X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักออกจากจวนมาไขคดี

ทดลองอ่าน ออกจากจวนมาไขคดี บทที่ 519-521

หน้าที่แล้ว1 of 3

บทที่ 519 คราบบนสาบเสื้อ

เผยซู่สีหน้าเคร่งขรึม นิ้วกุมด้ามกระบี่แน่น ไม่พูดไม่จาอันใด

เฉินอิ๋งจ้องเขาเขม็ง ใบหน้าไม่ปรากฏท่าทีลังเลแม้แต่น้อย “คืนเกิดเรื่อง คนร้ายสวมเสื้อผ้าคล้ายเฉียนเทียนเจี้ยงพร้อมเทสุราลงบนตัว จนทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา ก่อนจะสวมรอยเป็นเฉียนเทียนเจี้ยง หลังคำนวณเวลาชัดแจ้ง เขาก็จงใจให้คนบอกเวลากับหญิงรับใช้สูงวัยเดินยามเห็นเขาเดินเข้าออกห้องส้วม จะได้เป็นพยานยืนยันให้กับปรากฏการณ์ลวงเรื่องเฉียนเทียนเจี้ยงพลัดตกบ่อน้ำ”

เผยซู่นิ่งเงียบ เขากำลังพยายามระงับอารมณ์โกรธขึ้งปรามไม่ให้ตนเองชักกระบี่ออกมา

ถึงจะมีลางสังหรณ์อยู่ก่อนหน้า ในใจหรือก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรบางอย่างผิดปกติ แต่ครั้นได้ยินเฉินอิ๋งเล่าความจริงออกมากับหูเช่นนี้ เพลิงโทสะในใจก็ยิ่งลุกโหม นึกโมโหที่ไม่อาจลงมือสังหารคนร้ายด้วยมือตนเอง

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ น้ำเสียงชวนประหวั่นของเขาก็ดังขึ้น “เฉียนเทียนเจี้ยงตายได้เช่นไร”

“จากผลการตรวจสอบที่เกิดเหตุ รวมถึงบันทึกปากคำให้การ ผนวกกับการอนุมานของข้า ข้าคิดว่าผู้ตายน่าจะถูกฆ่าตายอยู่ในห้องนอนก่อน หลังจากนั้นถึงได้ถูกเอาศพไปโยนทิ้งบ่อน้ำ” เฉินอิ๋งบอก นางสวมถุงมือเดินไปที่ไม้กระดานวางศพ เลิกผ้าขาวออก ยกศีรษะของเฉียนเทียนเจี้ยงขึ้น และชี้ไปยังบาดแผลที่ส่งผลถึงแก่ความตายนั่น

“พูดถึงบาดแผลนี้ก่อน” นางขยับส่วนหัวของศพให้มันหันไปทางเผยซู่อย่างเบามือ “เท่าที่ข้ารู้ ถึงการตกจากที่สูงจะสามารถทำให้เกิดบาดแผลเช่นนี้ได้ ทว่ายังมีความเป็นไปได้อีกอย่างที่สามารถทำให้กระดูกต้นคอ…”

“ข้าเข้าใจแล้ว” เผยซู่เอ่ยปากตัดบทขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาขยับขึ้นหน้า ประคองรับศีรษะของผู้ตายมาจากมือของเฉินอิ๋ง สองมือเหยียดยื่นมาจากทางด้านหลัง มือข้างหนึ่งขยับขากรรไกรล่างของศพ ส่วนมืออีกข้างก็ตรึงข้างแก้มของศพไว้ ทำท่าบิด “เขาถูกคนหักคอ”

“ถูกต้อง” เฉินอิ๋งพยักหน้า “การเคลื่อนไหวนี้สามารถทำให้กระดูกต้นคอหลุดจากตำแหน่ง อีกทั้งยังทำให้คนตายได้ทันที หลังจากนั้นผู้ตายก็ถูกคนร้ายทิ้งลงมาจากที่สูงจนกะโหลกศีรษะกระดูกต้นคอแตกหักหลายจุด ทำให้สาเหตุการตายที่แท้จริงถูกร่องรอยกระดูกหักพวกนั้นกลบไปจนหมดสิ้น”

นางเดินไปยังอีกด้านของศพ น้ำเสียงใสสะอาดลอยละล่องอยู่ที่ข้างหูของเผยซู่ “ตอนนี้ข้าจะเล่าถึงการอนุมานทั้งหมดของข้าให้ท่านฟัง เริ่มต้นกันที่เวลาตายของเฉียนเทียนเจี้ยง”

นางหยิบเอาเสื้อตัวกลางสีขาวที่อยู่ในกองเสื้อผ้านั่นออกมา ชี้ไปยังคราบสีฟ้าบนเสื้อ “เสื้อตัวกลางที่มีสีตกใส่นี้เป็นหลักฐานแรกที่ทำให้ข้าคิดว่าการตายของเฉียนเทียนเจี้ยงเป็นการถูกผู้อื่นฆ่า และเป็นหนึ่งในหลักฐานที่สำคัญที่สุด”

เผยซู่นิ่งเงียบอีกครา สีหน้าเย็นเยียบชวนประหวั่น

ถึงจะเห็นท่าทีของอีกฝ่ายอยู่ในสายตา แต่ถึงกระนั้นเฉินอิ๋งก็มิได้แสดงอาการอันใดออกมามากมายนัก นางวางเสื้อตัวกลางลงก่อนจะหยิบเอาเสื้อคลุมสีฟ้าเทาขึ้นมา เลิกเปิดให้เห็นถึงซับในของมัน “พวกเรามาดูเสื้อตัวนี้ก่อน เสื้อตัวนี้เป็นเสื้อสองชั้น มีด้านในกับด้านนอก หากไม่ใช่เพราะเปียกโชกจริงๆ สีฟ้าด้านนอกไม่มีทางซึมทะลุผ้าซับใน ย้อมถูกเสื้อตัวกลางได้ ด้วยเพราะเหตุนี้หลังพบรอยเปื้อนบนเสื้อตัวกลาง ข้าก็นึกสงสัยแล้วว่าคดีนี้ต้องมีสายสนกลในอะไรบางอย่าง”

นางวางเสื้อกลับเข้าที่ด้วยสายตาเมินเฉย “เฉียนเทียนเจี้ยงตกบ่อตาย นอนอยู่ที่ก้นบ่อเปียกชื้นนานหกชั่วยาม หรืออาจจะมากกว่านั้น ใบหน้า หู และมือของเขาล้วนสะอาดสะอ้าน จะมีก็แต่ท้ายทอยเท่านั้นที่มีคราบฝุ่นอยู่เล็กน้อย ด้านหลังของเสื้อคลุมหรือก็มีคราบสกปรกอยู่นิดหน่อย เห็นได้ชัดว่าสภาพศพตอนถูกพบเห็นอยู่ในท่านอนหงาย”

“ถูกต้อง” เผยซู่กล่าวยืนยัน “ตอนงมศพ ร่างของเขานอนหงายอยู่จริงๆ ขาทั้งสองข้างพับอยู่ใต้ร่าง งอเข้าด้วยกัน”

นางยิ้มให้กับเขา “เอาล่ะ พวกเรารู้แล้วว่าเขาตายอยู่ในสภาพนอนหงาย ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเสื้อผ้าด้านหลังของเขาสัมผัสอยู่กับดินโคลนเปียกชื้นเป็นเวลานาน ทว่าเสื้อตัวกลางนั้นด้านหลังของมันกลับสะอาดสะอ้าน”

เฉินอิ๋งหยิบเอาเสื้อตัวกลางสีขาวนั้นขึ้นมาอีกครั้ง พลิกหันด้านหลังให้เผยซู่ดู “ดังนั้นข้ออนุมานแรกที่ข้าได้ก็คือระดับความชื้นของพื้นดินก้นบ่อนั้นไม่อาจทำให้สีของเสื้อตัวนอกตกใส่เสื้อตัวกลางได้ ซึ่งก็ทำให้ข้าได้ข้ออนุมานที่สองตามมา สาบเสื้อของเฉียนเทียนเจี้ยงน่าจะแช่อยู่กับน้ำปริมาณมาก ทำให้สีตกรุนแรง ย้อมสาบเสื้อตัวกลางที่อยู่ด้านในจนกลายเป็นสีฟ้า”

นางชักเท้าเดินช้าๆ น้ำเสียงสงบนิ่ง “เมื่อครู่ท่านเองก็บอกว่าผู้ตายนอนหงายอยู่ในบ่อ หากจะบอกว่าเพราะเมื่อคืนฝนตก น้ำฝนทำสาบเสื้อของผู้ตายเปียกโชกจนเกิดผลลัพธ์อย่างที่เห็นอยู่ในเวลานี้ คำพูดดังกล่าวย่อมฟังดูมีเหตุผล ทว่าหากคำพูดนี้ฟังขึ้น เช่นนั้นมันย่อมนำมาซึ่งคำถามใหม่ประการหนึ่ง”

นางก้มหน้าพลิกดูบันทึกในมือพลางบอก “จากปากคำให้การของคนบอกเวลากับหญิงรับใช้สูงวัยเดินยาม เมื่อคืนตอนพวกเขาเห็น ‘เฉียนเทียนเจี้ยง’ ปรากฏกาย มันเป็นช่วงหลังกลางยามจื่อหนึ่งเค่อ ทว่าในเวลานั้นฝนหยุดตกแล้ว”

นางมองไปทางเผยซู่ สีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดียวกัน “เมื่อคืนข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม เพราะไม่คุ้นชินนักจึงตื่นขึ้นมากลางดึกสองครั้ง ข้าจำได้ชัดว่าตอนตื่นขึ้นมาครั้งที่สอง กาน้ำหยดบอกเวลายามจื่อตรง นอกหน้าต่างไม่มีเสียงฝนแล้ว แต่เพราะกลัวจะจำผิด ข้าจึงซักถามคนบอกเวลากับหญิงรับใช้สูงวัยเดินยามนั้นอีกครั้งอย่างละเอียด พวกเขาต่างยืนยันว่าเมื่อคืนต้นยามจื่อสองเค่อโดยประมาณ ฝนหยุดตกโดยสิ้นเชิงแล้ว”

เผยซู่ตะลึงมองดูนางด้วยใจที่เต้นโครมคราม ช่องโหว่ใหญ่โตเช่นนี้แต่เขากลับมองไม่เห็น!

ตอนซักถามปากคำ เขาสนใจก็แต่สิ่งที่พยาน ‘พบเห็น’ แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนว่าเสื้อผ้าเปียกชื้นกับเวลาที่พยานพบเห็นผู้ตายนั้นกลับขัดแย้งกันเอง

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเฉินอิ๋งพูดขึ้นอีก “หากว่ากันตามแนวคิดเช่นนี้ ความเป็นไปได้ที่สาบเสื้อของผู้ตายจะถูกน้ำฝนสาดซัดจนเปียกชุ่มย่อมสามารถตัดทิ้งได้ แล้วหากผู้ตายตกลงไปหลังฝนหยุดตก สาบเสื้อนั้นจะ ‘เปียกชื้น’ ได้เช่นไร ดังนั้นข้าจึงคิดว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เสื้อเขาถูกทำเปียกจากที่อื่น”

คำถามนี้เห็นได้ชัดว่านางกำลังถามตนเอง เผยซู่ฉลาดพอที่จะไม่ต่อความ

เฉินอิ๋งเริ่มตอบคำถามเอง “เอาเป็นว่าพวกเราสมมติกันก่อนก็แล้วกันว่าบางทีก่อนตกลงไปในบ่อผู้ตายทำสุราหกหรือไปสัมผัสกับน้ำเข้าจนเป็นเหตุให้สาบเสื้อเปียกชื้น ดังนั้นเมื่อครู่ตอนตรวจสอบที่เกิดเหตุ ข้าถึงคอยมองหาแหล่งน้ำอยู่ตลอดเวลา”

รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉินอิ๋ง “ที่แรกที่สามารถตัดออกไปได้คือธารน้ำในสวนนั่น หนึ่งเพราะที่พำนักของผู้ตายอยู่ห่างจากธารน้ำนั่นค่อนข้างไกล สองเสียงตกน้ำดังเกินไป หากเป็นเช่นนั้นจริง คนที่อยู่แถวนั้นไม่ว่าเช่นไรก็ต้องได้ยินแน่ สามน้ำนั่นลึกไม่ใช่น้อย หากตกลงไปเนื้อตัวเขาต้องเปียกชุ่มไปกว่าครึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะเปียกแค่สาบเสื้อ”

นางหยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวอนุมานต่อ “นอกจากนี้ข้ายังตัดห้องส้วมออกไปด้วย ที่นั่นเป็นส้วมหลุม ไม่มีน้ำอันใดแม้แต่น้อย หลังจากนั้นข้าก็นึกถึงห้องพักของผู้ตายขึ้นมาอีกครั้ง ถูกต้อง ข้าวของภายในห้องนั้นไม่ว่าจะอ่างน้ำ กาน้ำชา เหยือกสุราต่างล้วนสามารถทำให้เกิดผลลัพธ์เช่นนั้นได้ ทว่าการอนุมานนี้สุดท้ายก็ถูกหักล้างหมดสิ้น”

นางหยิบเอาบันทึกออกมาจากแขนเสื้อ เทียบกับเนื้อหาที่บันทึกอยู่ทางด้านบน “จากปากคำให้การของบ่าวทั้งสองคน เมื่อวานหลังกินข้าวเย็นเสร็จ สุราขวดสุดท้ายที่อยู่ในห้องถูกผู้ตายดื่มเกลี้ยง เขาเมาอ้อแอ้สั่งให้บ่าวคู่นั้นไปเอาสุรามาอีก พวกเขาสองคนเก็บข้าวของเครื่องใช้อย่างหวีผ้าเช็ดหน้าอ่างล้างหน้าต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย พร้อมนำเสื้อผ้าสำหรับวันพรุ่งนี้ออกมาวางไว้ให้เฉียนเทียนเจี้ยงก่อนจะกลับห้องไป”

นางหยุดอีกครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ “วันรุ่งขึ้นตอนเอาอาหารเช้าเข้ามาให้ เพราะเห็นม่านมุ้งยังคงปล่อยระพื้นอยู่ พวกเขาจึงคิดว่าผู้ตายยังไม่ตื่นเลยไม่ได้ปลุกอีกฝ่าย ในเวลานั้นชาที่อยู่ในกาด้วยเพราะไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อน บ่าวหนึ่งในสองคนนั้นจึงเอามันไปเททิ้ง เปลี่ยนชาใหม่ให้เฉียนเทียนเจี้ยงก่อนจะถอยกลับออกไปอีกคราว”

บทที่ 520 หนึ่งเรือนไม่กวาด

เฉินอิ๋งปิดสมุดบันทึกตามองไปทางเผยซู่ “คำให้การของบ่าวสองคนนั้นต่างยืนยันตรงกัน ตอนเบิกความเป็นพยาน ท่าทางของพวกเขาหรือก็เป็นธรรมชาติ ตรรกะอันใดล้วนไม่มีช่องโหว่ เท่าที่ข้าเห็นไม่น่าจะมีปัญหาอันใด พอจะบอกโดยรวมๆ ได้ว่าที่พวกเขาพูดมาทั้งหมดล้วนเป็นความจริง”

พอพูดจบสีหน้าท่าทางของนางก็กลับกลายเป็นลึกล้ำ “จนถึงตอนนี้ข้าคงได้แต่ต้องกลับไปยังข้อสันนิษฐานแรกใหม่อีกครั้ง ซึ่งก็คือเปียกฝน”

“เปียกฝน?” เผยซู่มองดูเฉินอิ๋งด้วยแววตาสงสัย “ทว่าเวลาไม่สอดคล้อง…”

จู่ๆ เขาก็เหมือนตระหนักอะไรได้บางอย่าง รูม่านตาหดเล็กลง ใบหน้าเคร่งขรึม

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” เขาพยักหน้า ใบหน้าคล้ำเขียว “ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว จุดสำคัญยังคงอยู่ที่เรื่องของเวลา”

“ใช่แล้ว เวลา” เฉินอิ๋งพูดซ้ำอีกครั้ง เอ่ยปากยืนยันถึงการอนุมานของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาก่อนจะพูดเสริม “อย่างน้อยตอนต้นยามจื่อร่างของเฉียนเทียนเจี้ยงก็น่าจะตกลงไปอยู่ที่ก้นบ่อแล้ว อาบน้ำฝนอยู่อย่างน้อยก็สองเค่อ หาไม่สาบเสื้อของเขาย่อมไม่มีทางเปียกโชกเช่นนั้น ทว่าคนที่ตายไปในช่วงต้นยามจื่อกลับมาปรากฏตัวราวกับภูตผีในช่วงกลางยามจื่อหนึ่งเค่อ หนำซ้ำยังถูกคนสองคนพบเห็นเข้า หากคนผู้นั้นไม่ใช่ภูตผีปีศาจ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น หรือก็คือเป็นไปตามการอนุมานของข้าก่อนหน้านี้”

“คนร้ายปลอมตัวเป็นเฉียนเทียนเจี้ยง กระทำการบ้าระห่ำ อาศัยเรื่องอุบัติเหตุตกจากที่สูงกลบเกลื่อนข้อเท็จจริงที่ว่านี่เป็นการฆ่าคนตาย” เผยซู่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ถูกแล้ว” เฉินอิ๋งพยักหน้า หลุบตามองดูบันทึกในมือ รอยยิ้มยังคงไม่จางหาย “ข้าพูดถึงข้อสันนิษฐานเรื่องเวลาการตายของเฉียนเทียนเจี้ยงจบแล้ว หลังจากนี้ข้าจะอนุมานถึงเรื่องสถานที่ตายของเขา เรื่องนี้หลักฐานมีอยู่ด้วยกันสองชิ้น”

นางเงยหน้ามองเผยซู่ ชี้ไปยังกองเสื้อผ้าของผู้ตายที่วางอยู่หน้าเขา “หลักฐานชิ้นแรกคือรองเท้าของผู้ตาย”

พอได้ยินเช่นนั้นเผยซู่ก็รีบหยิบรองเท้าคู่นั้นขึ้นมา

เฉินอิ๋งบอกเขา “ไม่รู้ว่าอาซู่สังเกตเห็นหรือไม่ พื้นรองเท้าของผู้ตายเรียกได้ว่าสะอาดสะอ้าน แทบไม่มีคราบสกปรกอันใด”

“เช่นนั้นหรือ” เผยซู่เลิกคิ้ว พลิกพื้นรองเท้าขึ้นดู ก่อนจะพบว่าพื้นรองเท้านั้นสะอาดหมดจดจริงๆ มีฝุ่นจับอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เฉินอิ๋งกล่าวต่อ “ไม่รู้ว่าท่านได้สังเกตหรือไม่ เส้นทางหินในจวนส่วนใหญ่ล้วนมีวัชพืชงอกเงยอยู่เต็มไปหมด หนำซ้ำยังลื่นมากอีกด้วย ยิ่งวันฝนตกด้วยแล้ว เกรงว่าจะเดินกันไม่ง่าย เมื่อครู่ข้าสังเกตเห็นว่าแม้แต่ท่านเองก็ยังเดินบนพื้นโคลน”

หลังจากย้อนคิดดูครู่หนึ่ง เผยซู่ก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาพยักหน้า “เดิมข้าเองก็หาได้รู้สึกไม่ แต่พอคิดๆ ดู มันเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ”

เมื่อพูดจบเผยซู่ก็เข้าใจได้ทันที เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “คำพูดของเจ้านี้ข้าเข้าใจแล้ว หากเฉียนเทียนเจี้ยงตายอยู่นอกห้อง เมื่อคืนฝนตก เส้นทางต่างๆ ย่อมกลายเป็นดินเลนหมดสิ้น พื้นรองเท้าของเขาไหนเลยจะสะอาดสะอ้านเพียงนี้ได้”

“นี่เป็นเพียงเหตุผลประการหนึ่งเท่านั้น” ริมฝีปากของเฉินอิ๋งยกโค้ง นางก้มหน้ามองดูบันทึก “บ่าวทั้งสองคนให้ปากคำว่ารองเท้าถุงเท้าที่เขาจัดเตรียมไว้ให้ผู้ตายนั้นล้วนเพิ่งซักทำความสะอาด จากคำให้การของพวกเขา รองเท้าถุงเท้าที่พวกเขาจัดเตรียมไว้ก็คือของสองชิ้นที่พวกเราเห็นอยู่ในเวลานี้ นี่ก็แสดงให้เห็นชัดว่าเมื่อคืนตอนผู้ตายเข้านอน เสื้อผ้าเหล่านี้อยู่ที่ปลายเตียงของเขา”

นางช้อนตามองเผยซู่ สีหน้าหนักแน่นมั่นคง “จากการสันนิษฐานขั้นต้นของข้า ห้องของผู้ตายถึงจะเป็นสถานที่เกิดเหตุแรก”

เผยซู่พยักหน้าไม่พูดไม่จาอันใด

เฉินอิ๋งกล่าวขึ้นอีก “ส่วนหลักฐานชิ้นที่สองที่ยืนยันถึงข้อสันนิษฐานนี้ก็คือรอยเท้าครึ่งหนึ่งที่อยู่ใต้หัวเตียงของผู้ตาย”

เผยซู่เงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มีรอยเท้าด้วยกระนั้นหรือ

จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ เมื่อครู่ตอนตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ เฉินอิ๋งได้มุดเข้าไปดูที่ใต้เตียงของเฉียนเทียนเจี้ยง ที่แท้นางก็พบเจอเบาะแสสำคัญเช่นนี้

เผยซู่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี เขาทำได้แต่เพียงล้างหูรอฟัง

เฉินอิ๋งชักเท้าขยับเข้าไปใกล้เผยซู่ แสดงภาพร่างบนสมุดบันทึกให้เขาดู “อาซู่ท่านดู นี่คือภาพร่างใต้เตียงของผู้ตายที่ข้าวาดไว้”

เผยซู่ก้มมอง เห็นบนภาพมีจุดดำเล็กๆ กระจายเป็นวงกว้างอยู่หลายจุด มุมบนซ้ายมีตัวอักษรคำว่า ‘ฝุ่นละออง’ เขียนไว้สองคำ ส่วนที่อยู่กลางจุดดำมีตัวอักษรเขียนไว้อยู่สองสามแห่ง แบ่งเป็น ‘รอยเท้า’ ‘ถุงเท้าสกปรก’ ‘กระดูกไก่’ และอื่นๆ

เผยซู่รู้สึกประหลาดใจ พูดถึงรายละเอียดของคดีกันอยู่ดีๆ เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายเป็นเรื่องพวกนี้ได้

เฉินอิ๋งมองดูเขา สีหน้ายังคงสงบนิ่งเหมือนเช่นทุกครั้ง “ห้องของเฉียนเทียนเจี้ยงแม้จะนับได้ว่าสะอาด ทว่าใต้เตียงกลับสกปรกยิ่ง ข้าทายว่าเขาต้องขี้เกียจมากเป็นแน่ อีกอย่างคนที่ท่านส่งมาสองคนนั่นก็น่าจะไม่ปัดกวาดทำความสะอาดสักเท่าใดนัก”

มุมปากของเฉินอิ๋งขยับเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “เมื่อครู่ตอนสำรวจที่เกิดเหตุ ข้าจงใจมุดเข้าไปใต้เตียง พบว่าใต้เตียงของผู้ตายเต็มไปด้วยข้าวของสารพัด ถุงเท้าสกปรก กระดูกไก่พวกนี้ล้วนมีฝุ่นจับหนา ดูท่าอย่างน้อยก็สิบกว่าวันแล้วที่ไม่มีคนทำความสะอาด และด้วยเพราะเหตุนี้รอยเท้าครึ่งท่อนนี้ถึงได้ประทับอยู่ที่นี่”

นางชี้ไปยังจุดที่นางทำเครื่องหมายไว้ ก่อนจะหมุนหน้ากระดาษไปทางเผยซู่เพื่อให้เขาเห็นได้โดยสะดวก “ท่านดู รอยเท้านี้ปลายเท้าหันไปทางปลายเตียงอีกทั้งยังใหม่อยู่มาก เทียบกับระดับความสกปรกยุ่งเหยิงใต้เตียงรวมถึงระดับความสกปรกของที่นอนหมอนมุ้งแล้ว ข้าสามารถบอกท่านอย่างมั่นอกมั่นใจได้ว่ามันไม่ใช่ของที่ผู้ตาย บ่าวไพร่ ทหารองครักษ์ทั้งหลายทิ้งเอาไว้แน่ คนพวกนั้นปกติล้วนเกียจคร้านเกินกว่าจะแตะต้องสิ่งต่างๆ เหล่านี้”

เส้นเสียงสะอาดสะอ้านราวเสียงธารน้ำไหลดังอยู่ข้างหูของเผยซู่ ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ เขาก็กลับกลายเป็นเคลิบเคลิ้มราวกับคนเลอะเลือน

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ สมัยยังเป็นเด็กท่านแม่ของเขาคล้ายจะเคยพูดอะไรเช่นนี้มาก่อน

‘สกปรกอะไรเช่นนี้’ สตรีในความทรงจำผู้นั้นทิ้งเกียรติยศแห่งฮูหยินโหวลง หยิบเอาไม้กวาดขึ้นมาถือไว้ ลงมือปัดกวาดใต้เตียงด้วยตนเองพลางมองดูบุรุษหนุ่มผู้องอาจห้าวหาญด้วยสายตาชิงชัง

ทุกครั้งที่เป็นเช่นนั้น บุรุษหนุ่มผู้นั้นก็มักจะยิ้มขัดเขิน ท่าทางราวกับไม่รู้จะวางมือเท้าไว้ที่ใด เอ่ยปากอธิบายหน้าตายว่า ‘ข้าก็เรียกคนมาทำความสะอาดอยู่ทุกวันนะขอรับ’

สตรีนางนั้นฟาดไม้กวาดลงกับพื้นอิฐเต็มแรง สีหน้าชิงชัง ตวาดด่าชายหนุ่ม ‘รู้จักก็แต่ทำความสะอาดเพียงผิวเผิน ใต้เตียงอันใดไม่เคยเก็บกวาด รู้อยู่ว่าตนเองข้อเสียมากมี แทนที่จะเรียกคนมาปรนนิบัติรับใช้ กลับให้ข้าเหนื่อยอยู่ผู้เดียว’

ถึงปากจะพูดเช่นนั้น ทว่าเผยซู่กลับรู้สึกว่าสตรีนางนั้น มารดาของเขา แท้แล้วกลับชื่นชอบยิ่งนัก

ท่านพ่อก็เช่นกัน

เสียงโอดครวญเล็กๆ ถ้อยคำแก้ตัวน้อยๆ พวกนั้นไม่ต่างอันใดกับแสงตะวันที่อาบไล้เถ้าธุลี ทั้งเล็กละเอียดทั้งอบอุ่น

เขายังจำได้ถึงท่าทางยามพูดคุยกันของพวกเขา มุมปาก ดวงตา หว่างคิ้ว ล้วนเอ่อท้นไปด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข

ความคิดอ่านไม่ต่างอันใดกับผืนน้ำที่แผ่กระจายออกไป เผยซู่ถึงกับลืมตัวไม่รู้ว่าตนเองยามนี้อยู่ที่ใด

“…ดังนั้นข้าจึงสันนิษฐานว่าตอนลงมือคนร้ายยืนอยู่ที่หัวเตียง” ในที่สุดเฉินอิ๋งก็กล่าวสรุป ครั้นเงยหน้าขึ้น นางก็พบว่าสีหน้าของเผยซู่ไม่ปกติ

“ท่านกำลังคิดอันใดอยู่ เป็นอะไรหรือไม่” นางถามเผยซู่ สองตาจับจ้องอยู่บนร่างของเขา

ทันใดนั้นเผยซู่ก็ราวกับถูกของร้อนลวกจากอกถึงแขนขา เจ็บปวดราวกับถูกไฟเผา

เขาพลันได้สติขึ้นมาทันที

ขณะที่การวิเคราะห์คดีกำลังดำเนินไปถึงจุดสำคัญ จู่ๆ เขากลับใจลอยไปเสียเฉยๆ นับว่าผิดต่อน้ำใจของเฉินอิ๋งโดยแท้

“ไม่มีอะไร” เขาไอกลบเกลื่อนออกมาคราหนึ่ง มือที่กุมอยู่บนด้ามกระบี่กลับเปลี่ยนมากุมหน้าผาก “คดีนี้มีจุดสงสัยมากมาย เพียงแต่ก่อนเจ้ามาข้ากลับไม่รู้สึกเลยสักนิด”

ยังไม่ทันพูดจบ น้ำเสียงของเขาก็กลับกลายเป็นจริงจัง เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเฉินอิ๋ง ท่าทางหนักแน่นมั่นคง

“อาอิ๋ง โชคดีที่มีเจ้าอยู่ สถานการณ์ถึงกลับกลายเป็นดีขึ้นเช่นนี้” เขาพูดด้วยเส้นเสียงชวนเคลิบเคลิ้มคล้ายฝากแฝงซึ่งกลิ่นหอมของสุราชั้นเลิศ

บทที่ 521 ภาพร่างขั้นต้น

เมื่อเฉินอิ๋งได้ยินเช่นนั้นนางก็โบกมืออย่างไม่ถือสา ทว่าที่นางครุ่นคิดอยู่กลับเป็นอีกเรื่อง

“เฉียนเทียนเจี้ยงถูกคนสังหาร เรื่องนี้พวกเรามั่นใจได้ ทว่า…” นางมองไปทางเผยซู่ สายตาฝากแฝงไว้ซึ่งความรู้สึกกลัดกลุ้มกังวล “…คนร้ายผู้นี้น่าจะเป็นคนใน หากข้าคาดเดาไม่ผิด คนที่ลงมือสังหารเฉียนเทียนเจี้ยงน่าจะอยู่ในจวนนี้”

ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกจากปากของเฉินอิ๋ง กลิ่นอายบนตัวของเผยซู่ก็เย็นเยียบลงอย่างรวดเร็ว

“เทียบกับการตัดสินคดีนี้แล้ว ข้ารู้สึกว่าการจับคนร้ายตัวจริงให้ได้นั้นยากเย็นยิ่งกว่า” เฉินอิ๋งพูดต่อ สีหน้ากลัดกลุ้มจริงจัง “ทุกคนในจวนล้วนแต่น่าสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความเป็นไปได้ที่ว่าเรื่องนี้คนร้ายอาจไม่ได้ลงมือคนเดียว เบื้องหลังอาจมีคนช่วยวางแผนด้วย”

พอพูดถึงจุดนี้สีหน้าของเฉินอิ๋งก็เคร่งขรึม มีหนอนบ่อนไส้อยู่ข้างกายเผยซู่ แค่คิดถึงจุดนี้แผ่นหลังของนางก็หนาวสะท้านแล้ว

ทว่าครั้นคิดดูอีกที เรื่องนี้เหมือนจะไม่ใช่เรื่องแย่แต่อย่างใด อย่างน้อยการตายของเฉียนเทียนเจี้ยงก็พิสูจน์ให้เห็นชัดถึงข้อสงสัยตลอดสิบกว่าปีมานี้ของสกุลเผย

การตายของเผยก่วงบิดาของเผยซู่เกิดขึ้นจากเงื้อมมือของคนกันเอง

นั่นเป็นการจงใจฆ่าและมีการวางแผนอยู่ก่อนล่วงหน้า ซึ่งเป้าหมายก็ชวนให้คนรู้สึกหนาวสะท้านยิ่งนัก

กองกำลังทั้งสองทำสงครามกัน แม่ทัพสิ้นชีวิต นี่มิใช่เรื่องความเป็นความตายของคนผู้เดียว แต่กลับเป็นความรุ่งเรืองล่มสลายของทั้งกองทัพทั้งแผ่นดิน หากมิใช่เพราะกองกำลังสกุลเผยยอมทุ่มเทเสียสละใหญ่หลวงเพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะแล้วล่ะก็ ยามนี้ต้าฉู่ไหนเลยจะรุ่งเรืองรุ่งโรจน์เยี่ยงนี้ได้

ไม่มีผู้ใดกล้ารับประกัน

ครั้นอนุมานดูจากเส้นเวลา ตอนซีอี๋รุกเข้าประชิดชายแดนเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับคังอ๋องก่อกบฏ ทั้งสองฝ่ายทำงานสอดประสานกันอยู่ไกลๆ ความสัมพันธ์รางเลือนเช่นนี้ทำให้คดีของเฉียนเทียนเจี้ยงนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศทางการเมืองอย่างเห็นได้ชัด

คนที่ปลิดชีวิตเผยก่วง มิได้เป็นเพียงศัตรูธรรมดาๆ หากแต่เป็นพวกกบฏ

ก็เหมือนกับที่เผยซู่บอก คนผู้นี้ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเหล่าเชื้อพระวงศ์ขุนนางชั้นสูง ที่ลงมือลอบฆ่าเฉียนเทียนเจี้ยงนั้นก็เพื่อปิดปากอีกฝ่าย

เฉินอิ๋งรู้สึกได้อยู่เลาๆ ว่าสิบกว่าปีมานี้คนที่ลงมือสังหารเผยก่วงกับคนที่ลงมือปลิดชีวิตเฉียนเทียนเจี้ยง ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนผู้เดียวกันด้วยซ้ำ

ต่อให้ไม่ใช่ คนที่วางแผนก็น่าจะเป็นคนเดียวกันเป็นแน่

“ไม่รู้ว่าอาอิ๋งมีภาพร่าง…ของคนร้ายผู้นี้หรือไม่”

จู่ๆ เสียงของเผยซู่ก็ดังขึ้นที่ข้างหูนาง แผ่วเบานุ่มนวลคล้ายดีดเส้นไล้สายพิณ ปลุกเฉินอิ๋งให้ตื่นจากห้วงคิดคำนึง

นางขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้ดีว่าที่อีกฝ่ายพูดนั้นหมายความเช่นไร

เขากำลังพูดถึงการวิเคราะห์ลักษณะของคนร้าย

ตอนคลี่คลายคดีลอบสังหารบนเขาเสี่ยวสิง เฉินอิ๋งเคยทำการวิเคราะห์ลักษณะของคนร้ายเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้หยวนจยามาก่อน เผยซู่คงรู้เรื่องนี้จากในตอนนั้น

“มีภาพร่างขั้นต้นบางอย่างที่ข้าพอบอกกับท่านได้ในเวลานี้” เฉินอิ๋งกล่าวพลางปลดถุงมือออก เก็บเข้าใส่ในถุงเก็บเครื่องมือ “หากพิจารณาดูจากวิธีการและเวลา จุดเด่นแรกของคนร้ายคือละเอียดรอบคอบ ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากสองสามจุดต่อไปนี้”

นางกดหัวคิ้วลงน้อยๆ น้ำเสียงแผ่วเบาทว่าหนักแน่น “อย่างแรก เขารู้ดีถึงช่วงเวลาการเคลื่อนไหวรวมถึงเส้นทางของการลาดตระเวนยามค่ำคืนของผู้คนในจวนโหวเป็นอย่างดี รวมถึงการตื่นนอนยามค่ำของเฉียนเทียนเจี้ยงและการเคลื่อนไหวอื่นๆ นี่แสดงให้เห็นว่าคนร้ายจับตาพินิจพิจารณาดูพวกท่านมาเป็นเวลานานแล้ว อีกทั้งยังเตรียมการมาเป็นอย่างดี”

ขณะพูดเฉินอิ๋งก็เดินไปหยุดอยู่ที่ข้างหน้าต่าง เงยหน้าทอดสายตามองไกลออกไป

ต้นท้อต้นหลี่ในสวนล้วนทิ้งใบหมดสิ้น ปลิดปลิวลอยละล่อง กลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้าอบอวลอยู่กับผืนน้ำ เมฆบางเหนือเส้นขอบฟ้าคล้อยเคลื่อนเผยให้เห็นถึงท้องฟ้าสีสดใส

น้ำเสียงของนางสงบนิ่งใสกระจ่าง “ประการที่สอง คนร้ายจงใจเลือกลงมือในคืนฝนตก หมายใช้เสียงฝนกลบเสียงการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นน้ำฝนยังชะล้างร่องรอยได้รวดเร็ว สภาพอากาศหรือก็ชวนให้คนรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง สูญเสียความระแวดระวัง เรียกได้ว่าคนผู้นี้ครุ่นคิดรอบคอบระมัดระวังยิ่งนัก ประการที่สาม เขาใช้วิธีการปลอมตัว จงใจให้พยานพบเห็น สร้างสถานการณ์ลวงทำเป็นพลัดตกลงไปในบ่อ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความละเอียดรอบคอบของคนร้ายรายนี้”

นางหยุดพักไปชั่วอึดใจก่อนจะกล่าวต่อ “นอกจากนี้คนร้ายอาจมิใช่บ่าวไพร่ธรรมดาทั่วไป ฐานะของเขาแม้จะไม่สะดุดตาคนนัก แต่ก็มีอำนาจหรือทำการใดได้โดยสะดวกอยู่ประมาณหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเข้าออกจวนได้โดยง่าย อีกทั้งยังสามารถหาซื้อหยูกยาได้ไม่ยาก แม้จะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นก็ไม่เป็นที่ต้องสงสัย”

“ความหมายของเจ้าคือบ่าวไพร่สองคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องนั้นบางทีอาจถูกคนวางยา?” เผยซู่การตอบสนองรวดเร็วยิ่ง เขาถามออกมาทันควัน สีหน้าเย็นเยียบ

“ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ” เฉินอิ๋งยืนหันหลังให้เผยซู่ มีก็แต่น้ำเสียงที่ลอยละล่องไหลเลื่อนไม่หยุด “ทว่าข้าคิดว่ายาที่คนร้ายใช้ไม่น่าจะเป็นยาสลบ เพราะการผสมยาสลบนั้นไม่ง่าย อีกทั้งเศษยาที่เหลือก็ยังกำจัดทิ้งได้ยาก คนผู้นี้เป็นคนละเอียดรอบคอบ ยาที่เขาใช้น่าจะเป็นของที่ค่อนข้างธรรมดา ง่ายต่อการทำให้คนเข้าใจผิดว่าจะนำมาใช้เพื่อการอื่นอย่างยาสงบใจ”

“ยาสงบใจ?” เผยซู่หลุดปากพูดเสียงแผ่ว น้ำเสียงผิดเพี้ยนอยู่เล็กๆ

เฉินอิ๋งหรี่ตาลง นางหันกลับมาอย่างรวดเร็ว “ทำไม ท่านคิดอะไรได้กระนั้นหรือ”

ในยามนี้เผยซู่สีหน้ากลับกลายเป็นเขียวคล้ำ แววตาเย็นเยียบแทบจะทำคนเป็นน้ำแข็งได้

“ท่านพ่อมีลูกน้องเก่าอยู่สองสามคน ยามนี้ล้วนพำนักอยู่ในลานเรือนใหญ่นั่นร่วมกับเฉียนเทียนเจี้ยง” เขาขมวดคิ้ว มือที่ไพล่อยู่ทางด้านหลังกุมเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน “หนึ่งในนั้นมีผู้อาวุโสแซ่เก่ออยู่คนหนึ่ง ระยะนี้เพราะต้องลมหนาว ท่านหมอจึงจ่ายยาให้เขาไม่ใช่น้อย เหมือนจะมียาสงบใจปะปนอยู่ด้วย”

“มียาสงบใจจริงๆ?” เฉินอิ๋งสองตาเบิกกว้างคล้ายไม่นึกอยากเชื่อ นางแค่ยกตัวอย่างเฉยๆ เท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะพูดถูก

“นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญยิ่ง” นางพยักหน้าพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากท่านส่งคนไปสืบค้นเดี๋ยวนี้ เชื่อว่าต้องพบแน่ว่ายาสงบใจนั้นหายไปชุดหนึ่ง”

นางจ้องเผยซู่เขม็ง สีหน้าท่าทางสงบนิ่งไม่มีอันใดผิดปกติ “เมื่อครู่ข้าบอกแล้วว่าทุกคนในจวนล้วนอาจเป็นคนร้ายได้ และคนร้ายอาจมิได้มีเพียงหนึ่ง”

“ข้ารู้แล้ว” เผยซู่พยักหน้าอย่างรวดเร็ว กลิ่นอายบนร่างเย็นยะเยือก “เพียงแต่เมื่อครู่จู่ๆ ได้ยินเจ้าบอกมาเช่นนั้น ข้าก็อดนึกหวั่นใจไม่ได้”

เฉินอิ๋งมองดูเขาอยู่ครู่หนึ่ง คิดอยากเอ่ยปากปลอบใจ แต่เพราะรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์อันใด นางจึงได้แต่ถอนหายใจเท่านั้น

ที่เผยซู่ต้องการในเวลานี้มิใช่การปลอบใจแต่หากเป็นความจริง

นางรีบจัดการเรียบเรียงความคิดอ่านในสมองเสียใหม่ ก่อนจะพูดต่อจากหัวข้อสนทนาเมื่อครู่ “พวกเรามาพูดถึงจุดเด่นที่สามของคนร้ายต่อดีกว่า คนผู้นี้ไม่เพียงใจกล้า แต่ทักษะยุทธ์ยังไม่เลวอีกด้วย ลานเรือนของผู้ตายหน้าต่างประตูอันใดล้วนยังอยู่ในสภาพดี ไม่มีร่องรอยฝืนบุกเข้าไปแม้แต่น้อย ข้าเดาว่าคนร้ายบางทีอาจจะแฝงเข้าไปอยู่ภายในก่อนหน้าแล้ว รอจนบ่าวสองคนหลับสนิทถึงค่อยปรากฏตัวออกมาฆ่าคน หลังจากนั้นก็แบกศพเดินอาดๆ ออกจากประตูไป และโยนศพทิ้งลงในบ่อน้ำแห้งขอดนั่น”

“ออกจากประตู?” เผยซู่ราวกับฟังไม่เข้าใจ เขาขมวดคิ้วถาม “ทว่าประตูลานนั่นแค่ปิดงับไว้เฉยๆ เท่านั้น หากมีคนพบเห็นเข้า แผนการของเขามิเท่ากับถูกทำลายหรือ”

“ไม่ ตรงกันข้าม นี่ต่างหากที่เป็นสิ่งที่คนร้ายต้องการ” เฉินอิ๋งหันหน้ามองออกไปที่นอกหน้าต่าง

ต้นไม้เขียวชอุ่มขยับไหวอยู่ภายใต้แสงตะวัน ดวงตาของนางคล้ายถูกอาบย้อมจนกลายเป็นสีเขียวเข้ม “ผู้ตายออกจากเรือนไปห้องสุขา บังเอิญพลัดตกลงไปในบ่อ หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับมาอีก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ประตูลานไหนเลยจะถูกปิดได้”

เผยซู่ตะลึงไปชั่วขณะ ในใจนึกหวาดประหวั่น

คนร้ายคิดอ่านละเอียดรอบคอบเช่นนี้ โอกาสที่จะจับตัวได้ย่อมไม่ใช่ง่าย ในเมื่อเป็นเช่นนี้อันตรายก็ยิ่งเพิ่มมากเป็นทวีคูณ

เขาหลุบตาลงน้อยๆ สายตาเย็นยะเยือก

ต่อให้ต้องขุดดินลึกสามฉื่อ เขาก็จะไม่ยอมให้คนร้ายตัวจริงมีที่หลบซ่อนได้เป็นอันขาด

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 23 เม.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 3

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: