X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 133

หน้าที่แล้ว1 of 5

บทที่ 133

ผู้ไปแจ้งข่าวในเมืองหลวงยังไม่กลับมา โถงตั้งศพก็จัดเสร็จสิ้น

ชุยโย่วร่ำไห้จนสลบไปหลายครา เฉิงเซ่าซางจึงให้หมอหลวงเคี่ยวยาสงบจิตฤทธิ์แรงมาหนึ่งชาม แล้วกล่อมให้ชุยโย่วที่ร่ำไห้จนวิงเวียนตาพร่าลายดื่มลงไป โดยบอกเพียงว่านี่เป็นยาบำรุงทำให้กระปรี้กระเปร่า เช่นนี้เขาจึงจะรวบรวมเรี่ยวแรงมาจัดการงานศพของฮั่วฮูหยินได้

นางฝากฝังชุยโย่วที่หลับลึกแล้วให้บ่าวดูแล ค่อยออกไปยังโถงตั้งศพอันเงียบสงัด

หลิงปู้อี๋สั่งให้คนทั้งหมดถอยออกไปแต่แรก ตนเองคุกเข่าเดียวดายอยู่เบื้องหน้าป้ายสถิตดวงวิญญาณในโถงที่โล่งว่างไร้ผู้คน สันหลังตั้งตรงดุจกระบี่ บ่าไหล่ผายกว้างดั่งทิวเขา เฉิงเซ่าซางพลันรู้สึกดวงตาเจ็บแปลบอยู่บ้าง…ไม่ว่าเผชิญเคราะห์ภัยหรือเหตุพลิกผัน ไม่ว่าโศกเศร้าหรือทุกข์ยาก หลิงปู้อี๋ล้วนเงียบงันเฉกห้วงสมุทรอันไร้ขอบเขต ไม่แปรผันชั่วกาลปานภูผาสูงตระหง่าน ชวนให้ผู้ที่อยู่ข้างกายวางใจหาใดเปรียบ

ทว่าในใจเขาที่แท้คิดอันใดอยู่ เกรงว่าไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้

หลิงปู้อี๋เหลียวหลังมา ดวงหน้าเผือดขาว ขนตาราวขนนกยาว ในดวงตาแฝงซึ่งความเปราะบางว่างเปล่าอันแปลกพิเศษชนิดหนึ่ง

เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ ดุจเดียวกับที่เคยเป็นมานับครั้งไม่ถ้วน “เซ่าซาง เจ้าจะมาเกลี้ยกล่อมข้าหรือ ไม่ต้องหรอก ข้าล้วนเข้าใจดี เกิดแก่เจ็บตายจะอย่างไรก็ยากหลีกพ้น คนเราเกิดมาหนึ่งชาติ ต้นหญ้างอกเงยหนึ่งวสันต์ ใต้หล้าไม่มีงานเลี้ยงที่ไม่เลิกรา ต่อให้สนิทแน่นแฟ้นสักเพียงใด ต่อให้หักใจไม่ลงสักเพียงไร ก็ย่อมมีเวลาที่ต้องแยกจาก”

เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าคำพูดของเขาดูแปลกพิกลอยู่บ้าง จึงกล่าวว่า “ต่อให้จากเป็นจากตายยากหลีกพ้น แต่ขอเพียงในใจยังคะนึงถึง ไม่ว่าจะเป็นยมโลกหรือห่างออกไปนับพันหลี่ แก่นแท้ล้วนจะไม่เปลี่ยนไป ใจคนผันแปรง่าย ขณะเดียวกันใจคนก็ผันแปรยาก ขอเพียงใจเราไม่ยอมเปลี่ยน ต่อให้ผืนสมุทรกลายเป็นท้องทุ่ง หรืออวิ๋นเมิ่ง* แปรสภาพ จะทำอย่างไรเราได้เล่า!”

หลิงปู้อี๋ตะลึงงันไปเล็กน้อย “เป็นเช่นนี้จริงๆ หรือ”

เฉิงเซ่าซางเอ่ยปนยิ้ม “หรือท่านไม่เคยได้ยินเรื่องจิงเว่ยถมทะเล** ปู่โง่ย้ายภูเขา? เจอเข้ากับผู้ที่ยึดมั่นดื้อรั้นจริงๆ ต่อให้เทพเซียนมาเองก็ป่วยการเปล่า!”

หลิงปู้อี๋พิศมองนางครู่หนึ่งแล้วพลันกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้เจ้ากับข้ามากัดแขนสาบานกันดีหรือไม่”

อะไรนะ เฉิงเซ่าซางผงะถอยสองก้าว นี่หมายความว่าอย่างไรกัน

คนยุคนี้ให้ความสำคัญกับคำสาบานมาก พิธีการให้คำสาบานมักต้องมีเลือดให้เห็น อย่างเช่นคำสาบานจะกล่อมเกลากายใจที่ท่านลุงวั่นให้ไว้กับหัวหน้าเซียวเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ ก็เชือดไก่เพศผู้ตัวใหญ่ขนสีขาวเจ็ดตัวในรวดเดียว ลานหน้าโถงเก้าอาชาถูกเลือดไก่สาดกระจายจนทั่ว ชิงชงฮูหยินนำพาพวกบ่าวสาละวนวุ่นวายอยู่หลายวันกว่าจะขจัดกลิ่นคาวโลหิตได้

เพียงแต่เลือดสัตว์มีหรือจะสูงค่าเท่าเลือดมนุษย์ ดังนั้นส่วนใหญ่เหล่าผู้กล้าจึงมักกัดปลายนิ้วเป็นแผลเพื่อให้สัตย์สาบาน…ในเมื่อนิ้วมือยากจะพ้นเคราะห์ แขนก็รอดไปได้ไม่ไกลหรอก

“คือว่า…เชือดไก่เชือดเป็ดก็พอแล้ว ไม่ต้องกัดแขนสาบานกระมัง” เฉิงเซ่าซางไม่กลัวที่จะลั่นคำสาบาน ทว่านางกลัวเจ็บ

หลิงปู้อี๋ไม่แยแสคำประท้วงของนาง ดึงนางมาคุกเข่าข้างกายเขาอย่างอ่อนโยนทว่าก็ดื้อดึง เอ่ยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ต่อหน้าท่านแม่ เจ้าพูดสิว่าเจ้าจะไม่เปลี่ยนใจจากข้าชั่วนิรันดร์”

เฉิงเซ่าซางเอนกายไปด้านหลังเล็กน้อยอย่างตื่นตัว “ท่านอย่ามาเอาเปรียบกันนะ ข้าพูดได้แค่ว่า ‘หากใจท่านไม่เปลี่ยนผัน ใจข้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลง’ ”

หลิงปู้อี๋คลี่ยิ้ม ในรอยยิ้มนั้นถึงกับเจืออารมณ์เศร้าอยู่บ้าง “ได้ เจ้าพูดตามนั้นแล้วกัน”

สุ้มเสียงของเขานุ่มนวลเช่นที่เคยเป็น นางสุดจะคัดค้านได้ไหว ทำได้เพียงให้คำสาบานเบื้องหน้าป้ายสถิตดวงวิญญาณของฮั่วจวินหวาอย่างเคารพนบนอบ “ต่อหน้าดวงวิญญาณผู้อาวุโส ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงเป็นพยาน ผู้เยาว์เฉิงเซ่าซางขอให้สัตย์สาบาน ณ ที่นี้ หาก…หากว่า…” นางปรายมองเขาปราดหนึ่ง “หากว่าใจเขาไม่เปลี่ยนผันจากข้า ใจข้าก็จะไม่เปลี่ยนแปลงจากเขาเป็นอันขาด”

ถัดจากนั้นหลิงปู้อี๋ก็เลิกแขนเสื้อนางขึ้น กัดหนึ่งคำบนเรียวแขนขาวนิ่มของนางอย่างไม่เกรงใจกันแม้แต่น้อย นางขดกลัวตัวสั่นราวเผชิญกับหมอฟัน ได้แต่ตีแผ่นหลังของเขาไม่หยุดมือ ยามที่เห็นแขนตนปรากฏรอยฟันผุดหยดเลือด ความหวังเล็กๆ ที่คิดว่าอาจโชคดีรอดพ้นความเจ็บ จากแรกเริ่มคิดว่าไม่น่าเจ็บมากกลายเป็นการประเมินผิดพลาดอย่างร้ายแรง ล้วนแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยวทันตา นางไม่รอช้ารวบรวมพลังสุดแรงเกิด กัดใส่แขนที่มีมัดกล้ามแกร่งกระชับของเขาจนปรากฏร่องรอยที่มีเลือดซึมสองแนวเช่นเดียวกัน

ทว่าหลิงปู้อี๋คล้ายไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยสักนิด แววตาที่มองดูรอยฟันบนแขนของเขาฉายความไม่พึงพอใจหลายส่วน ราวกับนางเล่นโกง ทำแบบสุกเอาเผากิน ไม่ได้ออกแรงฟันอย่างเต็มที่ ฟ้าเท่านั้นที่รู้ว่านางออกแรงจนเจ็บกล้ามเนื้อกรามทั้งสองข้างเลยทีเดียว

 

วันรุ่งขึ้นหลังกลับถึงบ้าน อาจู้ส่ายหน้าพลางพันแผลรอยกัดบนแขนให้นางใหม่ หาได้ยากนักที่อีกฝ่ายไม่ไปบอกเรื่องนี้ต่อเซียวฮูหยิน “เพิ่งสูญเสียมารดาไป ซ้ำมีบิดาเยี่ยงหลิงโหวผู้นั้น ใต้เท้าหลิงช่างน่าสงสาร”

เฉิงเซ่าซางป้องต้นแขนที่ยังคงปวดแปลบ พ่นลมหายใจซึ่งอัดแน่นด้วยความขุ่นแค้นออกมาแรงๆ หนึ่งที…พูดอะไรของท่าน! หากไม่ใช่เพราะหลิงปู้อี๋เพิ่งเสียท่านแม่ไป ข้ามีหรือจะอดกลั้นต่อเขาอยู่เช่นนี้!

งานศพของฮั่วจวินหวาใหญ่โตยิ่ง ฮ่องเต้ให้ฝังร่างนางตามหลักเกณฑ์ที่เกือบเทียบเท่ากับพี่สาวน้องสาวของพระองค์ แน่นอนว่าลำดับตำแหน่งของหลิงปู้อี๋ยึดตามพิธีการของผู้เป็นบุตรแท้ๆ แต่ที่ค่อนข้างประดักประเดิดคือของหลิงอี้กับชุยโย่ว ผู้หนึ่งเป็นอดีตสามี อีกผู้หนึ่งเป็นว่าที่สามีซึ่งยังไม่ทันเริ่มทำหน้าที่ ในพิธีศพควรจัดลำดับหลักรองเช่นไรดีเล่า มิอาจไม่พูดว่าเหล่าขุนนางเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการมีความคิดริเริ่มดียิ่ง พวกเขาให้ชุยโย่วแทนตำแหน่งพี่ชายในสกุลเดิมของฮั่วจวินหวา ส่วนหลิงอี้ให้อยู่ตำแหน่งที่นั่งแขก

อันที่จริงตามความเห็นของเฉิงเซ่าซาง อดีตสามีภรรยาร้าวฉานกันถึงขั้นนี้จนแทบไม่ต่างอันใดกับศัตรูแล้ว ไยหลิงอี้ยังต้องมาร่วมงานศพเล่า ฮ่องเต้ก็ไม่ชอบหน้าเขาเสียหน่อย

เห็นชัดว่าเฉิงเซ่าซางประเมินระดับภูมิต้านทานของหลิงอี้ต่อการโจมตีต่ำไป ในวันส่งศพ เขามิเพียงมาร่วมพิธี ยังพาน้องชายต่างมารดาของหลิงปู้อี๋มาด้วย แม้แต่ท่านหญิงอวี้ชังก็อยู่เคียงข้างในฐานะว่าที่สะใภ้สกุลหลิง เดิมหลิงอี้อยากไปยืนข้างกายหลิงปู้อี๋ ทว่าถูกแม่ทัพใหญ่อู๋ที่อดกลั้นจนเหลืออดแล้วใช้แขนยันไปอีกทาง

เฉิงเซ่าซางเยาะหยันในใจไม่หยุด…ภรรยาเก่าที่ขวางหูขวางตาตายไปแล้ว บุตรชายคนโตที่กุมอำนาจสูงย่อมกลับบ้านได้เสียที ยังมีบุตรชายคนรองที่เพิ่งได้อวยยศหมาดๆ กับท่านหญิงว่าที่ลูกสะใภ้อีกคน ช่างเป็นสกุลหลิงที่แผ่กิ่งก้านเจริญวันเจริญคืนเสียนี่กระไร!

แต่สุดท้ายหลิงอี้ยังคงต้องปลีกตัวไปอย่างเร่งรีบ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบชุยโย่วร่ำไห้ชนิดไม่คำนึงถึงสิ่งใด หลั่งน้ำตาจนฟ้าดินหมุนคว้าง กระทั่งหวิดจะยืนไม่อยู่ ต้องให้หลิงปู้อี๋พยุงจึงจะขึ้นรถม้าในขบวนส่งศพได้ ภายใต้แววตาสื่อนัยลุ่มลึกของผู้คน ในที่สุดหลิงอี้ก็สวมหน้ากากเป็นคนสุภาพอ่อนโยนต่อไปไม่ไหว ต้องหาข้ออ้างขยับไปอยู่เบื้องหลังฝูงชน

ก่อนจากหลิงอี้มาหาเฉิงเซ่าซางเพื่อบอกกล่าวว่าจะกลับแล้ว ท่านหญิงอวี้ชังที่อยู่ด้านข้างกลับพูดอีกเรื่องหนึ่งเสียงนุ่มเบา “น่าเสียดายนัก เดิมทีอีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดครบห้าสิบปีของท่านโหว ทางบ้านเตรียมการไว้ดิบดีว่าจะจัดเลี้ยง บัดนี้กลับ…”

ว่าที่สามีของท่านหญิงผู้อุ้มทองแท่งสองแท่งครึ่ง* รีบค้อมกายกล่าวเสียงอ่อนโยน “ขอบคุณท่านหญิงยิ่งนักที่เป็นห่วงท่านพ่อข้า ท่านพ่อตรากตรำมาครึ่งชีวิต ไม่เคยเสพสุขอย่างแท้จริงเลย เดิมทางบ้านอยากอาศัยงานเลี้ยงวันเกิดหนนี้ทำให้ท่านพ่อได้ดีใจสักหน่อย น่าเสียดายแท้ๆ…เพียงแต่มีท่านหญิงห่วงใยเช่นนี้ ผู้ใหญ่ผู้น้อยในสกุลหลิงล้วนซาบซึ้งหาที่สุดมิได้ขอรับ”

ท่านหญิงอวี้ชังพินิจดวงหน้าหล่อเหลาของว่าที่สามีซึ่งอ่อนกว่าพลางเอ่ยเสียงหวานใส “พูดอันใดของท่านกัน หรือว่าวันหน้าข้าจะไม่ใช่คนสกุลหลิง ไยต้องทำเสมือนคนอื่นคนไกลเยี่ยงนี้ด้วย”

เฉิงเซ่าซางใช้แววตาอันเฉยเมยชมดูการสนทนาของสองคนที่เหมือนเล่นงิ้วกันอยู่นี้ ก่อนแสร้งเผยสีหน้าตกใจ “โอ๊ะ ข้าถึงกับไม่รู้เลย สมควรถูกตีๆ ห้าสิบปีเป็นวันเกิดใหญ่ ตามหลักท่านโหวพึงฉลองให้เต็มที่ ทว่า…”

หลิงอี้โบกมือติดๆ กัน เอ่ยพร้อมสีหน้าถ่อมตน “ดังคำว่าผู้ตายเป็นใหญ่ มารดาของจื่อเซิ่งเพิ่งล่วงลับ กำลังเป็นช่วงเวลาที่ทางบ้านโศกเศร้า ข้าจะสะดวกใจจัดเลี้ยงใหญ่โตได้อย่างไรกัน” จบคำเขาก็พาบุตรชายคนรองกับท่านหญิงอวี้ชังจากไป

เฉิงเซ่าซางมองส่งอยู่ด้านหลัง ในใจเยาะหยันอีกหน…โศกเศร้า? พอทีเถิด!

เมื่อสิ้นฮั่วจวินหวา ตามหลักหลิงปู้อี๋จะต้องไว้ทุกข์สามปี แน่นอนว่าฮ่องเต้ไม่มีทางยอมเลื่อนงานมงคลเป็นอีกสามปีให้หลัง จึงประกาศต่อคนรอบข้างว่ากำหนดแต่งงานเดิมจะไม่เปลี่ยนแปลง ให้บุตรบุญธรรมแต่งงานในช่วงแรกไว้ทุกข์ ฮองเฮาที่ไม่แคล้วเสียดายเอ่ยกับเฉิงเซ่าซางว่า “เช่นนี้พิธีแต่งงานของพวกเจ้าก็ไม่อาจจัดยิ่งใหญ่แล้ว”

เฉิงเซ่าซางชี้มือไปยังหยกทองคำต่วนแพรซึ่งจัดวางเต็มครึ่งโถงปีกพลางยิ้มกล่าว “ฮองเฮายังทรงคิดจะจัดยิ่งใหญ่เช่นไรอีกเพคะ พระราชทานสินเจ้าสาวเพิ่มให้หม่อมฉันตั้งมากเพียงนี้ ที่บ้านวางอย่างไรก็วางไม่พอแล้ว”

ยามนี้ห่างจากกำหนดแต่งงานอีกเพียงสิบวัน ฮองเฮาจึงส่งตัวเด็กสาวพร้อมด้วยสินเจ้าสาวส่วนเพิ่มเติมนี้กลับจวนสกุลเฉิงอย่างอาลัยอาวรณ์ ทั้งย้ำกำชับหลิงปู้อี๋ให้ทำตามจารีตประเพณี ห้ามแอบหนีไปพบหน้าเจ้าสาวก่อน หลิงปู้อี๋จับจูงมือว่าที่ภรรยาไว้ พิศมองนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยากเย็นแสนเข็ญที่จะหักใจแยกจาก

ฮองเฮายิ้มบ่นอย่างอดไม่ได้ “อย่าไม่เอาไหนเยี่ยงนี้สิ ต่อไปยังมีเวลาชั่วชีวิตให้ชมดูนาง…ฝ่าบาททรงเรียกหาเจ้า เฉินอันจือมาคอยอยู่ข้างนอกเป็นครึ่งวันแล้ว เจ้ายังมัวพิรี้พิไรอยู่อีก กำลังจะไว้ทุกข์ เจ้าต้องสะสางงานในมือให้เรียบร้อยก่อนส่งมอบออกไป เอาล่ะ รีบคลายมือเร็วเข้า เซ่าซางควรต้องไปแล้ว!”

เฉิงเซ่าซางนั่งบนเกี้ยวที่ฮองเฮาพระราชทานให้ ก่อนเหลียวมองกลับไปยังขั้นบันไดที่ทอดสูงของตำหนักฉางชิว ฮองเฮาอมยิ้มยืนอยู่ตรงกลาง โบกมือให้นางอยู่ไกลๆ ส่วนหลิงปู้อี๋ถูกขันทีสองคนขวางไว้ด้านข้าง ทำได้เพียงชะเง้อมองกลุ่มของนางซึ่งเคลื่อนไกลไปทีละน้อยอย่างอาลัยอาวรณ์ แสงตะวันรอนสีแดงทองลากเงาของเขาให้ทอดยาว ทิศทางที่มันเหยียดตัวกำลังชี้ไปยังเงาหลังที่จากไปของนางอันเป็นที่รัก

ขณะจะออกไปทางประตูซั่งซี เฉิงเซ่าซางแลเห็นองค์หญิงรองกับองค์หญิงสามได้แต่ไกล ยังมีองค์ชายสามในชุดขี่ม้าดูท่ากำลังจะออกจากวังอีกผู้หนึ่ง พี่สาวกับน้องชายร่วมอุทรทั้งสามคล้ายกำลังโต้เถียงกันอยู่

“…เรื่องเล็กแค่นี้เจ้าก็ยังอิดออด หากไม่ใช่เพราะพี่เขยรองเป็นหวัด ไม่อาจออกมาข้างนอก พวกเราก็ไม่มาหาเจ้าหรอก!” องค์หญิงสามขยี้เท้าโมโห

องค์ชายสามเพิ่มระดับเสียงอย่างหาได้ยาก “ข้าก็บอกไปแล้ว พี่ชายใหญ่เรียกข้าไปทำธุระ ช่วงหลายวันนี้ข้าต้องไปค่ายหงหลิ่วสอบสวนคนจำนวนหนึ่ง เรื่องเกิดฉุกละหุก นี่ข้าก็ต้องกลับจวนไปเก็บสัมภาระ มีเวลาไปเซ่นไหว้เป็นเพื่อนพวกท่านเสียเมื่อไร!”

องค์หญิงรองที่อยู่ด้านข้างเกลี้ยกล่อมน้องสาว “เอาล่ะ อย่าทำให้เจ้าสามลำบากใจเลย เขามีเหตุมีผลเสมอมา เห็นทีจะมีเรื่องด่วนจริงๆ พวกเราสองคนไปเองก็เหมือนกัน”

องค์ชายสามรีบประสานมือคำนับแล้วหมุนตัวจากไป องค์หญิงสามยังคงฉุนเฉียว บ่นระบายความไม่พอใจ องค์หญิงรองปรามอย่างไรก็ปรามไม่อยู่ จวบจนยามที่เฉิงเซ่าซางเข้ามาใกล้ก็ยังคงได้ยินองค์หญิงสามบ่น “…แต่เล็กมาเจ้าสามก็แล้งน้ำใจเยี่ยงนี้นี่ล่ะ! ต่อให้มีธุระสำคัญ เขาพูดจาน่าฟังกับพวกเราสักสองประโยคจะเป็นไรนักหนา! ฮึ รู้แต่แรกล่ะก็ ปีนั้นที่เขาถูกความเย็นเล่นงานจนไข้ขึ้นสูง ข้าจะใส่หวงเหลียน* เพิ่มในยาต้มของเขาสักสองกำมือ!”

เฉิงเซ่าซางก้าวลงจากเกี้ยว แล้วคลี่ยิ้มคำนับองค์หญิงทั้งสอง ยามยืดกายขึ้น นางได้รับสายตาจากองค์หญิงรองที่ต้องการให้นางพูดเบี่ยงไปประเด็นอื่น นางจึงรีบเอ่ยเย้า “เอ๋? ที่แท้องค์ชายสามทรงเคยถูกความเย็นเล่นงานจนไข้ขึ้นสูงด้วยหรือนี่ เข้าวังมานานป่านนี้ หม่อมฉันได้ยินมาตลอดว่าองค์ชายสามทรงแข็งแรงแต่วัยเยาว์ ประชวรเล็กไม่เป็น ประชวรใหญ่ไม่มี”

เห็นชัดว่าองค์หญิงสามที่เคยถูกฮ่องเต้กับเยวี่ยเฟยสั่งสอนอย่างหนักมีอารมณ์เย็นขึ้นมาก จนบัดนี้ไม่เคยกลั่นแกล้งเฉิงเซ่าซางอีก เพียงค้อนปะหลับปะเหลือกใส่หนึ่งหน “เจ้าสามไม่ใช่เทพเซียนสักหน่อย มีหรือจะไม่เจ็บไข้ ป่วยเล็กยังคงมีอยู่ ส่วนป่วยใหญ่น่ะหรือ…นี่ๆ พี่หญิงรอง มีแค่หนเดียวนั้นใช่หรือไม่”

องค์หญิงรองทบทวนความทรงจำครู่หนึ่ง ก่อนหลุดยิ้มตอบ “เจ้าพูดถูกเผงทีเดียว ดูเหมือนจะมีแค่หนนั้นจริงๆ”

องค์หญิงสามแค่นเสียงฮึอย่างเย็นชา “สมน้ำหน้า! ต้นฤดูวสันต์อากาศยังหนาวอยู่ พวกเราอยู่ในห้องกอดเตาอุ่น เขากลับบ้าบิ่นออกไปเพ่นพ่านส่งเดช เสื้อบนตัวเปียกหิมะไปกว่าครึ่ง สมน้ำหน้าแล้วที่ไข้ขึ้นสูง!”

เฉิงเซ่าซางหัวใจกระตุกวูบ จึงลองสอบถามดู “ขอองค์หญิงทั้งสองโปรดทรงชี้แนะ นี่เป็นเหตุการณ์ปีใดหรือเพคะ”

องค์หญิงสามกล่าวอย่างหงุดหงิด “เจ้าจะถามเยอะเยี่ยงนี้ทำอะไร…น่าจะสิบสอง อืม สิบสามปีก่อนได้”

องค์หญิงรองสั่นศีรษะ “ไม่ถูก เป็นสิบสี่ปีก่อนต่างหาก ปีนั้นการศึกเพลาลงบ้างแล้ว เสด็จพ่อหมายทำพิธีเซ่นไหว้ครั้งใหญ่ให้เสด็จปู่เสด็จย่าที่ด่วนล่วงลับไป พอผ่านวันหยวนเซียวจึงพาพวกเราไปสุสานตงไป่ เจ้าสามล้มป่วยที่นั่นเอง”

ในใจเฉิงเซ่าซางมีความคิดหนึ่งวาบขึ้นรางๆ ทว่ารางเลือนเสียจนคล้ายดั่งเงากลางหมอกทึบ แลเห็นแต่กลับคว้ากุมไว้ไม่อยู่

องค์หญิงรองเอ่ยด้วยความแปลกใจ “ไฉนเจ้าถามเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า”

เฉิงเซ่าซางหัวเราะแห้งๆ “หม่อมฉันเพียงถามไปเรื่อยเปื่อยเพคะ”

ครั้นเฉิงเซ่าซางกลับถึงจวนสกุลเฉิง เห็นเซียวฮูหยินจัดเก็บจวนจนดูใหม่เอี่ยมแล้ว ทั้งในนอกล้วนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับพิธีแต่งงานที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้

เพียงคิดว่าบุตรสาวกำลังจะออกเรือนไป เฉิงสื่อก็แสนจะห่อเหี่ยว ถอนอกถอนใจราวถูกคนตามทวงหนี้ก็มิปาน ส่วนเซียวฮูหยินถึงกับอ่อนโยนใจดีอย่างหาได้ยาก ไม่เคี่ยวเข็ญบุตรสาวอ่านตำราคัดอักษร และไม่ติเตียนที่บุตรสาวนอนตื่นสายนั่งเหม่อลอย ไม่ว่าอันใดล้วนตามใจบุตรสาวทั้งสิ้น

มีหลายหนเฉิงเซ่าซางรู้สึกว่าอีกฝ่ายคล้ายอยากพูดคุยกับตนเรื่องวิถีของสตรีออกเรือน น่าเสียดายบรรยากาศอย่างไรก็ไม่ถูกต้องเสียที มักเป็นอีกฝ่ายมานั่งอยู่ในห้องของตนพักใหญ่โดยที่สองคนแม่ลูกไร้วาจาต่อกัน จากนั้นก็ถึงเวลากินอาหารเสียก่อน

สุดท้ายคล้ายเซียวฮูหยินคิดตกแล้ว จึงเอ่ยกับบุตรสาวว่า “ช่างเถิด ตอนนั้นก่อนออกเรือน ท่านยายของเจ้าพร่ำบอกพร่ำสอนแม่อยู่ครึ่งค่อนวัน แต่แม่ก็ยังคงทำจนอลหม่านไปหมด จื่อเซิ่งเป็นคนมีความคิดอ่าน ฉะนั้นเจ้าไม่ต้องกลัวนี่กลัวนั่น บางเรื่องตัวเราตรึกตรองเองยังจะเหนือกว่าให้ผู้อื่นมาบอกมาสอนเรา ยิ่งไปกว่านั้นแม่ก็ไม่ใช่ลูกสะใภ้ที่น่ายกย่องอันใด”

เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่ามีเหตุผลยิ่ง

ขณะที่เซียวฮูหยินกับชิงชงฮูหยินวุ่นเตรียมพิธีแต่งงานกับสินเจ้าสาวของเฉิงเซ่าซาง งานจิปาถะประจำวันในจวนสกุลเฉิงล้วนได้เฉิงยางดูแลเช่นเคย

เห็นเฉิงเซ่าซางอยู่ว่างจนเบื่อหน่าย บางครั้งเฉิงยางก็จะชวนอีกฝ่ายไปช่วยกันดูบัญชีคุมงานในจวน เมื่อมีน้องสาวผู้นี้อยู่ด้วย ตอนดูบัญชีกระทั่งแท่งคำนวณเฉิงยางก็ไม่ต้องใช้อีก อีกฝ่ายเพียงใช้ตากวาดผ่านตัวเลขรอบหนึ่ง ก็สามารถคำนวณในใจบอกคำตอบนางได้โดยตรง

วันนี้นางพาน้องสาวไปตรวจดูห้องว่างในจวน น้องสาวเห็นนางจับดูนู่นนี่อย่างละเอียดยิบจึงทักว่า “ไหนๆ ก็ไม่มีใครอยู่อาศัย ทั้งตอนทำพิธีแต่งงานแขกเหรื่อก็ไม่บุกมาถึงเรือนหลังอยู่แล้ว ท่านจะเปลืองแรงเช่นนี้ไปทำอะไร อารองอุตส่าห์กลับมาทั้งที พวกท่านพ่อลูกอยู่ด้วยกันมากๆ สิจึงจะถูก อีกหน่อยไว้ท่านออกเรือนไป อยากจะพูดคุยกับอารองให้เต็มที่ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้อีก”

เฉิงยางยิ้มกล่าว “ท่านพ่อไม่ใช่ท่านลุงใหญ่ที่ไม่ว่าจะอบรมหรือชมเชยล้วนพูดได้นานเป็นครึ่งวัน วันที่ท่านพ่อกลับถึงบ้าน พวกเราสองคนพ่อลูกก็พูดคุยกันจบแล้ว ถัดจากนั้นมีแต่นั่งเฉยจ้องตากันไปมา…เฮ้อ ยังคงให้แล้วไปดีกว่า”

นางสั่งบ่าวตรวจสอบผนังกับเพดานให้ถี่ถ้วนว่ามีน้ำรั่วซึมอับชื้นหรือไม่ “รอจนจัดพิธีแต่งงานของเจ้าเสร็จ ถัดไปก็จะเป็นงานมงคลของพี่ใหญ่กับพี่สวี่เอ๋อ แล้วก็พิธียกพี่รองเป็นบุตรชายสกุลวั่น…ถึงตอนนั้นย่อมต้องเชิญผู้เฒ่าผู้นำตระกูลที่อยู่ภูมิลำเนาเดิมหลายท่านมา ห้องว่างเหล่านี้ก็จะได้ใช้แล้วไม่ใช่หรือ หากวันหน้าป้าสะใภ้ใหญ่จะต้องวุ่นจนเท้าไม่ติดพื้น ข้าก็มิสู้รวบรวมจัดการเสียก่อน…”

เห็นเฉิงยางง่วนทำงานจนหน้าตามอมแมม เฉิงเซ่าซางก็เอ่ยเสียงเบา “โชคยังดีที่ในบ้านมีท่านอยู่ ท่านแม่จึงมีผู้ช่วยที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่ง”

เฉิงยางเหลียวหลังมาตอบปนยิ้ม “ป้าสะใภ้ใหญ่เก่งฉกาจยิ่ง เฉพาะช่วงนี้เท่านั้นที่มีหลายงานมารวมกัน หาไม่นางกับน้าชิงย่อมจัดการได้อย่างเหลือเฟือ ไม่มีธุระอันใดให้ข้าทำหรอก”

เฉิงเซ่าซางถอนหายใจ…เอาเถิด เซียวฮูหยินไม่ได้รักถนอมผิดคน

พี่สาวน้องสาวทั้งสองนำพาเหล่าบ่าวรับใช้มาถึงห้องใต้หลังคาที่งามประณีตเป็นพิเศษห้องหนึ่ง ด้านในจัดวางเครื่องดนตรีหลากชนิด ไม่ว่าจะเป็นพิณ ขลุ่ยเซียว ซวิน เซิง* กลอง ขลุ่ยตี๋ยาว ขลุ่ยตี๋สั้น เซ่อยี่สิบห้าสาย เซ่อห้าสิบสาย…รวมถึงระฆังชุดทองเหลืองขนาดค่อนข้างเล็กอีกหนึ่งแถว

เฉิงเซ่าซางกล่าวด้วยความเลื่อมใส “เดิมนี่เป็นห้องของท่านปู่กระมัง”

เฉิงยางตอบ “ใช่ ขณะท่านปู่ยังมีชีวิตชอบมาอยู่ที่นี่…แต่ท่านย่าไม่ชอบที่นี่เลย”

พูดอันใดกันเล่า วันทั้งวันสามีหมกมุ่นกับดนตรี ไม่ยอมแยแสตน ฮูหยินผู้เฒ่าเฉิงชอบที่นี่สิแปลก!

“นี่คืออะไร เยากู่** หรือ” เฉิงเซ่าซางชี้มือไปยังกลองเล็กทรงกลมสีดำมะเมื่อมใบหนึ่งตรงมุมห้อง สองด้านของตัวกลองมีแถบผ้ากว้างห้อยลงมา

เฉิงยางมองพิจารณาก่อนเอ่ยอย่างลังเล “…อืม น่าจะเป็นผีกู่*** มากกว่านะ ครั้งแรกที่ป้าสะใภ้ใหญ่พาข้ามาเคยเอ่ยว่า…ขณะเดินทัพสู้รบ ใช้จัดระเบียบพลทหาร ต่อให้ขี่อยู่บนหลังม้าก็ตีได้”

เฉิงเซ่าซางเดินตรงไปใช้ฝ่ามือตีบนผีกู่ ตัวกลองก็เปล่งเสียงอันทุ้มลึกยาวไกล คล้ายสะท้านถึงก้นบึ้งหัวใจนาง

ราตรีนั้นเฉิงเซ่าซางสะดุ้งตื่นพร้อมกับเม็ดเหงื่อโซมศีรษะ นางมองเห็นนิ้วมือของตนเองสั่นเทิ้ม ชุดเจ้าสาวสีแดงสดปักลายสีทองระยับบนราวแขวนที่อยู่ด้านข้างให้ความรู้สึกกดทับจนนางหายใจไม่ออก อาภรณ์หรูหราชั้นเลิศซึ่งช่างปักที่ดีที่สุดสิบสองคนของวังหลวงใช้เวลาหนึ่งเดือนเต็มรังสรรค์ขึ้นนี้ กลับทำให้นางพรั่นใจสุดพรรณนา

หลังจากเหม่อลอยพักใหญ่ นางก็คลุมเสื้อลุกขึ้น อ้อมผ่านเหลียนฝางที่หลับสนิทอยู่อย่างระมัดระวัง เดินไปจนถึงกลางลานตามลำพัง

รัตติกาลลึกล้ำดั่งบึงลึก เย็นเยียบเฉกน้ำเย็น นางเดินไร้จุดหมายไปหนึ่งรอบ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวถึงกับมายังหอที่มีห้องใต้หลังคาซึ่งตนมาเยือนเมื่อกลางวัน

นางเดินเข้าไปในห้องดนตรีของนายท่านผู้เฒ่าเฉิง อุ้มผีกู่ใบนั้นแล้วนั่งหันไปทางหน้าต่างหาดวงจันทร์

ฝ่ามือแรกตีลงไป…คล้ายแดนไกลมีหมื่นอาชาห้อตะบึง กีบเท้าย่ำปานเหินทะยาน ผืนดินสะท้านภูผาสะเทือน ฝ่ามือที่สองตีลงไป…ดุจดาบกระบี่เผยคมวาววับ แม่ทัพทหารหาญเข้าตะลุมบอน เลือดเนื้อเกลื่อนกระเซ็น กลิ่นอายแห่งสงครามพาให้ลมหายใจติดขัด ฝ่ามือที่สามตีลงไป…เฉกเหยี่ยวบินผงาดกลางเวิ้งฟ้าอันสูงลิ่ว นภาใสดั่งถูกชะล้าง ไร้พยับเมฆแม้ปุยเดียว ฝ่ามือที่สี่ตีลงไป…

เฉิงเซ่าซางยกฝ่ามือที่เจ็บปวดสั่นเทาขึ้นป้องดวงตา หยาดน้ำใสวาดผ่านวงหน้าโดยไร้เสียง

ในที่สุดนางก็รู้ว่าเหตุใดตนมักหวั่นวิตกโดยไม่รู้สาเหตุ มักแสดงท่าทีระวังป้องกันอย่างไม่อาจอธิบายได้ อันที่จริงเรื่องราววางแผ่อยู่ตรงหน้านางแต่แรกแล้ว นางตระหนักได้ถึงสิ่งที่ชวนกระวนกระวายใจ แต่กลับไม่อาจระบายออกจากปาก

ชีวิตคนเราประหนึ่งเม็ดทรายที่คืบคลานอยู่ริมทะเล เกลียวคลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดสาดมา ไม่ว่าจะเป็นคลื่นเล็กสาดฟองสีขาวหรือเป็นคลื่นยักษ์ท่วมมิดศีรษะ นอกจากฝืนเชิดคอแบกรับ ก็ดูเหมือนจะไม่มีหนทางอื่นใด

เฉิงเซ่าซางลดมือที่ชุ่มไปด้วยน้ำตา แล้วยืดแผ่นหลังตรง…นางไม่อาจมัวนั่งร่ำไห้ แต่เล็กมานางก็ไม่ใช่คนที่จะนั่งงอมืออยู่เฉย นางยังมีเรื่องอีกมากที่จะต้องทำ

 

* อวิ๋นเมิ่ง (หรืออวิ๋นเมิ่งเจ๋อ) เป็นคำเรียกรวมกลุ่มทะเลสาบขนาดใหญ่ในสมัยโบราณ ยุคก่อนราชวงศ์ฉินกินพื้นที่ยาวรวม 450 กิโลเมตร ต่อมาถูกตะกอนทับถมจนมีพื้นที่หดเล็กลงเรื่อยๆ ปัจจุบันเหลือเพียงทะเลสาบไม่กี่แห่งที่กระจายตัวแยกกัน

** จิงเว่ยถมทะเล เป็นตำนานเทพปกรณัมจีนที่สื่อถึงจิตใจอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ความว่าธิดาคนเล็กของเหยียนตี้ (หรือเสินหนงเทพแห่งการเกษตร) ไปเที่ยวทะเลบูรพาแล้วจมน้ำตาย วิญญาณของนางกลายร่างเป็นนกน้อยนาม ‘จิงเว่ย’ เฝ้าคาบหินคาบไม้ไปถมทะเลบูรพาทุกวัน หมายล้างแค้นที่ถูกทะเลบูรพาพรากชีวิตไป

* มีที่มาจากสำนวน ‘ฝ่ายหญิงโตกว่าสามปีอุ้มทองแท่ง’ หมายถึงคู่แต่งงานที่ฝ่ายหญิงโตกว่าฝ่ายชายสามปี ถือเป็นสิริมงคล ทว่า ‘อุ้มทองแท่งสองแท่งครึ่ง’ เป็นการเล่นสำนวนของผู้เขียน โดยหากสามปีเท่ากับทองแท่งหนึ่งแท่ง เช่นนั้นท่านหญิงอวี้ชังโตกว่าคุณชายรองหลิงราวหกเจ็ดปีก็ต้องอุ้มทองแท่งสองแท่งเศษ

* หวงเหลียน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งของจีน รากมีรสขมมาก

* เซิง เป็นเครื่องดนตรีจีนโบราณประเภทเครื่องเป่า โดยทั่วไปประกอบด้วยเลาไม้ไผ่ยาวสั้นต่างกันสิบสามเลา

** เยากู่ เป็นกลองพื้นบ้านที่มีมาแต่โบราณของจีน ขนาดกะทัดรัดยาวราว 34 เซนติเมตร มีแถบผ้าแพรสำหรับผูกติดกับเอว สมัยฉินใช้ไม้ตีบรรเลง ประกอบท่าทางร่ายรำ

*** ผีกู่ คือกลองสำหรับตีให้สัญญาณในกองทัพจีนโบราณ มีทั้งกลองเล็กและกลองใหญ่ วงดนตรีจีนโบราณก็มีใช้เช่นกัน

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: