X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 131

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 131

ภายหลังนั่งลงในรถม้าอันกว้างขวางเป็นที่เรียบร้อย องค์ชายสามก็หน้านิ่งดุจฝาโลงเช่นเคย เขาหลับพักสายตาโดยไม่ไยดีผู้ใด เป็นองค์ชายสี่มองออกว่าในใจเฉิงเซ่าซางฉงน จึงชี้แจงอย่างตรงไปตรงมา “รถคันนี้ของจื่อเซิ่งแข็งแกร่งทนทานกว่ารถม้าทั่วไป ต่อให้อยู่ระหว่างเร่งเดินทัพ ชิ้นส่วนก็จะไม่หลุดแยกจากกัน เส้นทางที่รถม้าทั่วไปต้องใช้เวลาสามชั่วยาม รถคันนี้เพียงสองชั่วยามก็รุดถึงที่หมายแล้ว ปันโหวน้อยยังขวัญผวาไม่คลาย ให้พี่ชายเจ้ารั้งอยู่ดูแล ค่อยๆ เดินทางกลับไปเป็นใช้ได้”

เฉิงเซ่าซางขานรับคำหนึ่ง ทำใจให้กล้าก่อนสอบถาม “ไยองค์ชายทั้งสองทรงต้องรีบร้อนกลับเมืองหลวงเช่นนี้เล่า หม่อมฉันเห็นท่านอาจารย์ร่างกายอ่อนแอ ยังไม่เหมาะจะเร่งเดินทางนะเพคะ” คนที่ถูกพุ่งเป้าไม่ใช่พวกท่านสองคนเสียหน่อย!

องค์ชายสามพลันลืมตา สายตาปานสายฟ้าสาดมา เฉิงเซ่าซางถึงกับสะดุ้งโดยไม่รู้สาเหตุ หลิงปู้อี๋เห็นนางเป็นเช่นกระต่ายน้อยที่ได้รับความตื่นตระหนก แม้แต่ใบหูยังสั่นกระตุกสองที เขาก็ไม่แคล้วรู้สึกขบขัน ยื่นมือไปลูบปลอบนาง

เฉิงเซ่าซางเอ่ยปนยิ้มแห้งๆ “ความหมายของหม่อมฉันคือ…ในเมืองหลวงมีฝ่าบาทประทับอยู่ เรื่องใดกันจะไม่อาจสยบลง องค์ชายสามกับใต้เท้าหลิงไม่จำเป็นต้องร้อนอกร้อนใจเช่นนี้เลย”

องค์ชายสามเยาะหยัน “วันนี้ข้าจะสอนเจ้าเรื่องหนึ่ง แม้เจ้ามีชาติกำเนิดสามัญ แต่ถึงอย่างไรตัวก็อยู่ท่ามกลางเหล่าเชื้อพระวงศ์ในรั้ววัง จงอย่าห่วงแต่กระเง้ากระงอดพลอดรักกับจื่อเซิ่ง หูตาที่พึงมีจะต้องมีไว้ ข่าวที่พึงรับรู้ก็ควรจะรับรู้ในทันทีทันใด เจ้าเยี่ยงนี้ผู้คนในวังยังอุตส่าห์เยินยอว่าหลักแหลม เป็นเพราะฮองเฮาทรงเมตตาผ่อนปรนต่อเจ้าหรอก หาไม่ลองเจ้าตกอยู่ในกลุ่มสตรีที่มีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงอย่างแท้จริง ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะมีปัญญารอดชีวิตได้สักกี่วัน!”

เฉิงเซ่าซางสอบถามไปเพียงประโยคเดียว กลับถูกต่อว่าแสกหน้าอยู่เป็นนาน จากนั้นคำถามก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบเป็นรูปธรรมแต่อย่างใด เรียกว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จยังต้องเสียข้าวสารล่อโดยแท้

หลิงปู้อี๋เหลือบมององค์ชายสามปราดหนึ่งอย่างไม่พอใจ ก่อนหันมาตอบนางเสียงนุ่ม “เจ้ายังไม่รู้ เมื่อวานเทพเซียนเหยียนพลันมาเยือน ฝ่าบาททรงทั้งประหลาดพระทัยทั้งยินดียิ่ง จึงพาเขาไปสนทนาความหลังกันที่ตำหนักน้ำพุร้อนบนภูเขาถูเกา ด้วยเสด็จอย่างเรียบง่าย เรื่องนี้จึงไม่เป็นที่ล่วงรู้ของขุนนางชั้นนอก มีเพียงรัชทายาทกับเหล่าใต้เท้าในสำนักราชเลขาธิการที่ล่วงรู้”

เฉิงเซ่าซางคล้ายฉุกคิดอันใดได้ “สารไม่รู้ที่มาเหล่านั้น…กลับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้”

หลิงปู้อี๋พยักหน้ารับ

เฉิงเซ่าซางยิ้มเจื่อน “เช่นนั้นตอนนี้ขุนนางราชสำนักก็ต้องรู้กันหมดแล้วว่าฝ่าบาททรงไม่อยู่ในเมืองหลวง”

หลิงปู้อี๋ถอนใจพลางลูบศีรษะนาง

ในใจเฉิงเซ่าซางเป็นกังวล “ฮองเฮาทรงต้องกลัดกลุ้มอีกแล้ว ไม่ง่ายเลยที่พักนี้จะสบายพระทัยขึ้นบ้าง” นางเว้นช่วงเล็กน้อย ลอบมององค์ชายสามแวบหนึ่งค่อยพูดเสริมเสียงเบาๆ “ข้าลาหยุดสามสี่วันแล้ว ย่อมไม่รู้เรื่องราวในวัง…”

องค์ชายสามแทรกเข้ามาด้วยเสียงอันเย็นชา “ข้าก็อยู่ในจวนนอกวัง ไฉนรู้ทั้งหมดเล่า!”

หลิงปู้อี๋โต้กลับ “นางอายุน้อยไร้เดียงสา หูตาย่อมไม่กว้างไกลเช่นองค์ชาย”

เฉิงเซ่าซางยอมแพ้โดยสิ้นเชิง จึงฉุดดึงมือหลิงปู้อี๋ ใจคิดว่าฝ่ายตนหุบปากจะเป็นการดีกว่า เอาเถิด นางขอยอมรับ นางกลัวองค์ชายสามจริงๆ โดยเฉพาะสีหน้าท่าทางยามที่เขาอบรมนาง ช่างเหมือนท่านลุงฮ่องเต้ไม่มีผิดเพี้ยน

ตั้งแต่เมื่อครู่ที่องค์ชายสามแจกแจงความผิดของเฉิงเซ่าซาง องค์ชายสี่ก็แอบกลั้นเสียงหัวเราะไว้ กระทั่งตอนนี้กลับลอบสะท้อนใจขึ้นมา

เขาคิด…แม่นางน้อยสกุลเฉิงผู้นี้แม้อารมณ์ร้าย จิตใจกลับไม่เลว ตัวคนก็ผ่าเผย ในหมู่พี่น้องของข้า นอกจากพี่หญิงรองที่วางตัวอยู่นอกเรื่องราวอย่างแท้จริง องค์ชายองค์หญิงที่เหลือมีผู้ใดบ้างไม่ลอบสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของเสด็จพ่อ แม้แต่พวกองค์ชายน้อยที่ยังเล่าเรียนจดจำตัวอักษรอยู่เหล่านั้นก็ใช่ว่าจะรับรองได้

นับแต่กลางดึกถอนค่ายออกเดินทาง เฉิงเซ่าซางก็พักพิงในอ้อมอกของหลิงปู้อี๋งีบหลับมาโดยตลอด จวบจนสีท้องฟ้าสว่างรำไร คนทั้งหมดค่อยเห็นกำแพงอันสูงตระหง่านของเมืองหลวง หลิงปู้อี๋ใช้ใบหน้าของตนเองกับขององค์ชายสามเป็นใบเบิกทางเปิดประตูเมือง จากนั้นมุ่งตรงสู่กำแพงวัง กระทั่งมาถึงย่านจูเชวี่ย องค์ชายทั้งสองจึงลงจากรถ ขี่ม้าปลีกตัวจากไป ไม่รู้เช่นกันว่าจะมุ่งไปที่ใดกันแน่

เฉิงเซ่าซางขยี้ดวงตาคู่โตของตนพลางถามเสียงอู้อี้ “พวกเขาไม่เข้าวังหรือ แล้วเมื่อคืนเร่งรีบเยี่ยงนั้นเพื่ออันใดกัน”

หลิงปู้อี๋ตอบ “จะเข้าวังไปทำอันใดเล่า ไปชมดูอาการลำบากใจของรัชทายาทหรือ…ความจริงเรื่องนี้เป็นดาบสองคม พวกเขาเองก็มีข้อกริ่งเกรงอย่างยิ่ง”

เฉิงเซ่าซางลดมือลง เอ่ยอย่างงัวเงีย “เพราะกลัวผู้อื่นจะหาว่าพวกเขามีเป้าประสงค์กระมัง”

หลิงปู้อี๋ขานดังอืม

รถม้าจอดที่ประตูซั่งซีของวังหลวงเช่นเคย เวรยามรักษาประตูวังกระซิบแจ้งหลิงปู้อี๋ว่า “ตั้งแต่เช้าตรู่ก็มีใต้เท้าหลายท่านเข้าวัง บอกว่าจะหารือธุระกับรัชทายาทขอรับ”

หลิงปู้อี๋ชะงักฝีเท้า เดิมเฉิงเซ่าซางร้อนใจจะไปพบฮองเฮา ทว่าเขากลับจูงนางมุ่งสู่สำนักราชเลขาธิการไปพลางกำชับนางเสียงเบาไปพลาง “ประเดี๋ยวให้เจ้าพูดว่า…ฮองเฮาประชวร เชิญรัชทายาทไปเยี่ยม”

เฉิงเซ่าซางถูกเขาจูงพาไปอย่างมึนๆ งงๆ…หา? ฮองเฮาไม่สบายอีกแล้วหรือนี่ ไฉนข้าไม่รู้เลยเล่า

ขันทีที่เข้าเวรประจำสำนักราชเลขาธิการคุ้นเคยกับหนุ่มสาวแซ่หลิงกับเฉิงทั้งสองดียิ่ง จึงปล่อยให้ทั้งสองเข้าไปโดยไม่ขัดขวางแม้แต่น้อย ทั้งสองยังไม่ทันจะย่างเท้าเข้าโถงปีก เสียงโต้แย้งอย่างจนใจของรัชทายาทก็ดังออกจากด้านในมาให้ได้ยินก่อน “…เรื่องรังวัดที่ดิน* เสด็จพ่อทรงเปรยขึ้นมาเพียงประโยคเดียว ไยใต้เท้าทุกท่านต้องรบเร้าซักไซ้”

ถัดจากนั้นก็คือเสียงพูดหักล้างอย่างต่อเนื่อง…

“รัชทายาท วาจานี้ผิดแล้ว ฝ่าบาทไม่เคยตรัสถ้อยคำที่ไร้ประโยชน์ ในเมื่อทรงเปรยถึงเรื่องรังวัดที่ดิน ก็หมายความว่ามีพระดำรินี้ รัชทายาทในฐานะว่าที่ประมุขแผ่นดินมีหรือจะทรงไม่รู้อันใดเลย!”

“มิผิด! รังวัดที่ดินมิใช่เรื่องเล็ก จะรังวัดเช่นไร เริ่มรังวัดที่ใด รังวัดครัวเรือนใดบ้าง หลักการในเรื่องนี้ใหญ่นัก รัชทายาททรงชี้แจงขั้นตอนข้อบังคับออกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เฉิงเซ่าซางไม่ง่วงงุนสักนิดแล้ว รีบพุ่งตัวไปส่องตรงร่องของฉากกั้นห้อง แลเห็นด้านในชุมนุมไปด้วยคนกลุ่มใหญ่ซึ่งแต่งกายเช่นขุนนางฝ่ายบุ๋น แต่ละคนพูดน้ำลายแตกฟอง ท่าทางเอาเรื่อง เพียงแต่นางไม่รู้จักเลยสักคน

เกือบหนึ่งปีที่ผ่านมานางวิ่งมาสำนักราชเลขาธิการทำธุระจิปาถะแทนฮองเฮาแทบจะวันเว้นวัน ขุนนางที่ท่านลุงฮ่องเต้ให้เข้าพบเป็นประจำนั้น นางล้วนเคยเจอเกือบสามสี่รอบแล้ว นี่ก็หมายความว่า…ขั้นยศของกลุ่มคนที่เห็นอยู่ตอนนี้คงไม่ค่อยสูงสินะ

ในที่สุดรัชทายาทก็ถูกบีบให้ปริปาก “เจตนาที่เสด็จพ่อตรัสถึงเรื่องรังวัดที่ดินคือหมายจะสำรวจจำนวนประชากรกับที่ดินให้ชัดแจ้ง ตรวจสอบสำมะโนครัวกับยอดอากรให้ถูกต้อง นี่ไม่เพียงช่วยเพิ่มพูนท้องพระคลัง ทำให้เข้าใจสภาพการณ์ของเมืองในแต่ละมณฑล ยังสามารถควบคุมตระกูลที่มีกำลังทหารแล้วไม่ไยดีคำสั่งราชสำนักเหล่านั้นได้ นี่เป็นเรื่องดีที่มีประโยชน์ต่อบ้านเมืองกับราษฎรอย่างใหญ่หลวง เจตนาดียิ่งยวด…”

“รัชทายาท วาจานี้ผิดถนัด” เสียงระคายหูเสียงหนึ่งดังขึ้น “ว่ากันถึงเจตนา บรรดา ‘แผนการปกครองใหม่’ ของลี่ตี้ราชวงศ์ก่อนเจตนาไม่ดีหรือไร สาธยายออกมาล้วนมีเหตุผลน่าฟัง มีการอ้างอิงตำรามากมาย กระทั่งปราชญ์ทั่วไปถึงกับพูดสู้ลี่ตี้ไม่ได้! ทว่าผลเป็นเยี่ยงไรเล่า”

“ถูกต้องๆ! แผนการปกครองใหม่ที่ว่าของลี่ตี้ ประเดี๋ยวเปลี่ยนเงินตรา ประเดี๋ยวเพิ่มอากร ทั้งจะไล่ตรวจหาจำนวนคนกับที่ดินทีละครัวเรือน ตอนนั้นพูดจาก็ใช้ถ้อยคำสวยหรูเช่นกัน ใครจะรู้นอกจากบีบคั้นให้เกิดเรื่องบ้านแตกสาแหรกขาดอันน่าอนาถใจแล้ว กลับมีแต่เอื้อให้มอดที่อยู่เบื้องล่างได้ยักยอกเกาะกิน รัชทายาททรงต้องใช้เป็นอุทาหรณ์สิพ่ะย่ะค่ะ…”

ขณะที่เฉิงเซ่าซางกำลังฟังอย่างจดจ่อแนบชิดกับฉากกั้นห้อง หลิงปู้อี๋พลันยกขาที่เพรียวยาวเตะใส่ฉากหนึ่งเท้าชนิดที่นางไม่ทันตั้งตัว ฉากถูกเตะล้มครืนทันตา เด็กสาวที่ยังอยู่ในท่างอเอวแอบฟังก็พลอยถูกเปิดเผยเบื้องหน้าสายตาผู้คนไปด้วย

หลิงปู้อี๋เหลียวมองผู้คนในโถงรอบหนึ่งซึ่งมีสีหน้าแตกต่างกันไป ก่อนเอ่ยเสียงเยียบเย็น “ใต้เท้าทั้งสองอ้าปากหุบปากมีแต่ลี่ตี้ของราชวงศ์ก่อน ความนัยในวาจาจะสื่อถึงฝ่าบาท…หรือว่ารัชทายาทกันเล่า”

ในโถงเงียบกริบไปชั่วขณะ ผู้คนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก มีเพียงรัชทายาทมองมาทางหลิงปู้อี๋พลางเอ่ยด้วยความยินดี “จื่อเซิ่งมาแล้ว”

ขุนนางฝ่ายบุ๋นร่างสูงผู้หนึ่งยืนขึ้นกล่าวเสียงดัง “เว่ยเจียงจวิน* ไยต้องเอาข้อหาเยี่ยงนี้มายัดเยียดใส่ผู้อื่น ใช้ประวัติศาสตร์เป็นอุทาหรณ์ ทัดทานเตือนสตินายเหนือหัว เดิมทีก็เป็นหน้าที่ของพวกเราเหล่าขุนนางอยู่แล้ว…”

“หรือว่าหน้าที่ของพวกท่านคือการจับผิด ติเตียน กุเรื่องอย่างมักง่าย? นั่นช่างมีฝีมือดีแท้” หลิงปู้อี๋มองพวกเขาด้วยสายตาอันเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง ทุกถ้อยทุกคำกังวานหนักแน่น

“ลี่ตี้ได้บัลลังก์โดยมิชอบ เป็นคนถ่อยที่ชิงอำนาจโดยอาศัยบารมีของสตรี! ผิดกับฝ่าบาทที่ทรงวางแผนสู้ศึกอย่างหาญกล้า ทหารแต่ละนาย ม้าแต่ละตัว เมืองแต่ละเมือง มณฑลแต่ละมณฑล กอปรขึ้นเป็นบ้านเมืองที่ต่อสู้มาด้วยเลือดเนื้อ! ลี่ตี้แอบอ้างคุณธรรมส่วนรวม เปลือกนอกเมตตาแท้จริงกระทำตรงข้าม ใช้งานคนโฉดสอพลอ ฉวยจังหวะชุลมุนจากการผลัดแผ่นดินถึงสี่รุ่น ก่อภัยพิบัติปล้นชิงบัลลังก์ ต่างจากฝ่าบาทที่ทรงพระปรีชาเฉกเจ้าเหนือหัวในยุคก่อน ยุติความโกลาหล ฟื้นฟูแผ่นดินของบรรพชน ปลดปวงประชาจากห้วงทุกข์…ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ที่แท้มีจุดใดคล้ายคลึงกับลี่ตี้ทรราชผู้นั้น พวกท่านจึงได้ยกมาเป็นอุทาหรณ์ส่งเดช!”

ผู้คนในโถงพลันถูกพลังของเขาสยบจนพูดจาไม่ออกไปพักใหญ่ จากนั้นขุนนางฝ่ายบุ๋นอีกผู้หนึ่งซึ่งดูอ่อนโยนหน่อยค่อยกล่าวเสียงอ่อยๆ “ผู้ที่พวกข้าทูลเตือนคือรัชทายาท หาใช่ฝ่าบาทไม่…”

“ผู้ที่เปรยถึงเรื่องรังวัดที่ดินคือฝ่าบาท มิใช่รัชทายาท! พวกท่านมีสิ่งใดจะถาม ก็ส่งหนังสือถึงราชสำนักได้อย่างเต็มที่ ไยต้องรบเร้าพัวพันรัชทายาทเล่า หรือว่าฝ่าบาททรงมอบหมายเรื่องรังวัดที่ดินแก่รัชทายาทแล้ว?! ฝ่าบาทเคยตรัสไม่ต่ำกว่าหนึ่งหนว่ารัชทายาทยังต้องหมั่นดูหมั่นเรียนอีกมาก พวกท่านถึงกับมีความคิดอ่านเหนือกว่าฝ่าบาท จึงได้บีบคั้นให้รัชทายาทยุ่งเกี่ยวราชกิจอยู่เช่นนี้!” หลิงปู้อี๋กล่าว

เฉิงเซ่าซางคิดในใจ…นี่ขนาดรัชทายาทยังไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอันใดเลย ก็มีพวกหลานเต่ามาพูดพล่ามเยี่ยงนี้แล้ว หากรัชทายาทได้เป็นผู้ดูแลหลักในเรื่องใดจริงๆ จะไม่จมน้ำตายด้วยละอองน้ำลายหรือไรกัน

ตอนนี้ขุนนางฝ่ายบุ๋นเสียงระคายหูผู้นั้นเอ่ยปากอีกครา “ได้ยินเสมอมาว่าเว่ยเจียงจวินมิเพียงห้าวหาญไร้ผู้เปรียบ ยังมีความสามารถเฉกซูฉินกับจางอี๋* วันนี้ได้เห็นแล้วสมคำเล่าลือจริงเสียด้วย เมื่อวานมีคนนำสารไม่รู้ที่มาติดในเมืองหลวง เนื้อความคือเรื่องรัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้ ไม่รู้ว่าท่านแม่ทัพได้ยินข่าวบ้างหรือไม่”

หลิงปู้อี๋ตอบเรียบๆ “เรื่องเล่าอดีตที่อ้างอิงจากตำราโบราณเช่นนี้มีออกถมเถ หากจะพูดถึงเรื่องเล่า ข้าก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง ไม่รู้ทุกท่านยังจำเรื่องรัชทายาทเว่ยของอู่ฮ่องเต้กันได้หรือไม่”

วาจานี้พอกล่าวออกมา บนใบหน้าของเหล่าขุนนางในโถงต่างเผยแววพรั่นพรึง ทว่าเฉิงเซ่าซางกลับยังคงไม่รู้ว่านี่หมายความเช่นไร

หลิงปู้อี๋มองคนทั้งหมดพลางเอ่ยเน้นทีละคำ “มีคนบางคนอวดตนเป็นขุนนางภักดี ทูลเตือนโดยอ้างเรื่องรัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้ แท้ที่จริงกระทำตัวเยี่ยงเจียงชง** กับหานเยวี่ย*** สองขุนนางสอพลอ!”

เอ่ยประโยคนี้จบ ไม่มีผู้ใดในโถงกล้าโต้แย้งอีก หลิงปู้อี๋จึงหันหน้าไปมองเฉิงเซ่าซางซึ่งยืนพิงอยู่ตรงประตูแวบหนึ่ง เด็กสาวก็เข้าใจความนัย เอ่ยเสียงก้องในทันที “ทูลรัชทายาท ฮองเฮาประชวร ขอเชิญรัชทายาทเสด็จไปเยี่ยมเพคะ”

รัชทายาทดูคล้ายโล่งใจ รีบลุกขึ้นขอตัว

ขณะเดินอยู่ในตรอกตำหนัก เฉิงเซ่าซางบ่นเบาๆ อย่างแค้นใจที่เหล็กมิอาจกลายเป็นเหล็กกล้า “รัชทายาทก็จริงๆ เลยเชียว พวกกระจิบกระจอกกลุ่มนั้นมาถกข้อราชการที่ใดกันเล่า เห็นอยู่ว่ามารังแกท่านชัดๆ จะมัวคำนึงมากมายไปไย รับสั่งตรงๆ ให้พวกเขาหุบปากไสหัวไปก็เรียบร้อย!”

รัชทายาทเอ่ยปนยิ้มเจื่อน “จะพูดจาร้ายกาจใส่ผู้อื่นโดยไม่แยกแยะเหตุผลได้อย่างไรกัน…”

เฉิงเซ่าซางเท้าสะเอวพูดคำด่าออกมาเสียงค่อย “ใต้หล้านี้มีคนจำพวกหนึ่งเรียกว่า ‘คนต่ำตม’ ยามเจอกับคนต่ำตมยังจะพูดเหตุผลอันใดอยู่อีก ไม่ลงไม้ลงมือก็นับว่าเกรงใจแล้วเพคะ!”

รัชทายาทไม่โต้เถียงกับแม่นางน้อย เพียงส่ายหัวอย่างจนใจ ก่อนจะเดินหน้าต่อ

มรสุมระลอกเล็กๆ คล้ายสลายตัวไปแต่เพียงเท่านี้

เดิมทีเฉิงเซ่าซางนึกว่าฮองเฮาเพิ่งหายป่วย พอเผชิญกับเรื่องชวนกลุ้มเยี่ยงนี้จะไม่สบายขึ้นมาอีก ใครจะรู้หนนี้อีกฝ่ายกลับเยือกเย็นยิ่ง ยามที่เฉิงเซ่าซางรุดกลับไปถึง เห็นอีกฝ่ายกำลังอ่านตำราเขียนอักษรในท่วงท่าอันสง่าผ่อนคลาย ผู้ใหญ่ผู้น้อยในตำหนักฉางชิวล้วนสงบดุจเดิม

ฮองเฮาลูบไล้มวยผมทรงวงแหวนคู่ที่อ่อนนุ่มน่ารักของเด็กสาว “เจ้าเคยพูดไม่ใช่หรือ โชคเคราะห์ล้วนเป็นชะตา เคราะห์มาย่อมเลี่ยงไม่พ้น ข้าล้าแล้ว รอฝ่าบาทเสด็จกลับมาเถิด ถึงตอนนั้นทุกสิ่งจะมีข้อตัดสินเอง”

เฉิงเซ่าซางคิดอีกทีก็เห็นว่าถูกต้อง จึงรั้งอยู่ในวังอย่างสงบเสงี่ยม ตั้งใจจะพำนักสักหลายวันเพื่อดูสถานการณ์

เพียงแต่ปัญหาด้านความรู้นั้นรอช้ามิได้ ครั้นถึงตอนเที่ยง นางจึงฉวยช่วงเวลาที่ฮองเฮานอนหลับกลางวันแอบออกจากตำหนักฉางชิว เล็งจังหวะอันเหมาะเหม็งจับตัวองค์ชายห้าที่กำลังแทะโลมนางกำนัลน้อยอยู่ เตรียมหิ้วตัวเขาไปยังมุมปลอดคนเพื่อจะสอบถาม

องค์ชายห้าเคยลิ้มรสขมจากเฉิงเซ่าซางมาก่อน แรกเริ่มจึงไม่ยอมอยู่กับนางตามลำพัง ซ้ำโวยวายขดร่างเข้าไปในกลุ่มนางกำนัลอีก ทว่าเพียงเฉิงเซ่าซางตะเบ็งเสียงหนเดียวพร้อมแววดุร้ายเกลื่อนใบหน้า เหล่านางกำนัลน้อยก็วิ่งเตลิดหนีหายไปจนเกลี้ยง องค์ชายห้าจึงได้แต่ยอมปฏิบัติตาม

“วางพระทัยได้ วันนี้หม่อมฉันจะไม่เรียกให้องค์ชายช่วยเป็นพยาน ทั้งจะไม่เรียกให้องค์ชายช่วยปองร้ายผู้อื่น…เพียงแค่จะถามเรื่องเล่าเล็กๆ สองเรื่องจากองค์ชายเท่านั้น” เฉิงเซ่าซางใช้มือข้างหนึ่งพับตรึงแขนขององค์ชายห้า มืออีกข้างกดท้ายทอยของเขาไว้

องค์ชายห้าร้องโอดโอยเสียงระรัว “เจ็บๆๆๆ…เจ้าปล่อยมือก่อน ข้าก็ตามเจ้ามาแล้ว เจ้ายังอุตส่าห์ใช้ความรุนแรงอะไรอีก! เรื่องเล่าอันใด ข้าจะตอบทั้งสิ้น!”

เฉิงเซ่าซางคลายมือออกแล้วมุ่นคิ้วกล่าว “องค์ชายห้าควรฝึกออกกำลังบ้างนะเพคะ มีแต่เนื้อส่วนเกินเผละผละทั้งร่าง มือเท้าไร้แรง ลมหายใจไม่สม่ำเสมอ หม่อมฉันเห็นองค์ชายจะมีพุงเล็กๆ ยื่นออกมาอยู่แล้ว นี่ทรงเพิ่งจะกี่พรรษา!”

องค์ชายห้านวดแขนตนเอง “เจ้าจะรู้อะไร ขืนข้าใฝ่เรียนจนเก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ นั่นต่างหากถึงเรียกว่าเบื่อชีวิตแล้ว ฮองเฮาทรงมีชื่อเสียงด้านคุณธรรมส่วนรวมกับการยกย่องจากเสด็จพ่อ เยวี่ยเฟยทรงมีวงศ์ตระกูลที่แข็งแกร่งกับความรักใคร่จากเสด็จพ่อ เสด็จแม่ข้าเล่ามีอันใด สตรีที่อยู่ในส่วนลึกของวังหลวงเช่นนางไม่รู้หรอกว่าอะไรคือฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ วันทั้งวันเอาแต่คิดเหลวไหล ข้าไม่เอาอย่างนางด้วยหรอก! อย่างข้าต่างหากจึงจะมีชีวิตมั่นคง อยู่รอดยืนยาว!”

เฉิงเซ่าซางบังเกิดความเลื่อมใส “มองไม่ออกเลยว่าองค์ชายห้าทรงคิดได้กระจ่างเพียงนี้ เช่นนั้นยามปกติไฉนยังวิ่งรอกก่อกวนให้ผู้อื่นนึกชังเล่า หนก่อนฝ่าบาทเสด็จบวงสรวงเทพเจ้าบนภูเขาถูเกา หม่อมฉันได้ยินว่าองค์ชายถึงกับพูดสอดแทรกเรื่องระหว่างองค์ชายรองกับองค์ชายสาม จึงถูกตีไปหนึ่งยก!”

องค์ชายห้ากล่าว “หากข้าไม่ป่วนให้เกิดเรื่องเกิดราวออกมาบ้าง เสด็จพ่อไม่แน่ว่ายังจะทรงจำข้าได้ หากพระองค์ทรงจำข้าไม่ได้ วันหน้าแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ปูนบำเหน็จจะมีของดีตกถึงข้าหรือ อีกอย่างข้าก่อเรื่องยิ่งโง่เขลา ยิ่งน่าขัน พี่น้องชายหญิงกลุ่มนั้นของข้าก็จะยิ่งวางใจ”

เฉิงเซ่าซางถามอย่างแปลกใจ “เหตุใดทรงบอกหม่อมฉันทุกอย่างเล่า”

องค์ชายห้าเหลือกตา “ตั้งแต่ที่ข้าเริ่มป่วนหนแรกก็ถูกหลิงปู้อี๋มองทะลุปรุโปร่งแล้ว หนนั้นข้าเปิดโปงต่อเสด็จพ่อเรื่องที่เขาแอบหนีออกจากวัง เขาซ้อมข้าหนึ่งยก และก็พูดชมข้าหลายประโยค…โธ่ เจ้าเลิกพูดร่ำไรได้แล้ว ที่แท้จะถามเรื่องเล่าอันใดกันแน่!”

เฉิงเซ่าซางอึ้งงันไปวูบหนึ่งก่อนจะรีบกล่าว “ถูกต้องๆ หม่อมฉันจะถามองค์ชายเรื่อง…คือว่า…เรื่องรัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้นั่นหมายความเช่นไร แล้วก็รัชทายาทเว่ยกับเจียงชงเป็นผู้ใดกันอีก” แม้แต่องค์ชายสี่ที่ไม่ชอบอ่านตำรายังรู้เลย องค์ชายห้าน่าจะรู้สิ

องค์ชายห้าดวงตาลุกวาว “อ้อ เจ้าได้ยินเรื่องสารไม่รู้ที่มาที่ติดไปทั่วเมืองเมื่อวานแล้วสินะ จุๆๆ เห็นทีการเรียนของเจ้าก็ยังไปไม่ถึงไหน เพียงแต่เหตุใดเจ้า…”

เฉิงเซ่าซางถลกแขนเสื้อ เดินหน้าหนึ่งก้าว แล้วข่มขู่เสียงเบา “วาจาไร้แก่นสารทรงพูดให้น้อย ฮองเฮากับราชบัณฑิตเอกหม่อมฉันไม่สะดวกจะถาม ไจ๋เอ่าไม่รู้ ส่วนใต้เท้าหลิงทำงานอยู่ข้างนอก ตอนนี้หม่อมฉันต้องการจะรู้โดยด่วน ฉะนั้นทรงเล่ามาให้ไว!”

องค์ชายห้าผงะถอยไปหนึ่งก้าว ยืนมั่นคงแล้วค่อยกล่าวหน้าเจื่อน “ได้ๆ ข้าเล่า…เช่นนั้นข้าเล่ากระชับหน่อย เล่าโยงเยอะเจ้าก็ฟังไม่รู้เรื่องอีก”

“องค์ชายทรงชวนตีใช่หรือไม่”

“เจ้าเดินห่างไปหน่อย ข้าจะเล่าแล้ว…เซวียนฮ่องเต้คือฮ่องเต้องค์หนึ่งของราชวงศ์ก่อน เมตตาอารีรักราษฎร ตกรางวัลลงทัณฑ์อย่างเที่ยงธรรม เป็นประมุขแผ่นดินที่ปรีชาสามารถองค์หนึ่ง พระองค์กับฮองเฮาองค์แรกผูกพันกันลึกซึ้งยิ่ง ใครจะรู้ต่อมาฮองเฮาองค์แรกกลับถูกปองร้ายถึงแก่ชีวิต…”

“ชิ ผู้เป็นฮองเฮายังถูกปองร้ายเอาชีวิตได้ ฮ่องเต้องค์นี้ปรีชาสามารถไม่เท่าไรหรอก”

“เจ้าอย่าพูดแทรกสิ ตอนที่ฮองเฮาองค์แรกถูกปองร้าย เซวียนฮ่องเต้ยังไม่ได้ขึ้นกุมอำนาจนี่นา! เอาล่ะ พูดถึงที่ใดแล้ว…อ้อ ฮองเฮาองค์แรกจากไป แต่ยังเหลือบุตรชายอยู่ เขาไม่เพียงเป็นสายเลือดของฮองเฮา ยังเป็นบุตรชายคนโต เซวียนฮ่องเต้จึงแต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท”

“อ๋อ เขาก็คือรัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้สินะ”

“มิผิด เซวียนฮ่องเต้หมายปกป้องรัชทายาท จึงจงใจแต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ซึ่งไม่เป็นที่โปรดปรานและไร้บุตรชาย ทั้งยังหาบุคคลที่น่าเลื่อมใสจำนวนมากมาอบรมสั่งสอนรัชทายาท แม้ต่อมาเซวียนฮ่องเต้จะมีเจี๋ยอวี๋* ที่พระองค์โปรดปรานยิ่งยวดกับบุตรชายอีกคน แต่ตำแหน่งรัชทายาทก็ยังคงมั่นคงเรื่อยมา”

“เซวียนฮ่องเต้องค์นี้อุปนิสัยไม่เลวเลย”

“จริงอยู่ว่าอุปนิสัยไม่เลว แต่รัชทายาทของพระองค์ไม่ใช่ตัวเลือกชั้นเลิศสำหรับตำแหน่งว่าที่ประมุขแผ่นดินแต่อย่างใด เมื่อแรกท่านอาจารย์ที่สอนหนังสือให้พวกข้าเคยว่าไว้ รัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้อ่อนแอไม่เด็ดขาด ใจดีใจอ่อน ซ้ำเชื่อถือไว้ใจขันที ต่อมาขันทีข้างกายเขาทำร้ายขุนนางสำคัญของราชสำนักจนถึงแก่ความตาย เขาถึงกับไม่ลงโทษสถานหนัก ปล่อยเลยตามเลย อันที่จริงขณะเซวียนฮ่องเต้ยังมีชีวิตอยู่ก็มองออกถึงจุดนี้แล้ว ทั้งเคยกล่าวว่า ‘รัชทายาทแยกแยะไม่กระจ่างระหว่างวิถีแห่งราชันผู้มีเมตตาธรรมกับวิถีแห่งผู้ถืออำนาจบาตรใหญ่ ไหนเลยจะมอบหน้าที่สำคัญในการปกครองบ้านเมืองแก่เขาได้’ รวมถึงกล่าวถ้อยคำอันรุนแรงอย่าง ‘ผู้ก่อความวุ่นวายแก่บ้านข้าก็คือรัชทายาทผู้นี้’ กระนั้นด้วยเห็นแก่น้ำใจไมตรีของฮองเฮาองค์แรก และสงสารรัชทายาทที่เสียมารดาไปตั้งแต่ยังเยาว์ สุดท้ายเซวียนฮ่องเต้จึงยังคงให้รัชทายาทสืบทอดบัลลังก์ ขึ้นเป็นหยวนฮ่องเต้”

เอ่ยถ้อยคำยาวเหยียดนี้จบ องค์ชายห้าก็เหลือบมองสีหน้าเฉิงเซ่าซางพลางขยับไปยืนห่างนางอีกสองสามก้าว

เฉิงเซ่าซางยืนอยู่กับที่ ถามออกมาอย่างยากลำบาก “…ดังนั้น…คนรุ่นหลังจึงมีคำติฉินนินทาต่อเรื่องนี้กันไม่น้อย?”

องค์ชายห้าผงกศีรษะ “ท่านอาจารย์บอกว่าความเสื่อมถอยของราชวงศ์ก่อนเริ่มจากสมัยของหยวนฮ่องเต้นี่เอง หากเมื่อแรกเซวียนฮ่องเต้ตัดสินใจให้เด็ดขาด เปลี่ยนตัวรัชทายาทเสียก็ดี ยังมีอีกนะ ต่อมาหยวนฮ่องเต้ยังแต่งตั้งรัชทายาทที่ย่ำแย่กว่าตนเองเป็นร้อยเท่า ซึ่งก็คือเฉิงฮ่องเต้ เฉิงฮ่องเต้หมกมุ่นในสุรานารี พระญาติจึงเข้ากุมอำนาจ ราชสำนักปั่นป่วน อ้อ ลี่ตี้ที่ต่อมาชิงบัลลังก์ก็ได้เฉิงฮ่องเต้นี่ล่ะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมากับมือ…สารไม่รู้ที่มาที่ติดไปทั่วเมืองเขียนถึงเรื่องเล่านี้ บ่งชัดว่าพุ่งเป้าไปที่รัชทายาทพี่ชายข้า!”*

เฉิงเซ่าซางนิ่งงันไปพักใหญ่ เนิ่นนานไม่อาจเปล่งเสียง “วาจากล่าวเช่นนี้ไม่ได้กระมัง ผู้ใดบอกว่าเปลี่ยนตัวรัชทายาทแล้วราชวงศ์ก่อนก็จะไม่มีวันเสื่อมถอย” การเสื่อมถอยของราชวงศ์มีวัฏจักรของมันเอง จะไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเจตจำนงของผู้หนึ่งผู้ใดหรอก…ทว่าคำกล่าวนี้ผู้คนยุคโบราณจะยอมรับได้อย่างไรกัน!

“เช่นนั้นเรื่องเล่าที่สองล่ะเพคะ” นางซักถามต่อ “ก็เสนอแนะให้ฮ่องเต้ปลดรัชทายาทเช่นกันหรือ”

องค์ชายห้าแย้มยิ้ม “เรื่องนี้ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง รัชทายาทเว่ยคือว่าที่ผู้สืบราชบัลลังก์ของอู่ฮ่องเต้ เขาใจกว้างเที่ยงธรรม ครองใจราษฎรอย่างลึกซึ้ง เป็นเหตุให้เจียงชงขุนนางใจเหี้ยมที่อู่ฮ่องเต้ให้ความสำคัญนึกกลัวอยู่ในใจ วิตกว่ารัชทายาทเว่ยขึ้นครองราชย์แล้วตนเองจะถูกลงโทษ จึงชิงลงมือก่อนเสียเลย โดยใส่ร้ายว่ารัชทายาทเว่ยคิดคด ต่อมารัชทายาทเว่ยถูกบีบคั้นจนต้องยกทัพ สุดท้ายพ่ายศึกจึงฆ่าตัวตาย ภายหลังอู่ฮ่องเต้สืบความจนกระจ่างว่ารัชทายาทเว่ยถูกปรักปรำ ด้วยอารมณ์เดือดดาลจึงสั่งประหารล้างโคตรหลายตระกูลที่เกี่ยวพันกับเหตุการณ์นี้”

ตอนนี้เฉิงเซ่าซางเข้าใจความหมายของหลิงปู้อี๋เสียที คนเหล่านั้นต่างอ้างตนเป็นเช่นขุนนางภักดีผู้เตือนสติเซวียนฮ่องเต้ให้เปลี่ยนตัวรัชทายาท แต่ใครจะรู้เล่าว่าพวกเขาใช่เจียงชงที่หมายกำจัดรัชทายาทด้วยเรื่องส่วนตนหรือไม่…นางคลี่ยิ้ม

ครั้นดึงสติคืนมา นางก็สอดสองมือเข้าในแขนเสื้อ ปั้นยิ้มน่ารักบอบบาง ท่าทางอ่อนแอราวไม่อาจต้านแรงลม “ไฉนวันนี้องค์ชายห้าทรงว่าง่ายจริงใจเพียงนี้เล่า ถามสิ่งใดล้วนตอบสิ่งนั้น หม่อมฉันให้ตกประหม่าอยู่บ้าง”

องค์ชายห้าไม่ถูกเปลือกนอกหลอกให้สับสน เอ่ยตรงไปตรงมาว่า “เพราะข้าเองก็หวังให้รัชทายาทพี่ชายใหญ่ของข้าแคล้วคลาดปลอดภัยน่ะสิ! เขาอารมณ์เย็นออกปานนั้น วันหน้าเขาสืบทอดบัลลังก์ วันเวลาของข้าจึงจะผ่านไปด้วยดี! ขืนเปลี่ยนเป็นพี่ชายรอง…” เขาเบะปาก แสดงสีหน้าประหนึ่งว่ารับเคราะห์

เฉิงเซ่าซางย่อเข่าคำนับเขาอย่างชวนเอ็นดูแล้วเอ่ยปนยิ้ม “เช่นนั้นก็ขอให้เป็นดังคำมงคลขององค์ชายห้าเพคะ”

 

หลิงปู้อี๋เคลื่อนไหวฉับไว เพียงวันรุ่งขึ้นท่านลุงฮ่องเต้ก็กลับจากภูเขาถูเกามาถึงเมืองหลวง ได้เห็นสารผ้าป่านเนื้อหยาบซึ่งไม่รู้ที่มานั้นวางอยู่บนโต๊ะทรงงานก็พลันกริ้วจัด ออกคำสั่งให้กรมอาญาสืบสาว ผู้เฒ่าจี้จุนขานรับหน้าขรึม ภายหลังอลหม่านไปหนึ่งยกก็จับตัวผู้ติดสารเหล่านี้ได้ดังคาด แต่ใครจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงกลุ่มบุรุษว่างงานในตลาด รับเงินทำงานให้ผู้อื่นอีกทอดหนึ่ง พวกเขาเองกระทั่งตัวอักษรก็ยังอ่านไม่ออก ยิ่งไม่รู้สักนิดว่าบนสารเขียนอันใด

ฮ่องเต้มีหรือจะรามือง่ายดายเช่นนั้น ไม่เพียงบัญชาให้สืบลึกลงไปอีก ลากตัวผู้อยู่หลังม่านออกมาให้จงได้ ยังเสริมกำลังทหารจากคุกเป่ยจวินกับค่ายทหารรักษาประตูเมือง ส่งผลให้เมืองหลวงยังคงอลหม่านกันต่อไป

ดังคำกล่าวว่าขอเพียงเดินผ่านย่อมทิ้งร่องรอย ใต้หล้าไม่มีความลับใดปกปิดได้ตลอดกาล ภายหลังสืบค้นเมืองหลวงทุกซอกมุมจนกระทบกระเทือนกิจการเริงรมย์อย่างใหญ่หลวงแล้ว ในที่สุดก็สาวไปถึงตัวผู้ที่บงการให้กลุ่มบุรุษว่างงานนำสารเหล่านั้นไปติดจนได้

ปรากฏว่าจี้จุนยังไม่ทันจะได้พรูลมหายใจก็ต้องหนักใจขึ้นมาอีกครา ที่แท้คนผู้นั้นคือศิษย์ของหานชิงขุนนางสำคัญผู้ล่วงลับ เขายากจนไร้ที่พึ่งมาแต่เล็ก เป็นหานชิงให้การอุปการะอบรมสั่งสอนเขามา สุดท้ายหานชิงกลับฆ่าตัวตายด้วยเรื่องของรัชทายาท เขาจึงคับแค้นสุดจะสงบใจลงได้

ในเมื่อไม่อาจคิดแค้นฮ่องเต้ เขาก็ได้แต่สืบสาน ‘ปณิธานที่ยังไม่ลุล่วง’ ของอาจารย์ผู้มีพระคุณ ป่าวประกาศผลเลวร้ายของการเลือกว่าที่ประมุขแผ่นดินผิดพลาด หมายชี้ให้เห็นว่าอาจารย์ของเขาไร้ซึ่งความผิด หลังจากเขาถูกจับกุมเข้าคุกกรมอาญา หากมิใช่จี้จุนป้องกันล่วงหน้า เขาก็คงเอาศีรษะโขกผนังฆ่าตัวตายไปนานแล้ว

ครานี้แม้แต่ฮ่องเต้ยังอึ้งงัน การตายของหานชิงพระองค์เสียใจภายหลังตั้งแต่แรก ไม่นึกว่าศิษย์อาจารย์ทั้งสองคนจะอารมณ์ดุเดือดถึงเพียงนี้ แค่ความเห็นไม่ลงรอยก็จะคิดสั้นให้ได้ หานชิงนอกจากเคยเป็นขุนนางสำคัญ ยังเป็นปราชญ์ซึ่งค้นคว้าตำราสำนักข่งจื่อที่จารึกด้วยอักษรโบราณ มีชื่อเสียงโด่งดังมาช้านานแล้ว ครั้นในราชสำนักมีคนได้ยินเรื่องนี้ จึงพากันมาขอความเมตตาแทนศิษย์ของหานชิงเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘โทษตามกฎหมายแม้ยากงดเว้น ทว่าก็มีสาเหตุที่น่าให้อภัย’

ท้ายที่สุดฮ่องเต้จึงลงบันไดนี้มา เข้าทำนองต้นหนักปลายแผ่ว เพียงลงโทษเนรเทศศิษย์ผู้นั้นระยะทางสั้นๆ เป็นอันปิดคดีอย่างรีบเร่ง

ฮองเฮาฟังผลจบ เนิ่นนานค่อยถอนใจกล่าว “ช่างเป็นเล่ห์กลที่ร้ายกาจนัก ตามตัวศิษย์ของใต้เท้าหานมาดำเนินแผนนี้ ฝ่าบาทก็ทรงไม่อาจสืบสาวเอาผิดสถานหนักแล้ว”

เฉิงเซ่าซางถามด้วยความฉงน “หรือว่าศิษย์ผู้นั้นถูกผู้อื่นบงการมา? แล้วเหตุใดจึงไม่สืบสาวต่อเพคะ”

ฮองเฮายิ้มขื่น “เรื่องเยี่ยงนี้จะสืบอย่างไรเล่า วันๆ ศิษย์ผู้นั้นใช้บทความคบหาสหายจำนวนมาก จะให้จับกุมทุกคนที่เอ่ยถึงรัชทายาทหรือเรื่องเล่านั้นกับเขา แล้วเค้นสอบทีละคนหรือไร”

เฉิงเซ่าซางเป็นใบ้ไปทันตา

ฮองเฮาปลอบโยนเด็กสาวอีกหน “เอาเถิด เรื่องนี้ผ่านพ้นไปแล้ว ประเดี๋ยวตอนที่ฝ่าบาทเสด็จมา เจ้าอย่าได้ทำปากยู่ ช่วงไม่กี่วันมานี้ฝ่าบาทเองก็ทรงอ่อนเพลียยิ่ง เจ้าเป็นเด็กดีหน่อย อย่าก่อเรื่องล่ะ!”

เฉิงเซ่าซางผงกศีรษะรับอย่างจริงจัง

ยามที่ท่านลุงฮ่องเต้มาถึงตำหนักฉางชิว นางเป็นเด็กดีมากจริงๆ เสียด้วย ไม่เพียงงัดความสามารถพิเศษออกมา ปรุงอาหารชนิดใหม่ที่มีรสไม่จัดทว่ากลมกล่อมถูกปากหลายอย่าง ยังเล่าเรื่องขบขันในบ้านหลายเรื่องให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาฟังด้วย

“…เช่นนี้เองพี่ชีชีจึงถูกยกเป็นบุตรสาวของท่านลุงนางแล้ว ส่วนพี่รองของหม่อมฉันก็กำลังจะไปเป็นบุตรชายของสกุลวั่น ท่านลุงวั่นดีใจจนพูดกับทุกคนที่เจอว่า ‘ข้าก็มีบุตรชายนะ’ หนำซ้ำยังพาพี่รองไปหาความสำราญที่สำนักโคมเขียว ทันทีที่พี่ชีชีได้ยินเข้าก็รีบไปคาดคั้นถามท่านลุงวั่นว่า ‘พาเขยไปสถานที่เยี่ยงนั้นได้อย่างไรกัน’ ใครจะรู้ท่านลุงวั่นถึงกับไม่ไว้หน้าบุตรสาว บอกให้พี่ชีชีเป็นกุลสตรีอ่อนหวานเสียบ้าง อย่าเอาแต่คุมสามีทั้งวี่วัน พี่ชีชีโกรธจนสะบัดหน้าไปฟ้องท่านแม่หม่อมฉันเลยเพคะ”

ฮ่องเต้เอ่ยปนยิ้ม “บุตรสาวของวั่นซงไป่เรายังจำได้ สามารถฆ่าพยัคฆ์ควักเอาหัวใจ เก่งกาจมากทีเดียว!”

“ผู้ที่เก่งกาจยิ่งกว่าคือท่านแม่หม่อมฉัน” เฉิงเซ่าซางแสร้งทำท่าหวาดกลัว “พอท่านแม่รู้เรื่องก็เตรียมจะใช้กฎบ้านกับพี่รอง ท่านลุงวั่นสกัดไว้ไม่ยินยอม ทั้งพูดว่า ‘ถือสิทธิ์อะไรจะตีบุตรชายข้า’ ท่านแม่แย้งกลับทันใด ‘ตอนนี้ยังเป็นบุตรชายข้าอยู่ ข้ายังตีได้พอดี’ ต่อเมื่อเห็นพี่รองถูกกดตรึงบนโต๊ะจะถูกใช้กฎบ้านอยู่แล้วนั้น ไม่คาดท่านลุงวั่นถึงกับนั่งลงบนพื้นแล้วเกลือกกลิ้งไปมา คร่ำครวญหวนไห้ ‘ชะตาข้าอาภัพนัก วัยเด็กสูญเสียบิดา ครึ่งชีวิตไร้บุตรชาย บัดนี้ยังมีคนจะตีบุตรชายข้าอีก ใครก็ได้มาตัดสินให้ข้าที’ …”

นางเลียนแบบได้สมจริงยิ่ง ทำเอาฮ่องเต้กับฮองเฮาต่างหัวเราะจนตัวงอ

“แม่ทัพเฉิงเล่า เขาไม่มาดูแลสักหน่อยหรือ” ฮองเฮายิ้มถาม

เฉิงเซ่าซางทำปากแบน “ซ่อนตัวไม่เห็นร่องรอยตั้งแต่แรกแล้วเพคะ”

ฮ่องเต้ตบขาหัวเราะร่วน “ซ่อนตัวได้ดี! เปลี่ยนเป็นเรา เราก็ต้องไปซ่อนตัว!”

ฮองเฮาปาดน้ำตา “มารดาเจ้าทำได้ดี บุตรชายที่สู้เลี้ยงดูอย่างดีมาสิบกว่าปี ประพฤติตนอยู่ในกรอบเสมอมา ทันทีที่ยกให้ผู้อื่นไปก็จะต้องติดนิสัยแย่ๆ เยี่ยงนี้มาหรือ! วั่นซงไป่ผู้นี้นี่ ฮึ ต่อมาเป็นเช่นไรเล่า”

เฉิงเซ่าซางตอบ “ท่านลุงวั่นจัดโต๊ะตั้งกระถางธูป เชือดคอไก่ ให้สัตย์สาบานต่อฟ้าดิน จะไม่พาพี่รองไปกระทำเรื่องหนึ่งสองสามสี่ห้าเป็นอันขาด”

ฮ่องเต้ถามอย่างสงสัยใคร่จะรู้ “อันใดเรียกว่า ‘เรื่องหนึ่งสองสามสี่ห้า’ ”

“ท่านแม่บังคับให้ท่านลุงวั่นเขียนอักษรถี่ยิบเต็มหนึ่งผืนผ้าไหม บนนั้นแจกแจงข้อห้ามถึงสิบกว่าข้อ หม่อมฉันไม่ได้อ่านละเอียด สรุปคือ…ต่อไปท่านลุงวั่นนับเป็นผู้บำเพ็ญพรตไปครึ่งตัวแล้วเพคะ”

ฮ่องเต้กับฮองเฮาพร้อมใจกันหัวเราะครืน

ภายหลังหัวเราะจบ ฮ่องเต้เห็นฮองเฮาอารมณ์ดียิ่ง จึงเอ่ยว่าจะให้รัชทายาทเป็นประธานในงานเทศกาลซั่งซื่อเดือนหน้าแทนพระองค์ ฮองเฮารู้ว่าฮ่องเต้รู้สึกผิดที่ลงโทษศิษย์ของหานชิงเบาเกินไป ตอนนี้กำลังหาโอกาสชดเชยให้นางกับบุตรชายอยู่ นางจึงไม่พูดเปิดโปงออกมา ทำเพียงคลี่ยิ้มขอบพระทัยอย่างอ่อนโยน พาให้ชั่วขณะนี้บรรยากาศในตำหนักกลมเกลียวอบอุ่นยิ่งนัก

เฉิงเซ่าซางเห็นอิริยาบถของฮ่องเต้กับฮองเฮาละมุนละไม บ่งชัดว่าต้องการจะทำอันใดนั้นกันแล้ว นางจึงรีบหลบออกมาในทันที ขบคิดเล็กน้อยก็ตัดสินใจว่าจะนำข่าวดีนี้ไปแจ้งรัชทายาทล่วงหน้า ให้เขาอย่าได้ห่อเหี่ยวใจ ฮ่องเต้ยังคงหนุนเขาอยู่มากนัก

มีแรงสนับสนุนจากลูกพี่ใหญ่ลำดับสูงสุดแล้ว ยังจะต้องการอันใดมากไปกว่านี้อีกเล่า

นางวิ่งรวดเดียวไปถึงตำหนักบูรพาอันเงียบเหงา โปรยเงินไปหนึ่งยกเช่นเคย นางกำนัลขันทีของตำหนักบูรพาก็แย้มยิ้มปริ่มใบหน้า ปล่อยนางเข้าสู่ตำหนักชั้นในไปอย่างราบรื่น ใครจะรู้กลับได้กลิ่นสุราอันเข้มข้นขุมหนึ่งตั้งแต่ไกล

ครั้นเร่งฝีเท้าเข้าไปดู เฉิงเซ่าซางก็ฉุนกึ้กจนจมูกแทบเหยเก…รัชทายาทเมามายจนตัวเอียงล้มพับกับโต๊ะแล้ว องค์ชายรองกลับยังเอาแต่คะยั้นคะยอให้อีกฝ่ายดื่มสุรา ขณะเดียวกันในปากก็มีแต่คำพูดบั่นทอนจิตใจ อย่างเช่น ‘ขุนนางราชสำนักล้วนดูแคลนท่าน พูดลับหลังว่าท่านอ่อนปวกเปียกไร้ความสามารถ’ กับ ‘หาว่าท่านประพฤติไม่คู่ควรกับตำแหน่ง เสด็จพ่อแต่งตั้งท่านเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต’

เฉิงเซ่าซางสูดหายใจเข้าลึกๆ เหลียวมองรอบด้านไม่เห็นผู้อื่น จึงวิ่งเสริมแรงทิ้งน้ำหนักตัว ตวัดเพลงฝ่าเท้าไร้เงาใส่บั้นท้ายขององค์ชายรองไปหนึ่งที นึกว่าเมื่อก่อนนางตะลุยยุทธภพเสียเปล่าหรือไร!

องค์ชายรองไม่ทันตั้งตัวจึงทรุดแปะลงบนพื้นกระดานพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน ชี้นิ้วมาทางเฉิงเซ่าซางพลางเอ่ยเสียงสั่น “จะ…เจ้า…เจ้า…ถึงกับกล้าไร้มารยาทเยี่ยงนี้!” ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองค์ชายที่ได้รับการอบรมมาตามขนบดั้งเดิม กระทั่งในฝันก็ไม่เคยพบเคยเห็นสตรีท่าทางป่าเถื่อนเช่นเฉิงเซ่าซาง

“แล้วอย่างไร!” เฉิงเซ่าซางสองมือเท้าสะเอว “แน่จริงตอบโต้สิเพคะ!” นางชี้ใบหน้าตนเอง “ตบมาตรงนี้เลย ไม่ต้องเกรงใจ! ตบสิ ตบมาสิเพคะ” ขอเพียงองค์ชายบื้อผู้นี้กล้าลงมือ ข้าจะแบกรอยแผลปรี่ไปหาท่านลุงฮ่องเต้ ไม่ฟ้องร้องจนอีกฝ่ายกระอัก ถือว่าข้าขี้ขลาด!

ไม่รู้เป็นเพราะองค์ชายรองฉุกคิดถึงจุดนี้ หรือว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษหลงเหลืออยู่ สรุปคือเขาโกรธจนหน้าเปลี่ยนสีไปหลายตลบ แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ลงไม้ลงมือ เพียงยืนขึ้นถามด้วยโทสะ “เจ้ามาตำหนักบูรพาทำอันใด!”

“แล้วองค์ชายเสด็จมาตำหนักบูรพาทำอันใดเล่า!” เฉิงเซ่าซางตอกกลับ “ฉวยจังหวะที่พระชายานอนพัก ทรงลอบออกมาอีกสิท่า!”

“ลอบออกมาอะไรกัน! ข้าจะมาก็มา จะไปก็ไป ใครจะควบคุมข้าได้!” องค์ชายรองใบหน้าเขียวปั้ด ถูกบรรยายเสียน่าเกลียดเยี่ยงนี้ ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ต้องไม่พอใจ “ข้าเป็นพี่น้องร่วมอุทรกับรัชทายาท จึงตั้งใจมาปลอบโยนเล็กๆ น้อยๆ!”

“พอเถิดองค์ชาย ใครบ้างไม่รู้เป้าประสงค์ของท่าน” ยากนักที่รอบด้านปลอดคน เฉิงเซ่าซางแผ่พลังอำนาจเปี่ยมล้น “ตั้งแต่ตำหนักฉางชิวถึงตำหนักบูรพา เลียบตามตรอกตำหนักไป หากหาตัวบ่าวที่คิดว่าองค์ชายมีไมตรีพี่น้องอันลึกล้ำต่อรัชทายาทได้แม้สักคนเดียว หม่อมฉันจะโขกศีรษะถวายดังๆ สามหน และจะเพิ่มขาหมูตุ๋นน้ำแดงของย่านชุนฟางที่โด่งดังทั่วหล้าให้อีกหนึ่งคู่เลยเพคะ!”

องค์ชายรองโกรธจนตัวสั่น “เจ้าๆๆ อย่าอาศัยว่าหลิงปู้อี๋มีอำนาจมีอิทธิพล ก็จะล้ำเส้นจาบจ้วงเบื้องสูงได้นะ ขะ…ข้าจะ…”

“องค์ชายรองทรงนึกว่าฝ่าบาทละเว้นคดีสารไม่รู้ที่มานั้นไปง่ายๆ เพราะไม่พอพระทัยรัชทายาทหรือ!” เฉิงเซ่าซางตัดสินใจจะทุบทำลายความคิดเพ้อฝันของคนเขลาผู้นี้ลงเสีย นับว่าได้สร้างคุณูปการต่อแคว้นต่อราษฎรอีกทางหนึ่ง “ผิดถนัด ฝ่าบาททรงเห็นแก่หน้าใต้เท้าหานผู้ล่วงลับ จึงไม่อยากลงโทษศิษย์ของเขาสถานหนักก็เท่านั้นเอง! เมื่อครู่ฝ่าบาทยังตรัสกับฮองเฮาอยู่ว่าทรงรักและให้ความสำคัญกับรัชทายาทอย่างยิ่งเช่นเดิม!”

นางไม่ได้เอ่ยเรื่องเทศกาลซั่งซื่อ การบอกรัชทายาทให้เขาดีใจล่วงหน้านั้นเป็นเรื่องหนึ่ง การบอกผู้อื่นก็เท่ากับแพร่งพรายความลับแล้ว

องค์ชายรองถูกยั่วโมโหจนหน้ามืดตาลาย กระนั้นก็ยังคงทำปากแข็ง “ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก ข้าจะกลับจวนไปถามอาเหิง”

‘อาเหิง’ คือนามของชายาองค์ชายรอง

เฉิงเซ่าซางมองส่งอีกฝ่ายออกจากตำหนักบูรพาไปในอาการสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ครั้นหันกลับมามองรัชทายาทที่ยังคงเมาพับไม่รู้เรื่องรู้ราว นางก็หมดอารมณ์จะสนทนา โบกปัดกลิ่นสุราตรงปลายจมูก ก่อนให้ข้ารับใช้เข้ามาปรนนิบัติรัชทายาทล้างเนื้อล้างตัวพักผ่อน

ครั้นออกมาจากตำหนักบูรพา นางรู้สึกจิตใจปลอดโปร่งยิ่งขึ้น…รัชทายาทนอนใจไร้กังวลได้ ‘ชั่วคราว’ ฮ่องเต้กับฮองเฮาก็รักใคร่สนิทสนมกัน ‘ดังเดิม’ แล้ว ‘น่าจะ’ ไม่มีเรื่องใหญ่อื่นอีกกระมัง แค่รอคอยหลิงปู้อี๋กลับมาเป็นอันใช้ได้!

ยามนี้ตำหนักบูรพามีกลิ่นสุราคลุ้งถึงชั้นฟ้า ส่วนตำหนักฉางชิวกำลังผุดฟองอากาศสีชมพู ชั่วขณะเด็กสาวพลันคิดไม่ออกว่าจะไปที่ใดดี จึงเดินเตร่อย่างไร้จุดหมาย เดินไปเรื่อยๆ จนถึงศาลาแปดเหลี่ยมหลังหนึ่ง เห็นด้านในมีคนผู้หนึ่งสวมชุดแพร มวยผมครอบเกี้ยวหยก รูปงามสง่า ร่างสูงระหง มิใช่หยวนเซิ่นจะเป็นผู้ใดอีกเล่า

เฉิงเซ่าซางชะงักกึก

หยวนเซิ่นเห็นนางแล้วเช่นกัน จึงคลี่ยิ้มเรียกนางเข้ามาในศาลา

เฉิงเซ่าซางเดินตรงไป “ท่านมาทำอันใดที่นี่”

หยวนเซิ่นชี้มือไปยังม้วนหนังสือไม้ไผ่ที่วางอยู่บนม้านั่งหินในศาลา “ตามพระบัญชาของฝ่าบาท รอจนราชบัณฑิตเอกหลายท่านเรียบเรียงเสร็จให้ส่งไปยังตำหนักบูรพา ข้าอายุน้อยที่สุด จึงรับหน้าที่นำไปส่ง”

เฉิงเซ่าซางฉงน “เช่นนั้นท่านก็ควรไปตำหนักบูรพาสิ มายืนอยู่ตรงนี้ทำอันใด”

หยวนเซิ่นลังเลครู่เดียว เฉิงเซ่าซางก็เอ่ยต่อได้ทันที “อ้อ ข้ารู้แล้ว เมื่อครู่ท่านเห็นองค์ชายรองหิ้วไหสุราเข้าตำหนักบูรพา ท่านไม่อยากพบปะเขา ยิ่งไม่อยากถูกชวนร่วมดื่มสุรา จึงมาหลบอยู่ตรงนี้สินะ!”

หยวนเซิ่นยิ้มขื่น “ยามที่พึงแสร้งเขลาก็ต้องแสร้งเขลา เจ้าจะทำเป็นทึ่มทื่อสักหน่อยไม่ได้หรือไร”

เฉิงเซ่าซางยักไหล่ “ผู้ใดใช้ให้ข้าเกิดมาเฉลียวฉลาดเกินไปเล่า ช่วยไม่ได้นี่ เพียงแต่…” นางกระเถิบเข้าไปใกล้เขาอีกเล็กน้อย “ท่านว่าเป็นใครกันแน่ที่ลอบมุ่งร้ายต่อรัชทายาท นี่ก็ตั้งหลายต่อหลายเรื่องแล้ว”

ประกายริ้วหนึ่งวาบผ่านในดวงตาของหยวนเซิ่น เขายังคงสองจิตสองใจ ต่อเมื่อเห็นนัยน์ตาคู่โตของเด็กสาวบรรจุไปด้วยความคาดหวัง เขาก็พลันนึกถึงครั้งหนึ่งที่นางเคยตะโกนใส่เขาว่า ‘หลิงปู้อี๋ทั้งช่วยเหลือทั้งช่วยชีวิตข้าตั้งกี่หนแล้ว แต่ท่านนี่สิ เคยทำดีอันใดกับข้ากันแน่’ เขาตั้งสติเล็กน้อย ก่อนเริ่มอธิบายอย่างค่อยเป็นค่อยไป

“เจ้ามักซักไซ้ว่าผู้ใดกำลังพุ่งเป้าไปที่รัชทายาท ทว่าหลิงจื่อเซิ่งหมายปลอบโยนเจ้า จึงมีหลายคำพูดไม่ได้บอกให้เจ้ารับรู้

ความจริง…ผู้ที่พุ่งเป้าไปที่รัชทายาทนั้นไม่ใช่คนคนเดียว และไม่ใช่วงศ์ตระกูลเดียว หากแต่เป็นความเข้าใจที่รู้กันเงียบๆ ระหว่างขุมกำลังหลายกลุ่ม อย่างเช่นซุนเซิ่งญาติผู้พี่ของชายารัชทายาท อันที่จริงผู้ที่หลอกล่อให้เขาละโมบกระทำผิดเป็นคนตระกูลหนึ่ง ผู้ที่สืบเบื้องหลังยึดกุมหลักฐานของเขาเป็นคนอีกตระกูล ส่วนผู้ที่วางหูตาไว้ข้างกายรัชทายาท สืบรู้ว่ารัชทายาทนัดพบชวีฮูหยินที่คฤหาสน์ดอกกุ้ยม่วง นั่นเป็นคนตระกูลที่สามแล้ว

คนเหล่านั้นไม่มีแผนการที่แน่ชัดนัก เพียงกระทำตัวเช่นหนูที่กัดแทะไปทีละน้อยไม่หยุดหย่อน ผลัดกันขุดเจาะกำแพงล้อมตำหนักบูรพา เจ้าหนึ่งจอบ ข้าหนึ่งคราด ขอเพียงมีจังหวะอันเหมาะสม ก็จะทำให้รัชทายาทตกสู่ห้วงคับขันได้ทันที”

เฉิงเซ่าซางฟังจนทึ่มทื่อไปทันตา ข้อแรก…นางนึกไม่ถึงว่าวันนี้หยวนเซิ่นจะชี้แจงต่อนางอย่างละเอียด ข้อสอง…นางถูกความนัยที่แฝงอยู่เบื้องหลังถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ตะลึงค้างไปเสียแล้ว นางนึกถึงการโจมตีที่รัชทายาทถูกกระทำมาจนทุกวันนี้ คล้ายว่าทันทีที่มีโอกาสก็จะถูกตีกระหนาบทั้งสี่ทิศ

นางพูดอย่างร้อนรน “ขะ…ขะ…ข้ารู้ เมื่อแรกเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่าทำร้ายให้หลายคนในกลุ่มขุนนางเมืองจิ่งเซิงต้องตาย ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นเดือดเป็นแค้น…”

“ไม่ใช่เท่านี้หรอก” หยวนเซิ่นตัดบทนางเรียบๆ “คนที่มีความแค้นกับฝ่ายเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่าเหล่านี้กลับไม่น่าหวั่นเกรง ภัยแฝงที่แท้จริงคือบรรดาขุนนางสำคัญที่มือเปื้อนเลือดของคนสายเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่าต่างหาก”

เฉิงเซ่าซางร้องอ๊ะหนึ่งหน

หยวนเซิ่นกล่าวเสริม “เจ้านึกว่ามีแต่มือของเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่าหรือที่เปื้อนเลือด คนของเฉียนอันอ๋องผู้เฒ่ากระจัดพลัดพราย ขุมกำลังสูญสลายไม่มีเหลือหลอ เจ้าว่าบุตรหลาน บุตรเขย กับบุตรบุญธรรมฝีมือดีตั้งมากมายของท่านอ๋องผู้เฒ่าล้วนหายไปที่ใดเสียแล้วเล่า ความรุ่งโรจน์อันงดงามปานบุปผาต้องใช้เลือดเนื้อราดรดหล่อเลี้ยงออกมา ฝ่าบาททรงมีฝีมือสูงส่ง เหล่าขุนนางสำคัญที่เป็นแขนขาของพระองค์ก็ไม่ยิ่งหย่อน ด้วยเหตุนี้ต่อให้รัชทายาทไม่เคยพูดจาแทนจวนเฉียนอันอ๋องแม้ครึ่งประโยค ทว่าเหล่าขุนนางสำคัญที่เคยกำจัดญาติของรัชทายาทจะวางใจลงได้หรือ นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันถึงชีวิตของพวกเขาทั้งตระกูลเชียวนะ”

เฉิงเซ่าซางค่อยๆ เข้าใจกระจ่างแล้ว นิ้วมือนางขยุ้มแขนเสื้อไว้แน่น

หยวนเซิ่นเพ่งมองดวงตานาง “ผู้อื่นยังไม่เอ่ยถึง ตอนนั้นคนที่ลงมือสังหารขุนศึกอันดับหนึ่งในสังกัดของท่านอ๋องผู้เฒ่า และเป็นบุตรเขยคนโตของท่านอ๋องด้วยนั้นก็คือญาติผู้น้องของอวี๋โหวนั่นเอง แม้ว่าเขาจะทำไปตามพระบัญชาของฝ่าบาทก็ตามที เจ้ารู้สึกว่าสกุลอวี๋ทั้งตระกูลจะคิดกับรัชทายาทเช่นไร”

เบื้องหน้าสายตาของเฉิงเซ่าซางปรากฏภาพแม่น้ำใหญ่หนึ่งสาย แรกเริ่มกึ่งกลางสายน้ำเพียงมีน้ำวนเล็กๆ หนึ่งวง ทว่าระหว่างที่กระแสน้ำไหลคดเคี้ยวไป ทุกหัวโค้งล้วนมีพลังผลักส่งไปยังน้ำวนวงนั้น จนท้ายที่สุดก่อเกิดเป็นน้ำวนขนาดยักษ์ที่กลืนกินทุกสิ่งได้

“ดังนั้น…พวกเขาจึงพูดโยงถึงเรื่องรัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้อันใดนั่น พูดให้ชัดก็คือต้องการจะให้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนตัวรัชทายาทสินะ!” นางเอ่ยอย่างฉุนเฉียว

หยวนเซิ่นคลี่ยิ้มน้อยๆ “หลิงจื่อเซิ่งก็สวนกลับอย่างฉับไวมิใช่หรือไร หึๆ คนเหล่านั้น ‘อวดตนเป็นขุนนางภักดี แท้ที่จริงกลับเป็นเจียงชง’ คารมเขาดีไม่หยอกจริงๆ เมื่อสิบกว่าปีก่อนฝ่าบาททรงวางตัวหลิงจื่อเซิ่งไว้ในตำหนักฉางชิว ไม่รู้ว่าทรงคิดมาถึงวันนี้ใช่หรือไม่”

“ใต้เท้าหลิง…ก็ทำงานตามพระประสงค์ของฝ่าบาทเช่นกัน” เฉิงเซ่าซางกล่าวเสียงเบา

หยวนเซิ่นมองนางแวบหนึ่งก่อนกล่าวต่อ “มิผิด ดังนั้นเจ้าไม่ต้องวิตกแทนรัชทายาทไปนัก ขอเพียงในพระทัยฝ่าบาทยังตั้งมั่นอยู่ที่รัชทายาทองค์นี้ เช่นนั้นตำแหน่งรัชทายาทก็จะมั่นคงดุจศิลาใหญ่ ในสมัยของจิ่งฮ่องเต้เปลี่ยนตัวรัชทายาทได้อย่างแสนราบรื่น นั่นเป็นเพราะพระองค์ประสงค์จะเปลี่ยนตัวรัชทายาท ขุนนางบุ๋นบู๊ไม่ว่าผู้ใดก็ต้านขวางไม่อยู่ ในสมัยของอู่ฮ่องเต้ฆ่าล้างจนเลือดนองเป็นท้องธาร นั่นเป็นเพราะพระองค์ไม่ประสงค์จะเปลี่ยนตัวรัชทายาท ทว่าพลาดหลงกลของคนถ่อยอย่างเจียงชงเข้า พระองค์จึงประหารล้างตระกูลขุนนางสำคัญกับพระญาติที่จะได้รับประโยชน์ภายหลังรัชทายาทเว่ยล่วงลับไปจนสิ้นทุกตระกูล ในสมัยของเซวียนฮ่องเต้ไม่ว่าจะพูดถึงข้อเสียของรัชทายาทสักเท่าใด สุดท้ายยังคงไม่มีการเปลี่ยนตัว ก็เพราะเป็นประสงค์ของเซวียนฮ่องเต้เอง…ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ฝ่าบาททรงเป็นกุญแจสำคัญที่สุด

มีตัวอย่างของอู่ฮ่องเต้อยู่ก่อน กลุ่มคนที่ลอบคิดหวังให้เปลี่ยนตัวรัชทายาทย่อมไม่กล้าเอาอย่างการกระทำของเจียงชง อย่างมากก็แค่กระพือข่าวเชิงชู้สาวของรัชทายาท หรือไม่ก็เอาสารที่เขียนอ้างอิงเรื่องเล่าในอดีตไปติดให้ทั่ว…ฉะนั้นเจ้าวางใจได้ ขอเพียงพระประสงค์ของฝ่าบาทไม่เปลี่ยน ผู้ใดก็เปลี่ยนตัวรัชทายาทไม่ได้หรอก”

เฉิงเซ่าซางนั่งลงบนม้านั่งหินที่อยู่อีกด้านพร้อมกับความยินดีกึ่งกังวล ผ่านไปครู่หนึ่งนางพลันเอียงศีรษะถาม “ไฉนข้ารู้สึกว่าวันนี้ท่านไม่ค่อยเหมือนที่ผ่านมาเล่า”

หยวนเซิ่นยิ้มเยาะตนเอง “ในที่สุดเจ้าก็มองออกจนได้ อืม ไม่เหมือนเดิม…ข้าหมั้นแล้ว”

เฉิงเซ่าซางตกใจยิ่ง จากนั้นคลี่ยิ้มกล่าว “ท่านช่างติช่างเลือกอยู่เป็นนาน ในที่สุดก็หมั้นสำเร็จแล้ว? เป็นคุณหนูตระกูลใดเล่า”

หยวนเซิ่นตอบเรียบๆ “เป็นสตรีสกุลไช่แห่งเหอหนาน ต้าซือคง* ไช่อวิ่นก็เป็นคนสกุลนี้”

“เยี่ยม ชาติตระกูลช่างสมกัน ยินดีด้วยนะ ยินดีด้วย!” สองมือของนางกุมกันเป็นกำปั้นเล็กๆ สีขาวสะอาด คำนับพลางผลิยิ้มจนคิ้วตาเป็นเส้นโค้ง

หยวนเซิ่นกล่าวอย่างไม่พอใจ “เจ้าไม่ต้องยิ้มระรื่นเพียงนี้ก็ได้ ทำราวกับสลัดภาระอันใดทิ้งได้อย่างนั้นล่ะ ที่ผ่านมาข้าไม่เคยรังควานอะไรเจ้ากระมัง!”

เฉิงเซ่าซางม้วนแขนเสื้อ เอ่ยอย่างสบายอารมณ์ “อย่าเสแสร้งเลยน่า ท่านไม่ใช่คนวู่วามสักหน่อย ไม่ว่าจะทำอันใดท่านล้วนไตร่ตรองถี่ถ้วนก่อนเสมอ ที่ท่านหมั้นหมายจะต้องเปรียบเทียบข้อเด่นข้อด้อยของสกุลไช่โดยละเอียด จนแน่ใจแล้วว่าการแต่งงานนี้ดีที่สุดสำหรับท่าน สุดท้ายท่านจึงจะพยักหน้าสินะ!”

หยวนเซิ่นขึงตาใส่นางอยู่เป็นนาน ท้ายที่สุดก็เป็นตัวเขาหัวเราะออกมาก่อน

“อย่าพูดเสียจนข้ากลายเป็นพวกบูชาผลประโยชน์เยี่ยงนี้สิ” เขานั่งลงบนม้านั่งหินฝั่งตรงข้ามกับนาง “การเกี่ยวดองนี้ข้าก็จริงใจนะ เสียดายแต่…เฮ้อ…”

“เสียดายอันใดกัน สกุลไช่เรียกร้องสินสอดทองหมั้นมากไปหรือ ถือว่าเห็นแก่หน้าอดีตคู่หมั้นของอาสะใภ้สาม ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องหยิบยืมเงินมาช่วยท่านแต่งงานให้จงได้!”

“เจ้าไปเลยนะ อ้าปากเป็นไม่มีวาจาดีๆ…ความจริงผู้ที่เดิมข้าคิดจะแต่งด้วยคือบุตรสาวของไช่อวิ่น หรือก็คือญาติผู้พี่ของคู่หมั้นข้าในตอนนี้ นั่นต่างหากสตรีดีที่เป็นศรีภรรยาโดยแท้ รูปโฉมแม้ไม่โดดเด่น ทว่ามีสติปัญญาความสามารถ จรรยาสตรีเพียบพร้อมรู้เหตุรู้ผล น่าเสียดายนัก นางถูกหมั้นหมายกับคนขี้โรคผู้หนึ่งตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง ฮึ ข้าว่าช้าเร็วก็จะต้องเป็นม่าย!”

“เพ้ยๆๆ ท่านยังมีหน้าหาว่าข้าอ้าปากไม่มีวาจาดีๆ ท่านต่างหากแค่ละอองน้ำลายก็ทำให้ช้างถูกพิษตายได้! เพียงแต่…”

“เพียงแต่อะไร” หยวนเซิ่นซักไซ้

เฉิงเซ่าซางพลันเปลี่ยนน้ำเสียง “ไฉนท่านแต่งงานก็ทำราวกับค้าขาย หรือท่านไม่คิดจะหาสตรีที่ชอบพอจริงๆ สักนาง? ไม่แน่นะ ต่อไปท่านอาจได้พบสตรีเช่นนี้ก็ได้”

หยวนเซิ่นทอดมองไปยังทิศทางที่ไกลตา แล้วเอ่ยเบาๆ “อันที่จริงทุ่มเทความรู้สึกลึกซึ้งเกินไปไม่ใช่เรื่องดีเลย…ผู้ที่ท่านแม่แต่งด้วยในทีแรกไม่ใช่ท่านพ่อหรอก ต่อมาสามีเก่าของนางตายจากไป หากมิใช่ท่านตาข้าเพียรวิงวอน ท่านแม่ก็คงจะติดตามคนผู้นั้นไปแต่แรก”

เฉิงเซ่าซางตกใจ ไฉนเขาพูดเรื่องลับส่วนตัวเช่นนี้กับนางเล่า

“ท่านแม่แม้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้ารู้ว่าหัวใจของนางได้ตายไปแล้ว คงเหลืออยู่แต่หนังหุ้มภายนอกเท่านั้น” หยวนเซิ่นพูดต่อราวพึมพำกับตนเอง

เฉิงเซ่าซางนึกถึงคำเล่าลือของคนภายนอก…นายหญิงใหญ่แห่งสกุลหยวนเป็นคนพิลึกผู้หนึ่ง ปกติไม่ออกจากจวน ไม่คบค้าสมาคม หากมิใช่เกรงจะเสียมารยาท แม้แต่งานเลี้ยงพระราชทานก็ไม่คิดที่จะไป สิบกว่าปีมานี้เรื่องในบ้านกับบุตรชายล้วนไม่ถามไถ่ไยดี มุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับการฝึกเต๋า…น่ากลัวว่ามิใช่กำลังฝึกเต๋าอยู่หรอก แต่กำลังไว้อาลัยให้รักแท้ที่ตายจากไปของนางอยู่ต่างหาก

เฉิงเซ่าซางพลันเข้าใจหยวนเซิ่นขึ้นมา ทั้งบังเกิดความรู้สึกแปลกพิเศษเช่นคนหัวอกเดียวกันอยู่บ้าง…มารดาแท้ๆ เก็บตัวอยู่ในโลกของตนเอง บิดาแท้ๆ เป็นผู้ว่าการอยู่ต่างมณฑลมาโดยตลอด เขาจึงเติบโตมาเป็นคนที่แหลมคมตื่นตัว นางถอนใจกล่าว “จะว่าไป…แต่เล็กมาท่านกับข้าล้วนมีบิดามารดา ทว่าเหมือนกับไม่มี”

หยวนเซิ่นยกยิ้มผ่อนคลาย “ข้าเคยบอกนานแล้ว เจ้ากับข้าคล้ายกันยิ่งนัก หากไม่ได้พบเจอหลิงปู้อี๋ เจ้าก็จะตรึกตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนเช่นเดียวกับข้า จากนั้นหาคู่ครองที่มีผลดีต่อเจ้ามากที่สุด”

“ก็จริง” เฉิงเซ่าซางอุทาน “แต่ว่า…ข้ายังคงพบเจอเขาแล้ว”

หยวนเซิ่นเงียบงัน เนิ่นนานให้หลังค่อยเอ่ยอย่างหดหู่ “นั่นสินะ”

 

* รังวัดที่ดิน เป็นคำสั่งที่ถูกประกาศใช้ในช่วงต้นของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก โดยให้ทุกเมืองรังวัดที่ดิน ตรวจสอบการถือครองที่ดินกับจำนวนแรงงาน จุดประสงค์เพื่อจำกัดการควบรวมที่ดินกับแรงงานที่ตระกูลผู้มีอิทธิพลถือครองอยู่ ช่วยให้ราชสำนักสามารถควบคุมการบุกเบิกที่ดินรกร้าง ตลอดจนการเกณฑ์แรงงานและการเก็บอากรทั่วแคว้น

* เว่ยเจียงจวิน เป็นชื่อตำแหน่งแม่ทัพระดับสูงในสมัยฮั่น เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองกำลังป้องกันเมืองหลวงทั้งทัพอุดร (หน่วยทหารเมืองหลวง) และทัพทักษิณ (ทหารรักษาวัง)

* ซูฉินกับจางอี๋ ต่างเป็นนักการทูตและนักกลยุทธ์เลื่องชื่อในยุคจั้นกั๋ว เป็นศิษย์ร่วมสำนักจ้งเหิงของกุ่ยกู๋จื่อ ซูฉินเสนอกลยุทธ์ ‘ประสานแนวดิ่ง’ โน้มน้าวให้หกแคว้นจับมือกันต่อต้านแคว้นฉิน ในขณะที่จางอี๋เสนอกลยุทธ์ ‘เชื่อมแนวขวาง’ โน้มน้าวให้ต่างแคว้นเป็นมิตรกับแคว้นฉิน เพื่อทำลายพันธมิตรแนวดิ่ง

** เจียงชง คือขุนนางในรัชสมัยฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้องค์ที่เจ็ดของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก เขาหลอกฮั่นอู่ตี้ว่าในวังทำคุณไสยเป็นเหตุให้พระองค์ประชวรไม่หาย เมื่อได้กุมอำนาจสืบสาวคดีนี้ เขาก็ป้ายสีรัชทายาทเว่ยที่เคยบาดหมางกัน รัชทายาทเว่ยไม่อาจพิสูจน์ความบริสุทธิ์จึงยกทัพสังหารเจียงชง แต่พรรคพวกของเจียงชงหนีไปฟ้องฮั่นอู่ตี้ว่ารัชทายาทเว่ยก่อกบฏ สุดท้ายรัชทายาทเว่ยพ่ายต่อทัพหลวงจึงฆ่าตัวตาย เว่ยฮองเฮาผู้เป็นมารดาก็ฆ่าตัวตายตาม เหตุการณ์นี้ส่งผลให้คนตายไปหลายหมื่น

*** หานเยวี่ย คือแม่ทัพในรัชสมัยฮั่นอู่ตี้ ร่วมกับเจียงชงขุดพบหลักฐานในตำหนักบูรพาว่ารัชทายาทเว่ยทำคุณไสย สุดท้ายถูกรัชทายาทเว่ยสังหาร

* เจี๋ยอวี๋ คือหนึ่งในสิบสี่ตำแหน่งสนมชายาของฮ่องเต้สมัยฮั่นตะวันตก แรกเริ่มเป็นรองเพียงตำแหน่งมเหสี (หวงโฮ่วหรือฮองเฮา) ต่อมามีตำแหน่งเจาอี๋เพิ่มมา จึงเป็นรองจากตำแหน่งมเหสีและเจาอี๋ ในสมัยฮั่นตะวันออกไม่มีตำแหน่งเจี๋ยอวี๋

* เรื่องรัชทายาทของเซวียนฮ่องเต้ ผู้เขียนอ้างอิงประวัติศาสตร์ช่วงปลายราชวงศ์ฮั่นตะวันตก โดยเซวียนฮ่องเต้ (ฮั่นเซวียนตี้) หยวนฮ่องเต้ (ฮั่นหยวนตี้) เฉิงฮ่องเต้ (ฮั่นเฉิงตี้) คือฮ่องเต้องค์ที่สิบ สิบเอ็ด และสิบสองตามลำดับ หวังเจิ้งจวินพระมารดาของฮั่นเฉิงตี้ก็คืออาหญิงของหวังหมั่ง ซึ่งต่อมาชิงบัลลังก์ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ ทำให้ราชวงศ์ฮั่นตะวันตกสิ้นสุดลง

* ต้าซือคง คือหนึ่งในสามมหาอำมาตย์ (ซานกง) ที่มีอำนาจสูงสุดในราชสำนัก ทำหน้าที่ดูแลงานด้านโยธาธิการ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 .. 66 เวลา 12.00 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: