X
    Categories: everYStar Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-3 ถึง 10-4 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Chapter 10-3

 

ยูแจก้าวเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะชะงักแล้วหยุดยืนนิ่ง เขาจ้องมองสนามเด็กเล่นที่อยู่ในหมู่ตึกโดยที่ยังกำหมัดแน่น ท่ามกลางเด็กๆ ไม่กี่คนที่วิ่งเล่นกันอยู่นั้น ตรงชิงช้ากลับว่างเปล่า

เขาวิ่งพรวดเข้าไปจับจองชิงช้า

วันครบรอบร้อยวันแท้ๆ ทว่าเขาก็ไม่สามารถไปเจอฮันจุนด้วยสภาพที่กำลังโมโหขนาดนี้ได้

คงต้องลดความหัวร้อนลงก่อนแล้วค่อยไปหา

ยูแจโยนกระเป๋าไว้มุมหนึ่ง ก่อนจะเช็กดูโทรศัพท์

ยังคงไม่มีการติดต่อใดมาจากซอฮันจุน แม้ว่าจะลองโทรไปหาอีกครั้งแต่เจ้าตัวก็ไม่รับสาย

ดูท่าคงจะกำลังเดินทางมาอยู่ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ป่านนี้เจ้าตัวก็คงจะติดต่อมาหาแล้ว

ก็สัญญากันไว้แล้วนี่นา…

ต่อให้ใช้เวลาอยู่ที่นี่สิบนาที แต่ก็ยังสามารถไปถึงร้านอาหารได้ทันก่อนหนึ่งทุ่ม หลังจากยูแจคำนวณเวลาเสร็จเรียบร้อยก็ถอดเสื้อตัวนอกออกแล้วโยนทิ้งไป

เขาเริ่มใช้เท้าดันพื้นอย่างแรงเพื่อไกวชิงช้า ชิงช้าที่ทำขึ้นมาสำหรับเด็กนั้นค่อนข้างเล็กทำให้รู้สึกเจ็บสะโพกเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดียามที่ได้รับลมเย็นสบาย ในระหว่างที่ไกวชิงช้าอยู่นั้น ยูแจก็มองเห็นเด็กคนหนึ่งในระยะสายตา เด็กคนนั้นเอาแต่มองมาที่เขา ไม่แม้แต่จะมองชิงช้าที่ว่างเปล่าข้างๆ เขาเลย

ยูแจยังจำได้ว่าตอนสมัยมัธยมต้นเขากับฮันจุนไปนั่งชิงช้าข้างกัน และนั่นก็ทำให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้ แม้ซอฮันจุนจะเอ่ยขอโทษและปลอบเด็กชายคนนั้นที่ร้องไห้งอแงโดยไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอทำอะไรแปลกๆ ออกไป แต่ว่ามันก็เป็นภาพความทรงจำที่ตลกมากๆ ยูแจใช้เท้ายันลงที่พื้นเพื่อหยุดยืน ก่อนจะเอ่ยปากถาม

“หนูอยากมานั่งด้วยกันไหม”

“ไม่ค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวพี่ชายขอไกวต่ออีกแค่สิบทีนะ นับเลขเป็นไหม”

“เป็นค่ะ!”

หนึ่ง สอง สาม

ยูแจไกวชิงช้าช้าๆ ให้พอดีกับเสียงของเด็กที่กำลังนับเลขอย่างเชื่องช้า เด็กคนนั้นนับถึงเลขห้าก่อนจะวนกลับมานับเลขหนึ่งใหม่อีกครั้ง ในขณะที่ตั้งใจฟังเสียงหัวเราะอันสดใส เขาก็มองไปยังชิงช้าข้างๆ ที่ว่างเปล่า

ยูแจจ้องมองชิงช้าอยู่สักพักใหญ่ๆ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา เขานั่งชิงช้าที่แกว่งไกวไปมาเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดพลางกดส่งข้อความ

 

ยูแจ

หิวข้าวแล้วอะ

(6.12 PM) เราไปกินของอร่อยๆ กันเถอะ

 

ร้านอาหารแน่นขนัดไปด้วยผู้คนเพราะเป็นช่วงเย็นวันศุกร์ ลูกค้าที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ เปลี่ยนหน้าไปแล้วสองครั้ง พวกเขาลุกออกจากที่นั่ง ก่อนที่พนักงานจะเดินมาเก็บกวาดเช็ดโต๊ะกระจกจนสะอาดสะอ้าน นี่นับเป็นครั้งที่สามแล้วที่มีลูกค้าคนใหม่เดินเข้ามานั่งลงตรงนั้น

ยูแจเช็กดูมือถือที่เงียบสนิทอีกครั้ง ก่อนจะหยิบรายการอาหารขึ้นมาดู ไม่รู้ว่าอาหารของร้านนี้เป็นอาหารฟิวชั่นหรืออย่างไร ตอนเห็นครั้งแรกมันถึงได้เต็มไปด้วยอาหารที่ดูแปลกตา แต่พอลองเสิร์ชหาทีละอย่างแล้วก็พอจะสามารถเลือกเมนูที่ซอฮันจุนน่าจะชอบได้อย่างคร่าวๆ เขากวาดสายตามองรายการอาหารที่อ่านวนซ้ำมาหลายครั้งจนจำได้อีกรอบพลางจิบไวน์ขาวที่สั่งมาก่อนล่วงหน้า กลิ่นอาหารหอมกรุ่นกับภาพวาดแขวนผนังที่แสนมีชีวิตชีวา เขาพอจะรู้แล้วว่าทำไมซอฮันจุนถึงได้เลือกร้านนี้ เพราะหมอนั่นมักจะสนุกกับสิ่งใหม่ๆ เสมอไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม

“ไม่ทราบว่าพร้อมจะสั่งอาหารหรือยังคะ”

“ผมว่าจะสั่งตอนอีกคนมาถึงน่ะครับ”

ยูแจยกยิ้มให้พนักงาน จากนั้นพนักงานก็พยักหน้าแล้วหันหลังไป ทว่าไม่นานพนักงานก็หันกลับมาแล้วพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ

“เวลาตอนนี้ก็สามทุ่มแล้ว พอดีทางร้านปิดรับออเดอร์ตอนสามทุ่มครึ่งน่ะค่ะ หากจองโต๊ะเอาไว้ต้องสั่งเมนูก่อนออกจากร้านนะคะ”

“ครับ เดี๋ยวเขาก็มาแล้วครับ”

พนักงานเหลือบมองที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ก่อนจะถอยไปเพราะคำตอบที่มั่นอกมั่นใจนั้น

ตรงที่นั่งที่ว่างเปล่ามีไวน์ขาวแก้วหนึ่งวางเอาไว้อยู่

 

แม่ไม่รับสาย

ฮันจุนมองมือถือพลางขมวดคิ้วมุ่น แม่ไม่เคยติดต่อไม่ได้ในช่วงเวลาหลังเลิกงานมาก่อน เขารู้สึกเอะใจที่โชยูแจบอกให้ลองติดต่อไปหาแม่สักครั้งก่อนจะแยกจากกันเมื่อวาน เขาเลยลองโทรไปหาแม่ ทว่าแม่กลับไม่รับสาย เขาจึงรู้สึกกังวลขึ้นมา

วันนี้ทำงานเลต? หรือว่าแค่เก็บกวาดร้านเสร็จช้ากว่าปกติหน่อย? งานร้านอาหารจะค่อนข้างยุ่งในช่วงสุดสัปดาห์ แต่วันนี้เป็นวันธรรมดา เพราะงั้นบางทีแม่อาจจะกำลังพักผ่อนอยู่ก็ได้ ไม่ก็อาจจะไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือไม่ก็รีบนอนไปตั้งแต่หัวค่ำก็เลยติดต่อไม่ได้ก็ได้

ฮันจุนอาบน้ำพลางพยายามคิดให้สบายใจ หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วจัดที่นอนเรียบร้อย เขาก็ล้มตัวลงนอน แต่เขากลับนอนไม่หลับ

เขาลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจโทรไปหาแม่อีกครั้งหนึ่ง สัญญาณรอสายดังขึ้นต่อเนื่อง จากนั้นก็ถูกโอนสายไปเป็นการฝากข้อความ ลางสังหรณ์ของเขาเลยเริ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

ตอนที่อาศัยอยู่ด้วยกัน แม่แทบจะไม่เคยออกไปเที่ยวตอนกลางคืนเลย ต่อให้บอกว่าเก็บกวาดร้านเสร็จช้า แต่ก็ไม่มีร้านไหนที่จะสั่งให้ทำงานเกินเวลามาจนถึงป่านนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าแม่กำลังนอนอยู่หรือไม่ แต่แม่เป็นคนที่ค่อนข้างหูดีตอนหลับ ดังนั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่แม่จะไม่รับสายทั้งที่โทรไปหาตั้งหลายครั้งแบบนี้ ฮันจุนส่งข้อความไปขอให้แม่ติดต่อกลับมา ก่อนจะข่มตาบังคับให้ตัวเองนอน

หลังจากกึ่งหลับกึ่งตื่นมาตลอดทั้งคืน เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนรุ่งสาง ฮันจุนก็รีบเช็กมือถือก่อนเป็นอันดับแรกทันที แม่ยังคงไม่ติดต่อกลับมาและยังไม่ได้อ่านข้อความ ทั้งที่จิตใจร้อนรุ่มไปด้วยความกังวล แต่เขาก็ลองพยายามข่มตานอนอีกครั้ง ทว่ากลับรู้สึกกังวลและกลัวจนสันหลังเย็นวาบ และนั่นก็ทำให้เขาตื่นเต็มตาได้ในชั่วพริบตาเดียว

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดว่ามันแปลก เขาเช็กยอดเงินคงเหลือในบัญชีกับรอบรถบัส ก่อนตัดสินใจว่าจะไปหาแม่ด้วยตัวเอง มันต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมงในการเดินทาง เขาจึงคิดว่าอย่ามัวนั่งรอด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจแบบนี้อยู่อีกเลย ไปหาแม่ให้ได้เห็นหน้าสักเดี๋ยวแล้วค่อยกลับมาน่าจะดีกว่า

ทันทีที่ตัดสินใจได้แล้ว ฮันจุนก็ติดต่อไปหายูแจก่อนเป็นอันดับแรก เดตในวันครบรอบใกล้จะมาถึงอยู่ตรงหน้าแล้วและเขาก็ไม่อยากมานั่งเป็นกังวลด้วย แต่เขาก็ไม่ได้บอกไปว่าติดต่อแม่ไม่ได้ อย่างไรเสียเดี๋ยวก็ถึงเวลาที่แม่จะต้องออกไปทำงานแล้ว ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเธอจะโทรกลับมาในระหว่างที่เขากำลังเดินทางไปหา เธอคงจะไม่ได้รับสายเพราะกำลังนอนอยู่ และไหนๆ ก็ตัดสินใจไปหาแล้วจะได้ลองไปดูร้านอาหารที่แม่ทำงานอยู่สักหน่อย อีกทั้งแวะไปที่บ้านที่แม่อาศัยอยู่เพื่อไปเช็กดูให้แน่ใจว่าแม่สบายดีไหม เขาวางแผนว่าจะไปเจอหน้าแม่หลังจากที่ไม่ได้เจอกันนานก่อนแล้วจะได้สามารถนั่งรถกลับมาได้อย่างสบายใจ จากนั้นจะได้ตรงไปหายูแจ ฮันจุนเตรียมอุปกรณ์ล้างและทำความสะอาดใบหน้าอย่างง่ายๆ รามยอนคัพหนึ่งถ้วย และลิปบาล์มที่ห่อของขวัญไว้อย่างสวยงามใส่ลงไปในกระเป๋า

ฮันจุนออกเดินทางทันทีแล้วตรงไปขึ้นรถบัสเที่ยวเช้าสุดเท่าที่จะสามารถไปได้ ตลอดสองชั่วโมงที่นั่งรถมา เขาเมารถมาตลอดทางเนื่องจากท้องว่างเพราะมัวแต่รีบออกเดินทาง พออยากจะนอนก็ดันข่มตานอนไม่หลับอีก

แม่ยังคงไม่ติดต่อมาทั้งที่เลยเวลาตื่นนอนตามปกติมาแล้ว

ทันทีที่ไปถึงฮันจุนก็แวะซื้อเครื่องดื่มจากร้านสะดวกซื้อมาดื่ม ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังบ้านที่แม่อาศัยอยู่ พอลองเสิร์ชหาดูแล้วก็พบว่าระยะทางมันค่อนข้างไกลจากสถานีเดินรถมากกว่าที่คิด ภายนอกหน้าต่างที่เหม่อมองออกไปจากในรถโดยสารประจำทางที่กำลังวิ่งไปอยู่นั้น แสงแดดกำลังสาดส่องลงมาอย่างอบอุ่น เขาตัวพิงกับหน้าต่างพลางพยายามทำจิตใจที่ร้อนรุ่มให้สงบลง

กว่าจะรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไปก็ตอนที่ไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

หลังจากเดินเข้าไปในซอยที่เต็มไปด้วยอาคารเก่าๆ ในที่สุดเขาก็มาถึงบ้านเดี่ยวที่สร้างด้วยอิฐสีแดงหลังหนึ่ง ทันทีที่ชะเง้อศีรษะเข้าไปในประตูหน้าบ้านที่เปิดเอาไว้อยู่ ด้านข้างบันไดที่มุ่งหน้าไปยังทางเข้ามีประตูอยู่บานหนึ่ง เขาก้าวเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเคาะประตู

ข้างในนั้นเงียบสงัด แม้จะลองเงี่ยหูฟังดูแล้ว แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ที่บ่งบอกว่ามีคนอยู่เลย

ไปทำงานแล้วหรือเปล่านะ

ฮันจุนกดโทรออกแล้วแนบหูลงตรงประตู นอกจากเสียงรอสายที่ดังไปเรื่อยๆ แล้ว เขาก็ไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้าหรือเสียงของใครเลย

ความวิตกกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมาจากด้านบน

“ใครน่ะ”

ฮันจุนสะดุ้งโหยงตกใจพลางเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเห็นชายชราคนหนึ่งก้มมองลงมาจากบนบันได

“สวัสดีครับ ผมเป็นลูกชายของคุณโกอึนฮาที่อาศัยอยู่ที่นี่ พอดีผมแวะมาหาแม่น่ะครับ”

“หล่อนย้ายออกไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครอาศัยอยู่ในห้องนั้นหรอกนะ”

ชายชราพูดพึมพำพลางเบ้หน้า คำตอบที่คาดไม่ถึงนั้นทำเอาเขาพูดไม่ออก ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากเขาไปชั่วขณะ ในขณะที่ตัวแข็งทื่อพูดอะไรไม่ออกเพราะความตกใจ ชายชราคนนั้นก็เริ่มเดินขึ้นบันไดกลับไปอีกครั้ง ฮันจุนยื่นมือออกไปในอากาศที่ว่างเปล่าพลางรีบเปิดปากพูดขึ้นอย่างร้อนรน

“เอ่อคือ ไม่น่า…จะเป็นแบบนั้นได้นะครับ”

“มีผู้หญิงคนหนึ่งเคยอาศัยอยู่ที่นี่ก็จริง แต่ฉันก็บอกไปแล้วไงว่าหล่อนย้ายออกไปแล้ว”

“ย้ายไปเมื่อไหร่เหรอครับ”

“ประมาณสองเดือนได้แล้ว”

สองเดือน?

ไม่ใช่แค่สองวัน แต่เป็นสองเดือนเนี่ยนะ

ทันทีที่รับรู้ว่าตอนนี้เขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่แม่หายตัวไปที่อื่นโดยไม่บอกไม่กล่าวแล้วยังไม่สามารถติดต่อได้ เขาก็รู้สึกราวกับหัวใจร่วงลงมาจนถึงจุดที่ลึกที่สุดในท้อง ในขณะที่หัวใจเต้นระรัวจนเจ็บแปลบ เขาก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ฮันจุนคว้าจับราวบันไดแล้วเอ่ยปากถามชายชรา

“พอจะทราบไหมครับว่าเธอย้ายไปที่ไหน”

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

ชั่วพริบตานั้นเขารู้สึกมืดแปดด้าน

ต้องไปแจ้งความคนหายหรือเปล่านะ

เขารู้สึกพะอืดพะอมทันทีที่เกิดความคิดที่ว่าตัวเองคงไร้หนทางที่จะตามหาแม่

มีเหตุผลอะไรถึงได้ย้ายที่อยู่ไปโดยไม่บอกไม่กล่าวกัน หรือจะย้ายไปเพราะจ่ายค่าเช่าไม่ไหว? หรือว่าไปกู้เงินนอกระบบมาแล้วกำลังหนีหนี้อยู่? แล้วถ้าหากถูกพวกคนเลวจับตัวไปล่ะ

แล้วถ้าหากไม่ใช่เหตุผลพวกนั้น ทำไมถึงยังติดต่อไม่ได้จนถึงตอนนี้

ชายชราพูดกับฮันจุนที่สติหลุดไปอย่างสมบูรณ์แล้วอีกครั้งหนึ่ง

“ฉันเองก็ไม่รู้อะไรหรอกนะ ป้าแกก็กำลังออกไปเดินเล่นสักแป๊บ ลองรอป้าแกดูละกัน ป้าแกเขาคุยกับแม่ของเธอบ่อย”

“คุณป้าเหรอครับ อ๋า หมายถึงภรรยาของคุณลุงใช่ไหมครับ คือว่าขออนุญาตโทรไปหาตอนนี้เลยได้ไหมครับ”

“ไปเดินเล่นแค่ตรงข้างหน้านี้เอง เธอคิดว่าป้าแกจะเอาโทรศัพท์ไปด้วยหรือไง รอไปก่อนละกัน”

ชายชราพูดคำนั้นเป็นคำสุดท้าย ก่อนจะเดินเอามือไพล่หลังขึ้นบันไดหายไป ฮันจุนทรุดตัวนั่งอยู่หน้าประตู จากนั้นก็เริ่มไล่อ่านข้อความที่เคยคุยกับแม่มาจนถึงตอนนี้อย่างละเอียดทุกตัวอักษร

 

มหาลัยเป็นไงบ้าง

พอจะสอนพิเศษไหวไหมลูก

หาเงินมันเหนื่อยล่ะสิ

กลับถึงห้องปลอดภัยใช่ไหม

วันนี้ลูกกินอะไรไป ของแม่วันนี้เป็นบิบิมบับล่ะ

การใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายใจมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ลูกแม่

ตอนนี้แม่กำลังออกไปแล้ว

ฝนตกแฮะ’

 

ข้อความที่มักจะส่งคุยกันหนึ่งครั้งต่อวันสองวันตอนที่เริ่มใช้ชีวิตแยกกันค่อยๆ น้อยลงไปเรื่อยๆ เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้เขาเองก็ยุ่งเอาเสียมากๆ ฮันจุนพยายามเลื่อนหาข้อความที่คุยกันในช่วงนี้ที่แม่บอกว่าจะย้ายห้อง

 

‘ห้องลูกตอนกลางคืนคงไม่หนาวใช่ไหม อากาศมันชื้นนะ ทำความสะอาดห้องน้ำบ่อยๆ ด้วยล่ะ

 

ริมฝีปากเขาค่อยๆ บิดเบี้ยว พอพยายามเกร็งแล้วอดทนเอาไว้ เขาก็เริ่มแสบและร้อนวูบวาบที่จมูกขึ้นมา รอบดวงตาเปียกชุ่มขึ้นทุกครั้งที่เขากะพริบตา ฮันจุนครางเสียงต่ำคล้ายเสียงถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

ช่วงฝนชุกสั้นๆ ในช่วงฤดูร้อน แม้อากาศจะชื้นเพราะฝน แต่มันก็ไม่ได้ร้อนมากนัก

สรุปแล้วแม่ส่งข้อความนี้มาจากที่ไหนกันนะ

ฮันจุนหลับตาลงแน่นพร้อมกับหัวใจที่พังทลาย

 

ฮันจุนเคยได้ยินมาว่าจำนวนผู้คนที่ใช้ชีวิตตามปกติอยู่ดีๆ แล้วล้มหายตายจากไปในโลกใบนี้มีมากกว่าที่คิด

ถ้าหาแม่ไม่เจออยู่แบบนี้ต่อไป เราจะทำยังไงดี เราไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับแม่บ้าง และก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าการเป็นเจ้าภาพงานศพนั้นต้องจัดการยังไง

ฮันจุนสะบัดศีรษะพยายามตั้งสติ เขาทรุดตัวนั่งอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว ดูเหมือนความคิดบ้าๆ จะผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด เขาเขยิบตัวนั่งหลังตรง ก่อนจะตบแก้มตัวเองเบาๆ ตอนนั้นเองเขาถึงได้ยินเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นดังขึ้นมาจากฝั่งตรงข้าม

หัวใจของเขาพลันเริ่มสั่นไหวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงคนมา ฮันจุนลุกพรวดขึ้นยืนหน้าประตูห้อง พอคุณป้าที่เพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาเห็นฮันจุนเข้า เธอก็สะดุ้งโหยงตกใจจนผงะถอยหลังไป

“ว้าย!”

“สวัสดีครับ ผมเป็นลูกชายของคุณโกอึนฮาที่อาศัยอยู่ที่นี่ครับ”

ฮันจุนรีบแนะนำตัวเพื่อทำให้เธอไว้ใจ เขาก้มตัวโค้งทักทายพลางบังคับน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือ ก่อนที่เธอจะลูบหน้าอกปลอบขวัญตัวเองน้อยๆ

“ตายจริง ลูกชายของคุณอึนฮาเองเหรอเนี่ย”

“ครับ ผมซอฮันจุนครับ พอดีเห็นบอกว่าแม่ย้ายออกไปแล้ว แต่ผมไม่รู้ที่อยู่ใหม่ของแม่เลยน่ะครับ”

“อ๋า แต่ฉันเองก็ไม่รู้ที่อยู่ใหม่ของหล่อนเหมือนกัน เธอลองโทรไปถามมาหรือยังล่ะ”

นั่นเป็นช่วงเวลาที่เชือกแห่งความหวังเส้นสุดท้ายที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้ขาดสะบั้นลง กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายนั้นเครียดเกร็งจนรู้สึกเจ็บไปหมด คุณป้าเดินเข้ามาใกล้แล้วพูดกับเขาที่กำลังกัดริมฝีปากแน่นเพราะรู้สึกคลื่นไส้คล้ายจะอาเจียน

“เธอลองไปร้านอาหารมาหรือยัง”

“จริงสิ ร้านอาหาร คุณป้าพอจะทราบไหมครับว่าร้านอยู่ที่ไหน”

“รู้สิ ร้านโคฮยัง ซนมันดู”

ทำไมถึงคิดเรื่องนี้ไม่ได้กันนะ

ฮันจุนรีบเดินตรงออกมายังหน้าถนนแล้วเสิร์ชหาชื่อร้าน ถ้าเดินออกไปอีกสักสิบนาทีก็จะเจอกับร้านอาหาร เขาไม่รอช้า เริ่มออกตัววิ่งไปทันที

Chapter 10-4

 

“คุณโกอึนฮา? ลาออกไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนนี้เอง”

เจ้าของร้านอาหารตอบกลับมา ฮันจุนเดินก้าวเข้าไปอีกหนึ่งก้าวแล้วถามต่อเสียงดัง

“ลาออก? เพราะอะไรเหรอครับ”

“ไม่รู้สิ เห็นมาบอกว่าลาออกแล้วก็ออกไปเลย นอกจากนั้นแล้วฉันจำเป็นต้องใส่ใจด้วยหรือไง”

คำพูดที่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นศัตรูจนออกนอกหน้านั้นดูแปลกๆ ชอบกล ฮันจุนเดินไปขวางเจ้าของร้านอาหารที่กำลังจะมุ่งหน้าไปยังเคาน์เตอร์

“ผมเป็นลูกชายเธอครับ ตอนนี้ผมหาแม่ไม่เจอ รบกวนช่วยบอกให้ละเอียดหน่อยได้ไหมครับ”

“ก็บอกว่าไม่รู้ไม่ได้ยินหรือไง ฉันเองก็ต้องค้าขาย เพราะงั้นรบกวนช่วยออกไปด้วย”

เจ้าของร้านอาหารตอบกลับมาอย่างเย็นชาแล้วผลักฮันจุนออกไปข้างนอกทันที พอเขากวาดตามองไปรอบๆ เพราะคำพูดที่บอกว่า ‘ยุ่งจะตายอยู่แล้ว ยังจะมาขัดขวางการทำงานแบบนี้อีก จะให้ฉันทำยังไงกับเด็กอย่างเธอ’ แล้วก็เห็นสายตามากมายที่เหลือบมองมาที่ตัวเอง ในร้านเต็มไปด้วยลูกค้าที่กำลังกินเกี๊ยวกับก๋วยเตี๋ยวอยู่

เขามาถึงตั้งแต่ตอนเช้าตรู่ แต่ตอนนี้เวลากลับล่วงเลยมาจนถึงช่วงเวลาอาหารกลางวันแล้ว เพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาจึงไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร

ฮันจุนที่ถูกไล่ออกจากร้านมาเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวร้านอยู่พักใหญ่ๆ หลังจากนั้นก็ข้ามถนนเดินเข้าไปในร้านขายโทรศัพท์อย่างใจร้อน เขาถามไปว่าคนในครอบครัวหายตัวไปจะสามารถค้นหาหรือติดตามตำแหน่งของโทรศัพท์ได้ไหม ก่อนจะเสียเที่ยวออกมาโดยที่ไม่ได้อะไรเลย

แม่ยังคงไม่รับสาย

เขาบุกเข้าไปในร้านอาหารอีกครั้งหนึ่งด้วยความคิดที่ว่าเจ้าของร้านอาหารที่แสดงออกถึงความไม่ชอบใจอย่างเปิดเผยน่าจะรู้อะไรบางอย่าง ฮันจุนเลือกนั่งลงที่โต๊ะหนึ่งแล้วสั่งเกี๊ยวน้ำหนึ่งชามมากินแทนที่จะไปคุยกับเจ้าของร้านอาหารที่คุยไม่รู้เรื่อง เขาเรียกพนักงานสั่งอาหารมาแล้วในขณะที่กำลังอธิบายสถานการณ์อยู่นั้น เจ้าของร้านอาหารก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง

“เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้นสินะ เดี๋ยวฉันจะเรียกเพื่อนของแม่แกให้ เพราะงั้นออกไป ออกไปรอข้างนอก!”

ถึงจะกำหมัดเอาไว้แน่นแต่เขาก็ไม่มีเวลาที่จะมานั่งทะเลาะด้วย ฮันจุนออกไปรออยู่ข้างนอกตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ไม่นานนักก็เห็นคุณป้าที่สวมถุงมือปรากฏตัวขึ้นมาจากทางประตูหลัง

“สวัสดีครับ ผมชื่อซอฮันจุนครับ”

“ฉันได้ยินเรื่องทั้งหมดแล้ว และฉันจะเล่าให้ฟังอย่างเร็วๆ นะคะเพราะอยู่ได้ไม่นาน”

“…”

“คุณอึนฮา เธอไม่ได้ลาออก แต่ถูกไล่ออกค่ะ มีลูกค้าคนหนึ่งบอกว่ามีเส้นผมอยู่ในอาหารทำให้ร้านวุ่นวายไปหมด มันเป็นเส้นผมยาวบางๆ สีน้ำตาลแล้วเจ้าของร้านก็มั่นใจว่านั่นเป็นผมของคุณอึนฮาก็เลยทะเลาะกันใหญ่โตค่ะ”

บางทีอาจจะไม่ได้หนีเพราะถูกเจ้าหนี้ไล่ล่าก็ได้

ฮันจุนตั้งใจฟังด้วยอารมณ์ที่ยังอ่อนไหว

“แต่ถึงแบบนั้นฉันก็คิดว่ามันไม่น่าจะใช่ เพราะคุณอึนฮาผมสีดำ แต่ป้าคนอื่นๆ เขาก็ผมสั้นกันหมด จริงๆ แล้วช่วงนี้มีคนที่เอาเส้นผมหรือแมลงใส่ลงไปในอาหารเพื่อกินฟรีอยู่เหมือนกัน คุณเจ้าของร้านที่นี่ช่างอ่อนต่อโลกซะจริง”

“ไม่มีทางรู้เลยจริงๆ เหรอครับว่าแม่ผมไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ผมเป็นห่วงมากๆ เลยเพราะติดต่อไม่ได้น่ะครับ”

“เธอไม่รับสายเหรอ รอเดี๋ยวนะ ที่ที่คุณอึนฮาย้ายไปใหม่…เหมือนจะเคยคุยกันทางข้อความอยู่ แป๊บนึงนะ”

หลังจากเธอเช็กดูมือถือสักพัก ในที่สุดเธอก็บอกชื่อร้านใหม่

‘พัคกาเน แฮจังกุก’

พอลองรีบเสิร์ชหาดูแล้วก็พบว่าร้านนี้จะต้องนั่งรถโดยสารประจำทางไป ฮันจุนวิ่งไปที่ป้ายรถโดยสารประจำทางพลางคิดคำนวณเงินค่ารถที่จะต้องใช้ขึ้นกลับไปยังโซลกับยอดเงินคงเหลืออยู่ภายในหัว

ร้านอาหารแห่งที่สองที่ไปถึงคือร้านแฮจังกุก* ร้านนี้ค่อนข้างเล็กกว่าร้านแรกและตั้งอยู่ริมถนนทำให้มีคนเยอะแยะเต็มไปหมด มีหลายคนยืนรออยู่ที่หน้าประตูร้าน เพราะเป็นช่วงท้ายๆ ของเวลาพักเที่ยง จึงยังคงเป็นช่วงที่คนแออัดอยู่

แม่จะกำลังทำงานอยู่หรือเปล่านะ

ความหวังอันแสนเลือนรางที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอหน้าแม่หรือเปล่ากับความวิตกกังวลที่ยังคงไม่จางหายไปทำให้ภายในใจรู้สึกร้อนรุ่ม ฮันจุนพยายามทำให้หัวใจที่เต้นแรงจนแทบระเบิดนั้นสงบลง ก่อนที่จะเดินเข้าไปข้างในร้าน มันไม่ใช่เรื่องยากในการมองหาเจ้าของร้าน เธอยืนอยู่ตรงเคาน์เตอร์และกำลังยุ่งอยู่กับการคิดเงินบางอย่าง

หลังจากอธิบายสถานการณ์และถามความเป็นไปของแม่ เจ้าของร้านก็ตอบกลับมาโดยที่สายตายังไม่ละไปจากสมุดบันทึก

“ตอนนี้คุณอึนฮาลาพักร้อนไปประมาณหนึ่งอาทิตย์ค่ะ เห็นเธอบอกว่าจะไปหาลูกชายที่อยู่ที่โซล”

พักร้อน?

ร่างกายที่เกร็งเครียดพลันผ่อนคลายลงในชั่วพริบตาด้วยความโล่งใจ

เฮ้อ โล่งอกไปที สงสัยจะสวนทางกัน งั้นตอนนี้แม่คงอยู่ที่โซลสินะ? ว่าแต่มาหาฉันเนี่ยนะ รู้งี้ไม่น่ารีบร้อนลงมาหาแม่เลย

จะว่าไปแล้วทำไมถึงได้ขอลาพักร้อนไปตั้งหนึ่งอาทิตย์กันนะ หรือว่าไหนๆ แล้วจะไปโซลทั้งทีก็เลยขอลายาวเพื่อไปเจอหน้าเพื่อนด้วย? จริงสิ ยังไงซะการอยู่ที่นี่คนเดียวมันก็คงจะต้องเหงาอยู่แล้วนี่เนอะ ถ้าติดต่อมาก่อนล่วงหน้าก็คงจะไม่สวนทางกันแบบนี้

แต่เดี๋ยวสิ มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นไปได้หรอก

ไม่ใช่ว่าไม่ติดต่อมา แต่นี่มันติดต่อไม่ได้เลยต่างหาก แถมใช่ว่าจะมาเจอกันแค่วันเดียวแล้วก็กลับ แต่นี่ดันขอลาตั้งหนึ่งอาทิตย์ ดังนั้นถ้าหากวางแผนจะไปโซลทั้งทีก็ควรจะต้องติดต่อมาก่อนหน้านี้สิ ไม่รับสายกันตั้งแต่เมื่อวานเย็นมาจนถึงป่านนี้ อย่างน้อยๆ ก็ควรจะต้องโทรกลับมาหากันบ้าง

เพราะงั้นที่บอกว่าไปโซลเพราะเรามันก็เป็นแค่เพียงข้ออ้าง

ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วแม่ทำแบบนั้นไปทำไมกันล่ะ

ความกังวลเรื่องใหม่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ จนไม่มีแม้แต่เวลาให้รู้สึกผิดหวัง

สรุปแล้วขอลาหนึ่งอาทิตย์ไปเพื่อทำอะไรกันแน่

ฮันจุนถามออกไปโดยพยายามลืมดวงตาที่ร้อนผ่าวขึ้น

“ไม่ทราบว่าช่วยบอกที่อยู่ให้หน่อยได้ไหมครับ”

“คุณเป็นใครคะ”

ฮันจุนปิดปากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง แม่บอกไปว่าจะไปโซลเพื่อไปเจอลูกชาย เขากังวลกลัวว่าแม่อาจจะเดือดร้อนเอาได้หากเจ้าของร้านรู้ว่าแม่โกหก แม้ว่าจะลองเค้นสมองคิดหาข้อแก้ตัวที่จะพูดเพิ่มเติม แต่เขากลับนึกอะไรไม่ออกเลย เจ้าของร้านจึงเอ่ยปากถามฮันจุนที่ไม่สามารถตอบกลับไปได้ในทันที

“คุณคงไม่ใช่คนแปลกๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าคุณอึนฮาไปยืมเงินใครมาหรอกนะคะ”

“ไม่ครับ ไม่ใช่อย่างนั้น ผมเป็นลูกชายของเธอเองครับ”

คำพูดคล้ายจะข่มขู่อย่างไม่ลังเลนั้นทำให้ความคับข้องใจล้นปรี่ขึ้นมาเต็มอกที่กำลังขมขื่น หลังจากเปิดเผยออกไปแล้วฮันจุนก็หารูปแม่ในมือถือเพื่อเปิดให้เจ้าของร้านดู พอเห็นรูปแม่ที่กำลังยิ้มกว้างอย่างสดใสแล้ว เขาก็เผลอร้องไห้ออกมาในที่สุด

หลังจากฮันจุนได้ที่อยู่มาแล้ว เขาก็มายืนอยู่ตรงซอยข้างๆ ร้านอาหารแล้วลองเสิร์ชหาที่อยู่นั้น ถึงมันจะอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่ก็ต้องเปลี่ยนสายรถโดยสารประจำทางอีกหนึ่งครั้ง แม้ว่าในใจจะอยากนั่งแท็กซี่ ทว่าถ้าทำอย่างนั้นก็อาจจะมีเงินไม่พอสำหรับค่ารถบัสในการกลับโซล เขาจึงจำต้องยอมแพ้ไป

เขาเดินไปตามทางอย่างไร้สติแล้วขึ้นรถโดยสารประจำทางไป จากนั้นก็ลงจากรถแล้วเปลี่ยนสายขึ้นรถโดยสารประจำทางไปอีกครั้งหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่เดินทางไปนั้น ฮันจุนเอาแต่คิดถึงสถานที่ที่แม่ทิ้งร้างมาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์

มันคงจะดีถ้าหากแม่ไปเที่ยวเล่นที่ไหนสักแห่งแล้วใช้ช่วงเวลานั้นในการเปลี่ยนบรรยากาศไปด้วย เขาจะไม่คาดหวังอะไรอีกเลยหากแม่ไม่รับสายกันเพราะมัวแต่ใช้เวลาพักผ่อนเพื่อตัวเองโดยที่ไม่ต้องมาคิดมากเรื่องงานหรือเรื่องลูกชาย

ฮันจุนลงจากรถโดยสารประจำทางแล้วเดินไปตามถนน เขามองแผนที่พลางเดินเข้าไปในซอยแล้วเดินลัดเลาะเลี้ยวไปมาจนแทบเวียนศีรษะ เขาเจ็บแปลบๆ ตรงบริเวณฝ่าเท้า ลำคอเองก็แห้งผาก ฮันจุนกลืนน้ำลายหนืดลงลำคอที่แห้งผากหลายต่อหลายครั้งแล้วขยี้ตาอย่างแรงจนรู้สึกแสบบริเวณรอบดวงตา

หลังจากเดินไปตามถนนใหญ่ที่สะอาดสะอ้านได้ไม่นานก็ปรากฏซอยแคบๆ ซอยหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปด้านในอีกหน่อยก็เห็นบ้านเก่าๆ ตั้งกระจุกกันอยู่เป็นหย่อมๆ หลังคามุงกระเบื้องและหลังคาสังกะสีที่อยู่ระหว่างบ้านเดี่ยวนั้นสะดุดตาเอามากๆ แม้ว่าฮันจุนจะไม่มีสติพอที่จะจับจ้องตรงไหนนานๆ แต่เขาก็กลัวว่าตัวเองจะพลาดอะไรบางอย่างไป เขาจึงพยายามเบิกตากว้างแล้วพินิจมองไปรอบๆ อย่างเชื่องช้า

ป้ายบ้านเลขที่เก่าๆ บ้านที่มีพื้นด้านนอกเป็นสีดำ หน้าต่างที่อยู่ตรงระดับสายตาของฮันจุน มุ้งลวดที่แมลงมาวางไข่ไว้มากมายตามตามุ้งลวด

รอบทิศเงียบสงัดราวกับป่าช้า เนื่องจากเป็นเวลาที่ทุกคนน่าจะออกไปทำงานกันอยู่ จึงทำให้ไร้วี่แววคนอยู่อาศัยราวกับบ้านทุกหลังนั้นว่างเปล่าไร้ผู้คน

ในที่สุดฮันจุนก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าอาคารพักอาศัยรวม

ตัวอาคารโทรมๆ หลังนั้นมีประตูหนึ่งบานที่เชื่อมต่อไปยังชั้นกึ่งใต้ดิน หากเดินขึ้นบันไดไปก็จะมีประตูอีกหนึ่งบานที่ตั้งอยู่ตรงกลาง และหากเดินขึ้นบันไดไปจนสุดทางก็จะเจอกับประตูอีกบานหนึ่ง รวมทั้งสิ้นมีทั้งหมดสามบาน ฮันจุนยืนอยู่ตรงหน้าประตูที่อยู่ด้านล่างสุด เขากำมือยกขึ้นมาพลางกัดริมฝีปากแน่น

“แม่”

แม้จะเคาะประตูไปแล้ว แต่ก็ไม่มีเสียงใดดังตอบกลับมา ฮันจุนจึงใส่แรงเคาะประตูเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง

“แม่!”

แม้ว่าจะตะโกนจนคอแทบแตกแล้ว แต่ก็ไม่มีใครออกมา อย่างน้อยถ้าหากไม่อยู่ห้อง เขาก็ยังอยากยืนยันว่าแม่อาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ ฮันจุนวิ่งขึ้นบันไดไปแล้วเริ่มเคาะประตูห้องคนอื่นที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีใครอาศัยอยู่หรือเปล่า ทว่าทั้งประตูบานที่สองและประตูบานที่สามกลับไม่มีประตูไหนเปิดออกมาเลย แม้จะกดกริ่ง เคาะแรงๆ หรือตะโกนเสียงดังขนาดไหนก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ฮันจุนหอบหายใจพลางหยิบมือถือขึ้นมา เพราะเขาเปิดแอพพลิเคชั่นแผนที่ขณะเดินมาตลอดทั้งวันทำให้แบตเตอรี่เหลือเพียงสี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เขาลดความสว่างของหน้าจอลงให้มืดที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกดโทรหาแม่อีกครั้ง

จนกระทั่งแบตเตอรี่หมดลง

ฮันจุนเก็บมือถือใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะถอนหายใจออกมาแรงๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดนี้มีเพียงเสียงหอบหายใจดังของเขา เขายืนพิงผนังพลางเรียบเรียงความคิดอันยุ่งเหยิงวุ่นวายที่อยู่ภายในหัว

เขาแน่ใจว่าแม่อาศัยอยู่ที่นี่ เพราะนี่เป็นที่อยู่ที่ทางร้านอาหารที่แม่ทำงานในปัจจุบันเป็นคนแจ้งมา ดังนั้นมันจึงไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน อีกทั้งหากย้ายมาที่นี่เมื่อสองเดือนก่อนก็ไม่มีทางที่จะย้ายที่อยู่อีกครั้งภายในระยะเวลาเพียงเท่านั้นได้อย่างแน่นอน ถ้าหากใกล้เวลาเลิกงานแล้วก็คงจะมีใครสักคนปรากฏตัวขึ้นมา บางทีแม่เขาอาจจะมาก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพื่อนบ้านหรือเพื่อนของแม่

เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเชื่อแบบนั้น

ฮันจุนทรุดตัวนั่งตรงหน้าประตูพลางพิงศีรษะ เขารู้สึกแสบตาอีกทั้งยังอ่อนล้าและหมดแรง โดยที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้ว เขารู้สึกเหมือนกรดไหลย้อนตีรวนขึ้นมาจากท้องที่ว่างเปล่า เพราะวันนี้เขาขยับร่างกายมาทั้งวันโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะพักตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงตอนนี้ ทำให้กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างปวดร้าวไปหมด ความเหนื่อยล้าถึงขีดสุดถาโถมใส่ ฮันจุนจินตนาการถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้น ก่อนจะหมดสติไป

 

“ว้ายตายแล้ว! ทำไมถึงได้มานอนหน้าบ้านคนอื่นเขาแบบนี้กันล่ะเนี่ย”

ยังหนุ่มยังแน่นทั้งยังดูปกติดีอยู่แท้ๆ แล้วทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ไปได้เนี่ย

ฮันจุนลืมตาตื่นขึ้นมาเพราะเสียงแหลมสูง ท่ามกลางสายตาที่พร่ามัว เขามองเห็นคุณป้าผมสั้นดัดลอนกำลังก้มมองเขาอยู่

พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว ทันทีที่รู้สึกตัวเขาก็ได้สติขึ้นมา ฮันจุนคลำพื้นแล้วรีบพยุงตัวลุกขึ้นจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเวียนศีรษะตาลายจึงยืนพิงผนังแล้วรอให้สายตากลับมามองเห็นชัดเจนอีกครั้ง ไม่รู้ว่าคุณป้าเป็นห่วงฮันจุนหรือเปล่าถึงได้ยืนรออยู่ข้างๆ จนกระทั่งฮันจุนยืนตัวตรงได้อีกครั้ง

“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม”

“ที่นี่คือบ้านของคุณโกอึนฮาใช่ไหมครับ”

“คุณป้าที่ยังดูสาวคนนั้นน่ะเหรอ ถ้าใช่ล่ะก็ นี่บ้านของหล่อนเอง ว่าแต่เธอเป็นใครล่ะเนี่ย”

“ผมเป็นลูกชายเธอเองครับ พอดีว่าผมติดต่อแม่ไม่ได้ แถมแม่ก็ไม่ได้อยู่ที่ร้านอาหารที่ทำงานแล้วก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านด้วย”

น้ำเสียงของเขาแหบพร่าและสั่นเครือ แม้ว่าจะพยายามกดน้ำเสียงที่โพล่งพูดออกไปเสียงดังโดยไม่รู้ตัว ทว่ามันก็ไม่ง่ายเลย แม้จะเป็นเพียงแค่การบอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟังอย่างง่ายๆ แต่มันกลับรู้สึกเหมือนลำคอตีบตันราวกับได้รับแรงกระทบกระเทือนทางจิตใจอีกครั้งหนึ่ง

คุณป้าจิ๊ปากราวกับกำลังรู้สึกสงสารเมื่อได้ยินว่าเขาเป็นลูกชาย

“คือ…ฉันรู้แค่ว่าหล่อนไปโรงพยาบาล เห็นบอกว่ามีผ่าตัดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดเหมือนกัน”

ผ่าตัด

โรงพยาบาล

หัวใจของเขาพลันร่วงหล่นลงไปกองอยู่บนพื้น ฮันจุนเปิดริมฝีปากพูดอย่างกระท่อนกระแท่น

“ผ่าตัดเหรอครับ ผ่าตัดอะไรเหรอครับ”

“เหมือนว่าจะไม่ได้ร้ายแรงอะไรนะ แค่ดูหน้าตาซีดเซียวหน่อยๆ แล้วก็ดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผ่าตัดอะไร ดูเหมือนจะปวดท้อง”

“…”

“แม่ของเธอไม่ค่อยได้บอกอะไรฉันนักหรอก ฉันเองก็เลยไม่ได้ถามเพราะกลัวว่าจะทำให้ลำบากใจกันทั้งสองฝ่ายซะเปล่าๆ ก็เวลามาถามว่าเจ็บป่วยตรงไหน ผ่าตัดอะไร มันทำให้คนเรารู้สึกไม่ดีนี่นา”

“แล้วคุณป้าพอจะทราบไหมครับว่าอยู่โรงพยาบาลไหน”

ฮันจุนถามออกไปพลางพยายามฝืนกลั้นเสียงสะอื้นที่รังแต่จะเล็ดลอดออกมา ดวงตาเขามองแทบไม่เห็นใบหน้าของคุณป้าที่กำลังพยักหน้ารับเพราะหยาดน้ำตาที่เอ่อคลอ

ทันทีที่ได้ยินชื่อโรงพยาบาล เขาก็รีบออกตัววิ่งจนกระทั่งมองเห็นถนนใหญ่ เขาโบกมือเรียกแท็กซี่เหมือนคนบ้า ก่อนจะขึ้นรถแล้วออกเดินทางไป แม้ว่าค่ารถบัสอาจจะไม่พอหากนั่งแท็กซี่ แต่เขาก็ไม่มีสติพอที่จะมานั่งคิดคำนวณอะไรอีกแล้ว

 

ฮันจุนวิ่งเข้าไปในโรงพยาบาลแล้วมองไปรอบทิศอย่างรีบร้อน ไม่รู้ว่ามาถึงช้าไปหรืออย่างไร ตรงเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ถึงได้ว่างเปล่าไร้ผู้คน พอเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ยืนเตะตาอยู่ เขาก็รีบเข้าไปถามทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะช่วยแจ้งแผนกธุรการให้ เขาวิ่งไปยังแผนกธุรการตรงห้องฉุกเฉินที่อยู่ด้านหลังแล้วตะโกนใส่พนักงานที่สบตากันเป็นคนแรกสุด

“ครอบครัวผมผ่าตัดอยู่ที่นี่ พอจะบอกได้ไหมครับว่าเธออยู่ห้องไหน เธอชื่อโกอึนฮาครับ”

“ไม่ทราบว่าคุณเป็นอะไรกับคนไข้คะ”

“ลูกชายครับ”

“รบกวนขอดูบัตรประชาชนกับใบรับรองความสัมพันธ์ทางครอบครัวเพื่อยืนยันตัวตนหน่อยค่ะ”

“ครับ?”

พอฮันจุนหอบหายใจถี่พลางถามกลับไป พนักงานได้แต่ทำหน้าสับสนงงงวย ฮันจุนรื้อกระเป๋าที่สะพายเอาไว้แล้วหยิบเอามือถือกับกระเป๋าเงินออกมา หยาดน้ำตาไหลอาบลงมาถึงปลายคางยามเขาก้มหน้าลง

“ผมไม่มีใบรับรอง มีแค่บัตรประชาชนครับ…มีรูปที่ถ่ายด้วยกันแล้วก็รู้เบอร์โทรด้วยครับ”

มือถืออยู่ในสภาพแบตเตอรี่หมดเกลี้ยง “ขอผมชาร์จแบตฯ ที่นี่…” จู่ๆ น้ำเสียงที่สั่นเครือเพราะลำคอที่ตีบตันก็หยุดชะงักไป ฮันจุนกลั้นน้ำตาแล้วขอร้องอ้อนวอน

“ผมต้องไปทำใบรับรองที่ไหนเหรอครับ ทำที่นี่ตอนนี้เลยไม่ได้เหรอครับ”

“ใบรับรองรบกวนไปทำที่เครื่องออกเอกสารโดยลายนิ้วมือค่ะ”

“ก่อนอื่นผมขอทราบก่อนได้ไหมครับว่าแม่ผมผ่าตัดอะไร”

“เรื่องนั้นทางเราเองก็ไม่ทราบเช่นกันค่ะ”

“ขอผมเข้าไปข้างในเถอะนะครับ แค่ห้านาทีก็ยังดี…นะครับ ผมขอร้อง ได้โปรดเถอะ แค่เห็นว่าแม่ไม่เป็นไรแล้วผมจะออกมาทันทีเลยครับ”

เมื่อเห็นเขาขอร้องอ้อนวอนเรื่อยๆ ไม่ยอมถอย พนักงานจึงโทรไปที่ไหนสักที่ด้วยความลำบากใจ

“ถ้าขึ้นไปตอนนี้สามารถเข้าเยี่ยมได้ไหมคะ ค่ะ…อ๋า ค่ะ เข้าใจแล้วค่ะ”

หลังจากที่คุยโทรศัพท์เพียงสั้นๆ เสร็จแล้ว เธอก็มองมาที่ฮันจุนพลางส่ายศีรษะ

“ทางนั้นแจ้งมาว่าตอนนี้หมดเวลาเยี่ยมแล้วค่ะ”

“เดี๋ยวผมจะไปทำใบรับรองมาให้ครับ ผมแค่อยากจะยืนยันเฉยๆ ว่าแม่ปลอดภัยดี”

“ขอโทษนะคะ แต่ว่า…”

“ตอนเช้าเข้าเยี่ยมได้เร็วที่สุดกี่โมงเหรอครับ ยังไงเดี๋ยวผมจะรออยู่ที่นี่จนถึงตอนนั้นก็ได้ครับ”

ฮันจุนกอบเศษหัวใจที่แตกสลายขึ้นมาแล้วถามออกไป หากต้องรอทั้งคืน เขาก็ยอมอดรนทนรอได้ พนักงานมองฮันจุนที่กำลังใช้หลังมือเช็ดถูแก้มอย่างลวกๆ พลางถอนหายใจด้วยความหนักอกหนักใจ

ฮันจุนเดินออกไปข้างนอกเพื่อไปออกใบรับรองความสัมพันธ์ทางครอบครัวที่เครื่องออกเอกสารโดยลายนิ้วมือ ก่อนจะทรุดนั่งลงตรงพื้นด้านหน้าห้องธุรการพลางเหม่อมองอากาศที่ว่างเปล่าอย่างไร้จุดหมาย เขาคิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่างในระหว่างที่นั่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ มันรู้สึกราวกับความเจ็บปวด ความว้าวุ่น ความร้อนใจ และความรู้สึกสับสนวุ่นวายที่เขาประสบมาทั้งวันตลอดทางที่มาถึงที่แห่งนี้กำลังทำให้เป็นอัมพาตไปชั่วขณะหนึ่ง

ตอนนั้นเองพนักงานก็เดินออกมาเรียกเขา

“ทางเราอนุญาตให้คุณสามารถเข้าพบญาติที่ห้องรับรองได้ครู่หนึ่งค่ะ แต่ว่าคราวหน้าคงไม่ได้แล้วนะคะ”

สมองของเขาพลันว่างเปล่า แม้แต่ตอนที่กำลังนั่งเหม่อลอยรออยู่ตรงโต๊ะในห้องรับรอง เขาก็ยังรู้สึกว่าช่วงเวลานี้ที่กำลังนั่งรอแม่อยู่ที่โรงพยาบาลนั้นไม่ใช่เรื่องจริง

แม่มาเข้ารับการผ่าตัดอะไรคนเดียวในเขตอื่นกันแน่

สมองที่อ่อนล้านึกอะไรไม่ออกนอกจากคำถามนั้น

ฝ่ามือเขาแสบร้อนไปหมด พอก้มลงดูแล้วเขาก็เพิ่งจะเห็นบาดแผลถลอกเล็กๆ ที่หลงเหลืออยู่ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าไปบาดเจ็บมาจากที่ไหนและเมื่อไหร่ ในตอนที่กำลังกะพริบตาพลางคิดว่าตัวเองช่างเหมือนคนโง่อยู่นั้น

“นี่ลูกมาทำอะไรที่นี่เนี่ย”

ในที่สุด…แม่ก็ปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าเขา

ฮันจุนสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ จนหน้าอกพองโต แม่หายตัวไปแล้วปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งราวกับมันเป็นเรื่องโกหก หน้าเธอซูบตอบราวกับผี แก้มทั้งสองข้างซีดเผือด ข้อมือที่โผล่พ้นออกมาจากชุดคนไข้นั้นผอมแห้งแลดูน่าสงสาร ฮันจุนไม่ได้เอ่ยเรียกเธอในทันที ทำได้เพียงอ้าปากค้างพะงาบๆ พอได้เห็นแม่ที่ดูแก่ลงไปมากทั้งที่ไม่ได้เจอกันเพียงแค่ไม่กี่เดือนแล้ว กล้ามเนื้อแก้มที่แข็งเกร็งก็พลันกระตุกน้อยๆ

“แม่เจ็บตรงไหน”

เขาเค้นเสียงถามออกไปอย่างยากลำบาก หยาดน้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงไหลอาบแก้มโดยที่ไม่อาจฝืนกลั้นเอาไว้ได้อีก แม้จะมองเห็นไม่ชัดเพราะกำลังร้องไห้ แต่เขาก็พอดูออกว่าหน้าของแม่ที่เห็นเพียงเลือนรางนั้นต้องกำลังเหยเกบิดเบี้ยวอยู่อย่างแน่นอน เพราะเขาได้ยินเสียงกล้ำกลืนลมหายใจที่สั่นรัว แม่กำลังร้องไห้โดยไม่มีเสียง

ฮันจุนลุกขึ้นเดินโซเซไปหาแม่ กางแขนทั้งสองข้างแล้วสวมกอดเธอไว้แน่น ร่างกายที่ถูกดึงเข้ามากอดอย่างแรงตกอยู่ในอ้อมกอดอย่างง่ายดาย อุณหภูมิในร่างกายอันแสนอบอุ่นของเธอทำให้เขารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที แม้ว่าจะผอมแห้งไปสักหน่อย แต่แม่ก็ยังมีลมหายใจอยู่และยังคงอบอุ่นเหมือนเคย

“แค่ผ่าตัดไส้ติ่งมา ทำเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตดั้นด้นถ่อมาถึงที่นี่ไปได้”

เขาได้กลิ่นยาขมๆ ปะปนมากับลมหายใจของแม่

เพราะก่อนหน้านี้เอาแต่คิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เมื่อได้ยินว่าเป็นแค่การผ่าตัดไส้ติ่ง ความเครียดของเขาก็พลันมลายหายไป ฮันจุนฝังใบหน้าซุกลงตรงไหล่ของเธอ

พวกเขานั่งอยู่เคียงข้างกัน จัดเสื้อผ้าหน้าผมพลางถามสารทุกข์สุกดิบของกันและกัน ตลอดระยะเวลาที่ถามตอบอยู่นั้น เธอก็คอยลูบปลอบที่แก้มของฮันจุน หากเป็นช่วงเวลาปกติแล้วเขาก็คงจะรู้สึกเขินอาย ทว่าตอนนี้เขากลับไม่ขยับเขยื้อนไปไหนเลยแม้แต่น้อย

“พอดีแม่ปวดท้องมากจนไม่มีสมาธิดูมือถือเลยปิดเสียงไว้ก่อนเข้าไปผ่าตัด แม่เองก็ลืมไปซะสนิทเลย”

“แม่ก็ควรบอกผมก่อนสิ”

“ก็ตั้งใจไว้ว่าจะบอกหลังผ่า มันก็ไม่ใช่เรื่องรุนแรงอะไร จำเป็นต้องทำให้ลูกเป็นห่วงด้วยหรือไงล่ะ ยังไงลูกก็คงจะมาไม่ได้เพราะต้องไปมหา’ลัยอยู่แล้ว บอกไปก็มีแต่จะทำให้ลูกไม่สบายใจเอาเสียเปล่าๆ ว่าแต่คาบเรียนวันนี้ล่ะ”

“อย่างน้อยเรื่องย้ายห้องก็ควรต้องบอกกันหน่อยสิ!”

“จะที่เก่าที่ใหม่ยังไงก็แค่ย้ายไปที่ที่ใกล้กว่าเดิมเฉยๆ จะต้องให้บอกอะไรด้วยหรือไงล่ะ ลูกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พอย้ายที่ทำงาน แม่ก็แค่ย้ายตามไปใกล้ๆ เฉยๆ ก็เท่านั้นเอง แล้วทำไมลูกต้องติดต่อมาหาในช่วงเวลาแบบนี้ด้วยนะ”

แม่เค้นเสียงพูดราวกับกำลังรู้สึกเสียใจเอามากๆ ถึงเขาจะเข้าใจว่าเธอพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ว่าเขาเองก็อับจนหนทาง ไม่รู้จะทำอย่างไรกับความรู้สึกชอกช้ำใจเช่นกัน ฮันจุนสะอึกสะอื้นพลางพูดออกไปเสียงดัง

“แล้วคำว่าครอบครัวล่ะ เราต้องรู้จักพึ่งพากันในตอนที่รู้สึกเหนื่อยล้าสิ…”

เสียงฮันจุนขาดห้วงไป มันเป็นคำพูดที่เขารู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน เขาลองนึกย้อนกลับไปมองหาสาเหตุของความรู้สึกขัดแย้งในใจตอนนี้ ก่อนจะเบิกตากว้าง

ใบหน้าของใครคนนั้นที่ผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็วทำให้ขนกายเขาลุกชันตั้งแต่แนวกระดูกสันหลังลามไปจนถึงท้ายทอย ฮันจุนเลื่อนมือทั้งสองข้างไปจับไหล่แม่เอาไว้แน่น

“ตอนนี้กี่โมงแล้ว”

“ตอนนี้? อีกหน่อยก็สามทุ่มแล้วมั้ง”

“แม่ ผมขอยืมมือถือหน่อย มือถือแม่อยู่ไหน”

แม่หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าถือใบเล็กที่ถือออกมาด้วยแล้วยื่นให้ ฮันจุนรีบกดเบอร์โทรหายูแจทันที เพียงชั่วขณะหนึ่งเหงื่อกาฬที่ซึมผุดขึ้นมาก็ทำเอาฝ่ามือเขาเปียกชื้นลื่นไปหมด

ยูแจไม่รับสาย บางทีเจ้าตัวอาจจะไม่รับสายเพราะเป็นเบอร์โทรของแม่เขา ฮันจุนจึงส่งข้อความไปหา ทว่าแม้จะส่งข้อความไปแล้ว แต่เขากลับไม่สามารถนิ่งเฉยอยู่ได้ เขาเลยเสิร์ชหาเบอร์โทรของร้านอาหารที่จองเอาไว้แล้วโทรไป กลับไม่มีใครรับสายเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะป่านนี้เลยเวลาปิดร้านไปแล้วหรือเปล่า แม่ที่เฝ้ามองอยู่จึงคอยลูบหลังของฮันจุนที่มีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด

“ลูกโอเคไหม ทำไมถึงได้ทำหน้าแบบนั้นล่ะ”

“ผมนัดกับยูแจเอาไว้ แต่ผมมัวแต่วุ่นไม่มีสติจนลืมไปซะสนิทเลย”

“ไว้คุยกันพรุ่งนี้ก็ได้นี่ ทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นด้วยล่ะ เป็นเพื่อนกันนี่ ตอนนี้แม่ต้องกลับเข้าไปแล้ว เดี๋ยวแม่เอากุญแจห้องให้แล้วลูกกลับไปนอนที่ห้องนะ พื้นมันค่อนข้างเย็นหน่อยเพราะงั้นก็เปิดเสื่อไฟฟ้าเอา”

พื้นห้องเย็น

จู่ๆ ก็นึกถึงข้อความที่แม่ส่งมาให้และรับรู้ได้ถึงหัวใจของแม่ที่เป็นห่วงเรื่องการนอนของเขาทั้งที่ตัวเองต้องทนนอนพื้นเย็นเฉียบนั่น

หัวใจของโชยูแจที่คอยถามเรื่องการกินข้าวในแต่ละมื้อของเขาในทุกๆ วันเองก็คงไม่ต่างอะไรไปจากหัวใจของแม่ เขายังจำคำพูดที่ตัวเองตะคอกกลับไปเหมือนกับระเบิดเอาความโกรธออกมาหลังจากอดทนอดกลั้นกับความหงุดหงิดโมโหนั้นได้ดี เขาเพิ่งจะได้ประสบกับความรู้สึกที่ยูแจเคยรู้สึกกับตัวก็หลังจากที่พูดคำว่าให้พึ่งพากันตอนที่รู้สึกเหนื่อยล้าออกมาจากปากของตัวเอง

จะยังรออยู่ไหมนะในร้านอาหารที่ป่านนี้คงไม่มีใครเข้ามาแล้ว

นายจะรอคนอย่างฉันอยู่ไหม

พอคิดถึงยูแจขึ้นมาได้ ความวิตกกังวลที่ทำให้ทุกข์ทรมานมาตลอดทั้งวันก็ค่อยๆ สลายหายไป เขาเริ่มกลับมาเหม่อลอยเพราะความปรารถนาอันแรงกล้าที่อยากจะรีบกลับไปเจอหน้าอีกฝ่าย ขณะที่ตั้งใจจะกลับขึ้นไปโซลในทันที สติเขาก็เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ฮันจุนรีบเสิร์ชหารอบรถบัส มีรถบัสเวลาสามทุ่มครึ่งตรงสถานีเดินรถใกล้ๆ แถวนี้พอดี ในขณะเดียวกันถ้าหากจะนั่งเคทีเอ็กซ์* ไปก็ยังมีรอบสองทุ่มห้าสิบเหลืออยู่ รถบัสใช้เวลาสองชั่วโมง ส่วนเคทีเอ็กซ์ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่าจะไปถึงโซล

ถ้าหากนั่งเคทีเอ็กซ์ไปก็จะสามารถกลับไปหายูแจได้ทันในวันครบรอบ

ดูเหมือนว่าเงินที่เหลืออยู่ในบัตรน่าจะพอจ่ายค่ารถบัสได้ ทว่าค่าเคทีเอ็กซ์นั้นแพงกว่ารถบัสถึงสองเท่า

หากจะนั่งเคทีเอ็กซ์ก็ต้องยืมเงินหลายหมื่นวอน ฮันจุนก้มมองรองเท้าผ้าใบของตัวเองพลางกัดริมฝีปากแน่น เขาคิดหนักอยู่สักพัก ก่อนจะเปิดปากพูดออกมาในที่สุด

“เอ่อ…แม่ครับ”

“หืม?”

“คือผม…”

ฮันจุนกลืนน้ำลายหนืดดังเอื๊อก ทั้งที่ตั้งใจไว้แล้วว่าจะพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูด แต่เขากลับพูดมันไม่ออก

“ผมมีค่ารถกลับโซลไม่พออะครับ แต่ว่าเดี๋ยวผมก็ใกล้จะได้ค่าสอนพิเศษแล้ว เพราะงั้นผมขอยืมหน่อยสิ”

“โธ่ถัง เงินก็ไม่มีแต่ยังจะวิ่งหน้าตั้งมาถึงนี่เนี่ยนะ”

แม้จะเป็นการตำหนิ แต่น้ำเสียงนั้นกลับอ่อนโยนนุ่มนวล แม่บอกว่ามีเงินสดติดตัวอยู่พอดี ก่อนจะหยิบแบงก์ห้าหมื่นวอนที่ยับยู่ยี่ใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเงินแล้วยื่นให้ ทีแรกเขาคิดจะปฏิเสธแล้วบอกว่ามันเยอะเกินไป แต่พอนึกถึงยูแจที่ดูท่าคงจะยังไม่ได้กินข้าวเย็นแน่ๆ แล้ว เขาจึงตัดสินใจรับเงินนั้นมา ไหนๆ ก็เป็นแบบนี้แล้ว ไว้ได้เงินค่าสอนพิเศษก็ค่อยคืนไปหลายเท่าเอาก็ได้

ฮันจุนรับเงินมาแล้วสบตากับเธอ

“แม่เองถ้าเหนื่อยก็บอกผมนะ ยังไงซะเรื่องแบบนี้บอกกันไว้ก่อนล่วงหน้ามันก็น่าจะดีกว่า”

“รู้แล้วน่า”

หลังจากเห็นรอยยิ้มของแม่แล้ว เขาก็วิ่งออกมาจากโรงพยาบาลทันที

เขาซื้อแบตเตอรี่สำรองจากร้านสะดวกซื้อแล้วขึ้นแท็กซี่ไป ในขณะที่เดินทางไปเพื่อขึ้นเคทีเอ็กซ์ เขาก็ชาร์จแบตเตอรี่มือถือไปพลางเช็กข้อความของยูแจย้อนหลังไปพลาง ชั่วขณะที่เห็นข้อความที่ถูกส่งมาเป็นข้อความสุดท้าย ลมหายใจเขาก็สะดุดขึ้นมา

 

เราไปกินของอร่อยๆ กันเถอะ’

 

หลังจากส่งข้อความนั้นมาตอนประมาณหกโมงเย็นเป็นข้อความสุดท้าย ยูแจก็ไม่ได้ติดต่ออะไรมาอีกเลย แม้ว่าจะลองโทรไปหาหลายต่อหลายครั้ง แต่ยูแจก็ไม่รับสาย

นายคงต้องเจ็บปวดมากแน่ๆ โดนเบี้ยวนัดโดยขาดการติดต่อในวันครบรอบ คงจะโกรธมากอยู่แน่ๆ เลย ใครมันจะไปคิดล่ะว่าลงมาแล้วจะเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดนี้

พอมาลองคิดดูอีกทีแล้ว วันนี้มันมีแต่เรื่องวุ่นวายเต็มไปหมด ฮันจุนปิดเปลือกตาที่เห่อบวมลง เขาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ หัวเราะจนขนาดที่ว่าช่วงท้ายของเสียงหัวเราะนั้นเริ่มกลายเป็นเสียงหอบเพราะหายใจไม่ทัน

ไม่คิดเลยว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ รู้งี้น่าจะบอกไว้ตั้งแต่ตอนที่ออกเดินทางมา จะทำยังไงดีนะถ้าหมอนั่นรออยู่ที่ร้านอาหารคนเดียว

ฮันจุนมองออกไปนอกหน้าต่างมืดสนิทที่สะท้อนใบหน้าของตัวเองพลางย้อนนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ความรู้สึกตอนที่ยืนอยู่หน้าห้องเดี่ยวไร้วี่แววของผู้คน ก่อนจะได้ยินเรื่องเหนือความคาดหมายที่บอกว่าแม่ย้ายห้องออกไปแล้วตั้งแต่สองเดือนก่อนซึ่งยังคงตกค้างอยู่ในใจ แต่เหตุผลที่เกิดความรู้สึกตามที่กล่าวมาด้านบนทั้งหมด มันไม่ใช่เพียงเพราะความรู้สึกตกใจราวกับวิญญาณหลุดออกจากร่างเพียงเท่านั้น

ประตูที่ไม่เปิดออก ห้องว่างเปล่าที่ไร้ซึ่งวี่แววของผู้คน ข่าวย้ายบ้านที่ไม่คาดฝัน เรื่องราวที่สะเทือนใจ ความกังวล ความไม่สบายใจ ความรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง และความอัดอั้น

มันเป็นเพราะโชยูแจเองก็คงจะเคยประสบกับภาพเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นมาแล้วเหมือนกันต่างหาก

เรื่องที่อีกฝ่ายเก็บเอาเรื่องที่เขาย้ายห้องไปโดยไม่บอกกล่าวมาคิดมากในใจนั้น ฮันจุนก็เพิ่งจะได้ยินและรับรู้มันกับตัวก็ตอนที่พวกเขามีปากเสียงกัน เรื่องราวต่างๆ ที่เขาไม่คิดใส่ใจเพราะมัวแต่สนใจแค่ความรู้สึกของตัวเองในตอนนั้น มันกำลังย้อนคืนกลับมาและทิ่มแทงเข้าที่ส่วนลึกของหัวใจ ดูเหมือนเขาจะทำตัวแย่ๆ กับยูแจไว้เยอะมากจริงๆ

ฮันจุนย้อนกลับไปมองความทรงจำในอดีตซ้ำอีกรอบพลางกำหมัดแน่น

โชยูแจเคยพูดแบบนั้นอยู่ครั้งหนึ่ง

‘ถ้านายชอบฉันจริงๆ นายจะทำกับฉันแบบนี้ได้ลงคอเหรอ’

คำพูดที่เหมือนการกล่าวโทษกันในตอนนั้น มาถึงตอนนี้แล้วมันกลับฟังดูเหมือนเป็นการคร่ำครวญเสียมากกว่า

ฮันจุนหลับตาลง

คิดถึงยูแจจัง

 

*แฮจังกุก หรือซุปแก้อาการเมาค้าง เป็นซุปที่ประกอบด้วยผักและเนื้อสัตว์ในน้ำซุป

* เคทีเอ็กซ์ (Korea Express Train) คือชื่อบริการรถไฟฟ้าความเร็วสูงของประเทศเกาหลีใต้

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: