X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 516-518

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 516 อาจด้วยประสงค์แห่งฟ้า

เฉินอิ๋งนึกสงสัย “คำพูดนี้หมายความเช่นไร”

เผยซู่ก้มหน้าลงช้าๆ สายตาจับจ้องอยู่บนร่างของเฉียนเทียนเจี้ยง น้ำเสียงกลับกลายเป็นเคร่งขรึม “เฉียนเทียนเจี้ยงบังเอิญตายไปเช่นนี้ เบาะแสสุดท้ายของข้าย่อมเท่ากับขาดหาย ด้วยเหตุนี้ข้าจึงรู้สึกเป็นทุกข์ แต่หากพิจารณาในอีกมุมหนึ่ง ในเมื่อเขาตายไปเพราะอุบัติเหตุ นั่นก็หมายความว่าในจวนของข้าสะอาดสะอ้าน ไม่มีคนร้ายปลอมปนเข้ามา เมื่อคิดเช่นนี้ข้าย่อมรู้สึกยินดี”

เฉินอิ๋งเข้าใจความรู้สึกของเขาได้ดี ทว่าบทสรุปเช่นนี้ สำหรับในยามนี้ยังนับว่าเร็วเกินไป

“งานชันสูตรศพเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสืบคดีเท่านั้น หาใช่ทั้งหมดไม่” เฉินอิ๋งวางผ้าปิดปากลง หยิบเอาแท่งถ่านกับกระดาษออกมาจดบันทึกผลการชันสูตรพลางกล่าวว่า “ไว้ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ซักถามพยาน เทียบคำให้การทั้งหมดเรียบร้อยก่อน พวกเราถึงจะพอเข้าใจภาพเหตุการณ์โดยรวมของคดี สามารถสรุปข้อสันนิษฐานเบื้องต้นได้”

พอพูดถึงตรงนี้นางก็ยกเท้าเดินไปอีกด้าน ชี้ห่อผ้าที่วางอยู่ข้างไม้กระดานรองศพพร้อมถาม “ในนี้คือเสื้อผ้าของผู้ตาย?”

ห่อผ้านั่นก่อนหน้านี้ถูกผ้าคลุมศพปิดทับไว้ นางเพิ่งสังเกตเห็นตอนชันสูตรศพ

เผยซู่ตะลึงไปชั่วขณะ เขารีบพยักหน้ากล่าว “ใช่ นี่คือเสื้อผ้าที่เหล่าเฉียนสวมใส่ตอนตาย ข้าเก็บรวบรวมมันด้วยมือของข้าเอง แม้แต่รองเท้าถุงเท้าก็ล้วนอยู่ด้านใน”

เขาเดินไปหยุดอยู่ข้างเฉินอิ๋ง ยื่นมือที่สวมถุงมือแบบเดียวกันกับนางออกมาปลดปมถุงผ้าออกด้วยท่าทีคล่องแคล่ว น้ำเสียงคล้ายรวดเร็วขึ้นหลายส่วน “ข้าเดาว่าข้าวของเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์กับเจ้า เลยเอามันมาวางไว้ข้างศพ ไม่ให้ผู้ใดแตะต้อง”

เพราะเขามักอยู่ข้างกายเฉินอิ๋งตอนสืบคดีอยู่บ่อยครั้ง จึงรู้ดีถึงความคุ้นชินของนาง สิ่งต่างๆ ที่เขาทำไปล้วนเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้นางก็เท่านั้น

ยามนี้เห็นได้ชัดว่าเขาเหมาะจะทำงานเป็นผู้ช่วยแล้วจริงๆ

เฉินอิ๋งมิได้พูดอันใด ทำเพียงเพ่งพินิจข้าวของในห่อผ้านั้น

เสื้อคลุมสีฟ้าเทา เสื้อตัวกลางสีขาว กางเกงสีครามเข้ม รองเท้าหุ้มข้อยาวสีดำกับถุงเท้าหนาๆ อีกคู่หนึ่ง นอกจากนี้บนตัวผู้ตายยังมีอาภรณ์ตัวในอีกชิ้น เมื่อครู่เฉินอิ๋งได้ตรวจสอบดูแล้ว ยามนี้จึงไม่เอามาพิจารณาร่วมด้วย

หลังจากนั้นเฉินอิ๋งก็ใช้ตะเกียบเหล็กคีบเสื้อคลุมตัวนั้นพลิกไปพลิกมาสองสามรอบ ก่อนจะเปลี่ยนไปที่เสื้อตัวกลางสีขาว ทันใดนั้นนางก็ร้อง “เอ๋?” ออกมาคำหนึ่ง

“มีอะไรกระนั้นหรือ” เผยซู่ตื่นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาเบิกกว้าง

เฉินอิ๋งใช้ตะเกียบเหล็กคีบเสื้อตัวกลางนั้นขึ้น ชี้ไปยังบริเวณคอปกกับช่วงเอว พูดเสียงแผ่วว่า “ท่านดู ด้านบนนี้เหมือนจะมีร่องรอยสีฟ้า เกิดจากสีย้อมบนเสื้อคลุมนั่นตกใส่ใช่หรือไม่”

เพราะเสื้อตัวกลางตัวนั้นเป็นสีขาว ทำให้คราบสีฟ้าสองสามจุดนั้นปรากฏชัด ยากเกินกว่าจะบอกว่ามองไม่เห็น

“ที่แท้ก็เรื่องนี้ ข้าก็คิดว่ามีอันใดผิดปกติเสียอีก” เผยซู่ยิ้มด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “เมื่อคืนฝนตก เสื้อผ้าเปียกน้ำสีย่อมตก”

ทักษะย้อมสีให้ติดทนของผู้คนในยุคโบราณไม่สู้ดีนัก เสื้อผ้าใหม่สีตกจัดเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ทว่าพอได้ยินเผยซู่กล่าวเช่นนั้น สีหน้าของเฉินอิ๋งก็กลับกลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

หัวคิ้วของนางขมวดเข้าหากันน้อยๆ แต่ถึงกระนั้นเฉินอิ๋งก็มิได้พูดอันใด ทำเพียงครุ่นคิดพิจารณาเสื้อตัวกลางนั้นไปมาอยู่เป็นนาน ไม่พูดไม่จาอันใด

“มีปัญหากระนั้นหรือ” เผยซู่อดถามออกมาไม่ได้ เขาสังเกตสีหน้าของนางโดยละเอียด ความหวังปรากฏขึ้นบนใบหน้ารางๆ

หากมีปัญหา นั่นก็แปลว่าคดีนี้ย่อมมิใช่อุบัติเหตุ เป็นไปได้ว่าอาจเป็นคดีฆาตกรรม ขอเพียงหาตัวคนร้ายรายนั้นพบ เบาะแสที่ขาดหายไปเส้นนี้ย่อมได้รับการเชื่อมต่อกลับมาอีกครั้ง

ลึกลงไปในใจของเผยซู่ เขาหวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ นี่แทบจะเป็นความหวังเดียวในการล้างแค้นให้บิดาและพี่ชายของเขา เขาไม่อยากยอมแพ้มันง่ายๆ

“ตอนนี้ยังพูดยาก คงต้องดูกันต่อไปก่อน” เฉินอิ๋งเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มตามปกติของนาง คำตอบยังคงไม่มีอันใดแน่ชัด

เผยซู่ส่งเสียง “อา” ออกมาคำหนึ่ง ขยับคอสองสามครา สุดท้ายก็ไม่ถามอะไรอีก

ช่างเถอะ เรื่องเค้นสมองพวกนี้หาใช่สิ่งที่เขาทำได้ไม่ แทนที่จะถามไม่จบไม่สิ้น มิสู้มอบหมายหน้าที่ทั้งหมดให้นาง นางว่าเช่นไรก็เช่นนั้น

ยามนี้เฉินอิ๋งหันไปที่รองเท้าถุงเท้า นางยังคงพลิกพิจารณามันอยู่เป็นนาน ก่อนจะจดบันทึกผลที่ได้ลงในสมุดบันทึก และเก็บตะเกียบเหล็กเข้าไปในถุงใส่เครื่องมือพลางกล่าว “งานที่นี่ยุติเพียงเท่านี้ก่อน พวกเราไปดูสถานที่เกิดเหตุกัน”

เผยซู่ย่อมไม่ปฏิเสธ เขาพานางก้าวเท้าออกจากห้องไป

จะว่าไปก็บังเอิญยิ่งนัก ทันทีที่พ้นออกจากประตู พวกเขาก็เจอหลางถิงอวี้เข้าพอดี

หลางถิงอวี้ศีรษะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ สองมือถือกระถางดอกไม้ขนาดใหญ่ กำลังก้าวผ่านประตูลานเรือนเข้ามา

เมื่อขยับเข้าไปดูใกล้ๆ เฉินอิ๋งก็พบว่าในลานยามนี้มีกระถางดอกไม้วางอยู่สิบกว่ากระถาง เต็มไปด้วยสีแดงสีเขียวสดใสงดงามกว่าเมื่อครู่มากนัก

หลางถิงอวี้ทำงานละเอียดรอบคอบ กระถางดอกไม้เหล่านี้ได้รับการจัดวางอย่างเหมาะเจาะเหมาะสม จากบันไดไปจนถึงประตูลาน ไม่ต่างอันใดกับทหารสองแถวที่กำลังยืนรอตรวจพลอยู่

เฉินอิ๋งอดยิ้มไม่ได้ นางเอ่ยปากชื่นชมออกมาประโยคหนึ่ง “ดอกไม้พวกนี้งดงามมีชีวิตชีวายิ่งนัก”

พอได้ยินเช่นนั้นใบหน้าหม่นหมองอึมครึมของเผยซู่ก็กลับกลายเป็นสว่างไสวขึ้นมาทันที

หลางถิงอวี้ถอนหายใจโล่งอก ทว่าสีหน้ากลับยังคงตกประหวั่น เขาวางกระถางดอกไม้ลงใต้ชายคาระเบียงอย่างระมัดระวัง

ไม่เสียทีที่เขาเข็นรถบรรทุกกระถางดอกไม้มา อย่างน้อยนายท่านโหวของพวกเขาก็มิได้เดือดดาล

เพราะยังมีธุระต้องจัดการ เฉินอิ๋งจึงไม่มีเวลาชื่นชมดอกไม้อันใด นางทำเพียงกวาดตามองคราหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินจากไป

เผยซู่ตามนางไป ทิ้งหลางถิงอวี้ให้ยืนเกาหัวสับสนอยู่ในลาน

คนทั้งสองแค่พูดออกมาประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินจากไป ตกลงพวกเขาทั้งสองจะกลับมาหรือไม่

อีกอย่างดอกไม้พวกนี้จะให้เขาเก็บไปหรือว่าจะให้วางไว้ต่อ ล้วนไม่มีใครบอกอะไรเขาสักคำ

หลังจากเกาหัวอยู่เป็นนาน หลางถิงอวี้ก็ตัดสินใจวางกระถางดอกไม้เหล่านั้นไว้ก่อน

เขาดูออก ขอเพียงคุณหนูใหญ่เฉินชอบ นายท่านโหวของเขาย่อมชอบด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้เขามีหรือจะไม่รอดพ้นจากการถูกโบย

ดังนั้นแม่ทัพหลางของพวกเราจึงยังคงขะมักเขม้นย้ายกระถางดอกไม้ ต้องการเปลี่ยนลานเรือนทั้งหมดให้กลายเป็นสวนดอกไม้งดงาม

ในเวลาเดียวกัน เฉินอิ๋งกับเผยซู่ก็เลี้ยวมาอยู่บนเส้นทางเล็กๆ สายหนึ่งที่มุ่งหน้าไปทางทิศใต้

“เฉียนเทียนเจี้ยงพำนักอยู่ในเรือนเพียงลำพัง เดิมข้าให้นายกองสองคนตามประกบเขาไว้ เพียงแต่บังเอิญทางเผิงไหลเกิดเรื่องขึ้นทำให้ต้องส่งกำลังพลไปเพิ่ม สองสามวันนี้คนที่ติดตามเขาจึงเป็นบ่าวจวนโหวสองคน พวกเขาไม่เชี่ยวชาญทักษะยุทธ์” เผยซู่เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้เฉินอิ๋งฟัง หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่งยวด

การตายของเฉียนเทียนเจี้ยง เหตุผลใหญ่สุดอยู่ที่การดูแลที่ไม่ดีพอ

ทว่าเผยซู่เองก็มีใจแต่ไร้กำลัง

ปีก่อนตอนเข้าเมืองหลวงมา กองกำลังสกุลเผยที่ติดตามมาด้วยมีอยู่แค่ร้อยกว่าคนเท่านั้น กำลังพลเรียกได้ว่าไม่เพียงพอจริงๆ แต่เขาก็ไม่วายต้องยอมรับความจริงที่ว่านี่นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณใหญ่หลวงของฮ่องเต้หยวนจยาแล้ว หากเป็นขุนนางอย่างจงหย่งป๋อ ให้พวกเขานำกำลังพลมาด้วยแค่ยี่สิบสามสิบคนก็นับว่ามากเกินไปแล้ว

ขุนนางบู๊ที่มีกองกำลังทหารอยู่ในมือ ทำการใดล้วนต้องระมัดระวัง เผยซู่เข้าใจถึงข้อดีข้อเสียของเรื่องนี้ดี และนี่ก็เป็นสาเหตุของผลลัพธ์อย่างในเวลานี้

“บางทีนี่อาจเป็นประสงค์แห่งฟ้าก็เป็นได้” เผยซู่เอ่ยปากเสียงแผ่ว สีหน้าท่าทางกลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด “ปัญหาเรื่องกำลังพลไม่พอนี้ ข้าเองก็เหนื่อยหน่ายยิ่งนัก”

“เพราะเหตุใดอย่างนั้นหรือ” เฉินอิ๋งถามเขา

เผยซู่ยิ้มขื่นออกมาคราหนึ่ง “เฉียนเทียนเจี้ยงเป็นคนว่านอนสอนง่าย หากไม่มีความจำเป็น น้อยนักที่เขาจะออกจากที่พัก แม้แต่อาหารก็ยังให้คนเอาไปส่งให้กินถึงในห้อง ปกติวันๆ เขาเอาแต่ดื่มสุรา หนำซ้ำความสามารถในการดื่มสุราของเขาก็ใช้ว่าจะสูงส่งอันใด ดื่มได้ไม่ทันไรก็เมามายสิ้นแล้ว ปกติเขามักตื่นแล้วดื่มเมาแล้วหลับ ทุกวันล้วนเป็นเช่นนี้ ขนาดเดินทางจากเมืองหลวงมาซานตง เขาก็เอาแต่นอนอยู่ในรถม้า ไม่ยอมมองดูทัศนียภาพภายนอกอันใดแม้แต่น้อย”

บทที่ 517 คนเก็บตัวยุคโบราณ

เมื่อเฉินอิ๋งได้ยินเผยซู่พูดเช่นนั้นก็นึกแปลกใจ นิสัยเช่นนี้ของเฉียนเทียนเจี้ยงออกจะพิลึกพิลั่นอยู่ไม่ใช่น้อย

หลังจากครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่ง นางก็เลิกคิด “เฉียนเทียนเจี้ยงอยู่คนเดียวลำพังกลางเขาลึกนานถึงสิบกว่าปี บางทีอาจไม่คุ้นชินกับการพบปะผู้คนแล้วก็เป็นได้”

“ไม่ผิดจากที่เจ้าว่า” เผยซู่กล่าว สีหน้าผิดหวังกลัดกลุ้มยังคงไม่จางหาย “จากรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาข้า วันทั้งวันเขาแทบไม่พูดไม่จาอันใดและไม่เคลื่อนไหวอะไรมากนัก ตอนแรกๆ พวกทหารองครักษ์มักคิดว่าเขาไม่อยู่ในห้อง แต่พอผลักประตูเข้าไปถึงได้รู้ว่าพวกเขาแตกตื่นกันไปเอง คนหากไม่นั่งดื่มสุราอยู่บนพื้นก็กำลังนอนหลับ นานวันเข้าทุกคนจึงเริ่มคุ้นชิน”

เฉินอิ๋งหลุบตาฟังไม่พูดไม่จา

คน ‘เก็บตัว’ ยุคโบราณจำพวกนี้ทำคนลดความระแวดระวังลงได้ง่ายจริงๆ การที่ทหารองครักษ์พวกนั้นทำงานย่อหย่อนจะว่าไปก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้อยู่

“บ่าวไพร่ที่เมื่อคืนเฝ้าจับตาดูเขาสองคนไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอะไรเลยกระนั้นหรือ” นางถาม

เผยซู่ส่ายหน้า สีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นไปอีก “พวกเขาต่างหลับเป็นตาย ไหนเลยจะได้ยินอันใด”

ยามนี้เฉินอิ๋งกับเผยซู่เดินผ่านประตูรูปแจกันไปสองชั้นแล้ว กำลังเลี้ยวขึ้นไปอยู่บนระเบียงคดสีแดง

เฉินอิ๋งหยุดคิด นางกวาดตามองไปรอบๆ เห็นในลานพุ่มไม้เขียวชอุ่มสูงๆ ต่ำๆ บ้างชิดบ้างห่าง ห้องหับระเบียงงดงาม อีกทั้งยังมีธารน้ำไหลที่ชักจูงมาจากภายนอก สะพานขาวธารน้ำเขียว ต้นหยางต้นหลิวพลิ้วไหว ลานเรือนสองสามหลังปะปนอยู่ด้วยกัน ล้วนแต่กำแพงขาวกระเบื้องดำ ริมธารมีก้อนหิน แลดูเข้าท่าเข้าทางกว่าลานฝึกยุทธ์ที่อยู่ทางด้านหน้านั้น

“เรือนต่างๆ ที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นเรือนที่ใช้รับรองแขก ก่อนหน้านี้ก็ว่างเปล่าเช่นกัน เพียงแต่ระยะนี้มีสหายเก่าเข้ามาพำนักอยู่จำนวนหนึ่ง” เผยซู่แนะนำก่อนจะรีบชักเท้าเดินผ่านระเบียงคด ลัดเลาะตามป่าไผ่ไปบนเส้นทางเล็กๆ ที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ตลอดทางเสียงลมพัดผ่านต้นไผ่แผ่วเบา เงาไผ่เรียวยาวกระจัดกระจาย ชวนให้คนนึกทอดถอนใจคล้ายเดียวดายในป่าไผ่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

หลังจากเดินไปได้ราวๆ สี่ห้าสิบก้าว ครั้นเลี้ยวอีกคราวภาพตรงหน้าก็กลับกลายเป็นกว้างขวาง พวกนางมาถึงยังลานโล่งแห่งหนึ่ง

พื้นที่กว้างโล่งแห่งนี้หากประเมินด้วยสายตาของเฉินอิ๋งก็น่าจะมีขนาดประมาณหกสิบเจ็ดสิบตารางเมตร รอบๆ เชื่อมต่ออยู่กับเส้นทางหลายสายที่ตัดผ่านหญ้า บนร้านมีต้นถูหมีงดงาม ต้นทับทิมสองสามต้นผลิดอกตูม ทว่าบริเวณหัวมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้กลับมีรั้วล้อมไว้ชั่วคราว ระหว่างรั้วมีผ้าเหลืองพันมัดไว้ ข้างๆ ยังมีทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่งยืนเฝ้าอยู่

“นั่นคือที่เกิดเหตุ หรือก็คือบ่อน้ำแห้งขอดที่ว่านั่น” เผยซู่ยื่นมือชี้

เขาหยิบเอาวิธีคลี่คลายคดีของเฉินอิ๋งมาใช้หมดสิ้น รวมถึง ‘ทฤษฎีไฟตัดหมอก’ ที่ไม่จำเป็นนั่น

เฉินอิ๋งพยักหน้าน้อยๆ แต่กลับไม่ได้เดินเข้าไปใกล้ ตรงกันข้ามนางกลับกวาดตามองไปรอบๆ ก่อน

ดูท่าคงไม่เคยตัดแต่งดูแลลานเรือนอะไรเป็นแน่

เฉินอิ๋งเดินตามเขามากว่าครึ่งจวนแล้ว เส้นทางหิน ถนนสายเล็กๆ ทั้งหมดล้วนถูกดินเลนกับหญ้าเขียวขึ้นคลุมหมดสิ้น เหยียบไปก็ให้ลื่นเท้า หาได้เดินดีกว่าย่ำไปบนดินเลนตรงๆ ไม่

“สถานที่แห่งนี้กว้างขวางยิ่ง เชื่อมต่อไปได้ทุกแห่ง” เฉินอิ๋งเอ่ยปากวิจารณ์ออกมาประโยคหนึ่งพลางเดินไปหยุดอยู่ข้างบ่อน้ำ

ทหารชั้นผู้น้อยนายนั้นถอยออกไปอยู่อีกด้าน

เผยซู่ยืนเป็นเพื่อนอยู่ข้างเฉินอิ๋ง นิ้วชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ “ห้องส้วมอยู่ทางด้านนั้น หากมองจากจุดนี้ไปยังพอมองเห็นได้อยู่เลาๆ”

เฉินอิ๋งมองตามนิ้วของเผยซู่ไป ลึกเข้าไปกลางพุ่มไม้นั่น กำแพงอิฐเขียวครามปรากฏให้เห็นอยู่มุมหนึ่ง

หลังจากจ้องดูอยู่ครู่หนึ่ง เฉินอิ๋งก็ขมวดคิ้ว “ข้าอยากถามตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ภายในห้องของเฉียนเทียนเจี้ยงไม่มีกระโถนหรืออย่างไร เหตุใดเขาต้องมาเข้าส้วมถึงนี่ด้วย”

คำถามนี้ติดค้างอยู่ในใจนางนานแล้ว พอมาถึงที่นี่ ในที่สุดนางก็เอ่ยปากถาม

พอได้ยินเช่นนั้นเผยซู่ก็สีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ จะมีก็แต่ทหารชั้นผู้น้อยนายนั้นเท่านั้นที่สีหน้าประหลาดใจ ปากอ้าค้างชำเลืองมองเฉินอิ๋งอยู่สองสามครา

คุณหนูใหญ่เฉินผู้นี้เขาเคยมองเห็นอยู่ไกลๆ คราหนึ่ง ได้ยินคนบอกว่านางไม่เหมือนกับผู้อื่น วันนี้ได้มาเห็นกับตา ไม่ผิดจากที่เล่าลือกันจริงๆ

สตรีนางหนึ่งพูดถึงกระโถนพูดถึงเรื่องเข้าส้วมหน้าตาเฉยราวกับพูดถึงเรื่องดื่มน้ำกินข้าวก็ไม่ปาน ชวนให้คนตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก

คนเช่นนี้พบเจอได้น้อยนัก…น้อยจริงๆ

ที่แท้ก็พิลึกพิลั่นเหมือนกัน มิน่าท่านโหวของพวกเราถึงต้องตาต้องใจนางนัก

ยามนี้ใจของเผยซู่ล้วนอยู่บนตัวของเฉินอิ๋งหมดสิ้น ไหนเลยจะรู้ถึงความคิดอ่านเหลวไหลของทหารชั้นผู้น้อยนายนั้นได้ ครั้นได้ยินนางถาม เขาก็ตอบออกมาทันที “แน่นอนว่าในห้องของเหล่าเฉียนย่อมต้องมีสิ่งที่พึงมี เพียงแต่เขาไม่คุ้นชินกับการใช้กระโถน ไม่ว่าจะพูดกี่ครั้งเขาก็ไม่ยอมฟัง สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย”

พอพูดถึงตรงนี้เขาก็สีหน้าอับจน เฉินอิ๋งเองก็รู้สึกยิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

เดิมคิดว่าเรื่องนี้จะมีลับลมคมในอะไรเสียอีก ใครจะไปรู้ ที่แท้ก็แค่ความเคยชินเท่านั้น

จะว่าไปก็ใช่ เฉียนเทียนเจี้ยงใช้ชีวิตอยู่ในเขาลึกมานาน วิธีเข้าห้องน้ำเกรงว่าจะ ‘ตามอำเภอใจ’ ยิ่ง ยามนี้ครั้นกลับเข้า ‘สังคมศิวิไลซ์’ อีกครั้ง เมื่อความเคยชินยากจะเปลี่ยน เรื่องเช่นนี้ย่อมยากที่จะเลี่ยง

เฉินอิ๋งไม่พูดอันใดอีก หลังเดินวนรอบบ่อน้ำแห้งขอดนั่นรอบหนึ่ง นางก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

รอยเท้าดั้งเดิมถูกทำลายหมดสิ้นแล้ว จากที่นางประเมินด้วยสายตา อย่างน้อยก็น่าจะมีคนปรากฏตัวอยู่ที่นี่ไม่ต่ำกว่าสิบคน รอยเท้าสะเปะสะปะครอบคลุมพื้นที่เป็นวงใหญ่ คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นตอนงมศพขึ้นมา

นอกจากนี้บนปากบ่อยังมีรอยนิ้วมือ รอยเท้า รอยเช็ดถูอีกนับไม่ถ้วน รวมถึงรอยเชือกครูดถูก และชิงไถที่หลุดร่วงลงไปเป็นผืนใหญ่ ซึ่งน่าจะเป็นรอยที่เกิดขึ้นตอนงมศพเช่นกัน

สิ่งต่างๆ เหล่านี้มิได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเฉินอิ๋งแม้แต่น้อย เพราะมิได้นึกสับสนอันใดนัก นางจึงหันไปบอกกับเผยซู่ “เอาล่ะ พวกเราไปที่ห้องส้วมกันเถอะ”

ที่เกิดเหตุเบาะแสหลักฐานถูกทำลายหมดสิ้นเช่นนี้สืบไปก็หามีประโยชน์อันใดไม่ มิสู้รีบไปจัดการรวบรวมเบาะแสหลักฐานอื่น

เผยซู่เดินพานางไปยังห้องส้วมทันที

ห้องส้วมมีอยู่ด้วยกันสองห้องเล็กๆ แยกชายหญิง กลิ่นไม่รุนแรงนัก

เฉินอิ๋งเดินวนรอบห้องส้วมรอบหนึ่ง ก่อนจะเข้าไปตรวจดูที่ด้านใน

เพราะเผยซู่มิอาจตามเข้าไป จึงได้แต่ยืนตัวตรงอยู่ที่ด้านนอก สีหน้ากระอักกระอ่วนยิ่ง

ทว่าครั้นคิดดูอีกที แม้แต่ห้องส้วมเฉินอิ๋งก็ยังไม่ปล่อยผ่าน ทุกเรื่องล้วนลงมือจัดการด้วยตนเอง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยเหลือเขามิใช่หรือไร

ใจของเผยซู่จู่ๆ ก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคล้ายเมฆหมอกแผ่กระจาย

เฉินอิ๋งใช้เวลาตรวจสอบเพียงไม่นาน ไม่ทันไรนางก็ย้อนกลับออกมา

เผยซู่เดินขึ้นหน้าเข้าไปกระซิบถาม “พบเบาะแสอันใดบ้างหรือไม่”

เฉินอิ๋งมิได้ปฏิเสธทันที ทำเพียงกล่าวว่า “ยังต้องตรวจสอบอีก” ก่อนจะเอ่ยปากถามเขา “เฉียนเทียนเจี้ยงพำนักอยู่ที่ใด”

เผยซู่เดินนำอยู่ทางด้านหน้า เสียงพูดแผ่วเบากว่าก่อนหน้านี้ “ข้าให้เขาพำนักอยู่ในจุดที่ห่างไกลผู้คนที่สุด หนึ่งเพราะเขาพฤติกรรมไม่เหมือนกับผู้อื่น สองก็เพราะต้องการหลบเลี่ยงหูตาผู้คน”

เขายกมือกดลงที่ข้างเอว หัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น แววตากลัดกลุ้มยิ่ง “เพื่อเบี่ยงเบนสายตาของคนนอก ข้าจงใจใช้ลานเรือนรับรองพวกนั้นจนเต็ม ใครจะไปคิด คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต สุดท้ายก็ยังคงเกิดเรื่องขึ้น”

เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังลอดออกมาจากลำคอของเขา เผยซู่ตบด้ามกระบี่เบาๆ สองสามคราพลางถอนหายใจกล่าว “กำลังคนมีไม่พอ ลิขิตสวรรค์ยากคาดเดา ต้องทำเช่นไร…ต้องทำเช่นไรกัน”

ยามนี้เฉินอิ๋งสองตาจับจ้องไปทางด้านหน้า ใบหน้าที่น้อยนักที่จะแสดงความรู้สึกนั้นยังคงสงบนิ่งเช่นทุกครั้ง “ไว้รวบรวมข่าวสารข้อมูลเสร็จสิ้น มีข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อย อาซู่ค่อยทอดถอนใจก็ยังไม่สาย”

พอได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นเผยซู่ก็ตะลึง ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง จู่ๆ เขาก็เห็นเฉินอิ๋งยื่นมือชี้ “เรือนหลังนี้กระนั้นหรือ”

เผยซู่ตะลึงไปชั่วขณะ ครั้นหันมองกลับมาเขาก็พบว่าพวกตนเองกำลังยืนอยู่หน้าเรือนเล็กๆ หลังหนึ่ง ใช่เรือนที่ให้เฉียนเทียนเจี้ยงใช้เป็นที่พำนักจริงๆ ข้างประตูมีทหารกองกำลังสกุลเผยในชุดเกราะสองสามนายยืนเฝ้าอยู่

“ใช่แล้ว” เผยซู่ตอบ เขาโบกมือสั่งให้ทหารพวกนั้นถอยออกไปพลางกล่าว “เรือนชิงเฟิงแห่งนี้ไม่เพียงเงียบสงบ แต่หากยังห่างจากประตูข้างไม่ไกล สะดวกต่อการเข้าออก”

เส้นเสียงทุ้มต่ำถูกลมวสันต์ลูบไล้จนกลับกลายเป็นอบอุ่นอ่อนโยนไม่ต่างอันใดกับเสียงพิณ

บทที่ 518 ดีกับไม่ดี

เฉินอิ๋งยังไม่เข้าไปภายใน นางหยุดเท้าสำรวจดูรอบๆ

มองดูเผินๆ ที่นี่ไม่มีอันใดแตกต่างจากลานเรือนหลังอื่นสักเท่าใดนัก ต่างล้วนผนังขาวกระเบื้องดำ ชายคางอนโค้ง ยามนี้ประตูลานสีแดงถูกปิดงับไว้ครึ่งหนึ่ง บนป้ายที่อยู่เหนือวงกบประตูด้านบนมีอักษรเขียนเอาไว้ว่า ‘ชิงเฟิง’

เผยซู่ผลักประตูเปิด ขณะเดินตามเขาเข้าไปด้านใน เฉินอิ๋งก็ได้ยินเผยซู่พูดขึ้น “ลานเรือนพวกนี้รูปแบบแตกต่างกันไม่มาก ล้วนขาดห้องข้างไปส่วนหนึ่ง”

เฉินอิ๋งกวาดตามองไปรอบๆ ในเรือนม่านหน้าต่างเฉลียงเขียว ทางฝั่งตะวันออกมีต้นอิ๋นซิ่งปลูกอยู่ต้นหนึ่ง กิ่งก้านเต็มไปด้วยใบเขียวชอุ่ม

ประตูลานอยู่ตรงกับเรือนประธานขนาดสามห้องที่หันหน้ารับแสง ไม่มีห้องข้างฝั่งตะวันออก จะมีก็แต่ห้องข้างฝั่งตะวันตก ในลานไม่มีระเบียงวน ทางเดินหินที่เชื่อมต่อไปยังเรือนประธานถูกหญ้าปกคลุมมิดชิด มองแทบไม่เห็น

เฉินอิ๋งมั่นใจว่านอกจากเรือนประธานกับสวนดอกไม้ที่ถูกดัดแปลงเป็นสนามฝึกยุทธ์แล้ว ต้นไม้ต้นหญ้าภายในจวนเผยซู่ไม่เคยแตะต้องพวกมันเลยแม้แต่น้อย

“อย่างไรดินเลนก็ยังเดินสะดวกกว่า” เฉินอิ๋งกวาดตามองไปรอบๆ พึมพำบอกกับตนเอง

เผยซู่รอยยิ้มแข็งขืน เพราะเข้าใจผิดคิดว่านางรังเกียจที่สถานที่แห่งนี้ไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยพอ

เขาคร้านเกินกว่าจะจัดการเรื่องพวกนี้จริงๆ หากมีเวลาว่าง มิสู้ออกหมัดสักสองสามครา เล่นงานหลางถิงอวี้สักสองสามกระบวนให้หายครั่นเนื้อครั่นตัว ดอกไม้ต้นไม้ล้วนแต่เป็นเรื่องอืดอาดยืดยาดชวนหงุดหงิดรำคาญใจ

“บ่าวสองคนนั้นพักอยู่ห้องข้างฝั่งตะวันตก?” จู่ๆ เส้นเสียงใสกระจ่างดุจน้ำก็ดังขึ้น ทำเอาเผยซู่สะดุ้ง

เขายังไม่ทันหันหน้ามาก็เอ่ยปากตอบออกไปตามสัญชาตญาณก่อนแล้ว “ใช่แล้ว อาอิ๋ง พวกเขาพักอยู่ที่ห้องข้างฝั่งตะวันตก เพราะเฉียนเทียนเจี้ยงไม่ต้องการคนปรนนิบัติรับใช้ ต้องการก็แค่คนปัดกวาดเรือน ส่งอาหารสามมื้อเข้าไปในห้องทุกวัน ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ส่งคนเข้ามาเพิ่ม”

เฉินอิ๋งพยักหน้าน้อยๆ พลางย่างเท้าขึ้นไปบนบันไดหิน และเลิกม่านเดินเข้าไปในห้อง

การจัดวางภายในเป็นไปอย่างเรียบง่าย นอกจากเครื่องเรือนที่พึงมีกับม่านสีพื้นแล้วก็ไม่มีข้าวของอื่นใดอีก ไหสุราเล็กๆ ที่วางพิงอยู่ข้างผนังแลดูสะดุดตายิ่ง

“คนผู้นี้เป็นผีสุราโดยแท้” เผยซู่กล่าว

เฉินอิ๋งเดินขึ้นหน้า ยกไหสุราแต่ละใบขึ้นดู ก่อนจะเดินเข้าไปยังส่วนพำนักอาศัยทางทิศตะวันออก หลังจากนั้นก็เข้าไปสำรวจยังห้องนอนที่อยู่ทางฝั่งตะวันตก

เผยซู่เดินเข้าๆ ออกๆ ตามเฉินอิ๋งไม่หยุด ตลอดเวลาไม่ได้พูดอันใดอีกสักครึ่งคำ แม้แต่ตอนเฉินอิ๋งคลานเข้าไปใต้เตียง พลิกรื้อที่หลับที่นอนหมอนมุ้ง เขาก็ทำเพียงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ต้องการให้ข้าช่วยอันใดหรือไม่”

หลังได้รับคำตอบปฏิเสธ เผยซู่ก็ยืนนิ่งอยู่ที่ข้างประตู มองดูเงาร่างชุลมุนของเฉินอิ๋งด้วยสายตาชื่นชม มุมปากฉีกออกเป็นยิ้มเบิกบาน

การค้นหาดำเนินไปไม่นานเท่าใด ครั้นการตรวจค้นเสร็จสิ้น เฉินอิ๋งก็ไม่ไปตรวจค้นที่อื่นอีก หากกลับเลือกที่จะสอบถามพยานอยู่ที่ห้องฝั่งตะวันตก

พยานมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่คน บ่าวไพร่สองคนเพราะตอนเกิดเหตุกำลังหลับสนิท ในสายตาของเผยซู่ คำให้การของพวกเขามีค่าเท่ากับไม่มี

ทว่าเฉินอิ๋งยังคงทำการซักถามคนทั้งสองอย่างละเอียด การใช้ชีวิตของเฉียนเทียนเจี้ยงอันใดนางล้วนซักถามหมดสิ้น อีกทั้งยังจดลงบนสมุดบันทึก

ส่วนพยานอีกสองคน คนหนึ่งเป็นคนบอกเวลา เผยซู่เคยพูดถึงคนผู้นี้ก่อนหน้าแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นหญิงรับใช้สูงวัยที่ทำหน้าที่เดินยามตอนกลางคืน

คืนนั้นหญิงรับใช้สูงวัยผู้นี้เข้าเวรร่วมกับสาวใช้อีกสองสามคน เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกปวดท้อง นางจึงปลีกตัวแวะไปห้องส้วมเพื่อปลดทุกข์ ทว่าหลังออกมาจากห้องส้วมได้ไม่นาน นางก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างดังขึ้นที่ด้านหลัง พอหันกลับไปนางก็พบเฉียนเทียนเจี้ยงเข้า

จากปากคำให้การของนาง เฉียนเทียนเจี้ยงในเวลานั้นคล้ายออกมาจากห้องน้ำ กำลังมุ่งหน้าไปยังพื้นที่โล่ง เนื้อตัวคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นสุรา ขนาดอยู่ห่างกันไกลก็ยังได้กลิ่น

หญิงรับใช้สูงวัยผู้นั้นรู้ดีว่าเขาชอบดื่มสุรา ตอนเดินยามกลางคืนนางเคยพบเห็นเฉียนเทียนเจี้ยงตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นจึงไม่ได้ซักถามอันใดมากมาย หลังมองดูปราดหนึ่งนางก็เดินจากไป

เมื่อผนวกคำให้การของนางกับคำให้การของคนบอกเวลาเข้าด้วยกัน เฉินอิ๋งก็เข้าใจถึงเส้นเวลาได้ชัดแจ้ง เส้นเวลานี้เริ่มจากกลางยามจื่อหนึ่งเค่อหรือเที่ยงคืนสิบห้านาที ไปจนถึงกลางยามจื่อสองเค่อหรือก็คือเที่ยงคืนสามสิบนาที เฉียนเทียนเจี้ยงเริ่มจากถูกคนบอกเวลาพบเห็นก่อน หลังจากนั้นก็ถูกหญิงรับใช้สูงวัยเดินยามพบเข้า

ครั้นแยกจดบันทึกคำให้การเหล่านี้เป็นที่เรียบร้อย เวลาก็ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งชั่วยาม

ครั้นเฉินอิ๋งออกไปจากห้องฝั่งตะวันตก พระอาทิตย์ก็คล้อยไปทางทิศตะวันตกแล้ว แสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่างสลักลายเข้ามา แสงสีทองอาบย้อมห้องไปกว่าครึ่ง ลมวสันต์พัดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาพร้อมกับกลิ่นใบหญ้า นุ่มนวลอ่อนหวานละมุนละไม

“อาซู่ ข้าอยากกลับไปดูศพของเฉียนเทียนเจี้ยงอีกครั้ง” เฉินอิ๋งเก็บคำให้การเข้าไว้ในแขนเสื้อ ก่อนจะเอ่ยปากบอกเผยซู่

เผยซู่ขมวดคิ้วน้อยๆ “เจ้าพบเจออะไรบางอย่างเข้าใช่หรือไม่”

“ไม่มีอะไรมาก” เฉินอิ๋งสีหน้าสงบนิ่ง ตอนก้าวเดินออกจากประตูลาน นางเอ่ยปากอธิบายให้เผยซู่ฟังด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด “เมื่อพิจารณาจากปากคำของพยาน สถานที่เกิดเหตุ รวมถึงผลการชันสูตร เรื่องนี้แทบไม่มีอันใดน่าสงสัย ข้อสันนิษฐานเบื้องต้นของข้าคือเหล่าเฉียนน่าจะพลั้งเท้าตกบ่อตาย”

นางมองดูเผยซู่ด้วยสีหน้าคล้ายรู้สึกเสียใจ

เผยซู่รู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย

ถึงน้ำเสียงจะยังคงใสกระจ่างดุจน้ำ ทว่าเสียงของเฉินอิ๋งกลับดังกว่าปกติอยู่เล็กน้อย อย่าว่าแต่เผยซู่เลย แม้แต่ทหารกองกำลังสกุลเผยที่เฝ้าอยู่ข้างประตูพวกนั้นยามนี้ล้วนต่างมองมาตามเสียงนางหมดสิ้น

เผยซู่ไม่วายนึกประหลาดใจ เขามองดูเฉินอิ๋งปราดหนึ่ง

สีหน้าของเฉินอิ๋งสงบนิ่งอย่างที่สุด นัยน์ตาใสกระจ่างดุจน้ำ ไม่ปรากฏระลอกคลื่นอันใด

เผยซู่ชักสายตาไปทางอื่น ทว่าความรู้สึกแปลกประหลาดในใจกลับเหมือนจะทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที

ปกติเฉินอิ๋งไม่ชอบพูดเสียงดัง ทุกครั้งที่พบเจอเรื่องสำคัญ น้ำเสียงของนางมักกลับกลายเป็นทุ้มต่ำ

แต่ไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือโทนเสียงยามนี้กลับดังกว่าปกติด้วยกันทั้งสิ้น

“ข้าตรวจสอบอยู่เป็นนาน แต่ก็ไม่พบร่องรอยเบาะแสอันใด เฮ้อ…” เฉินอิ๋งพูดขึ้นอีก น้ำเสียงยังคงกระจ่างชัด แม้แต่เสียงทอดถอนใจก็ยังดังอักโข

เส้นเสียงของนางยามกระซิบจะฟังดูคล้ายธารน้ำกระจ่างใสไหลเอื่อยสบายๆ แต่ทันทีที่ดังขึ้นมันกลับเปี่ยมด้วยพลังทะลุทะลวง

เผยซู่พยายามควบคุมตนเองอย่างสุดความสามารถไม่ให้เผลอขยี้หู

เขาถึงกับรู้สึกว่าเสียงพูดของเฉินอิ๋งเมื่อครู่ลอยตามลมไปถึงยังลานเรือนหลังอื่น

เพียงแต่เพราะแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไว้วางใจในตัวเฉินอิ๋งมาโดยตลอด ดังนั้นถึงแม้จะสงสัยแต่เขาก็ไม่ได้ปริปากซักถามอันใด ทำเพียงเดินขึ้นหน้าไปเงียบๆ

จะว่าไปก็แปลก เฉินอิ๋งที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่คนพูดมาก วันนี้กลับไม่รู้เพราะเหตุใดตลอดทางถึงได้พูดจ้อไม่หยุด หนำซ้ำยังเฝ้าพูดคำพูดก่อนหน้านี้ซ้ำไปซ้ำมา ถึงจะไม่ถึงขั้นโหวกเหวกโวยวาย แต่ก็พูดมากอย่างที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน

จนกระทั่งกลับมาถึงเรือนประธาน เฉินอิ๋งถึงได้หยุดพูด

และทันทีที่เสียงพูดหยุดลง สีหน้าของเฉินอิ๋งก็กลับกลายเป็นจริงจังเป็นพิเศษ

ครั้นชำเลืองเห็นเผยซู่ก็ให้รู้สึกหนาวสะท้าน เขาอ้าปากหมายเอ่ยถาม

ทว่ายังไม่ทันที่คำพูดจะได้หลุดจากปาก เฉินอิ๋งก็กระตุกแขนเสื้อของเขาพลางส่ายหน้าเล็กๆ

เผยซู่รีบปิดปาก สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

ไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่เห็นสีหน้าของเฉินอิ๋ง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคดีนี้คงไม่ใช่ง่ายแล้ว

เขาเองก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ายามนี้ตนเองรู้สึกเช่นไร เขาทำเพียงมองดูเฉินอิ๋งเดินผ่านลานเรือน ย่างขึ้นไปอยู่บนบันไดหิน เดินเข้าไปยังห้องที่เก็บศพ ไม่สนใจดอกไม้ที่เบ่งบานอยู่เต็มลานเรือนเลยแม้แต่น้อย

ทันทีที่ม่านประตูตกลง เสียงของเฉินอิ๋งก็ดังลอยตามมาทันที

“อาซู่ ข้าต้องการบอกข่าวดีเรื่องหนึ่งให้ท่านรู้ แน่นอน สำหรับท่าน เรื่องนี้อาจไม่นับเป็นข่าวดีได้” นางเงยหน้ามองเผยซู่ สองตาใสกระจ่างเป็นประกาย

เผยซู่เตรียมใจเอาไว้แล้ว เขาพลิกมือเลิกม่านขึ้น มือข้างหนึ่งกดลงบนด้ามกระบี่ตามความเคยชิน “ว่ามา”

“นี่เป็นคดีฆ่าคนตาย” เฉินอิ๋งตอบออกมาอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงหนักแน่นเอ่ยต่อว่า “ที่คนบอกเวลากับหญิงรับใช้สูงวัยเดินยามเห็นนั้นไม่ใช่เฉียนเทียนเจี้ยง แต่หากเป็นคนร้าย ความจริงเฉียนเทียนเจี้ยงตายไปก่อนหน้านั้นแล้ว”

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 เม.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: