Chapter 7-5
หลังจากที่ทานอาหารกลางวันกันเสร็จแล้วก็มีเวลาว่างอีกหลายชั่วโมง เนื่องจากว่าการเล่นเกมต่างๆ การเล่นดอกไม้ไฟ รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นั้นเป็นกำหนดการที่จะเริ่มทำกันหลังพระอาทิตย์ตกดิน ดังนั้นทุกคนจึงใช้เวลาในช่วงกลางวันที่แสนสดใสไปอย่างสนุกสนาน บ้างก็นอนกลางวัน บ้างก็ออกไปเดินเล่นที่ทะเลอีกครั้ง
ยูแจตามฮันจุนไปยังชายหาด ฮันจุนบอกว่าเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าไปและยังไม่อยากเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกรอบจึงไม่ได้ลงไปเล่นน้ำ พวกเขาทำเพียงเดินเท้าเปล่าย่ำไปบนชายหาดพลางสูดดมกลิ่นอายของทะเล
เลนจากทรายที่เปียกชุ่มห่อหุ้มรอบเท้าอย่างนุ่มนวล น้ำทะเลอุ่นๆ ซัดขึ้นมาถึงข้อเท้าจนผิวเปียก เขาเดินรับลมเย็นสบายพลางหันไปสบสายตากับซอฮันจุนบ้างเป็นระยะๆ ดูเหมือนฮันจุนมีบางอย่างที่อยากจะพูด แต่ว่าสุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็ไม่ได้พูดมันออกมา ยูแจจึงใช้มือถือเสิร์ชหาร้านคาเฟ่ที่พอจะเดินไปได้แถวๆ นี้
แถวนี้มีเทอร์เรซคาเฟ่* วิวสวยที่พอจะสามารถเดินจากที่พักไปได้อยู่ที่หนึ่ง คงจะดีหากได้สั่งเบียร์เย็นๆ มาคนละแก้วแล้วนั่งใช้เวลาอยู่เงียบๆ ด้วยกันกับฮันจุน
ถ้าได้ลองพูดคุยเรื่องเก่าๆ แล้วหัวเราะไปด้วยกัน ความรู้สึกสับสนนี้มันจะจางหายไปไหมนะ
พอได้มองท้องฟ้าที่แจ่มใสแล้ว ความขุ่นมัวในสมองที่มีซึงมินเป็นต้นเหตุก็พลันหายไป
ยูแจหารีวิวเทอร์เรซคาเฟ่แห่งนั้น ก่อนจะยื่นให้ฮันจุนดู
“นี่ พวกเราไปที่นี่กันไหม”
“มันคืออะไรอะ”
“เทอร์เรซคาเฟ่น่ะ ไหนๆ ก็มาถึงนี่แล้ว ถ้าได้ไปเดินเที่ยวจนทั่วก็คงจะดี”
“เอาสิ”
ฮันจุนเหลือบมองไปบนมือถือที่ยูแจยื่นมา ก่อนจะพึมพำออกมาหลังจากได้เห็นรูปภาพไปเพียงไม่กี่รูป
“สวยจัง”
“สวยใช่ไหมล่ะ เห็นวิวทะเลทั้งหมดเลยด้วย”
ในขณะที่กำลังเลื่อนหารูปถ่ายสวยๆ อยู่นั้น ยูแจก็ชะงักไปเล็กน้อย เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไรที่จะชวนคนที่แม้แต่ค่าธรรมเนียมสมาชิกชมรมก็ยังต้องเจียดเงินมาจ่ายให้เอาเงินไปใช้จ่ายกับเรื่องกินเที่ยวแบบนี้ หากจะให้พูดชวนออกไปตรงๆ มันก็กระไรอยู่
ถ้าหากว่าเราเลี้ยงหมอนี่ไปได้ตลอดเลย มันจะดีขนาดไหนกันนะ
ต่อให้จะต้องใช้เงินค่าขนมที่พ่อให้มาจนหมดโดยไม่เหลือแม้แต่พุน** เดียวเขาก็ไม่สนใจ เขาไม่เคยนึกเสียดายเงินที่ใช้ไปกับซอฮันจุนเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ฮันจุนกลับไม่ชอบกินอาหารที่คนอื่นเลี้ยงทั้งที่ตัวเองยังแบ่งของกินให้คนอื่นทุกครั้ง
หมอนี่ใช้ชีวิตยากชะมัด
ในขณะที่เขากำลังกัดริมฝีปากพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นั้น ฮันจุนก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ทำไม อยากไปหรือไง”
“ถ้าแค่ไปดื่มเบียร์กันคนละแก้วแล้วกลับมา มันก็น่าจะทันเวลาพอดีไม่ใช่หรือไง”
“แต่ว่าถ้าพวกเราหายกันไปสองคนแบบนี้มันจะดีเหรอ มาสนุกด้วยกันแท้ๆ”
“ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย นี่มันช่วงฟรีไทม์นะ”
“อยากอยู่กับฉันสองคนหรือไง”
ทันทีที่เงยหน้าขึ้นมา ยูแจก็เห็นฮันจุนกำลังยืนรอเขาอยู่ข้างหน้าโดยอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว ฮันจุนยังคงส่งยิ้มมาให้เขาเหมือนอย่างเคย แต่คำถามที่เจ้าตัวถามออกมานั้น เขาสัมผัสได้ว่ามันมีนัยอะไรบางอย่างแฝงเร้นเอาไว้อยู่
แน่นอนอยู่แล้วสิ
ไม่ว่าจะถามที่ไหนหรือเมื่อไหร่ก็ตาม คำตอบนั้นก็ยังคงเป็นเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง คำตอบนั้นมันดันขึ้นมาจนถึงลำคอแล้ว ทว่ายูแจกลับไม่สามารถเอื้อนเอ่ยมันออกมาได้ในทันที เพราะเขานึกสงสัยในความเคลือบแคลงใจของฮันจุนขึ้นมา ทั้งๆ ที่คำตอบของเขามันแน่นอนและชัดเจนแบบนี้มาตลอดแล้วทำไมวันนี้จู่ๆ ฮันจุนถึงได้นึกสงสัยมันขึ้นมา
ทำไมจู่ๆ หมอนี่ถึงได้ถามคำถามนี้ออกมานะ เพราะคำพูดที่มินฮีพูดตอนกินข้าวเมื่อกี้นี้งั้นเหรอ หรือว่าหมอนี่คิดแบบนี้กับฉันมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว? แล้วเวลาที่อยู่ด้วยกันแบบนี้หมอนี่จะรู้สึกสนุกไหม จะรู้สึกอึดอัดทรมานใจอยู่หรือเปล่า
ยูแจจ้องมองฮันจุนจนแทบจะทะลุ ดวงตาที่คุ้นเคยและแววตาอันแสนอ่อนโยนที่พาให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นดั่งน้ำทะเลในเวลานี้ที่เปียกชุ่มไปทั่วปลายเท้า แววตานั้นของฮันจุนกำลังจ้องมองมาที่ตัวเขา
“แล้วนายไม่ชอบเหรอ”
ยูแจถามกลับไป ในความเป็นจริงนั้นมันเป็นคำถามที่มีคำตอบกำหนดเอาไว้แล้ว เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปยืนใกล้ๆ ด้วยสีหน้าราบเรียบแล้วเอาไหล่ของตัวเองกระแซะเข้ากับไหล่ของฮันจุนเบาๆ ฮันจุนเลื่อนสายตาจากไหล่ที่สัมผัสกันขึ้นมาอย่างเชื่องช้าโดยที่ยังคงปิดปากเงียบสนิท ยูแจรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่เหมือนกันจากดวงตาที่วูบไหวด้วยความสับสน เขาจับสายตาของฮันจุนไว้มั่นด้วยแววตาของเขาและ…
ท่อนแขนที่ยื่นออกไปโดยไม่รู้ตัวสัมผัสลงบนแขนของฮันจุนก่อนจะไล้ลงมาหยุดอยู่ที่ฝ่ามือ ชั่ววินาทีที่มือสัมผัสกันนั้น แทนที่จะรู้สึกประหม่าอย่างทุกครั้ง ฮันจุนกลับเงยหน้าขึ้นสบตากับยูแจที่มองมาอยู่ก่อนแล้วอย่างรอคอยคำตอบ
ขอบตาของฮันจุนค่อยๆ ขยับไหว ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มศีรษะลงเงียบๆ พลางกำหมัดแน่น ในขณะที่ยูแจนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายกำลังขบกรามแน่นอยู่หรือเปล่านั้น ฮันจุนก็เปิดปากพูดขึ้นมา
“พวกเราไม่ได้มากันแค่สองคนสักหน่อย”
มันเป็นคำตอบที่พอจะเข้าใจได้ ทว่าเขานั้นรู้จักซอฮันจุนดีกว่าใคร คำตอบที่ฮันจุนพูดออกมาทั้งที่ทำหน้าเคร่งเครียดนั้น มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าตัวไม่ชอบที่จะแยกออกไปทำอะไรทั้งที่มาเอ็มทีกันเป็นกลุ่ม
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็ควรจะพยักหน้าแล้วปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป แต่เขากลับทำแบบนั้นไม่ได้ แม้จะใช้ชีวิตไปโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่อาจยอมรับการกระทำที่พยายามจะเว้นระยะห่างด้วยวิธีแบบนี้ของฮันจุนได้ ยูแจจึงเลือกที่จะให้สัญญาไว้ในอนาคต แทนที่จะให้ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปเฉยๆ
“โอเค งั้นคราวหน้าไว้มากันสองคนนะ”
ฮันจุนไม่ตอบ ไม่พยักหน้า ไม่สบตา…และไม่แม้แต่จะยิ้มให้ เขาทำแค่เพียงจ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างไร้จุดโฟกัส
จู่ๆ ภาพของฮันจุนในยามที่ถามย้อนเขาว่า ‘นายเป็นคนในครอบครัวของฉันหรือไง’ ก็ผุดขึ้นมาในหัว
ยูแจโอบกอดไหล่ของฮันจุนเอาไว้ทั้งที่ยกยิ้มบางด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า เขาลูบหัวไหล่นั้นด้วยปลายนิ้วเบาๆ พลางพูดต่อ
“นายว่าหอยอร่อยไหม สำหรับฉันมันก็ไม่แย่นะ เพียงแค่หอยนั้นมัน…ฉันว่ายังไงเนื้อก็ดีกว่าเยอะ”
ยูแจเลื่อนมือจากไหล่ลงมายังกลางหลังแล้วหยุดมือตรงส่วนที่เว้าลึกลงไปโดยหวังให้กล้ามเนื้อที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือนั้นเกร็งขึ้นมา ฮันจุนสูดลมหายใจสั่นๆ เข้าลึกจนแผ่นหลังขยายขึ้น ทันทีที่ยูแจเริ่มลูบไล้บริเวณหลังต้นคออย่างนุ่มนวล ความวาบหวามก็พลันทำให้คางของฮันจุนเชิดขึ้นมา ลำคอเองก็ตั้งตรง ซึ่งปฏิกิริยาทั้งหมดทั้งมวลเหล่านั้นเป็นไปอย่างที่ยูแจคิดเอาไว้
ฮันจุนสัมผัสถึงตัวตนของยูแจได้อีกครั้งยามที่ยูแจกดนิ้วโป้งลงนวดคลึงหยอกล้อตั้งแต่บริเวณท้ายทอยไปจนถึงตีนผม ฮันจุนถอนหายใจออกมาพลางยู่จมูก ลมหายใจที่พรั่งพรูออกมานั้นสั่นเล็กน้อย จู่ๆ ยูแจก็นึกอยากคว้าจับต้นคอนั้นให้หันมาทางตน
และในตอนนั้นเอง หลังจากที่ฮันจุนถอนหายใจออกมาแล้วลมหายใจที่สั่นสะท้านค่อยๆ จางหายไป ในขณะที่แผ่นหลังเกร็งแข็งนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลงไปด้วย ฮันจุนผ่อนลมหายใจออกมาจนหมด ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“นายกำลังลองใจฉันอยู่งั้นสินะ?”
“…อะไรนะ”
“ฉันถามว่านายกำลังลองใจฉันใช่ไหม”
ฮันจุนเค้นเสียงถามย้ำออกมาอีกครั้ง เพียงเสี้ยววินาทีที่สบกับสายตาอันเด็ดเดี่ยวนั้นที่มองมา หัวใจของยูแจก็พลันรู้สึกราวกับว่ากำลังพังทลาย แม้ในใจจะรู้สึกผิดต่อยูแจ แต่ฮันจุนก็พูดต่อโดยไม่รีรอให้ยูแจได้ตอบอะไรกลับไป
“ฉันยังชอบนายอยู่นะ”
ยูแจที่กำลังจะขยับริมฝีปากพูดพลันอ้าปากค้างก่อนจะปิดสนิทลง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่รู้ดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกตกใจ มันเป็นคำสารภาพที่แตกต่างไปจากการตะคอกใส่ด้วยแรงอารมณ์ราวกับไม่นึกใส่ใจทุกความทรงจำที่เคยมีร่วมกันมา
“เพราะงั้น…แม่งเอ๊ย เอาเป็นว่านายหยุดทำแบบนี้สักทีเหอะ”
ฮันจุนสบถออกมาก่อนจะพูดต่อจนจบโดยที่สีหน้ายังคงเหมือนกับเมื่อตอนก่อนหน้านี้ แต่น้ำเสียงกลับสั่นเครือไปหมด ฮันจุนกระแอมกระไอแล้วหันหน้าหนี ก่อนที่ระหว่างคิ้วจะกระตุกน้อยๆ ราวกับว่าเพิ่งมารู้สึกตกใจกับสิ่งที่พูดออกไป จากนั้นจึงหันกลับมา
“ฉันว่าจะเข้าไปพักสักหน่อย แล้วนายล่ะ”
“…”
“นายไปเดินเล่นดูนู่นดูนี่ก่อนแล้วค่อยกลับมาก็ได้ ฉันขอตัวก่อน”
ฮันจุนฝืนยิ้มให้อย่างไปต่อไม่ถูกแล้วหมุนตัวหันหลังกลับไป ในขณะที่ยูแจทำได้เพียงแค่เหม่อมองดูภาพด้านหลังของฮันจุนที่ค่อยๆ ไกลห่างออกไปเรื่อยๆ
“ถ้ากิจกรรมในมหา’ลัยจบแล้ว ผมตั้งใจว่าจะออกจากสโมฯ ครับ”
ฮันจุนนวดหว่างคิ้วลงพลางพูดเสียงงึมงำ เขาไม่อยากจะพูดเรื่องไม่ดีต่อหน้าจองยุนจึงพยายามหาเรื่องสนุกๆ มาพูดคุย ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ดันเผลอพูดความรู้สึกในใจออกมาเสียก่อน แม้ว่าจะหัวเราะไปด้วยพูดคุยไปด้วย แต่ภาพของโชยูแจก็มักจะวกกลับเข้ามาในอยู่หัวเต็มไปหมด
จองยุนเบิกตากว้างแล้วถามกลับไป
“ทำไมล่ะ”
“แค่เทอมเดียวก็พอแล้วครับ มันไม่ค่อยเหมาะกับผมสักเท่าไหร่หรอก”
“ไอ้ที่บอกว่าจะทำถึงแค่เทอมนี้แล้วก็ออกเนี่ย มาออกช่วงที่คนอื่นเขากำลังยุ่งกันแบบนี้มันก็ยังไงๆ อยู่นะ”
เขาพูดไปพลางถอนหายใจไปพลาง ในเทศกาลวันครบรอบของมหาวิทยาลัย ทางสโมสรนักศึกษากำลังเตรียมบูธของคณะบริหารธุรกิจที่สามารถร่วมสนุกไปกับเกมอันหลากหลายรวมถึงบูธขายของกิน เขาไม่ได้ติดใจว่าจะต้องทำงานหนักเหมือนงานพาร์ตไทม์หรือไม่ เพราะปัญหาของเขาก็คือโชยูแจ ยูแจมักจะจ้องมองเขาเขม็งจนหลังศีรษะเขาแทบจะพรุน ฮันจุนรู้สึกลำบากใจมากขึ้นเรื่อยๆ ลำบากใจแม้กระทั่งการที่จะต้องอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับอีกฝ่าย
หลังจากที่ไปเอ็มทีกลับมา พวกเขาก็ไม่ได้คุยกันอย่างจริงจังอีกเลย ฮันจุนยังคงโกรธอยู่ หากเป็นเมื่อก่อนโชยูแจก็มักจะเป็นฝ่ายเข้ามาหาและเอ่ยปากขอโทษก่อน แต่นี่โชยูแจกลับไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาง้อเขาเลย ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้น อีกทั้งไม่ได้ต่างคนต่างโมโหแล้วทะเลาะกันใหญ่โต เพียงแต่ว่าบาดแผลในใจนั้นกลับรักษาตัวเองได้ช้าลง
เมื่อนึกถึงโชยูแจที่คอยลูบหลังพลางพินิจมองใบหน้าของตัวเองแล้ว เขาก็รู้สึกราวกับว่าความรู้สึกที่พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ในใจกำลังถูกเหยียบย่ำอย่างไร้ความปรานี
นั่นเป็นเพราะเขารู้จักสีหน้านั้นของโชยูแจเป็นอย่างดี
จนถึงทุกวันนี้ฮันจุนได้รู้จักคนหลายคนที่ชอบโชยูแจ ถึงโชยูแจจะไม่ได้สนใจใครในบรรดาคนเหล่านั้น แต่เขาก็ยินดีรับความรู้สึกดีๆ ที่คนเหล่านั้นมอบให้ ทั้งที่ไม่ได้มีใจอยากจะคบด้วยเลยแม้แต่น้อย เขาก็ยังโปรยยิ้มให้ ยอมเปลี่ยนรูปโปรไฟล์ให้ตามที่อีกฝ่ายต้องการ ยอมให้ขี่หลังเหมือนหยอกล้อ และมักจะเฝ้ามองท่าทางทั้งทุกข์และสุขของคนเหล่านั้น
ไอ้คนสารเลวแบบนั้นน่ะ…ไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของใครหรอก
เขาทำเพียงแค่จ้องมองภาพผู้คนเหล่านั้นที่สัญจรผ่านไปมาโดยไม่ได้นึกใส่ใจเลยสักนิด ทำราวกับนั่งจ้องมองแม่น้ำที่ไหลผ่านไปอย่างนิ่งเฉย หมอนั่นไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าความทุกข์สุขของคนเหล่านั้นมันเป็นเรื่องของตัวเอง
ชั่ววินาทีที่สบตากับยูแจที่เดินเข้ามาโอบไหล่พลางจ้องมองมาที่เขาและใช้มือนั้นลูบหยอกเย้าไปตามต้นคอและแผ่นหลัง ความรู้สึกที่เขาพยายามสะกดกลั้นแล้วโอบกอดมันเอาไว้อย่างเงียบเชียบภายในใจพลันแตกสลายไม่เหลือชิ้นดี คนที่เคยโกรธจนน่ากลัวตอนที่เขาสารภาพรักไปในครั้งแรกนั้นได้หายสาบสูญไปแล้ว เหลือเพียงคนที่เอาแต่จ้องมองใบหน้าของเขาเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างไม่วางตาราวกับกำลังสังเกตการณ์กัน
ปล่อยวางความรู้สึกนั้นแล้วเมินเฉยคำพูดไร้สาระของหมอนั่นไปซะยังจะดีกว่า…ดีกว่าปล่อยให้ตัวเองรักหมอนั่นต่อไป และในท้ายที่สุดแล้วก็คงกลายเป็นหนึ่งในผู้คนมากมายที่ไม่ได้เป็นอะไรสำหรับอีกฝ่ายเลยในสักวัน
ฮันจุนพยายามควบคุมสีหน้าที่เหมือนจะบิดเบี้ยวคล้ายจะร้องไห้อยู่หลายครั้ง แม้คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าตัวเองคงถูกปฏิเสธอย่างเย็นชา แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วมันจะกลายเป็นแบบนี้
“ฮันจุนอา นายโอเคนะ”
จองยุนถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง ตอนนั้นเองฮันจุนถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองนั่งเงียบมาพักใหญ่แล้ว เขาจึงกระแอมกระไอออกมาเบาๆ
“ผมโอเคครับ แค่เหนื่อยนิดหน่อยน่ะ…ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ”
“เพราะสโมฯ สินะ? แต่จะว่าไปจริงๆ แล้วมันก็ไม่ง่ายนักหรอกนะที่เข้าชมรมสองชมรมพร้อมกัน แถมยังต้องเรียนและทำงานพิเศษอีก ที่ยังพอไหวเพราะนายเพิ่งอยู่ปีหนึ่งหรอกนะ”
“ก็คงงั้นแหละครับ ยังไงซะเดี๋ยวปิดเทอมแล้วก็คงจะดีขึ้นแหละมั้ง”
ฮันจุนพูดพึมพำราวกับกำลังปลอบใจตัวเอง เขาต้องมีสติเข้าไว้ เดี๋ยวก็จะมีพรีเซนต์งาน ไหนจะยังมีสอบปลายภาคอีก หากเรียนไม่ผ่านเทอมนี้ ในวันข้างหน้าก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน โดยอาจจะต้องเสียค่าเรียนเพิ่มแล้วลงเรียนซ้ำใหม่อีกครั้งก็เป็นได้ ถ้ากัดฟันทนไปจนถึงวันสุดท้ายของเทอมนี้ได้ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็คงจะดีขึ้นเอง
ต้องขยันทำงานพาร์ตไทม์ ออกไปเที่ยวคนเดียวสักหนึ่งวัน ไปทะเล หรือไม่ก็ไปต่างจังหวัด หาอะไรอร่อยๆ กินแล้วค่อยกลับมา มันก็น่าจะดีเหมือนกัน ไปเที่ยวโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรสักช่วงเวลาหนึ่งแล้วค่อย…
“เรื่องคนที่นายบอกตอนนั้นน่ะ…ระหว่างนายกับเพื่อนที่นายชอบคนนั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
มันเป็นคำถามที่ฮันจุนคาดไม่ถึงซึ่งจองยุนถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน ฮันจุนที่กำลังจินตนาการวาดภาพช่วงเวลาปิดเทอมฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงพลันชะงัก เขาสะดุ้งด้วยความประหลาดใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา
ใช่หรือไม่ใช่ เขาต้องเลือกตอบกลับไปสักอย่าง แต่การที่จะพูดออกมานั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เรื่องราวภายในใจที่ไม่อาจเล่าให้ใครฟังได้แม้กระทั่งโชยูแจมันกำลังสึกกร่อนและหลุดล่อนออกมา
ในระหว่างที่กำลังลังเลว่าจะพูดอะไรออกไปดี จองยุนก็พูดขึ้นมาอย่างระมัดระวัง
“ฉันก็แค่ถามเฉยๆ จะว่าเป็นความสอดรู้สอดเห็นของฉันเองก็ได้แหละ พอดีฉันไม่ค่อยมีความอดทนน่ะก็เลยลองหว่านถามออกไปดู”
“ครับ?”
“ฉันเจอเด็กที่นายเคยบอกว่าเป็นเพื่อนแถวบ้านของนายที่ร้านเบียร์ของคณะบริหารฯ น่ะ”
ร้านเบียร์ของคณะบริหารฯ?
ดูเหมือนว่าเธอจะหมายถึงงานเทศกาลเบียร์ ฮันจุนย้อนนึกถึงภาพความทรงจำในวันนั้น
เพื่อนแถวบ้าน…โชยูแจ…
ฮันจุนนึกออกแล้วว่าวันนั้นยูแจไปรับออเดอร์ที่โต๊ะของจองยุน
แล้วทำไมพี่จองยุนถึง…
ท่าทางของจองยุนนั้นแลดูระแวงและรอบคอบมากจนเกินไป หลังจากที่มองเธอคิดคำพูดอย่างระมัดระวังอยู่สักพัก เขาก็เพิ่งนึกออกว่าเขาเคยเล่าเรื่องเกี่ยวกับโชยูแจให้เธอฟังไปบ้างอยู่เหมือนกัน
เขาเคยบอกเธอไปว่าคนที่ชอบเป็นเพื่อนแถวบ้าน
ทันทีที่รู้สึกตัว หัวใจก็พลันร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม แม้ว่าตัวเขาจะรู้สึกโอเค ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกกังวลกลัวว่าเรื่องนี้มันจะทำให้ยูแจเสียหาย ในขณะที่กำลังคิดหนักว่าจะต้องตอบออกไปอย่างไรดี จองยุนก็ชิงตัดหน้าพูดขึ้นมาเสียก่อน
“ไม่บ่อยนักหรอกนะที่จะได้เห็นใครสักคนมาเรียนมหา’ลัยที่เดียวกันกับเพื่อนแถวบ้าน ต่อให้จะบอกว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็คงเป็นเรื่องบังเอิญที่วิเศษสุดๆ ไปเลยล่ะ”
“…”
“ถ้านายกำลังรู้สึกหนักใจเพราะเรื่องนั้นแล้วนายอยากได้คนช่วยรับฟัง นายพูดกับฉันได้นะ ฉันไม่ได้มีทัศนคติแย่ๆ อะไรแบบนั้นหรอก แต่ถ้าหากฉันเข้าใจอะไรผิดไป ก็ช่วยถือซะว่าฉันไม่ได้พูดอะไรออกไปก็แล้วกันนะ ไม่งั้นฉันคงรู้สึกขายหน้าแย่เลย”
จองยุนพยายามพูดอ้อมแอ้มพลางส่งยิ้มให้ การหยอกล้อที่แสนอ่อนโยนของเธอทำให้ความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายของเขาค่อยๆ สงบลง
ฮันจุนจ้องมองอเมริกาโน่ที่น้ำแข็งละลายไปหมดแล้วอยู่พักหนึ่ง ในขณะที่จ้องมองแก้วที่มีหยดน้ำเกาะอยู่โดยรอบ หัวใจของเขาก็ค่อยๆ เย็นเยียบลงไปเรื่อยๆ สายตาของโชยูแจยังคงวนเวียนติดอยู่ภายในหัว ภาพที่บาดใจยิ่งกว่าภาพช็อกโกแลตร่วงลงสู่พื้นแล้วแตกกระจายนั้นฉายขึ้นมาตรงหน้าซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้จบ
ชั่วขณะที่หัวใจของเขาแหลกสลายไปอีกครั้ง ฮันจุนก็หรี่ตาลงอย่างขี้เล่น
“นี่พี่หมายถึงโชยูแจ? พูดมางี้ขอผมด่าสักทีจะได้ไหมครับ”
“กรี๊ด!”
จองยุนยกสองมือขึ้นกุมใบหน้าพร้อมกับกรีดร้องดังลั่น ถึงจะได้ยินไม่ค่อยชัดเพราะมือที่บดบังอยู่ แต่เขาก็มั่นใจว่าเสียงลมที่เล็ดลอดออกมานั้นเป็นเสียงสบถที่มีพยัญชนะต้นเป็นอักษร ‘ห’ เป็นแน่ เธอรีบสะบัดศีรษะแล้วส่ายหน้าอย่างเร็วรัว ก่อนจะเท้าคางทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หืม? พูดอะไรของนาย ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ เมื่อกี้เรากำลังคุยเรื่องกาแฟกันอยู่นี่”
“นั่นสินะครับ กาแฟอร่อยมากเลย”
ฮันจุนยกมุมปากขึ้นพลางตอบกลับไปพร้อมกับความรู้สึกแสบร้อนบริเวณริมฝีปากที่เป็นแผลเพราะเผลอขบกัดไปเมื่อครู่
ลองใจอะไรกัน เหลวไหลชะมัด
ยูแจระเบิดหัวเราะออกมาขณะที่กำลังจ้องมองซอฮันจุนผ่านหัวมาสคอต ดูเหมือนว่าซอฮันจุนจะกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดอยู่
“เฮ้ โชยูแจ! มัวทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบทำงานอีก”
ยูบินตะโกนมาจากทางด้านหลัง เธอกำลังพูดคุยหยอกล้อกับจีฮุนที่กำลังตั้งใจทำฮอตดอกอยู่ ยูแจโบกแขนหมีไปมาเพื่อเรียกลูกค้า แค่เพราะเหตุผลที่ว่าเขาตัวสูงที่สุด เขาจึงต้องสวมหัวมาสคอตแล้วมายืนทำท่าทางดุ๊กดิ๊กน่ารักเพียงเพื่อที่จะขายฮอตดอก
นี่มันแกล้งกันชัดๆ
ภาพภายนอกที่เห็นจากหัวมาสคอตนั้นดูร่าเริงสดใส ในวันที่อากาศแสนจะอบอุ่นแบบนี้ เขากลับต้องมาสวมชุดมาสคอตที่หนาจนแทบจะหายใจไม่ออก เหงื่อไหลอาบย้อยหยดลงมาใต้คางจนตัวเปียกชุ่ม
ถ้ามาอ้อนวอนขอร้องเขาสักร้อยรอบ และเขาสามารถสนุกไปกับบรรยากาศแบบนี้ได้ เขาก็คงจะไม่หงุดหงิดมากขนาดนี้ ยูแจกวัดแกว่งร่างกายที่หนักอึ้ง ขยับตรงโน้นทีตรงนี้ทีไปมา ก่อนจะหันกลับไปมองยังจุดที่จัดให้เล่นเกมลูกโป่งน้ำที่กำลังมีผู้คนรุมล้อมอยู่ตอนนี้ ซอฮันจุนเองก็อยู่ตรงนั้น เจ้าตัวกำลังยื่นหน้าออกไปนอกรูฉากกั้นที่มีขนาดพอดีให้คนสอดศีรษะเข้าไปได้เพื่อให้คนอื่นปาลูกโป่งใส่
หลังจากที่ไปเอ็มทีของเซกกลับมา ซอฮันจุนก็ทำตัวเมินเขาอย่างโจ่งแจ้ง แถมช่วงเที่ยงก็มีนัดล่วงหน้าก่อนตลอด และพอถึงเวลาเรียนก็จะเอาแต่โฟกัสกับการเรียน แทบไม่คุยเล่นกับเขาเลย เวลาเขาเล่นมุกอะไร อีกฝ่ายก็ไม่ค่อยขำด้วยทั้งที่ฮันจุนเป็นคนที่เส้นตื้นมากๆ ถึงขั้นที่ว่าแค่สบตากันก็หลุดขำคิกคักออกมาได้แล้ว ทำให้ตอนนี้ใครๆ ต่างก็รู้กันว่าเจ้าตัวกำลังโกรธเขาอยู่
นี่ฉันกำลังลองใจนายอยู่งั้นเหรอ
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงที่เขาเข้าไปกอดคอและลูบหลังเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่นั่นมันก็เป็นการกระทำปกติที่เขาเคยทำมาโดยตลอด ไม่เห็นจะต้องเอามันมาเป็นเหตุผลในการโกรธกันราวกับว่าเขากำลังล้ำเส้นของอีกฝ่ายอยู่เลย มันไม่ใช่การกระทำที่ดูเข้าข่ายคำว่า ‘ลองใจ’ เสียด้วยซ้ำ เขาไม่ได้ทำแบบนั้นไปเพื่อพิสูจน์ความคิดภายในใจของซอฮันจุนสักหน่อย
เรื่องที่ซอฮันจุนชอบเขา…เขารู้ดีอยู่แล้ว
ยูแจหน้าบึ้งขึ้นมาทันทีที่คิดถึงเรื่องนี้
ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินเสียงลูกโป่งน้ำแตกดังขึ้น ยูแจหันไปมองทางต้นเสียง ซอฮันจุนที่โดนลูกโป่งน้ำแตกใส่หน้ากำลังสะบัดผมที่เปียกชุ่มอยู่กลางอากาศ
เกมลูกโป่งน้ำเป็นเกมที่ให้ผู้คนจ่ายเงินซื้อลูกโป่งน้ำแล้วเอามาปาใส่หน้าของคนที่ยืนอยู่หลังฉากกั้น มันเป็นเกมไร้สาระที่แม้แต่ตอนอยู่มัธยมปลายก็ไม่มีใครอยากเล่นกัน ไม่นึกเลยว่าจะได้มาเล่นเกมแบบนี้ที่มหาวิทยาลัยชื่อดัง ถ้าโดนปาใส่ตรงบริเวณอื่นแล้วลูกโป่งแตกออกก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าหากโดนเข้าที่หน้าเต็มๆ มันก็อาจจะทำให้ได้รับบาดเจ็บได้ เดิมทีพวกคนที่จ่ายเงินเพื่อซื้อลูกโป่งน้ำมาปาใส่หน้าคนอื่นนี่มันก็ไม่น่าจะใช่คนสติดีมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ขนาดพวกชมรมไฟต์คลับยังไม่ปัญญาอ่อนมาซื้ออะไรแบบนี้เลย แต่ไอ้พวกสโมฯ เฮงซวยนี่กลับ…
“ลูกเตะพิฆาตหมี!”
ตอนที่ยูแจกำลังโบกมือเรียกลูกค้าอย่างอ่อนระโหยโรยแรงอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีคนสติไม่ดีที่ไหนก็ไม่รู้โผล่มาเตะเขาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง พอเขาหันหลังกลับไปมองถึงได้เห็นว่าคนสติไม่ดีที่ว่านั้นเป็นกลุ่มเด็กประถมตัวเล็กๆ ดูท่าว่าผู้คนที่อาศัยอยู่แถวๆ นี้ต่างก็มาเดินดูเทศกาลของมหาวิทยาลัยกันหมด
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เจ็บ เพราะมันก็เป็นแค่การหยอกเล่นของเด็กๆ เพียงเท่านั้น ทว่าเขาก็อดรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี ยูแจถอดหัวมาสคอตทันทีแล้วปรายตามองไปยังเด็กประถมพวกนั้น พวกเด็กจึงพากันตื่นตกใจจนร้องอ๊ากแล้ววิ่งหนีไปในทันที
“เด็กมันก็งี้แหละน่า ไม่เห็นจะต้องไปทำให้เด็กพวกนั้นกลัวเลย”
จีฮุนแสดงท่าทีไม่พอใจออกมา ยูแจจึงโยนหัวมาสคอตทิ้งแล้วตอบโต้กลับไปอย่างไม่สนใจ
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่ถ้ารู้ว่ามีคนอยู่ข้างใน มันก็ต้องเห็นอกเห็นใจกันบ้างสิ”
“นายพักสักหน่อยเถอะ มานี่มา เอาฮอตดอกไปกินสักชิ้นไป”
ยูบินคงจะสังเกตเห็นว่ายูแจกำลังเดือดจนถึงขีดจำกัดแล้ว เธอจึงโบกมือเรียกยูแจ เธอวางไซเดอร์หนึ่งกระป๋องกับฮอตดอกที่หั่นพอดีคำลงตรงหน้ายูแจ
ร้อนจังวะ
ยูแจเคี้ยวฮอตดอกพลางเงยหน้ามองดูท้องฟ้า
ใส่ซอสมัสตาร์ดเยอะเกินไป ไส้กรอกนี่ก็เค็มแสนเค็ม แถมท้องฟ้าก็ยังแดดจ้าจนแสบตาอีก
เสียงกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นของคนที่เล่นสไลด์เดอร์ขนาดใหญ่ดังลั่น ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็กำลังหัวเราะให้กันราวกับว่าทุกคนกำลังเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขและความสนุกสนานนั้น
ตอนสมัยที่มีงานเทศกาลในโรงเรียนมัธยม เขามักจะเที่ยวเล่นกับซอฮันจุนไปทั่วโรงเรียน พวกเขาทั้งคู่สามารถเข้ากันได้ดีกับเพื่อนทุกคน ไม่ว่าเพื่อนที่ปกติก็สนิทกันอยู่แล้ว หรือเพื่อนที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักกัน ถึงตอนนั้นพวกเขาจะไม่มีเงิน และเทศกาลตอนนั้นมันจะเล็ก แต่เขาก็รู้สึกมีความสุขมากกว่าตอนนี้เป็นไหนๆ
หลังจากที่ยูแจถอดชุดมาสคอตร้อนๆ ออกแล้วเขาก็ใช้หลังมือเช็ดหน้าผาก แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาทักทายแผ่นหลังที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อของเขาทันที เขาดื่มน้ำเพิ่มของเหลวในร่างกายที่สลายหายไปพร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาพลางสอดส่ายสายตามองหาซอฮันจุน
ฮันจุนไม่หันมองมาทางนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียวทั้งๆ ที่ตอนนี้ก็ไม่ได้มีลูกค้า
หลังจากที่ดื่มน้ำจนหมดขวดแล้ว ยูแจก็เดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ ฮันจุนที่กำลังจัดแจงเตรียมลูกโป่งน้ำอยู่
“นี่ เรามาเล่นกันหน่อยไหม”
“เล่นอะไร”
ฮันจุนเหลือบตามองแล้วถามกลับมาอย่างไม่สนใจด้วยสีหน้าที่ดูไม่เต็มใจเลยแม้แต่น้อย ยูแจจึงหัวเราะแห้งๆ ออกมาพลางถามกลับไป
“ก็ฉันร้อนนี่ นายไม่เห็นหรือไง”
“งั้นนายเล่นคนเดียวรอไปก่อนได้ไหมล่ะ ฉันจะไปกินฮอตดอก”
“ว่าไงนะ ไม่เอาอะ รอเดี๋ยวสิ”
พอฮันจุนตอบเสร็จก็เดินตรงไปยังบูธของสโมสรนักศึกษาทันทีโดยไม่คิดจะรอคำตอบใดๆ จากยูแจ ยูแจเอื้อมออกไปหมายจะคว้าจับไหล่ของฮันจุนเอาไว้ ทว่ามือของเขากลับคว้าได้เพียงแค่อากาศที่ว่างเปล่า
ยูแจเหม่อมองดูมือของตัวเองนิ่ง ทันทีที่มือสัมผัสโดนไหล่ของซอฮันจุน ฮันจุนก็สะบัดมือของเขาออกทันใดด้วยท่าทีราวกับปัดฝุ่น ปล่อยให้มือของเขาลอยคว้างอยู่กลางอากาศอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย
เสี้ยววินาทีนั้นความขุ่นเคืองพลันเดือดพล่านขึ้นมาทันที
“นายจะเป็นแบบนี้จริงดิ?”
ยูแจแตะมือลงบนบ่าที่กำลังห่างไกลออกไปแล้วเอ่ยปากถามขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะอยากข่มความโกรธเคืองนั้นเอาไว้ และวางใจให้สุขุมที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เขาก็ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เขาเดินเข้าไปใกล้ฮันจุนที่หันกลับมามอง ก่อนจะลดเสียงให้เบาลงเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยินเพียงแค่คนเดียว
“ตอนนี้แค่แตะก็แตะไม่ได้แล้วสินะ?”
“…”
“ฉันทำอะไรผิดไปขนาดนั้นเลยเหรอ”
“เมื่อกี้นายบอกว่าอยากเล่นใช่ไหม”
“อะไร”
ซอฮันจุนพยักพเยิดคางไปทางลูกโป่งน้ำแทนคำตอบ ยูแจพูดไม่ออกเพราะไม่คิดว่าฮันจุนจะพูดประโยคนั้นออกมา
จู่ๆ เรื่องนั้นมันมาสำคัญอะไรเอาตอนนี้
ถึงอย่างนั้นซอฮันจุนกลับไม่ยอมถอยให้ เขาถามกลับมาด้วยสีหน้าเฉยเมย
“ไหนนายบอกว่าร้อนไง”
ยูแจขบฟันแน่น แน่นอนว่าเขาไม่สามารถพลิกลิ้นกลับคำพูดที่เคยพูดออกไปได้
อย่างไรก็ตามในตอนนี้พวกเขาต่างก็มีเรื่องมากมายที่จะต้องทำ จึงไม่อาจพูดคุยกันดีๆ ให้เป็นกิจจะลักษณะได้
เดี๋ยวพอเหงื่อแห้ง เราก็คงจะพูดคุยกันอย่างใจเย็นได้เองล่ะมั้ง
ยูแจบอกตัวเองซ้ำๆ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังด้านหลังฉากกั้นที่ตั้งเอาไว้เพื่อเกมปาลูกโป่งน้ำ
ทันทียูแจที่ยื่นหน้าออกไปนอกช่องนั้น เขาก็เห็นซอฮันจุนถือลูกโป่งน้ำยืนรออยู่ที่ฝั่งตรงข้าม ฮันจุนกำลังยืดสายคลายเส้นพลางเอี้ยวไหล่ข้างหนึ่งไปด้านหลัง ทำท่าราวกับว่ากำลังจะขว้างลูกเปิดสนามในกีฬาเบสบอล
หมอนั่นคิดจะทำอะไรน่ะ อย่าบอกนะว่าจะปามา?
ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงของฮันจุนดังขึ้น
“ลงชื่อไว้ให้ฉันหน่อย ลูกโป่งห้าลูก”
ไอ้เด็กไม่รู้จักโตเอ๊ย จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม มาดิ เดี๋ยวก็รู้…ว่าใครกันแน่ที่จะต้องถอย
ยูแจจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะยื่นใบหน้าเข้าไปในรู ขณะที่มองดูฮันจุนถือลูกโป่งน้ำ ภายในใจของเขาก็เกิดนึกสงสัยขึ้นมา เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่าฮันจุนจะกล้ามาปาจริงๆ หรือไม่ ถึงแม้ว่าฮันจุนจะเป็นคนที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ถึงอย่างนั้นก็มีมุมที่ขี้ใจอ่อนอยู่พอสมควร อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ใจร้ายพอที่จะปาลูกโป่งน้ำใส่หน้าให้คนอื่นรู้สึกเจ็บติดต่อกันตั้งห้าลูกได้หรอก
“โอ๊ย!”
ยังไม่ทันที่จะได้ลืมตาดี ลูกโป่งน้ำอีกลูกหนึ่งก็ลอยมาปะทะใบหน้าของเขาเข้าอย่างจัง มวลน้ำไหลอาบลงมาจากศีรษะเป็นสายราวกับน้ำตก ถึงแม้มันจะรวดเร็วมากๆ จนมองไม่ทัน แต่เขาก็ได้ยินเสียงลูกโป่งน้ำแตกดังอยู่เหนือศีรษะ แรงที่ฮันจุนใช้ขว้างมานั้นมันรุนแรงมากจนฉากกั้นสั่นเบาๆ
“นี่ โธ่เว้ย…”
ในขณะที่ยูแจพยายามลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบากเพราะน้ำที่ไหลอาบหน้า ลูกโป่งน้ำก็ลอยมาอีกลูก ก่อนจะระเบิดแตกออกตรงเหนือศีรษะอย่างแม่นยำ ก่อนที่น้ำจะไหลอาบลงมาอีกครา มันช่างแม่นยำจนน่าตกใจ
กว่าการกระหน่ำโจมตีนั้นจะหยุดลง ยูแจก็โดนน้ำจากลูกโป่งแตกใส่หน้าไปสามลูกเต็มๆ หลังจากทุกอย่างเงียบลงไปหลายวินาที ยูแจที่กำลังหลับตาปี๋ก็ค่อยๆ เลื่อนศีรษะออกจากฉากกั้น เขาส่ายศีรษะเพื่อสะบัดน้ำออก ก่อนจะลืมตาขึ้น
กำลังโมโหอยู่หรือไงนะ
ทว่าทันทีที่เขาขบกรามแล้วเงยหน้าขึ้นมา เสียงลูกโป่งน้ำแตกก็ดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อหันไปมอง เขาก็เห็นว่าซอฮันจุนกำลังระบายความอัดอั้นด้วยการปาลูกโป่งน้ำสองลูกที่เหลืออัดใส่ฉากกั้นที่ว่างเปล่า
มันเป็นเรื่องที่ต้องหงุดหงิดถึงขนาดนั้นเลยหรือไง ทำอย่างกับว่าฉันมีเจตนาร้ายไปล้อเล่นกับความรู้สึกของนายอย่างนั้นแหละ
ยูแจข่มความขุ่นเคืองไว้แล้วดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้า
ในระหว่างนั้นซอฮันจุนก็เดินกลับไปยังบูธขายฮอตดอกแล้วพูดคุยเฮฮากับเพื่อนคนอื่นอย่างไม่สะทกสะท้าน ยูแจเสยผมขึ้นพลางฮึดฮัดถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าฮันจุนปามาแรงมากแค่ไหน เขาถึงได้เปียกซ่กไปทั่วแผ่นอกขนาดนี้ ทั้งที่ยื่นออกไปเพียงแค่ศีรษะเท่านั้น เขาค่อยๆ เดินไปยังบูธของสโมสรนักศึกษาก่อนจะถอดเสื้อยืดออก
“อะไรกันเนี่ย โชยูแจ? ว้าย ดูหมอนั่นสิ”
ยูบินที่เห็นยูแจก่อนเป็นคนแรกรีบหันหน้าหนีทันที ในขณะที่เพื่อนๆ ในสโมสรนักศึกษาต่างก็เริ่มพูดคุยกันเสียงดังเมื่อจู่ๆ ก็เห็นยูแจถอดเสื้อออกอย่างกะทันหัน ส่วนซอฮันจุนยังคงเอาแต่จ้องมองไปที่ฮอตดอกพลางแตะๆ เขี่ยๆ มันอยู่อย่างนั้น
ริมฝีปากนั้นค่อยๆ เบ้ลง
ทุกอย่างมันสับสนวุ่นวายไปหมด พวกเขาเคยมีช่วงเวลาที่สนุกสนาน เคยกอดคอกัน เคยลูบหัวกัน เคยยิ้มให้กันและกันมาก่อน มันคงเป็นเพราะความต้องการส่วนตัวในเบื้องลึกของเขาเองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามันแย่ลงได้ถึงขนาดนี้ มันกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องคอยหลีกเลี่ยงที่จะสบตาและสงสัยในสัมผัสของกันและกัน
ยูแจจ้องมองด้านหลังของฮันจุน เขาเฝ้ามองซอฮันจุนที่ไม่คิดจะหันหน้ากลับมามองเขาจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนที่ความอดทนของเขาจะหมดลง
ในขณะที่โทสะของเขาเดือดพล่าน เขาก็กลับสุขุมและใจเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เขาพอจะจับทางได้แล้วว่าควรจะต้องทำอย่างไรต่อไป เขาก็แค่ไขว้เขวและสับสนไปชั่วขณะหนึ่ง ทว่าคำตอบสุดท้ายในใจของเขายังคงเหมือนเดิม
นั่นก็คือการกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน…กลับไปยังช่วงเวลาที่โลกใบนี้มีเพียงแค่เราสองคน
ยูแจยิ้มหวานและเดินเสนอหน้าเข้าไปในบูธ
“ใครเขาทำกัน ไอ้เกมลูกโป่งน้ำบ้าบอนี่น่ะ ขนาดพาร์ตไทม์ในลอตเต้เวิลด์* เดี๋ยวนี้เขายังไม่ทำอะไรพวกนี้กันเลย”
“จู่ๆ เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก ฮะ? นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะยอมโดนปาลูกโป่งน้ำเพื่อที่จะได้เปลือยกายโชว์ท่อนบนแบบนี้อะ เตรียมตัวออกกำลังกายมาหนักเลยอะดิ ไอ้ขี้เก๊ก”
ชินจีฮุนพูดแหย่เล่นพลางจิ้มลงบนหน้าอกของเขา ถึงแม้ว่าจีฮุนจะพูดออกมาโดยหวังทำให้เขารู้สึกอับอายว่าตัวเองตั้งใจจะถอดเสื้อเพื่อโชว์หุ่น แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เพราะเขาก็ตั้งใจที่จะถอดโชว์จริงๆ นั่นแหละ ยูแจยกหลังมือขึ้นเช็ดคางพลางตอบกลับไปขำๆ
“ถ้าจะให้ฉันใส่หัวมาสคอต ฉันยอมถอดเสื้อแล้วโดนน้ำสาดใส่หน้าสักร้อยรอบยังดีซะกว่า”
“นอกจากบาสแล้ว นายเล่นอะไรอย่างอื่นอีกปะ ทั้งๆ ที่ฉันก็เล่นบาสเหมือนกันทำไมฉันถึงได้ผอมแห้งแบบนี้วะเนี่ย”
“อย่างนายน่ะ คงต้องรอเกิดใหม่เอาแล้วล่ะ”
ไม่รู้ว่ายูบินรู้สึกเขินหรือเปล่า เธอถึงได้พูดออกมาทั้งที่ยังก้มหน้างุดอยู่แบบนั้น ในขณะที่ฮันจุนยังคงนั่งเงียบอยู่ท่ามกลางเสียงพูดคุยของทุกคน ยูแจก็จับจ้องไปที่ฮันจุน ทำเอาฮันจุนรู้สึกคันยุบยิบที่แก้มจนต้องเงยหน้าขึ้น และทันทีที่สายตาสอดประสานกัน นัยน์ตาของฮันจุนก็พลันวูบไหว เขารีบคว้าน้ำขวดหนึ่งขึ้นมาก่อนจะหันหลังไป
“เฮ้ ซอฮันจุน คิดจะหนีไปไหนกันฮะ”
ยูแจยื่นแขนออกไปโอบไหล่ฮันจุนก่อนจะดึงเข้ามาหาตัว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังสะบัดมือออกอย่างไม่ไยดีอยู่เลย แต่ตอนนี้ฮันจุนกลับยอมให้เขาดึงเข้ามากอดง่ายๆ โดยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพื่อนๆ คนอื่นกำลังมองดูอยู่หรือเปล่า หน้าอกของพวกเขาสัมผัสกัน มีเพียงเสื้อยืดเปียกๆ เท่านั้นที่คั่นกลาง เขาเห็นฮันจุนขบกรามแน่นยามที่กายเปลือยเปล่าของเขาแนบชิดบดเบียดเข้าไป ทว่ายูแจกลับแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
“ปาลูกโป่งน้ำใส่ฉันมาตั้งห้าลูกแล้ว นายคิดว่าฉันจะปล่อยนายไปง่ายๆ หรือไง”
ยูแจตวัดแขนกอดฮันจุนจากทางด้านหลังแล้วใช้แขนทั้งสองข้างล็อกเอาไว้แน่น ถึงฮันจุนจะตกใจจนดิ้นพล่าน แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยฮันจุนไป ยูแจกอดฮันจุนไว้แน่นแล้วลากอีกฝ่ายไปตรงสระน้ำที่เต็มไปด้วยลูกโป่งน้ำข้างใน
“ลองมาโดนสักลูกแล้วฉันจะยกโทษให้!”
พอยูแจตะโกนออกไปด้วยความที่นึกสนุกขึ้นมา เพื่อนคนอื่นๆ ก็พากันหัวเราะเสียงดังมาจากทางด้านหลัง
“เล่นกันสนุกเชียวนะ”
“ฉันเองก็อยากลองเล่นลูกโป่งน้ำดูเหมือนกันแฮะ”
“ฮอตดอกที่ว่าร้อนแล้ว ยัง…”
ยูแจเมินเสียงบ่นพึมพำจากทางด้านหลัง ก่อนจะหันมาสนใจคนตรงหน้าแทน
ภายในอ้อมกอดอันแสนแนบแน่นนั้น เขารู้สึกได้ถึงซอฮันจุนที่กำลังดิ้นขลุกขลักไปมาอย่างแรงในอ้อมแขน รู้สึกได้ถึงเสียงลมหายใจที่กระท่อนกระแท่น รู้สึกได้แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็ง โดยไม่พลาดรายละเอียดในทุกๆ สัมผัสนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ยูแจเคลื่อนสายตาจากต้นคอที่มันวาวด้วยหยาดเหงื่อไปยังเส้นผมด้านหลังที่แลดูเป็นทรงเรียบร้อย ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่น ผิวของฮันจุนขึ้นสีระเรื่อตั้งแต่กกหูไปจนถึงลำคอ
นี่มัน…
ผู้ชายที่ไหนเขาก็เล่นกันแบบนี้ เรื่องปกติแหละน่า
นั่นคือสิ่งที่ยูแจพยายามพร่ำบอกตัวเอง และเขาก็หวังว่าซอฮันจุนเองก็คงจะคิดแบบนั้นเหมือนกัน มันก็เป็นแค่การเล่นกันเหมือนเมื่อก่อนที่ต่างฝ่ายต่างก็เคยหยอกล้อกันแบบนี้อยู่บ่อยครั้งจนนับไม่ถ้วน เพราะอย่างนั้นจากนี้ไปเขาจะไม่ทนอีกแล้ว
หลังจากตัดสินความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว ยูแจก็ปล่อยคนในอ้อมกอดไป ฮันจุนที่หลุดพ้นออกมาจากอ้อมแขนแกร่งหอบหายใจเบาๆ ก่อนจะหันขวับกลับมามอง ยูแจเลิกคิ้วข้างหนึ่งขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้านโดยที่ยังคงปะทะสายตากับดวงตาของฮันจุนที่จ้องเขม็งมา
“คนที่โดนปาลูกโป่งน้ำอัดใส่หน้าคือฉัน แล้วทำไมนายถึงได้มาจ้องมองกันแบบนั้นล่ะ”
“นี่นายกำลังล้อเล่นอะไรกับฉันอยู่กันแน่”
“อ้าว”
“…”
“ปกติแล้วเพื่อนกันเขาก็เล่นกันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”
ฮันจุนไม่ขำกับการล้อเล่นในครั้งนี้ คนที่หัวเราะออกมากลับเป็นฝ่ายยูแจเสียเอง ตอนนั้นเองชินจีฮุนก็พรวดพราดแทรกตัวเข้ามาคั่นกลางระหว่างพวกเขาที่ยืนประจันหน้ากัน
“บูธฮอตดอกแม่งโคตรน่าเบื่อเลย ฉันจะไปทำบูธฝั่งลูกโป่งน้ำดีกว่า โชยูแจ ส่วนนายน่ะ ถอดเสื้อโชว์เอาไว้แบบนี้แล้วไปยืนทำฮอตดอกซะ”
“นายเองก็จะถอดโชว์ด้วยเหมือนกันเหรอ”
“โอ๊ย ไอ้…จะให้ฉันถอดแล้วไปยืนอยู่ข้างๆ นายเนี่ยนะ? ไอ้คนใจอำมหิต นายนี่มันไร้มนุษยธรรมซะจริงๆ เลย”
“ทำไมอะ นายเองก็หุ่นโอเคนี่”
ยูแจแกล้งเลิกเสื้อของจีฮุนขึ้นจนจีฮุนตกใจสะดุ้งโหยง เขาจับจีฮุนที่พยายามจะวิ่งหนีจากทางด้านหลังแล้วแกล้งจีฮุนเหมือนอย่างที่ทำกับฮันจุนเมื่อสักครู่นี้ เขายื้อดึงเสื้อตัวนั้นอยู่สักพัก ก่อนที่จะถอดมันออกมาได้ในที่สุด จีฮุนระเบิดหัวเราะออกมาก่อนจะวิ่งไล่ตามแล้วปาลูกโป่งน้ำใส่พร้อมกับร้องตะโกนหยอกเล่นบอกว่าจะฆ่ายูแจ
ในตอนที่ยูแจกำลังวิ่งหนีลูกโป่งน้ำกลับมาที่บูธอีกครั้ง จีฮุนก็หมดสภาพ โดยทรุดตัวลงนั่งอย่างไร้เรี่ยวแรง เขานั่งอยู่บนพื้นที่มีน้ำเจิ่งนองเป็นแอ่งพลางหอบหายใจเสียงดัง ยูแจยิ้มพรายพลางเดินเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะแกล้งใช้เท้าเตะรองเท้าผ้าใบของจีฮุน
“นายปาใส่ฉันเจ็ดลูกงั้นก็จงรับกรรมเจ็ดลูกนั้นไปซะ”
“ไอ้เวรเอ๊ย! นี่แค้นกันจริงดิ!”
จีฮุนเขวี้ยงเสื้อยืดที่ถืออยู่ออกไป ยูแจรับเสื้อยืดนั้นไว้ด้วยมือข้างเดียวอย่างง่ายดาย ก่อนจะหันไปมองฮันจุน
ซอฮันจุนที่จ้องมองอยู่เงียบๆ มาตั้งแต่เมื่อครู่สบตาเข้ากับยูแจ ใบหน้าของฮันจุนนั้นดูซีดเซียวราวกับว่าใบหน้าที่แดงระเรื่อก่อนหน้านี้นั้นเป็นเรื่องโกหก ยูแจจ้องมองใบหน้านั้นพลางบอกกับตัวเองอยู่ในใจ
นี่มันเป็นเรื่องปกติระหว่างเพื่อนกัน ทั้งเรา ทั้งซอฮันจุนต่างก็กำลังอยู่ในช่วงที่เปราะบางและอ่อนไหว หมอนั่นเองก็คงจะกำลังสับสนอยู่เหมือนกัน ดังนั้นฉันเองจะสับสนไปด้วยไม่ได้เด็ดขาด
“เอาล่ะ ทีนี้ถึงตานายแล้วนะ”
ยูแจฉีกยิ้มแล้วประกาศกร้าวเป็นคำเตือน แม้จะดูเหมือนเป็นการล้อเล่น ทว่าเขาเอาจริง
และแล้วฮันจุนก็ยิ้มออกมา
มันเป็นรอยยิ้มที่ราวกับว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฝืนใจขยับมุมปากและเรียวคิ้วให้ยกขึ้น และเป็นรอยยิ้มที่ราวกับความตึงเครียดที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้ากำลังพังครืนลงมาโดยใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที
“นี่ พวกนายน่ะ ไหนๆ ก็เปลื้องผ้าโชว์กันแล้ว มาลองฮอตดอกแบบเซ็กซี่ๆ หน่อยมา”
ชียองผิวปากเสียงดังก่อนจะตะโกนเรียก จีฮุนจึงรีบหยิบเสื้อที่ยับยู่ยี่ขึ้นมาปิดหน้าอกตัวเองอย่างนึกอาย ยูบินที่เห็นแบบนั้นแล้วจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง
ยูแจยังคงไม่ละสายตาไปจากฮันจุน แต่แล้วซอฮันจุนก็ลบสีหน้าออกไปจนหมดภายในชั่วพริบตา ก่อนจะหันกลับมามองเขาด้วยใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ
ท่ามกลางเสียงเฮฮาของผู้คน พวกเขาสองคนต่างวิ่งไล่กันอยู่เป็นนานสองนาน โดยใช้สายตาสอดส่ายมองหากัน ใช้หูฟังเสียงของกันและกัน รวมไปถึงสติสัมปชัญญะและประสาทสัมผัสทั้งหมดที่มี
Chapter 7-6
ช่วงเย็นของวันเทศกาล ยูแจกลับมายังห้องของตัวเอง เขารู้สึกเหนื่อยล้าหลังจากที่ต้องทำงานมาตลอดทั้งวัน แถมยังต้องเป็นคนคอยเก็บกวาดบูธเองด้วย ไม่ใช่แค่ร่างกายเท่านั้นที่รู้สึกเหนื่อยล้า หัวใจของเขาเองก็เช่นกัน พอจิตใจที่เฝ้าจดจ่ออยู่กับฮันจุนมาตลอดทั้งวันเริ่มผ่อนคลายลง ความเหน็ดเหนื่อยก็ถาโถมสาดซัดเข้ามาราวกับเกลียวคลื่น
แต่กระนั้นเขาก็ไม่เคยคิดที่จะละความสนใจไปจากซอฮันจุนด้วยเหตุผลเพียงแค่เพราะรู้สึกเหนื่อยล้า วันนี้เขากะว่าจะไปเจอฮันจุนแล้วคุยกันสองคนทันทีที่ตารางงานทุกอย่างของวันนี้จบสิ้นลง ทว่ากว่าจะตั้งสติได้ ซอฮันจุนก็หนีหน้าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว ทำเอาเขานึกสงสัยว่าคนที่โดดเด่นสะดุดตาไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนก็ตามอย่างฮันจุนนั้นหายตัวไปอย่างเงียบเชียบบ่อยๆ แบบนี้ได้อย่างไร
“นี่นายเห็นมือถือเป็นของประดับหรือไงกัน”
ซอฮันจุนไม่ตอบข้อความเขา แล้วก็ไม่ยอมรับสายเขาด้วย ยูแจปามือถือลงบนเตียงด้วยความหงุดหงิด
ความอดทนของเขามันหมดลงไปนานแล้ว สู้แก้ปัญหาด้วยการทะเลาะกันแรงๆ ไปเลยยังจะดีเสียกว่าปล่อยให้มันยืดเยื้อแบบนี้ เขาหยิบมือถือขึ้นมาอีกครั้งแล้วโทรหาซึงมิน
หลังจากที่ได้ยินเสียงรอสายไม่นาน ซึงมินก็รับสายเขาทันที นี่คือข้อดีเพียงข้อเดียวของชีซึงมิน
“ว่าไง ยูแจน้องพี่! โทรมามีเรื่องอะไรงั้นเหรอ”
“พี่ครับ ตอนนี้พี่อยู่ที่โรงยิมหรือเปล่า”
“นี่ ไอ้หนู ต่อให้ฉันชอบชกมวยมากขนาดไหน แต่ฉันก็ไม่ใช่พวกเข้าสังคมไม่เก่งถึงขนาดที่จะเอาแต่มุดหัวอยู่ในโรงยิมแม้กระทั่งวันเทศกาลหรอกนะ ตอนนี้ฉันกำลังรอดูโซยุนของฉันขึ้นสเตจอยู่ นี่ฉันอยู่แถวหน้าสุดเลยเนี่ย”
ยูแจได้ยินเสียงอึกทึกดังมาจากปลายสาย เขามองดูเวลาก่อนจะทำหน้าบึ้ง จะว่าไปแล้วดูเหมือนว่าการแสดงของไอดอลกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้า
“โทรมาเพื่อจะถามแค่นั้น?”
“พอดีผมติดต่อฮันจุนไม่ได้น่ะครับเลยคิดว่าเขาอาจจะกำลังออกกำลังกายอยู่หรือเปล่า”
“อ๋อ ฮันจุนน่ะเหรอ ตอนฉันออกมา เห็นเขาอยู่ที่โรงยิมคนเดียวนะ ฉันชวนมาดูคอนเสิร์ตด้วยแล้ว แต่เขาบอกว่าไม่เอา ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ด้วย”
“อย่างนั้นเหรอครับ โล่งอกไปทีที่ไม่ได้เป็นอะไร ถ้างั้นก็ขอให้สนุกกับคอนเสิร์ตนะครับ”
ยูแจตอบกลับไปเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรแล้วก็วางสาย จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นพรวดแล้วรีบมุ่งหน้าตรงไปยังโรงยิมทันที
มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่ามหาวิทยาลัยใช้เงินไปมากกับงานเทศกาลในครั้งนี้ ไลน์อัพของการแสดงเองก็เรียกได้ว่าจัดเต็มมาก ไม่ได้มีแค่คนละแวกนี้เท่านั้นที่มาชม แม้กระทั่งเด็กนักเรียนจากโรงเรียนอื่นๆ เองต่างก็พากันมาร่วมงานจนเนืองแน่นไปหมด
ในช่วงที่การแสดงเริ่มต้นขึ้น ยูแจกำลังเดินอยู่ในสนามของมหาวิทยาลัยที่มืดสนิท พวกเด็กนักเรียนที่สวมชุดยูนิฟอร์มกำลังวิ่งพลางร้องตะโกนพูดคุยกันเสียงดัง ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มบดบังพระอาทิตย์ที่เคยส่องแสงเจิดจ้าเมื่อกลางวันมิดจนไม่เหลือร่องรอยใดๆ เสียงโห่ร้องของผู้ชมที่เบาลงไปแล้วกึกก้องขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะที่เขาปลีกวิเวกเดินอยู่คนเดียวอย่างเหงาๆ ภายในหัวของเขากลับเอาแต่คิดถึงซอฮันจุนที่น่าจะยังอยู่ในโรงยิมคนเดียว
ในช่วงเวลาที่ทุกคนต่างก็ไปดูการแสดงกันหมดแบบนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครอยู่ที่โรงยิมเลยสักคน ทันทีที่เข้าไปในโรงยิมแล้ว ยูแจก็รีบวิ่งตามหาฮันจุนไปทั่วทุกซอกทุกมุม ทว่ากลับไม่เห็นอีกฝ่ายเลย
หรือว่าจะไปดูการแสดง?
หลังจากที่ยูแจเช็กดูจนทั่วทุกที่แล้ว เขาก็มุ่งหน้าไปยังห้องล็อกเกอร์
เมื่อผลักประตูห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่อยู่ในห้องล็อกเกอร์ให้เปิดออกกว้าง เขาก็เห็นซอฮันจุนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวที่ตั้งอยู่กลางห้อง แม้เขาจะคาดการณ์ไว้ แต่พอได้พบเจอจริงๆ เขาก็พลันรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ฮันจุนยังคงอยู่ในชุดออกกำลังกาย ดูท่าเจ้าตัวคงจะเพิ่งออกกำลังกายไปอีกรอบหลังจากที่ทำงานหนักมาทั้งวัน ในจังหวะนั้นเองฮันจุนที่กำลังนั่งเหยียดขาอยู่ก็เงยหน้าขึ้น
แม้ว่าสายตาจะสอดประสานกัน ทว่าระหว่างพวกเขากลับเงียบกริบ ต่างคนต่างไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง และแล้วก็เป็นยูแจที่เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นก่อนในที่สุด
“ได้ข่าวว่ามีไอดอลมาด้วยนี่ แล้วนายมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เนี่ย”
แม้จะเอ่ยปากพูดออกไปแล้ว แต่มันก็ช่างเป็นคำพูดที่ดูโง่เขลา นี่มันไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งที่เพิ่งจะทะเลาะกันไปใหญ่โตโดยไม่พูดไม่จากันมาเกือบค่อนวัน
แน่นอนว่าฮันจุนไม่ได้ตอบกลับมา เขาลุกขึ้นเงียบๆ แล้วเดินไปเปิดล็อกเกอร์ เริ่มหยิบของของตัวเองออกมา โดยมียูแจยืนกอดอกพิงผนังอยู่
“พูดอะไรหน่อยสิ นายบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าถ้าโกรธกันก็บอกมาว่าโกรธกันเรื่องอะไร ไม่งั้นฉันจะแก้ไขอะไรได้ยังไง”
“…”
“พูดตรงๆ นะ ไอ้ที่โกรธกันขนาดนี้มัน…”
โครม!
เสียงกระเป๋าที่ถูกเขวี้ยงลงบนพื้นดังขึ้นตัดบทสนทนา กระเป๋าของฮันจุนที่เพิ่งจะเอาออกมาจากล็อกเกอร์กำลังกลิ้งไถลอยู่บนพื้น มือนั้นจับประตูล็อกเกอร์เอาไว้แน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหลังมือ ฮันจุนเอ่ยปากถามทั้งที่ยังคงไม่หันกลับมามองกัน
“สนุกไหม”
“สนุกอะไร”
“ก็ไอ้การที่ฉันชอบนายไง ตอนนี้นายเริ่มสนุกกับมันขึ้นมาแล้วใช่ไหมล่ะ”
ถึงจะมองไม่เห็นว่าซอฮันจุนกำลังทำสีหน้าแบบไหนเพราะเจ้าตัวหันหลังให้อยู่ แต่เขาก็รู้ว่าฮันจุนเจ็บปวด
ถามว่าสนุกไหมน่ะเหรอ…มันไม่สนุกเลยแม้แต่นิดเดียว
ยูแจถอนหายใจ
“อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้พูดแบบนั้นกับฉัน แค่เพราะฉันลูบหลังนายหน่อยเดียวเนี่ยนะ?”
“ก็นายชอบทำอะไรแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”
“ทำอะไร”
“นายเองก็สนุกไม่ใช่เหรอ เวลาเห็นคนที่มาชอบนายประหม่า ทำตัวไม่ถูกเพราะสายตาและสัมผัสของนายน่ะ”
ในที่สุดฮันจุนก็ปิดประตูล็อกเกอร์ลง ก่อนใบหน้าที่เจ้าตัวเก็บซ่อนไว้เมื่อครู่จะปรากฏสู่สายตาเขา
ความรู้สึกทั้งหมดฉายชัดอยู่บนหน้าอย่างเปิดเผยโดยไม่คิดที่จะปกปิดเอาไว้เลยแม้แต่น้อย ทั้งความโกรธ ความเศร้า ความขุ่นเคือง ความรู้สึกราวกับถูกหักหลัง ความรู้สึกที่กำลังเดือดพล่านทั้งหมดทั้งมวลนั้นถาโถมเข้ามาพร้อมกันในทีเดียวจนเขาแทบจะหายใจไม่ออก
ยูแจค่อยๆ เปิดปากพูดขึ้นอย่างเชื่องช้า
“ใช่ ฉันเป็นคนแบบนั้นแล้วมันทำไม”
“…”
“นี่นายคิดว่าฉันจะทำแบบนั้นกับนายด้วยงั้นเหรอ”
“แล้วที่ทำอยู่นี่มันไม่ใช่หรือไง”
ยูแจกำหมัดแน่น เขารู้สึกโมโหกับคำคำนั้นที่พูดออกมาราวกับเป็นการยืนกรานว่าเขาทำแบบนั้นจริงๆ เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจกำลังถูกบีบรัดจนแน่นอก ในขณะเดียวกันกับที่ภายในลำคอนั้นพลันแห้งผาก
นับตั้งแต่วันที่ได้ยินคำสารภาพรักเป็นครั้งแรกมาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้ว่าซอฮันจุนอาจจะมองไม่เห็นมัน แต่เขาก็พยายามมาโดยตลอดจริงๆ ทั้งรอคอย ทั้งอดทน ทั้งไล่ตาม แม้จะโดนเจ้าตัวผลักไสออกไปอยู่ข้างหลังหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ยังคงคอยเฝ้ามองอยู่เคียงข้างไม่เคยห่างไปไหน
ทั้งๆ ที่เขาให้ความสำคัญกับฮันจุนมากขนาดนั้น แต่ไอ้คนที่น่าจะรู้เรื่องนี้ดีมากกว่าใครอย่างเจ้าตัวกลับคอยเอาแต่พูดพล่ามเรื่องไร้สาระที่เป็นไปไม่ได้อยู่นั่นไม่ยอมหยุด ยูแจคลายมือที่กอดอกอยู่ออกก่อนจะขยับมายืนตรง
“ถ้าหากได้โอบไหล่เวลาที่คุยกับนาย นายก็จะสนใจและโฟกัสมาที่ฉัน ที่ฉันทำไปมันก็เพราะแบบนั้น แต่ว่า…”
“…”
“…ทำไมการที่นายประหม่าเรื่องนั้น มันถึงเป็นความผิดของฉันไปได้ล่ะ”
ฮันจุนชะงักไปชั่วขณะ เขาหยุดยืนนิ่งไม่ขยับตัวเลยสักนิด ไม่หยิบกระเป๋าขึ้นมา ไม่เสยผมขึ้นหรือพูดจาอะไรต่อ ไม่ทำอะไรเลยทั้งสิ้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้น เมื่อเห็นดังนั้นยูแจจึงค่อยๆ พูดต่อโดยที่ยังคงไม่ละสายตาไปจากดวงตาที่แดงระเรื่อของฮันจุน
“ถามว่าสนุกไหมงั้นเหรอ”
“…”
“มันไม่สนุกเลยแม้แต่นิดเดียว นายน่ะ…”
คำพูดที่พูดลอดไรฟันออกมาทำให้บรรยากาศในห้องล็อกเกอร์ที่เงียบสงัดนั้นหนักอึ้งขึ้น ฮันจุนทำเพียงแค่กะพริบตาโดยไร้ซึ่งสีหน้าใด หลังจากนั้นสักพักเขาก็พยักหน้าแล้วก้มลงหยิบกระเป๋าขึ้นมา ในวินาทีที่ฮันจุนก้มตัวลงไปนั้น ท้ายทอยที่แดงก่ำของเจ้าตัวก็ได้ปรากฏสู่สายตาของยูแจ ฮันจุนพาดกระเป๋าสะพายไว้ที่ไหล่ข้างหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากบอกลา
“เข้าใจแล้วล่ะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“จะไปไหนน่ะ”
ยูแจรีบยื่นขาออกไปขวางข้างหน้า เขานึกว่าฮันจุนจะไม่สนใจแล้วเดินผ่านเขาไป ทว่าฮันจุนกลับหยุดชะงักยืนนิ่ง
“ถ้ามีอะไรจะพูดอีกก็พูดมา ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว”
“ไม่มีอะไรจะพูดได้ไง”
“ที่นายพูดมันถูกแล้วนี่ จะให้ฉันพูดอะไรได้อีกล่ะ ฉันต้องหัวเราะ ต้องร้องไห้ ต้องให้ความสำคัญกับทุกๆ คำพูดและการกระทำของนายเลยใช่ไหมนายถึงจะพอใจ นายต้องการแบบนั้นใช่ไหม สุดท้ายก็มีแค่ฉันที่ละเมอเพ้อพกอยู่คนเดียว…”
“…”
“เวลาชอบใครสักคน มันก็คงจะเป็นบ้าแบบนี้ล่ะมั้ง”
ในระหว่างที่ระบายสิ่งที่อัดอั้นออกไปเรื่อยๆ ม่านน้ำตาก็ค่อยๆ เอ่อคลอขึ้นมาปกคลุมดวงตาใส ทว่าฮันจุนก็ดูโล่งใจขึ้นหลังจากที่ได้ระบายมันออกมาจนจบ ในดวงตาระยิบระยับพร่างพราวราวกับดวงดาวที่อยู่ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนาดำสนิท ยูแจพ่นลมหายใจสั่นๆ ออกมา
ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกสติแตกไม่ต่างกัน ยูแจพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงพร้อมกับหัวคิ้วที่ยู่เข้าหากันเล็กน้อย
“แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องระหว่างเราก็ดีขึ้นเยอะแล้วนี่”
“ดีขึ้น?”
“นายจำไม่ได้เหรอ เดี๋ยวนี้พวกเราก็กลับมาเข้ากันได้ดีแล้วนี่ ไม่นานมานี้ก็เพิ่งไปชกมวยด้วยกัน กินข้าวด้วยกันบ่อยๆ แถมทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ถ้าไม่ฉันไปห้องนาย นายก็จะมาเล่นห้องฉัน…”
“ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาฉันนึกถึงนายตอนช่วยตัวเองไปด้วยเนี่ยนะ?”
ฮันจุนยกมุมปากยิ้มร้ายๆ อย่างประชด ริมฝีปากของเขาบิดเบี้ยวราวกับคนที่กำลังอดกลั้น มันเป็นใบหน้าที่ยูแจเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก ในวินาทีที่ได้ยิน ราวกับว่าเขาถูกของแข็งฟาดเข้าที่ท้องอย่างแรงจนรู้สึกจุก จู่ๆ ภาพลามกเร้าอารมณ์ก็ถาโถมเข้ามาในหัวไม่หยุด ทั้งที่ยังยืนสบตากับซอฮันจุนอยู่ตรงนี้ แต่เขากลับจินตนาการถึงภาพของซอฮันจุนที่กำลังร้องครางครวญเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ยูแจที่สติหลุดไปชั่วขณะหนึ่งมองฮันจุนนิ่งราววิญญาณหลุดออกจากร่าง ในขณะเดียวกันฮันจุนก็เดินเข้ามาใกล้เขาอีกหนึ่งก้าว ก่อนจะยกยิ้มอย่างท้าทาย
“ไง ทีนี้ยังอยากเป็นเพื่อนกับฉันอยู่ไหม ยังโอบไหล่ ยังลูบหัว ยังถอดเสื้อแล้วเข้ามากอดกันเหมือนเดิมได้หรือเปล่าล่ะ”
“…”
“ขยะแขยงจนแทบอ้วกเลยดิ”
หลังจากขบกรามพูดด้วยน้ำเสียงที่อดกลั้นเสร็จ ฮันจุนก็เดินผ่านยูแจไป ฉับพลันนั้นยูแจเอื้อมมือออกไปเองโดยอัตโนมัติแล้วคว้าจับแขนของฮันจุนเอาไว้
“ปล่อย”
“…ไม่”
“ไม่ปล่อยใช่ไหม”
“ก็บอกว่าไม่ไง”
น้ำเสียงของเขาสั่นเครือ ถึงแม้ว่าจะเคยทะเลาะกันมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง แต่ยูแจกลับรู้สึกสังหรณ์ในใจว่าวันนี้มันแตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ เขารู้สึกเหมือนกับว่าถ้าหากปล่อยให้ซอฮันจุนออกไปตอนนี้ อีกฝ่ายก็จะหายไปในที่ที่เขาไม่อาจมองเห็นได้อีก
เหลือเวลาอีกไม่นานก็ใกล้จะปิดเทอมแล้ว ถ้าหากนายหนีฉันไปทันทีหลังจากปิดเทอม ลาออกจากชมรมทั้งหมด และตัดขาดการติดต่อกับคนที่รู้จักทุกคนล่ะ?
ยูแจไม่อาจทนรออีกฝ่ายได้อีกต่อไปแล้ว ไม่มีทางที่เขาจะสามารถฝืนทนรับมือกับความเจ็บปวดทรมานแบบนั้นได้อีกครั้งหรอก
“คิดว่าฉันจะยอมให้นายทิ้งฉันไปอีกรอบงั้นเหรอ”
จุดศูนย์ถ่วงของร่างกายที่เขาพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อที่จะหยัดยืนพลันเริ่มเสียสมดุลไปพร้อมกับน้ำเสียงที่แตกพร่าสั่นเครือ และนั่นก็เป็นวินาทีเดียวกันกับที่กระเป๋าหล่นลงสู่พื้น
คอเสื้อของยูแจถูกคว้ากำเอาไว้ ก่อนที่เขาจะถูกลากไปจนหลังกระแทกเข้ากับล็อกเกอร์อย่างแรง
ถ้ายอมโดนชกสักครั้งแล้วกลับไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งได้ มันจะดีแค่ไหนกันนะ
ในขณะที่คิดเพ้อฝันและก้มหน้าลงมา เขาก็สบสายตาเข้ากับดวงตาที่ระยิบระยับไปด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อคลออยู่บนขอบเปลือกตา
ยูแจหลับตาลงอย่างเตรียมใจรอรับหมัดที่จะซัดเข้ามา ภาพตรงหน้าค่อยๆ มืดลงสนิท ก่อนที่ร่างกายเขาจะถูกกระชากไปข้างหน้า และในเสี้ยววินาทีที่หลังกระแทกลงกับประตูล็อกเกอร์จนเกิดเสียงดังโครมอีกครั้ง เขาก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอันหนักแน่นที่ทาบทับลงมาบนริมฝีปาก
กว่าจะรู้สึกตัวว่านั่นคือการจูบก็ตอนที่ศีรษะทั้งด้านซ้ายด้านขวาถูกจับล็อกเอาไว้แน่น ลมหายใจกระเส่ารินรดลงบนแก้มจนเขารู้สึกอุ่นวาบอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ริมฝีปากหยาบกร้านกระแทกจูบเข้ามาอย่างเงอะงะ ก่อนจะผละออกไปแล้วบดเบียดเข้ามาอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขารู้สึกได้ถึงรสฝาดคาวจากริมฝีปากที่ทั้งแห้งและขาดความนุ่มหยุ่นนั้น
ฮันจุนใช้สองมือกุมแก้มของเขาเอาไว้มั่นแล้วลูบไล้มันก่อนจะเลื่อนลงมาคว้ารอบลำคอของเขาไว้แน่นทั้งที่ริมฝีปากยังไม่ละจากกัน จากนั้นบดเบียดร่างกายเข้ามาอย่างรุนแรงจนสองกายแนบชิดไร้ซึ่งช่องว่าง ลมหายใจหอบถี่รุนแรงขึ้น มือที่คว้าคอของเขาเอาไว้เองก็ออกแรงบีบแน่นขึ้นเช่นกัน มวลความรู้สึกอันหนักแน่นของฮันจุนถูกถ่ายทอดออกมาผ่านการกระทำทั้งหมดนั่น
ภาพตรงหน้าขาวโพลนไปหมด
ยูแจลืมตาขึ้นมาพร้อมเสียงดังโครม ทว่าคราวนี้คนที่ถูกผลักไปกระแทกกับประตูล็อกเกอร์นั้นกลับเป็นฮันจุน ยูแจปล่อยมือออกจากไหล่ที่ถูกกดแนบเอาไว้กับประตูล็อกเกอร์ ก่อนจะเลื่อนมือไปจับคางของฮันจุนไว้มั่นด้วยมือเพียงข้างเดียว
“ฮึก! อื้อ”
ฮันจุนกำลังหอบหายใจเข้าแล้วพรั่งพรูลมหายใจออกมาอย่างไร้สติภายใต้เงื้อมมือของเขา ความรู้สึกที่ไม่รู้ว่าเป็นความตื่นเต้นหรือความโกรธเกรี้ยวที่คละเคล้าผสมกันกำลังแล่นพล่านไปทั่วกาย พร้อมกับเสียงครางเครือที่เล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากที่เห่อบวมของฮันจุน
ยูแจหยุดความคิดทั้งหมดลง ก่อนจะเผยอริมฝีปากแล้วกลืนกินเสียงครางเครือที่ฮันจุนร้องครางออกมาไปจนหมดสิ้น
* เทอร์เรซคาเฟ่ เป็นคาเฟ่กลางแจ้งรูปแบบหนึ่ง ลักษณะเด่นคือผู้คนที่เข้ามาในคาเฟ่จะสามารถทานอาหารพลางดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของทิวทัศน์ได้
** พุน คือหน่วยเงินซึ่งมีค่าน้อยที่สุดของเกาหลี เป็นคำเก่าที่ใช้สำหรับนับเหรียญกษาปณ์
* ลอตเต้เวิลด์ คือสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเกาหลีใต้
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 2
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.