านตั้งแต่แรก…อาหยวน หากข้าแต่งให้ท่านก็ดีสิ แต่งให้ท่านก็ดีไปแล้ว อาหยวน ข้าผิดต่อท่าน น้ำใจไมตรีที่ท่านมีต่อข้า ข้าได้แต่คืนให้ชาติหน้าแล้ว…” ทั่วดวงหน้านางอาบด้วยน้ำตา ร่ำร้องปานหัวใจจะฉีกขาด คล้ายหมายจะรำพันเอาความขื่นขมเสียใจภายหลังทั้งชีวิตออกมาจนสิ้น

ครั้นร่ำไห้จนเสียงแหบพร่าสิ้นแรง ฮั่วจวินหวาก็คลายวงแขนออกช้าๆ เพียรหยัดกายขึ้น สองตาที่ไร้ประกายแลหาไปทั่ว

ชุยโย่วเข้าใจความนัย รีบร้องเรียกเสียงก้อง “จื่อเซิ่ง มานี่เร็ว มานี่เร็วเข้า!”

หลิงปู้อี๋เดินปราดมาคุกเข่าเบื้องหน้าเตียง ยื่นสองมือที่สั่นเทานิดๆ ออกไปหา

ฮั่วจวินหวาคว้าจับไว้ทันที จดจ้องเขาเขม็ง สิ่งที่สาดฉายจากในดวงตามิใช่ความปวดร้าวเศร้าใจกับความรู้สึกอันลึกซึ้งเฉกเช่นยามที่มองชุยโย่ว หากแต่เป็นอารมณ์อันพลุ่งพล่าน รุนแรง และแผดเผาชนิดหนึ่ง “อาหลี…อาหลีของแม่ แม่คิดถึงเจ้ามาโดยตลอด เจ้า…เจ้าเองก็ห้ามลืมนะ…”

นี่คือถ้อยคำสุดท้ายที่ฮั่วจวินหวาเอ่ย จากนั้นนางก็ทรุดฮวบกลับลงไปบนเตียง ลมหายใจเหือดหาย

ชุยโย่วยังคงไม่อาจเชื่อ เขาตรวจซ้ำแล้วซ้ำอีก สุดท้ายโอบกอดร่างที่เย็นลงทีละนิดของนางผู้เป็นที่รักยิ่งตั้งแต่เล็กเอาไว้ เปล่งเสียงร่ำไห้อย่างหนัก พาให้เหล่าบ่าวรับใช้ทั้งในนอกห้องล้วนร่ำไห้ตาม

สายฝนปานฟ้ารั่วตลอดคืน ดอกซิ่งที่เพิ่งผลิบานถูกกระหน่ำตีจนโรยเกลื่อน รอจนแสงตะวันส่อง ลมภูเขาพัด กลีบดอกเล็กสีขาวหมดจดนั้นแลคล้ายหิมะดอกอ้อปลิวโปรย ห่มคลุมชุดไว้ทุกข์จนทั่วภูเขา

 

* ล้างหู เปรียบเปรยว่าไม่ไต่ถามเรื่องทางโลก มีที่มาจากเหยา (เหยาตี้) กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของจีนในยุคก่อนประวัติศาสตร์หมายจะสละตำแหน่งให้ผู้มีความสามารถเช่นสวี่โหยว แต่สวี่โหยวเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องสกปรกจึงเร้นกายไปอาศัยในป่าเขา เหยาเข้าใจว่าอีกฝ่ายถ่อมตนจึงส่งคนไปเชื้อเชิญอีกครั้ง สวี่โหยวฟังแล้วถึงกับไปวักน้ำในแม่น้ำมาล้างหูทันที เพราะรู้สึกว่าได้ยินสิ่งที่สกปรกหู

* ซั่นฉีต้าฟู (ซั่นฉีฉังซื่อ) เป็นชื่อตำแหน่งขุนนาง ในสมัยฉินและฮั่นเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ คอยถวายคำปรึกษาและคำทัดทาน

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: