X
    Categories: everYStar Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาวทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Star Struck ระยะห่างเพียงเอื้อมถึงดวงดาว เล่ม 1 Chapter 1-2 #นิยายวาย

Chapter 1-2

 

ฮันจุนถูกคัดไปอยู่ห้องหนึ่งหลังจากสอบวัดระดับที่สถาบันสอนพิเศษเสร็จ

การเรียนพิเศษครั้งแรกในชีวิตของเขาไม่ได้มีอะไรพิเศษไปกว่าที่คิดเอาไว้ บรรยากาศทั้งก่อนและหลังเรียนที่มีผู้คนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่ต่างอะไรจากที่โรงเรียน อีกทั้งข้อสอบวัดระดับในการแบ่งห้องเรียนก็ไม่ได้ยากอะไร แถมยังไม่ต่างจากในหนังสือแบบฝึกหัดสักเท่าไรด้วย นักเรียนในห้องส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นนักเรียนที่มาจากโรงเรียนเดียวกันที่เขาคุ้นหน้าอยู่แล้ว เพราะอย่างนั้นเขาเลยรู้สึกว่ามันไม่ได้ต่างอะไรกับคลาสเรียนเสริมหลังเลิกเรียนที่โรงเรียนเลยสักนิด

ทว่าการหาเพื่อนใหม่นั้นกลับไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ทันทีที่เขาก้าวขาเข้าไปในห้องเรียน สายตาทุกคู่ที่จับจ้องมาก็ฉายแววหวาดระแวงอย่างชัดเจน

ฮันจุนคุ้นเคยกับสายตาแบบนี้ดี เพราะมันเป็นสายตาที่เขาได้รับทุกครั้งที่เปิดเทอมใหม่ ปกติแล้วเขามักจะได้ยินคนพูดอยู่บ่อยๆ ว่าหน้าตาเขาดูเหมือนพวกเด็กเกเร แถมเขายังมีรอยฟกช้ำจางๆ บนใบหน้าที่ยังไม่หายดีอันเกิดจากการที่เขาเรียนชกมวยกับรุ่นพี่ฮยอนแบด้วย ซึ่งนั่นก็ทำให้ความประทับใจแรกของทุกคนที่มีต่อเขาส่วนใหญ่นั้นไม่ค่อยดีเท่าไรนัก

อย่างไรเสียกว่าคนเราจะสนิทใจกันมันก็ต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นด้วยความที่เขาลงเรียนแค่สามเดือน เขาจึงไม่มั่นใจเลยว่าจะหาเพื่อนได้สักกี่คนกัน

ฮันจุนเลือกที่จะเข้าไปตีสนิทกับคนคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้เขามากที่สุด เขารู้สึกว่ามีความประทับใจแรกที่ดีแบบแปลกๆ กับผู้ชายตัวเล็กที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจาซึ่งนั่งอยู่โต๊ะข้างๆ ของเขาคนนี้ อีกฝ่ายดูเป็นคนประเภทที่ตรงกันข้ามกับตัวเขาอย่างสิ้นเชิง

ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกถึงสายตาของเขาที่มองไปหรือเปล่า เจ้าตัวถึงได้ชายตามองมาที่เขา ฮันจุนใช้เวลาเลือกคำทักทายอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มขยับริมฝีปากเตรียมเอ่ยทัก

แต่แล้วเขาก็ดันพลาดโอกาสนั้น เมื่ออีกฝ่ายหันหน้ากลับไป ถึงอย่างนั้นฮันจุนก็ได้เผลอหลุดปากทักออกไปทันทีโดยไม่รู้ตัว

“หวัดดี”

ผู้ชายตัวเล็กคนนั้นตกใจจนสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อฮันจุนเอ่ยคำทักทาย ก่อนจะยิ้มแหยๆ ตอบกลับมา

“หวะ…หวัดดี”

“ฉันเพิ่งมาเรียนวันนี้วันแรก เรียกซอฮันจุนก็ได้นะ”

“เอ่อ…เราชื่อพัคจินฮวาน”

“นายเรียนที่นี่นานแล้วเหรอ”

“อื้อ น่าจะเกินหนึ่งปีแล้วล่ะ”

“อาฮะ”

ฮันจุนยกยิ้มเพื่อให้ตัวเองดูเป็นมิตรขึ้นมาหน่อย แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของเขาจะไร้ความหมายเมื่อจินฮวานกลับหลบตาเขาทันทีที่สบตากัน

ถึงอย่างไรคนเราก็ไม่ได้อิ่มเพราะกินข้าวแค่ช้อนเดียว* อยู่แล้ว ฮันจุนลอบเลียริมฝีปากก่อนจะหันไปมองรอบๆ

ในช่วงเวลาพักแค่สิบนาที เด็กนักเรียนในห้องต่างฟุบหน้าหลับ กินขนม หรือไม่ก็พูดคุยกันเสียงดัง เขานึกว่าที่สถาบันสอนพิเศษจะต้องเงียบและดูเข้มงวดกว่าที่โรงเรียนเสียอีก พอเห็นแบบนี้แล้วเขาก็รู้สึกว่าตัวเองคงปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้ไม่ยาก

เจ้าพวกนี้นี่มันมาเรียนหรือมาเล่นกันแน่นะ

ฮันจุนคิดในขณะที่พินิจมองไปรอบๆ อย่างชั่งใจ

“เฮ้ ซอฮันจุน!”

จู่ๆ อินกยูก็โผล่พรวดเข้ามาคว้าไหล่ของเขาไว้มั่น ก่อนที่เขาจะเห็นว่ามีชายร่างสูงอีกคนที่ตัวใหญ่กว่าเดินมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังอินกยู และคนคนนั้นก็คือยูแจที่เดินหัวเราะมาแต่ไกล

“หัวเราะไร”

ฮันจุนหรี่ตามองอีกฝ่ายพลางบ่นงึมงำ โชยูแจคงจะกำลังนึกถึงเรื่องเมื่อคืนอยู่แน่ๆ เมื่อคืนก่อนที่พวกเขาจะแยกกัน เขาเอ่ยปากถามเกี่ยวกับที่เรียนพิเศษหลายคำถาม ซึ่งแต่ละคำถามมันทำให้เขาดูเหมือนคนโง่สุดๆ ที่เอาแต่ถามอะไรแปลกๆ เช่น ‘จริงหรือเปล่าที่เขาบอกกันว่ามีกล้องวงจรปิดติดอยู่ทุกห้องเรียน’

และคนที่บอกเขาว่าที่สถาบันสอนพิเศษนั้นไม่ต่างอะไรจากโรงเรียนที่สอนแบบสปาร์ตา* ต้องนั่งเรียนอยู่เงียบๆ อย่างเดียว ห้ามส่งเสียงดังเป็นอันขาดนั้นก็คือยูแจนั่นแหละ อีกฝ่ายแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เดินเข้ามาหาและหยุดยืนเท้าแขนอยู่กับโต๊ะ ก่อนจะโน้มตัวลงมาใกล้จนใบหน้าแทบจะชิดกัน เงาของอีกฝ่ายทาบทับคนตัวเล็กอย่างจินฮวานจนมิด

จินฮวานปรายตามองมาอยู่แวบหนึ่ง ยูแจยังคงหาเรื่องชวนฮันจุนคุยโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นจินฮวานที่นั่งอยู่ข้างหน้าตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“อาจารย์ประจำชั้นคืออาจารย์อิมกวังแทใช่ปะ เป็นไงบ้าง”

“ก็นะ…ยังไม่รู้เหมือนกัน”

“จริงสิ พอดีแชยองบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย เลิกเรียนแล้วเดี๋ยวฉันขอไปคุยกับเธอแป๊บนึง นายรอฉันก่อนนะ เดี๋ยวเรากลับพร้อมกัน”

มีเรื่องจะคุยด้วย? แชยองเนี่ยนะ? ยังไงก็เจอที่โรงเรียนทุกวันอยู่แล้ว มีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องคุยกันปุบปับแบบนี้ด้วยเหรอ

อีอินกยูโพล่งถามในสิ่งที่ทุกคนต่างก็สงสัยอย่างไม่ลังเล

“ยัยแชยองมีเรื่องอะไรพูดกับนายนักหนากันฮะ เรียกออกไปดึกดื่นแบบนี้ ยัยนั่นคงกะจะสารภาพรักกับนายแหงเลย”

“หนวกหูน่า”

“นายเองก็เลิกเล่นตัวได้แล้ว คบๆ ไปเหอะน่า ยัยนั่นก็สวยดีไม่ใช่หรือไง”

อินกยูเหยียดยิ้มพลางพูดยุยงส่งเสริม ทว่ายูแจไม่คิดที่จะฟังมันอยู่แล้ว เพราะปกติเจ้าตัวก็มักจะพูดอยู่เป็นประจำว่า ‘บ้าไปแล้วหรือไงถึงได้คิดจะมีแฟนตอนปีสาม ยังไงซะถ้าเกรดตกหรือสอบเข้ามหา’ลัยเดียวกันไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเลิกกันอยู่ดี’

ยูแจเลือกที่จะเมินอินกยูที่พูดจาไร้สาระไปเรื่อยเปื่อย มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้สึกไม่ชอบคำว่าเล่นตัว ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าพอที่จะปฏิเสธเธอไปแบบจริงจังอยู่ดี ในระหว่างที่ฮันจุนกำลังมองสีหน้าเรียบเฉยของยูแจอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงกระแอมดังขึ้นจากโต๊ะข้างๆ ใบหน้าของจินฮวานเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด อีกฝ่ายลอบลุกขึ้นยืนก่อนจะก้มศีรษะลงแล้วค่อยๆ แทรกตัวออกจากที่นั่งไปอย่างเงียบๆ

คงจะเป็นเพราะรู้สึกอึดอัดที่คนรอบตัวต่างก็มารุมและพูดคุยกันเสียงดังสินะ

ในระหว่างที่ฮันจุนมองตามจินฮวานที่เดินออกไปนั้น ยูแจก็ยึดเก้าอี้ของจินฮวานมานั่งอย่างรวดเร็วราวกับว่านั่นเป็นที่นั่งของตัวเอง

ฮันจุนมองออกไปยังทางเดินนอกห้อง จินฮวานเดินวนไปวนมาอยู่แถวๆ ประตูราวกับไม่รู้ว่าจะปลีกตัวไปอยู่ที่ไหนดี ในขณะที่ฮันจุนกำลังกัดริมฝีปากอย่างครุ่นคิดเพราะรู้สึกเหมือนตัวเองเผลอไล่อีกฝ่ายไปโดยไม่ได้เจตนา อินกยูก็ดึงไหล่ฮันจุนอย่างแรง

“นี่ นายน่ะ สอบเข้ามาได้คะแนนเท่าไหร่”

สีหน้าของอินกยูดูกังวลใจอย่างปิดไม่มิด ทันทีที่ฮันจุนสบสายตากับยูแจ เขาก็ยกยิ้มมุมปากเป็นเชิงบอกว่า ‘ไงล่ะ ฉันบอกแล้วว่าให้ระวังตัว’ เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายได้เตือนเขามาก่อนแล้วว่า ‘ระวังหน่อยละกัน อินกยูได้ยินเรื่องที่นายสอบเข้าแล้วได้อยู่ห้องหนึ่งแล้ว’

ฮันจุนแกล้งตอบโดยปั้นหน้าบึ้ง

“คะแนนสอบก็โอเคหมดทุกวิชานะ”

“แล้ววิชาภาษาเกาหลีล่ะ นายทำทันหมดทุกข้อเลยเหรอ”

“ช่างเรื่องนั้นเถอะน่า ว่าแต่นายหาเพื่อนได้บ้างยัง ปกตินายเข้าสังคมไม่ค่อยเก่งนี่”

ยูแจทนดูต่อไปไม่ได้จึงถามเรื่องอื่นแทรกขึ้นมา ฮันจุนหันกลับไปมองที่นอกประตูอีกครั้งหนึ่ง จินฮวานยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งๆ ที่หากตั้งใจจะปลีกตัวออกไปจากตรงนี้ จะไปเข้าห้องน้ำหรือไปที่ไหนก็ได้ ทว่าจินฮวานกลับยังยืนเคว้งอยู่ตรงทางเดินนั้นคนเดียว เขายืนอยู่คนเดียวท่ามกลางเสียงเพื่อนร่วมห้องที่พูดคุยกันอย่างสนุกสนานราวกับเป็นคนที่ไม่มีเพื่อน

ถึงจะยังเรียกว่าเพื่อนไม่ได้ แต่ฮันจุนก็เลือกที่จะพูดชื่อของจินฮวานออกมา

“อื้อ เด็กที่นั่งข้างๆ เมื่อกี้ไง ที่ชื่อจินฮวานอะ นายรู้จักไหม”

ยูแจขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ก่อนที่อินกยูจะฉวยโอกาสตอบแทนราวกับกำลังรอจังหวะพูดแทรกอยู่พอดี

“รู้จักดิ ตอนแรกก็อยู่ห้องเดียวกับพวกเรา แต่เพิ่งได้สอบเลื่อนห้องขึ้นมาอยู่กับนายรอบนี้เนี่ยแหละ ตอนปีสองเกรดหมอนั่นก็งั้นๆ แต่เห็นว่าผลสอบรอบนี้คะแนนดีไม่ใช่เล่นๆ เลยล่ะ หมอนั่นมันมีเคล็ดลับอะไรกันนะ หรือไปทำอะไรมาตอนปิดเทอมฤดูหนาวกัน แต่เท่าที่รู้มาก็เหมือนว่าจะเรียนพิเศษที่นี่แค่ที่เดียวนะ”

“ไว้คราวหน้าฉันจะไปหานายที่ห้องก็แล้วกันนะ ไหนๆ พวกนายก็อยู่ห้องนั้นกันหลายคน”

ฮันจุนตัดบทอินกยู ก่อนที่ยูแจจะเอ่ยปากปราม

“ฉันว่านายอยู่ห้องนี้แหละดีแล้ว ห้องฉันมันเสียงดังวุ่นวาย”

“งั้นทีหลังก็ไปยืนคุยกันที่ทางเดิน”

“ทำไมอะ”

“ก็เพราะนายไม่ใช่หรือไง จินฮวานเลยต้องหนีออกไปยืนข้างนอกนั่นอะ นายนี่มันจริงๆ เลย”

หัวคิ้วของยูแจที่กำลังยิ้มอยู่พลันยู่เข้าหากัน ยูแจชะเง้อมองออกไปยังด้านนอกแล้วแค่นหัวเราะออกมาทันทีเมื่อมองเห็นจินฮวาน

“ก็เพราะฉันไม่ใช่หรือไง พวกเราถึงได้ดูอะไรสนุกๆ น่ะ”

ฮันจุนมองไปที่จินฮวานซึ่งกำลังพูดคุยและหัวเราะอย่างสดใสอยู่กับใครบางคนตรงทางเดิน เขารู้สึกคุ้นตากับกระโปรงนักเรียนของผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าจินฮวาน เธอคนนั้นคือแชยอง

อินกยูที่รู้สึกหมดสนุกกับบทสนทนาของคนทั้งสองจึงพลิกหน้าสมุดคำศัพท์ไปมาก่อนจะเดินกลับห้องตัวเองไป เมื่อคนพูดมากอย่างอินกยูเดินจากไป ฮันจุนก็เตะเข้าที่หัวเข่าของยูแจแล้วถามเสียงต่ำ

“ที่ว่าดูอะไรสนุกๆ นี่คือ?”

“หมอนั่นชอบแชยอง”

ตอนแรกฮันจุนนึกว่าตัวเองหูฝาดไป เพราะสีหน้าของยูแจนั้นเรียบนิ่งเสียเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ยูแจก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองคือคนที่แชยองชอบ แต่ยังมีหน้ามาพูดแบบนั้นได้หน้าตาเฉยอีก

ถ้าหากมีใจให้แชยองสักนิด ยูแจคงจะไม่มีทางพูดแบบนั้นออกมา ฮันจุนถอนหายใจเมื่อเขาเองก็เข้าใจความรู้สึกของทั้งสองฝ่าย แถมยังไปรู้ความลับของจินฮวานเข้าอีก

“หมอนั่นเป็นเด็กปีสามที่สุดยอดไปเลยเนอะ”

“ฮ่าๆ”

“ว่าแต่…สิ่งที่อินกยูพูดเมื่อกี้น่ะ หมอนั่นคงได้ยินหมดแล้วสินะ”

จู่ๆ คำพูดของอินกยูที่โพล่งออกมาโดยไม่ระมัดระวังก็แวบเข้ามาในหัว ‘นายเองก็เลิกเล่นตัวได้แล้ว คบๆ ไปเหอะน่า ยัยนั่นก็สวยดีไม่ใช่หรือไง’ ไม่มีทางเลยที่จินฮวานผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรกจะไม่ได้ยิน

ยูแจเลิกคิ้วพลางถามกลับไป

“ถ้าหมอนั่นได้ยินแล้วยังไง”

“แล้วการได้ยินว่าคนที่ชอบดันไปชอบคนอื่นนี่มันเป็นเรื่องที่น่าฟังมากนักหรือไงล่ะ”

ในเมื่อถามมาตรงๆ เขาก็ตอบกลับไปอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน ทว่ายูแจกลับยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะโน้มตัวลงมาหาฮันจุนแล้วพูดขึ้น

“หมอนั่นคงไม่ได้คาดหวังอะไรจากแชยองอยู่แล้วแหละน่า แถมคงไม่ได้คิดที่จะเดินหน้าจีบหรือต้องการอะไรจากแชยองอยู่แล้วด้วย”

ฮันจุนขมวดคิ้วมุ่น ไม่มีความจำเป็นอะไรเลยที่เขาจะต้องมารับรู้เรื่องราวของคนที่เพิ่งได้เจอกันวันนี้เป็นวันแรกอย่างจินฮวาน วันนี้เป็นวันแรกที่มาเรียนพิเศษซึ่งเขาตั้งตารอคอยมานาน อีกทั้งในฐานะที่อยู่มัธยมปลายปีสาม เวลาที่มีอยู่ก็แทบจะไม่เพียงพออยู่แล้วสำหรับการอ่านหนังสือเตรียมสอบซูนึง* ที่กำลังใกล้เข้ามา เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่อยากใส่ใจกับเรื่องไร้สาระในสถาบันสอนพิเศษที่อุตส่าห์หาเงินมาเรียนอย่างยากลำบาก

ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เขากลับรู้สึกว่าสถานะของพัคจินฮวานที่บอกว่าไม่ได้ต้องการอะไรและไม่คิดที่จะทำอะไรด้วยนั้น มันแทบไม่ต่างอะไรจากตัวเขาในตอนนี้เลยสักนิด

“อีกอย่างนะ แชยองเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าหมอนั่นชอบ”

ยูแจยังคงพูดต่ออย่างไม่ใส่ใจเท่าไรนัก

“ทั้งที่ไม่ได้คิดอะไรเลยและก็รู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว แต่ทุกครั้งที่เจอกันแชยองก็ยังจะชวนหมอนั่นคุยด้วยตลอด เพราะแชยองเองคงจะรู้อยู่แล้วนั่นแหละว่าหมอนั่นไม่มีวันกล้ามาสารภาพรักด้วยหรอก”

“…”

“เธอคงแค่รู้สึกดีที่มีคนมาชอบน่ะ”

ฮันจุนนึกถึงจินฮวานตอนที่ยืนคุยอยู่กับแชยองตรงทางเดิน หน้าตาของเขานั้นช่างสดใส ทั้งที่ปกติแล้วเจ้าตัวจะนั่งห่อไหล่ ไม่พูดไม่จากับใคร เว้นเสียแต่จะมีใครเข้ามาชวนคุยก่อน

หลังจากนั้นเขาก็นึกถึงแชยอง ใบหน้าของเธอยามหัวเราะหรือแย้มยิ้มอย่างเอียงอาย ทั้งที่เธอไม่ได้มีใจให้จินฮวานเลยสักนิดยังคงชัดเจนอยู่ในหัว

ฮันจุนมองไปที่ยูแจซึ่งกำลังยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรอยู่ตรงหน้าเขา

“เฮ้ อะไรกันเนี่ย ซอฮันจุน นายเองก็มาเรียนที่นี่ด้วยเหรอ”

ในตอนนั้นเองใบหน้าของคนที่เขากำลังนึกถึงอยู่ในหัวเมื่อสักครู่ก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า ฮันจุนหันไปมองแชยองที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนเขาเผลอตกใจ ก่อนที่เขาจะได้สติแล้วรีบคลี่ยิ้มตอบกลับไป

“อื้อ ว่าจะลองเรียนสักสามเดือนน่ะ ถือว่าเป็นการติวครั้งสุดท้ายไปในตัวด้วย จะว่าไปเธอเองก็รู้จักคนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย”

“แหงสิ ก็ที่นี่มันสวรรค์ของเด็กโรงเรียนซึลกีนี่นา เด็กโรงเรียนเรามาเรียนที่นี่กันทั้งนั้นแหละ อีกอย่างที่นี่ก็มีห้องอ่านหนังสือส่วนตัวด้วย ดีจะตายไป”

“มีห้องอ่านหนังสือส่วนตัวด้วยเหรอ”

“อื้อ ฉันมาอ่านหนังสือที่นี่ทุกเสาร์อาทิตย์เลยนะ พวกนายเองก็มาติวด้วยกันสิ”

คำว่า ‘พวกนาย’ น่าจะหมายถึงโชยูแจคนเดียวเสียมากกว่า เหมือนจะเป็นการบอกให้เขาลากยูแจมาติวหนังสือด้วยกันอย่างไรอย่างนั้น

ฮันจุนหันไปมองยูแจตามสายตาของแชยอง ทว่าทันทีที่สายตาของเขาทั้งสองสบกัน ยูแจก็ยกยิ้มขึ้นก่อนจะเอ่ยปากพูด

“ยังไงตอนนี้นายก็มาเรียนที่นี่แล้ว เพราะงั้นช่วงเสาร์อาทิตย์…เรามาติวที่ห้องอ่านหนังสือส่วนตัวด้วยกันนะ”

ห้องอ่านหนังสือส่วนตัวของสถาบันสอนพิเศษ?…

ตลอดช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาโชยูแจเลือกที่จะทิ้งห้องอ่านหนังสือในสถาบันสอนพิเศษที่มีทั้งฮีตเตอร์และแอร์เย็นฉ่ำแบบนั้นมาติวหนังสือที่ห้องของเขาทุกเสาร์อาทิตย์ พวกเขาอ่านหนังสือด้วยกันทั้งวันตั้งแต่แม่ออกไปทำงานจนกระทั่งดึกดื่น นั่งอ่านหนังสือกันที่โต๊ะกินข้าวแคบๆ พอเมื่อยหลังก็มักจะเอาหมอนมาวางแล้วนอนคว่ำกับพื้นทำแบบฝึกหัด ข้อไหนที่ไม่รู้ก็รวมหัวช่วยกันแก้ วันไหนที่ร้อนจัดก็จะเสียเวลาไปกว่าครึ่งวันกับการผลัดกันอาบน้ำคนละสี่ห้ารอบ พอช่วงหน้าหนาวก็จะกางโต๊ะญี่ปุ่นนั่งติวกันบนเสื่อทำความร้อน และมื้อกลางวันของทุกเสาร์อาทิตย์ก็มักจะเป็นรามยอนอยู่เสมอ

ตลอดเวลาทั้งวันที่พวกเขาตัวติดกัน โชยูแจกลับไม่เคยปริปากพูดเกี่ยวกับห้องอ่านหนังสือของสถาบันสอนพิเศษที่ตัวเองจะสามารถใช้ส่วนตัวอย่างไรก็ได้ให้เขาฟังเลยสักครั้ง

“อือ เอาสิ”

ฮันจุนตอบกลับไปเสียงเรียบก่อนที่เสียงออดจะดังขึ้น ยูแจลุกขึ้นอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป เด็กนักเรียนที่เดินกันชุลมุนต่างก็เดินกลับเข้ามายังที่นั่งของตัวเอง จินฮวานที่ยืนนิ่งมองมาทางเขาก็กลับมานั่งที่เช่นกัน

 

แม้เวลาจะผ่านไปจนคลาสเรียนสุดท้ายเริ่มขึ้นแล้ว แต่เรื่องของยูแจกับห้องอ่านหนังสือส่วนตัวยังคงติดอยู่ในหัว พอมีเวลาเหลือหลังจากแก้โจทย์เสร็จ เขาก็จะนึกถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ร่วมกันกับอีกฝ่ายในช่วงปิดเทอมภาคฤดูหนาวที่ผ่านมา

ทั้งที่หมอนั่นเป็นคนขี้หนาวมากแท้ๆ แต่กลับดึงดันจนถึงขั้นใส่ถุงเท้านอนมานั่งติวหนังสือกับเขา เขายังจำถุงเท้านอนสองคู่ที่ยูแจซื้อมาจากตลาดเพราะเจ้าตัวบอกว่ารู้สึกหนาวจนเท้าชาได้ดีแม้กระทั่งสีของมัน ยูแจมักจะมานั่งติวกับเขาที่โต๊ะกินข้าวโดยหันหน้าเข้าหากันและสวมถุงเท้าลายทางสีน้ำตาลอ่อนสลับขาว อีกฝ่ายชอบแหย่เท้าเข้ามาบดเบียดกับเท้าของเขาโดยอ้างว่ามันช่วยทำให้อุ่นขึ้น ซึ่งก็ทำให้ร่างกายเขารู้สึกอุ่นขึ้นจนลืมความหนาวไปเสียสนิท

ฤดูร้อนและหนาวที่เขาได้ใช้เวลาร่วมกับยูแจช่วงปิดเทอมนั้น เต็มไปด้วยความร้อนชื้นอันแสนอบอ้าวและละอองฝุ่นที่ปะปนมากับสายลมหนาว

ฮันจุนหวนคิดถึงเรื่องในอดีตก่อนจะสูดอากาศอันสดชื่นในห้องเรียนเข้าไปเต็มปอด

 

หลังจากคลาสเรียนจบลง ฮันจุนนั่งเล่นมือถือรอยูแจที่บอกกับเขาว่าขอตัวไปคุยกับแชยองสักครู่หนึ่ง ในขณะที่เขากำลังนั่งเขี่ยหน้าต่างข้อความที่ยังคงไร้วี่แววของใครอีกคน เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาของใครบางคนที่มองมา ใครคนนั้นคือพัคจินฮวานที่กำลังเก็บกระเป๋าอย่างเชื่องช้าอยู่ข้างๆ

จินฮวานสะดุ้งโหยงเมื่อฮันจุนหันหน้าไปมอง

“นายมีอะไรอยากจะพูดหรือเปล่า” ฮันจุนเอ่ยถามเสียงนุ่ม

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”

“พูดมาเถอะน่า”

จินฮวานลอบกลืนน้ำลายลงคอ แก้มของเขาขึ้นสีแดงชัด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกำลังวุ่นวายใจอยู่หรืออย่างไร คนตัวเล็กรูดซิปกระเป๋าเปิดปิดไปมาอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะยอมเปิดปากพูดในที่สุด

“นายเป็นเพื่อนกับแชยองใช่ไหม”

หยุดคิดอยู่ตั้งนาน นึกว่าจะพูดเรื่องอะไร

มัธยมปลายปีสามช่างเป็นช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายเสียจริง หนังสือที่ต้องอ่านก็เยอะเท่ากองภูเขา ไหนจะเรื่องหัวใจอันว้าวุ่นของวัยรุ่นที่กำลังเบ่งบานซึ่งยากจะจัดการนั่นอีก

“อื้อ”

“แชยองชอบโชยูแจจริงๆ ใช่ไหม”

ฮันจุนนึกแปลกใจไม่น้อยกับคำถามต่อมา ดูจากนิสัยเงียบๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาแล้ว เขาคิดว่าจินฮวานไม่น่าใช่คนประเภทที่จะกล้าถามอะไรออกมาอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ฮันจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไป

“ไม่รู้สิ ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

“ขอโทษทีนะ เราคงถามมากไป”

ฮันจุนคลี่ยิ้มตอบ ทว่าก็ไม่ได้พูดตอบกลับไปว่าไม่เป็นไร เขาหวังว่าการเงียบนั้นพอจะเป็นคำตอบได้ว่าเขารู้สึกไม่โอเค แล้วหุบยิ้มลงอย่างช้าๆ จินฮวานหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นแล้ววิ่งออกจากห้องไป

 

หมอนี่จะรู้ตัวหรือเปล่านะว่าวันนี้มีแต่คนพูดถึง

ฮันจุนเดินไปตามตรอกที่มืดสลัวพลางนึกสงสัยในคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเลยสักนิด ในขณะที่โชยูแจที่เดินอยู่เคียงข้างเขานั้นกลับเงียบสนิทไม่สมกับนิสัยของเจ้าตัว

หมอนี่ไปคุยอะไรกับยุนแชยองมากันนะ

ฮันจุนรู้สึกไม่ชอบใจกับคำถามที่ลอยขึ้นมาในหัวตลอดเวลา เขาจึงหาเรื่องอื่นมาพูดคุยแทน

“ที่โรงเรียนสอนพิเศษก็มีห้องอ่านหนังสือ นายไปติวหนังสือที่นั่นก็ได้นี่ ทำไมที่ผ่านมาถึงได้มาติวที่ห้องฉันล่ะ”

“ก็ฉันอยากติวกับนายนี่”

“…”

“ทีนี้เราก็ไปติวหนังสือที่ห้องอ่านหนังสือด้วยกันได้แล้ว พอดีเลย อากาศช่วงนี้ก็เริ่มร้อนขึ้นแล้วด้วย”

บทสนทนาดำเนินไปอย่างราบรื่น ชีวิตประจำวันของเขาก็ไม่ได้มีอะไรต่างไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย นอกจากการที่เขาได้มาเรียนพิเศษเป็นครั้งแรกในชีวิต ยูแจเองก็ยังเป็นยูแจคนเดิม ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่ที่รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น

สิ่งที่เปลี่ยนไปคงมีเพียงแค่หัวใจของเขา…

ฮันจุนที่กำลังเดินอยู่ย่นจมูกเมื่อคิดได้ดังนั้น ยูแจที่เดินอยู่เคียงข้างกันเริ่มขยับเข้ามาใกล้ เสื้อนักเรียนที่ยูแจเคยใส่ได้พอดีไหล่ตอนปีหนึ่ง ตอนนี้กลับฟิตจนแน่นเพราะไหล่ของเขาที่กว้างขึ้น

ฮันจุนลองลูบไหล่ของตัวเองที่กำลังสะพายกระเป๋าเอาไว้ เขาสองคนไปซื้อเสื้อพร้อมกันเพราะได้เข้าเรียนมัธยมปลายที่เดียวกัน ทว่าเสื้อนักเรียนของเขาที่เคยหลวมโพรกในวันนั้น ตอนนี้กลับฟิตพอดีกับช่วงไหล่ไม่ต่างจากอีกฝ่ายเลย

พอคิดได้อย่างนั้นเขาก็พลันเริ่มรู้สึกอึดอัดกับเสื้อที่เพิ่งรู้สึกตัวว่ามันเล็กลงทันที ทว่าความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้เขาอึดอัดใจน่าจะเป็นสิ่งที่เขาได้ยินเมื่อครู่ต่างหาก

“แชยองชวนฉันไปดูหนัง”

ยูแจพูดพึมพำขึ้นมา ฮันจุนจึงหันมามอง ทั้งที่ยูแจควรจะต้องรู้สึกตื่นเต้นที่มีผู้หญิงชวนไปดูหนัง แต่เขากลับมีสีหน้าเรียบเฉย

“งั้นเหรอ”

“อื้อ แต่เธอชวนฉันไปดูที่บ้านวันอาทิตย์น่ะ เห็นบอกว่าพ่อแม่ไม่อยู่วันนั้น”

ยูแจพูดก่อนจะแสร้งหัวเราะออกมา ต่อให้แชยองจะแสดงท่าทีว่าชอบออกมาอย่างเปิดเผยมากแค่ไหน แต่ยูแจกลับไม่เคยแสดงท่าทีอะไรตอบกลับไปเลย

“แล้ว…นายตอบไปว่าไง” ฮันจุนถามขึ้นเสียงเรียบ

“ก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้วสิ นายคิดว่าคนที่ตรงไปตรงมาอย่างแชยองจะมาชวนฉันไปดูหนังที่บ้านตัวเองแบบสองต่อสองเพื่ออะไรกันล่ะ ใจกล้าชะมัด”

ฮันจุนปิดปากเงียบสนิทด้วยความที่ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรกลับไปดี เขาไม่อยากไปตัดสินหรือยุยงส่งเสริมอะไรแชยองอยู่แล้ว ฮันจุนพาดแขนลงบนบ่าของยูแจพลางคิดว่าควรจะเปลี่ยนไปคุยกันเรื่องการสอบวัดระดับที่เหลือเวลาอีกไม่เท่าไรนี้จะดีกว่า

“นายคิดว่าแชยองอยากทำอะไรกับฉันกันแน่”

ยูแจถามขึ้น ดวงตาภายใต้เรียวคิ้วคมหนานั้นเป็นประกายวาววับ

ฮันจุนทำได้เพียงจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่าย พูดอะไรไม่ออก เพราะเขาเข้าใจความหมายของคำว่า ‘อยากทำ’ ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี มันจึงยากที่เขาจะพูดอะไรพล่อยๆ ออกไป เขาได้แต่อ้าปากพะงาบอยู่สักพักกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ

“นายไม่ลองถามไปก่อนล่ะว่าเธอชอบนายหรือเปล่า”

“ฉันดูออกมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วแหละว่าเธอชอบฉัน มาชวนฉันไปดูหนัง แถมไม่ได้ชวนไปดูในโรง แต่ดันชวนฉันไปดูถึงที่บ้านในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่ จะว่าไปแล้วก็รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ ดีเหมือนกันแฮะ”

“อย่าพูดอะไรที่มันดูโรคจิตจะได้ไหม ยังไงแชยองก็เพื่อนฉันนะ”

“ผมก็แค่สงสัยเฉยๆ ครับคุณพ่อ ผมยังไม่ได้พูดสักคำเลยว่าจะไปทำอะไรลูกพ่อ อีกอย่างผมเองก็ปฏิเสธข้อเสนอของลูกสาวพ่อไปแล้วนะครับ”

ยูแจแกล้งทำเป็นยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง ฮันจุนจึงได้แต่แค่นหัวเราะให้กับคำพูดล้อเล่นของอีกฝ่าย ทว่าเขากลับไม่ได้คิดว่ามันน่าตลกเลยสักนิด ฮันจุนยักไหล่ก่อนจะพูดต่อ

“ที่นายไม่เคยคบกับผู้หญิงคนไหนเลย คงไม่ใช่ว่านายไม่สนใจผู้หญิงหรอกนะ”

“บนโลกนี้มีผู้ชายคนไหนไม่สนใจผู้หญิงด้วยหรือไง นายเองก็เคยมีแฟนนี่”

“ตอนนั้นมันเรียกว่าคบได้ด้วยเหรอ แค่คุยแชตกันเนี่ยนะ”

“แล้วเด็ก ม.ต้น มันทำอะไรได้มากกว่านั้นหรือไง”

ฮันจุนส่งหมัดไปทุบอีกฝ่ายดังพลั่ก ยูแจกุมต้นแขนข้างที่โดนทุบ ก่อนจะก้าวขาวิ่งหนีและระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่น แม้ว่าฮันจุนจะต้องเหนื่อยกับการวิ่งไล่จับอีกฝ่าย ทว่าเท้าของเขานั้นกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่ายๆ เลย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะระหว่างพวกเขาสองคนไม่เคยพูดคุยเรื่องเพศกันอย่างที่เพื่อนผู้ชายคนอื่นมักจะพูดกัน ทั้งๆ ที่พวกเขาต่างก็สนิทกันมากหรือเปล่า เขาถึงได้รู้สึกอึดอัดกับคำพูดล้อเล่นแบบนั้นที่ยูแจชอบพูดเล่นในช่วงนี้ ถึงแม้ว่ายูแจจะไม่ได้พูดเรื่องลามกแบบนี้กับแชยองที่กำลังแอบชอบตนอยู่ฝ่ายเดียว แต่ฮันจุนก็อดสงสัยไม่ได้ว่ายูแจจะเอาเรื่องแบบนี้ไปพูดกับเพื่อนคนอื่นๆ บ้างหรือเปล่า

แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่วัยอย่างเขาจะเริ่มสนใจเรื่องเพศ เพราะเขาเองเริ่มจินตนาการถึงสิ่งที่เขาไม่อาจเปิดเผยมันกับใครได้เช่นกัน

ฮันจุนไล่ตามยูแจจนทันก่อนจะคว้าหมับเข้าที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย เขากระชากร่างสูงใหญ่เข้าหาตัวอย่างแรง แผ่นหลังของยูแจโถมกระแทกเข้ามาชนกับหน้าอกของเขา ก่อนที่อีกฝ่ายจะผละตัวออกไป ร่างกายที่สัมผัสกันเพียงชั่วครู่พลันรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาทั้งๆ ที่ช่วงนี้เพิ่งจะเข้าหน้าร้อน ฮันจุนฉวยโอกาสในตอนที่สติของเขาหลุดไปเพราะความร้อนนั้นพูดในสิ่งที่ลอยอยู่ในหัวออกไปตามความต้องการเบื้องลึกของตัวเอง

“นายเกิดสนใจเรื่องอย่างว่าขึ้นมาเพราะแชยองชวนไปบ้านงั้นสินะ?”

ยูแจชะงักนิ่งไปพลางจ้องมองมาที่ฮันจุน เขาทำเป็นกลอกตาไปมาราวกับว่ากำลังครุ่นคิดหาคำตอบ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

“นั่นน่ะสิ หรือว่าจริงๆ แล้วฉันอาจจะชอบผู้หญิงสายรุก”

สายตาของทั้งคู่สอดประสานกัน ก่อนที่ฮันจุนจะเคลื่อนสายตาไปยังมือที่จับท้ายทอยของยูแจเอาไว้แน่น

“อย่างนั้นสินะ”

ฮันจุนพูดออกมาด้วยเสียงแผ่วเบา แล้วละมือออกจากท้ายทอยนั้น ในขณะที่ยูแจเองก็เริ่มฮัมเพลงมั่วซั่วไปเรื่อย

ทั้งสองเดินไปตามท้องถนนที่เงียบสงัด ยูแจจัดปกคอเสื้อที่ยับยู่ยี่ โดยที่เขาไม่อาจรับรู้ถึงความรู้สึกของใครอีกคนเลย

 

ความรักครั้งแรกของฮันจุนเกิดขึ้นในช่วงมัธยมต้นปีสอง ซึ่งเป็นช่วงที่เขาเริ่มสนิทกับยูแจและมาเล่นด้วยกันทุกวัน ตอนนั้นหลังจากที่พวกเขาบังเอิญเจอและพูดคุยกันที่สนามเด็กเล่น พวกเขาก็มักจะนัดเจอกันที่นั่นตอนสามทุ่มและนั่งคุยกันทุกคืน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาคุยกันถูกคอหรืออย่างไร แม้เรื่องที่พูดคุยกันนั้นจะไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่เขากลับรู้สึกมีความสุขที่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับอีกฝ่าย ไม่รู้ว่ายูแจจะรู้สึกเหมือนกันกับเขาไหม แต่ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันนั้น ดวงตาของพวกเขามักจะสบกันหลายครั้ง ทั้งที่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้นัดกันมาก่อน

พวกเขานั่งพิงหลังกันและพูดคุยกันไปเรื่อยอย่างอาหารกลางวันของวันนี้รสชาติห่วยแตกขนาดไหน วันนี้ในห้องเรียนเกิดอะไรขึ้นบ้างและอาจารย์จัดการกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่ยุติธรรมแค่ไหน บ่นเรื่องชุดนักเรียนที่สกปรกมอมแมม รวมไปถึงเปิดอกพูดเรื่องราวที่อัดอั้นในใจ ซึ่งพอได้ลองมองย้อนกลับไป แม้จะดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ทว่ามันก็มีหลายเรื่องที่พวกเขาในวัยนั้นต่างก็รู้สึกว่ามันช่างหนักหนาเกินกว่าจะรับมือไหว

ยกตัวอย่างเช่นครั้งหนึ่งฮันจุนเคยอยากไปตู้คาราโอเกะหยอดเหรียญกับเพื่อนๆ จนไม่ว่าใครก็ดูออก แม้ว่าจะมีอยู่บ้างครั้งสองครั้งที่เพื่อนช่วยออกเงินให้ แต่หลังจากนั้นฮันจุนก็ปฏิเสธคำชวนตลอดเพราะไม่อยากรบกวนเงินของเพื่อน ประจวบกับช่วงนั้นเป็นช่วงสอบกลางภาคเสร็จพอดี เขาจึงอยากจะออกไปสังสรรค์กับพวกเพื่อนๆ เป็นการให้รางวัลตัวเองหลังสอบเสร็จเช่นกัน

ฮันจุนไม่กล้าพูดเรื่องคาราโอเกะกับแม่ เขาจึงลองพูดอ้อมๆ เกี่ยวกับเรื่องเงินค่าขนมแทน เป็นต้นว่าถ้าแม่ให้เงินค่าขนมเขาทุกเดือน จะมากหรือน้อยแค่ไหนก็ไม่เป็นไร เขาสัญญาเลยว่าจะใช้มันอย่างคุ้มค่าและไม่ฟุ่มเฟือย

ทว่าแม่กลับบ่นเขาอุบแทนคำปฏิเสธทันที และนั่นก็คือวิธีการเลี้ยงลูกของแม่เขา ไม่ว่าเมื่อไหร่แม่เขาก็มักจะหาเหตุผลมาอธิบายและสาธยายเรื่องสภาพการเงินกับเขาเสมอ โดยที่บางครั้งมันก็ละเอียดเกินไป

เธอเปิดบัญชีรายรับรายจ่ายภายในบ้านที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีดำให้เขาดู ในสมุดโน้ตนั้นมีบันทึกค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด ตั้งแต่ค่าอาหารไปจนถึงค่าบริการขนส่งสาธารณะ และค่าใช้จ่ายล่าสุดที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีแดงก็คือค่าซ่อมกระจกที่เพิ่งแตกไปเมื่อไม่นานมานี้ (หลักแสนวอน) โดยแม่ได้บอกกับเขาว่าที่เขียนด้วยปากกาสีแดงนั้นหมายถึง ‘ค่าใช้จ่ายที่เกินงบ’

“ถึงวันนี้แม่จะออกไปยืนขายเครื่องเคียงที่ตลาดมาทั้งวัน แต่แม่ก็ยังต้องจดตัวเลขในบัญชีด้วยปากกาสีแดงอยู่ดี แม่ไม่ได้พูดเพราะรู้สึกเสียดายที่จะให้เงินลูกใช้หรอกนะ เพราะลูกเองก็รู้อยู่ว่าเงินมันมีค่าแค่ไหน”

เธอหยิบธนบัตรเก่าๆ สามใบยื่นมาให้เขา ก่อนจะจดมันลงบนบัญชีด้วยปากกาสีแดงต่อหน้าฮันจุนที่ยืนมองอยู่

 

‘-3,000’

 

สุดท้ายแล้วฮันจุนก็ไม่ได้ไปร้องคาราโอเกะ และหลังจากนั้นเป็นต้นมาฮันจุนก็ไม่เคยปริปากพูดเรื่องเงินค่าขนมกับแม่อีกเลย และเขาก็เก็บเงินสามพันวอนที่ไม่เคยได้หยิบออกมาใช้นั้นไว้ในช่องกระเป๋าด้านหน้าของกระเป๋าเป้

จนเขานึกถึงมันได้อีกครั้งก็ตอนที่ได้มานั่งม้ากระดกดูดาวกับยูแจเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ ดวงดาวนั้นมีพลังเวทมนตร์ลึกลับบางอย่าง เช่นเดียวกันกับโชยูแจที่ยืนอยู่ภายใต้ดาวเหล่านั้น ฮันจุนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่เขากลับรู้สึกราวกับสามารถเปิดใจแบ่งปันทุกเรื่องราวในชีวิตกับอีกฝ่ายได้ พวกเขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ต่างก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในย่านคอนโดมิเนียมหรูแถบนี้ และต่างก็เป็นแค่คนที่มีฐานะต่ำเตี้ยไม่ต่างกัน ไม่ว่าฮันจุนจะพูดอะไรออกไป ยูแจก็มักจะเข้าใจหัวอกและความรู้สึกของเขาเสมอ

วันนั้นฮันจุนหยิบเงินสามพันวอนในช่องกระเป๋าออกมาให้ยูแจดู

“อะไรของนาย”

“เงินที่แม่ฉันให้มาน่ะ”

“เอามาอวด?”

ยูแจทิ้งตัวลงนั่งบนม้ากระดก จากนั้นก็โยกมันขึ้นลง ดวงตาวาวระยิบระยับทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความซุกซน ฮันจุนหัวเราะพลางส่ายศีรษะให้กับท่าทางนั้นของยูแจ

“ฉันขอแม่มาเพราะอยากไปร้องคาราโอเกะน่ะ”

“จะมาชวนฉันไปตอนนี้อะนะ?”

“ไม่ใช่ ฟังให้จบก่อนสิ”

“ครับผม”

ยูแจแกล้งยกมือขึ้นรูดซิปปากตัวเอง พอเห็นรอยยิ้มกับการกระทำที่ดูน่ารักนั้น หัวใจของฮันจุนก็พลันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา แม้อีกฝ่ายจะคอยรับฟังเรื่องหนักใจของเขาได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถเปิดใจพูดเรื่องพวกนั้นออกมาได้อย่างง่ายดาย

“ถึงแม่จะให้เงินฉันมา แต่พอเห็นแม่จดในสมุดบัญชีว่านี่เป็นค่าใช้จ่ายที่เกินงบ ฉันกลับใช้มันไม่ลง”

“…”

“ฉันแค่อยากระบายน่ะ”

เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะมันเป็นเพียงคำพูดไม่กี่คำที่เขาแค่อยากจะระบายให้ใครสักคนได้รับฟัง ทว่าพอได้พูดมันออกไป เขากลับรู้สึกผิดขึ้นมาแปลกๆ ฮันจุนทิ้งตัวนั่งลงบนม้ากระดกอย่างคนหมดแรง ตัวของยูแจที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจึงลอยขึ้นสูงพร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดของม้ากระดก ยูแจหัวเราะก่อนจะถามขึ้น

“นายไม่อยากรีบเข้ามหา’ลัยไวๆ เหรอ”

“มหา’ลัย?”

“อื้อ จะได้เป็นอิสระไวๆ ไง ฉันน่ะอยากเข้ามหา’ลัยดีๆ แล้วก็ทำงานพาร์ตไทม์ไปด้วย พอจบมาก็จะได้ทำงานในบริษัทใหญ่ๆ”

“แบบนั้นมันก็ดีแล้วนี่”

“การล้างสมองนี่มันน่ากลัวชะมัด ฉันเคยเกลียดเวลาที่พ่อสั่งให้ฉันทำงานในบริษัทใหญ่จะได้หาเงินได้เยอะๆ ไม่นึกเลยว่าสิ่งที่พ่อเคยพูดนั่นมันจะกลายเป็นความฝันของฉันจริงๆ”

ฮันจุนอดหัวเราะไม่ได้กับคำบ่นที่ยูแจพร่ำพูดออกมาไม่หยุด ถึงมันจะฟังดูเหมือนเป็นการโอดครวญ แต่เขาก็รู้สึกสบายใจที่สัมผัสได้ว่ายูแจไม่ได้รู้สึกแย่กับตัวเองที่คิดแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่ความเครียดของเขาเริ่มผ่อนคลายลง ยูแจก็ลุกออกจากม้ากระดก ก่อนจะยื่นมือมาหาเขา ฮันจุนจับมือนั้นไว้แล้วลุกขึ้นยืน

คำพูดที่ว่าหากได้แบ่งปันเรื่องราวกับใครสักคน ความทุกข์ใจนั้นก็จะลดลงครึ่งหนึ่งนั้นดูท่าจะจริง มันอุ่นใจราวกับได้เจอกับเพื่อนแท้ หลังจากเดินออกมาจากสนามเด็กเล่น ในระหว่างที่กำลังเดินกลับห้องกันอยู่นั้น จู่ๆ ยูแจก็พูดขึ้น

“นี่ สามพันวอนนั่นมันพิเศษตรงไหนกัน”

“ฮ่าๆ”

“ถือเงินนั่นแต่กลับบอกว่าใช้ไม่ลงเนี่ยนะ มานี่เลยมา”

ฮันจุนเดินตามแรงดึงของยูแจไปตามทางที่มีแสงไฟส่องสว่าง จนเขาทั้งสองมาหยุดอยู่ตรงหน้าร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง

“ถ้าจะเอาเงินมาใช้ที่นี่ สู้ฉันไปร้านคาราโอเกะยังจะดีซะกว่าอีก ให้ตายสิ”

“ไม่เอาน่า อย่าไปใช้เงินกับสิ่งที่เคยอยากทำในอดีตสิ อยากใช้อะไรก็ใช้ตามใจอยากไปเลย”

“ตามใจอยาก?”

“ติดลบสามพันวอนแล้วไง ช่างแม่งมันดิ”

ยูแจยกยิ้มมุมปากข้างหนึ่งแลดูร้ายกาจ ลมหายใจของฮันจุนพลันสะดุดไปชั่วครู่หนึ่ง เพราะนี่เป็นครั้งที่เขาได้รู้ว่ายูแจไม่ได้ยิ้มแค่เวลาที่มีความสุขเท่านั้น

ยูแจล้วงกระเป๋าก่อนจะหยิบเหรียญออกมา

“ฉันมีอยู่พัน…กับอีกห้าร้อยวอน ทีนี้เราก็มีเงินให้ใช้สี่พันห้าร้อยวอนละ”

“…”

“เอาไง ถ้านายใช้ตอนนี้ก็ได้กำไรอีกพันห้าร้อยวอนเลยนะ”

ฮันจุนก้มลงมองเงินที่อยู่ในมือก่อนจะยิ้มออกมา พวกเขาเดินเลือกซื้อเครื่องดื่มกับขนมด้วยกัน ถึงช่วงเวลานั้นจะผ่านมานานแล้ว แต่เขายังไม่อาจลืมความรู้สึกของเขาในวินาทีที่วางมันฝรั่งทอดกับน้ำอัดลมยี่ห้อเวลช์ลงบนเคาน์เตอร์แคชเชียร์ได้เลย

พวกเขาแบ่งน้ำและขนมกินกันระหว่างทางกลับ และเมื่อกลับมาถึงห้อง เขาก็รู้สึกว่ากระเป๋าของเขามันเบาลงไปเยอะ เช่นเดียวกันกับหัวใจของเขา

 

* ไม่อิ่มเพราะกินข้าวแค่ช้อนเดียว เป็นสำนวน หมายถึงควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะไม่มีอะไรสำเร็จได้ภายในครั้งเดียว

* การศึกษาแบบสปาร์ตา หมายถึงการศึกษาที่มีการควบคุมและการสอนอย่างเข้มงวด เช่น โรงเรียนหรือสถาบันกวดวิชาที่ให้การบ้านเป็นจำนวนมาก หรือถ้าหากผลการสอบออกมาไม่ดีก็จะต้องสอบใหม่ และรักษาคะแนนเอาไว้ให้คงที่

* การสอบซูนึง เป็นการสอบวัดระดับความรู้ความสามารถทางการศึกษาเพื่อใช้สำหรับการเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาของประเทศเกาหลี

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: