X
    Categories: everYStar Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 2 Chapter 7-1 ถึง 7-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Chapter 7-1

 

เทศกาลเบียร์

มันเป็นตัวอย่างที่ดีที่สามารถมัดรวมเอาไว้ด้วยกันกับเหตุผลที่ว่าทำไมยูแจถึงได้ไม่ชอบทำสโมสรนักศึกษา

ช่วงนี้ซอฮันจุนยุ่งจนหัวหมุน เพราะต้องเตรียมงานเทศกาล และต้องเตรียมตัวสำหรับการสอบกลางภาคไปด้วย ทั้งยังคงต้องทำงานพาร์ตไทม์อยู่ตลอดอีก ในขณะเดียวกันเขาก็ยังติดต่อกับฮันยูบินอยู่และไปอ่านหนังสือด้วยกันที่ห้องสมุดเป็นประจำ ทุกคนต่างยุ่งกันจนถึงขั้นที่ว่าช่วงวันสุดท้ายของการสอบกลางภาค แม้แต่คนที่ผิวดีก็ยังดูหมองคล้ำและใต้ตาดำลึกโบ๋

เขายุ่งจนแทบไม่มีเวลาให้หายใจ โดยเทศกาลเบียร์จะจัดขึ้นทันทีในสัปดาห์ถัดไปหลังจากสอบกลางภาคเสร็จ ช่างเป็นตารางกิจกรรมของนักศึกษาที่ไม่ได้เห็นใจคนเตรียมงานเลยสักนิด สโมสรนักศึกษาเองก็น่าสงสารเพราะจนปัญญาด้วยหากำลังคนมาช่วยงานไม่ได้ เนื่องจากเหล่านักศึกษาไม่มีใครอยากจะเสียสละเจียดเวลามาช่วยเลย ในขณะที่อะไรๆ ไม่ได้ดั่งใจไปเสียทุกอย่าง สโมสรนักศึกษาก็เริ่มเปิดรับอาสาสมัครมาช่วยงานเทศกาลเบียร์

รับสมัคร

ยูแจเกือบจะหลุดขำออกมาตอนที่ชียองพูดคำนั้น

มันเป็นการกระทำที่ไม่ควรทำเลยสักนิด ทั้งๆ ที่สโมสรนักศึกษาเองก็ไม่ได้มีทางเลือกมากมายขนาดนั้น ต่างไปจากทุกคนในคณะที่มีสิทธิ์เลือกว่าอยากจะมาช่วยหรือไม่ ถึงอย่างนั้นสุดท้ายแล้วเพื่อนร่วมรุ่นในคณะบริหารฯ รวมถึงตัวฮันจุนเองก็สมัครใจที่จะมาช่วยเป็นอาสาสมัคร

รับสมัครอะไรกัน พูดอย่างกับมีทางเลือก ต้องใช้คำว่า ‘ขอเรียนเชิญ’ ต่างหากล่ะ ถึงจะเหมาะกว่า

ยูแจบ่นเรื่องข้อผิดพลาดของสโมสรนักศึกษากับฮันจุนอยู่เป็นประจำ จนในที่สุดก็มีคำพูดที่ยูแจเห็นด้วยอย่างยิ่งหลุดออกมาจากปากของฮันจุนที่ยุ่งจนแทบไม่มีสติในวันงาน

“แค่ได้ลองเป็นเจ้าภาพงานดูสักครั้งก็พอแล้ว”

“ใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นเทอมหน้าเราไปเข้าชมรมบาสกันเถอะ”

“นี่ อย่ามาพูดจาน่าเกลียดตรงนี้น่า จะไปไหนก็ไป เรื่องนั้นไว้คุยกันทีหลัง”

ฮันจุนที่กำลังเช็กเบียร์ที่เพิ่งมาส่งเอ่ยปากไล่ยูแจออกไป ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังอยู่ในสภาวะที่มีอารมณ์หงุดหงิดเป็นพิเศษเพราะความเหนื่อยล้า เนื่องจากเขาต้องคอยตรวจสอบเบียร์โดยการโทรไปหาบริษัททีละบริษัทเพื่อต่อรองราคา

ยูแจที่ถูกไล่ตะเพิดออกมานั้นหันไปมองทางบูธเพื่อเช็กความเรียบร้อย ก่อนจะเห็นคนจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวท้ายสุด ในบรรดาคนพวกนั้นมีนักศึกษาที่สวมเสื้อสตาฟฟ์งานเทศกาลเบียร์อยู่ด้วย ยูแจจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ โต๊ะนั้นแล้วพูดขึ้น

“ใครที่ไม่มีอะไรทำ ไปช่วยทางฝั่งนั้นเรื่องกับแกล้มหน่อยนะครับ นี่มันก็ใกล้จะเริ่มงานแล้ว”

“โชยูแจ?”

ยูแจขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย นั่นเป็นเสียงของอีมินฮี เธอจ้องยูแจเขม็งพลางลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ตอนนั้นเองเขาถึงได้เห็นเพื่อนร่วมรุ่นในสโมสรนักศึกษาที่กำลังยืนล้อมอยู่รอบๆ เธอ ซึ่งทุกคนต่างก็ทำหน้าอึดอัดแปลกๆ เหมือนกันหมด

จีฮุนมองยูแจและมินฮีสลับไปมา ก่อนจะพูดออกมาต่อหน้าอย่างตรงไปตรงมา

“นี่ พวกนายคุยกันให้มันดีๆ หน่อยสิ เรียนก็เรียนด้วยกัน อย่ามาทำให้พวกเราที่เป็นคนกลางอึดอัดเลยน่า”

มินฮีขมวดคิ้วพลางหัวเราะ ถึงใบหน้าของเธอนั้นจะแสดงออกถึงความใจกว้าง แต่มันก็ไม่เข้ากับเธอเลยสักนิด เมื่อยูแจลองลอบมองเธออย่างละเอียด เขาก็พบว่าตอนนี้เธอกำลังสวมเสื้อสตาฟฟ์อยู่เหมือนกัน

“ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะยะ ฉันเองก็คิดว่าจะอยู่อย่างสมานฉันท์เหมือนกันนั่นแหละ”

เธอตอบห้วนๆ เสร็จแล้วก็เดินตรงไปหายูบินที่ยุ่งอยู่กับการเตรียมกับแกล้ม

ถึงท่าทางของเธอนั้นมันจะเย็นชาเกินกว่าที่จะบอกว่า ‘คิดว่าจะอยู่อย่างสมานฉันท์’ แต่ยูแจก็ไม่ได้สนใจอะไรเธอมากขนาดนั้น หรือต่อให้สนใจจริงๆ เขาก็ยังมีเรื่องอื่นอีกมากมายที่ต้องคิดต้องทำอยู่ดี จีฮุนเดินเข้ามาใกล้และหยุดยืนอยู่ข้างๆ ยูแจที่กำลังจัดโต๊ะที่วางไว้ไม่ตรงกัน ก่อนจะเริ่มเอ่ยปากชวนคุย

“นี่ นายไปขอโทษแล้วก็คืนดีกับยัยนั่นให้มันจบๆ เถอะ”

“ที่นายพูดมันก็ถูก แต่มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันที่จะต้องไปขอโทษ”

“นายพูดแรงเกินไปแล้วนะ เธออาจจะตามตื๊อนายไปนู่นไปนี่บ้าง แต่ที่ทำไปก็เพราะว่าเธอชอบนายไง มันถูกแล้วเหรอที่นายไปถามว่า ‘บ้าไปแล้วเหรอ’ เนี่ย อีกอย่างที่เธอเข้าใจผิดไปเองก็เพราะว่านายทำดีด้วยมาตลอด”

พวกเพื่อนๆ ต่างก็พูดกันขึ้นมาคนละประโยคสองประโยคและพยายามโน้มน้าวยูแจ ยูแจจึงพยักหน้าตอบกลับไปส่งๆ อย่างไม่เต็มใจนักพลางคิดว่าต้องตอบกลับไปว่า ‘เข้าใจแล้วล่ะ’ คนพวกนี้จะได้ไม่มายุ่งวุ่นวายให้รำคาญใจอีก

เมื่อผู้คนเริ่มเข้ามาจับจองโต๊ะนั่งกันแล้ว ยูแจจึงมองดูเวลา

ห้าโมงสิบนาที

ตามกำหนดการแล้วจะสามารถรับออเดอร์ได้ตั้งแต่ตอนหกโมงเป็นต้นไป ดังนั้นตอนนี้จึงเหลือเวลาอีกไม่มากนัก

ในขณะที่กำลังวิ่งวุ่นไปทั่ว ภาพชายหญิงคู่หนึ่งที่เพิ่งจะนั่งลงจับจองโต๊ะนั้นก็ดึงดูดสายตาของยูแจ ใบหน้าของเธอช่างคุ้นตา

จองยุน

รุ่นพี่เอกวิชาภาษาจีน ดูท่าเธอคงจะมาหาฮันจุน

ทันทีที่มองออกว่าเป็นใคร ยูแจก็รีบมุ่งหน้าไปยังโต๊ะนั้นทันที มันเป็นโอกาสที่ดีและเหมาะสมที่จะได้ทำความรู้จักรวมถึงเอ่ยปากขอโทษเธอ

“สวัสดีครับ”

พอเขาเดินเข้าไปใกล้แล้วเริ่มทักทาย จองยุนก็เงยหน้าขึ้นมาและเหม่อมองเขาอยู่สักพัก สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าเธอจำเขาไม่ได้เลยสักนิด ซึ่งนั่นมันก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วเพราะเขากับเธอเคยเห็นหน้ากันผ่านๆ เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ยูแจจึงแนะนำตัวออกไปอย่างมีมารยาท

“ผมเป็นเพื่อนฮันจุนชื่อโชยูแจครับ ครั้งก่อนเจอกันแค่แป๊บเดียว ไม่ทราบว่ารุ่นพี่พอจะจำผมได้ไหมครับ”

“อ๋า…จำได้ค่ะ คนที่เจอกันตรงประตูหน้ามอสินะ”

“คือผมอยากจะมาขอโทษน่ะครับที่วันนั้นทำตัวหยาบคาย ไหนๆ ก็มีโอกาสได้เจอกันแล้ว ผมขอโทษด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาขอโทษอะไรฉันหรอก”

จองยุนยิ้มกว้างพลางส่ายศีรษะ เธอเป็นผู้หญิงที่มีอัธยาศัยดี และนั่นทำให้เขานึกถึงฮันจุนที่เคยบอกว่าสามารถเล่าเรื่องที่ไม่สามารถพูดที่ไหนให้เธอฟังได้

“เดี๋ยวอีกสักครู่ก็น่าจะเปิดรับออเดอร์แล้ว รุ่นพี่อยากทานอะไรเหรอครับ ถึงผมจะแอบลักเบียร์มาให้ไม่ได้ แต่กับแกล้มนี่ผมแอบเติมมาให้เยอะๆ ได้ครับ”

ยูแจส่งยิ้มแพรวพราวให้เธอ พอทักทายกันเสร็จก็ถึงเวลาทำงานพอดี ในขณะที่รอรับออเดอร์ ผู้ชายที่มาด้วยกันก็ยกยิ้มพลางหรี่ตามองไปที่จองยุน

“ก็ว่าอยู่ว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ชวนมาเทศกาลเบียร์คณะบริหารฯ ไหนล่ะฮันจุน ไหนๆ”

“หนวกหูน่า ฉันกับน้องเขาตกลงกันแล้วว่าจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน”

“ทำไมล่ะ เธอไม่ดีตรงไหนกัน”

“ไม่ใช่ว่าฉันดีไม่พอหรอกน่า ขอกับแกล้มเป็นกิมจิเต้าหู้หน่อยนะคะ”

“น้องเป็นเพื่อนของฮันจุนเหรอครับ”

จู่ๆ ผู้ชายคนนั้นก็ถามยูแจ เขาถามพลางเอี้ยวตัวหลบจองยุนที่พยายามจะเข้ามาปิดปากเขาด้วยความตกใจ

“น้องพอจะรู้ไหมครับว่าเพื่อนน้องชอบคนแบบไหน คงจะชอบคนเรียบร้อยๆ หน่อยสินะ?”

“นี่! อยากตายหรือไงยะ บอกแล้วไงว่าตอนนี้ฉันกับน้องไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกันแล้ว”

“ถ้าไม่ได้คิดอะไรแล้วจะมาที่นี่ทำไม เธอยอมจ่ายเงินแพงๆ ซื้อเหล้ามากินข้างถนนที่มีคนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ ทั้งที่เธอเองก็ไม่ได้เป็นเด็กคณะบริหารฯ เนี่ยนะ?”

“จะไปไหนก็ไปเลยไป ฉันดื่มคนเดียวก็ได้ย่ะ”

“แล้วเสื้อผ้าล่ะ เพื่อนน้องชอบผู้หญิงใส่เสื้อผ้าประมาณไหน ดูเพื่อนพี่จะชอบใส่เสื้อผ้าแบบเรียบร้อยๆ นะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”

ท่ามกลางคนสองคนที่กำลังถกเถียงกัน ยูแจได้แต่ยิ้มแห้งๆ อย่างทำตัวไม่ถูก ก่อนจะเปิดปากพูดออกมา

“เรื่องนั้นผมเองก็ไม่ค่อยรู้เหมือนกันครับ”

“ไม่รู้? เพื่อนกันไม่ใช่หรือไง”

ยูแจแกล้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพอเป็นมารยาทก่อนจะส่ายหน้า ทางด้านจองยุนเธอยกมือขึ้นมาทุบหลังของผู้ชายคนนั้นด้วยความหงุดหงิด

“ขนาดฉันไปไหนมาไหนตัวติดกับนายตลอด ฉันยังไม่รู้สเป็กนายเลยเหอะ”

“ก็จริง จะว่าไปแล้วก็เพิ่งเจอกันได้ไม่นานด้วยนี่นะ”

ผู้ชายคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างเคอะเขิน คำพูดของเขานั้นมีหมายความว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กปีหนึ่งจะไม่รู้จักกันและกัน เพราะเพิ่งรู้จักกันได้แค่สองเดือนกว่าๆ ทั้งที่มันเป็นคำพูดที่รุ่นพี่ผู้ชายคนนี้พูดพึมพำออกมาราวกับพูดคนเดียว ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเก็บมาใส่ใจ แต่ยูแจกลับตอบมันกลับไป

“เปล่าหรอกครับ พวกเราแค่ไม่เคยคุยเรื่องพวกนั้นกันเฉยๆ ความจริงแล้วเรารู้จักกันมานานมากแล้ว ผมกับฮันจุนเป็นเพื่อนสมัย ม.ต้น กันน่ะครับ”

“ม.ต้น? แล้วมาอยู่มหา’ลัยเดียวกันได้ยังไงเนี่ย น่าทึ่งชะมัด”

ผู้ชายคนนั้นมองจองยุนพลางถามความเห็น ทว่าจองยุนกลับจ้องมองไปที่ยูแจนิ่งแทนที่จะตอบรับคำพูดของเพื่อน ก่อนที่เธอจะถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้งด้วยสีหน้าแปลกๆ

“เพื่อนสมัย ม.ต้น? เป็นเพื่อนบ้านกันด้วยใช่ไหม”

“ครับ”

คำตอบนั้นถูกกลบหายไปด้วยเสียงลากเก้าอี้ที่ดังขึ้น ยูแจหันหน้าไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายนั่น มีกลุ่มผู้ชายหุ่นดีประมาณสิบกว่าคนกรูกันเข้ามาเป็นโขยงแล้วลากโต๊ะสี่ตัวมาต่อชิดติดกัน พร้อมทั้งพูดคุยกันเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว

ยูแจบอกลาจองยุนผ่านทางสายตาแล้วหันหลังกลับไป ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีที่เขากำลังจะเดินเข้าไปช่วยจัดโต๊ะและที่นั่งให้ ยูแจก็สังเกตเห็นว่าคนพวกนั้นเป็นใคร

พวกชมรมไฟต์คลับ

แม้ลองคิดดูอีกครั้งแล้ว แต่ยูแจก็คิดว่ามันเป็นชื่อชมรมที่เหมาะกับคนพวกนี้ดีจริงๆ

“โทษนะครับ สั่งอาหารหน่อยครับ!”

มีใครคนหนึ่งยกมือขึ้นพรวดแล้วตะโกนเสียงดังฟังชัด ทันทีที่เขาเปล่งเสียงตะโกนดังลั่น ผู้ชายคนอื่นที่ห้อมล้อมอยู่รอบๆ ก็พลันเงียบเสียงลงทันที ชายคนนั้นคือพ่อหนุ่มเสื้อแขนกุด แม้จะมองเพียงปราดเดียว แต่ยูแจก็สามารถดูออกว่าเป็นใครได้ในทันที ถึงอีกฝ่ายจะใส่เสื้อฮู้ดรูดซิปปิดเอาไว้อยู่ แต่เสื้อที่สวมไว้ข้างในวันนี้ก็ยังเป็นเสื้อแขนกุดเช่นเคย ยูแจรีบเดินเข้าไปใกล้แล้วรับออเดอร์

“ครับ รับอะไรดีครับ”

“ที่นี่มีกับแกล้มกี่อย่างครับ”

“หกอย่างครับ”

“น้อยจังแฮะ ถ้างั้นเอามาอย่างละสองจานก่อนแล้วกัน ส่วนเหล้า…ไม่สิ มีเบียร์สดไหม ขายยังไง”

“เราขายเป็นเบียร์ขวดครับ มีเบียร์หลากหลายประเภทจากทั่วโลกเลยครับ เพราะงั้นเลยมีให้เลือกหลายอย่าง ไม่ทราบว่า…”

“ถ้างั้นเอาอะไรก็ได้คละๆ มาให้ได้ยี่สิบขวดละกัน”

เมื่อพ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดพูดตัดบทเสร็จแล้วก็หันไปถามความเห็นจากสมาชิกในชมรมไฟต์คลับคนอื่นๆ ยูแจกวาดสายตามองสมาชิกคนอื่นๆ ที่นั่งล้อมรอบอยู่ ถึงแม้ส่วนสูงจะไม่เท่ากัน แต่ว่าสรีระรูปร่างนั้นค่อนข้างกำยำล่ำสันกันทุกคน ไม่ว่าใครมองมาก็คงดูออกว่าเป็นชมรมสายกีฬา ในบรรดาคนเหล่านั้นบางคนก็สวมเสื้อยืดของชมรม ตรงด้านหลังเสื้อยืดสีดำมีตัวอักษรอาร์ตที่มีลักษณะเหมือนไฟลุกโชนเขียนเอาไว้ว่า ‘FIGHT CLUB’

ยูแจลองจินตนาการภาพฮันจุนสวมเสื้อแบบนั้นแล้วมานั่งอยู่กับคนพวกนี้ ต่อให้จะบอกว่าฮันจุนชอบชกมวยมากขนาดไหน แต่มันก็เป็นภาพที่ไม่ได้ดูเข้ากันเลยแม้แต่น้อย

“เออใช่ ที่นี่มีคนที่ชื่อซอฮันจุนไหม ช่วยเรียกมาให้หน่อยได้ไหม”

จู่ๆ พ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดก็พูดขึ้น ยูแจจึงยกยิ้มพลางส่ายศีรษะ

“ฮันจุนเป็นตัวแทนจัดงานเลยมีเรื่องที่ต้องทำเยอะ น่าจะกำลังยุ่ง-”

“พี่ครับ!”

เสียงของฮันจุนดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปมอง เขาก็เห็นซอฮันจุนกำลังยิ้มกว้างพลางเดินเข้ามาใกล้ ฮันจุนยิ้มหวานแล้วเอ่ยทักทายสมาชิกทีละคนโดยไม่มีร่องรอยของความเหน็ดเหนื่อยบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย

พ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดจับตัวฮันจุนที่กำลังวุ่นอยู่กับการทักทายเพื่อนลงมานั่งข้างๆ ตัวเอง

“พี่พาเด็กๆ ในชมรมมากันหมดเลย ไง ไอ้หนู งานเรียบร้อยดีไหม”

“ครับ รีบถามจัง งานมันเพิ่งจะเริ่มเอง”

“มาดื่มกันก่อนสักแก้วแล้วค่อยไปทำงานน่า อ่า โทษนะครับ ช่วยเอาเบียร์ที่สั่งไปเมื่อกี้มาให้หน่อยได้ไหมครับ”

พ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดมองมาที่ยูแจพลางเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่าทำไมยังยืนบื้ออยู่ตรงนี้อยู่อีก ยูแจจึงเดินไปหยิบเบียร์เงียบๆ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถไปขอให้คนอื่นมาช่วยเสิร์ฟแทนให้ก็ได้ แต่อย่างไรเสียงานเสิร์ฟมันก็เป็นหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว เขาจึงเลือกแบ่งเบียร์ยี่สิบขวดแล้วเดินไปเสิร์ฟอยู่หลายรอบพลางเฝ้ามองซอฮันจุนไปด้วยอย่างไม่วางตา

ต่อหน้าเหล่ารุ่นพี่พวกนั้น ซอฮันจุนทำหน้าอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน มันแตกต่างจากตอนที่อยู่ด้วยกันกับเพื่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด ฮันจุนรับเบียร์ไปดื่มอย่างกระตือรือร้นทั้งยังตั้งอกตั้งใจฟังบทสนทนาของคนในกลุ่มเป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศการพูดคุยนั้นดำเนินไปเรื่อยๆ อย่างออกรส

ดูเหมือนว่าฮันจุนจะต้องใช้ความพยายามในการปั้นหน้ามากกว่าปกติ เจ้าตัวคงรู้สึกว่าจะต้องรับผิดชอบและดูแลเพื่อนในชมรมที่มารวมตัวกันเพื่อตัวเอง เขาวุ่นอยู่กับการกระแซะไหล่คนนั้นทีคนนี้ที ทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูเหมือนน้องน้อย ทำเป็นเบะปากบ้าง เม้มปากบ้าง หรือแม้กระทั่งเลียริมฝีปากบ้างอยู่ตลอดเวลา

แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ดูเหมือนนี่จะเป็นความสัมพันธ์ที่ยังต้องรักษาน้ำใจกันอยู่

ยูแจมองไปที่มือของพ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดที่ไม่คิดจะเลื่อนออกจากแผ่นหลังของฮันจุน

ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ผู้ชายคนนั้นก็ดูแปลกๆ ชอบกล ยูแจนำขวดเบียร์ที่เอามาเสิร์ฟเป็นครั้งสุดท้ายไปวางตรงหน้าชายคนนั้นด้วยความคิดที่ต้องการจะเฝ้าสังเกตอะไรฮันจุนอีกสักหน่อย เขาจึงตัดสินใจถามขึ้น

“ต้องการอะไรเพิ่มอีกไหมครับ”

“ไม่มี”

พอหนุ่มเสื้อแขนกุดตอบตัดบท ขณะนั้นฮันจุนก็เคลื่อนสายตามามองยูแจ ก่อนจะเปลี่ยนท่านั่งหันหน้าไปยังหนุ่มเสื้อแขนกุดแล้วพูดขึ้น

“พี่ครับ จำหมอนี่ไม่ได้เหรอ คนที่พี่เจอหน้าคณะมนุษยศาสตร์ตอนนั้นไง ชื่อโชยูแจ เพื่อนผมที่ผมเคยบอกว่าเล่นบาสอะครับ”

“อ๋า! หมอนี่นี่เอง ก็ว่าทำไมหน้าคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหน ฉันเผลอลืมไปซะสนิทเลยนะเนี่ย สวัสดีครับ”

พ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดทำท่าทำทางยินดีพลางยื่นมือออกมาทักทาย พอบอกว่าเป็นเพื่อนของฮันจุนก็เปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที ยูแจยิ้มพลางยื่นมือเข้าไปจับทักทาย

“สวัสดีครับ”

“เพื่อนก็อยู่สโมฯ เหมือนกัน?”

“ใช่ครับ”

“ไหนเรียกฉันว่า ‘พี่ซึงมิน’ ซิ”

“พี่ซึงมิน”

“ต้องอย่างนี้สิวะ!”

หนุ่มเสื้อแขนกุดยิ้มอย่างพึงพอใจ

แค่เรียกว่าพี่มันน่าดีใจขนาดนั้นเลย? คนรอบตัวก็มีแต่คนที่เด็กกว่าก็น่าจะเรียกว่าพี่กันหมดไม่ใช่หรือไง

ยูแจมองไปรอบๆ วงของสมาชิกชมรมไฟต์คลับ ทั้งหมดมีสิบสองคนและทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นผู้ชาย

ซอฮันจุนจะสนิทกับคนพวกนี้ทุกคนเลยไหมนะ

เนื่องจากมีทั้งหมดสิบสองคน มันจึงยากที่จะทำความรู้จักได้ภายในครั้งเดียว ดังนั้นยูแจจึงเริ่มคุยกับหนุ่มเสื้อแขนกุดก่อนเป็นอันดับแรก

“ได้ยินมาว่าเป็นชมรมชกมวยสินะครับ จะว่าไปแล้วผมไม่เคยลองชกมวยมาก่อนเลย”

“สงสัยอะไรล่ะ ถามมาได้เลย”

พ่อหนุ่มเสื้อแขนกุดวางก้ามทำเป็นอวด ในขณะที่ฮันจุนที่นั่งอยู่ข้างๆ เลิกคิ้วขึ้นมาราวกับคาดไม่ถึงด้วยความรู้สึกแปลกใจ เพราะที่ผ่านมายูแจไม่เคยแสดงท่าทีให้เห็นเลยว่าสนใจการชกมวย พอยูแจเห็นสีหน้าแบบนั้นของฮันจุน เขาก็เกิดรู้สึกอยากแกล้งอีกฝ่ายขึ้นมาจึงเอ่ยปากถามซึงมิน

“เห็นเรียกชื่อชมรมกันว่า ‘ไฟต์คลับ’ ฟังแล้วมันดูเถื่อนๆ อยู่เหมือนกันนะครับเนี่ย ฮันจุนเองก็เคยต่อยผมไปตั้งสองครั้งแน่ะ”

ทั้งที่เป็นการล้อเล่น แต่บรรยากาศกลับแปลกไปในทันที ซึงมินตกใจจนตาเบิกกว้างแล้วหันขวับมามองฮันจุนทันใด

“จริงหรือเปล่า”

“เปล่าสักหน่อย คือ…จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้รุนแรงอะไรขนาดนั้นหรอกครับ”

“พี่เคยบอกนายว่าไง การต่อยมวยมันคือเหวี่ยงหมัดออกไปต่อยใครก็ได้งั้นเหรอ”

“ไม่ใช่ครับ”

ฮันจุนหลุบตาลงแล้วรีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว ยูแจขมวดคิ้วมุ่นกับท่าทางของฮันจุนที่ก้มหัวให้พี่คนนั้นอย่างง่ายดาย

ทำไมจู่ๆ ถึงต้องหันไปดุหมอนั่นด้วยล่ะ ถ้าไม่อยากถูกใครเข้าใจผิดแบบนั้นก็ควรจะต้องรีบไสหัวไปเปลี่ยนชื่อชมรมไม่ใช่หรือไงวะ

วินาทีนั้นเองยูแจก็ได้พูดแทรกขึ้น

“เมื่อกี้ผมล้อเล่นนะครับ จริงๆ แล้วเป็นฝั่งฮันจุนมากกว่าที่ได้แผลระหว่างต่อยมวยอยู่บ่อยๆ”

“ฉันเนี่ยนะได้แผล?”

“แต่ก่อนนายเคยมีแผลบนหน้าไม่ใช่หรือไง”

“นี่นายพูดถึงเรื่องสมัยไหนกันแน่เนี่ย”

“จะว่าไปแล้วมือนายเองก็มีแผลเยอะตลอดเลยนี่”

ยูแจรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที เพราะเขาไม่ชอบใจที่ไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดมาดุด่าตะคอกใส่ฮันจุนทั้งที่ตัวเองก็ยังเป็นนักศึกษาเหมือนกัน แถมฮันจุนเองก็ไม่ได้ทำอะไรผิดด้วย คำพูดเพียงไม่กี่คำของเขาทำให้ฮันจุนดูกลายเป็นนักเลงหัวไม้ขึ้นมาทันทีโดยที่เขาไม่ได้ตั้งใจ

กีฬานั้นมีหลากหลายประเภท แม้จะเป็นมือสมัครเล่น ทว่าในกีฬาแต่ละประเภทก็จะมีบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไป สำหรับชมรมฮูปส์นั้นค่อนข้างมีอิสระ กฎระเบียบวินัยระหว่างรุ่นพี่รุ่นน้องก็ไม่ได้เคร่งครัดอะไรขนาดนั้น แต่ดูเหมือนว่าชมรมไฟต์คลับนั้นจะตรงกันข้าม เขาจึงรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไรนัก

ซึงมินจับมือของฮันจุนพลิกไปมาพลางพูดต่อ

“ขึ้นชื่อว่าการต่อยมวยยังไงมันก็ต้องมีได้แผลกันบ้างเป็นธรรมดาอยู่แล้วแหละ กีฬาทุกอย่างน่ะ ถ้าไม่ได้เตรียมตัวก่อนเล่นดีๆ มันก็พลาดท่าบาดเจ็บกันได้ทั้งนั้น ทางชมรมของเราเองก็จัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับฝึกซ้อมอย่างดี แถมเราก็ระมัดระวังซึ่งกันและกันเสมออยู่แล้วเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ ถึงอย่างนั้นนายจะไปจินตนาการซัดหน้าใครอย่างในการ์ตูนไม่ได้นะ”

“หมอนี่คงจะเข้าใจผิดเพราะชื่อชมรมดูเถื่อนแน่ๆ เลย”

“ดูท่าคงต้องเปลี่ยนชื่อชมรมจริงๆ แล้วมั้งเนี่ย”

ในขณะที่มีเสียงของคนในชมรมพึมพำดังขึ้นเรื่อยๆ ซึงมินก็ยังคงมองหาบาดแผลที่มือของฮันจุน ถึงจะไม่มีบาดแผล แต่ก็มีรอยแดงๆ ปรากฏอยู่ ซึงมินขมวดคิ้วพลางลูบผิวแห้งแตกนั้นด้วยปลายนิ้วมือ

“ทำไมมือถึงได้เป็นแบบนี้ล่ะ”

“ผิวมันแห้งก็เลยแตกน่ะครับ”

“หาอะไรทาซะสิ”

“ทาแล้วนะครับ แต่มันก็ไม่ค่อยดีขึ้นเลย”

“ตอนนอนก็หาเครื่องทำความชื้นเครื่องเล็กๆ มาวางไว้ตรงหัวเตียงสิ ฉันมีที่ไม่ได้ใช้อยู่เครื่องหนึ่ง เอาไหม”

พอเปิดปากพูดก็มีแต่คำว่า ‘เอาให้’ ‘ซื้อให้’ ดูท่าจะเป็นคำพูดติดปากของผู้ชายคนนี้ แม้แต่ค่าเบียร์ผู้ชายคนนี้ก็เป็นคนจ่ายเองทั้งหมด แถมเรียกฮันจุนที่เป็นเจ้าภาพงานมาแล้วยังพูดจาโอ้อวดอีก

ฮันจุนได้แต่ส่ายหน้าพลางยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็นไร มันช่างน่าเห็นใจเอามากๆ กับการที่เหนื่อยล้าจนจะตายอยู่แล้ว แต่กลับต้องเสแสร้งแสดงออกมาราวกับว่าไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอะไร

สุดท้ายแล้วยูแจจึงช่วยหาข้ออ้างให้ฮันจุนหนีออกไปจากตรงนี้

“นี่ พี่จองยุนก็มาด้วยนะ ไปทักพี่เขาหน่อยสิ”

“จริงเหรอ”

ฮันจุนหันหน้าไปทางที่นิ้วของยูแจชี้พร้อมกับทำสีหน้าดีใจ เขาลุกขึ้นพรวดแล้ววิ่งไปทางโต๊ะของจองยุนทันทีก่อนที่จะโดนซึงมินจับตัวไว้

“พี่!”

ยูแจได้ยินเสียงฮันจุนเรียกจองยุน รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้านั้นช่างเข้ากันกับน้ำเสียงที่แสนสดใส คราวนี้เขาไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับการที่ต้องพยายามปั้นหน้ารักษาน้ำใจเธออีกแล้ว

โล่งอกไปทีที่ช่วยทำให้ฮันจุนสบายใจขึ้นได้

ความสัมพันธ์ดีๆ ระหว่างพี่สาวและน้องชาย

จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดที่จองยุนเคยพูดขึ้นมาพลางนึกไปถึงท่าทางของเธอตอนที่พูดคำนั้น เธอดูเหมือนจะยังมีใจให้ฮันจุน แม้แต่เพื่อนของเธอเองก็ยังดูออกและมั่นใจว่าเธอยังคงชอบฮันจุนอยู่เช่นกัน

แต่แล้วทำไมถึงได้บอกว่าตกลงกันแล้วว่าจะเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันล่ะ การพูดแบบนั้นมันหมายความว่าทั้งสองคนต้องคุยกันแล้ว และตกลงกันได้แล้วไม่ใช่หรือไง

ถ้าอย่างนั้นคนที่ต้องการความสัมพันธ์แบบที่ไม่ใช่แฟน แต่มั่นคงในระยะยาวก็คือฝั่งฮันจุนงั้นสินะ?

ถ้าหากไม่มีใจอยากจะคบ ฮันจุนก็คงจะขีดเส้นความสัมพันธ์และทิ้งระยะห่างชัดเจนเหมือนที่ทำกับยูบินไปแล้ว แต่ฮันจุนกลับไม่ได้ทำแบบนั้นกับจองยุน กลับกันแล้วพวกเขาทั้งคู่ดูจะไปพบเจอกัน พูดคุยกัน แถมคงยังติดต่อกันอยู่บ่อยๆ จนน่าประหลาดใจอีกด้วย ถ้าหากทำอย่างนั้น ความรู้สึกรักในเชิงชู้สาวที่เคยมีก็จะค่อยๆ จางหายไป และคงจะเหลือไว้เพียงแค่ความสัมพันธ์แบบเพื่อน

ทีกับจองยุนทำไมมันถึงง่ายดาย แต่ทีกับฉันแล้วทำไมมันถึงยากเย็นขนาดนั้น เหตุผลมันคืออะไรงั้นเหรอ เพราะเธอเป็นผู้หญิง แต่นายชอบผู้ชายงั้นสินะ? หรือเป็นเพราะว่านายมีอารมณ์กับฉัน?

ยูแจถอนหายใจพลางบอกกับตัวเองว่าเขาต้องเลิกคิดอะไรแบบนี้ได้แล้ว

ซอฮันจุน…และความต้องการทางเพศของเขา

หลังจากตระหนักได้ว่าเขาไม่เคยรู้สึกตัวมาก่อนเลยแม้แต่สักครั้งเดียวในช่วงเวลาที่มีร่วมกันมาอย่างยาวนาน คำถามที่ไม่ควรตั้งขึ้นมามากมายก็เริ่มผุดขึ้นมาเต็มหัวจนไม่อาจควบคุม

พอสมองมันเริ่มคิดอะไรแบบนี้ รีบกลับไปช่วยงานน่าจะดีกว่า

ยูแจเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้น ทว่าซึงมินกลับคว้าแขนของเขาเอาไว้เสียก่อน

“ถ้าไม่ยุ่งมากก็นั่งก่อนสักเดี๋ยวแล้วค่อยไปสิ ไหนๆ นายก็เป็นเพื่อนของฮันจุน ฉันขอเลี้ยงนายสักแก้วสิ”

ยูแจลังเลก่อนจะนั่งลงอีกครั้ง การที่เขาเลือกเผชิญหน้ากับรุ่นพี่คนนี้ทั้งที่เขาเลือกที่จะเมินเฉยไปก็ได้นั้นเป็นเพราะคำพูดของซึงมินที่พูดออกมาด้วยท่าทีอวดดี

‘ไหนๆ นายก็เป็นเพื่อนของฮันจุน ‘ฉัน’ ขอเลี้ยงนายสักแก้วสิ’

เขาไม่รู้เลยจริงๆ ว่าทำไมคนที่เป็นคนนอกถึงได้กล้าพูดคำพูดแบบนั้นออกมาได้เรื่อยๆ ทั้งที่ไม่ได้เป็นพี่ชายหรือพ่อแม่ของฮันจุนแท้ๆ เขาอยากจะรู้เหตุผลนักว่าทำไมอีกฝ่ายถึงได้ชอบเสนอหน้าออกตัวพูดจาอย่างกับว่าจะต้องแบ่งปันทุกอย่างให้แก่คนที่อยู่รอบตัวของฮันจุนด้วย ทั้งยังทำตัวเหมือนตัวเองเป็นอะไรกับฮันจุนอีก

เพราะว่าเอ็นดูฮันจุนมาก? หรือเพราะว่าแค่อยากจะทำตัวโอ้อวดกับรุ่นน้อง?

“นายเคยเห็นฮันจุนต่อยมวยไหม”

ซึงมินรินเบียร์แก้วหนึ่งยื่นให้ก่อนจะพูดขึ้น ยูแจลอบกลอกตาไปมาอยู่เงียบๆ แต่จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่เคยเห็นฮันจุนชกมวยจริงๆ เลยสักครั้งเดียว

“ไม่ครับ”

“ดูท่าจะไม่เคยสินะ”

ซึงมินยกยิ้มมุมปาก

ฮันจุนชกมวยแล้วไง มีเหตุผลอะไร ทำไมต้องทำมาเป็นพูดจาโอ้อวดแบบนั้นด้วยวะ

เขาไม่ได้เข้าใจอะไรผิดไปแน่ๆ จุดประสงค์ของไอ้หนุ่มเสื้อแขนกุดนี่มันแปลกอย่างเห็นได้ชัด

“ดูจากที่นายบอกว่าการชกมวยมันดูป่าเถื่อน ก็พอจะเดาได้ว่านายไม่เคยดูการแข่งขันชกมวยอย่างจริงจังมาก่อน ไว้ถ้าว่างก็มาที่ชมรมเราสิ จะได้ลองมาดูฮันจุนสักครั้ง ถึงจะมีแต่พวกชายฉกรรจ์ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่การออกกำลังที่ใช้ความรุนแรงแบบนั้นแน่ๆ เพราะความจริงแล้วมันตรงกันข้ามเลยล่ะ เอ จะว่ายังไงดีล่ะ มันแบบ…มากๆ เลยล่ะ”

“…”

“ใช้คำว่า ‘แนบแน่น’ ได้หรือเปล่านะ”

ซึงมินลดเสียงลงแล้วแอบกระซิบเบาๆ ก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้นแล้ววางแขนลงบนโต๊ะ

“…มันเป็นเรื่องของผู้ชายน่ะ นายเข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร”

ซึงมินพูดเสริมพลางอวดลำแขนที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา

ความสนิทสนมแนบแน่นกันระหว่างผู้ชาย

ยูแจกลั้นขำกับคำพูดที่น่าขยะแขยงนั้น

มุมปากที่ยกยิ้มขึ้นค่อยๆ ลดลงมาอย่างเชื่องช้า หลังจากแตะขวดเบียร์อยู่สักพักยูแจก็เอ่ยปากถามออกไป

“ทำอะไรกันมาเหรอครับถึงได้สนิทสนมแนบแน่น”

“ก็แค่เจอกันเกือบทุกวัน มันก็เป็นธรรมดาของสมาชิกไฟต์คลับนั่นแหละ แต่ช่วงนี้ฮันจุนดูจะยุ่งๆ อยู่กับการสอบ ปกติแล้วถ้ามีเวลาก็จะมาออกกำลังกาย เจอกันทุกวัน ฟัดกันทุกวัน ทำอย่างนั้นแล้วจะไม่ให้แนบแน่นกันได้ยังไงล่ะ นายว่าไหม”

“…เจอกันทุกวันงั้นเหรอครับ”

“ใช่ ถึงจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ก็ไม่มีเรื่องไหนเกี่ยวกับฮันจุนที่ฉันไม่รู้หรอกนะ ฉันรู้ว่าหมอนั่นอยากจะซื้อโน้ตบุ๊กรุ่นไหน รู้ว่าเร็วๆ นี้ก็ใกล้จะถึงวันเกิดหมอนั่นแล้ว แล้วฉันก็รู้ด้วยว่าสัปดาห์ก่อน หมอนั่นโดนปล่อยให้รอเก้ออยู่หน้าประตูมหา’ลัยตอนที่จะไปสอนพิเศษ”

ยูแจที่กำลังนั่งฟังอย่างเหม่อลอยอยู่นั้นค่อยๆ หลุบตาลงช้าๆ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าฮันจุนถูกปล่อยให้รอเก้ออยู่ที่หน้าประตูมหาวิทยาลัย

เรื่องราวชีวิตประจำวันที่เคยแบ่งปันเล่าสู่กันฟังทุกวันแม้แต่เรื่องไร้สาระเล็กๆ น้อยๆ

เรื่องราวที่ตอนนี้ซอฮันจุนกลับไม่คิดที่จะเล่าให้เขาฟังอีกต่อไป

ยูแจหันไปมองฮันจุนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของจองยุนและกำลังพูดคุยกับเธออยู่ เมื่อก่อนยูแจสามารถคาดเดาในสิ่งที่ฮันจุนจะพูดคุยกับคนอื่นได้ ทว่าตอนนี้เขากลับไม่สามารถคาดเดามันได้เลยสักนิด

แนบแน่น?

ยูแจวางแก้วเบียร์ลงช้าๆ แล้วหยิบมือถือขึ้นมายื่นส่งให้

“พี่ ผมขอเบอร์พี่หน่อยสิครับ”

“หืม? อืม ได้สิ”

“ไว้คราวหน้าเดี๋ยวผมจะไปเยี่ยมชมรมมวยสักครั้งนะครับ”

ซึงมินตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ จู่ๆ เขาก็ตื่นเต้นมาก หันรีหันขวางไปเขย่าตัวสมาชิกคนอื่นๆ แม้แต่บางคนที่เมาไปแล้วก็ยังลุกขึ้นมาเต้นโยกไปย้ายมา

แค่บอกว่าจะไปเยี่ยมนี่มันน่ายินดีขนาดนั้นเลย? ดูท่าจะหิวคนมากเพราะเป็นชมรมที่แทบจะไม่มีคนสนใจงั้นสินะ

คงต้องโทษที่คนพวกนี้ส่งเสียงโหวกเหวกกันดังมาก สายตาของผู้คนจึงจ้องมาทางนี้กันเป็นตาเดียว ยูแจรับมือถือกลับคืนมา ก่อนจะพุ่งตรงไปหาทีมที่ดูแลเรื่องกับแกล้มเพื่อช่วยเสิร์ฟ ในระหว่างที่ก้าวเดินไปนั้น สายตาของเขาก็ปะทะเข้ากับสายตาของฮันจุนที่จ้องมองมาที่ตนอยู่พอดี

ฮันจุนขยับปากถามโดยจับใจความได้ว่า ‘เกิดอะไรขึ้น’ ก่อนที่ยูแจจะยักไหล่ตอบกลับไป

Chapter 7-2

 

ฮันจุนยกยิ้มเมื่อได้ไล่อ่านข้อความอวยพรวันเกิดที่หลั่งไหลเข้ามา ดูเหมือนว่าจะต้องขอบคุณแจ้งเตือนวันเกิดของกาเกาทอล์กที่เด้งแจ้งเตือนขึ้นมา ด้วยมันทำให้ทุกคนรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขาโดยที่เขาไม่ต้องเป็นคนบอกเอง

การส่งข้อความตอบกลับไปทีละข้อความก็ถือว่าเป็นมารยาทอย่างหนึ่งเช่นกัน ฮันจุนเริ่มเลือกตอบจากข้อความที่สามารถตอบกลับไปได้ด้วยคำขอบคุณสั้นๆ เพียงคำเดียวก่อน และในระหว่างที่กำลังตอบข้อความอื่นๆ อยู่นั้น เขาก็นึกถึงข้อความของยูแจที่เขาจงใจทิ้งไว้ตอบเป็นข้อความท้ายสุดขึ้นมา

ถึงโชยูแจจะเป็นฝ่ายพูดเองว่าไม่เคยทำอะไรให้เขาตอนวันเกิด แต่ฮันจุนกลับไม่ได้คิดอย่างนั้น อีกฝ่ายมักจะเป็นคนที่มาหาเขาถึงหน้าบ้านแล้วรอไปโรงเรียนด้วยกัน ยูแจเป็นคนแรกที่มาเจอหน้าและอวยพรวันเกิดให้เขาก่อนใครในบรรดาเพื่อนๆ เสมอ คนที่เคยเลือกยอมอดข้าวดีกว่าจะไปขอเงินค่าขนมจากพ่อแม่อย่างหมอนั่นกลับซื้อขนมปังอันเล็กๆ มาให้เขาในวันเกิด โดยที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนั่นไปเอาเงินมาจากไหน

ขนมปังไส้ครีมที่ขายอยู่ในร้านค้าที่โรงเรียนนั้นไม่มีทางอร่อยได้มากขนาดนั้น แม้ว่ามันจะราคาถูก แต่ฮันจุนก็ไม่เคยมองว่าความรู้สึกและสิ่งที่ยูแจทำให้นั้นมันเป็นเรื่องธรรมดาหรือไร้ค่าเลยแม้แต่สักครั้งเดียว เพราะเขามั่นใจว่ายูแจต้องยอมอดข้าวจนไส้กิ่วเพื่อที่จะเก็บเงินมาซื้อสิ่งนั้นให้เขาแน่ๆ

ฮันจุนทำไข่ดาวกินง่ายๆ รองท้องเป็นอาหารกลางวันพลางไล่ตอบข้อความกลับไปจนหมด หลังจากที่เช็กเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ลดหน้าจอลงและเลื่อนหาชื่อของยูแจ

 

โชยูแจ

กินข้าวเสร็จแล้วตอบกลับด้วย เจอกันก่อนเข้าเรียน (1.04 PM)

 

แม้ในใจนึกตำหนิว่าข้อความหนึ่งข้อความที่แสนห้วนนี้นี่มันอะไรกัน แต่เขาก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันทีที่เห็นมัน

ยูแจมักจะส่งข้อความมาชวนให้ออกไปเจอกันก่อนเข้าเรียนแทนคำว่าสุขสันต์วันเกิด สมัยก่อนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน หมอนั่นมักจะมาหาเขาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาบอกว่าจะเดินไปโรงเรียนด้วยกัน แล้วก็ร้องเพลงวันเกิดให้เขาที่หน้าบ้านในขณะที่เขากำลังใส่ชุดนักเรียนอย่างเร่งรีบ ฮันจุนคลี่ยิ้มพลางมองข้อความที่อยู่ตรงปลายนิ้ว พอหวนคิดถึงช่วงเวลาสมัยนั้นทีไร หัวใจก็จะรู้สึกร้อนรุ่มด้วยความว้าวุ่นขึ้นมาทุกที

คิดซะว่าโชคดี อย่างน้อยปีนี้ก็ได้ใช้เวลาในวันเกิดด้วยกัน

ฮันจุนพยายามควบคุมความรู้สึกเพื่อให้จิตใจสงบลง

 

ฮันจุนไปเจอยูแจที่หน้าลานน้ำพุก่อนเข้าเรียนหนึ่งชั่วโมง

แสงแดดในฤดูใบไม้ผลินั้นแสนอบอุ่น โชยูแจที่สวมเสื้อสเว็ตเตอร์น่ารักๆ กำลังยืนลูบสายสะพายของกระเป๋าเป้อยู่ เนื่องจากวิชาเอกส่วนใหญ่ของคณะบริหารธุรกิจจะเรียนอยู่ที่ตึกซึ่งอยู่ตรงหน้าลานน้ำพุ ดังนั้นฮันจุนจึงเห็นเพื่อนร่วมรุ่นในคณะบริหารฯ บางคนที่เดินไปมาแถวๆ นี้ทักทายเขา

คนจำนวนมากที่เดินผ่านไปมาต่างก็แอบชำเลืองตามามองยูแจ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่โดดเด่นสะดุดตาอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ศีรษะของเขาถึงดูกลมๆ และเรียบร้อยเป็นพิเศษ ฮันจุนตั้งใจปรับฝีเท้าให้ช้าลงหน่อยเพื่อเฝ้ามอง ยูแจกำลังพูดคุยอยู่กับกลุ่มคนที่เขาเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

เขาเคยกังวลด้วยกลัวว่าคนอย่างยูแจจะถูกคนอื่นๆ ตีตัวออกหากด้วยข่าวลือแปลกๆ นั้นหรือเปล่า แต่สุดท้ายเขากลับต้องหัวเราะเยาะให้กับความกังวลอันไร้สาระนั้นของตัวเอง สังคมในมหาวิทยาลัยนั้นใช่ว่าจะแคบเหมือนตอนมัธยมต้นหรือมัธยมปลาย แถมคนอย่างยูแจไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มักจะมีเพื่อนใหม่เสมอ ได้ยินมาว่าในระหว่างที่อีกฝ่ายทำงานในงานเทศกาลเบียร์นั้นก็ได้เบอร์ของซึงมินมาด้วย ทั้งยังไปขอโทษจองยุนมาอีก ไม่รู้ว่าเอาเวลาจากไหนไปทำเรื่องพวกนั้นกัน

หลังจากเพิ่งแยกกับเพื่อนๆ จนเหลือตัวคนเดียวแล้ว ยูแจก็หันมาเห็นฮันจุน ฮันจุนโบกมือให้ทันทีที่สบสายตากัน จากนั้นยูแจจึงยิ้มกว้างโชว์ฟันขาว

“Happy birthdayyy…to youuu”

สีหน้าท่าทางที่เลิกคิ้วขึ้นพลางจงใจลากเสียงร้องให้ยานคางนั้นดูขี้เล่นซุกซน ทันทีที่ประโยคแรกของเพลงจบลง ฮันจุนก็เดินเข้าไปใกล้ๆ หยุดยืนอยู่ข้างๆ อีกฝ่าย นัยน์ตาภายใต้เปลือกตาที่มองลงมาที่เขานั้นช่างอบอุ่น

ฮันจุนละสายตาออกจากริมฝีปากของยูแจก่อนจะพูดขึ้น

“มีเวลาอยู่ชั่วโมงนึง ไปไหนกันดี”

“คาเฟ่ที่เคยไปกับแม่นายครั้งก่อน เราไปที่นั่นกันดีกว่า ฉันมีอะไรจะให้นายด้วยแหละ”

ยูแจดูอารมณ์ดี ปกติแล้วคนเราถ้าหากเตรียมของขวัญเอาไว้ให้ใครสักคน ก็มักจะทำให้รู้สึกกระดี๊กระด๊าลุ้นและมีความสุขแบบนี้ ฮันจุนยังจำได้ดีว่าตอนที่เขาซื้อช็อกโกแลตให้ยูแจนั้น วันทั้งวันจิตใจมันว้าวุ่นขนาดไหน

เขาเดินตามยูแจพลางย่นจมูก พอได้คิดถึงช่วงเวลานั้นหัวใจมันก็เจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง

ไม่ว่าของที่หมอนี่ให้จะเป็นอะไร เราก็ต้องรับไว้ด้วยความยินดีสิ

ยูแจพูดคุยเรื่องไร้สาระไปเรื่อยจนกระทั่งมาถึงร้านกาแฟและเครื่องดื่มที่สั่งไปถูกนำออกมาเสิร์ฟ เครื่องหน้าคมชัดที่อยู่บนใบหน้าเรียวนั้นขยับไหวไปมา

“วันนี้ฉันว่าจะลองไปไฟต์คลับดูสักหน่อย”

“อือ ได้ยินมาจากพี่ซึงมินแล้ว จู่ๆ ทำไมถึงได้นึกอยากไปขึ้นมาล่ะ นายไม่ได้สนใจจะชกมวยนี่”

“ก็ไม่ได้จะสมัครทันทีเลยซะหน่อย แค่อยากลองไปดูสักครั้งเฉยๆ”

“ดูเหมือนพี่ซึงมินเขาจะไม่ได้เข้าใจตรงกันกับนายนะ เห็นบอกว่าจะมีเด็กปีหนึ่งเข้ามาเพิ่มอีกคน ทำเอาชมรมวุ่นวายกันไปหมด”

ยูแจหัวเราะ ดูท่าฝ่ายนั้นคงจะประหลาดใจที่เมื่อวานซืนยูแจยังด่าว่าชมรมมันน่าสิ้นหวังตั้งแต่ชื่ออยู่เลย แต่มาวันนี้จู่ๆ ก็บอกว่าอยากจะไปเยี่ยมชม ยูแจดูสนิทกับซึงมินมากขึ้นตอนเทศกาลเบียร์ ฮันจุนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องมาเยี่ยมชมรมนั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้สองคนนี้สนิทกันหรือเปล่า ซึงมินเป็นรุ่นพี่ที่ตลกและเฟรนด์ลี่ ถึงแม้ว่าบางทีจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปบ้างก็เถอะ

ยูแจดูดลาเต้เย็นพลางกลอกตาไปมา อีกฝ่ายดื่มกาแฟได้ง่ายต่างจากฮันจุนที่ไม่ถูกกับลาเต้และอเมริกาโน่เลย เขานิ่งเงียบพลางกดริมฝีปากลงบนหลอดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น

“พี่คนนั้นถามฉันว่าเคยเห็นนายต่อยมวยไหม พอลองมาคิดดูแล้ว ฉันก็ยังไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง”

“ดูแล้วมันทำไม ไม่ได้มีอะไรน่าดูหรอกน่า”

“เห็นบอกว่าเป็นกีฬาของผู้ชายที่สนิทสนมกันอย่างแนบแน่น”

“อะไรของนาย…มันก็แค่กีฬาที่พวกผู้ชายนิยมเล่นกันเยอะ”

ถึงจะรู้สึกผิดต่อซึงมิน แต่ฮันจุนก็เลือกตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมา อย่างไรเสียโชยูแจก็ไปดูเพื่อความบันเทิง คงไม่ได้คิดสมัครเข้าชมรมเป็นจริงเป็นจังอยู่แล้ว จะว่าไปเขาก็ไม่ได้คิดจะบอกความจริงกับยูแจว่าซึงมินทำความสะอาดโรงยิมเองทุกซอกทุกมุมจนเงาวับไปเมื่อไม่กี่วันก่อน โดยเลือกที่จะปิดมันไว้เป็นความลับ ถึงแม้ว่าคนอย่างยูแจจะไม่ได้มีนิสัยชอบปลีกตัวหนี เพียงแค่รู้สึกอึดอัดใจกับอะไรแบบนั้นก็เถอะ

ฮันจุนเหลือบตาไปมองเพราะได้ยินเสียงรูดซิป ก่อนจะเห็นยูแจเปิดกระเป๋าแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมา

“นี่เป็นของขวัญวันเกิดน่ะ สุขสันต์วันเกิดนะ”

ถุงช็อปปิ้งที่มีขนาดใหญ่กว่าที่คาดเอาไว้ถูกวางลงตรงหน้า ยูแจน่าจะซื้อของขวัญเตรียมไว้ก่อนล่วงหน้า เพราะว่าวันนี้มีเรียนตั้งแต่เช้า พอคิดว่ายูแจไปเลือกมันเองกับมือแล้วซื้อมาให้ ในใจก็พลันรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมา

ตอนที่เห็นโชยูแจแอบไปซื้อขนมปังไส้ครีมคนเดียวที่ร้านค้า ฮันจุนก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าในตอนนั้นเขาจะยังสับสนว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่ ทว่าตอนนี้เขามั่นใจและรู้แล้ว

…ว่าตอนนี้มันถึงเวลาที่เขาควรจะต้องหยุดความรู้สึกนี้สักที

ฮันจุนกดความรู้สึกลงไป แล้วคลี่ยิ้มออกมา

“อะไรเนี่ย”

ครีมอาบน้ำหรือเปล่านะ

ฮันจุนหยิบกล่องที่อยู่ในถุงออกมาก่อนจะขมวดคิ้วมุ่น

ต่อให้ไม่ต้องเปิดออกดู เขาก็รู้ได้ทันที เพราะบนกล่องมีรูปภาพของสิ่งของที่อยู่ข้างในกำกับอยู่อย่างชัดเจน

“…โน้ตบุ๊ก?”

“มันไม่ใช่ของสเป็กสูงอะไร ราคาก็ไม่ได้แพงขนาดนั้นหรอกน่า แถมฉันใช้คูปองไปด้วยเลยซื้อมาได้ในราคาที่ถูกกว่าราคาขายปกติน่ะ”

ยูแจรีบพูดอธิบายอย่างรวดเร็ว ต่อให้บอกว่าเป็นราคาต่ำสุดขนาดไหน แต่มันก็น่าจะเป็นเงินที่มากพอๆ กับเงินค่าสอนพิเศษหนึ่งเดือนของเขา ฮันจุนผ่อนลมหายใจ

“ฉันรับมันไว้ไม่ได้หรอก มันมากเกินไป”

“แต่ฉันไม่มีเค้กให้แทนหรอกนะ มีแต่ของชิ้นนี้เท่านั้นแหละ”

“…”

“แล้วฉันก็ไม่ได้ใช้เงินค่าขนมจากที่บ้านมาซื้อด้วย มันเป็นของขวัญที่ฉันซื้อด้วยเงินที่ฉันหามาเอง”

ฮันจุนตั้งใจจะเถียงออกไปว่า ‘แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน’ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ปิดปากเงียบ

มันมีจุดที่เกี่ยวข้องกันอยู่ เพราะเขาคงจะไม่สามารถรับมันเอาไว้ได้อย่างเด็ดขาด หากโชยูแจใช้เงินค่าขนมที่ได้รับมานำไปซื้อในขณะที่ต้องทนฟังเสียงพร่ำบ่นที่แสนเกลียดชังนั้น

ยูแจที่เฝ้ามองอยู่เคาะลงบนกล่องเพื่อเรียกร้องความสนใจจากฮันจุน

“ถ้าหากนายพอมีเงิน นายเองก็คงอยากจะทำแบบเดียวกันให้ฉันเหมือนกัน หวังว่านายจะไม่คิดอะไรในแง่ร้ายหรอกนะ”

ยูแจพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง ทั้งที่ให้ของขวัญ แต่กลับทำหน้าตาบูดบึ้ง ดูเหมือนว่ายูแจจะรู้สึกเสียความรู้สึก ไม่ใช่ว่าฮันจุนจะไม่รู้ถึงความตั้งใจนั้นของยูแจ เพียงแต่ว่า…

เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะรับทุกอย่างจากยูแจเอาไว้ด้วยความยินดี ไม่ว่าของสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว พอเขาเห็นโน้ตบุ๊ก เขากลับควบคุมสีหน้าของตัวเองเอาไว้ไม่ได้เลย แม้เขาจะไม่เคยแสดงออกว่าต้องการหรืออยากได้โน้ตบุ๊ก ไม่เคยแสดงให้เห็นว่าไม่มีเงินจะซื้อข้าวกินทุกวัน และไม่เคยทำให้อีกฝ่ายเห็นว่ามีเงินไม่มากพอ แต่สุดท้ายแล้วยูแจก็มองเขาออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง และนั่นมันก็ทำให้เขารู้สึกปวดใจเหลือเกิน

เขาไม่ได้รู้สึกเสียศักดิ์ศรีหรือสมเพชเวทนาตัวเอง เพราะเขาเองก็เข้าใจอย่างถ่องแท้มาโดยตลอดว่าการที่โชยูแจคอยเอาใส่ใจเขามาตลอดนั้นมันหมายความว่าอย่างไร เขาก็แค่รู้สึกเหนื่อย…เหนื่อยกับการที่คนที่ชอบต้องมาเห็นสภาพของตัวเองที่กำลังดิ้นรนเพราะความยากจนอยู่เป็นประจำ

ฉันแค่อยากให้นายเห็นฉันในภาพลักษณ์ที่ดูดีกว่านี้อีกสักนิด…ภาพลักษณ์ที่ดูดีขึ้นได้ด้วยความพยายามของตัวฉันเอง

“รู้ทั้งรู้ว่าฉันไม่ค่อยจะชอบ แล้วนายใช้เงินขนาดนี้ไปเพื่ออะไร”

“เพราะตอนนี้มันมีประโยชน์กับนาย ต่อให้นายจะไม่พอใจล่ะมั้ง”

“คราวหน้าฉันไม่ยอมแน่ๆ ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

“เขาว่ากันว่าพอเข้าทำงานในบริษัทแล้วได้เงินเดือนเดือนแรกมาก็ให้เอาเงินนั้นไปซื้อของขวัญให้คนในครอบครัวไม่ใช่หรือไง คิดซะว่ามันก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ”

ฮันจุนกัดริมฝีปากแน่นพลางสบสายตากับยูแจที่กำลังพูดหยอกเล่นเพื่อให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไป มันคงจะดีกว่าหากคิดง่ายๆ แบบนั้นแล้วทำให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็วที่สุด ทว่าพอสบสายตากับดวงตาที่เปล่งประกายเต็มไปด้วยความวิตกซึ่งแตกต่างไปจากคำพูดนั้นแล้ว ความรู้สึกขุ่นเคืองใจก็ดันตีรวนขึ้นมาแทน

“นายเป็นคนในครอบครัวฉันหรือไง”

หลังจากพูดคำนั้นออกไป คำพูดที่พูดราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นคนอื่นคนไกล ตอนนั้นเองฮันจุนถึงเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองได้พูดอะไรที่ร้ายแรงออกไป

ลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ชั่วขณะหนึ่งพรั่งพรูออกมา ฮันจุนยกเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมามองดูภาพฉากตรงหน้าที่ตัวเองไม่อยากจะเผชิญหน้าด้วย โชยูแจยังคงยิ้มอยู่เหมือนเดิมราวกับว่าไม่ได้ยินคำพูดเมื่อสักครู่นี้ ทว่าในเสี้ยววินาทีที่ตระหนักได้อย่างถ่องแท้แล้ว รอยยิ้มนั้นก็พลันจางหายไป ทุกครั้งยามที่กะพริบตา นัยน์ตาที่เคยเปล่งประกายกลับค่อยๆ สูญเสียความสดใสลงไปทุกที

แววตาคู่นั้นหลุบเลื่อนลงไปมองพื้น แล้วยูแจก็จ้องมองไปที่กล่องโน้ตบุ๊ก ก่อนจะพยักหน้าน้อยๆ หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นแล้วเอากล่องใส่เข้าไปในถุงช็อปปิ้งเหมือนเดิมอีกครั้ง

“ไว้ฉันจะเอาไปคืนเงินให้ก็แล้วกัน”

“นี่”

“ถ้าดื่มหมดแล้วก็ไปกันเถอะ”

ยูแจพูดพลางลุกขึ้น ก่อนที่ฮันจุนจะหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วรีบวิ่งตามหลังออกไป ทั้งที่เขาควรต้องพูดออกไปว่าไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น แต่เขากลับไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้เลย

ทั้งที่เสียงเพลงสุขสันต์วันเกิดที่ยูแจร้องให้เขานั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู…

 

อยากดูดีในสายตาของโชยูแจ? ไอ้โง่เอ๊ย แล้วดันไปพูดอย่างนั้นทำไมวะเนี่ย

ฮันจุนเอาหน้าซุกหมอนพลางหัวเราะเยาะตัวเอง

ฮันจุนสารภาพรักแล้วก็ถูกโชยูแจปฏิเสธ ทั้งที่หวังว่าสักวันจะกลับมาคืนดีกับยูแจได้ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด เขากำลังพยายามมุ่งมั่นที่จะกลับไปเป็นเพื่อนกันอย่างเก่า ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากดูดีในสายตาของอีกฝ่าย และการที่ทำอย่างนั้นไม่ได้ มันก็ได้สร้างบาดแผลและทำให้ใจของเขารู้สึกเจ็บปวด

ถ้าพูดไปตั้งแต่แรกว่าของขวัญแพงๆ นั้นมันทำให้เขารู้สึกเสียศักดิ์ศรี และทำให้ถูกมองว่าน่าเห็นใจ หากพูดแบบนั้นไปยังจะดูน่าหัวเราะเยาะน้อยกว่านี้เลย

ไม่มีใครโง่ได้เท่าเราแล้วล่ะ

เขาได้รู้แล้วว่าไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นขนมปังไส้ครีมหรือโน้ตบุ๊ก ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังคงเป็นหัวใจดวงเดิม

เมื่อนึกถึงสีหน้าของยูแจยามรู้สึกเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าขึ้นมา หัวใจของเขาเองก็รู้สึกเจ็บปวดไม่ต่างกัน ถึงภายในอกมันจะปวดหน่วงมากสักแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดมันลงได้เลย ยิ่งกล้ำกลืนเสียงร้องครวญครางภายในใจที่คอยจะล้นทะลักออกมาเท่าไร ความรู้สึกเหล่านั้นก็มีแต่จะทับถมกันมากขึ้นเรื่อยๆ

โง่เง่าชะมัด

รักข้างเดียวอันแสนหนักอึ้งนี้

ทั้งความรู้สึก ทั้งหัวใจ ไม่มีอะไรได้ดั่งใจเลยแม้แต่อย่างเดียว

ฮันจุนเงยหน้าขึ้นแล้วคลำหามือถือ ทันทีที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์สั่น เขาก็เผลอนึกไปว่าอาจจะเป็นสายโทรศัพท์จากยูแจ ทว่ามันกลับไม่ใช่ มันเป็นสายโทรศัพท์จากซึงมิน

วันนี้ที่ชมรมไฟต์คลับ หลังจากฟิตซ้อมออกกำลังกายกันแล้วก็มีนัดกันจัดปาร์ตี้วันเกิดแบบง่ายๆ แน่นอนว่าเขาควรจะต้องไป แต่เขากลับไม่มีอารมณ์จะไปออกกำลังกายเลย ฮันจุนใช้ฝ่ามือลูบหน้าอกที่รู้สึกเจ็บปวด ก่อนจะกดรับสาย

“นี่ นายอยู่ไหน”

“พี่ วันนี้ผมไม่ไปซ้อมแล้วนะ ไว้อีกสักเดี๋ยวผมจะไปนะครับ”

“ว่าไงนะ นายออกมาเดี๋ยวนี้เลย เพื่อนนายที่บอกว่าจะมาดูนายชกมวยอะ หมอนั่นมาถึงแล้วเนี่ย”

“…ครับ?”

ฮันจุนทำหน้าบึ้งแล้วลุกขึ้นนั่ง

โชยูแจ?นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก

“ยูแจเขาบอกว่าจะมาดูนายชกมวย ตอนนี้ก็กำลังรออยู่เนี่ย แถมยังมีเด็กปีหนึ่งคนอื่นมากันเพียบเลย แล้วที่สุดยอดที่สุดคืออะไรรู้ไหม มีเด็กผู้หญิงมาดูด้วย! ถ้าเกิดว่าในบรรดาเด็กผู้หญิงพวกนั้นมีใครสักคนบอกว่าจะสมัครเข้าชมรมเราล่ะ…ถ้าเป็นงั้นจะทำไงดีวะเนี่ย หืม? ฮันจุนอา ถึงวันนี้จะเป็นวันเกิดนายก็จริง แต่มันก็นับเป็นวันมงคลของชมรมไฟต์คลับด้วยนะ สงสัยคงต้องแต่งตั้งให้วันนี้เป็นวันครบรอบชมรมซะแล้วสิ”

“…”

“นี่ฉันฝันหรือตื่นอยู่กันแน่วะเนี่ย นายรีบมาหยิกพี่ทีสิ”

โชยูแจมาที่โรงยิม แม้ว่าหมอนั่นคงจะเจ็บปวด แต่เขาก็ยังรักษาสัญญา…

“จะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

ฮันจุนวางสายทันทีก่อนจะรีบลุกจากเตียง

ไม่ว่าจะเป็นกีฬาของพวกผู้ชายที่สนิทสนมกันอย่างแนบแน่น หรือจะเป็นอะไรก็แล้วแต่ อย่างไรเสียเขาก็คิดอยากจะโชว์ให้ยูแจได้เห็นภาพลักษณ์ที่เจ้าตัวคาดหวัง

 

ฮันจุนวิ่งพรวดเข้าไปในโรงยิมก่อนจะเห็นภาพที่ไม่คุ้นเคย อีกฟากหนึ่งของโรงยิม รุ่นพี่คนอื่นๆ รวมถึงซึงมินกำลังสอนชกมวยอยู่ การต่อสู้กันบนสังเวียนมีเสียงดังฮึกเหิมมากกว่าทุกที ขนาดตอนที่เขาก้าวเท้าเข้ามาในโรงยิมนี้เป็นครั้งแรก พวกรุ่นพี่ต่างก็ต้อนรับกันเสียงดังวุ่นวายมากแล้ว แต่โชว์ของวันนี้มันยิ่งกว่านั้นเสียอีก เพื่อนร่วมรุ่นที่เข้ามาเยี่ยมชมถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มตามความชอบและความสนใจ บ้างก็ไปดูการสอนออกหมัดฮุค บ้างก็ไปชมการแข่งขัน

นอกจากเพื่อนในชมรมบาสของยูแจหนึ่งคนที่เดินวนไปวนมารอบๆ แล้ว ที่เหลือต่างก็เป็นเพื่อนที่ลงเรียนคลาสเดียวกันกับยูแจทั้งหมด ตั้งแต่สมัยก่อนแล้วที่เวลายูแจไปไหนมาไหนก็มักจะดึงดูดผู้คนให้ไหลตามกันมาด้วยอยู่เสมอ ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจขนาดนั้นที่เพื่อนๆ ต่างก็ตามยูแจกันมาเป็นแถว แม้ชมรมจะมีชื่อว่า ‘ไฟต์คลับ’ แต่ยูแจก็ยังสามารถทำให้เพื่อนๆ เกิดความสนใจใคร่รู้และตามมาได้อย่างง่ายดาย

ฮันจุนมองไปรอบๆ ทุกซอกทุกมุมภายในโรงยิมที่แสนจะคึกคักวุ่นวาย ก่อนที่เขาจะเห็นโชยูแจอยู่แถวๆ สังเวียน

โชยูแจกำลังดูการซ้อมชกมวยอยู่ ทว่าแววตาของเขาดูไม่ได้สนใจการซ้อมชกมวยตรงหน้าเลย มันดูเฉยเมยเกินกว่าจะบอกว่าอยากมาดู ดูเหมือนว่าที่เขาอุตส่าห์มาถึงที่นี่นั้นไม่ได้มาเพื่อชมการชกมวย แต่มาเพื่อดูฮันจุนเสียมากกว่า

ดวงตาที่กำลังจับจ้องอยู่บนสังเวียนเคลื่อนมามองฮันจุน

ฮันจุนผงกศีรษะทักทายไปอย่างทำตัวไม่ถูก ยูแจหันหน้ากลับไปมองบนสังเวียนอีกครั้งโดยไม่พูดไม่จา ใบหน้าที่ดูเหมือนไม่รู้สึกอะไรนั้นทำให้ฮันจุนรู้สึกเป็นห่วงเสียเหลือเกิน

หมอนั่นคงจะเสียใจมากแน่ๆ

ฮันจุนรู้สึกอึดอัด ไม่รู้ว่าจะต้องขอโทษอย่างไรดี แทนที่จะพูดออกไปว่า ‘ที่ฉันพูดไปมันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น’ ทว่าเขากลับอยากจะเปิดอกอธิบายทุกความรู้สึกออกไปตรงๆ เสียมากกว่า แต่มันก็ไม่ใช่คำพูดที่ควรจะมาพูดในสถานที่ที่มีผู้คนเยอะแยะมากมายแบบนี้

ขณะเขากำลังจัดการกับความรู้สึกที่แสนวุ่นวายซับซ้อนอยู่นั้น ซึงมินที่หันมาเห็นฮันจุนก็ออกตัววิ่งมาหาพอดี

“เฮ้ ฮันจุนมาแล้ว พวกนายเป็นเพื่อนฮันจุนใช่ไหม เดี๋ยวจะให้ฮันจุนสาธิตให้ดู มานี่เร็ว เออใช่! ฮันจุนอา สุขสันต์วันเกิดนะ”

พอซึงมินที่กำลังยุ่งวุ่นวายจนหัวหมุนเอ่ยปากแสดงความยินดีออกมา วินาทีนั้นเองฮันจุนก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้อีกครั้งว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตัวเอง เพราะภายในหัวเขามันเอาแต่คิดถึงโชยูแจอยู่เต็มไปหมดจึงลืมปาร์ตี้ที่จะจัดในวันนี้ไปเสียสนิท

ฮันจุนเริ่มวอร์มอัพง่ายๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง ในขณะที่กำลังวอร์มไหล่และคออยู่นั้น ซึงมินก็เดินเข้ามากระซิบกระซาบอยู่ข้างๆ

“ก่อนอื่นเลย พอฉันกับนายขึ้นสังเวียนไปแล้วเราก็ทำตามปกติอย่างที่เคยทำกันเป็นประจำก่อน แล้วจากนั้นก็ค่อยปล่อยหมัดแย็บๆ เหมือนในหนังนะ เคไหม เข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายถึงอะไร”

“ไหนบอกว่าการชกมวยไม่ได้มีเอาไว้โชว์ไงครับ”

“นั่นมันหมายถึงตอนที่ไม่มีคนมาดูต่างหากล่ะ น่านะ ฮันจุนอา”

“เราต้องเริ่มจากโชว์สเต็ปก่อนไม่ใช่เหรอครับ ถ้าพวกคนที่เข้ามาดูเขามาดูเพราะสงสัยว่าต่อยมวยเขาต่อยกันยังไง เราก็ควรจะเริ่มโชว์ตั้งแต่พื้นฐาน…”

“นี่นายบ้าไปแล้วเหรอ”

“ครับ?”

“ตอนนี้เด็กๆ ที่มาดูเนี่ยเขาไม่ได้มาเพื่อเรียนพื้นฐาน แล้วก็ไม่ได้มาดูด้วยว่าการต่อยมวยมันคือการออกกำลังกายแบบไหน ถ้ามาดูแค่เราโชว์สเต็ปแล้วก็ไป มันจะเป็นที่จดจำได้ยังไงกันเล่า ถ้ามาดูแค่นั้น ฉันสั่งให้นายไปกระโดดเชือกโชว์ไม่ดีกว่าเหรอ ถ้างั้นอะ”

ฮันจุนปิดปากเงียบเพราะคำพูดของซึงมินที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุด

ไหนบอกว่าไอ้พวกที่ชกมวยแล้วรู้จักแต่การแย็บมันน่ารำคาญไง

ฮันจุนโน้มตัวลงเพื่อยืดเส้นยืดสายพลางเลียริมฝีปาก ทั้งที่เป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำทุกครั้ง แต่พอคิดว่าโชยูแจกำลังดูอยู่ มันก็อดรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้

“พาวเวอร์ฮุคและการแย็บแบบเร็วๆ เราต้องโชว์อะไรแบบนี้สิ ไฮไลต์น่ะ รู้จักไหม”

“เข้าใจแล้วครับ”

“เดี๋ยวฉันจะเป็นฝ่ายรับหมัดเอง นายชกโชว์ไปเลย”

“ครับ”

ฮันจุนเหลือบมองยูแจ ซึ่งยูแจเองก็กำลังจ้องมองมาทางเขาพอดีเช่นกัน ทันทีที่สบสายตากัน ฮันจุนก็ถอนหายใจออกมา

เป็นยังไงก็เป็นยังงั้นอยู่วันยังค่ำ ไอ้คนงั่งเอ๊ย

ทีฉันซื้อช็อกโกแลตให้ ราคาไม่ถึงสองหมื่นวอนด้วยซ้ำ ตัวเองยังมาโมโหฉุนเฉียวใส่ แล้วแบบนี้นายคิดว่าฉันจะรู้สึกขอบคุณแล้วรับโน้ตบุ๊กราคาหลายแสนวอนนั่นมาหน้าตาเฉยหรือไงกัน

“อ๊ะ”

ฮันจุนที่กำลังบ่นอุบอยู่ในใจสะดุ้งโหยงแล้วเผลอส่งเสียงครางออกมา กล้ามเนื้อด้านหลังต้นขาจู่ๆ ก็ตึงเกร็งขึ้นมาจนรู้สึกเจ็บ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่านั่งเรียนมาตลอดทั้งวันหรือเปล่า บริเวณนั้นถึงได้แข็งตึงเป็นพิเศษแบบนี้ ซึงมินขมวดคิ้วพลางเอ่ยปากถาม

“เจ็บเหรอ”

“ครับ”

“ไปคลายกล้ามเนื้อฝั่งนู้นกัน”

ฮันจุนเดินตามซึงมินไปยังม้าขวาง* ที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงยิม สมาชิกในชมรมมักจะใช้ม้าขวางซึ่งปกติแล้วไม่ค่อยได้ใช้งานสักเท่าไรในการยืดเส้นยืดสาย

ฮันจุนยืนโดยเอาขาข้างหนึ่งวางพาดไว้บนขอบของม้าขวาง พอได้ลองหมุนขาไปทางซ้ายและขวาอย่างช้าๆ เขาก็รู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที

“โอ๊ะ”

“นายนี่น้า ไหนยืดหลังหน่อยสิ”

“อ๊ะ พี่ เดี๋ยวก่อน ผมเจ็บ”

แม้ว่าเขาจะต้องยืดหลังให้ตรงเพื่อที่จะได้สามารถยืดกล้ามเนื้อได้อย่างถูกต้อง ทว่ามันเจ็บเกินไป ถึงอย่างนั้นซึงมินเองก็ไม่ได้เห็นใจเขาสักนิด อีกฝ่ายจับหลังของเขาดันจนยืดตรง ฮันจุนหอบหายใจถี่รัวพลางใช้สองมือควานหาม้าขวางแล้วจับเอาไว้มั่น

“พี่ครับ อ๊ะ”

“สำหรับการออกกำลังแล้ว การยืดกล้ามเนื้อมันสำคัญมากนะ ถ้าไม่ทำก่อน นายก็จะได้รับบาดเจ็บเอาได้ ว่าแต่ทำไมกล้ามเนื้อนายถึงได้ตึงขนาดนี้เนี่ย”

“อา…คงเพราะช่วงนี้ผมต้องอ่านหนังสือสอบแล้วก็ต้องเตรียมงานกิจกรรมด้วยเลยไม่ค่อยได้ออกกำลังกายบ่อยๆ น่ะครับ”

“ต่อให้ยุ่งยังไง เวลาอยู่บ้านก็ต้องยืดกล้ามเนื้อด้วยสิ”

“อึก!”

หลังจากร้องครวญครางโอดโอยจนคลายกล้ามเนื้อขาทั้งสองข้างเรียบร้อยก็นับว่าเป็นอันเตรียมตัวเสร็จสิ้นแล้ว เขาถอนหายใจออกมายาวๆ เพื่อคลายความตึงเครียดพลางกวาดสายตามองหายูแจ ก่อนจะเห็นว่ายูแจยังคงยืนอยู่ที่เดิม

…เพิ่มเติมคือเจ้าตัวกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

ทั้งที่เมื่อครู่นี้ยังดูนิ่งๆ เฉยเมยทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาอยู่เลย ดูท่าว่าเจ้าตัวคงจะไม่สามารถเก็บซ่อนความรู้สึกที่อยู่ภายในใจไว้ได้ทั้งหมด

หลังจากที่ฮันจุนสวมเฮดการ์ดกับนวมเสร็จแล้ว เขาก็กระโดดวอร์มอัพอยู่กับที่เบาๆ เพียงแค่เขาสวมใส่อุปกรณ์ เขาก็ได้ยินเพื่อนร่วมรุ่นพากันส่งเสียงดังโหวกเหวกกันยกใหญ่ ฮันจุนนึกถึงยูแจที่น่าจะยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้น ยูแจเองก็คงจะเพิ่งเคยเห็นเขาในสภาพที่สวมเฮดการ์ดแบบนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน

ฮันจุนไม่ได้ซ้อมชกคู่แบบนี้มาสักพักใหญ่ๆ แล้ว โดยปกติแล้วจะมีการซ้อมชกประมาณสัปดาห์ละครั้ง แต่เพราะเขายุ่งมากเลยหยุดชกไปได้หลายสัปดาห์แล้ว ฮันจุนรู้สึกตื่นเต้นมากๆ พลางคิดทบทวนสิ่งที่พวกพี่ๆ พูดให้ฟังในเวลาปกติซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหัว

ใจเย็นๆ ผ่อนคลายเข้าไว้แล้วยึดสังเวียนนั่นซะ

ซึงมินรู้ท่วงท่าและสไตล์การชกของเขาทั้งหมด ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเอาชนะซึงมินที่แทบจะกินอยู่และใช้ชีวิตในโรงยิมได้ แต่อย่างน้อยเขาก็อยากทำให้มันเป็นเกมที่น่าพึงพอใจ ฮันจุนหันไปมองยูแจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะขึ้นไปบนสังเวียน

“เราจะชกกันทั้งหมดสามยกนะครับ เชิญรับชมยกแรกกันได้เลย”

ซึงมินเอ่ยปากตะโกนด้วยความฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า ฮันจุนยกกำปั้นขึ้นมาในจังหวะเดียวกันกับที่เสียงระฆังดังขึ้นซึ่งเป็นสัญญาณว่าเกมนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ซึงมินยกมือขึ้นตั้งการ์ดพร้อมกับสะบัดศีรษะ ทั้งที่ซึงมินมักจะบ่นฮันจุนอยู่เสมอว่าถ้าหากตื่นเต้นแล้วล่ะก็จะทำให้เสียพละกำลังไปมาก แต่ในวันนี้แม้แต่ซึงมินเองก็ยังควบคุมความตื่นเต้นนั้นเอาไว้ไม่ได้ และแล้วหมัดแย็บเบาๆ ก็ถูกส่งออกไป

ทุกครั้งที่ฮันจุนปล่อยหมัดแย็บออกไป ซึงมินก็จะใช้สเต็ปเท้าก้าวเข้ามาใกล้ๆ และด้วยการเคลื่อนไหวที่สม่ำเสมอนั้นทำให้สามารถอ่านทางออกได้ง่าย ฮันจุนจึงรู้สึกได้ว่าซึงมินจงใจใช้จังหวะการเคลื่อนไหวที่คล้ายๆ กัน ทั้งที่ปกติแล้วเขามักจะโชว์รูปแบบการเคลื่อนไหวที่หลากหลายมากกว่านี้จนฮันจุนไม่สามารถเดาทางได้ ฮันจุนปัดหมัดที่แย็บเข้ามาไม่หยุดหย่อนอย่างรวดเร็วพลางพินิจมองซึงมิน

การชกมวยไม่ใช่กีฬาที่ใช้เพียงแค่กำปั้นเท่านั้น มันเป็นกีฬาที่ต้องรีบคิดว่าจะต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไรในขณะเดียวกันนั้นก็ต้องวิเคราะห์สไตล์การชกของฝ่ายตรงข้ามแบบเรียลไทม์ในระหว่างการแข่งขัน เหตุผลที่ฮันจุนมีความสนใจในการชกมวยมานานนั้นไม่ได้เป็นเพราะว่าเขาเคยทำงานพาร์ตไทม์ทำความสะอาดที่บ็อกซิ่งคลับ แต่เป็นเพราะเขารู้สึกสนุกไปกับการชกมวยด้วยหัวใจจริงๆ

เขาหลบหมัดที่ลอยเข้ามาแล้วก้มตัวก่อนจะเคลื่อนไปทางขวา และใช้ช่องว่างนั้นปล่อยหมัดแย็บออกไป ซึงมินที่ถูกต่อยไปหนึ่งทีทำท่าทำทางเป็นเซไปเซมา ทั้งที่มันไม่ใช่การโจมตีที่ใส่เต็มแรงอะไรขนาดนั้น แต่พอดูจากการที่อีกฝ่ายทำตัวโอเว่อร์แล้ว ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นสัญญาณที่สั่งว่าให้ซัดเข้ามาเลย ฮันจุนจึงรัวหมัดออกไปไม่ยั้งอย่างรวดเร็ว

แม้จะถูกต่อย แต่ซึงมินก็มีความสุขกับเสียงโห่เชียร์อันอึกทึกจากผู้คนที่อยู่ด้านล่าง หลังจากโดนชกไปพอสมควรแล้ว ซึงมินก็ยกไหล่ขึ้นใช้การ์ดป้องกันหมัดที่ชกเข้ามา จากนั้นก็ปล่อยหมัดตรงออกไปข้างหน้าครั้งหนึ่งราวกับต้องการแค่จะวัดระยะ ฮันจุนรู้สึกว่ามันไม่เกินจริงเลยสักนิดหากจะกล่าวว่านั่นเป็นการกระทำที่ทำไปเพื่อดึงดูดสายตาและความสนใจของนักศึกษาปีหนึ่งที่แววตาสั่นระริกซึ่งต่างไปจากปกติ สิ่งที่เขาทำนั้นมันใกล้เคียงกับการแสดงละครมากกว่าจะบอกว่าเป็นการแข่งขัน

ในยกสุดท้ายนั้นมีเสียงเชียร์ที่ฮึกเหิมดังขึ้นตั้งแต่เริ่มยกสมกับที่มันเป็นยกสุดท้าย ซึงมินปล่อยหมัดเคาน์เตอร์* ต่อยไปตรงศีรษะของฮันจุน แม้ว่าจะไม่ได้ใช้แรงมากขนาดนั้น แต่ก็พอทำให้ได้ยินเสียงบรรดาผู้ชมร้องออกมาด้วยความตกใจ ซึ่งนั่นคงเป็นเพราะเฮดการ์ดเลยทำให้เสียงที่โดนชกนั้นฟังดูแล้วดังมาก

ซึงมินเริ่มเคลื่อนตัวไปตรงริมขอบสังเวียนอย่างชาญฉลาดเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่เหมือนกับที่คิดเอาไว้ ฮันจุนพลันกลั้นขำเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังตั้งท่าป้องกันรออยู่ก่อนล่วงหน้าแล้ว ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณว่าให้เขาพุ่งเข้าไปต่อยได้เลย

ดังนั้นฮันจุนจึงไล่ต้อนซึงมินเข้ามุมแล้วปล่อยหมัดออกไปอย่างต่อเนื่องด้วยความยินดี ซึงมินยกแขนทั้งสองข้างขึ้นแล้วรับบทเป็นกระสอบทรายอันทนทานให้ฮันจุนได้ต่อยตี

ปั้กๆๆ

เสียงโห่ร้องเชียร์ผสานไปกับเสียงชกที่ดังอย่างต่อเนื่อง มันเป็นฉากที่ทำให้คนที่ไม่ค่อยรู้จักการชกมวยพอจะรู้สึกลุ้นและสนุกสนานไปกับมันได้

ถึงแม้ว่ามันจะดูไม่น่าสนุกเท่าไรเพราะว่าเป็นการชกเพื่อโชว์มากกว่าจะเป็นการชกเพื่อการแข่งขันกันอย่างจริงจัง ทว่ามันก็มีความสนุกในแบบของมัน ซึ่งคล้ายๆ กับมวยปล้ำอาชีพที่มีการตระเตรียมวางแผนกันมาก่อนล่วงหน้า

ในระหว่างที่ชกกันนั้น เสียงระฆังดังขึ้นในตอนจบของยกสุดท้าย ฮันจุนก้าวถอยหลังแล้วแอบเหลือบตาไปมองยูแจ ตอนยกแรกโชยูแจทำเพียงเฝ้ามองอยู่ไกลๆ เขายืนห่างจากสังเวียนอยู่หลายเมตร แต่พอจบยกสุดท้าย ฮันจุนไม่รู้เลยว่ายูแจเข้ามาอยู่ใกล้ๆ กระทั่งยื่นหน้าเข้ามาจนแทบจะชิดเชือกสังเวียนเส้นหนานั่นตั้งแต่เมื่อไหร่

ใบหน้าของยูแจขึ้นสีแดงก่ำ

คงจะรู้สึกสนุกสินะ กีฬาประเภทต่อสู้มันก็ดูเพื่อความสนุกและความมันส์ตอนที่ได้เห็นคนผลัดกันรุก ผลัดกันตั้งรับกันแบบนี้นี่แหละ

ทันทีที่การซ้อมคู่จบลง ฮันจุนก็เริ่มถอดอุปกรณ์ทั้งหลายออก ในตอนที่เขากำลังเสยผมที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อพลางจัดการเส้นผมให้เข้าที่เข้าทางอยู่นั้น ฉับพลันซึงมินที่ทั้งตัวโชกเหงื่อเหมือนกันก็วิ่งเข้ามาดึงตัวเขาเข้าไปกอด

“โอ๊ย! พี่ ผมหายใจไม่ออกนะ”

“เป็นเกมที่สุดยอดไปเลย เอาชนะนายไม่ได้เลยจริงๆ”

ทั้งที่คนฟังก็ยืนอยู่ตรงหน้า ทว่าซึงมินกลับพูดออกมาเสียงดัง ฮันจุนลอบสังเกตเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนออกันอยู่หน้าสังเวียน ดูท่าซึงมินจะอยากโชว์น้ำใจนักกีฬาของนักมวย ถึงอย่างนั้นมันก็อดรู้สึกอึดอัดแปลกๆ ไม่ได้อยู่ดี

ทำเป็นพูดไป เอาชนะไม่ได้อะไรกันล่ะ

ฮันจุนรู้สึกกระดากอายขึ้นมาจึงเงยหน้ากระซิบซึงมิน

“ผมจะถือซะว่ามันเป็นของขวัญวันเกิดนะครับ ผมสนุกกับมันมากๆ เลยล่ะ”

แม้คำพูดนั้นฟังดูแล้วไม่ได้มีตรงไหนที่น่าขำ ทว่าซึงมินกลับหัวเราะดังลั่น

 

กว่าฮันจุนจะเข้าไปอาบน้ำจนเสร็จแล้วออกมา เพื่อนร่วมรุ่นที่มาดูต่างก็กลับกันไปหมดแล้ว ลำดับต่อไปคือปาร์ตี้วันเกิดที่ร้านเนื้อย่างที่ซึงมินจองเอาไว้ ฮันจุนเอาผ้าขนหนูที่คลุมศีรษะไว้มาเช็ดผมพลางมองไปรอบๆ ก่อนจะพบว่านักศึกษาปีหนึ่งที่เข้ามาใหม่นั้นกลับกันไปหมดแล้ว ไม่มีเหลือเลยแม้แต่คนเดียว

รวมถึงยูแจเองก็เช่นกัน

หมอนั่นจะรู้สึกสนุกกับการมาดูเราหรือเปล่านะ นี่นับว่าเป็นการดูมวยครั้งแรกของหมอนั่นเลย ไม่รู้เหมือนกันแฮะว่าหมอนั่นจะคิดยังไง

ฮันจุนสะบัดศีรษะไล่หยดน้ำออก

เดี๋ยวกินข้าวเย็นเสร็จ คงต้องติดต่อไปสักหน่อยแล้ว

เขาเดินเข้าไปนั่งข้างๆ ซึงมินที่กำลังนั่งเหม่ออยู่

“ถ้าไม่ได้ผลจะทำไงครับ”

“ไม่ได้ผลอะไรกันล่ะ นี่มันสุดยอดแห่งการโปรโมตเลยต่างหาก ฉันมั่นใจว่าคนที่มาดูต้องเอาสิ่งที่เห็นไปเล่าต่อให้เพื่อนๆ ฟังแน่นอน เพราะงั้นน่าจะต้องมีเด็กหน้าใหม่ๆ ที่อยากเข้ามาดูอีกแน่”

“ผมก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้น”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า พี่มีแค่พวกนายก็พอแล้ว”

ทั้งที่กำลังพูดคำว่า ‘พอ’ อยู่ แต่สีหน้ากลับดูผิดหวัง ซึ่งมันก็แอบน่าเสียดายจริงๆ เพราะพวกเขาเองก็ทำจนสุดความสามารถแล้ว ทำแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อนอย่างการโปรโมตการชกมวย

ทว่าผิดหวังกันไปได้เพียงแค่ครู่เดียว พวกเขาก็เริ่มหัวเราะคิกคักพลางเปิดดูวิดีโอซ้อมชกมวยที่อัดไว้เมื่อครู่นี้ แต่พอเห็นว่าลงทุนทำถึงขนาดนี้แล้ว เขากลับยิ่งรู้สึกสมเพชมากกว่าเดิมเข้าไปอีก

ในขณะที่ซึงมินยกมือขึ้นมาลูบใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองพลางดูวิดีโอช่วงที่โดนต่อยศีรษะอยู่นั้น ประตูโรงยิมก็ถูกเปิดออก

ฮันจุนเงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้คิดอะไรก่อนจะตกใจจนสะดุ้งโหยง โชยูแจที่เขาคิดว่ากลับบ้านไปแล้วกำลังก้าวเท้าเดินเข้ามาในโรงยิมอย่างรวดเร็ว

ยูแจเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ก่อนจะก้มลงมองซึงมินแล้วพูดออกมา

“ผมอยากสมัครเข้าชมรมครับ”

ซึงมินอ้าปากค้าง ดวงตาเปล่งประกายมีชีวิตชีวาขึ้นมาภายในชั่วพริบตาขณะที่ลำคอขึ้นสีแดงระเรื่อ

“สมัคร? ไฟต์คลับเนี่ยนะ”

“ครับ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผม…อยากลองเรียนชกมวยดูสักครั้งน่ะครับ”

ยูแจตอบกลับไปอย่างใจเย็น ในระหว่างที่พวกรุ่นพี่กับซึงมินต่างไหวไหล่กระโดดโลดเต้นกันด้วยความตื่นเต้นดีใจ เขาก็ปรายตามองฮันจุนด้วยหางตา

ทำไม

ฮันจุนรู้สึกสงสัย ทั้งที่เขากับอีกฝ่ายก็อยู่ด้วยกันและตัวติดกันมาโดยตลอดจนถึงตอนนี้ แต่ยูแจก็ไม่เห็นจะมีท่าทีที่อยากจะสมัครเข้าชมรมไฟต์คลับมาก่อนเลยแม้แต่น้อย ขนาดวันนี้ตอนที่เจอกันตอนกลางวัน เจ้าตัวยังดูมวยอย่างไม่ได้คิดจริงจังอะไรอยู่เลย

เกิดอยากเปลี่ยนใจขึ้นมาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เนี่ยนะ?

หรือว่าพอเห็นสิ่งที่ฉันทำวันนี้เป็นครั้งแรกแล้วก็เลยเกิดสนใจขึ้นมา?

ฮันจุนลอบกลืนน้ำลายดังเอื๊อกแล้วก้มหน้าลง ภายในใจของเขารู้สึกสับสนปั่นป่วนไปหมด

โชยูแจเป็นคนประเภทที่หากตั้งใจทำอะไรแล้วก็มักทำมันออกมาได้ดีเสมอ การอ่านทางสไตล์การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามแล้วตอบโต้กลับ เรื่องพวกนี้ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนอย่างยูแจจะทำไม่ได้

ฮันจุนเผลอหลุดยิ้มออกมา แต่แล้วก็ต้องพยายามข่มรอยยิ้มนั้นเอาไว้พลางแกล้งแซวซึงมินโดยการเอ่ยปากถาม

“ดีใจขนาดนั้นเลยหรือไง”

“ฮันจุนอา นี่ฉันดีใจอย่างกับว่าวันนี้เป็นวันเกิดของฉันอีกวันเลยนะ”

“ไหนบอกว่ามีแค่ผมก็พอแล้วไงครับ”

ซึงมินยกมือขึ้นโอบไหล่ฮันจุนแล้วดึงเข้าหาตัวเพราะคำพูดที่ฮันจุนจงใจแกล้งแซว ในขณะที่กำลังฟังซึงมินพูดออกมาอย่างระริกระรี้อยู่นั้น ยูแจก็ได้ถามแทรกขึ้นมา

“พี่ครับ ถ้าจะเริ่มชกมวยมีอะไรที่ต้องเตรียมไหมครับ ผมจะได้ซื้อเอาไว้ก่อน”

“ฮะ? อ๋อ มีสิ แป๊บนะ เดี๋ยวฉันจะลิสต์รายการแล้วส่งให้นายทางกาเกาทอล์ก”

“ฟันยางล่ะครับ อันนั้นผมต้องใช้ไหม”

“ช่วงแรกจะเริ่มเรียนจากพื้นฐานก่อน เพราะงั้นมันยังไม่ได้จำเป็น แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่เอาให้อันนึงก็แล้วกัน”

พอบทสนทนาเริ่มยาวขึ้นซึงมินก็ลุกพรวดจากที่นั่ง ในขณะที่เขาควานหามือถือเพื่อที่จะเอารูปภาพของฟันยางให้ดู ยูแจที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ค่อยๆ เลื่อนสายตามามองฮันจุน

ยูแจขมวดคิ้วพลางจ้องฮันจุนเขม็งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มันเป็นใบหน้าที่เห็นได้อยู่บ่อยๆ ตอนที่เจ้าตัวกำลังทำหนังสือแบบฝึกหัดข้อสอบจำลอง ในวินาทีที่ฮันจุนกำลังจะถามออกไปว่ามีอะไรอยากจะพูดไหม ซึงมินก็ปรบมือเสียงดังเพื่อปลุกแรงใจให้คนรอบตัว

“นี่ๆ ก่อนอื่นเลยนะ ฉันหิวแล้ว พวกเราไปกินข้าวแล้วนั่งคุยกันเถอะ ยูแจ นายเองก็ไปด้วยกันสิ วันนี้เป็นวันเกิดฮันจุนด้วย ถือซะว่าฉันเลี้ยงต้อนรับนายไปด้วยเลย มากินกันให้ท้องแตกกันไปข้างเลย!”

สิ้นคำนั้น ทุกคนต่างเริ่มเก็บสัมภาระกันทีละอย่างสองอย่าง ฮันจุนเองก็สะพายกระเป๋าแล้วหันไปมองยูแจอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ยูแจไปยืนยิ้มอยู่ข้างๆ พวกรุ่นพี่

 

* ม้าขวาง เป็นอุปกรณ์กีฬาอย่างหนึ่ง มีทั้งแบบคานพาดและแบบบล็อกไม้ตั้งซ้อนกัน วิธีการเล่นคือใช้มือค้ำเพื่อกระโดดข้ามไป รวมถึงใช้เป็นสิ่งกีดขวางในกีฬายิมนาสติก

* หมัดเคาน์เตอร์ เป็นหนึ่งในเทคนิคมวยขั้นสูง จัดว่าเป็นหนึ่งในกระบวนท่าการชกมวยที่ยากที่สุดก็ว่าได้ ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะสามารถใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ ท่านี้มีความหมายตรงตามชื่อ โดยเคาน์เตอร์ (Counter) แปลว่าการสวนกลับ ซึ่งหมัดเคาน์เตอร์จะใช้แรงจากคู่ต่อสู้ที่ออกหมัดใส่เราในการสวนกลับไป

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: