X
    Categories: everYStar Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 3 Chapter 10-5 ถึง 10-6 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

Chapter 10-5

 

วันนี้มองเห็นชัดจังนะ ทั้งที่เมื่อก่อนไม่ยักเห็น

ยูแจฝืนหัวเราะออกมา

คืนวันศุกร์ สนามเด็กเล่นว่างเปล่าร้างผู้คนเพราะเวลาล่วงเลยไปจนเกือบจะถึงเที่ยงคืนแล้ว ยูแจเอนตัวนอนลงบนสไลเดอร์โดยงอเข่าใช้เท้าเหยียบพื้น พอได้นอนแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้เขามองเห็นท้องฟ้าได้ชัดเจนพอดี

เขารู้สึกราวกับสมองไม่แล่นถ้าหากยังเอาแต่จ้องมองมือถืออยู่ในห้องที่ชวนให้รู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก ทว่าพอมายังสนามเด็กเล่นที่เคยได้ใช้เวลาร่วมกันกับซอฮันจุนในหลายๆ วันที่ผ่านมาแล้ว มันก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่าอีกไม่นานหมอนั่นก็จะกลับมาหาเขา และนั่นมันก็ทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก เขาคิดว่าจะใช้เวลาอยู่ที่นี่จนกว่าจะจัดการกับความคิดของตัวเองได้แล้วค่อยนั่งแท็กซี่กลับห้อง เขาจะต้องรีบวางแผนรับมือ ก่อนที่อีกฝ่ายจะติดต่อกลับมา

ยูแจเริ่มจัดระเบียบความคิดภายในหัวโดยการไล่นับเหตุการณ์ทีละอย่าง

ซอฮันจุนที่ขาดการติดต่อไปตลอดทั้งวันในวันครบรอบ เจ้าตัวเดินทางออกจากโซลไปโดยบอกว่าจะไปเจอแม่แล้วเดี๋ยวจะกลับมา เมื่อไม่นานมานี้แม่ของฮันจุนจำเป็นต้องใช้เงิน จากข้อเท็จจริงสามอย่างนี้ทำให้สามารถสรุปได้ว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นกับแม่ของฮันจุนอย่างแน่นอน

ความเป็นไปได้ว่าจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นนั้นเท่ากับศูนย์ ปกติแล้วฮันจุนไม่ใช่คนที่ไร้สติไร้ความรับผิดชอบถึงขั้นที่จะไม่โทรมาบอกว่ามาไม่ได้เลยสักครั้ง ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นจึงน่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฮันจุนรู้สึกสะเทือนใจมากอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องที่แม่ของฮันจุนต้องการเงินนั้น…

พอนึกถึงเหตุการณ์มากมายหลายอย่างขึ้นมา หัวใจก็เริ่มเต้นแรงจนรู้สึกอึดอัด เขาจงใจทิ้งมือถือไว้อย่างนั้นแล้วออกมาเพื่อตั้งสติ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ยูแจสะบัดศีรษะอย่างหงุดหงิดด้วยต้องการจะสลัดความคิดไร้สาระทิ้งไป เพราะสิ่งสำคัญมันไม่ใช่เรื่องพวกนั้น

คงไม่คิดที่จะบอกเลิกกันหรอกนะ?

ต่อให้ไม่บอกเลิกกัน แต่ช่วงนี้ซอฮันจุนก็ดูเหนื่อยเอามากๆ ในขณะที่เหนื่อยล้ากับชีวิตปัจจุบันที่มันไม่ง่ายอย่างที่คิด ความรักก็ไม่ได้ช่วยปลอบโยนฮันจุนสักเท่าไร ไม่ว่าจะเดตหรือวันครบรอบ ดูเหมือนเจ้าตัวจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อฝืนทำตัวให้ดูเหมือนสบายดีต่อหน้าเขา และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกราวกับความรู้สึกที่มีให้แก่กันนั้นมันกำลังสึกหรอลงไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าเดิม ถ้าหากว่าเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นกับแม่ในช่วงเวลาแบบนั้น ถ้าหากว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากพอที่จะทำให้กล่าวโทษตัวเองได้แล้วล่ะก็ ซอฮันจุนก็คงไม่เหลือเรี่ยวแรงมากพอที่จะมาใช้สิ้นเปลืองไปกับการมานั่งกังวลคิดว่าจะไปเดตที่ร้านอร่อยๆ ร้านไหน ไปโรงหนังดีไหม หรือไปสวนยออีโดดีหรือเปล่าหรอก

แต่อย่างไรเสียเขาก็ไม่มีทางยอมเลิกกับฮันจุนโดยเด็ดขาด เพราะหากตัดสินใจลงไปแล้ว มันก็จะไม่อาจย้อนคืนกลับไปเหมือนก่อนหน้านั้นได้อีก มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นมาจากความรู้สึกที่จะยอมแพ้กันและกันได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น ถ้าหากยุติความสัมพันธ์ลงทั้งอย่างนี้ ไม่ว่าทางไหนก็จบไม่สวยทั้งนั้น เพราะพวกเขามาไกลเกินกว่าจะกลับไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในฐานะเพื่อนสนิทได้อีกแล้ว แม้ว่าฮันจุนจะไม่ได้ต้องการหรือไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น แต่เจ้าตัวก็คงจะตีตัวออกหากจากเขาทันทีหากตัดสินใจว่าจะห่างกัน และมันก็คงจะเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตาเดียวในแบบที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ทันได้รู้สึกตัว

หยิบเรื่องพ่อแม่หย่ากันขึ้นมาพูดก่อนก็เข้าท่าเหมือนกันแฮะ แล้วก็บอกไปด้วยว่าเดี๋ยวจะต้องย้ายออกจากห้องแล้ว ยังไงซะหมอนั่นก็ไม่ได้ใจร้ายถึงขั้นที่จะบอกเลิกกันถ้ารู้เรื่องนั้นหรอก ก่อนอื่นก็ยื้อเวลาเอาไว้ ไม่ว่ายังไงก็ต้องพยายามลองทำอะไรสักอย่างดู…

“โชยูแจ”

เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นในสนามเด็กเล่นที่เงียบสงัดราวกับป่าช้า วินาทีเดียวกันนั้นความคิดของเขาก็ได้หยุดชะงักลง

นี่เราคงหูฝาดไปสินะ?

ยูแจกลั้นหายใจพลางเงี่ยหูฟัง ก่อนจะได้ยินเสียงหอบหายใจถี่ดังอย่างชัดเจนจนไม่อาจคิดว่าตัวเองเข้าใจผิดได้ น้ำเสียงครางเครือต่ำปะปนไปกับเสียงหอบหายใจ ยูแจพลันลุกพรวดขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ลุกขึ้นยืน เขาก็เห็นซอฮันจุนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยุดยืนอยู่ตรงหน้าตัวเอง เส้นผมของอีกฝ่ายเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ ทั้งใบหน้าและดวงตาเห่อแดงไปหมด เชือกรองเท้าข้างขวาคลายหลุดออก กระเป๋าเป้ห้อยต่องแต่งอยู่แถวต้นขาด้านหลังเพราะสายสะพายกระเป๋าที่หลุดเลื่อนลงมาอยู่ใต้ระดับไหล่ สภาพของอีกฝ่ายดูเหมือนกับคนที่เพิ่งวิ่งมาราธอนมาตลอดทั้งวัน

“นายไม่อยู่ห้อง…ฉันก็เลยคิดว่านายน่าจะอยู่ที่นี่แล้วก็เจอนายจริงๆ”

โล่งอกไปที

ริมฝีปากของซอฮันจุนเบ้ไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้ม ดวงตาที่หยียิ้มอยู่นั้นมีหยาดน้ำตาเอ่อคลอเป็นประกาย เขารู้จักไอ้คนที่ชอบทำเป็นนิ่วหน้ายามกลั้นน้ำตาเอาไว้แบบนี้ดี

ถึงแม้ว่าควรจะต้องถามออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าในชั่วขณะนั้นเขากลับพูดอะไรไม่ออก และแล้วซอฮันจุนก็เป็นฝ่ายเปิดปากพูดขึ้นมาก่อน

“กินข้าวหรือยัง”

ยูแจส่ายหน้าอย่างเหม่อลอย จะว่าไปแล้วเขาก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย แถมยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหิวข้าว

ฮันจุนหยิบคิมบับสองแถวที่อยู่ในถุงพลาสติกออกมาแล้วยื่นให้ สภาพซอฮันจุนที่มองเห็นจากระยะใกล้นั้นดูย่ำแย่มากๆ ไม่รู้ว่าวิ่งมานานขนาดไหนเส้นผมถึงได้ยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิงแนบติดไปกับผิวแก้มและหน้าผากแบบนั้น แถมริมฝีปากล่างก็แดงก่ำราวกับเจ้าตัวขบกัดมันอย่างแรง ดูท่าคงไม่มีเวลาแม้แต่จะล้างหน้า บนแก้มถึงได้มีร่องรอยคราบน้ำตาติดอยู่ ทั้งขนตาเองก็มองไม่ค่อยเห็นเพราะเปลือกตาที่บวมเป่งจนปิดทับลงมา แม้กระทั่งมือที่ยื่นคิมบับมาให้ก็ยังมีรอยบาดแผลเล็กๆ คล้ายไปโดนอะไรขีดข่วนมา

ซอฮันจุนปรากฏตัวขึ้นมาในสภาพที่ดูไม่ได้เลย ยูแจพยายามเค้นเสียงพูดจากลำคอที่ตีบตัน

“คุณแม่ไม่เป็นไรใช่ไหม”

“อื้อ แค่ผ่าตัดไส้ติ่งน่ะ ถ้าจะให้พูดเรื่องมันก็ยาว…พอดีแม่ฉันหายไปโดยไม่บอกก็เลยวิ่งตามหาทั้งวัน เพราะงั้นเลยไม่ได้ติดต่อไป ขอโทษนะ รอนานมากเลยใช่ไหม”

เขานึกอยากตอบไปตามความเป็นจริงว่ารอมานานมาก เพราะอยากให้ซอฮันจุนที่กำลังรู้สึกผิดนั้นได้หัดใส่ใจกับความเจ็บปวดของเขาบ้าง และอยากให้ใส่ใจมันมากกว่าความเจ็บปวดของตัวเอง แต่พอเอาเข้าจริงเมื่อเห็นหมอนั่นกลับมายืนอยู่ตรงหน้าด้วยสภาพที่ย่ำแย่แล้ว เขาก็พูดอะไรไม่ออกเลย

ฮันจุนจับมือยูแจแล้วลากพาไปยังม้านั่ง ก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งที่พวกเขามักจะนั่งหยอกล้ออยู่ด้วยกันเป็นประจำ

“ก่อนอื่นเรากินนี่กันก่อนเถอะ ฉันเองก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเนี่ย เลยเที่ยงคืนไปแล้วมั้ง”

“ยัง”

“โล่งอกไปที”

ฮันจุนคลี่ยิ้มโดยไม่ยอมสบตาทั้งที่แค่นั่งแกะห่อคิมบับเท่านั้น และทั้งที่มันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรยุ่งยากวุ่นวายเลย ทว่าเจ้าตัวก็เอาแต่ยุ่งอยู่กับการแกะฟอยล์ออกแล้วก็แกะตะเกียบไม้ บริเวณปลายจมูกของคนที่กำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้นั้นขึ้นสีแดงก่ำ

“รออยู่ที่นั่นตั้งนานไม่ใช่เหรอ สั่งอะไรที่นั่นกินก่อนก็ได้นี่ จะอดข้าวทำไม แล้ววันนี้ทำอะไรบ้างเนี่ย นั่งอยู่ที่นี่ตลอดเลยเหรอ คงจะโกรธมากเลยสินะ?”

ฮันจุนพูดออกมาเรื่อยๆ ไม่หยุดปากอย่างไม่สมกับนิสัยของเจ้าตัว ดูท่าเจ้าตัวคงไม่เคยรู้สึกผิดมากขนาดนี้ ภายใต้แสงไฟสีขาวจากเสาไฟยิ่งทำให้คราบน้ำตานั้นชัดขึ้น

หลังจากรอคำตอบอยู่พักหนึ่ง ฮันจุนก็พูดต่อ

“ฉันคิดว่าไปแป๊บเดียวเดี๋ยวก็กลับมาเลยไม่ได้เอาที่ชาร์จแบตฯ ไปด้วย แต่พอไปถึงจริงๆ แล้วแม่กลับย้ายห้องไปเมื่อสองเดือนก่อน”

ฮันจุนพูดถึงแค่นั้นแล้วก็ปิดปากเงียบ หากปราดมองเพียงแค่แวบแรกอาจดูเหมือนเขาสงบนิ่ง ทว่าเขากลับกำลังอยู่ไม่สุขโดยการหมุนข้อเท้าข้างหนึ่งบ้าง จิกเล็บลงไปบนรอยแผลบนฝ่ามือบ้าง พอเห็นคนที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อฝืนกลั้นหยาดน้ำตาเอาไว้ ลมหายใจของยูแจก็พลันติดขัดขึ้นมา

“ไม่มีใครรู้ว่าแม่ไปไหน เพราะงั้นก็เลยลองแวะไปร้านอาหารที่แม่ทำงานอยู่ แต่ที่ร้านเขาก็บอกว่าแม่ย้ายไปทำร้านอื่นแล้ว ฉันก็เลยไปที่ร้านนั้นมา แล้วก็ได้แวะไปหาแม่ที่ห้องใหม่ที่ย้ายไปด้วย…คุณป้าเจ้าของที่นั่นบอกว่าแม่อยู่โรงพยาบาล ฉันเลยต้องไปหาแม่ที่โรงพยาบาล ที่แม่ไม่ได้รับสายฉันก็เพราะว่าปวดท้องผ่าตัดไส้ติ่งนี่แหละ”

ดูเหมือนว่าแม่ของฮันจุนจะยืมเงินไปเพราะค่าผ่าตัดกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ทั้งที่ใจหนึ่งก็รู้สึกโล่งแล้วเพราะเรื่องราวจบลงด้วยการผ่าตัดไส้ติ่ง แต่เป็นเพราะแม่ที่จู่ๆ ก็หายตัวไป ซอฮันจุนก็เลยว้าวุ่นใจขึ้นมาจนสติแตก

เขาเข้าใจและรู้ซึ้งถึงคำพูดที่เจ้าตัวเคยพูดทำนองว่า ‘ความเศร้าของนายล้วนเป็นเหมือนความเศร้าของฉัน’ ยูแจจึงพยายามรวบรวมสติแล้วปลอบฮันจุนอย่างอ่อนโยน

“แค่ไส้ติ่งเอง ไม่นานหรอก เดี๋ยวก็หาย ไว้อาทิตย์หน้าเราค่อยลงไปเยี่ยมกันอีกครั้งก็ได้”

“อื้อ”

ฮันจุนพยักหน้าทั้งที่ยังทำหน้าบึ้ง ยูแจเลื่อนมือไปสัมผัสแก้มของฮันจุน จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือลูบไล้พลางเช็ดเปลือกตาให้อย่างแผ่วเบา พลันน้ำตาของเจ้าตัวก็ไหลลงมาตามฝ่ามือ

ฝืนไม่ให้ของแบบนี้มันไหลออกมาอยู่สินะ เก่งจริงๆ

แม้ในใจจะอยากพยายามพูดหยอกล้ออะไรออกไปสักคำ ทว่ายูแจกลับพูดอะไรไม่ออก น้ำตานั่นมันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าหัวใจกำลังแตกสลาย

ยูแจเก็บคิมบับไปแล้วดึงฮันจุนเข้ามากอด ฮันจุนกอดรัดกายเขาไว้แน่นด้วยแขนทั้งสองข้างราวกับกำลังรอคอยอ้อมกอดนี้จากเขาอยู่

“วันครบรอบแท้ๆ…ขอโทษนะ”

“ช่างมันเถอะ เรื่องนั้นมันไม่ได้สำคัญอะไรนักหรอก”

ยูแจถอนหายใจที่เก็บกลั้นมานาน ก่อนจะพูดพึมพำออกมา ทั้งที่เขากำลังเอ่ยปลอบอีกฝ่ายอยู่แท้ๆ แต่ก็ยังลังเลคิดหนักว่าควรจะต้องพูดอะไรแบบไหนเพื่อทำให้อีกคนรู้สึกสบายใจ

ฮันจุนหมกมุ่นจดจ่ออยู่กับความคิดของตัวเองเหมือนมีเรื่องสำคัญที่อยากจะพูดอีก และในวินาทีที่สบสายตากับหมอนั่นในอ้อมกอด ยูแจก็ขยับตัวเล็กน้อยเพื่อปรับเปลี่ยนท่านั่ง แม้เจ้าตัวจะได้อิงแอบแนบกายกับอุณหภูมิร่างกายของคนที่รอคอยมาเนิ่นนานด้วยหัวใจที่เย็นยะเยียบ ทว่าภายในใจก็ยังคงเต็มไปด้วยความรู้สึกกังวล

ลางสังหรณ์เลวร้ายนั้นไม่เคยผิดพลาด

“สำคัญสิ”

ซอฮันจุนพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งหนักแน่นและชัดเจนพร้อมกับผละหน้าอกที่แนบชิดกันอยู่ออก

ยูแจพยายามเกร็งตัวเพื่อไม่ให้อีกคนผละออกห่าง เขาขมวดคิ้วมุ่นขณะเลื่อนมือข้างหนึ่งไปโอบหลังฮันจุนและกอดรัดเอาไว้ ก่อนที่เขาจะหลุดปากพูดในสิ่งที่คิดเอาไว้ว่าจะพูดเมื่อได้เจอหน้าฮันจุนออกไปโดยไม่รู้ตัว

“วันนี้ฉัน…”

…ไปหาพ่อกับแม่มา พวกเขาหย่ากันแล้ว และคงจะไม่ได้เจอกันอีก แถมพวกเขายังบอกว่าไม่เคยมีลูกอย่างฉันอีกด้วย

“วันนี้ทำไม”

ฮันจุนถามกลับ ยูแจอ้าปากคล้ายจะพูด แต่สุดท้ายก็ปิดปากลงสนิทอีกครั้ง เขาไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำพูดที่คิดเอาไว้ล่วงหน้านั้นออกไปได้

จะสงสารฉันยังไงก็ได้ แต่อย่าทิ้งกันเลยนะ

เขาไม่อาจพูดในสิ่งที่ไม่ต่างอะไรกับการข่มขู่แบบนั้นต่อหน้าซอฮันจุนที่บนใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาได้

“หืม?”

“เปล่า ไม่มีอะไร นายพูดสิ่งที่อยากพูดต่อเถอะ”

ยูแจส่ายศีรษะก่อนจะค่อยๆ เอนตัวไปทางด้านหลัง พอถอยห่างออกมา เขาก็ได้เห็นใบหน้าของฮันจุนเต็มตา สีหน้านั้นดูสงบเยือกเย็นราวกับจัดการเรียบเรียงความคิดมาเรียบร้อยดีแล้ว ไม่ว่าเจ้าตัวจะพูดอะไรออกมาก็ตาม มันคงจะไม่ใช่คำพูดที่พูดออกมาอย่างมักง่ายด้วยความโกรธเป็นแน่

หัวใจที่สงบนิ่งยามจ่ายเงินค่าอาหารที่ยังไม่ทันได้กินแล้วออกจากร้านมาเพียงลำพังในตอนนั้นกลับค่อยๆ สลายหายไปเมื่ออยู่ต่อหน้าซอฮันจุนที่กำลังจ้องมองมาที่ตัวเองอย่างไม่สั่นไหว ถึงอย่างนั้นยูแจก็ยังรอคอยอยู่เงียบๆ

ฮันจุนเป่าลมออกมาทางปากเสียงดังพร้อมกับถอนหายใจ จากนั้นก็รูดซิปเปิดกระเป๋าออกแล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมายื่นให้

“นี่”

ยูแจลืมตัวรับกล่องเล็กๆ ขนาดเท่าฝ่ามือมา มันห่อด้วยกระดาษที่มีประกายคล้ายไข่มุก และมีริบบิ้นสีฟ้าผูกเอาไว้อย่างสวยงาม แม้ว่าจะมีการ์ดกระดาษใบเล็กๆ สอดเอาไว้อยู่ แต่ก็คาดเดาไม่ได้เลยว่ามันคืออะไร ทว่าต่อให้เขาจะไม่รู้ว่าของข้างในนั้นคืออะไร เขาก็พอจะดูออกว่ามันคือของขวัญ

“ของขวัญวันครบรอบร้อยวันไง ฉันนั่งเคทีเอ็กซ์มาเพราะไม่อยากให้เลยเที่ยงคืน”

“…”

“ลองเปิดดูสิ”

ฮันจุนแกล้งหยอกด้วยการกระทุ้งศอกใส่สีข้าง จากนั้นยูแจจึงค่อยๆ ก้มหน้าลงมองกล่องที่อยู่ในมือแล้วกล้ำกลืนความรู้สึกที่ตีรวนขึ้นมาถึงลำคอลงไป ก่อนจะลองเปิดกล่องออกมา ข้างในนั้นมีลิปบาล์มสีขาวสองแท่ง

ลิปบาล์ม

วินาทีที่เห็นลิปบาล์มนั้น ภาพความทรงจำในวันนั้นก็ผุดขึ้นมา

‘อย่าไปไหนมาไหนด้วยสภาพแบบนั้นเด็ดขาดเลยนะ แถวนี้มีร้านขายยาไหม ร้านขายยาน่าจะมีของแบบนั้นขายอยู่แหละ ไว้เดี๋ยวแม่ซื้อให้อันนึงก็แล้วกัน’

บางทีซอฮันจุนอาจจะยังจดจำช่วงเวลานั้นได้

“ถึงวันนี้จะไม่ได้ทำตามแพลนที่คิดไว้สักอย่าง แต่ไว้คราวหน้าเรามาสร้างความทรงจำที่สนุกๆ ด้วยกันเถอะ”

ซอฮันจุนเอาไหล่มากระแซะกันก่อนจะพิงลงมา แขนที่โอบรอบเอวกระชับกอดยูแจเอาไว้แน่น ยูแจเหม่อมองกล่องนั้นพลางกัดริมฝีปากแน่น แก้มทั้งสองข้าง รวมถึงบริเวณรอบดวงตาและจมูก ทุกอย่างมันร้อนผ่าวไปหมด

น้ำที่เอ่อคลอรอบดวงตาไหลหยดลงไปบนกล่องนั้น

แม่งเอ๊ย

ยูแจยกหลังมือขึ้นเช็ดถูรอบดวงตาอย่างแรง ซอฮันจุนรู้สึกใจเสียกับน้ำตาที่คลอหน่วยรอบดวงตาและไหลอาบลงมาอย่างน่าสงสารโดยที่เขาทำได้เพียงแค่ขมวดคิ้วเข้าหากันน้อยๆ

คราวนี้กลับกลายเป็นซอฮันจุนที่เป็นฝ่ายประคองจับคางของยูแจเอาไว้ ก่อนจะใช้ชายแขนเสื้อเช็ดแก้มที่เปียกชุ่มของยูแจอย่างที่ยูแจเคยทำกับเขา

“ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อมาหานะ”

ยูแจเกลียดไอ้คนที่ยิ้มแฉ่งได้ทั้งที่กำลังเป็นฝ่ายขอโทษ เขาเคยคิดว่าจะสั่งน้ำมูกใส่สักทีดีไหม แต่แล้วก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป เพราะความคิดที่ว่าหากต้องการจะรักกันไปตลอดชีวิต มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีเรื่องให้ผิดใจกันบ้าง ยูแจขบกรามพูดออกมาด้วยเสียงลอดไรฟัน

“หิว”

“ฉันเองก็หิวเหมือนกัน นี่น่ะมื้อแรกของฉันเลยนะ”

ทันใดนั้นเองฮันจุนก็มองไปรอบๆ เหมือนเพิ่งนึกอะไรออก ก่อนจะเอื้อมมือไปยังคิมบับที่ยูแจเก็บเอาไว้ ทว่ายูแจกลับคว้ามือนั้นเอาไว้แล้วดึงเข้ามาในอ้อมอก

ยูแจใช้มืออีกข้างหนึ่งประคองใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาใกล้แล้วลูบไล้ปลายคางกับหลังใบหูอย่างนุ่มนวล พอใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดคราบน้ำตาที่หลงเหลืออยู่บนผิวอุ่นๆ อย่างเลือนราง ฮันจุนก็ค่อยๆ หลับตาพริ้มลง ก่อนที่ยูแจจะประทับริมฝีปากลงไปทั้งอย่างนั้นโดยไม่ลังเล แก้มที่เปียกชื้นแนบชิดกัน จากนั้นก็ค่อยผละออกมา ตลอดช่วงเวลาที่ลมหายใจสอดประสานกันนั้น พวกเขาต่างก็ไม่ยอมปล่อยให้มือที่จับกันไว้คลายออกจากกันเลย

Chapter 10-6

 

“ตีสองกว่าแล้วแฮะ โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด”

ทันทีที่เปิดประตูห้องน้ำออกมา ยูแจก็พูดขึ้นมาราวกับตั้งใจให้ฮันจุนได้ยิน เขานึกว่าอีกฝ่ายจะหลับไปก่อนแล้ว แต่เจ้าตัวกลับกำลังนอนแผ่หรารออยู่บนเตียงพร้อมกับส่งสายตาเป็นประกายใสแจ๋วมาให้

กำลังรออยู่สินะ?

ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่อยากนอนคุยกันตลอดทั้งคืนให้สมกับเป็นวันครบรอบ ยูแจลังเลใจคิดอยู่สักพักว่าจะปิดไฟดีไหม สุดท้ายก็เปิดมันทิ้งไว้อย่างนั้นแล้วมุ่งหน้าไปยังเตียง ฮันจุนเขยิบตัวไปชิดกับผนังด้านหนึ่งเพื่อแบ่งที่นอนให้ ก่อนที่ยูแจจะแทรกตัวลงไปในพื้นที่คับแคบไม่พอดีตัวแล้วนอนลง

“ฉันคิดไว้ว่าวันนี้อยากนอนพูดคุยกับนายแบบนี้ ก็นับว่ายังดีที่อย่างน้อยๆ ก็มีเรื่องนี้เรื่องนึงที่เป็นไปตามแผน”

“งั้นเหรอ ก็ว่าอยู่ว่าทำไมห้องนายถึงได้สะอาดขนาดนี้”

ฮันจุนหัวเราะคิกคักราวกับรู้อยู่แล้วว่ามันจะเป็นแบบนี้ ยูแจละสายตาจากเพดานแล้วเลื่อนไปมองฮันจุน โดยที่เจ้าตัวก็กำลังทอดตามองมาทางฝั่งนี้อยู่ก่อนแล้ว ไม่นานนักฮันจุนก็เอ่ยปากพูดขึ้น

“จำได้ไหม งานสอนพิเศษที่พี่ซึงมินช่วยแนะนำให้คราวก่อนน่ะ ทางนั้นเขาส่งข้อความมาถามว่าลองมาเจอกันดูหน่อยได้ไหมสุดสัปดาห์นี้ ฉันเลยกะว่าจะลองติดต่อกลับไปตอนเช้า ถ้าเป็นไปได้ก็อยากลองไปเดี๋ยวนี้เลย”

“ดีจัง หวังว่ามันจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ”

“ฉันเองก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าได้งานนี้จริงเดี๋ยวเลี้ยงข้าวมื้อนึงเลย”

พอเห็นฮันจุนที่สัญญาปากเปล่าอย่างมั่นใจแล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา แม้รอบดวงตาจะบวมเล็กน้อย แต่เจ้าตัวก็ดูสงบลง สีหน้าเองก็ดูสดใสขึ้นมาก ยูแจแอบเอื้อมมือออกไปลองจับมือของอีกฝ่ายแล้วลูบปลอบหลังมือเย็นเฉียบของเจ้าตัวที่วิ่งวุ่นลำบากมาทั้งวัน ก่อนจะค่อยๆ ประสานนิ้วมือแต่ละนิ้วเข้าด้วยกันและกอบกุมเอาไว้แน่น

“ไว้สัมภาษณ์สอนพิเศษเสร็จแล้ว เราไปเยี่ยมแม่ด้วยกันนะ”

“อื้อ แต่ต่อให้ไปเยี่ยมก็คงเยี่ยมได้ไม่นานหรอก แม่ฉันยังพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลน่ะ”

“การเข้าเยี่ยมผู้ป่วยมันก็อย่างงี้กันทั้งนั้นแหละ อย่างน้อยลงไปแล้วก็ยังได้อยู่ด้วยกันสักแป๊บ อีกอย่างเราจะได้หาอะไรอร่อยๆ กินกันด้วยไง”

“โอเคเลย”

ฮันจุนบีบมือของยูแจแน่นจนรู้สึกเจ็บ การได้นอนเบียดกันอยู่บนเตียงที่คับแคบทำให้ความเครียดนั้นผ่อนคลายลงไปพร้อมกับจิตใจที่สงบลง หลายชั่วโมงก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกเจ็บปวดทรมานกับการอยู่ตัวคนเดียวในห้องที่แสนคับแคบจนต้องวิ่งออกไปสู่โลกกว้างข้างนอก ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีที่ได้นอนจับมือกับซอฮันจุนเอาไว้แน่น หัวใจเขาก็กลับสงบลงราวกับความทุกข์ใจทั้งหมดได้ถูกชะล้างไปจนหมดสิ้นแล้ว

ยูแจรู้สึกราวกับสามารถเปิดเผยทุกสิ่งอย่างได้ในช่วงเวลานี้ เขาจึงตัดสินใจเปิดปากพูดขึ้น

“นี่ พ่อกับแม่ฉันบอกว่าจะแยกทางกันแล้วนะ”

ฮันจุนที่กำลังนอนจ้องเพดานอยู่นั้นหันขวับกลับมามอง เขาเบิกตากว้างแล้วลุกขึ้นนั่งทันที

“จะหย่ากัน?”

“อือ แต่ว่ามันก็ดีแล้วแหละ ถ้าจะต้องมาทนทะเลาะกันและมีแต่วันแย่ๆ สู้หย่ากันให้มันจบๆ ไปเลยซะยังจะดีกว่า”

“นายรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“วันนี้…ฉันแวะกลับบ้านไปแป๊บนึงก่อนจะไปหานาย”

ฮันจุนสูดลมหายใจเข้าลึกกับคำว่า ‘วันนี้’ ยูแจรู้ว่าอีกฝ่ายคงจะรู้สึกผิดมากแน่ๆ จึงเลื่อนแขนไปโอบไหล่ของฮันจุนแล้วดึงลงมานอนบนเตียงอีกครั้ง เขาล็อกคอฮันจุนและดึงเข้ามากอดแน่นเป็นการแกล้งอีกฝ่าย ก่อนจะพูดเย้ยหยันด้วยน้ำเสียงล้อเล่นที่เคล้าไปด้วยความจริง

“เรื่องทรัพย์สินนี่ก็นะ แม่งเอ๊ย…ตั้งใจแบ่งกันฉิบหาย เท่าที่ฟังมาดูเหมือนไม่ได้เพิ่งจะมาคุยกันแค่วันสองวันนี้ เห็นตกลงกันว่าจะแบ่งบ้านกัน รถตกเป็นของพ่อ ส่วนฉันตกเป็นของแม่ ฉันเลยบอกไปว่าอยากทำอะไรก็ทำกันตามสบายเลย ฉันไม่สนแม่งละ จากนั้นก็วิ่งออกมาเลย”

ในระหว่างที่พูดอยู่นั้นซอฮันจุนก็จับมือเขาเอาไว้แน่นจนเขารู้สึกว่าได้รับการปลอบประโลมจากการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นั้น ก่อนที่เขาจะพูดความรู้สึกจากใจออกมา

“ครอบครัวนั้นน่ะ แต่ไหนแต่ไรมามีก็เหมือนไม่มี เพราะงั้นไม่มีอะไรที่น่าเสียดายหรอก พอคิดว่าไม่มีใครก็กลับรู้สึกโล่งใจขึ้นเสียด้วยซ้ำ”

มันไม่ใช่คำพูดที่เขาพูดส่งเดชไปอย่างนั้น พอคิดได้ว่าความสัมพันธ์นั้นได้ตัดขาดลงแล้ว ภายในอกก็กลับรู้สึกโล่งขึ้นมา และในขณะที่กำลังแค่นหัวเราะออกมาพลางหันกลับมามอง ซอฮันจุนก็สะบัดแขนเขาออกแล้วลุกขึ้นนั่ง เงาของเจ้าตัวพาดทับลงมาบนกายของเขา พอเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็พบว่าซอฮันจุนกำลังคร่อมอยู่บนร่างกายของเขาแล้ว

ฮันจุนก้มหน้าลงมาเอาหน้าผากแตะกัน แม้ว่าจะมองเห็นสีหน้าของหมอนั่นที่เข้ามาใกล้เรื่อยๆ จนปลายจมูกแตะกันได้ไม่ชัด ทว่าต่อให้หลับตาอยู่ ยูแจก็รู้ว่าซอฮันจุนกำลังรู้สึกอย่างไร

“บอกไปสิว่าอยากจะทำอะไรก็เชิญเลย”

ฮันจุนพูดเสียงลอดไรฟันราวกับกำลังขุ่นเคือง คำพูดที่เค้นออกมานั้นระคนไปด้วยโทสะ เปลือกตานั้นยกขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาที่ยังคงเต็มไปด้วยความโกรธ

“นายยังมีฉันอยู่ทั้งคน”

คำพูดที่พูดต่อมานั้นกระแทกเข้าที่ใจเขาอย่างจัง ยูแจเอื้อมมือข้างหนึ่งไปโอบต้นคอของฮันจุนแล้วจับเอาไว้ ทันทีที่สบสายตากัน ความรู้สึกที่ร้อนวูบวาบก็พลุ่งพล่านขึ้นมา เขากลืนน้ำลายดังเอื๊อกขณะที่ข่มอารมณ์เอาไว้พลางย้อนตอบกลับไป

“นายนี่นะ ก่อนจะพูดแบบนั้น หัดรับสายกันให้ได้ซะก่อนเถอะ”

“…พวกเราลองทำแบบนั้นกันดีไหม แบบว่าลองระบุตำแหน่งของกันและกันดูอะ”

ดูท่าซอฮันจุนคงจะรู้สึกเก้อเขิน เจ้าตัวถึงได้หัวเราะพลางเลิกคิ้วขึ้นแบบนั้น เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดที่น่าสนใจนั้นได้ไม่ทันไร สมาธิเขาก็พลันแตกกระเจิงไปเพราะริมฝีปากที่กดจูบลงมาเบาๆ หมอนั่นกำลังก้มมองลงมาโดยที่เขาไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มบนใบหน้านั้นได้หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่

“ตอนที่ลงไปหาแม่วันนี้ ที่ห้องว่างเปล่าเพราะแม่ย้ายออกไปตั้งแต่สองเดือนก่อน แต่ฉันกลับคิดถึงนาย”

“…”

“นายเองก็คงรู้สึกเหมือนโลกถล่มลงมาแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม…ตอนที่ฉันขาดการติดต่อไป”

แหงอยู่แล้วสิ

ยูแจยกมุมปากขึ้นแทนคำตอบ เขายังจำได้ดีว่าตอนนั้นเขาโกรธจนควันออกหู รู้สึกเหมือนโดนหักหลัง นอนไม่หลับและกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกอันแสนทรมานนั้นดำเนินอยู่นานหลายเดือน แต่เขากลับไม่รู้สึกเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะทิ้งให้เขาวุ่นวายใจสักแค่ไหน ในท้ายที่สุดแล้วพอกลับมาเจอกันอีกครั้ง ความโกรธเคืองทั้งหมดก็พลันมลายหายไปจนหมดสิ้นราวกับความรู้สึกโกรธเคืองก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่เรื่องโกหก เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้เห็นหน้า เขาก็พร้อมที่จะให้อภัยทุกอย่าง ตอนนั้นเขารู้สึกกระสับกระส่ายและกังวล รวมถึงหวาดกลัวกับความคิดที่ว่าถ้าหากไม่รีบกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนให้ได้โดยเร็วแล้ว ระหว่างพวกเขาก็อาจจะไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก

ฮันจุนแนบหน้าผากลงบนหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่นเข้าหากัน ยูแจหยุดครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีต ก่อนจะช้อนตาขึ้น จากนั้นฮันจุนก็กระซิบเสียงแผ่วเบาทว่าหนักแน่นในทุกๆ คำที่เปล่งออกมา

“เรื่องแบบนั้นมันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีก ฉันสัญญา”

สัญญา…

ฉันเองก็สัญญาไว้แล้วเหมือนกันว่าจะดึงดันซื้อแหวนมาให้นายใส่ให้ได้ ต่อให้สภาพการเงินของฉันในตอนนี้จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก็เถอะ

เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากตั้งมั่นตัดสินใจได้อย่างแน่วแน่แล้ว ยูแจก็ยื่นมือออกไป

เขาคว้าคอเสื้อของฮันจุนแล้วดึงเข้ามาประกบจูบอย่างแรง อากาศโดยรอบร้อนระอุขึ้นมาในทันที น้ำอุ่นร้อนที่ไหลผ่านร่างกายอันอ่อนล้าช่วยชะล้างความรู้สึกอันหนักอึ้งและความเหนื่อยล้าตลอดทั้งวันออกไปได้ ทว่าความเร่าร้อนกลับยังคงค้างคาอยู่ภายในร่างกายนั้น เสียงครางต่ำผสานกันฟังดูยุ่งเหยิง

รสจูบนั้นแฝงไปด้วยความรู้สึกห่วงหา ไออุ่นที่สัมผัสลงบนแก้มและการมีอยู่ของซอฮันจุนที่กำลังบดเบียดกายลงมาบนตัวเขาจนแทบหายใจไม่ออกนั้นดึงดูดความสนใจของเขาได้ดีกว่าเรียวลิ้นที่เกี่ยวพันกันอย่างเร่าร้อนเสียอีก เขาได้กลิ่นบอดี้แชมพูกลิ่นเดียวกับของเขาจากผิวกายที่แนบชิด เรียวนิ้วที่ลูบไล้กายของเขาอย่างทะนุถนอมนั้นปลอบโยนเขาได้ดีกว่ามือที่ลูบปลอบกันก่อนหน้านี้เสียอีก

การจูบที่แสนเอาแต่ใจนั้นยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีหอบเหนื่อย ฮันจุนขบเม้มริมฝีปากอย่างดื้อดึง ก่อนจะลากลิ้นไล้จากคางลงไปตามลำคอจนมาจบที่กระดูกไหปลาร้า ยูแจสอดมือเข้าไปในกางเกงของฮันจุนขณะที่เจ้าตัวกำลังก้มเลียลำคอของเขาอยู่จนฮันจุนผงะแอ่นสะโพกหนี

“เฮือก อะ…อึ้ก”

ฮันจุนเชิดหน้าคราง ยูแจไล่สายตามองตั้งแต่ริมฝีปากของคนด้านบนที่กำลังหอบหายใจแรงแล้วเลื่อนลงมายังลำคออย่างเชื่องช้า ก่อนจะจับเจ้าตัวลงมานอนอยู่ใต้ร่าง จากนั้นจึงกระชากกางเกงออกแล้วโยนมันทิ้งไป ทันทีที่แกนกายตื่นตัวปรากฏสู่สายตา ฮันจุนก็เอื้อมมือเลื่อนลงไปตรงบริเวณหว่างขา ทว่ายูแจกลับแกล้งปัดมือของคนที่กำลังพยายามปกปิดตรงส่วนนั้นทิ้งไปแล้วออกปากสั่ง

“อ้าขารอเอาไว้ซะ”

ในระหว่างที่ฮันจุนนอนอ้าขารออย่างว่าง่าย ยูแจก็เริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจนหมด แม้ว่าจะไม่มีด้ายสักเส้นปกปิดเรือนร่างของยูแจ แต่ฮันจุนก็ยังคงชันเข่าอ้าขากว้างรออยู่อย่างนั้น แม้ตอนนี้บนกายเขาจะมีเสื้อยืดความยาวพอดีตัวปกคลุมอยู่ แต่เขาก็จับมันเลิกขึ้นเพื่อให้ยูแจมองเห็นภาพเบื้องล่างได้ชัดถนัดตา

ยูแจเปิดลิ้นชักที่อยู่ในระยะที่มือเอื้อมถึง ก่อนจะหยิบเจลหล่อลื่นออกมา เขาบีบเจลราดลงไปทั่วหว่างขาของฮันจุนจนแฉะไปหมดราวกับไม่นึกสนใจเลยว่าผ้าห่มที่อุตส่าห์เอาไปตากแดดจนหอมกลิ่นแดดนั้นกำลังเปียกชุ่มไปด้วยเจล แกนกายของฮันจุนกระตุกเป็นระยะทั้งที่ยังไม่ทันได้แตะต้องมันเลย ยูแจเริ่มเลื่อนมือไปจับตรงก้อนกลมกลึงสองก้อน แล้วไล้ฝ่ามือลากไปยังส่วนโคนของแกนกาย

ฮันจุนช้อนดวงตาแดงระเรื่อขึ้นมามอง ส่วนยูแจก็ค่อยๆ เพิ่มแรงที่ปลายนิ้วมือทีละนิดโดยยังคอยสบตากับฮันจุนอยู่ นิ้วเรียวลากผ่านฝีเย็บแล้วแหวกช่องทางนั้นออกอย่างไม่ลังเล พลันช่องทางรักนั้นก็เผยออ้าออกรับเรียวนิ้วแกร่งที่สอดเข้าไปราวกับกำลังรอคอยการเติมเต็ม

ยูแจนึกอยากจะสอดใส่เข้าไปเสียเดี๋ยวนี้เลย อยากจะฝังกายเข้าไปให้ถึงส่วนที่ลึกที่สุดเพื่อให้สองกายได้รวมเป็นหนึ่งเดียว ในขณะที่เขาโถมกายกระแทกเข้าไปย้ำๆ เขาก็อยากทวนสัญญาที่อีกคนเคยให้ไว้ อยากเห็นใบหน้าที่กำลังร้องไห้เพราะความเสียวกระสัน ไม่ใช่เพราะความโศกเศร้า อยากมอบความสุขสมให้กับซอฮันจุนที่ต้องทนเหนื่อยทนลำบากมาตลอดทั้งวัน อยากทำให้อีกฝ่ายสำลักความสุขจนสมองว่างเปล่าและหลงลืมทุกความกังวลไปจนหมดสิ้น

ฮันจุนเริ่มขยับสะโพกขึ้นลงราวกับรับรู้ความในใจนั้นของเขา

“แฮ่ก…อ๊ะ อึก อื้อ…”

ยูแจลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ในขณะที่อกแกร่งของเขากระเพื่อมไหว พอได้เห็นอีกคนเสียวซ่านทั้งที่เพิ่งสอดนิ้วเข้าไปได้เพียงแค่นิดเดียว ส่วนนั้นของเขาก็ค่อยๆ แข็งขืนขึ้นมา ยูแจก้มหน้ามองนิ้วมือของตัวเองที่กำลังกวาดรังแกไปทั่วผนังนุ่ม เรียวนิ้วที่มันวาวไปด้วยเจลหล่อลื่นสอดเข้าไปในรูรักตื้นๆ แล้วชักเข้าออกอย่างรวดเร็ว ช่องทางสีแดงระเรื่อดูดกลืนนิ้วเสียงดังเฉอะแฉะน่าอาย พร้อมกันนั้นเจลหล่อลื่นก็ทะลักออกมาเปียกเยิ้มไปทั่วส่วนล่าง ยูแจสอดนิ้วเข้าไปสองนิ้ว ก่อนจะดันเข้าไปบดสัมผัสกับส่วนที่แข็งเป็นไตด้านในช่องทางอย่างแรงจนฮันจุนสะดุ้งเฮือกงอเข่าแอ่นเอวรับ

“อ๊ะ…ตรงนั้นมันรู้สึกดะ…”

“รู้สึกดี? ตรงนี้สินะ?”

“อื้อ ตรงนั้น…”

ฮันจุนมองลงไปด้านล่างพลางออดอ้อนงอแง ดูท่าวันนี้ฮันจุนน่าจะทนได้อีกไม่นาน เพราะความเหนื่อยล้าจากการวิ่งไปโน่นไปนี่มาตลอดทั้งวัน เจ้าตัวกอบกุมแกนกายที่แข็งขืนจนขึ้นสีแดงก่ำเอาไว้พลางจิกเกร็งปลายเท้าแน่น ดูเหมือนว่าฮันจุนจะอยากรีบถึงจุดสุดยอด ทว่ายูแจกลับไม่คิดที่จะยอมให้มันจบลงอย่างง่ายดายแบบนั้น เขาปรับจังหวะขยับนิ้วในช่องทางรักของฮันจุนให้เชื่องช้าลงพลางเอ่ยกระซิบ

“ลองขึ้นมาบนตัวฉันแล้วร่อนเอวเองดูสิ”

“…ว่าไงนะ”

“บอกให้ลองทำเองดูไง…ลองร่อนเอวไปจนกว่าจะเสร็จ”

จบประโยคนั้นยูแจก็ถอดเสื้อของฮันจุนออกให้ ด้านฮันจุนเองก็ไม่รีรอรุดตัวขึ้นไปนั่งคร่อมด้านบนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเริ่มบดเบียดส่วนล่างไปกับหน้าท้องที่เหนอะหนะไปด้วยเจลหล่อลื่น

ร่างกายเปลือยเปล่าของซอฮันจุนกำลังบดเบียดสะโพกอยู่เหนือร่างของยูแจโดยที่แกนกายยังคงชูชัน ฮันจุนก้มตัวลงใช้แขนสองข้างคร่อมตัวยูแจไว้เพื่อค้ำยัน หยาดเหงื่อที่ผุดซึมทั่วร่างส่องประกายระยับ ยูแจเลื่อนมืออีกข้างที่ยังไม่เลอะเจลหล่อลื่นเลื่อนเข้าหาโพรงปากของฮันจุน ในขณะที่ฮันจุนหอบหายใจถี่ระรัวแล้วค้อมตัวลงเหมือนสัตว์สี่ขา ส่วนนั้นของยูแจก็ตื่นตัวขึ้นมาเต็มที่เพราะแรงเสียดสีจากคนด้านบนที่มาโดนแกนกายของเขา

“อุ๊บ…อืม”

ทันทีที่สองนิ้วเลื่อนไปอยู่ตรงหน้า ฮันจุนก็ยื่นเรียวลิ้นออกมาต้อนรับมันแล้วเริ่มดูดเลีย ยูแจมองภาพฮันจุนที่เปิดปากรับนิ้วของเขาเข้าไปในโพรงปาก ก่อนจะห่อกลีบปากดูดเลียมันอย่างกระหายจนแก้มนูนขึ้นมา พร้อมกันนั้นมืออีกข้างหนึ่งของยูแจก็เลื่อนไปเขี่ยยอดอกอีกฝ่ายอย่างหยอกล้อ หลังจากใช้ปลายนิ้วเขี่ยไปได้ไม่กี่ครั้ง ยอดอกนั้นก็แข็งเป็นไตชูชันขึ้นมาสู้มือทันที เขาใช้ระหว่างเรียวนิ้วบดขยี้มันจนฮันจุนเผยอกลีบปากคราง วินาทีนั้นยูแจก็ไม่รอช้ารีบสอดนิ้วเข้าไปลึกจนโคนนิ้วสัมผัสกับปลายคาง

“อุ๊บ! อ่อก อะ…อา”

หยาดน้ำเอ่อคลอรอบหน่วยตาของฮันจุนที่กำลังหอบหายใจ ยูแจรู้สึกชอบใจที่ได้เห็นสีหน้าที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าจนน้ำตาเอ่อคลอค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป และได้เห็นดวงตาหวานเยิ้มอย่างคนที่ไม่อาจจัดการกับความรู้สึกวาบหวามนี้ได้ ยูแจบดคลึงริมฝีปากของฮันจุนด้วยเรียวนิ้วที่เปียกเยิ้ม ก่อนจะยกยิ้ม

“ข้างล่างก็แคบ ส่วนตรงนี้ก็เล็กนิดเดียว ถ้าจะให้ช่วยขยายมันออก เห็นทีคงต้องใช้เวลาสักหน่อยแฮะ”

คำพูดนั้นทำเอาฮันจุนแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากจนเปียกชุ่ม เขาเคลื่อนใบหน้าลงไปอยู่ตรงแกนกายของยูแจที่เมื่อครู่เขาบดสะโพกใส่จนมันแข็งชูชันขึ้นมาโดยที่ไม่แม้แต่จะกะพริบตา

“อึก”

ยูแจกัดริมฝีปากล่างพลางชันเข่าขึ้นข้างหนึ่งเมื่อฮันจุนอ้าปากกว้างแล้วกลืนท่อนลำของเขาเข้าไปจนสุดความยาว ฮันจุนใช้ลิ้นที่ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำลายไล้เลียแกนกายพลางใช้มือบีบเฟ้นต้นขาด้านในของเขาไปด้วย

แม้จะชอบการกระตุ้นเร้าที่ฮันจุนทำให้เขาตรงส่วนนั้น แต่เขากลับรู้สึกเสียวกระสันกับการที่ได้เห็นภาพยามอีกฝ่ายกำลังทำให้เขามากกว่า ภาพที่ซอฮันจุนโน้มหน้าลงมาดูดเลียตรงนั้นของเขามันช่างน่าเชยชม กลีบปากที่เลอะไปตั้งแต่ตอนที่ไล้เลียเรียวนิ้วเขานั้นฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำลายที่ไหลออกมาเป็นสาย ทว่าฮันจุนก็ไม่ได้นึกใส่ใจมันสักนิด เจ้าตัวยังคงตั้งอกตั้งใจดูดเลียแท่งร้อนของเขาอย่างขะมักเขม้น

ยูแจนึกหงุดหงิดเมื่อริมฝีปากนั้นเริ่มครูดครอบลงไปถึงแค่ช่วงกลางของท่อนลำ ไม่ได้กลืนลึกลงไปจนสุดโคน ดังนั้นเขาจึงจับศีรษะของฮันจุนเอาไว้แล้วดึงออกจากแกนกายอย่างระมัดระวัง ฮันจุนมองออกว่าเขาต้องการอะไรจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่จะฝังใบหน้าของตัวเองลงไปใหม่อีกครั้งจนปลายจมูกเริ่มขึ้นสีแดง คราวนี้ทำเอายูแจลุ่มหลงไปกับความรู้สึกยามที่ส่วนหัวนั้นกดไปถูกบริเวณที่แข็งเป็นไตในช่องคอของอีกฝ่าย ยูแจสัมผัสได้ถึงความรู้สึกยามที่ฮันจุนอ้าและหุบช่องคอพลางสะอึกสะอื้นอยู่ในลำคอนั้นที่ส่งผ่านมาถึงท่อนลำของเขา

ยูแจชอบอะไรแบบนี้ตอนมีเซ็กซ์กับฮันจุน เขาไม่ได้พึงใจกับความรู้สึกสุขสมจากการแข็งตัวและรีบทำให้มันปลดปล่อยออกมาแบบมักง่ายเลยสักนิด สิ่งที่เขาพอใจคือการที่ได้สัมผัสทุกซอกทุกมุมในร่างกายของฮันจุนต่างหาก ยามที่โพรงปากนั้นกลืนกินแกนกายเข้าไปจนสุดความยาว เขาก็สัมผัสได้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เพดานปากแข็งๆ ไปจนถึงกระพุ้งแก้มนุ่มนิ่ม เรียวลิ้นลื่นๆ ช่องลำคอที่เคยกลืนน้ำรักของเขาเข้าไปนับครั้งไม่ถ้วน ลมหายใจที่หอบกระเส่าอย่างรุนแรง และความรู้สึกเสียวซ่านที่ไม่เคยได้สัมผัสยามที่ช่วยตัวเองซึ่งจะถาโถมเข้ามาทีละนิดจนสมองของเขาขาวโพลน

และตอนนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาเหล่านั้น ยูแจหลุบตามองฮันจุนพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ซอฮันจุนกำลังกอบกุมแกนกายของเขาแล้วเลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้ามา ก่อนจะใช้ริมฝีปากอมส่วนหัวอวบใหญ่แล้วขยับลิ้นโลมเลียมันอย่างเอร็ดอร่อย มันเป็นการกระทำที่เขาเพิ่งจะเคยเห็นหมอนั่นทำเป็นครั้งแรก ปกติแล้วฮันจุนมักจะแค่เอาเข้าปากแล้วก็ดูดเลียมันอย่างไร้ชั้นเชิง ในขณะที่เขาก้มมองลงไปพลางส่งเสียงครางต่ำนั้น ฮันจุนก็ค่อยๆ ปรือตาขึ้นมองมาอย่างเชื่องช้า

ในนัยน์ตาที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีนั้นปรากฏแววตาที่เต็มไปด้วยความต้องการ มันมากล้นถึงขั้นที่เขาสัมผัสได้ว่าสายตานั้นมันสงบนิ่งไร้ซึ่งความหวั่นไหวใด

‘บอกไปสิว่าอยากจะทำอะไรก็เชิญเลย’

‘นายยังมีฉันอยู่ทั้งคน’

น้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาดที่เคยเปล่งออกมาทั้งที่สภาพจิตใจของตัวเองก็แทบจะไม่ไหวแล้วเพราะความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวด

ยูแจจับท้ายทอยของฮันจุนแล้วดึงเข้ามาประกบจูบ ก่อนจะใช้ลิ้นกวาดเลียไปทั่วโพรงปากทุกซอกทุกมุมที่แกนกายของเขาเคยสัมผัสพลางกดตัวอีกฝ่ายลงกับเตียงแล้วเคลื่อนตัวขึ้นคร่อม โดยแทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างขาเรียว ทันทีที่ร่างกายทาบทับและโอบกอดกันจนไร้ช่องว่าง ฮันจุนก็กอดตอบเขาแน่นด้วยแขนทั้งสองข้าง

“ยูแจยา” ฮันจุนเลื่อนริมฝีปากมาคลอเคลียที่ใบหูพลางร้องเรียกชื่อเขา

ร่างกายภายในของยูแจพลันรุ่มร้อนไปหมด หัวใจเต้นแรงระรัวเพราะความรู้สึกตื่นเต้น ความร้อนพลุ่งพล่านไปทั่วกายทำเอาแทบจะเป็นบ้า จนในที่สุดเขาก็ไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป

ยูแจใช้แขนข้างหนึ่งค้ำยันร่างกายเอาไว้พลางรีบคว้าแกนกายของตัวเองไปจ่อตรงปากช่องทางของคนด้านล่าง ทันทีที่ส่วนหัวเริ่มดุนดันเข้าไปด้านใน ฮันจุนก็รีบโอบเอวของยูแจไว้มั่นแล้วกอดรัดเข้าหาตัว ยูแจส่งเสียงคำรามในลำคอเพราะแรงตอดรัดที่ราวกับจะกลืนกินตัวตนของเขาเข้าไป ก่อนจะช่วยปัดเส้นผมที่ปรกลงมาบนใบหน้าของฮันจุนออกให้ ทำให้เขาได้เห็นใบหน้านั้นเต็มตา รวมไปถึงแก้มที่แดงระเรื่อลามไปจนถึงหน้าผาก จากนั้นเขาก็ขยับสะโพกสอบกระแทกเข้าไปเต็มแรงจนฮันจุนเชิดหน้าขึ้นส่งเสียงครวญคราง

“อ๊า! อึก อา…ฮึก”

“ฟู่ว…อึก ดีชะมัด…”

“แฮ่ก…แฮ่ก”

“ชอบนะ”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นกระเส่าพร่าอย่างบอกไม่ถูก ยูแจแนบแก้มอันร้อนผ่าวของตัวเองเข้ากับแก้มของฮันจุน ก่อนจะฝังจมูกแล้วพรมจูบไปทั่วจุดที่อุ่นร้อนที่สุดแถวลำคอและใบหูของฮันจุนอย่างไร้สติ เขาสูดดมกลิ่นกายนั้นเข้าไปเต็มปอดพลางโอบกอดไออุ่นจากร่างกายที่แสนคุ้นเคยไว้ในอ้อมอก

ฮันจุนหันหน้ากลับมามองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำเมื่อได้ยินคำสารภาพที่พูดออกมาอย่างแผ่วเบา แม้เจ้าตัวจะไม่ได้พูดคำว่า ‘ชอบ’ ตอบกลับมาเหมือนกัน แต่ยูแจก็มองเห็นความในใจที่เปล่งประกายอยู่ในแววตาของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

“รักนะ”

ยูแจกดจูบลงไปบนริมฝีปากของฮันจุน ก่อนจะกระซิบออกมาเบาๆ เขาเพิ่งจะรู้ตัวเอาตอนนี้ว่าที่ผ่านมาพวกเขาต่างก็มีใจตรงกันมาโดยตลอด เขาเดินทางมาไกลแสนไกลกว่าจะได้มารู้ใจของตัวเองในวันนี้

ความกระสันพร้อมกับแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นมาอีกขั้น เสียงเฉอะแฉะน่าอายยามผิวกายที่เลอะไปด้วยเจลหล่อลื่นสัมผัสกันดังขึ้นทุกครั้งที่ร่างกายส่วนล่างบดเบียดเข้าหากัน ความสุขสมยามแทรกตัวเข้าไปในกายของฮันจุน เสือกกายลึกเข้าไปถึงจุดซ่อนเร้น ในขณะเดียวกันนั้นผนังบอบบางอ่อนไหวด้านในก็ตอดรัดตัวตนของเขาแน่นทั้งท่อนลำตั้งแต่ส่วนโคนจรดส่วนปลายทำเอาสติสัมปชัญญะของเขาเริ่มหลุดลอย ยูแจประคองศีรษะของฮันจุนอย่างทะนุถนอมพลางสบประสานสายตากับอีกฝ่าย

“รู้สึกดีไหม”

“อ๊ะ ดี…อ๊า!”

ทันทีที่กระแทกแกนกายอุ่นร้อนเข้าไปลึก ซอฮันจุนก็แอ่นสะโพกรับพร้อมกับเนื้อตัวที่สั่นระริก จุดโฟกัสของฮันจุนเริ่มหลุดลอยไปจากสายตาของยูแจที่กำลังก้มมองภาพนั้น

ยูแจปล่อยมือที่กอดรัดฮันจุนเอาไว้แน่น ก่อนจะหยัดกายขึ้นมา ในกรอบสายตาที่มองลงไป ภาพที่เขาเห็นคือภาพของซอฮันจุนที่กำลังนอนอ้าขาออกกว้างโดยยังมีแกนกายของเขาเสียบคาเอาไว้อยู่ รวมไปถึงส่วนนั้นที่แข็งขืนด้วยแรงอารมณ์ของฮันจุนซึ่งอยู่ตรงกลางหว่างขาที่สั่นระริก ยูแจเลียริมฝีปากแล้วออกคำสั่ง

“อ้าขาออกอีก”

ฮันจุนเกร็งต้นขาแล้วแยกขาออกกว้างขึ้นอีกตามคำสั่งนั้น ยูแจใช้สายตาโลมเลียทุกซอกทุกมุมบนเรือนกายที่เปลือยเปล่า ก่อนจะเลื่อนมือไปบีบเฟ้นต้นขาอ่อนด้านในของฮันจุน หลังจากเคล้นคลึงมันอยู่สักพักจนผิวเนียนนั้นขึ้นสีแดงเป็นปื้น เขาก็เอานิ้วที่ชุ่มไปด้วยน้ำลายเคลื่อนไปตรงส่วนที่ร่างกายเชื่อมประสานกันอยู่

ช่องทางที่มีท่อนลำอันเขื่องสอดคาเอาไว้อยู่นั้นขยายตัวโอบรับแกนกายเขาเอาไว้แน่น อีกทั้งผนังรอบๆ รูจีบก็ร้อนผ่าว ยูแจขยับสะโพกขณะที่ค่อยๆ ใช้นิ้วถูคลึงบริเวณรอบปากช่องทางรัก เริ่มหาช่องว่างที่จะสอดใส่นิ้วเพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งนิ้ว

ยูแจสอดใส่และขยับเข้าออกอย่างเชื่องช้าอยู่สักพัก ก่อนที่เขาจะถอนแกนกายออกมาแล้วสอดกระแทกเข้าไปอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็สามารถสอดนิ้วอีกนิ้วเพิ่มเข้าไปได้ก่อนรูจีบจะหดแคบลง ยูแจงอนิ้วที่สอดเข้าไปเพียงแค่ตื้นๆ บดเบียดเข้ากับผนังด้านใน ซึ่งมันเป็นจุดที่ฮันจุนบอกว่ารู้สึกดีเมื่อครู่นี้

“อ๊า…”

ฮันจุนพยายามหุบขา แต่ยูแจก็คว้าจับใต้เข่าของฮันจุนเอาไว้แล้วโน้มตัวทิ้งน้ำหนักลงไป ก่อนจะลองปลุกปั่นฮันจุนด้วยการใช้นิ้วโป้งกดคลึงลงบนฝีเย็บพร้อมกับขยับนิ้วที่สอดใส่อยู่ด้านในช่องทางรัวเร็ว ทำเอากล้ามเนื้อต้นขาที่ถูกมือเขาจับล็อกเอาไว้กระตุกเกร็ง ระหว่างนั้นซอฮันจุนก็เลื่อนมือที่กำผ้าปูที่นอนขึ้นมาเคล้นคลึงหน้าอกของตัวเอง

ยูแจเหยียดยิ้ม

ทันทีที่ถอนนิ้วกับแกนกายออกมา ฮันจุนก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกพร้อมกับครางออกมาเสียงดัง ยูแจจับฮันจุนพลิกตัวทันทีโดยไม่แม้แต่จะให้เวลาอีกฝ่ายได้หายใจ จากนั้นก็โถมกายสอดใส่เข้าไปในรูรักที่กำลังขมิบอ้านั้นรวดเดียว

ร่างกายส่วนล่างแนบชิดติดกันพร้อมกับเสียงเนื้อกระทบกันดังพลั่ก เสียงเสียดสีกระแทกกระทั้นที่ดังลั่นทำให้หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบจะระเบิด ยูแจก้มศีรษะลงมองส่วนที่เชื่อมประสานกันโดยที่ยังคงขยับสะโพก แก้มก้นที่แดงระเรื่อนั้นสั่นกระเพื่อมทุกครั้งยามที่เขาตอกอัดตัวตนเข้าไปอย่างรุนแรง

“ฮึก อ๊า! อ๊ะ…อึก!”

“อืม…ฮันจุนอา”

เข่าของฮันจุนอ้าออกกว้างก่อนจะทรุดลงเพราะไม่อาจทนต่อแรงกระแทกที่โถมเข้ามาจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกันดังนั้นได้ ยูแจจึงจัดการขึ้นคร่อมฮันจุนที่ทรุดลง ก่อนจะขยับสะโพกสอดกระแทกเข้าไปอย่างบ้าคลั่งพลางเลื่อนมือทั้งสองข้างไปทาบทับมือของฮันจุนแล้วกดลงกับเตียงไว้แน่นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายขยับหนี จากนั้นก็เม้มดูดลำคอของฮันจุนอย่างแรงจนเกิดรอย

ความรู้สึกของคนทั้งคู่ราวกับถูกหลอมละลายด้วยอุณหภูมิของร่างกายที่เร่าร้อนจนกลายเป็นหนึ่งเดียว ยูแจเลื่อนริมฝีปากไปกดจูบลงบนแก้มของฮันจุนแล้วลูบไล้นิ้วนางที่อยู่ภายใต้ฝ่ามือที่ซ้อนทับกัน

“ฮันจุนอา อึก…”

ยูแจปรับจังหวะลมหายใจ ก่อนจะถามออกไป

“นายอยากใส่แหวนคู่กับฉันไหม”

ฮันจุนเอี้ยวหน้ากลับมามองเพราะคำถามที่ถามออกมาในระหว่างที่ริมฝีปากของยูแจกำลังคลอเคลียอยู่ที่ใบหู เขากะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยปากถาม

“อะไรนะ”

“เรามาทำแหวนคู่กันเถอะ”

“มาถามเอาตอนนี้เนี่ยนะ”

“อื้อ ทำไมล่ะ”

“อึก…ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”

“หืม?”

ยูแจจับแขนข้างหนึ่งของฮันจุนดึงมาทางด้านหลัง ก่อนจะจับมือของอีกฝ่ายมาสัมผัสตรงแกนกายของเขาที่สอดใส่คาอยู่ตรงรูรักพร้อมกับแกล้งจูบลงบนใบหูที่ร้อนผ่าวของฮันจุนจนเกิดเสียงดังจุ๊บ จากนั้นก็เลื่อนมือทั้งสองข้างมาฟอนเฟ้นหน้าอกของฮันจุน

“อึก! อ๊า…ไม่เอา อื้อ!”

สิ้นเสียงนั้นยูแจก็สอดแขนเข้าไปใต้รักแร้ของฮันจุนทั้งสองข้าง ทำการกอดรัดล็อกตัวอีกฝ่ายไว้แน่นจนไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ จากนั้นก็เริ่มตอกอัดแกนกายเข้าไปย้ำๆ เข้าสุดออกสุดอย่างเต็มแรง ก่อนจะจับคางฮันจุนเชยขึ้นแล้วถามอีกครั้ง

“ว่าไง หืม?”

“อือ อึก! อา…ไอ้เวรเอ๊ย เข้าใจ…!”

“ซี้ด…ฮันจุนอา”

ตอนนี้เขาใกล้จะถึงจุดสุดยอดแล้ว ยูแจเร่งความเร็วเป็นครั้งสุดท้ายพลางขยี้ยอดอกข้างหนึ่งของฮันจุน บดคลึงวนเป็นวงกลม ทำเอาช่องทางด้านหลังของฮันจุนกระตุกรัดแกนกายของเขาทันที ในตอนนั้นเองยูแจก็ครูดเล็บจิกลงไปตรงกลางตุ่มไตที่แข็งชูชัน

ฮันจุนตัวสั่นระริก สะโพกที่เชื่อมติดกันกำลังสั่นสะท้าน ยูแจจับเอวของฮันจุนไว้มั่นแล้วกดลงกับเตียง ก่อนจะฟาดมือลงไปบนบั้นท้ายนั้นอย่างแรง ทิ้งรอยฝ่ามือสีแดงเถือกไว้บนแก้มก้นที่ขมิบรัดเข้าหากันแน่น

“ฮึก!”

เหงื่อไหลอาบลงบนแผ่นหลังของคนใต้ร่างเป็นหยดๆ จากนั้นเขาก็ปลดปล่อยน้ำรักทุกหยาดหยดเข้าไปในช่องทางนั้นจนหมด ก่อนจะทรุดตัวล้มทับลงบนร่างของฮันจุน

“ฮ้า…”

ยูแจที่ทรุดตัวลงกลิ้งไปนอนอยู่ข้างกายฮันจุนเอื้อมแขนไปดึงฮันจุนเข้ามากกกอดแล้วแนบแก้มของตัวเองลงบนใบหน้าที่ความเศร้าได้จางหายไปแล้วของเจ้าตัวโดยที่นอนแนบชิดตัวติดกันอยู่อย่างนั้น จู่ๆ คนที่ถูกดึงเข้ามาในอ้อมกอดก็พึมพำขึ้นมาอย่างอ่อนแรง

“เรื่องแหวนนั่นหมายความว่าไง”

ฮันจุนถามโดยที่ไม่ได้มีสีหน้าไม่ชอบใจซึ่งนับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของเขา ยูแจจึงพูดสิ่งที่เตรียมพูดในร้านอาหารออกมาอย่างคล่องแคล่วราวกับกำลังรอจังหวะนี้อยู่

“วันครบรอบทั้งที ฉันเลยอยากทำแหวนสักคู่อะ เอาอันที่มีดีไซน์เรียบๆ แกะสลักชื่อลงด้านใน ถ้าได้ใส่แหวนคู่กันมันก็น่าจะดีไม่ใช่หรือไง ไม่เห็นจะมีเรื่องอะไรต้องคิดมากเลย ดีจะตายไป นายเองก็ไม่ชอบที่ฉันโดนสาวขอเบอร์ตอนอยู่ข้างนอกเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”

“งั้นก็รออีกสักหน่อยละกัน ฉันใกล้จะได้ค่าสอนพิเศษแล้วแหละ”

“ฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญนายเลย เพราะงั้นเรื่องแหวนนี่เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

นี่เป็นจังหวะที่ดีที่จะตอบแทนความรู้สึกดีๆ ของฮันจุน เพราะเขาก็เพิ่งจะได้รับของขวัญมาจากเจ้าตัวเหมือนกัน ภาพซอฮันจุนที่ส่ายหน้าปฏิเสธทันทีแม้จะพยายามโน้มน้าวในตอนซื้อโน้ตบุ๊กให้นั้นยังคงติดตา มันมีความเป็นไปได้สูงที่ฮันจุนจะไม่เต็มใจ และยูแจก็คิดหาแผนสำรองเอาไว้เรียบร้อยแล้วหากเจ้าตัวบอกปัดปฏิเสธ

“เอาสิ”

ฮันจุนตอบพลางยิ้มให้ ทันใดนั้นยูแจก็พลันเบิกตากว้างเพราะคำตอบที่ไม่คาดคิด

“…ฮะ?”

“ก็บอกโอเคไง ไว้คุยกันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ฉันง่วงแล้ว”

พอลองมองดูฮันจุนในตอนนี้ เขาถึงได้เห็นว่าตาของเจ้าตัวปรือปิดไปกว่าครึ่งแล้ว

คงจะไม่ใช่ว่าสะลึมสะลือฟังคำถามเขาผิดแล้วมาตอบแบบอื่นเอาทีหลังหรอกนะ?

ในระหว่างที่กำลังหรี่ตาจ้องมองอย่างนึกระแวง ฮันจุนก็เขยิบเข้ามาใกล้แล้วกดจูบลงบนริมฝีปากเขาเบาๆ ก่อนจะผละออกไป อีกฝ่ายนอนขดตัวแล้วก็สลบไสลไปในทันที

ยูแจเอื้อมมือไปปิดไฟแล้วกลับมาล้มตัวลงนอน พอดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มอย่างลวกๆ แล้วหลับตาลง ความรู้สึกอ่อนเพลียก็เริ่มทำงาน เขาพลิกตัวไปแนบชิดติดแผ่นหลังของฮันจุนที่นอนหันหลังให้แล้วดึงร่างกายอุ่นๆ นั้นเข้ามากกกอด ก่อนจะข่มตาลง

ไม่นานนัก เขาก็ผล็อยหลับไป

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: