X
    Categories: ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพรายทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ดุจรักดั่งห้วงดาราพร่างพราย บทที่ 134

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 134

ถึงแม้บัดนี้เฉิงเซ่าซางสามารถเข้าออกจวนสกุลเฉิงได้ตามแต่ใจ กระนั้นการจะเปิดประตูจวนกลางดึกก็ยังคงสร้างความแตกตื่นแก่ท่านพ่อเฉิงและเซียวฮูหยินอยู่ดี สองสามีภรรยาเร่งคลุมเสื้อนอกรุดออกมา กลับต้องตระหนกที่เห็นบุตรสาวแต่งกายพร้อมออกเดินทางแล้ว

บนชุดยาวตัวนอกสีดำสนิทปักด้วยไหมเงินเป็นลวดลายวิหคบุปผา ดั่งภาพสีน้ำหมึกที่ดำขาวกลับสลับกัน ตรงเอวบางรัดกระชับ ข้อมือใส่สนับหนัง ขาเรียวสวมรองเท้าหุ้มข้อยาวตั้งตรงสีหิมะสว่างตา เรือนผมดกงามทั้งศีรษะรวบเป็นมวยสูงเรียบตึง นอกจากที่ติดผมเงินยวงหลายอันซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในเรือนผมแล้ว บนร่างก็ไม่มีเครื่องประดับอื่นอีก ทั่วร่างของเด็กสาวแลคล้ายผนึกแข็ง เคร่งขรึม แผ่ซ่านไอหนาวออกมารางๆ

เซียวฮูหยินยิ่งมองยิ่งใจสั่น ต่อให้บุตรสาวเดินทางไกลก็ไม่เคยแต่งกายจริงจังเช่นนี้มาก่อน

“เจ้าจะไปที่ใด! อีกสามวันก็จะออกเรือนแล้ว เจ้าป่วนอันใดของเจ้ากัน ดึกดื่นเยี่ยงนี้ ข้างนอกยังเป็นเวลาห้ามออกนอกเคหสถานอยู่นะ!” เฉิงสื่อรีบตะโกนลั่นเมื่อเห็นบุตรสาวพาองครักษ์ที่ฮองเฮามอบให้นางแปดคนเดินตรงไปยังประตูใหญ่

เฉิงเซ่าซางเหลียวหลังมาเอ่ยปนยิ้ม “ก่อกวนท่านพ่อท่านแม่เสียแล้ว ไม่มีอันใดหนักหนาหรอกเจ้าค่ะ ลูกมีธุระจะออกไปข้างนอกสักเที่ยว เชิญท่านพ่อท่านแม่ไปนอนพักต่อเถิด…”

ท่านพ่อเฉิงร้อนใจจนเส้นเลือดสีเขียวบนหน้าผากโปนขึ้น เขาสอดแขนลงในแขนเสื้อนอกไปพลางแย้งเสียงดังไปพลาง “เจ้าป่วนเยี่ยงนี้ยังจะให้พวกเรานอนได้อย่างไรกัน! นี่เจ้าเอาใครมาเล่นสนุกส่งเดช…”

“เป็นหลิงปู้อี๋เกิดเรื่องใช่หรือไม่” เซียวฮูหยินพลันถาม

เฉิงเซ่าซางสบตาอีกฝ่ายในทันที ริมฝีปากผุดรอยยิ้มเลื่อมใสบางๆ ไม่รอให้นางเอ่ยตอบ ทางด้านหน้าก็มีบ่าวชายของสกุลเฉิงผู้หนึ่งวิ่งมาอย่างเร่งร้อน คุกเข่าเบื้องหน้านางก่อนกล่าว “เรียนคุณหนู ข้าน้อยไปดูที่จวนเฉิงหยางโหวมาแล้ว เคาะประตูอยู่เป็นนานกว่าจะมีบ่าวสูงวัยผู้หนึ่งมาเปิด บอกเพียงว่าท่านโหวทั้งครอบครัวไปที่คฤหาสน์นอกเมืองตั้งแต่เมื่อวาน ได้ยินว่าจะจัดงานวันเกิดครบห้าสิบปีขอรับ”

เฉิงเซ่าซางหรี่ตาลง “เป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย”

“หลิงปู้อี๋มีเรื่องจริงๆ สินะ?”

เซียวฮูหยินซวนเซ เฉิงสื่อรีบพยุงภรรยาไว้ สองคนสามีภรรยาสบตากัน ต่างนึกถึงงานเลี้ยงวันหยวนเซียวในวังเมื่อสองเดือนก่อน

ยามนั้นเป็นตอนเที่ยง เฉิงเซ่าซางกับหลิงปู้อี๋แยกกันยืนอยู่สองข้างของฮ่องเต้กับฮองเฮา ท่ามกลางแสงเงาของดวงตะวัน เด็กสาวยืนอยู่ใต้ชายคา ส่วนชายหนุ่มอยู่บนขั้นบันไดตำหนัก ฝ่ายแรกแม้มีร่มเงาปกคลุม ทั่วร่างกลับกำจายพลังชีวิตอันสดใส ผิดกับฝ่ายหลังแม้มีแสงแดดฉาบฉาย ถูกรายล้อมดั่งดาวล้อมเดือน เรียกได้ว่าเสริมกันให้ยิ่งเรืองรองงามตา แต่กลับแผ่เงามืดปนกระไอเย็นชาออกมารางๆ

เซียวฮูหยินรู้สึกไม่ดีโดยไม่รู้สาเหตุ พอกลับถึงบ้านจึงรีบถามสามีว่า ‘ข้าเคยมองคนพลาดน้อยมากจริงๆ น่ะหรือ’

เฉิงสื่อเยินยอภรรยา ‘แม้แต่โจรแซ่เฉินในตอนนั้น ช่วงแรกเริ่มเจ้าก็เพียงแค่ถูกตบตา ไม่ทันไรก็มองออกว่าไม่สู้ดี พวกเราจึงได้หนีออกมาทันกาล เหนียวเหนี่ยวก็เช่นเดียวกัน แรกเริ่มเจ้ามีอคติ ต่อมายิ่งนานวันยิ่งรู้สึกว่านางดีแล้วไม่ใช่หรือไร’

เซียวฮูหยินเอ่ยอย่างอัดอั้นตันใจ ‘หากมีคนผู้หนึ่ง แรกเริ่มข้าไม่รู้สึกอย่างไร แต่ต่อมากลับรู้สึกว่ายิ่งนานวันยิ่งไม่สู้ดีเล่า’

เฉิงสื่อตอบ ‘เจ้ามองคนยิ่งนานยิ่งแม่นยำ ไม่เคยมีข้อยกเว้น’

เซียวฮูหยินกล่าว ‘ข้ากลับหวังให้มีข้อยกเว้น เพราะหนนี้ข้ารู้สึกว่าหลิงจื่อเซิ่งชักไม่สู้ดีแล้ว’

หลังเหตุการณ์นั้นสองสามีภรรยาหารือกันอยู่เป็นนาน ต่างตัดสินใจว่าให้แล้วกันไปเถิด อีกฝ่ายเป็นถึงบุตรบุญธรรมของฮ่องเต้ เป็นขุนนางหนุ่มที่เรืองอำนาจ และยิ่งเป็นว่าที่บุตรเขยของพวกตน ย่อมไม่อาจทักท้วงโดยใช่เหตุเพียงเพราะสัญชาตญาณของเซียวฮูหยิน ผลสุดท้ายกลับ…

เฉิงเซ่าซางย่อเข่าคำนับบิดามารดา แล้วเอ่ยด้วยความเคารพ “เชิญท่านพ่อท่านแม่ไปพักผ่อนก่อนเถิด คาดว่าในเมืองหลวงจะไม่มีเรื่องใดหรอก กระนั้นเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน ยังคงขอให้ท่านแม่กวดขันเวรยามเฝ้าประตูให้ดี ลูกขอตัวก่อน ลูกไป…ไปประเดี๋ยวเดียวก็กลับเจ้าค่ะ”

เซียวฮูหยินสืบเท้าขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว พร้อมกับตวาดเสียงเฉียบขาด “เจ้าห้ามออกไปนะ! หากหลิงจื่อเซิ่งมีบางอย่างไม่สู้ดี เจ้าส่งคนไปแจ้งในวังก็ได้ ไยต้องออกไปเองด้วย! เจ้ายังคิดจะออกไปนอกเมืองเชียวหรือ ถ้าหากเป็นอะไรไปจะทำเช่นไร อีกอย่างเจ้าก็ออกจากประตูเมืองไม่ได้อยู่ดี!”

ฝีเท้าของเฉิงเซ่าซางหยุดชะงัก หันกลับมามองผู้เป็นมารดา ก่อนเอ่ยเน้นทีละคำ “ท่านแม่วางใจได้ สิ่งที่ควรทูลแจ้ง ลูกได้ทูลแจ้งเป็นที่เรียบร้อย ทว่าคืนนี้ลูกยังคงต้องออกไป ท่านขวางลูกไม่ได้หรอก”

เซียวฮูหยินขยี้เท้าอย่างฉุนขาด ตะโกนสั่งเสียงก้อง “ใครอยู่บ้าง! จงจับตัวคุณหนูไว้…”

ตอนนี้เองประตูใหญ่จวนสกุลเฉิงซึ่งเดิมทีเปิดออกครึ่งหนึ่งแล้วพลันถูกกระแทกเปิดอย่างหนักหน่วง จากนั้นองครักษ์เกราะทองห่มผ้าคลุมซึ่งปักตราสัญลักษณ์ตำหนักฉางชิวกลุ่มหนึ่งก็เป็นเช่นกระแสน้ำไหลบ่าเข้ามาในจวนสกุลเฉิง หัวหน้าหนุ่มซึ่งอยู่หน้าสุดและมีหงส์คู่สยายปีกอยู่บนหมวกเกราะทองผู้นั้นคุกเข่าข้างหนึ่งเบื้องหน้าเฉิงเซ่าซาง ก่อนประสานมือกล่าว “ข้าน้อยรุดมาตามคำสั่ง น้อมฟังแม่นางเฉิงใช้สอยขอรับ”

เฉิงเซ่าซางถูกโอบล้อมอยู่ท่ามกลางองครักษ์หลวง นางเดินเข้าไปใกล้เซียวฮูหยินก้าวหนึ่งช้าๆ เอ่ยด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย “ฮองเฮาทรงมอบป้ายคำสั่งต่างๆ แก่ลูกแต่แรกแล้ว ไม่เพียงสามารถเข้าประตูวังยามวิกาล ผ่านทุกแห่งโดยไร้อุปสรรค ยังบัญชาองครักษ์ตำหนักฉางชิวได้…เพียงแต่ลูกไม่เคยใช้งานมาก่อน และไม่มีใครอื่นล่วงรู้” นี่เป็นอำนาจที่ฮองเฮามีนับแต่สำเร็จราชการช่วงที่ฮ่องเต้ออกรบสร้างแคว้น

บรรดาบ่าวชายสกุลเฉิงซึ่งเดิมกำลังจะตรงไปจับตัวคุณหนูล้วนหยุดฝีเท้าไม่เดินหน้า พากันหันหลังมา ใช้สายตาขอความเห็นจากผู้เป็นนายหญิง

เซียวฮูหยินมือเท้าเย็นเฉียบดุจน้ำแข็ง แผดตะโกนอย่างเสียอาการ “เหนียวเหนี่ยวอย่าไปนะ! มีเรื่องใหญ่อะไรย่อมจะมีฮ่องเต้กับฮองเฮาเป็นผู้ตัดสินใจเอง เจ้า…เจ้า…”

เฉิงเซ่าซางเงยหน้ามองไปทางมารดาบังเกิดเกล้า เห็นหญิงงามผู้ซึ่งแต่งกายสะอาดเรียบร้อยพิถีพิถันเสมอมา บัดนี้ถึงกับมีสีหน้าว้าวุ่น กิริยาลนลาน ในใจเด็กสาวก็ให้เศร้าหมอง กระนั้นกลับยังคงเชิดปลายคางขึ้นสูง เอ่ยอย่างทระนง “ท่านแม่ ท่านไม่รู้สึกว่าตนเองดูแลข้าสายไปหรือ เมื่อแรกท่านไม่ได้ดูแลข้า ตอนนี้…ท่านก็ไม่อาจดูแลข้าแล้ว…พวกเราไป!”

เฉิงสื่อโกรธจนกระทืบเท้า แต่กลับทำได้เพียงประคองภรรยาที่เนื้อตัวสั่นเทิ้มไว้ เบิกตามองบุตรสาวออกจากประตูใหญ่ไปกับองครักษ์เกราะทอง ภายหลังคลื่นโทสะซัดผ่าน เขายังคงจัดทหารประจำจวนครึ่งหนึ่งกับองครักษ์หญิงสี่นางให้ไล่หลังติดตามบุตรสาวไป

 

ขณะจะออกจากประตูเมือง แววตาที่นายกองผู้เฝ้าประตูมองมาทางเฉิงเซ่าซางนั้นทั้งประหลาดใจทั้งตื่นตัว เพียงแต่ยังดีที่นางจะออกจากเมือง ไม่ใช่จะนำกำลังพลอาวุธครบมือหนึ่งหน่วยเข้าเมืองมา นายกองผู้นั้นจึงยังคงเปิดทางให้ตามคำสั่ง

เจ้าม้าน้อยลายโคนมบัดนี้ตัวใหญ่ขายาว วิ่งได้ไวปานสายลมแล้ว ไม่มีรูปลักษณ์อันอุ้ยอ้ายใสซื่อเช่นกาลก่อนอีก เฉิงเซ่าซางนั่งอยู่บนอานม้า ข้างหูคือสายลมหนาวต้นฤดูวสันต์ดังอื้ออึง รอบกายคือทหารกับองครักษ์หญิงคนสนิทที่ท่านพ่อเฉิงสั่งให้ไล่ตามมา ยังมีกลุ่มองครักษ์ของฮองเฮาซึ่งย่ำเกือกม้าดังครืนครั่น…เมื่อก่อนเสียงอันคุ้นเคยนี้มักทำให้นางสบายใจ เพราะนางรู้ว่าไม่ว่าตนจะเผชิญกับสิ่งใด จะมีคนผู้หนึ่งนำทัพลงจากฟ้ามาช่วยนาง ทำให้นางรอดพ้นภยันตรายได้เสมอ

ทว่ายามนี้เล่า…ถึงอย่างไรนางก็จะต้องไปถามให้ชัดแจ้งด้วยปากของนางเอง ถือว่าให้คำอธิบายกับชีวิตที่โชคร้ายอีกเช่นเคยของตน

ตัวกลัดเงินที่คล้องยึดเสื้อคลุมอยู่กระทบกันตรงหน้าอก บังเกิดเสียงติงๆ กังวานใส เรียกให้เฉิงเซ่าซางดึงสติคืนมา แลเห็นด้านหน้าปรากฏดวงไฟวับแวมเคลื่อนที่บรรจบกันเป็นเส้นยาวสองสาย ราวงูอัคคีลากเลื้อย ประสานกับเสียงเกือกม้าที่ดังครืนครั่นเช่นเดียวกัน พาดผ่านที่ราบอันโล่งกว้างหนาวเย็นมาอย่างรวดเร็ว

เฉิงเซ่าซางแสดงท่าที หัวหน้าองครักษ์ก็รีบสั่งการ ส่งผู้ใต้บัญชาเร่งควบม้าขึ้นหน้าไปชั่วระยะหนึ่งแล้วตะโกนก้อง “พวกข้าคือองครักษ์ตำหนักฉางชิว พวกเจ้าเป็นผู้ใด ไฉนห้อม้าอยู่นอกเมืองยามวิกาล!”

ในกองทัพฝั่งตรงข้ามมีทหารม้าสองนายเร่งควบนำออกมา ก่อนตอบกลับเสียงดัง “พวกข้าคือทหารประจำช่องเขาฉือซู่ รับคำสั่งโยกย้ายไปยังหน่วยเจินหยาง!”

องครักษ์ถามจบก็กลับเข้ามาในขบวน เฉิงเซ่าซางให้หัวหน้าองครักษ์สั่งคนทั้งหมดเร่งควบม้าต่อ ใครจะรู้ไม่ทันไรก็พบทหารอีกกองหนึ่ง สอบถามได้ความว่าพวกเขามาจากค่ายภูเขาเป่ยเซิ่ง รับคำสั่งโยกย้ายไปยังอุทยานหลวงนอกเมืองทิศตะวันตก

เดินทางมุ่งหน้าต่อไปเช่นนี้ กลุ่มของเฉิงเซ่าซางถึงกับพบทหารที่เดินทัพยามราตรีอีกสองกอง ในจำนวนนั้นมีกองหนึ่งคือทหารหน่วยเจินหยางที่ถูกสั่งโยกย้ายไปยังจุดอื่น ครานี้แม้แต่หัวหน้าองครักษ์ยังรู้สึกแปลกใจแล้ว เขาชะลอฝีเท้าม้าก่อนถามเลียบเคียง “ขอบังอาจเรียนถามแม่นางเฉิง ไฉนคืนนี้จึงมีคำสั่งโยกย้ายทหารมากเพียงนี้ได้”

เฉิงเซ่าซางย้อนถาม “ตามความเห็นของท่านนายกอง คำสั่งโยกย้ายเหล่านี้น่าจะบ่งชี้ถึงเรื่องใดเล่า”

หัวหน้าองครักษ์เกาศีรษะ “สถานที่หลายแห่งนี้ล้วนเป็นค่ายทหารขนาดเล็ก จำนวนคนมากหน่อยเรือนพัน จำนวนคนน้อยหน่อยมีเพียงสามถึงห้าร้อยนาย เมื่อครู่ฟังดูก็มิใช่โยกย้ายไปรวมพลที่จุดเดียว หากแต่เป็นตะวันออกมาตะวันตกไป สลับตำแหน่งกันเองเท่านั้น ข้าน้อยมองไม่ออกจริงๆ ว่ามีจุดประสงค์ใด”

มุมปากเฉิงเซ่าซางยกยิ้มเย็น “ไม่มีจุดประสงค์ก็เป็นจุดประสงค์อย่างหนึ่ง”

หัวหน้าองครักษ์กังขา “เช่นนั้นพวกเรา…ยังไปต่อหรือไม่ขอรับ”

เฉิงเซ่าซางโบกมืออย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ต้องสนใจคนเหล่านั้น พวกเรารุดเดินทางต่อ คฤหาสน์สกุลหลิงยังอีกไกลเท่าใด”

หัวหน้าองครักษ์ไม่กล้าดูแคลนเด็กสาวตรงหน้า นางแม้อายุน้อย อีกทั้งเป็นสตรี ทว่าบนร่างกลับแฝงซึ่งพลังอันกล้าแกร่งเฉียบขาด เขาประเมินชั่วครู่ก่อนตอบ “ใกล้แล้ว อีกครึ่งชั่วยามขอรับ”

กระดอนอยู่บนหลังม้ารวมตั้งแต่ต้นเกือบหนึ่งชั่วยามครึ่ง เฉิงเซ่าซางรู้สึกว่ากระดูกเส้นเอ็นร้าวระบมไปทั้งร่าง ประหนึ่งถูกบีบอัดผ่านช่องคลอดของมารดาออกมาเยือนโลกอันแปลกหน้าอันตรายใบนี้ใหม่อีกครั้ง ทว่านางฝืนข่มทนไว้ไม่เปล่งเสียง…ฉะนั้นที่คนเรามาเกิดบนโลกก็เพื่อจะแบกรับความทุกข์ทรมานกับการหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเยี่ยงนี้น่ะหรือ เช่นนั้นไยจะต้องเปลืองแรงผ่านชีวิตบนโลกนี้รอบหนึ่งด้วย

เพียงชั่วขณะเดียวน้ำตาก็รื้นเปื้อนขนตา นางปาดเช็ดมันออกเงียบๆ

ทอดตามองไกลไปยังคฤหาสน์สกุลหลิงซึ่งตั้งอยู่ที่เชิงเขา ตรงนั้นได้แปรสภาพเป็นทะเลเพลิงหนึ่งผืน แทรกปนด้วยเสียงร้องโหยหวนกับเสียงตวาดด่าทอ กลางราตรีอันมืดมิดแสงอัคคีลุกโชนยิ่งจับตาเป็นพิเศษ บางส่วนนั้นเป็นเปลวไฟที่กำลังเผาไหม้หมู่เรือน ท่ามกลางลมหนาวกรูเกรียวไฟยิ่งลุกโหมรุนแรง อีกส่วนที่มากยิ่งกว่าคือหมู่คบไฟซึ่งชูสูงอยู่ในมือทหารและคลุ้งกลิ่นคาวโลหิตอันเข้มข้น กลุ่มแสงเหล่านั้นปิดล้อมคนสกุลหลิงอยู่ภายในเป็นชั้นๆ ดุจทะเลดาวที่อันตรายไพศาลไร้ขอบเขต

เหล่าองครักษ์ที่ขี่ม้าอยู่รายรอบเฉิงเซ่าซางต่างตกตะลึง พากันถามด้วยความประหลาดใจ…

“นี่มันอะไรกัน”

“ใครกันกล้าบังอาจเยี่ยงนี้ ถึงกับบุกฆ่าล้างคฤหาสน์ของท่านโหวที่ราชสำนักแต่งตั้ง”

“ดูท่าทางไม่เหมือนโจรผู้ร้าย กลับคล้ายทหารของราชสำนัก”

“โอ๊ะ หรือว่าสกุลหลิงก่อกบฏ ราชสำนักจึงส่งทหารมาล้อมปราบ”

“แล้วพวกเราจะช่วยหรือไม่ช่วยเล่า”

ในกลุ่มคนมีเพียงเฉิงเซ่าซางที่ใบหน้าไร้ความรู้สึก นางขี่ม้าลงไปตามเนินเขาอย่างเยือกเย็นเช่นปกติ

พลทหารที่โอบล้อมคฤหาสน์อยู่แลเห็นคนอีกกลุ่มขี่ม้าตรงมาก็รีบขึ้นหน้าไปสกัดขวาง เฉิงเซ่าซางให้เหล่าองครักษ์หลีกทาง ตนเองขี่ม้าเดินหน้าไปแล้วเอ่ยตรงๆ ทันที “พวกเจ้าเป็นผู้ใดนำทัพ จางซั่น หรือว่าหลี่ซือ หรือเป็นพี่น้องสกุลเหลียงชิว”

พลทหารเหล่านี้เป็นทหารส่วนตัวของหลิงปู้อี๋ พอเห็นหน้าเฉิงเซ่าซาง พวกเขาก็ทึ่มทื่ออยู่กับที่…โชคดีที่หนึ่งปีมานี้นางอยู่กับหลิงปู้อี๋ดุจเงาตามตัว เข้าออกพร้อมกัน ผู้ที่เคยเห็นหน้าเห็นตาของนางหาใช่คนสองคนเสียเมื่อไร

“พวกเจ้าไม่ต้องลำบากใจ ข้าเพียงนำองครักษ์ตำหนักฉางชิวมาไม่กี่สิบคนกับทหารจวนสกุลเฉิงส่วนหนึ่ง ขัดขวางงานอันใดของพวกเจ้าไม่ได้หรอก” เฉิงเซ่าซางกล่าวเรียบๆ “เจ้าส่งคนพาข้าไปหาหลิงปู้อี๋ก็พอ องครักษ์กับทหารเหล่านี้จะคอยอยู่ที่รอบนอก”

หัวหน้าองครักษ์เคร่งเครียด “แม่นางเฉิง จะให้ท่านเข้าไปผู้เดียวได้อย่างไร! หากฮองเฮาทรงทราบก็จะไม่ละเว้นพวกข้าเช่นกัน!”

เฉิงเซ่าซางโบกมือยับยั้งไม่ให้อีกฝ่ายพูดต่อ “ข้าจะไม่เกิดเรื่องแน่ ฮองเฮาทรงทราบอุปนิสัยของข้า จะไม่ตำหนิท่านนายกองกับพวกหรอก”

เหล่าพลทหารของหลิงปู้อี๋หารือกันเบาๆ สองสามประโยค ก็ตัดสินใจจะพาเฉิงเซ่าซางเข้าไป…ทั่วเมืองหลวงไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าหลิงปู้อี๋กับว่าที่ภรรยารักใคร่กันลึกซึ้ง ผูกพันยากแยกจาก หากผู้ใดล่วงเกินแม่นางสี่เฉิง ผู้นั้นจะเดือดร้อนยิ่งกว่าล่วงเกินตัวหลิงปู้อี๋เองเสียอีก

เฉิงเซ่าซางปลดสายบังเหียนลงจากม้า ทิ้งหน่วยองครักษ์ของฮองเฮากับทหารจวนสกุลเฉิงไว้ เพียงพาองครักษ์หญิงสี่นางเดินมุ่งสู่ด้านใน

ขณะนี้คฤหาสน์ซึ่งกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่หลังนี้แบ่งเป็นฝั่งตะวันออกกับตะวันตกอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนฝั่งตะวันออกถูกกวาดล้างไปแล้ว ทุกแห่งล้วนมีคนชูคบไฟเฝ้าคุม ยังคงตรวจตราตามซอกมุมเพื่อจับกุมปลาที่หลุดรอดหว่างแห ส่วนฝั่งตะวันตกมีเสียงปะทะเข่นฆ่าดังมาเป็นระลอก น่าจะยังมีคนต่อต้านอยู่

เผชิญหน้ากับศพชุ่มเลือดสดๆ ศพแล้วศพเล่าทอดร่างระเนระนาดอยู่บนพื้น ใบหน้าคนตายที่เปรอะคราบเลือดดูดุร้ายแต่ละดวงนั้นชวนสยดสยองปานฝันร้าย กระนั้นเฉิงเซ่าซางยังคงก้าวข้ามไปโดยไม่ส่งเสียง

แม้ยามปกติหลิงอี้ถูกพวกชุยโย่วที่เป็นขุนนางสำคัญดูแคลน แต่ถึงอย่างไรเขาก็สร้างตัวจากคุณความชอบทางทหาร เคยติดตามอยู่ด้านหลังบุกตะวันออกปราบตะวันตกมานานหลายปี แม่ทัพทหารประจำจวนล้วนเคยหล่อหลอมมาในสนามรบ ดังนั้นขณะบุกทะลวงคฤหาสน์หลังนี้ คงต้องผ่านการห้ำหั่นอันดุเดือดไปหนึ่งสมรภูมิ

กระทั่งตัดผ่านธรณีประตูกับลานไปหลายชั้น ในที่สุดเฉิงเซ่าซางก็มาถึงหน้าเรือนหลักอันโอ่อ่าสูงใหญ่ เห็นเหลียงชิวฉี่คุกเข่ากับพื้นกำลังรายงานต่อหลิงปู้อี๋ “…เป็นดังที่นายน้อยคาดไว้ ในหมู่เรือนขนาดใหญ่หลายแถวนี้มิเพียงมีห้องลับ ยังขุดทางใต้ดินสองสายทอดสู่หลังเขา หากมิใช่นายน้อยสั่งให้พวกข้าป้องกันล่วงหน้า ก็คงปล่อยให้เจ้าคนผู้นั้นหนีรอดไปเสียแล้ว!”

หลิงปู้อี๋สัมผัสได้ว่าด้านหลังมีคน จึงหมุนตัวมาช้าๆ ครั้นเห็นว่าเป็นเฉิงเซ่าซาง คล้ายเขามิได้รู้สึกประหลาดใจมากมาย กลับกันยังคลี่ยิ้มละไม น้ำเสียงเนิบนุ่ม “เซ่าซาง เจ้ามาได้อย่างไรกัน ที่นี่ไม่เหมาะที่เจ้าจะมา เจ้ากลับไปก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้า”

ดุจเดียวกับหลายต่อหลายครั้งยามที่เด็กสาวฉวยช่วงหลังเที่ยงแอบออกจากตำหนักฉางชิวไปหาเขาที่โถงประชุมของวังทักษิณ

เฉิงเซ่าซางรู้สึกลำคอแห้งผาก ชั่วขณะยากจะเปล่งเสียงได้

ยามนี้เหลียงชิวเฟยนำพาองครักษ์หลายคนคุมตัวคนผู้หนึ่งมาอย่างแน่นหนา คนผู้นั้นเป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าขาวสุภาพอ่อนโยน คือหลิงอี้นั่นเอง น่าเสียดายยามนี้เขาผมเผ้าสยายยุ่ง เสื้อผ้าขาดวิ่น ไม่เหลือท่วงทีอันสง่าผ่อนคลายเช่นที่เคยเป็นแม้สักนิด

ทันทีที่เห็นหลิงปู้อี๋ หลิงอี้ก็ดิ้นรนร้องตะโกน “จื่อเซิ่ง! เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ ถึงกับบุกโจมตีบิดาตนเองได้!”

หลิงปู้อี๋ไม่ไยดีอีกฝ่าย ยังคงพิศมองเฉิงเซ่าซางดุจเดิม “ข้าให้คนส่งเจ้ากลับไปก่อนแล้วกัน”

หลิงอี้ถูกเหลียงชิวเฟยเตะหนักๆ จนล้มลงพื้น จากนั้นดาบกระบี่หลายเล่มก็กดนาบจุดสำคัญบนร่างของเขาโดยพร้อมเพรียง หลิงอี้ครวญครางแล้วเรียกชื่อเล่นของบุตรชายดังลั่น “อาหลี อาหลี! ข้าเป็นบิดาเจ้านะ! ข้ารู้เจ้าเจ็บช้ำน้ำใจจากการตายของมารดาเจ้า แต่เราสองเป็นพ่อลูกกัน เลือดข้นกว่าน้ำ เจ้าจะทำเพื่อมารดาจนกระทำผิดมหันต์ฐานฆ่าบิดาไม่ได้เชียวนะ! อาหลี เจ้ามีสติหน่อย อย่าได้เลอะเลือนเป็นอันขาด ต่อให้ฝ่าบาททรงรักเอ็นดูเจ้าสักเพียงใด สังหารบิดาก็เป็นความผิดอุกฉกรรจ์ที่ชั่วช้าสามานย์ที่สุด จะต้องถูกเถือเนื้อเป็นพันหมื่นชิ้น เจ้ามีหรือจะพ้นโทษทัณฑ์ไปได้!”

เฉิงเซ่าซางเพ่งมองนัยน์ตาสีอำพันอันงดงามคู่นั้นของหลิงปู้อี๋พลางเอ่ยอย่างยากลำบาก “ข้าเพียงอยากถามประโยคเดียว ประโยคที่ท่านติดค้างข้ามาเนิ่นนานแล้ว”

หลิงปู้อี๋กล่าวเสียงเบา “เจ้าถามมาสิ”

“ท่านเป็นใครกันแน่ หลิงปู้อี๋…หรือว่าฮั่วอู๋ซาง?” เฉิงเซ่าซางรวดร้าวไปแทบทั้งกายขณะถามประโยคนี้ออกไป

หลิงปู้อี๋พินิจเด็กสาวอย่างลึกซึ้ง ประหนึ่งกำลังชมดูห้วงฝันอันเพริศแพร้วที่อยู่ไกลจนสุดเอื้อม ครู่ใหญ่ให้หลังเขาค่อยๆ หมุนตัวมาเอ่ยกับหลิงอี้ที่อยู่บนพื้น “ท่านอาเขย อาหลีตายจากไปนานแล้ว”

หลิงอี้พลันหยุดดิ้นรน แววงุนงงเกลื่อนใบหน้า คล้ายไม่อาจฟังเข้าใจ

น้ำเสียงของหลิงปู้อี๋อ่อนโยน แต่กลับยิ่งชวนให้ผู้ฟังขนลุกซู่ “อาหลีสวมชุดของข้า ถูกหอกยาวที่แหลมคมเล่มหนึ่งแทงทะลุร่าง จากนั้นยกชูขึ้นสูง เสียบอยู่เหนือกำแพงเมือง ท่านอาเขย ท่านลืมสิ้นแล้วหรือ”

หลิงอี้อ้าปากกว้าง ตลอดร่างราวถูกสายฟ้าฟาด

หัวใจของเฉิงเซ่าซางดั่งมีจุดหนึ่งปริแยก พาให้บางสิ่งไหลพรั่งพรูออกมา

ขณะที่เบื้องหน้าสายตาพร่าเลือน นางค้นพบว่าชุดยาวที่ชายหนุ่มสวมใส่วันนี้ก็คือชุดที่นางกับเขาแรกพบหน้ากันในจวนสกุลวั่น…อาภรณ์ต่วนแพรงามวิจิตรสีแดงสดดุจโลหิต ทอลายสัตว์ปี้อั้นด้วยเส้นไหมสีทองอ่อน คลุมเสื้อนอกตัวใหญ่แขนกว้างสีแดงเข้ม ประดับสายคาดเอวเดินลายทองกับเกี้ยวทองคำบริสุทธิ์

สายลมราตรีหวีดหวิว โบกม้วนสีแดงเข้มอันร้อนแรงทั่วกายเขาให้ดุจดังดอกม่านจูซาหวา* กลาดเกลื่อนเส้นทางสู่ปรภพ แผ่ขยายสีโลหิตปกฟ้าคลุมดิน เขาในชั่วขณะนี้หล่อเหลาจนชวนให้อุทาน ขณะเดียวกันก็ดูแปลกหน้าจนพาให้ใจสั่นหวั่นหวาด

 

* ดอกม่านจูซาหวา เรียกอีกชื่อว่าดอกปี่อั้น (Red Spider Lily) คำว่าปี่อั้น แปลตรงตัวว่าอีกฟากฝั่ง ตามความเชื่อของจีนแม่น้ำปรภพจะแบ่งสองฟากฝั่งระหว่างคนเป็นและคนตายออกจากกัน บนฝั่งของคนตายจะมีดอกปี่อั้นบานอยู่ทั่ว ผู้ที่ข้ามมาฝั่งนี้ได้มีเพียงคนตายเท่านั้น ดังนั้นจึงมีอีกชื่อว่าดอกไม้คนตาย

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: