Chapter 2-1
นอนไม่หลับ
ฮันจุนยกมือขึ้นขยี้ตาที่แทบจะลืมไม่ขึ้นเพราะความเหนื่อยล้าพลางสวมเท้าเข้าไปในรองเท้าผ้าใบ เขารู้สึกท้องอืดจากข้าวที่เขาฝืนกินเข้าไปเพียงเพราะแค่ไม่อยากอดอาหาร ฮันจุนจับกระเป๋ายกขึ้นสะพายหลังให้ดี ก่อนจะมองดูใบหน้าของตัวเองที่สะท้อนอยู่บนกระจกตรงประตูทางเข้า สีหน้าของเขาตอนนี้แลดูหงุดหงิดมากกว่าปกติ ซึ่งมันก็ไม่ผิดไปจากที่เขาคิดเอาไว้
ฮันจุนรู้สึกหงุดหงิดกับความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยนี้ เขาเกลียดความรู้สึกอ่อนแอไร้กำลัง ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่เคยคาดหวังกับอะไรที่เป็นไปไม่ได้ และมักจะมีความสุขกับการตั้งเป้าหมายในขอบเขตของสิ่งที่ตัวเองพอจะทำได้และค่อยๆ ทำให้มันสำเร็จอย่างช้าๆ ด้วยความที่เขาเป็นพวกที่ชอบค้นหาวิธีที่จะเอาชนะฐานะของตัวเองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ต่อให้เขาจะเครียดเพราะไม่มีเงิน แต่เขาก็ยังจะสมัครเรียนพิเศษโดยเอาเงินที่เก็บหอมรอมริบมาอย่างยากลำบากมาจ่าย โดยวางแผนไว้ว่าหลังสอบซูนึงเสร็จ เขาก็จะเริ่มหางานพิเศษทำทันที
‘ปัญหาน่ะ ค่อยแก้ไปทีละอย่างๆ ก็ได้น่า’
ยูแจเคยพูดกับเขาไว้ว่าอย่างนั้นในขณะที่เงยหน้ามองดูดวงดาวสองดวงที่กำลังส่องแสงเป็นประกายท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิด
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่การรักใครข้างเดียวนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถเอามาตั้งเป็นเป้าหมายแล้วเอาชนะมันได้สักหน่อย
อึดอัดชะมัด
ฮันจุนขยี้ผมอย่างหงุดหงิดก่อนจะเปิดประตูเดินออกไป เขาดึงเสื้อลงให้ตึงเพื่อคลี่รอยยับ เงยหน้าขึ้น และเดินหยีตาท่ามกลางแสงแดดที่แสนแจ่มใสตั้งแต่เช้า ก่อนจะเห็นคนคุ้นเคยที่กำลังยืนพิงกำแพงอยู่
“อรุณสวัสดิ์”
ยูแจโบกมือไหวๆ พลางเอ่ยคำทักทาย บ่อยครั้งพวกเขาก็มักจะไปโรงเรียนด้วยกัน การที่อีกฝ่ายมารอจึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจเท่าไร ทว่าวันนี้เขากลับรู้สึกไม่ค่อยยินดีสักเท่าไรนัก ฮันจุนหยุดยืนพลางเขี่ยรองเท้ากับพื้นที่หยาบกระด้างและแตกระแหงไปมา ยูแจเดินเข้ามาหาก่อนจะโอบไหล่แล้วดึงเข้าไปใกล้
“งอนอยู่หรือไง”
กลิ่นแชมพูกลิ่นเดิมลอยฟุ้งออกมาจากเจ้าตัวที่ยื่นหน้าเข้ามาใกล้โดยไม่บอกไม่กล่าว กลิ่นประจำตัวอันแสนคุ้นเคยนั้นทำให้หัวใจของเขารู้สึกผ่อนคลายขึ้น ในระหว่างที่เดิน สายตาเขามองตรงไปแค่ข้างหน้าเพราะไม่รู้ว่าจะต้องตอบอีกฝ่ายกลับไปว่าอะไรซึ่งเขาเองก็รู้สึกไม่ชินเลยสักนิด ยูแจที่เห็นว่าฮันจุนไม่ยอมพูดอะไรออกมาอยู่พักใหญ่จึงเริ่มบ่นพึมพำออกมา
“ข้อความก็ไม่ยอมอ่าน ฉันรอมาทั้งวันเลยนะ”
ตอนเช็กโทรศัพท์เมื่อเช้านี้ เขาเห็นข้อความที่เจ้าตัวส่งมาเป็นสิบๆ ข้อความ ฮันจุนกัดริมฝีปากแน่น ในนั้นเขาไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับไปเลยนอกจากคำว่า ‘อืม’ เขาไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายหวังให้เขาตอบกลับไปว่าอะไร
“ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ล่ะ ฮะ? เพราะเรื่องที่ฉันพูดกับจินฮวานเมื่อวานนี้สินะ?”
“เปล่า”
“เฮ้อ…ที่นายงอนฉันแบบนี้เป็นเพราะหมอนั่นจริงๆ สินะ”
ยูแจวิ่งมายืนขวางทางข้างหน้าเอาไว้ ฮันจุนจึงถอนหายใจยาว
เขาไม่มีข้ออ้างอะไรที่จะมาโกรธยูแจได้เลย ความรู้สึกของเขามันสงบลงไปแล้วและเขาก็แค่กำลังรู้สึกหมดแรง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คลุมเครือเกินกว่าที่จะบอกว่านี่คือความโกรธ ถ้าจะให้สรุปง่ายๆ คงต้องบอกว่า ‘มันคือความรู้สึกอึดอัดใจ เพราะคนที่ชอบดันไปพูดแทงใจดำพัคจินฮวาน ผู้ที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างไปจากตัวเขาเอง’ น่าจะชัดเจนกว่า
ทว่าหากไม่เอ่ยถึงความรู้สึกเบื้องลึกในใจที่เก็บไว้มานาน เขาก็ไม่มีหนทางที่จะอธิบายให้ยูแจเข้าใจได้เลย ฮันจุนจึงเลือกข้อแก้ตัวพูดออกไปส่งๆ
“ช่วงนี้ฉันคงฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงน่ะ”
“ฮะ?”
“ก็วัยแตกหนุ่มไง”
“ใคร นายเนี่ยนะ?”
ยูแจระเบิดหัวเราะออกมา ฮันจุนกลอกตาไปมาอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นอีกฝ่ายหัวเราะจนตัวงอ
“ฉันขอตัวไปก่อนแล้วกันนะ”
ยูแจรีบวิ่งตามฮันจุนไปราวกับกลัวว่าจะถูกทิ้ง เขาหัวเราะพลางโถมตัวเข้าไปเกาะหลังฮันจุนอยู่ในท่าที่คล้ายกับจะขี่หลัง ขณะที่ฮันจุนเดินโซเซไปมาเพราะต้องรับน้ำหนักของคนบนหลัง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังเข้ามาในหู
“ช่วงพีควัยแตกหนุ่มของนายมันเมื่อสองปีก่อนไม่ใช่หรือไง ตอนนั้นนายเปลี่ยนไปตั้งเยอะแน่ะ”
“ฉันเนี่ยนะ?”
“อื้ม ทันทีที่ขึ้น ม.ปลาย เลย จำไม่ได้เหรอว่าตอนนั้นนายเคยพูดอะไรกับฉันที่สนามเด็กเล่น เอ…พูดว่าไงน้า พอได้ดูดาวแล้ว…”
ฮันจุนรีบหันหลังมาปิดปากยูแจ ยูแจดิ้นไปมาแล้วจับข้อมือฮันจุนไว้แน่น ก่อนที่ฮันจุนจะสะดุ้งโหยงเมื่อริมฝีปากนุ่มหยุ่นของอีกฝ่ายสัมผัสกับฝ่ามือ ฮันจุนรีบกระชากมือออกแล้วก้าวถอยหลังราวกับโดนไฟลวก และทันทีที่หลุดออกจากอ้อมแขน ยูแจก็ยื่นหน้าเข้ามา
“นี่ ช่วยเชื่อใจแล้วก็ทำดีกับฉันหน่อยสิ ฉันเพื่อนนายนะ”
ริมฝีปากของยูแจอยู่ใกล้มากๆ เมื่อฮันจุนนึกถึงความชุ่มชื้นที่สัมผัสกับฝ่ามือ ฉับพลันเขาก็รู้สึกวูบวาบข้างในท้องขึ้นมา
ถ้าสัมผัสนุ่มนวลนั่นสัมผัสลงมาตรงจุดอื่นมันจะรู้สึกยังไงกันนะ
ขณะที่ความคิดไหลผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่อาจควบคุม ฮันจุนก็รู้สึกเหมือนภาพตรงหน้ากำลังพร่าเลือน เขาแบมือออกแล้วฟาดลงไปที่สีข้างของยูแจให้พอรู้สึกเจ็บ คนที่เกาะอยู่บนหลังแน่นจึงหัวเราะจนหอบ ก่อนจะยอมผละออกไปดีๆ
ยูแจที่หัวเราะจนหอบหายใจไม่ทันค่อยๆ เงยหน้าที่ขึ้นสีแดงจากการหัวเราะขึ้น ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตานั้นสวยระยิบระยับเป็นประกาย
ฮันจุนรีบเร่งฝีเท้าพลางแกล้งทำเป็นดูมือถือ แม้เขาจะภาวนาให้ความร้อนรุ่มที่พลุ่งพล่านขึ้นมานั้นลดลงไวๆ แต่สภาพอากาศในช่วงต้นฤดูร้อนนั้นกลับไม่เอื้ออำนวยเลยสักนิด
หลังจากเดินไปสักพักจนเสียงหัวเราะหยุดลง ยูแจก็เปิดปากพูดขึ้น
“ไปตอบแชตฉันหน่อยสิ ฉันไม่ชอบเลยนะที่นายไม่รับสาย ไม่ตอบแชตอะไรเลยน่ะ อย่างน้อยๆ จะพิมพ์คำว่า ‘ช่วงแตกหนุ่ม’ ตอบกลับมาก็ได้”
“ก็พิมพ์คำว่า ‘อืม’ ตอบกลับไปแล้วไง ยังจะให้ตอบอะไรอีกล่ะ”
“ส่งแค่ ‘555’ เพิ่มมาอีกหน่อยไม่ได้หรือไงเล่า”
“โอเค ได้ ที่นี้สบายใจยัง”
ฮันจุนหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ ‘55555555555’ กดส่งไปก่อนจะยื่นหน้าจอให้อีกฝ่ายดู จากนั้นส่งหมัดไปต่อยหลังของอีกฝ่ายเบาๆ ยูแจจึงเดาะลิ้นพลางล้อฮันจุนว่าชอบทำอะไรเป็นเด็กไปได้ หลังจากที่ได้แลกหมัดกันไปหลายหมัด ฮันจุนก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันตา
ช่วงวัยแห่งการเติบโตเป็นหนุ่ม การสอบซูนึง รักแรก และมหาวิทยาลัย แม้เขาจะรู้สึกกลัวการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่ตัวเองต้องเผชิญ แต่เขาก็คิดว่าเดี๋ยวทุกอย่างมันคงจะดีขึ้นเอง
“ฉันบอกก่อนเลยนะ เสาร์อาทิตย์นี้ฉันจะไปกินข้าวเที่ยงกับจินฮวานกันสองคน เพราะฉันเป็นคนพาเขามา ยังไงซะทั้งนายและหมอนั่นเองก็คงรู้สึกอึดอัดเวลาอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว”
ฮันจุนพูดออกไปด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายขึ้นมาก ส่วนยูแจก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างจำยอม ภายใต้แสงแดดในช่วงต้นฤดูร้อน พวกเขาเดินไปด้วยกันตามทางเดินที่มีต้นไม้ยืนต้นตระหง่านอยู่สองข้างทาง กว่ายูแจจะเปิดปากพูดอีกครั้ง พวกเขาก็เริ่มมองเห็นรั้วของโรงเรียนแล้ว
“ให้ฉันลองไปคุยกับจินฮวานก่อนดีไหมล่ะ”
“คุยอะไร”
“อืม…”
ยูแจครางเสียงต่ำ ท่าทีที่เว้นจังหวะพูดสักพักราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูดของเขานั้นดูจริงจัง
“เมื่อวานหลังจากที่เราแยกกัน ฉันลองมาคิดๆ ดูแล้ว นายว่าปฏิกิริยาหมอนั่นมันไม่โอเวอร์ไปหน่อยเหรอ กลัวฉันจะเอาไปบอกแชยองอะไรขนาดนั้น”
“เฮอะ”
“แล้วฉันก็ไม่ชอบที่นายมางอนฉันแบบนี้ด้วย”
“ไม่ได้งอน”
“เนี่ยนะไม่งอน”
“จะยังไงก็เถอะ อย่าพูดเรื่องแชยองแบบนั้นเหมือนอย่างเมื่อวานอีก”
ยูแจแค่นหัวเราะกับคำพูดต่อมา ก่อนจะคิ้วขมวดมุ่นจนเกิดรอยย่นบางๆ กลางหน้าผาก
“แบบนั้นน่ะแบบไหน แล้วไอ้ที่ฉันพูดไปนั่นมันมีตรงไหนบ้างล่ะที่ไม่จริง”
“ฉันไม่ได้หมายความว่านายโกหก ฉันขอแค่นายอย่าพูดอะไรที่ทำร้ายจิตใจจินฮวานเขาก็พอ”
“ก็ฉันไม่นึกว่าหมอนั่นจะทำตัวโอเวอร์ขนาดนั้นนี่ ถ้ารู้แต่แรกว่าหมอนั่นเป็นพวกปลาซันฟิช* แบบนั้น ฉันก็คงจะใส่ใจกับคำพูดและการกระทำของตัวเองมากกว่านี้ไปแล้ว”
“ปลาซันฟิช?”
“ใช่ หมอนั่นแหละปลาซันฟิช ฉันว่าช่วงนี้นายทำตัวแปลกไปจริงๆ นะ นายเป็นโฆษกของหมอนั่นหรือไง”
ฮันจุนปิดปากเงียบทันทีเพราะคำว่า ‘โฆษก’ เขาไม่รู้สึกตลกด้วยเลยสักนิด กลับกันแล้วเขารู้สึกโกรธแทนจินฮวานเสียมากกว่า
ยูแจถอนหายใจออกมาหลังจากที่ฮันจุนหันหลังให้โดยไม่พูดไม่จา เขามองจ้องแผ่นหลังของฮันจุนก่อนจะพูดเสียงหงอย
“รู้แล้วน่า เดี๋ยวจะพูดดีๆ ให้ก็ได้ แล้วก็นะ…”
“…”
“ต่อจากนี้ถ้ามีปัญหาอะไรอีกก็บอกกันมาตรงๆ อย่าทิ้งฉันไปไหนคนเดียวแบบนั้นอีก”
ฮันจุนกำลังจะอ้าปากถามกลับว่าที่บอกว่าเขาไปคนเดียวนั้นหมายถึงอะไร แต่แล้วเขาก็พลันหุบปากลง เมื่อนึกถึงคำตอบนั้นขึ้นมาได้ ยูแจหมายถึงเรื่องเมื่อวานที่เขากลับบ้านไปคนเดียว
“เข้าใจแล้ว”
“สัญญาแล้วนะ”
ยูแจพูดพลางใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบหลังคอตัวเองเบาๆ
ถ้าลองดึงมันเข้ามาจูบจะเป็นยังไงกันนะ
ฮันจุนหัวเราะแห้งๆ ให้กับความคิดนั้น
ถึงแม้ร่างกายจะสัมผัสกันและยิ่งใกล้ชิดกันมากแค่ไหน ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนยิ่งห่างออกไป
โชยูแจ☆
จินฮวาน ^^ (9.43 AM)
วันนี้เราสองคนไปนั่งกินมื้อเที่ยงแล้วพูดคุยปรับความเข้าใจกันหน่อยไหม (9.44 AM)
ขาของจินฮวานพลันสั่นระริกเมื่อนึกถึงข้อความที่ได้รับมาเมื่อตอนเช้าของวันนี้ ก่อนจะหันไปมองภาพด้านหลังของโชยูแจที่กำลังยืนสั่งอาหารตรงเคาน์เตอร์อยู่ไกลๆ
ถ้าจะให้พูดตรงๆ คือจินฮวานรู้สึกอึดอัด
ชีวิตประจำวันของจินฮวานนั้นเหมือนกันทุกวัน ตื่นเช้าไปโรงเรียน ทำการบ้านของสถาบันสอนพิเศษ กินข้าว แล้วก็ไปเรียนที่สถาบันสอนพิเศษ พอกลับมาบ้านก็กินข้าวมื้อดึก ก่อนจะอ่านหนังสือต่ออีกประมาณสองชั่วโมง หลังจากนั้นก็เข้านอน เขาไม่เคยมานั่งเฝ้าแชตตลอดทั้งวันหรือออกมาอ่านหนังสือในวันหยุดสุดสัปดาห์กับเพื่อนๆ ไม่เคยชักช้าและกลับบ้านทันทีหลังจากเรียนพิเศษเสร็จ ไม่เคยมานั่งชิงช้าเล่นที่สนามเด็กเล่นหลังเลิกเรียน เขาไม่เคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่ซอฮันจุนปรากฏตัวขึ้นมา
ซอฮันจุน เขาทั้งตัวสูง ไหล่กว้าง แถมยังขายาว เป็นคนที่มีรูปร่างเหมือนพวกผู้ใหญ่ ถึงจะมีรอยยิ้มอ่อนโยน แต่ดวงตาที่แลดูดุทำให้หน้าตาดูคมเข้ม เพราะอย่างนั้นเขาจึงดึงดูดสายตาของทุกคนในห้องตั้งแต่วินาทีที่เปิดประตูห้องเข้ามา ถึงแม้ว่าจะหล่อก็เถอะ แต่ใบหน้านั้นก็ดูเหมือนพวกนักเลงที่วันๆ ทำแต่เรื่องไม่ดี
จินฮวานรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปแล้วตอนที่ซอฮันจุนมานั่งข้างๆ ครั้งแรก เขาขบฟันจนแก้มขึ้นเป็นลูกๆ พอมองอีกฝ่ายใกล้ๆ ถึงได้เห็นว่ามีรอยแผลเล็กๆ อยู่ใต้ดวงตา หลังมือก็ดูหยาบกระด้าง และกระดูกข้อต่อนิ้วที่นูนเด่นออกมาก็ดูแดงระเรื่อ
ไอ้คนที่ดูเหมือนหัวโจกนี่คงไม่ได้เข้าห้องมาผิดหรอกนะ?
ระหว่างที่เขารู้สึกว่าจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนั้น ชายคนที่ตัวสูงพอๆ กับฮันจุนก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วแสดงออกด้วยท่าทีราวกับรู้จักกันดีกับฮันจุน เขาคนนั้นคือโชยูแจ
เมื่อปีที่แล้วจินฮวานเคยเรียนอยู่ห้องเดียวกันกับโชยูแจเป็นระยะเวลาสั้นๆ เขาจัดว่าผู้ชายคนนี้อยู่ในหมวดคนที่ทั้งชีวิตนี้ขออย่าได้มีเรื่องอะไรให้ได้ข้องแวะกันเลย ยูแจเป็นคนที่มีรูปร่างแข็งแรงเหมือนพวกนักกีฬาแถมยังเรียนเก่งอีกด้วย ทั้งยังคุยเก่งและขี้เล่น เรียกว่าเป็นคนประเภทที่มักจะได้รับความสนใจจากคนอื่นๆ ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม พวกผู้หญิงต่างก็มองเขากันอย่างปลาบปลื้มหลงใหล และหนึ่งในนั้นก็คือแชยอง เธอมักจะเป็นคนที่หัวเราะเสียงดังที่สุดเสมอเวลาที่โชยูแจพูด แม้แต่พวกเพื่อนผู้ชายเองก็ยังชอบเขา เพราะเขานิสัยดี ทุกคนล้วนชอบโชยูแจกันหมด
แต่ที่น่าตกใจคือซอฮันจุนเป็นเพื่อนกับเขา
ซอฮันจุนมักจะชวนจินฮวานคุยด้วยบ่อยๆ เขาอ่อนโยนกว่าที่เห็นจากภายนอก ถึงแม้ว่าบางครั้งมันจะดูน่ากลัวไปบ้างอย่างตอนที่ใช้แขนรัดคอหรือตอนที่เหวี่ยงหมัดใส่โชยูแจ แต่เขากลับอ่อนโยนกับจินฮวานเสมอ หลังจากที่เขาชวนจินฮวานเข้ามาอยู่ในกลุ่มของตัวเอง จินฮวานก็เลยได้กลายเป็นเพื่อนกับคนที่ตัวเองไม่เคยคิดมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่าจะสนิทกันได้
ถึงจะไม่ค่อยแน่ใจว่าเรื่องที่ ‘กลายเป็นเพื่อนกัน’ นั้นเป็นเรื่องที่คิดไปเองคนเดียวหรือเปล่าก็เถอะ…
จินฮวานเห็นโชยูแจเดินเข้ามาหาจากระยะไกลๆ เขาเดินมาพร้อมกับดึงดูดความสนใจจากคนอื่นๆ ราวกับตัวเองเป็นแม่เหล็ก เด็กนักเรียนคนอื่นๆ ที่สวมเครื่องแบบนักเรียนต่างมองมาที่เขาเป็นตาเดียว สายตามากมายที่จดจ้องมานั้นมุ่งตรงมายังโต๊ะที่จินฮวานนั่งอยู่
ความรู้สึกไม่สนิทใจทำให้เขารู้สึกปวดหน่วงในช่องท้อง
ทำไมโชยูแจถึงได้นัดมาเจอกันสองต่อสองนะ คงไม่ได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้แชยองฟังไปแล้วหรอกนะ? แล้วซอฮันจุนจะเล่าเรื่องที่คุยกันวันนั้นให้โชยูแจฟังหรือเปล่า
ในระหว่างที่กำลังจิตตกกับความกังวล ถาดอาหารใบใหญ่ก็ถูกวางลงบนโต๊ะ จินฮวานเงยหน้าขึ้นมาเพราะเสียงวางถาดก่อนจะเห็นโชยูแจที่ถืออาหารมากำลังฉีกยิ้มให้
“รามยอนกับคิมบับไส้ทูน่า อันนี้ของนาย”
“ขอบใจ แต่นายกินคิมบับแค่อันเดียวเหรอ กินรามยอนด้วยสักหน่อยไหม”
“ไม่อะ ไม่เป็นไร”
โชยูแจกินน้อยไม่สมกับขนาดของร่างกายเลยสักนิด จินฮวานลังเลสักพักก่อนจะหยิบช้อนกับตะเกียบขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังเขี่ยเครื่องเคียงอยู่พักหนึ่งด้วยความรู้สึกไม่ค่อยอยากอาหาร โชยูแจก็พูดขึ้น
“ฉันไม่สบายใจมากๆ เลยที่วันก่อนแยกกับนายไปแบบนั้น จะว่าไปแล้วพวกเราสองคนก็ไม่เคยทำอะไรด้วยกันเลย ทั้งที่พวกเราก็รู้จักกันมานานมากแล้วแท้ๆ”
“อ่า…นั่นสินะ”
ความจริงแล้วระหว่างพวกเขาไม่มีจุดไหนที่จะเอามาบอกว่ารู้จักกันมานานได้เลย เพราะโชยูแจไม่ใช่คนประเภทที่จะสนิทกับจินฮวานได้
ในทางกลับกัน อีกฝ่ายดูเข้ากันได้ดีกับคนประเภทที่มักจะได้รับความสนใจจากคนอื่นและสดใสร่าเริงอย่างแชยอง ขณะที่จินฮวานกำลังนั่งคิดอย่างหดหู่ใจอยู่นั้น ริมฝีปากเขาก็ยกยิ้มขึ้นอย่างอึดอัดเมื่อนึกถึงอีอินกยู พอลองคิดดูแล้วอีอินกยูเองก็ไม่ใช่คนที่ดูจะสนิทกับโชยูแจถึงขั้นที่จะไปเที่ยวเล่นด้วยกันได้เช่นกัน
โชยูแจจิบน้ำก่อนจะพูดต่อ
“ฉันรู้จักนายมาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว จริงสิ นายชอบการ์ตูนนี่ ฉันเคยเห็นนายนั่งดูในมือถือตอนช่วงพักอยู่บ่อยๆ ชอบอ่านเรื่องไรอะ”
แก้มของจินฮวานแดงระเรื่อขึ้นเพราะคำถามที่ไม่ทันได้คาดคิด ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งมั่นไว้แล้วว่าตั้งแต่ปีนี้ไปจะตั้งใจเรียนเลยเลิกอ่านการ์ตูน แต่ปีที่แล้วเขาก็หมกมุ่นอยู่กับการนั่งดูอะนิเมะเรื่องโปรดในมือถือจริงๆ
“ไม่นึกเลยว่านายจะจำเรื่องนั้นได้”
“ทำไมจะจำไม่ได้อะ อย่างกับว่าในห้องมีเด็กหลายคน เรื่องที่ดูตอนนั้นคือเรื่องอะไรเหรอ ฉันสงสัยมาตลอดเลย แต่ไม่มีโอกาสได้ถามสักที”
“เรื่องไฮท็อปน่ะ เป็นอะนิเมะเกี่ยวกับหุ่นยนต์ สนุกดีนะ ถึงเนื้อหามันจะดูเด็กน้อยไปหน่อยก็เถอะ”
แม้จินฮวานจะลอบสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าเจ้าตัวจะแอบหัวเราะเยาะเขาในใจ ทว่ายูแจกลับทำตาโตพลางแสดงท่าทีราวกับสนอกสนใจ ไม่ได้หัวเราะเยาะอะไรออกมาเลยแม้เพียงสักนิด
“ฉันเองก็ชอบหุ่นยนต์มาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเหมือนกัน พูดแล้วก็คิดถึงขึ้นมาเลยแฮะ”
“แสดงว่าตอนเด็กๆ นายก็ดูการ์ตูนเยอะเหมือนกันสินะ?”
“เปล่าหรอก พอดีฉันเคยเห็นนักแสดงชื่อดังคนหนึ่งน่ะ จำไม่ได้เหมือนกันว่าชื่ออะไร เขาชอบหุ่นยนต์อะไรสักอย่าง สะสมฟิกเกอร์ไว้เต็มบ้านเลยล่ะ”
“กันดั้ม? เรื่องนั้นเราก็ชอบเหมือนกัน”
“พอได้เห็นตู้โชว์ของสะสมที่มีฟิกเกอร์ตั้งเรียงอยู่เต็มไปหมด ฉันก็เลยรู้สึกว่ามันเท่ดี แต่ก็ได้ยินมาว่าของพวกนั้นแม่งโคตรแพงเลย เป็นของสะสมชั้นสูงที่คงต้องรอให้โตกว่านี้และมีเงินก่อนเท่านั้นแหละมั้งถึงจะมีโอกาสได้สัมผัส”
พอยูแจหัวเราะ จินฮวานก็เผลอหลุดหัวเราะตาม ความกังวลก่อนหน้านี้ก็พลันจางหายไปอย่างช้าๆ ไม่ว่าเหตุผลที่โชยูแจชวนมากินข้าวด้วยกันนั้นคืออะไร แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ชวนมาเพราะมีเจตนาร้าย
ตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวด้วยกัน ยูแจก็ถามคำถามเกี่ยวกับอะนิเมะแนวหุ่นยนต์ไปเรื่อย จินฮวานตอบกลับไปคร่าวๆ ด้วยความที่ไม่อยากทำให้คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อย่างยูแจรู้สึกรำคาญ แต่ยูแจก็ยังย้อนกลับมาถามด้วยคำถามใหม่อยู่เรื่อยจนบทสนทนาของพวกเขานั้นไม่ขาดช่วงเลยแม้แต่น้อย
ยูแจวางมือลงบนไหล่ของจินฮวาน ตั้งใจฟังเขาพูดบ้าง หัวเราะบ้างเป็นบางครั้ง ภาษากายเล็กๆ น้อยๆ นั้นทำให้เขารู้สึกสนิทใจมากขึ้น จินฮวานเหล่ตามองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อมองผ่านเหนือไหล่ของยูแจไป เขาก็เห็นเด็กที่สวมชุดนักเรียนไม่กี่คนกำลังยืนซุบซิบพลางมองตรงมาทางนี้อยู่
มันน่าตลกตรงที่คนพวกนั้นปกติแล้วไม่ได้สนใจแม้แต่จะชายตาแลเขาด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้กลับจ้องมองมาอย่างไม่ละสายตา
กำลังนินทาเรื่องอะไรกันนะ แหงอยู่แล้วสิ คงจะไม่พ้นประโยคที่ว่า ‘โชยูแจกับพัคจินฮวานดูไม่เหมาะกันเลยจริงๆ’
จินฮวานดันคิมบับไส้ทูน่าที่ตัวเขาไม่ได้ขอไปไว้ตรงหน้ายูแจ ยูแจทอดสายตามองคิมบับตรงหน้านิ่ง ก่อนจะเหลือบไปมองด้านหลัง พวกเด็กนักเรียนที่มองพวกเขาอยู่นั้นก็พลันรีบเบนสายตาหนีในทันที
ยูแจหันกลับมามองตรงหน้าอีกครั้งพลางคลี่ยิ้มให้ เขาบอกขอบคุณก่อนจะเริ่มกินคิมบับไส้ทูน่าอย่างเอร็ดอร่อยจนหมด
“ยังไงฉันก็คงต้องขอบคุณฮันจุนที่ทำให้พวกเราได้มีโอกาสสนิทกันมากขึ้นแบบนี้ เพราะงั้นฉันก็เลยเรียกนายมาเพื่อที่จะขอโทษนี่แหละ ขอโทษสำหรับเรื่องครั้งที่แล้วนะ”
“ไม่…”
“อย่าบอกว่าไม่ต้องขอโทษก็ได้ ฉันมันแย่เองนั่นแหละ ส่วนไอ้เรื่องที่ฉันเคยพลั้งปากพูดออกไปนั่นน่ะ ฉันสาบานเลยว่าฉันไม่เคยเอาไปพูดให้แชยองฟัง แล้วฉันก็ไม่คิดจะพูดด้วย”
“…”
“เพราะงั้นนายช่วยยกโทษให้ฉันได้ไหม”
“ทำไมถึง…พูดอะไรแบบนั้นเล่า บรรยากาศระหว่างนายกับแชยองดีจะตาย กลับกันแล้ว ถ้าเราทำให้นายรู้สึกแย่ เราเองนั่นแหละที่ผิด”
ยูแจเตรียมใจรอรับคำด่าได้เพียงเสี้ยววินาทีก็พลันต้องยักไหล่ขึ้นอย่างเก๊กๆ
“ฉันกับแชยองเป็นเพื่อนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันตอนนี้ก็คือเรื่องการสอบซูนึง และตอนนี้ฉันก็กำลังขอโทษเรื่องที่ฉันพูดไม่ดีกับนายอยู่นะ ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรให้ซับซ้อนเลย”
“…”
“นายเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือการสอบให้ได้คะแนนสูงๆ แล้วก็เข้ามหา’ลัยดีๆ ไม่ใช่หรือไง”
“ใช่”
“ถ้างั้นเราก็มาตั้งใจอ่านหนังสือไปด้วยกันเถอะ เนอะ?”
ยูแจย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยทำทีเป็นจริงจัง ก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างซุกซน จินฮวานพยักหน้ารับ เขาโล่งใจจนรู้สึกอายตัวเองที่มัวแต่นั่งกลัวอีกฝ่ายและคิดมากมาตั้งนาน
แม้ว่าจินฮวานคิดจะคบกับยูแจแค่ผิวเผิน แต่ฝ่ายยูแจนั้นกลับรับจินฮวานเข้ามาเป็นเพื่อนอย่างจริงใจ
หลังจากกินข้าวเสร็จ ยูแจก็ลุกขึ้นจากที่นั่ง คนที่นั่งอยู่แถวนั้นต่างก็ชำเลืองมองมาทางพวกเขาเป็นตาเดียวกัน ยูแจเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะยกแขนขึ้นโอบไหล่จินฮวานอย่างไม่ลังเล จินฮวานตัวเตี้ยกว่ายูแจนับสิบเซนติเมตร ทำให้เวลาเดินจึงดูเหมือนว่าเขากำลังเอนตัวพิงอกของยูแจอยู่
เมื่อเดินไปจนใกล้ถึงสถาบันสอนพิเศษ มีเด็กนักเรียนมากมายกำลังเดินกันพลุกพล่าน ทุกครั้งที่พวกเขาสองคนก้าวเท้าเดินก็จะมีสายตาจับจ้องมองตามมาไม่ขาด พร้อมกับเสียงพูดคุยที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์
“ทำไมพัคจินฮวานกับโชยูแจถึงได้…”
“เฮ้ย ดูนั่นดิ”
“แล้วซอฮันจุนไปอยู่ไหนซะแล้วล่ะ”
“นี่! โชยูแจ!”
และแล้วเสียงของผู้หญิงที่เขาชอบก็ดังขึ้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เรียกชื่อของเขา แต่จินฮวานก็หันหน้าไปยังทิศทางของเสียงนั้นด้วยความยินดี แชยองยิ้มอย่างสดใสพลางวิ่งเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆ เธอมองยูแจกับจินฮวานสลับกันไปมา ก่อนจะเอ่ยปากถาม
“ทำไมวันนี้พวกนายไปกินข้าวด้วยกันสองคนล่ะ”
ยูแจก้มลงมองจินฮวานด้วยสายตาเอ็นดูแล้วตอบกลับไป
“แล้วฉันกินข้าวกับหมอนี่ไม่ได้หรือไงล่ะ”
แชยองเหลือบมองมาทางจินฮวานหลังจากได้ยินคำพูดนั้น ในขณะที่จินฮวานเชิดคางขึ้นและเงยหน้าอย่างภาคภูมิใจ
* ปลาซันฟิช หรือปลาพระอาทิตย์ เป็นปลาที่ตกใจจนตายได้ง่าย จึงมักนำไปเรียกเพื่อเปรียบเทียบคนขวัญอ่อนหรือคนที่ขี้ตกใจว่าเป็นปลาซันฟิช
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.