X
    Categories: everYStar Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-1 ถึง 10-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Chapter 10-1

 

ถึงแม้ว่าจะทะเลาะกัน แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่คืนดีเมื่อเจอหน้ากันในวันถัดมา เขากับซอฮันจุนมักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ

สิบนาทีก่อนคลาสเรียนจะเริ่ม เขาจ้องมองไปทางประตูอยู่สักพัก ก่อนที่ซอฮันจุนจะโผล่หน้ามาในที่สุด ยูแจกะพริบตาที่แห้งมากซึ่งเกิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอพลางมองตามฮันจุน ฮันจุนกวาดตามองไปรอบๆ ห้องเรียน ก่อนจะเริ่มเดินเข้ามาหาทันทีที่เห็นยูแจ

พอเห็นว่าฮันจุนกำลังเดินเข้ามาหา เขาก็ค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ถึงแม้ฮันจุนจะเคยพยายามไปนั่งที่อื่น แต่เขาก็ดูออกว่าเจ้าตัวจะยังอยู่เคียงข้างกันเสมอ แม้ว่าจะยังคงรู้สึกเจ็บปวดจากการทะเลาะกันก็ตามที

ยูแจพยายามนึกคำพูดอยู่ในหัว วันนี้เขาต้องคลายบรรยากาศที่อึมครึมระหว่างกันให้ได้ เพราะมะรืนนี้ก็จะถึงวันครบรอบแล้ว

ฮันจุนวางกระเป๋าลงตรงที่นั่งข้างๆ เขาแล้วเลื่อนเก้าอี้ออก พอเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมา เขาก็ลองเป็นฝ่ายเอ่ยปากทักทายก่อน

“ไง”

“อืม”

พอเอาเข้าจริงแล้วเขากลับไปไม่เป็นทำตัวไม่ถูกเมื่อฮันจุนตอบกลับมา ฮันจุนนั่งลงด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เปลือกตาที่ดูเหนื่อยอ่อนปรือขึ้นพร้อมกับหาวหวอดใหญ่ ดูท่าอีกฝ่ายคงจะเหนื่อยเพราะเมื่อวานนี้ทะเลาะกันจนดึกดื่น แถมการบ้านที่ต้องทำก็ยังมีอีกเป็นกอง

เขาไม่อาจทนมองฮันจุนที่ดูเหนื่อยล้ามากขึ้นทั้งที่วันครบรอบก็ใกล้จะมาถึงได้อีกแล้ว จริงๆ มันต้องเป็นวันที่แสนสุขสำหรับพวกเขาทั้งคู่ แต่พอได้รู้ว่าฮันจุนอยากจะไปกินของอร่อยๆ และสร้างความทรงจำที่แสนพิเศษให้มากกว่าทุกวันแล้ว จะให้เขาแสร้งทำเป็นลืมเรื่องเมื่อวานแล้วมองข้ามมันไปก็คงไม่ได้

จะทำยังไงกับวันครบรอบร้อยวันดีนะ

ยูแจครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด เพราะเขารู้สถานการณ์ทางการเงินของฮันจุนแล้ว ดังนั้นสิทธิ์ในการตัดสินใจก็จะตกอยู่ที่เขาเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยิ่งมีปัญหาการเงินที่บานปลาย แถมยังทะเลาะกันอีก จึงไม่มีทางเลยที่ฮันจุนจะออกความเห็นได้อย่างกระตือรือร้น

อย่าว่าแต่วันครบรอบร้อยวันเลย ตอนนี้เราควรจะคืนดีกันให้ได้ก่อน

ถึงจะคิดแบบนั้นแต่เขากลับรู้สึกปวดหัวไปหมด เพราะอีกไม่นานก็จะวันศุกร์แล้ว ในขณะที่เหม่อมองออกไปยังอากาศที่ว่างเปล่าและเฟ้นหาคำพูดอยู่นั้น ฮันจุนก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น

“กินไหม พอดีหิวเลยหยิบติดมือมาด้วยน่ะ”

สิ่งที่ซอฮันจุนยื่นให้คือเอเนอร์จีบาร์ ตอนไปซื้อของเข้าห้องด้วยกันคราวก่อนก็ซื้อมาติดห้องเอาไว้หลายอันสำหรับกินแทนมื้อเช้า ถึงจะลังเลว่าควรปฏิเสธไปดีไหม เผื่อว่าฮันจุนอาจจะอยากแกะกินตอนที่หิวข้าว แต่พวกเขาเพิ่งทะเลาะกันไป เขาจึงอยากรับทุกอย่างที่หมอนี่ยื่นให้ไม่ว่าสิ่งของชิ้นนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม ยูแจรับเอเนอร์จีบาร์เอาไว้ทั้งที่ไม่ได้นึกอยากกินมันสักเท่าไร

“ขอบใจ”

“เฮ้อ เหนื่อยจัง เมื่อวานกว่าจะกลับถึงห้องก็ปาไปสี่ทุ่มแล้ว” ฮันจุนเหยียดแขนทั้งสองข้างบิดขี้เกียจพลางบ่นพึมพำ

‘ทำการบ้านแล้วหรือยังน่ะ’

‘ทำแล้วสิ ถึงได้ง่วงจนไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังลืมตาหรือหลับตาอยู่แบบนี้ไง’

‘ไอ้นี่หนิ วันหลังต้องทำไว้ล่วงหน้าสิ’

‘จริงๆ ก็ทำไว้แล้วแหละ แต่พอถึงตอนจะอัพโหลดจริงๆ ก็ดันอยากแก้ขึ้นมา กว่าจะแก้เสร็จก็เลยเวลากำหนดส่งไปแล้ว’

บทสนทนาที่โต้ตอบกันไปมาราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น มันเป็นเรื่องทั่วไปที่สามารถพูดคุยกับเพื่อนที่เรียนวิชาช่วงเช้าด้วยกันได้ และตลอดเวลาที่เจ้าตัวพูดคุยโต้ตอบเรื่องราวธรรมดาๆ กับเพื่อนร่วมคลาสอยู่นั้น ยูแจก็เอาแต่จ้องมองฮันจุนโดยไม่ละสายตา

นอกจากสีหน้าท่าทางที่ดูเหนื่อยอ่อนแล้ว เขาก็หาจุดที่แปลกไปไม่เจอ แม้จะไม่มีทางลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานได้ทั้งหมดภายในวันเดียว แต่ซอฮันจุนกลับดูนิ่งเฉยมากหากดูจากภายนอก ฮันจุนเปิดโน้ตบุ๊กแล้วเริ่มอ่านตรวจทานการบ้านที่บอกว่าอัพโหลดไปเมื่อวานนี้อีกครั้งราวกับเป็นการทำไปเพื่อแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ยูแจเลื่อนมือไปจับพนักเก้าอี้ของฮันจุนเบาๆ เพื่อดึงความสนใจจากอีกฝ่าย

“เรื่องเมื่อวาน ฉันขอโทษนะ”

ฮันจุนเงยหน้าขึ้นมาเพราะคำพูดนั้น หลายครั้งที่พวกเขาคืนดีกันในขณะที่พูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติและยิ้มให้กันโดยไม่จำเป็นต้องตอบรับคำขอโทษ ทว่าตอนนี้เขาเป็นแฟนกับซอฮันจุนแล้ว ดังนั้นจึงไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีก แม้เขาจะคิดว่าสถานะตอนคบกันเป็นเพื่อนกับสถานะตอนนี้มันก็คล้ายๆ กัน แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้นเลย ฝ่ามือที่เคยได้สัมผัสลากผ่านไปจนถึงจุดซ่อนเร้นมันทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขานั้นลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น คำพูดเพียงหนึ่งคำนั้นกลับเสียดแทงหัวใจลึกเข้าไปเสียยิ่งกว่าแต่ก่อน บทสนทนาที่โต้ตอบกันเมื่อวานนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถมองข้ามแล้วลืมเลือนมันไปได้อย่างง่ายดาย

แม้หัวใจของเขาที่คาดหวังว่าอยากให้ซอฮันจุนพึ่งพาเขาบ้างจะยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เข้าใจคนที่พยายามรักษาเส้นคั่นอะไรบางอย่างเอาไว้ ยูแจเชื่อว่าเวลาจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน หากได้ร้องไห้ไปด้วยกัน หัวเราะไปด้วยกัน และได้ปลอบประโลมซึ่งกันและกันไปอีกสักหลายสิบปีแล้วล่ะก็ สักวันฮันจุนก็คงจะเข้าใจและรู้ซึ้งเองว่า ‘เส้น’ ที่เคยมองว่ามันสำคัญในตอนนี้ ความเป็นจริงแล้วมันช่างไร้ค่าไร้ความหมายแค่ไหน

ยูแจอดทนไปเงียบๆ ถึงแม้จะอยากก้าวข้ามเส้นนั้นไปแล้วดึงตัวคนที่ยืนกัดฟันทนเอาไว้เข้ามากอด แต่เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ฮันจุนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างอิดออดพลางพูดขึ้น

“ช่างมันเถอะ นายเองก็คงจะเสียใจเหมือนกันนี่”

เสียใจ? ความรู้สึกที่ฉันรู้สึกเมื่อวานนี้มันไม่ใช่ความรู้สึกที่จะสามารถสื่อออกไปได้ด้วยคำน่ารักๆ แบบนั้นหรอกนะ

พอยูแจไม่สามารถสรรหาคำพูดมาตอบกลับไปได้แล้วจึงปิดปากเงียบ ฮันจุนเลยพูดต่อพลางแกะซองเอเนอร์จีบาร์

“เออใช่ พี่ซึงมินเขาเป็นห่วงที่ช่วงนี้นายไม่ได้ออกไปต่อยมวยเลย ถึงฉันจะไม่ได้แวะเข้าไป แต่นายเองก็แวะเข้าไปได้น่า”

“ทำไมล่ะ พี่ซึงมินพูดว่ายังไงบ้างเหรอ”

“พี่เขาแค่ส่งข้อความมาถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นน่ะสิ”

“ไหนเอามาดูซิ”

“จะขอดูอะไรอีกล่ะ เรื่องที่คุยมันก็มีแค่นั้นแหละ”

ยูแจที่จู่ๆ ก็ฟึดฟัดขึ้นมาและตั้งท่าจะแย่งมือถือมานั้นพลันหยุดชะงักไป ก่อนจะเก็บมือตัวเองกลับมา เขานึกถึงรอยยิ้มเย็นเยียบของฮันจุนในตอนที่บอกว่าอย่ามาทำให้เหนื่อยกับการหึงหวงไร้สาระขึ้นมา สีหน้าของฮันจุนตอนที่พูดคำนั้นยังคงติดอยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จักคนที่อุตส่าห์พยายามฝืนเจียดเงินและเวลาที่แทบจะไม่มีเพื่อเขา และพอเขาได้ตระหนักถึงความรู้สึกที่อีกฝ่ายกำลังรู้สึกอยู่ในตอนนั้นได้ เขาก็พลอยรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจขึ้นมาอีกครั้ง

ยูแจแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านแล้วเอาแขนลงจากพนักเก้าอี้ ก่อนจะขบเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด

ยากจังแฮะ อย่าว่าแต่ร้อยปีเลย นี่ยังไม่ทันถึงร้อยวันด้วยซ้ำ

ถ้าหากซอฮันจุนทำหน้าเครียดแล้วมองกระดานอยู่ พวกเขาก็น่าจะพูดคุยเรื่องที่มันลึกซึ้งมากกว่านี้ได้ แต่การจะรื้อฟื้นบาดแผลต่อหน้าคนที่แกล้งทำเหมือนไม่เป็นอะไรนั้น ต่อให้ทำไปก็ไม่น่าจะมีอะไรดีขึ้น

ไว้คราวหน้าไปนั่งคุยที่ร้านเหล้า ดื่มไปพลางพูดคุยปรับความเข้าใจกันไปพลางคงน่าจะดีกว่าการมาพูดคุยกันในห้องเรียนตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้

ยูแจยกยิ้มพลางปรับโทนเสียงให้ฟังดูสบายๆ มากขึ้น

“วันศุกร์ไปร้านอร่อยๆ ที่นายเคยบอกว่าจองเอาไว้แล้วคราวก่อนกันไหม”

“เอาสิ ยังไงมันก็จองเป็นชื่อฉันไปแล้ว”

ฮันจุนตอบกลับมานิ่งๆ อย่างคาดไม่ถึง ซึ่งท่าทีนั้นมันต่างไปจากที่เขากังวลเอาไว้ อีกฝ่ายถือโทรศัพท์แล้วเลื่อนนิ้วหาร้านอาหารไปมาอยู่สักพัก ในตอนที่กำลังตั้งอกตั้งใจพิจารณามองนิ้วแต่ละนิ้วที่จับโทรศัพท์เอาไว้อยู่นั้น ฮันจุนก็ยื่นรูปอาหารในโทรศัพท์มาให้ดู

“เป็นไง”

“เฮ้ย บรรยากาศดูดีเลยนี่”

พอร่างกายแนบชิดพลางแกล้งหยอกกันด้วยการใช้ศอกกระทุ้งที่สีข้าง ฮันจุนก็เริ่มคลี่ยิ้มให้ ถึงแม้ว่าริมฝีปากจะคลี่ยิ้มออกมา ทว่าดวงตากลับยังคงสงบนิ่ง มันเป็นสีหน้าเหมือนกับคนที่ปล่อยวางทุกอย่างแล้วหลังจากเหนื่อยกับความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากเรื่องเดิมๆ และเหนื่อยล้าจากเรื่องที่ไม่รู้ว่าจะต้องจัดการกับมันอย่างไรมากกว่าจะเป็นสีหน้าของคนที่กำลังวาดฝันคาดหวังกับวันครบรอบที่จะได้ใช้เวลาร่วมกัน

ชีวิตมันก็แบบนี้แหละ มีทั้งวันที่ดีและวันที่เหนื่อยล้า ถ้าได้ใช้เวลาทั้งวันศุกร์นี้ด้วยกันอย่างมีความสุขก็น่าจะพอทำให้อะไรๆ มันดีขึ้นได้

ยูแจข่มความกังวลใจลงไป ก่อนจะฝืนยิ้มรับ

 

ยูแจหาเงินค่าขนมจากการสอนพิเศษมาได้ประมาณหนึ่ง แม้ว่าจะหามาได้ไม่เยอะเท่ากับซอฮันจุน แต่พอถึงวันที่มีสอนพิเศษ เขาก็มักจะรู้สึกสบายใจและรู้สึกมั่นคงที่สามารถรักษาสัญญาตามที่ให้ไว้กับฮันจุนว่าจะทำหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยได้

ทว่ามันก็แค่นั้น เพราะการสอนพิเศษด้วยตัวเองไม่ค่อยตรงกับความถนัดของเขาสักเท่าไร เด็กนักเรียนที่เขารับสอนมากกว่าครึ่งเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์และหัวดีมาตั้งแต่เกิด แต่มันก็ไม่สนุกเลยสักนิดกับการที่ปล่อยให้เด็กๆ ที่ไม่มีทั้งความพยายามและพรสวรรค์มาเสียเวลานั่งเรียนไปเปล่าๆ

“คุณครูคะ เดินทางกลับปลอดภัยนะคะ”

“ครับ ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

พ่อแม่ของเด็กเดินออกมาส่งเขาถึงประตูหน้าบ้าน ก่อนที่ยูแจจะยิ้มกว้างแล้วบอกลาอย่างมีมารยาท

ในขณะที่เดินออกจากซอยแล้วมุ่งตรงไปตามถนนใหญ่ เขาก็เปิดเว็บไซต์ในมือถือที่หามาตลอดทาง เขาทั้งถามชินจีฮุนและลองเสิร์ชหาในอินเตอร์เน็ตดูพวกเครื่องประดับหลายอย่าง ก่อนที่จะตัดสินใจได้

ถ้าสั่งแหวนเงินที่มีดีไซน์เรียบง่ายมา หมอนั่นจะว่าอะไรไหมนะ

เขารู้สึกว่ามันพิเศษตรงที่สามารถหาซื้อได้ในราคาย่อมเยา แถมยังสลักชื่อได้อีกต่างหาก มันน่าจะดูดี ไม่น้อยถ้าได้สลักชื่อของพวกเขาสองคนลงไปที่ด้านในตัวแหวน

การให้ของขวัญเป็นแหวนนั้นดีที่สุดในหลายๆ แง่ เขาชอบที่แหวนคู่มีความหมายโดยนัยทางสังคมและถือเป็นสัญลักษณ์อีกด้วย มันทั้งเป็นสัญลักษณ์ที่สามารถบอกกับทุกคนรอบตัวได้ว่าเขามีคนรักแล้ว เป็นสัญญาที่คอยย้ำเตือนว่าห้ามถอดมันออกจากนิ้วโดยเด็ดขาด ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความรักและการอุทิศตน

แน่นอนว่าเขายังไม่รู้ไซส์แหวนของซอฮันจุน มันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสั่งทำแหวนแล้วได้ภายในวันศุกร์นี้ อันดับแรกก็ต้องโน้มน้าวฮันจุนให้ได้เสียก่อน วันศุกร์นี้เขาคิดว่าจะลองพยายามทำทุกวิถีทางอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะทำให้หมอนั่นหัวเราะออกมาจากใจจริงได้อีกครั้งหนึ่ง

ไม่จำเป็นที่จะต้องแต่งตัวให้ดูดีหรือดูโอเวอร์ แค่เลือกสวมชุดที่ดูสะอาดสะอ้านจากในบรรดาเสื้อผ้าที่เคยสวมใส่ตอนไปเจอซอฮันจุน ส่วนเรื่องร้านอาหาร ไม่ว่ารสชาติของอาหารจะเป็นอย่างไร หรือบรรยากาศร้านจะเป็นแบบไหน เขาก็คิดว่าจะชื่นชมความตาดีของซอฮันจุนในการเลือกร้าน และคอยดูแลป้อนของอร่อยที่นานๆ ทีจะได้กินให้กับอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ พอกินข้าวเสร็จแล้วก็ตั้งใจว่าจะพาไปเดินเล่นจับมือกันที่สวนสาธารณะแถวๆ นั้นสักรอบ

สงสัยคงต้องหยิบเรื่องแหวนออกมาพูดตอนที่เดินทอดน่องอยู่ในสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยกลิ่นใบหญ้า คนที่คงจะไม่ได้เตรียมซื้อของขวัญมาให้จะได้ไม่ช้ำใจมาก ลองถามออกไปว่า ครั้งนี้ฉันซื้อของขวัญให้นาย ครั้งหน้านายซื้อของขวัญคืนให้ฉันโอเคไหม’ ดีไหมนะ ถ้าหมอนั่นตอบตกลงก็จะได้ไปนั่งที่ม้านั่งแล้วเลือกดีไซน์แหวนด้วยกัน พอตกค่ำวันนั้นก็นอนเล่นบนเตียงเดียวกัน พูดคุยกันตลอดทั้งคืนจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะผล็อยหลับไปก่อน ไหนๆ ก็เป็นวันครบรอบแล้ว ถ่ายรูปเซลฟี่ด้วยกันเก็บเอาไว้ก็น่าจะดี

ถ้าวันนั้นซอฮันจุนสามารถลืมความเศร้าใจทั้งหมดแล้วกลับมายิ้มอย่างสดใสได้ก็คงจะดี…

ยูแจที่กำลังเดินคิดอะไรเหม่อๆ อยู่นั้นก้มลงมองโทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในมือ มันเป็นสายโทรศัพท์จากแม่ เขากดรับแล้วยกโทรศัพท์แนบหู

“ฮัลโหล”

“แม่โทรมาทำไม”

“ก็แค่โทรมาเฉยๆ จะโทรมาหาลูกชายแต่ละทีนี่แม่ต้องมีธุระด้วยหรือไง”

ยูแจแสร้งหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะพ่อหรือแม่ ทั้งคู่ก็ไม่เคยติดต่อมาหาก่อนเลยสักครั้งหากไม่มีธุระ เมื่อเขาไม่เถียงกลับไปเธอจึงพูดต่อ

“แกเรียนอยู่คณะบริหารฯ มหา’ลัยฮันกุกก็พอจะรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่าจบจากที่นั่นมันค่อนข้างหางานได้ดี แล้วถ้าได้เข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่ๆ รายได้ต่อปีก็คงจะดี ไหนจะโบนัสของพวกบริษัทใหญ่ๆ อีก ได้ยินว่าได้ทีก็ได้เป็นก้อนเลยนี่”

“ของแบบนี้มันก็แล้วแต่บริษัทสิ ว่าแต่ทำไมอยู่ดีๆ แม่ถึงได้พูดเรื่องนี้ล่ะ”

“ตอนนี้แกเองก็คงจะออกไปเจอสังคมแล้ว ฉันก็แค่ลองถามดูเฉยๆ เพราะเห็นว่าแกใกล้จะถึงวัยที่ต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองแล้ว เพราะงั้นฉันก็เลยต้องยืนยันให้มั่นใจซะก่อนว่าแกจะสามารถยืนหยัดอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ ฉันถึงจะวางใจ”

ทีตอนสอบเข้ามหาลัยได้ยังไม่เห็นจะใส่ใจดูดำดูดีเลยด้วยซ้ำ มันน่าสงสัยตรงที่จู่ๆ ก็มาถามคำถามที่ไม่เคยถามมาก่อน หรือว่าแค่โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบโดยที่ไม่ได้มีธุระอะไรเลยจริงๆ?

แม่ของเขาพูดพล่ามยาวยืดให้สมกับเป็นผู้ปกครองอย่างที่ไม่ได้ทำมานาน ส่วนยูแจก็ได้แต่เงี่ยหูฟังอยู่เงียบๆ

“ตั้งใจเรียนแล้วเข้าทำงานในบริษัทใหญ่ๆ ให้ได้ล่ะ ถ้าได้เข้าบริษัทใหญ่แล้วได้เลื่อนขั้น ชีวิตแกก็จะประสบความสำเร็จ”

“นี่ผมเพิ่งจะอยู่ปีหนึ่งเองนะ พูดเพื่อ?”

“จะเที่ยวเล่นก็เที่ยวซะตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ปีหนึ่ง ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปก็ตั้งใจสั่งสมประสบการณ์เพื่อเอาไปเขียนเรซูเม่ ส่วนเรื่องงานพาร์ตไทม์ก็เลิกทำให้หมดแล้วลงมือทุ่มเทกับอนาคตของแกซะ เออใช่ ตอนแรกพ่อเขาบอกว่าจะจ่ายค่าเล่าเรียนให้คนที่ไม่รู้จักบุญคุณถึงแค่จบปีหนึ่งเท่านั้น แต่ฉันโน้มน้าวอยู่หลายวันเลยตกลงกันแล้วว่าจะจ่ายให้ทั้งหมดจนกว่าแกจะจบปีสี่”

“ถามจริงนะ ทำไมจู่ๆ แม่ถึงได้ทำแบบนี้”

“ที่ฉันทำแบบนี้ก็เพราะเป็นห่วงแก เพราะว่าแกเป็นอิสระแล้ว ไม่ได้อยู่ในระยะสายตาของฉันแล้วไง แกรู้บ้างหรือเปล่าว่าโลกใบนี้มันโหดร้ายแค่ไหน”

ถึงจะไม่รู้ว่าแม่กำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่ แต่ก็คงจะมีแผนอยู่ในใจอย่างแน่นอน เขาไม่สามารถหาจังหวะตัดสายทิ้งได้เลย เพราะรู้สึกประหลาดใจกับคำพูดอันแสนอ่อนโยนที่เขาไม่เคยได้ยินเลยสักครั้งตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมานี้

ในขณะที่หาข้ออ้างแล้วกำลังจะเปิดปากพูดนั้น จู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมา

“จริงสิ ทำไมแกไม่ยอมบอกว่าเรียนมหา’ลัยเดียวกันกับฮันจุน”

ชื่อของฮันจุนถูกพูดถึงขึ้นมาอย่างกะทันหันในช่วงเวลาที่เขาคิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย ยูแจหยุดชะงักยืนนิ่งไปทันที

“ใครบอกแม่มา”

“ก็แม่ของเด็กนั่นไง เห็นหล่อนบอกว่าเด็กนั่นเข้ามหา’ลัยเดียวกันกับแกแล้วก็ใช้ชีวิตสุขสบายดี ได้ข่าวว่าแกไปขอข้าวแม่ของฮันจุนกินฟรีด้วยนี่”

“อืม ซื้ออะไรอร่อยๆ ให้กินด้วย”

“ไอ้ที่แกไปขอเขากินฟรีข้างนอกนั่นน่ะ หนี้ฉันทั้งนั้นแหละ คิดว่าคนอื่นเขาจะทำดีกับแกโดยที่ไม่มีความหมายอย่างอื่นแฝงหรือไง”

“คุณแม่ของฮันจุนท่านเป็นคนดี”

ยูแจเถียงกลับด้วยความหงุดหงิด เขาอยากจะโต้แย้งคำพูดที่ว่า ‘ไม่มีใครที่จะมาทำดีด้วยโดยไม่มีเหตุผลอื่นแอบแฝง’ มากเสียยิ่งกว่าหาทางแก้ต่างแทนแม่ของฮันจุน แม่จิ๊ปากราวกับกำลังเย้ยหยันความคิดที่แสนโง่เขลานั้นของเขา

“แล้วแกคิดว่าฉันน่าจะได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้มาจากใครกันล่ะ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าหล่อนรู้เบอร์โทรศัพท์ฉันได้ยังไงถึงได้โทรมาเล่าเรื่องนู่นนี่นั่นของแกให้ฟังแล้วก็ตบท้ายด้วยการขอยืมเงินสามแสนวอนเนี่ย”

“…”

“เอาแต่โทรหาคนนู้นคนนี้ไปทั่วเพราะจนปัญญากับอีแค่เงินสามแสนวอน โทรมาหาแม้กระทั่งฉัน ที่ฉันให้เงินไปก็เพราะคิดว่าชีวิตหล่อนมันน่าเศร้า แล้วนี่หล่อนเอาเงินที่ยืมฉันไปซื้อเนื้อย่างเลี้ยงแกเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ”

พอได้ฟังแบบนี้ เขาก็นึกย้อนไปถึงวันที่ได้ไปเจอแม่ของฮันจุน วันที่ไปพบเธอทั้งที่ปากแตกเพราะโดนซอฮันจุนต่อย ความรู้สึกสบายใจในชั่วขณะหนึ่งยามอยู่ข้างๆ เธอที่คอยถามไถ่ถึงชีวิตในมหาวิทยาลัยอย่างอ่อนโยนและคอยช่วยคีบโพซัมให้ ทั้งยังเป็นห่วงริมฝีปากที่แตกของเขา ไหนจะคำพูดนั้นอีก…

‘อย่าไปไหนมาไหนด้วยสภาพแบบนั้นเด็ดขาดเลยนะ’

“เรื่องเลี้ยงข้าว คุณแม่ของฮันจุนท่านก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้แต่ตอนที่พวกเรายังยากจน เขาก็ยังหอบของกินมาให้พวกเราทุกครั้ง”

ยูแจลบคำหนึ่งคำที่ยังคงตรึงติดอยู่ในใจอย่างชัดเจนแล้วพูดตัดบทไป ก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจยาวเหยียดออกมาจากปลายสาย แม่ปิดปากเงียบไปสักพักก่อนที่จะเปิดปากพูดออกมาในที่สุด

“ตอนแรกก็คงจะเป็นความหวังดีจริงๆ นั่นแหละ แต่พอใช้ชีวิตหากินลำบากแล้วก็มาทำเป็นพูดจาลำเลิกบุญคุณ พอถึงตอนนั้นสุดท้ายแล้วความหวังดีมันก็จะกลายเป็นหนี้ที่ต้องชดใช้ เงินน่ะมันให้ยืมได้ แต่จะอดทนต่อความน่าละอายใจพวกนั้นได้ยังไงกัน แกเองก็เหมือนกัน ในอนาคตพอแกได้ไปใช้ชีวิตในสังคมแล้วก็คงจะเข้าใจเอง เรื่องราวที่พบเจอในชีวิตคนเรามันก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ พวกที่มีรายได้ใกล้เคียงกันก็จะคบกันเอง ใช้ชีวิตแต่ละวันโดยวางท่าทำเป็นมีศักดิ์ศรี ไม่ได้นึกมองสภาพที่น่าสมเพชของกันและกันเลย”

“แค่นี้ก่อนนะครับ”

ยูแจวางสายทันทีโดยไม่แม้แต่จะแก้ตัว พอบทสนทนาถูกตัดไป หัวใจของเขาก็สั่นระรัวเสียงดังท่ามกลางความเงียบที่หวนกลับคืนมา เขากัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะรีบออกตัวเดิน ในระหว่างที่ก้าวเท้าไปเรื่อยๆ นั้นก็มีคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด

เงินสามแสนวอน จำเป็นต้องเอาไปใช้ทำอะไรกันนะ

มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า คงจะไม่ได้มีเรื่องอะไรให้ต้องใช้เงินด่วนหรอกนะ

…แล้วหมอนั่นจะรู้เรื่องนี้แล้วหรือยัง

ยูแจสูดอากาศยามค่ำคืนที่แสนสดชื่นเข้าไปเต็มปอด ในขณะที่ใจกลางหัวใจของเขารู้สึกวูบโหวงราวกับถูกเจาะจนเป็นรู

 

ยูแจจ้องไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊กพลางถอนหายใจออกมา

เขาใช้เวลาสามชั่วโมงในการทำการบ้านแต่กลับพิมพ์ไปได้แค่สามพันคำเท่านั้น ทั้งที่การบ้านก็ไม่ได้ยากอะไร แต่ทุกครั้งที่พิมพ์ลงไปแต่ละคำ ความคิดมากมายก็ถาโถมเข้ามาในหัว ทั้งคำพูดที่ซอฮันจุนพูดตอนทะเลาะกัน ทั้งคำพูดที่ควรจะพูดยามเจอกันพรุ่งนี้ในวันครบรอบ ทั้งเงินสามแสนวอนที่แม่ของอีกฝ่ายยืมไป ทั้งวิธีที่จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างฉลาดหลักแหลม มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกินกับการที่จะโฟกัสการบ้านที่อยู่อันดับหลังสุดในบรรดาเรื่องพวกนั้น

สิบนาทีที่เขาเอาแต่นั่งเหม่อใช้เวลาไปอย่างสิ้นเปลือง จากนั้นยูแจจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมุ่งหน้าไปยังโรงยิมของชมรมไฟต์คลับ เขาคิดว่าจะเข้าไปทักทายซึงมินแล้วออกกำลังกายให้เหงื่อออกเสียหน่อยหลังจากที่ไม่ได้ไปมานาน เขายังจำได้ไม่ลืมที่ซอฮันจุนบอกว่าซึงมินเป็นห่วงเขา ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันก็ไม่แย่เท่าไรนัก หากไปเจอหน้าแล้วถือโอกาสออกกำลังกายไปด้วยกันเลย

ทันทีที่เดินเข้าไปในโรงยิม ซึงมินที่เห็นยูแจก็รีบวิ่งแจ้นมาแต่ไกล เขาโถมตัวใส่แล้วยกแขนขึ้นมาล็อกคอในท่าเฮดล็อกพลางตะโกนดังลั่น

“ไง ไอ้หนู! จะเจอหน้านายแต่ละทีนี่ทำไมมันยากเย็นนักวะฮะ”

“อั้ก! ขอโทษครับพี่”

“ขอโทษเรื่องอะไรล่ะ มาออกกำลังหน่อยสิ ถ้ากำลังเหนื่อยก็ออกเบาๆ เอาก็ได้”

พอได้ยินเสียงของซึงมินที่พูดจาเสียงดังลั่น พวกรุ่นพี่คนอื่นๆ ที่กำลังออกกำลังกายอยู่ไกลๆ ก็เริ่มวิ่งเข้ามารวมตัวกันทีละคนสองคน ในระหว่างที่กำลังยิ้มให้กับบรรดาคนที่ยืนล้อมรอบตัวเองอยู่นั้น ซึงมินก็ถามคำถามที่เขารอคอยอยู่ออกมา

“แล้วฮันจุนล่ะ”

“อ๋า พอดีช่วงนี้ฮันจุนเขากำลังยุ่งมากเพราะสอนพิเศษน่ะครับ”

“ถึงขนาดไม่มีเวลาออกกำลังเลยเนี่ยนะ ไม่ได้เงินค่าขนมจากที่บ้านหรือไง”

“บ้านหมอนั่นไม่ได้ส่งเสียอะไรแบบนั้นให้หรอกครับ”

“ถ้าออกมาอยู่ข้างนอกคนเดียวแบบนี้ ค่าใช้จ่ายก็คงจะสูงเอาเรื่อง แล้วงี้เรื่องค่าเทอมล่ะ”

“ฮันจุนเป็นคนจ่ายเองครับ”

ถึงจะตอบไปเพราะไม่ได้คิดว่าการพึ่งพาตัวเองทางด้านการเงินนั้นเป็นเรื่องที่แย่อะไร แต่เขาก็ไม่ได้พอใจกับคำถามที่ตรงไปตรงมาแบบนั้นเท่าไรนัก ซึงมินเปิดปากพูดทันทีที่เขาพูดจบราวกับกำลังรออยู่

“เพื่อนฉันกำลังหาคนสอนเด็กที่เคยสอนมานานน่ะ ฮันจุนจะสนใจไหมนะ”

“ครับ”

ยูแจรีบตอบกลับไป ฮันจุนคงจะกำลังหาสอนพิเศษเด็กนักเรียนคนใหม่อยู่แน่ๆ เพราะล่าสุดเห็นบอกว่าเลิกสอนไปคนหนึ่ง

“หมอนั่นน่าจะสนใจนะครับ สถานที่สอนอยู่แถวไหนเหรอครับ”

“อยู่แถวสถานีซูซอน่ะ ถ้าไปจากมหา’ลัยเราก็ถือว่าเดินทางลำบากหน่อย แต่เขาก็ให้ค่าสอนไม่น้อยเลย เพราะงั้นถึงจะเหนื่อยกับการเดินทางไปกลับ แต่มันก็คุ้มค่าพอที่จะทำอยู่ ตามปกติก็จะให้แปดแสนวอนต่อแปดครั้ง แล้วช่วงสอบก็จะให้เพิ่มเยอะกว่าปกติ แต่ว่าถ้าแคนเซิลตารางบ่อยๆ หรือสอนไปแล้วเกรดตกลงเรื่อยๆ ก็อาจจะโดนยกเลิก”

เงินจำนวนนั้นนับว่าเป็นเงินสองเท่าของค่าสอนพิเศษโดยเฉลี่ย ยูแจยื่นมือถือออกไปทันที

“ฮันจุนไม่เคยแคนเซิลตารางสอนแล้วก็เรียนเก่งมากด้วยครับ ขอเบอร์หน่อยสิพี่ เดี๋ยวผมเอาไปบอกฮันจุนให้”

“ฉันเองก็มีเบอร์ฮันจุน เดี๋ยวฉันบอกเองก็ได้น่า ไม่เห็นต้องถึงมือนายเลย”

“…พี่อาจจะลืมก็ได้นี่ครับ”

เขาได้แต่ยิ้มเก้อ ท่าทางเขาจะวู่วามมากเกินไปหน่อย ซึงมินมองยูแจที่กำลังเม้มริมฝีปากทำตัวไม่ถูก ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา

“เดี๋ยวบอกให้ตอนนี้เลยก็ได้ อะ พอใจยัง”

ซึงมินพิมพ์ข้อความให้ยูแจเห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อยูแจเช็กดูว่าข้อความส่งไปถึงฮันจุนเรียบร้อยแล้ว ก็พยักหน้าหงึกๆ ซอฮันจุนเป็นคนฉลาด เพราะอย่างนั้นคงจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้โดยไม่ปล่อยให้พลาดไปเป็นอันขาด

พอคิดถึงซอฮันจุนที่ตอนนี้น่าจะกำลังสอนพิเศษอยู่ เขาก็นึกถึงตอนที่เจ้าตัวก้มหน้าลงพร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อ เมื่อนึกถึงมันความรู้สึกภายในใจเขาก็พลันเดือดพล่านขึ้นมาอย่างเงียบๆ เงินคือสิ่งที่มีอยู่แล้วก็หมดไป ซอฮันจุนควรจะต้องรู้ให้ชัดเจนแจ่มแจ้งว่าต่อให้ตอนนี้ไม่มีเงินสักพุนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องทำสีหน้าแบบนั้น เขาควรจะรู้ว่าต่อให้มีเงินไม่มากพอ แต่แค่เรามีความสุขด้วยกันได้มันก็เพียงพอแล้ว

ยูแจโค้งคำนับให้แล้วยกมุมปากขึ้น

“ขอบคุณนะครับพี่ ถ้างั้นผมขอตัวไปออกกำลังกายก่อนนะครับ”

“นายโอเคนะ?”

จู่ๆ ซึงมินที่กำลังยิ้มให้ก็เอ่ยถามขึ้นมาอย่างกะทันหัน มันอาจเป็นคำถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเพราะว่าเขากับฮันจุนไม่ได้โผล่หน้ามาที่โรงยิมกันพักใหญ่แล้ว และมันก็อาจจะมีความหมายว่านายเองก็อยากได้งานพาร์ตไทม์ด้วยใช่ไหมก็ได้ คำถามที่เขาไม่สามารถมองข้ามมันไปได้ง่ายๆ นั้นทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบอยู่ภายในใจยามเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้แวบเข้ามาในหัว ยูแจแสร้งทำเป็นไม่เป็นอะไรแล้วตอบกลับไป

“ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ”

“งั้นก็โล่งอกไปที”

ซึงมินพึมพำพลางตบบ่าเขาเสียงดังปุๆ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเมื่อดูจากสีหน้าขณะยกยิ้มทั้งที่คิ้วยังคงขมวดเข้าหากันอยู่น้อยๆ ยูแจปรับความรู้สึกภายในใจที่ว้าวุ่นให้สงบลงแล้วยกยิ้มกลับไป

Chapter 10-2

 

ลมในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบาย กลิ่นแชมพูหอมๆ ฟุ้งกระจายออกมาจากเส้นผมที่ยังหมาดอยู่ ยูแจเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่พักใหญ่ทั้งที่ยังยืนอยู่หน้าป้ายรถโดยสารประจำทาง

ยูแจหวนนึกถึงซอฮันจุนที่ยืนรอเขาอยู่หน้าสถาบันสอนพิเศษจนกระทั่งเรียนพิเศษเสร็จในช่วงมัธยมปลาย เจ้าคนที่เดินเตร็ดเตร่ไปมาอยู่ข้างหน้าสถาบันนั้นไม่ได้เปลี่ยนเสื้อและยังคงอยู่ในชุดนักเรียนจนดึกดื่น เจ้าคนที่โบกมือมาให้พลางยกยิ้มกว้างในทันทีที่สบสายตากัน ยูแจลองจินตนาการถึงภาพที่อยู่ในกรอบสายตาของหมอนั่นในตอนนั้น ตึกสถาบันสอนพิเศษที่มีร้านสะดวกซื้อกับร้านขายยาอยู่ที่ชั้นหนึ่ง ร้านกาแฟที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ต้นไม้ที่เรียงรายอยู่ตามถนน และป้ายรถโดยสารประจำทาง

รถโดยสารประจำทางจอดเทียบป้ายที่อยู่ด้านหน้า ในขณะที่กำลังมองดูใบหน้าของบรรดาผู้คนที่เดินลงจากรถมาอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงของฮันจุน

“โชยูแจ!”

พอหันหน้าไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงก็เห็นซอฮันจุนกำลังโบกมือให้พลางเดินใกล้เข้ามา เขาเผลอหัวเราะออกมาโดยอัตโนมัติเพราะท่าทางของอีกฝ่ายที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่อย่างเดียว ยูแจหันตัวไปทางฮันจุนแล้วตะโกนถาม

“ทำไมถึงได้มาจากทางนั้น”

“ฉันเดินมาน่ะ นั่งรถมาก็แค่สามสี่ป้ายเอง แถมวันนี้ก็อากาศดีด้วย”

“ไปกันเถอะ เดี๋ยวไปส่งห้อง”

ซอฮันจุนเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะหัวเราะออกมาน้อยๆ

“หัวเราะอะไรของนาย”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่หัวเราะที่นายบอกว่าจะไปส่งทั้งที่เดินไปแค่ห้านาทีเอง”

“แล้วไม่ชอบเหรอ”

“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ฉันรู้สึกดีจะตายที่ได้รู้สึกว่าเรากำลังคบกันอยู่จริงๆ”

ไหล่ของพวกเขาสัมผัสกัน ฮันจุนแกล้งใช้ไหล่ดันเข้ามาจนเขาเซไปถึงขอบทางเท้า ก่อนที่เขาจะใช้แรงดันกลับคืนไปบ้าง ในระหว่างที่กำลังหยอกล้อกันแบบนั้นอยู่สักพัก พวกเขาก็เดินมาถึงด้านหน้าประตูมหาวิทยาลัย ยูแจโอบไหล่ของฮันจุนแล้วดึงเข้ามาใกล้ๆ ก่อนจะพูดพึมพำออกมา

“ไปเดินเล่นในมหา’ลัยกับฉันสักรอบแล้วค่อยกลับ”

“เอาสิ”

“นายเห็นข้อความพี่ซึงมินหรือยัง”

“อื้อ ว่าแต่นายรู้ได้ไง”

“วันนี้ฉันไปโรงยิมมา แล้วก็แวะไปทักพี่ซึงมินมาด้วย พี่เขาสงสัยว่านายสนใจสอนพิเศษไหม ฉันก็เลยตอบไปแบบนั้น”

“เงื่อนไขมันดีมากๆ เลย ไม่รู้ว่าเขาหาครูสอนพิเศษที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เยอะๆ หรือเปล่า แต่คิดว่าจะลองโทรไปดูก่อน”

“แล้วนายไม่ดียังไง ระดับนายนี่ก็เทพแล้ว นายนี่มันจริงๆ เลย”

ฮันจุนหัวเราะคิกคักพลางถกแขนเสื้อขึ้น บริเวณสนามของมหาวิทยาลัยที่มืดสนิทนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคน

จับมือดีไหมนะ

ในระหว่างที่กำลังคิดหนักอยู่นั้น ฮันจุนก็ค่อยๆ เดินห่างออกไป เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ยังไงซะมันก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีเงื่อนไขว่าห้ามไม่ให้ฉันสมัครไปนี่เนอะ ถึงช่วงนี้จะรู้สึกเหนื่อย แต่ก็ยังมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแฮะ”

ยูแจได้แต่พยักหน้าเงียบๆ

เงินสามแสนวอน

สิ่งที่ติดอยู่ในซอกมุมหนึ่งในหัวมาตลอดได้ถาโถมเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง เห็นได้ชัดเลยว่าซอฮันจุนน่าจะไม่รู้เรื่องที่แม่ของตัวเองติดต่อคนไปทั่วเพื่อขอยืมเงินสามแสนวอน

เราควรพูดมันออกไปไหมนะ เงินสามแสนวอนเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าหากมันเป็นเรื่องร้ายแรงที่จะต้องใช้เงินจำนวนมากถึงขั้นต้องแบ่งยืมทีละเล็กทีละน้อยจากหลายๆ ที่ล่ะ ถ้าหมอนี่มารู้ทีหลังคงจะรู้สึกปวดใจมากแน่ๆ

ทว่าเขาไม่อยากทำแบบนั้น ทั้งยังไม่อยากบอกข่าวร้ายก่อนวันครบรอบที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ และไม่อยากให้ฮันจุนต้องมารู้เรื่องราวมากมายที่ไม่ได้อยากรู้เหมือนกับตัวเขาเอง และสิ่งสุดท้ายคือ…

เขาไม่อยากทุกข์ใจยามจินตนาการถึงสิ่งที่ฮันจุนคงจะยอมแพ้และละทิ้งไปเป็นอย่างแรก

ยูแจฉีกความคิดที่แสนขี้ขลาดและน่าหวาดกลัวทั้งหมดนั้นทิ้งไป ก่อนจะเปิดปากพูดขึ้น

“แม่นายสบายดีไหม ช่วงนี้ได้ติดต่อไปหาบ้างหรือเปล่า”

“แม่? ตอนที่โทรคุยกันคราวก่อนก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษนะ ทำไมเหรอ”

“ว่ากันว่าถ้าแยกกันอยู่แล้วความสัมพันธ์มักจะดีขึ้น ฉันเพิ่งโทรคุยกับแม่มา จู่ๆ แม่ก็พูดเรื่องที่ไม่เคยพูดแถมยังทำตัวน่าอายแปลกๆ อีก”

“งั้นเหรอ แม่นายเนี่ยนะ”

“อือ เห็นบอกว่าเป็นห่วง ยังไงก็เหอะ พอดีฉันได้ยินแบบนั้นแล้วก็นึกถึงนายขึ้นมาน่ะ ต่อให้แม่นายไม่ได้พูดอะไร แต่ก็คงจะรู้สึกเป็นห่วงอยู่แน่ๆ ไว้อีกสักแป๊บก่อนนอนก็ลองโทรไปหาดูสักครั้งสิ”

“เข้าใจแล้วล่ะ ว่าแต่ดีจังเลยแฮะ”

ฮันจุนที่กำลังก้าวเดินอย่างเชื่องช้าเอาไหล่มากระแซะเขาเบาๆ พอเห็นแววตาเปล่งประกายที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ร่างกายที่เกร็งเครียดจากการพยายามสรรหาคำพูดก็พลันผ่อนคลายลง

“อะไรดี”

“ก็การที่แม่นายพูดอย่างอ่อนโยนแล้วบอกว่าเป็นห่วงนายไง”

“ห่วงใยครึ่งนึง รำคาญครึ่งนึงน่ะสิ”

ยูแจสวนกลับไปอย่างหงุดหงิด ก่อนที่จะจับมืออีกฝ่ายเอาไว้แน่น

ทั้งสองเดินจับมือกันภายใต้ความมืด ก่อนจะปล่อยมือกันในตอนที่ใกล้จะถึงประตูด้านหลังของมหาวิทยาลัย เมื่อมาถึงและยืนอยู่หน้าโคชีเทล ยูแจก็บอกลาพร้อมกับเปิดปากพูดอีกครั้งก่อนแยกกัน

“ไว้พรุ่งนี้เราไปกินอะไรอร่อยๆ กัน เห็นว่าแถวๆ นั้นมีสวนสาธารณะด้วย”

“เห็นแล้วล่ะ คนที่ไปกินร้านนั้น หลังกินเสร็จก็พากันไปเดินเล่นที่นั่นกันหมด”

“งั้นเราก็มาลองทำทุกอย่างกัน แล้ววันนี้ก่อนนอนก็อย่าลืมโทรหาแม่สักครั้งด้วยล่ะ”

“รู้แล้วน่า นายกลับไปได้แล้ว”

หลังจากส่งฮันจุนเสร็จแล้ว ยูแจก็เดินลัดสนามในมหาวิทยาลัยที่แสนเปลี่ยวและเงียบสงัดไปตามลำพัง ท่ามกลางความเงียบสงบรอบตัวนั้น เสียงลมฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบายผสานไปกับเสียงหัวใจเต้นระรัวจนสั่นสะท้านไปทั่วทั้งกาย ก่อนที่เขาจะฮัมเพลงพลางเงยหน้าจ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืน

 

เช้าวันรุ่งขึ้น ซอฮันจุนไม่ได้มาเรียน

 

ฮันจุนนี่

ฉันจะลงไปหาแม่สักหน่อย เดี๋ยวกลับมา ไม่ต้องห่วง! ถึงจะไม่ได้ไปเรียน แต่เดี๋ยวก็กลับมา เพราะงั้นเจอกันที่ร้านอาหารที่จองไว้ตอนหนึ่งทุ่มนะ (5.24 AM)

 

ทันทีที่ลืมตาตื่นขึ้นมา ยูแจก็เปิดดูข้อความที่เคยเช็กดูไปแล้วอีกครั้งหนึ่ง ฮันจุนยังคงไม่อ่านข้อความของเขาที่ส่งไปให้ต่อจากข้อความนั้น ดูท่าอีกฝ่ายจะลองติดต่อไปหาแม่ตามที่เขาเสนอไปและมีความเป็นไปได้สูงว่าเจ้าตัวคงจะกำลังว้าวุ่นและยุ่งอยู่กับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มาใหม่ หากดูจากเวลาที่ส่งข้อความมาหา ดูเหมือนว่าฮันจุนจะนอนไม่หลับทั้งคืนและลงไปหาแม่ตั้งแต่เช้ามืด

หวังว่ามันจะไม่ใช่เรื่องใหญ่นะ

ยูแจอ่านข้อความที่ตัวเองส่งไปหาฮันจุนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้

 

ยูแจ

เกิดอะไรขึ้นกับคุณแม่หรือเปล่า

(11.21 AM) ถ้าเห็นข้อความแล้วรีบติดต่อกลับมาทันทีนะ

 

‘เดี๋ยวไว้ไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน’

ยูแจที่กำลังพิมพ์ข้อความใหม่ลงไปจำต้องหยุดชะงัก ความรู้สึกของเขาที่พยายามจะส่งข้อความที่แสดงถึงความในใจโดยใช้คำพูดคำเดิมเหมือนกับที่พูดเมื่อคืนนี้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลงลืมตัวเองนั้นช่างน่าเวทนา

ยูแจลังเลอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจลบข้อความนั้นทิ้งไป

ยูแจพยายามเบี่ยงเบนความสนใจไปยังเรื่องอื่น เขาจึงเริ่มเขียนเลกเชอร์เนื้อหาในคาบเรียนที่ซอฮันจุนขาดเรียนไปอย่างละเอียดเอาไว้ให้อีกฝ่าย รวมถึงเก็บชีทเรียนในส่วนของฮันจุนเอาไว้ด้วย เขาซื้อข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อมากินเป็นมื้อเที่ยงแล้วใช้เวลาที่เหลือไปกับการอาบน้ำอีกครั้งรวมถึงวางแผนการเดินทาง

แถวร้านอาหารมีสวนสาธารณะและร้านกาแฟ ทั้งยังมีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ด้วย หลังจากไปเดตกันที่สวนสาธารณะแล้วถ้าได้ไปเดินเล่นรอบห้างก็คงจะดีไม่น้อย การไปเดินเที่ยวห้างเล่นๆ มันก็สนุกไปอีกแบบ อีกทั้งในห้างยังมีพวกร้านเครื่องประดับอยู่เต็มไปหมด มันจึงน่าสนุกหากได้ไปดูแหวนด้วยกัน ทั้งซอฮันจุนและตัวเขาเองต่างก็ไม่เคยมีความสนใจเรื่องเครื่องประดับเลย เขาเลยเกิดความสงสัยขึ้นมาว่าถ้าหากไปเลือกแหวนด้วยกันแล้วรสนิยมของพวกเราจะเข้ากันได้ดีหรือไม่

หลังจากเลือกเสื้อผ้าเอาไว้เสร็จสรรพ ยูแจก็เริ่มทำความสะอาดห้อง เขาปัดกวาดเช็ดฝุ่นทุกซอกทุกมุม จัดโต๊ะให้เป็นระเบียบ เปิดหน้าต่างทิ้งไว้พักหนึ่งเพื่อให้ผ้าห่มที่เอาไปสะบัดจนสะอาดไร้ฝุ่นนั้นหอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นแดด อย่างไรเสียก็คงจะนอนฟัดกันเล่นอยู่บนเตียงอย่างเดียวอยู่แล้วจึงไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมากมาย หลังจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาก็ฝังจมูกลงไปในผ้าห่มพลางลองสูดดมกลิ่นแดดอบอุ่นที่ชวนให้รู้สึกอุ่นสบาย

ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา ยูแจสะดุ้งลุกพรวดแล้วรีบเช็กข้อความ

 

แม่

วันนี้กลับมาบ้านหน่อย ตอนไหนก็ได้ พ่อกับแม่มีเรื่องจะคุยด้วย (4.06 PM)

 

ยูแจถอนหายใจขณะขึ้นลิฟต์

ปกติแล้วที่บ้านเขาไม่เคยติดต่อมาและบอกให้ไปหาภายในวันนั้น สิบในสิบมักจะเป็นการเรียกไปกินอาหารหรูที่ทำไปเพื่อยืนยันว่าพ่อกำลังทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะของผู้นำครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์แบบมากแค่ไหน ดังนั้นที่ผ่านมาเขาจึงเพิกเฉยและบอกว่ามีนัดแล้วมาโดยตลอด ทว่าข้อความที่ส่งมาในวันนี้มันต่างออกไปเล็กน้อย

มีเรื่องจะคุยด้วย

ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็แค่ต้องการให้ยูแจพูดในสิ่งที่พวกเขาอยากได้ยิน ไม่ได้ให้พูดอะไรที่มีความหมายขนาดนั้น ถึงจะบอกว่าพวกเขาต้องการอย่างนั้น แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาคาดหวังอะไรไว้ใหญ่โต เหตุผลใหญ่ที่สุดที่ยูแจรีบออกมาก็เพียงเพราะเย็นนี้อยากจะไปถึงร้านอาหารตามเวลาที่จองเอาไว้ ถ้าหากไปยังสถานที่นัดทันทีหลังจากแวะเข้าบ้านไปฟังคำพูดจากพวกเขาสักครู่หนึ่งแล้ว เขาก็น่าจะไปถึงร้านอาหารได้ตามเวลาพอดี…

จะว่าไปแล้วสายโทรศัพท์จากแม่ที่โทรมาล่าสุดมันก็กวนใจเขาอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

น้ำเสียงที่แสนอ่อนโยน เขายังรู้สึกติดใจที่เธอเป็นห่วงเขา แถมยังถามไถ่เรื่องการวางแผนในอนาคตและชีวิตประจำวันของเขาทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยถามมาก่อน คงต้องบอกว่ามันเป็นความรู้สึกสงสัยใคร่รู้มากกว่าที่จะเป็นความรู้สึกติดใจน่าจะถูกต้องกว่า เพราะมันเป็นการกระทำที่เธอไม่เคยทำมาก่อน ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วเธอจะอารมณ์เสียเหมือนเดิม แต่บางทีแม่ของเขาอาจจะมีเรื่องสำคัญที่อยากพูดจริงๆ ก็ได้ หรือบางทีก็อาจจะรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยขึ้นมานิดหน่อยจริงๆ เพราะเขาแยกออกมาใช้ชีวิตอยู่ห่างหูห่างตาก็เป็นได้

ถึงจะมีความเป็นไปได้สูงว่าทั้งหมดนั้นอาจเป็นเพียงแค่การพูดบ่นไร้สาระก็ตามที

ติ๊ง!

เสียงลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก ยูแจฝืนยิ้มพลางก้าวเท้าเดิน

ภายในห้องไม่ได้ยินแม้แต่เสียงโทรทัศน์หรือเสียงพูดคุยกัน อีกทั้งหน้าต่างยังเปิดทิ้งเอาไว้ ไม่รู้ว่าเปิดเพื่อระบายอากาศหรืออย่างไร ยูแจเดินเข้าไปข้างในห้องพลางจงใจส่งเสียงให้รู้ว่ามีคนเข้ามา

“ผมมาแล้ว”

เมื่อเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นก็เห็นพ่อนั่งอยู่ตรงโซฟา ตอนนั้นเองพ่อที่กำลังจับจ้องอยู่กับหน้าจอมือถือก็ได้เงยหน้าขึ้นมา ทั้งที่คิดเอาไว้แล้วว่าจะถูกบ่นว่าท่าทางการทักทายนั่นมันอะไรกัน แต่ก็ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้ไม่สนใจมัน ตอนที่ยูแจกำลังพิจารณามองบรรยากาศที่แตกต่างไปจากปกติอย่างไรชอบกลอยู่นั้น แม่ก็เปิดประตูห้องปรากฏตัวออกมา

“มาแล้วเหรอ อยู่ทานมื้อเย็นด้วยกันไหม”

“ตอนเย็นผมมีนัด เรื่องที่ว่าจะคุยนี่เรื่องอะไรเหรอครับ”

ยูแจส่ายศีรษะปฏิเสธคำชวนที่ถามมาอย่างอ่อนโยน เขาสังเกตเห็นว่าแม่เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องของเขา ดูเหมือนว่าแม่จะใช้ห้องของเขาที่ปล่อยว่างเอาไว้เพราะไม่ได้กลับมาบ้านบ่อยๆ และดูท่าแล้วน่าจะแยกห้องอยู่กับพ่อด้วย

ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เพราะเขาไม่เคยรู้สึกว่าที่ตรงนั้นมันเป็นที่ของเขามาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

แม่เดินมานั่งตรงโซฟาข้างพ่อ ก่อนจะถอนหายใจน้อยๆ ในขณะที่พ่อกระแอมพลางลอบส่งสายตากับแม่ ทั้งที่พวกเขาทำตัวเหมือนจะกินหัวกันตลอดเวลาทุกครั้งที่เจอหน้า ทว่าวันนี้กลับใจเย็นผิดปกติ…ถึงขนาดที่ว่าดูสงบสุขกันดี

ยูแจเอียงศีรษะมองพวกเขาสลับกันไปมาเงียบๆ ไม่รู้ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าบรรยากาศมันช่างน่าอึดอัดเสียเหลือเกิน

“มีอะไรกันแน่”

“ฉันกับแม่ของแกตกลงกันแล้วว่าจะหย่ากัน”

นั่นคือประเด็นหลักของวันนี้ ประโยคที่หมายความว่าชีวิตแต่งงานหลายสิบปีนั้นได้สิ้นสุดลงแล้วหลุดลอดออกมาจากปากของพ่อ ความสนใจของเขาจดจ่ออยู่กับท่าทางที่นิ่งสงบของพ่อ เขาจึงไม่อาจเข้าใจคำพูดนั้นได้ในครั้งเดียว

“ว่าไงนะ”

“ไม่ได้จบลงไม่ดี อย่าเสียใจไปเลย เดี๋ยวนี้มีคนหย่าร้างกันเยอะจะตาย”

มันไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไรขนาดนั้น เพราะล่าสุดความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไรนัก ยูแจเองก็เห็นด้วยว่าการแยกทางกันนั้นยังดีกว่าการอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจของเขาก็ยังรู้สึกสั่นคลอนเพราะความทรงจำมากมายหลั่งไหลถาโถมเข้ามาราวกับเกลียวคลื่นอย่างไร้ซึ่งหนทางแก้ไข

ทั้งรูปภาพมากมายที่อยู่ในกรอบรูปเก่าๆ

สายตาของพ่อที่หันมองไปทางแม่

‘รักสิ’

น้ำเสียงของแม่ยามนึกถึงความทรงจำในวันวาน

ทันใดนั้นยูแจก็เพิ่งจะตระหนักได้ถึงคำพูดแดกดันและเหตุผลที่ว่าทำไมวันนี้พวกเขาถึงได้ดูสงบกันเป็นพิเศษ

ในที่สุดพวกเขาต่างก็ยอมแพ้ในตัวของกันและกัน

“เข้าใจแล้ว คุยจบแล้วใช่ไหม”

“ยังคุยไม่จบ นั่งลงก่อน”

พ่อพูดขึ้นมาพลางเงยหน้ามองยูแจ คำพูดของพ่อฟังดูประนีประนอม ไม่ได้เป็นคำสั่งที่ฟังดูเด็ดขาด พอยูแจสังเกตเห็นว่าพ่อไม่ได้ต้องการความเคารพจากตัวเขาอีกต่อไป เขาถึงได้เข้าใจว่าอีกสิ่งหนึ่งที่พ่อยอมแพ้ไปแล้วคืออะไร

พ่อพูดต่อโดยไม่มีติดขัดราวกับเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดีแล้ว

“พวกฉันปรึกษากันแล้วเลยตกลงว่าจะหย่าแล้วแยกจากกันด้วยดี ส่วนทรัพย์สินก็มีคอนโดฯ นี้กับรถหนึ่งคัน แต่ว่ารถมันก็เก่ามากแล้ว ต่อให้ขายไปก็คงได้แค่ค่าเพิกถอน เพราะงั้นจะถือว่าไม่มี ส่วนคอนโดฯ ก็ตัดสินใจว่าจะขายทิ้งแล้วเอามาแบ่งกับแม่ของแก”

“ต้องแบ่งคนละครึ่งสิถึงจะเรียกว่าแบ่ง นี่คุณกลับแบ่งให้ฉันแค่น้อยนิด”

แม่พูดแทรกขึ้นมาอย่างใจเย็น ขณะที่พ่อลดเสียงลงแล้วย้อนตอบกลับไป

“แต่ถึงอย่างนั้นเงินนั่นก็มากพอที่จะซื้อบ้านอยู่คนเดียวในจังหวัดคังวอน ยังไงก็ตาม…”

พ่อละสายตาจากแม่ที่กำลังยิ้มอย่างใจกว้างแล้วพูดต่อ

“เรื่องค่าเรียนฉันตกลงแล้วว่าจะส่งให้แม่แกจนกว่าแกจะเรียนจบ”

“ฉันเป็นคนเกลี้ยกล่อมให้จ่ายทั้งหมดจนกว่าแกจะเรียนจบเองแหละ ค่ามัดจำออฟฟิศเทลแกก็สิบล้านวอนได้แล้ว แม่จะไม่เอาเงินค่ามัดจำนั้นคืนมาจนกว่าแกจะเรียนจบ เพราะงั้นแกก็อยู่ที่นั่นไป”

“ถึงตอนนี้แกจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เพราะแม่แกบอกว่าจะเอาแกไปอยู่ด้วย เพราะงั้นฉันจะให้เพิ่มอีกสามสิบล้านวอนเป็นค่าเลี้ยงดู”

พวกเขาเอาแต่พูดเรื่องการแลกเปลี่ยนธุรกิจกันไม่หยุด ตกลงกันว่าแบ่งรถกับบ้านกันอย่างไร ค่ามัดจำออฟฟิศเทลจะตกเป็นของใคร ใครจะเป็นคนเอายูแจไปปกครองและจะได้เงินทดแทนค่าเลี้ยงดูเท่าไร

ในระหว่างที่แบ่งทรัพย์สินกันนั้น ตัวเขาเองจึงถูกรวมไปด้วยโดยปริยาย ยูแจเหยียดยิ้มน้อยๆ พลางก้มหน้าลง ก่อนจะได้ยินเสียงของแม่ดังขึ้นเหนือศีรษะ

“คอนโดฯ ราคาตั้งเท่าไหร่ แต่จะให้แค่สามสิบล้านวอนเนี่ยนะ”

“ค่าเรียนฉันก็จ่ายเองทั้งหมด จ่ายจนเรียนจบเมื่อไหร่ฉันก็เงินหมดพอดี ตอนนี้ก็เหลือแค่เงินเดือนที่จะได้รับจากยูแจ แค่นี้ก็ถือว่าให้ไปเยอะแล้วนะ”

เงินเดือน?

รอยยิ้มค่อยๆ เลือนหายไปจากมุมปากของยูแจ

ท่ามกลางคำถามมากมายที่แม่ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนนั้นดังก้องอยู่ในหัว น้ำเสียงเล็กแหลมของแม่เสียดแทงเข้ามาในใจของเขา

‘คิดว่าคนอื่นเขาจะทำดีกับแกโดยที่ไม่มีความหมายอย่างอื่นแฝงหรือไง’

สิ่งที่เธออยากรู้มันไม่ใช่เรื่องการวางแผนในอนาคตของเขา แต่เป็นความเป็นไปได้ที่จะได้เงินบำนาญแต่ละปีเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวัยชรา

“ฮึ”

เสียงถอนหายใจเคล้าไปกับเสียงหัวเราะเย้ยหยัน พอนึกถึงภาพที่พวกเขานั่งสุมหัวและตั้งหน้าตั้งตาเคาะเครื่องคิดเลขกันใหญ่แล้ว มันก็ช่างน่าตลกจนเขาแทบจะกลั้นขำเอาไว้ไม่ไหว เห็นได้ชัดเลยว่าพ่อโน้มน้าวแม่ด้วยคำพูดแบบไหน

คอนโดมิเนียม รถ ค่ามัดจำออฟฟิศเทล เงินสด

…และลูกชาย

คณะบริหารธุรกิจในมหาวิทยาลัยฮันกุกที่เป็นที่รู้จัก การงานในบริษัทใหญ่ที่มั่นคงนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนเสียยิ่งกว่าอะไร ไหนจะเงินเดือนที่จะไหลเข้าบัญชีมาในทุกๆ เดือน

ยูแจลุกพรวดขึ้นแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย

“ผมจะย้ายออกจากห้องภายในหนึ่งอาทิตย์ เงินค่ามัดจำนั่นก็เอาไปจัดการกันเอาเอง”

“ว่าไงนะ”

“ผมหมายความว่าช่วยเอาผมออกจากข้อตกลงทางธุรกิจอุบาทว์ๆ นี่ซะ”

พ่อลุกพรวดขึ้นยืนตาม ยูแจก้มมองพ่อเงียบๆ เป็นการบอกว่าไม่อยากจะพูดอะไรต่ออีกแล้ว ใบหน้าเขาร้อนผ่าวจนแทบจะระเบิด ยูแจเมินหน้าของพ่อที่เดือดดาลราวกับจะระเบิดในชั่วพริบตา ก่อนจะจัดการเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย

“แก ไอ้ลูกเวร ถ้าออกไปตอนนี้อย่าคิดว่าฉันจะอ้าแขนรับแกกลับมาอีกครั้งนะ ฉันไม่เคยมีลูกเนรคุณอย่างแก”

ยูแจเหยียดยิ้ม การขู่เตือนครั้งสุดท้ายที่เป็นการประกาศกร้าวว่าจะตัดสายสัมพันธ์นั้นมันไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย

เขาออกมาจากตรงนั้น หันหลังให้พ่อกับแม่โดยไร้ซึ่งความลังเล ความโกรธที่ทำให้ภายในอกร้อนวูบวาบกลับทำให้เขารู้สึกโล่งใจ

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

 

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: