ทดลองอ่าน เรื่อง The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1
ผู้เขียน : Chelliace
แปลโดย : Lilac M
ผลงานเรื่อง : 관계의 고리
ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน
จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว
หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Trigger Warning
เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง
การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การสะกดรอยตาม
การกล่าวถึงความผิดปกติทางจิตใจหลังเผชิญกับเหตุการณ์รุนแรง
ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ
สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
** หมายเหตุ: ยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **
– – – – – – – – – – – – – – – – –
Chapter 3.4 ชินอูซอ
หลังจากคลาสสุดท้ายจบลงและปล่อยให้จีซอกได้ไปใช้เวลาร่วมกับพี่มินอา ผมก็เดินไปที่ซูเปอร์มาร์เก็ตคนเดียว ถ้าไม่ได้จดของที่จะซื้อในโน้ตมือถือล่วงหน้า ผมก็คงเดินเข็นตะกร้าเปล่าๆ อยู่พักใหญ่แล้วออกมาโดยลืมว่าจะต้องซื้ออะไรบ้างไปแล้ว
โชคดีที่ผมซื้อของที่ตั้งใจจะซื้อมาครบหมดเรียบร้อย แต่ปัญหาคือผมดันจดไอเดียเมนูที่เราสองคนระดมกันคิดขึ้นมาไว้เต็มไปหมด ของที่ซื้อมามากมายเลยกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้งสำหรับผมเพียงคนเดียว
ผมเดินออกมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตและตรงไปที่คอนโดฯ ของจีซอกโดยหิ้วถุงสองใบที่มีของพะรุงพะรังเต็มสองมือข้างละถุง ระหว่างนั้นในหัวก็พลอยคิดถึงภาพแผ่นหลังของจีซอกที่เดินห่างออกไปเคียงข้างกับพี่มินอาไม่หยุด
ความรู้สึกวิตกกังวลของผมในตอนนี้มีมากกว่าความรู้สึกเศร้า การได้เจอกันในรอบหกปีมันก็สมควรจะดีใจอยู่หรอก แต่สายตาที่จีซอกมองพี่มินอานั้นแตกต่างไปจากตอนปกติอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นพอรู้ว่าสเป็กที่จีซอกเคยพูดถึงในอดีตเป็นพี่สาวคนนั้น ผมก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายหมดเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที
นายต้องการอะไรกันแน่ ชินอูซอ
ผมได้แต่ถามตัวเองอยู่อย่างนั้นทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าตัวเองคงไปกับจีซอกไม่รอด ใช่ว่าผมจะไม่เคยคิดถึงภาพใครคนอื่นยืนอยู่เคียงข้างเขา สักวันหนึ่งเขาก็จะได้พบกับผู้หญิงในอุดมคติที่เขาปรารถนาและคบกับเธอคนนั้นไปจนถึงขั้นแต่งงาน ผมตัดสินใจไว้แล้วว่าถึงตอนนั้นผมจะปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายแล้วก็จะไม่แสดงอาการอะไรออกมาอย่างเด็ดขาด
แต่ดูเหมือนว่าจิตใจของคนเรามันจะไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น ตอนนี้หินก้อนเล็กในจินตนาการที่จุกอยู่ในลำคอกำลังครูดลงไปถึงในอกผม ความอิจฉาที่ชูคอขึ้นมาเหนือความสิ้นหวังกำลังสร้างบาดแผลให้กับตัวมันเอง
ผมอยากให้ตัวเองกลายเป็นผู้หญิง
อยากเป็นคนตัวเล็กที่สดใส
อยากเป็นคนที่อายุมากกว่าคังจีซอก
ยิ่งนึกภาพสเป็กของคังจีซอกที่แม้จะมีรายละเอียดน้อยข้อแต่กลับชัดเจนขึ้นมาในหัวมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่ามันห่างไกลจากตัวผมมากขึ้นเท่านั้น ในทางกลับกันพี่มินอาที่คังจีซอกคอยปฏิบัติอย่างอ่อนโยนและตามติดขนาดนั้นกลับดูตรงกับภาพนั้นเอามากๆ จนผมกลัวใจตัวเองเกินกว่าจะกล้าถามออกไปว่าพี่สาวคนนี้คือผู้หญิงในอุดมคติของนายหรือเปล่า
สิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้คือฮึดสู้และพยายามสงบหัวใจที่ว้าวุ่นนี้ลงให้ได้ ถ้าทำแบบนั้นได้ก็คงจะมีสักวันที่ผมสามารถตัดใจจากเขาได้อย่างสบายๆ ราวกับเตรียมใจมาล่วงหน้าแล้ว
ผมจมอยู่ในความคิดขณะที่กำลังเดินอยู่จนลืมแม้กระทั่งน้ำหนักที่ถ่วงรั้งแขนทั้งสองข้างไปเสียสนิท กว่าจะดึงสติกลับมาได้ก็ตอนที่น้ำหนักจากถุงรั้งฝ่ามือจนรู้สึกเจ็บ และในตอนนั้นเองถุงที่มีไข่ไก่อยู่ในนั้นก็ดันมีทีท่าว่ากำลังจะลื่นหลุดจากมือ ผมจึงรีบกระชับมือแล้วจับถุงนั้นให้แน่นอีกครั้ง แต่แล้วก็มีมือของใครบางคนยื่นพรวดเข้ามาจากทางด้านหลัง
“ส่งมานี่”
ผมรีบหันขวับไปตามน้ำเสียงที่คาดไม่ถึง
พี่จีกอนมาหยุดยืนอยู่ด้านหลังของผมตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ผมนึกสงสัยว่าพี่เขามาทำอะไรที่นี่ในเวลาที่พระอาทิตย์เริ่มตกดินแบบนี้ อีกทั้งเขามายืนอยู่ข้างหลังผมได้ยังไงกัน
พี่จีกอนฉวยเอาถุงทั้งหมดไปจากมือของผมแล้วเอามันไปวางลงบนเบาะหลังของรถโดยไม่พูดไม่จา พอถุงที่บรรจุของหนักๆ สองใบหายไปในพริบตา ผมก็สลับนวดฝ่ามือที่เส้นเลือดไม่ไหลเวียนให้ตัวเอง พี่จีกอนปิดประตูหลังดังปังก่อนจะเดินมาคว้ามือของผมไป รอยแดงตรงมือที่จับถุงเมื่อครู่ยังคงเด่นชัดโดยที่รอบๆ รอยที่เป็นเส้นนั้นเป็นสีขาวซีด
“นายน่าจะเรียกพี่นะ”
พี่จีกอนขมวดคิ้วพลางสบตาผมขณะช่วยกดนวดฝ่ามือให้เลือดไหลเวียน พอดวงตาที่คมกริบของเขาหยียิ้มลงเป็นเส้นโค้งอย่างอ่อนโยน ผมถึงได้เปิดปากพูด
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่พี่ต้องแกล้งทำงานดึกเหรอครับ”
“นั่นก็ใช่แหละนะ แต่เหมือนวันนี้เจ้าจีซอกจะกลับบ้านช้า พี่เลยว่าจะกลับเร็วน่ะ”
ผมไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องนี้ได้ยังไง คังจีซอกโทรบอกเขาอย่างนั้นเหรอ
มันอาจจะฟังดูเหลวไหล แต่ผมก็คิดเข้าข้างตัวเองว่าคังจีซอกคงเป็นห่วงผมเลยโทรบอกพี่จีกอน ผมรู้ดีว่าการที่คนเป็นเพื่อนกันจะมาเป็นห่วงเป็นใยในเรื่องยิบย่อยของเพื่อนซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่โตขนาดนี้แล้วนั้นมันช่างน่าขัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็อดที่จะคาดหวังไม่ได้
แต่พี่จีกอนชูมือถือขึ้นมาโชว์ภาพภาพหนึ่งราวกับจะทำลายความหวังนั้นของผมให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ มันคือภาพเซลฟี่ที่จีซอกกับพี่มินอาถ่ายด้วยกัน ดูจากองศาที่ยกมือขึ้นแล้วพี่มินอาน่าจะเป็นคนถ่ายเองกับมือ
“ฮันมินอาส่งมาน่ะ เห็นบอกว่าเดินห้างอยู่กับจีซอกเลยชวนให้พี่ไปด้วย”
พอเห็นภาพนั้นแล้วผมก็ไม่อาจปกปิดหัวใจที่กำลังบอบช้ำของตัวเองได้อีก เพราะคนในภาพที่ดูตื่นเต้นกว่าพี่มินอานั้นไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคังจีซอก พอเห็นเขาพาดแขนบนไหล่ของพี่สาวคนนั้นอย่างสนิทสนมแล้ว ผมก็พลอยรู้สึกเจ็บข้างในใจขึ้นมาแปลบๆ
“ได้ยินว่าเธอสนิทกับพี่นี่ครับ…ผมว่าพี่เองก็ควรจะไปนะครับ”
ถ้าเป็นจีซอกก็น่าจะรู้เวลาที่พี่จีกอนจะต้องออกไปพบคู่แห่งแหวนของตัวเองแล้ว และด้วยเรื่องนั้นพี่เขาก็สามารถเอามาอ้างเพื่อที่จะไม่ไปได้อยู่แล้ว แต่ในเมื่อเธอเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานถึงหกปี แถมพี่จีกอนเองก็ยังสนิทกับเธอยิ่งกว่าจีซอกเสียอีก ถ้าจะไม่ไปเจอหน้าและถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันสักหน่อยมันก็กระไรอยู่
ผมพยายามปั้นหน้านิ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าจะเปล่าประโยชน์สำหรับพี่เขา
“สนิทกันก็จริง แต่ไม่มีเรื่องอะไรให้ถามไถ่กันหรอก”
พี่จีกอนจับมือผมแล้วลากไปที่รถ ก่อนจะยัดผมให้นั่งลงตรงที่นั่งข้างคนขับ จากนั้นก็รัดเข็มขัดนิรภัยให้กับมือพลางมองผมด้วยรอยยิ้มที่ราวกับถอดแบบมาจากคังจีซอก
“อีกอย่างนายเองก็ไม่ได้ต้องการอย่างที่พูดไม่ใช่หรือไง”
เขาพูดราวกับว่าอ่านความรู้สึกของผมออกอย่างหมดเปลือก
เขากำลังพูดเหมือนกับว่าตัวเองเป็นคังจีซอกไม่ใช่คังจีกอน…และพูดในสิ่งที่ผมต้องการมาตลอด
ผมแค่นหัวเราะพลางกดฝ่ามือที่ตอนนี้เลือดไหลเวียนมากเกินไปจนกลายเป็นสีแดงก่ำ
“ผมดูออกขนาดนั้นเลยเหรอครับ”
“เปล่า”
“แล้วพี่รู้ได้ยังไง”
“ต่อให้นายไม่แสดงอาการออกมาพี่ก็รู้อยู่แล้ว…พี่รู้ว่านายกำลังอยู่ในสถานะไหน”
เสียงหัวเราะอันเหือดแห้งหลุดลอดออกมาอีกครั้ง เขาเหมือนกับผมที่คอยเฝ้ามองคังจีซอกอยู่ทุกวัน ถึงภายนอกจะไม่แสดงอาการอะไร แต่ก็รู้ว่าผมกำลังตกอยู่ในสถานะไหน เขาเหมือนผมที่สามารถอ่านความรู้สึกของคังจีซอกได้เพียงแค่มองการกระทำหรือแววตาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น
นี่พี่เขากำลังเลียนแบบภาพของคังจีซอกที่เราต้องการอยู่อย่างนั้นสินะ?
การที่คนหน้าตาคล้ายคังจีซอกมาสร้างบรรยากาศแบบเดียวกันและมาใส่ใจผมอย่างที่ผมต้องการ มันก็ชวนให้ผมรู้สึกหวั่นไหวในซอกมุมหนึ่งของหัวใจแปลกๆ
หลังจากปิดประตูฝั่งข้างคนขับแล้วอ้อมกลับไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ พี่เขาก็ขับรถตรงกลับไปที่คอนโดฯ ทันที ระหว่างทางกลับมือถือของเขาก็สั่นครืดคราดอยู่สองสามครั้ง ถึงผมจะบอกพี่เขาว่ามีสายเรียกเข้าและให้เขารับสายก่อนก็ได้ แต่พอเห็นชื่อสายเรียกเข้าบนหน้าจอ พี่เขาก็ปิดเครื่องทันทีเหมือนรำคาญ แม้จะอยากถามออกไปว่านั่นใช่สายของพี่มินอาหรือเปล่า แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าต่อให้รู้ไปก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอยู่ดีเลยไม่ดึงดันที่จะถามและได้แต่ปิดปากเงียบ
“วันนี้จะทำเมนูอะไร”
พี่จีกอนเอ่ยถามผมในตอนที่มาถึงคอนโดฯ และกำลังขับรถเข้าไปในลานจอดรถ
“วันนี้เป็นซุปเนื้อหัวไช้เท้ากับไข่ต้มซีอิ๊วน่ะครับ แต่พอคิดว่ายังไงก็ต้องกินคนเดียวอยู่แล้วเลยกะว่าจะกินแค่รามยอนน่ะครับ”
ถึงจะซื้อของมาเต็มสองมือเพื่อที่จะทำเมนูพวกนั้นก็เถอะ…
พี่จีกอนที่ปลดเข็มขัดนิรภัยออกขมวดคิ้วพร้อมกับเลิกหางตาขึ้น เพียงเท่านั้นภายในรถก็อบอวลไปด้วยบรรยากาศเย็นยะเยือกที่ต่างไปจากเมื่อครู่นี้อย่างสิ้นเชิง ทำเอาผมรู้สึกเกร็งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ทำไมถึงกินคนเดียว”
“ก็พี่น่าจะกินมาแล้ว…”
ระหว่างที่พูดผมเห็นใบหน้าของพี่เขาที่ยังคงไม่ผ่อนคลายลง ผมเลยเลียบเคียงถามขึ้นอย่างระมัดระวัง
“นี่พี่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเหรอครับ”
ผมนึกว่าเขากินข้าวมาแล้ว เพราะตอนนี้มันเลยหกโมงเย็นที่เป็นเวลาเลิกงานของพี่เขามาตั้งหนึ่งชั่วโมงครึ่งแล้ว
พี่จีกอนคลายสีหน้าที่ขมวดคิ้วลงเล็กน้อย ก่อนจะส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้ผ่านดวงตาที่เหมือนกับคังจีซอก
“เราไปกินข้าวกันเถอะ พี่หิวแล้ว อูซอยา”
ฝ่ามือใหญ่ของเขาลูบศีรษะผมพร้อมกับน้ำเสียงอันอบอุ่น อาจเป็นเพราะถูกพี่เขาลูบศีรษะหลายครั้งในหนึ่งวัน ตอนนี้ผมเลยชินจนให้เขาลูบศีรษะอย่างว่าง่าย
ผมห้ามพี่จีกอนที่ทำท่าจะปลดเข็มขัดนิรภัยให้ผมแล้วลงมือปลดเอง พี่เขาจึงหันไปหิ้วถุงที่ผมเคยถือแล้วดูหนักออกมาจากรถอย่างเบาสบาย พอเห็นแบบนั้นแล้วผมก็เผลอคิดขึ้นมาว่าตัวเองก็ควรจะออกกำลังกายปั้นกล้ามเนื้อที่แขนบ้างเหมือนกัน
หลังจากเข้าไปในห้องและกำลังลงมือหั่นวัตถุดิบ พี่จีกอนที่อาบน้ำออกมาก่อนแล้วเปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าลำลองสบายๆ ก็จับตามองผมจากข้างหลังในระยะประชิด
“พี่ครับ พี่กำลังทำลายสมาธิผมอยู่นะครับ”
“ก็คิดซะว่าไม่มีคนอยู่สิ”
พี่เขายืนประกบหลังผม พอผมขยับเมื่อไหร่พี่เขาก็จะขยับตาม และพอผมหยุดพี่เขาก็จะหยุดตามเช่นกัน เล่นทำแบบนี้แล้วจะให้ผมไม่รู้สึกเสียสมาธิได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้นปกติแล้วพี่เขาจะกินข้าวมาจากข้างนอกและจะกลับคอนโดฯ ดึกดื่นทุกวันยกเว้นวันหยุดสุดสัปดาห์ ผมเลยคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาดูผมทำอาหารอย่างสนอกสนใจขนาดนี้
ผมรวบผักที่หั่นเรียบร้อยแล้วใส่ไว้ในจานใบหนึ่ง ก่อนจะส่งสายตาอวดภูมิให้พี่เขา
“คนยืนอยู่ข้างหลังทั้งคน จะให้คิดว่าไม่มีคนอยู่ได้ยังไงล่ะครับ”
“ก็พี่ทึ่งกับการทำอาหารของนายน่ะสิ เพราะครอบครัวพี่เทการทำอาหารกันหมดทุกคนเลย”
พี่จีกอนคลี่ยิ้มด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน ก่อนจะชิงหยิบจานที่ผมกำลังจะเอาออกมาจากชั้นวางยื่นให้ผม ทั้งที่ผมยังไม่ทันได้บอกว่าจะเอาอะไรออกมาเลยด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเซ้นส์ของเขาดีจนน่าทึ่งหรือว่าสายตาของเขาว่องไวกันแน่ หลังจากนั้นพอผมพยายามจะทำอะไร พี่เขาก็จะขยับตัวนำผมไปก้าวหนึ่งทุกครั้ง ทำเอาผมรู้สึกเหมือนได้ลูกมือในครัวที่ไหวพริบดีมาคนหนึ่งเลย
พอคิดว่าพี่เขาเป็นลูกมือในครัว ผมก็จินตนาการไปถึงภาพหมวกเชฟบนศีรษะของพี่เขา มันเป็นจินตนาการที่ห่างไกลมากจนเผลอคิดไปว่าทำไมมันถึงได้ไม่เข้ากันขนาดนี้นะ ทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างลืมตัว
แต่ก็คงต้องขอบคุณพี่เขาด้วย ถ้าไม่มีพี่เขาอยู่ด้วย ป่านนี้ผมคงต้มรามยอนถ้วยหนึ่งแล้วนั่งคิดถึงแต่ภาพจีซอกกับพี่มินอาจนเส้นอืดแน่ๆ
อาหารที่เตรียมไว้ถูกจัดวางบนโต๊ะอย่างเรียบร้อยพร้อมกับข้าวสวยร้อนๆ ถึงจะเป็นมื้ออาหารที่เรียบง่ายไม่ได้มีเครื่องเคียงมากมายอะไร แต่ผมก็อดรู้สึกปลื้มปริ่มในใจไม่ได้เพราะพี่จีกอนกินมันอย่างชื่นชม พอเขาตักอาหารที่โปรดปรานจากในบรรดาเมนูในหัวที่แพลนไว้แต่อาหารที่จีซอกชอบ ผมก็เตรียมจะอ้าปากพูด
ติ๊ดๆ
เสียงดอร์ล็อกดังมาจากประตูตรงโถงทางเข้า ก่อนที่คังจีซอกที่ผมนึกว่ากำลังเดินช็อปปิ้งเพลินๆ อยู่กับพี่มินอาจะโผล่พรวดเข้ามาข้างใน ไม่รู้ทำไมจีซอกถึงได้ขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองผมกับพี่จีกอนที่กำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ที่โต๊ะในห้องครัว
“ทำไมพี่กลับมาแล้วล่ะ”
“ทำไม ฉันกลับบ้านเร็วไม่ได้หรือไง”
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่…”
จีซอกที่ตั้งท่าจะพูดต่อเหลือบมองผม ก่อนจะกลืนคำพูดต่อท้ายลงไปราวกับลังเลอะไรบางอย่าง พี่จีกอนที่มองอยู่เลยหันมาจัดการกินข้าวที่เหลือจนเกลี้ยงถ้วย
“ว่าแต่นายเถอะ ทำไมถึงได้กลับมาซะแล้วล่ะ ไหนว่าฮันมินอาขอยืมตัวไปจนดึกไง”
ฉับพลันนั้นผมก็นึกถึงใบหน้าของพี่มินอาที่ลืมไปแล้วระหว่างที่อยู่กับพี่จีกอนพร้อมกับภาพของจีซอกที่กำลังยิ้มแฉ่งอย่างร่าเริงกับพี่มินอาขึ้นมาได้ ผมเลยละสายตาจากเขาแล้วหลุบตาต่ำลง
“แล้วทำไมพี่ไม่มาด้วยกันล่ะ พี่มินอาก็ชวนพี่ไม่ใช่เหรอ”
“ไว้ค่อยนัดไปเจอกันทีหลังนอกรอบก็ได้ ฉันไม่อยากแทรกกลางไปเดินช็อปปิ้งเหมือนใครบางคนแล้วกลับมาหรอก”
พี่จีกอนลุกจากที่นั่งก่อนจะซ้อนถ้วยที่กินหมดแล้วเป็นชั้นๆ
“พอดีวันนี้พาร์ตเนอร์ฝ่ายนั้นติดธุระนิดหน่อยเลยแยกกันเร็ว ฉันก็เลยกลับมากินข้าวที่อูซอทำไว้ให้แทนใครบางคน”
ผมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำว่า ‘แทนใครบางคน’ แต่ก็ไม่สามารถขอให้พี่เขาแก้คำพูดที่พูดออกไปแล้วได้ เลยได้แต่ปิดปากเงียบในสภาพที่เหมือนจะยอมรับกลายๆ ว่าพี่เขาคือตัวแทนของคังจีซอก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็พูดอะไรไม่ออกเพราะไม่มีส่วนไหนที่พี่เขาพูดผิดไปเลยสักนิด เวลาแบบนี้คงต้องโกหกเหมือนกับที่เก็บซ่อนความรู้สึกของตัวเองจากคังจีซอกเหมือนอย่างทุกที ผมจึงเลือกที่จะไม่เปิดปากพูดอะไรออกไป
พี่จีกอนลูบศีรษะผมหลังเก็บถ้วยชามเสร็จแล้วเดินผ่านไปราวกับจะปลอบโยนผมว่าไม่เป็นไร
“นายเองก็มากินข้าวซะสิ”
เสียงวางถ้วยชามดังมาจากอ่างล้างจานที่อยู่ด้านหลัง
“มองดูแล้วก็เห็นแต่ของที่นายชอบทั้งนั้นเลยนี่”
เข็มที่มองไม่เห็นกำลังทิ่มแทงผิวหนังของผมท่ามกลางบรรยากาศที่หนักอึ้งขึ้นอย่างน่าประหลาด แน่นอนว่าความรู้สึกนั้นแผ่พุ่งออกมาจากคังจีซอก สายตาของเขาพลันคมกริบขึ้นมาถึงขนาดที่รอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ได้เหือดหายไปและชวนให้นึกถึงพี่จีกอน ทำเอาผมถึงกับสงสัยว่าทำไมคนที่ทิ้งเพื่อนไปเที่ยวเพลินแล้วกลับมาเร็วโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรสักคำถึงได้มีสิทธิ์มาทำสายตาแบบนั้น
ผมกินข้าวไปได้ไม่ถึงครึ่งถ้วยก็ลุกขึ้นเพราะรู้สึกแน่นท้อง แต่จู่ๆ พี่จีกอนที่เดินเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัวก็กดไหล่ของผมให้นั่งลงเบาๆ
“กินให้หมดสิ ถ้ากินข้าวคนเดียวมันอึดอัด เดี๋ยวพี่นั่งเป็นเพื่อนเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมกินอิ่มแล้ว”
“นั่นเรียกว่ากินเหรอ เพราะแบบนี้ไงถึงได้ตัวผอมแห้งอย่างนี้”
พี่จีกอนปรายตามองพร้อมกับใช้มือข้างหนึ่งจับต้นแขนของผมขยับไปมาจนผมรู้สึกหงุดหงิด ปกติผมกินข้าวแค่ถ้วยเดียวก็อิ่มแล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องถูกใครมาทำแบบนี้ใส่ ทั้งหมดนี่เป็นความผิดของคังจีซอกชัดๆ
ผมเปิดปากเพื่อจะแย้งว่ากระดูกของผมก็แค่บาง ไม่ใช่ผอมแห้งสักหน่อย มือของพี่เขาต่างหากล่ะที่ใหญ่เกินไป
“ผมไม่ได้ผอมแห้งสักหน่อย!”
“ผมจะนั่งกินเป็นเพื่อนหมอนี่เอง พี่ไปทำงานของพี่เถอะ”
คังจีซอกพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามที่พี่จีกอนเคยนั่งกินข้าวอยู่ก่อนหน้านี้ เขาวางกระเป๋าที่สะพายอยู่บนบ่าลงที่พื้นข้างโต๊ะอย่างลวกๆ โดยไม่ถอดเสื้อตัวนอกออกด้วยซ้ำแล้วมองตรงมาที่ผม น้อยครั้งมากที่คังจีซอกจะทำสีหน้าจริงจังแล้วจ้องมองผมอย่างไม่ลดละแบบนี้ และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกประหม่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
จีซอกที่สบตากับผมยิ้มด้วยสีหน้าเหมือนปกติจนบรรยากาศที่น่าอึดอัดและเย็นยะเยือกเมื่อครู่ผ่อนคลายลง
“อูซอยา มีข้าวเหลือไหม ฉันชักหิวแล้ว”
คำพูดเรียบๆ ของคังจีซอกทำให้ผมรู้สึกไปต่อไม่เป็นหลังจากที่เกร็งมาจนถึงตอนนี้พร้อมกับความรู้สึกสะอิดสะเอียน ทั้งที่คงออกไปเดินเที่ยว ไปกินอะไรอร่อยๆ กับพี่มินอามาแล้วยังจะมีหน้ามาพร่ำเพ้อถึงข้าวอีก
“ไม่มีส่วนของนาย”
“โกหก หุงข้าวแค่สองถ้วยเนี่ยนะ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายเตรียมข้าวไว้พอเผื่อฉันน่ะ ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ”
ไอ้คนรู้ดีเอ๊ย
จีซอกถูกผมเขกศีรษะด้วยสายตาหงุดหงิดไปทีหนึ่ง เขาใช้สองมือกดตรงที่เจ็บแน่นพลางทำหน้าโอดโอยอย่างขี้เล่น ใบหน้านั้นดูตลกจนผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างลืมตัว
พอบรรยากาศเปลี่ยนไป อาการท้องอืดที่ตีรวนอยู่ข้างในก็หายเป็นปลิดทิ้ง จังหวะนั้นพี่จีกอนที่มองเราเงียบๆ ก็เดินออกจากห้องครัวกลับเข้าไปยังห้องของตัวเอง ส่วนผมก็ได้แต่นั่งฟังคำชมจากคังจีซอกและลุกไปไหนไม่ได้จนกระทั่งเขากินข้าวเกลี้ยงไปถึงสองถ้วย
คืนนั้นผมค่อยๆ เตรียมตัวเพราะเวลาจวนจะเที่ยงคืนแล้ว หน้าหนังสือที่กางออกมีโพสต์อิตสองสามแผ่นแปะอยู่ ผมยังอ่านเนื้อหาไม่หมดเลยสอดที่คั่นหนังสือแทรกเอาไว้ คิดว่าเดี๋ยวคงต้องลองเขียนโปรแกรมขนาดย่อมตามตัวอย่างในหน้านี้สักโปรแกรม ถึงจะดูยากเอาการ แต่มันก็เป็นส่วนโค้ดดิ้งที่ขาดไม่ได้ในการสร้างแอพพลิเคชั่น ดูท่าผมอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากพี่จีกอนสักหน่อย
ติ๊กไว้ก่อนแล้วค่อยถามตอนที่พี่เขามาดีไหมนะ
ผมคิดว่าถ้าคลี่คลายส่วนที่ยังไม่เข้าใจได้ก็น่าจะสามารถเขียนได้เดี๋ยวนี้เลย
ดังนั้นผมจึงทิ้งหนังสือที่คั่นหน้าไว้บนโต๊ะหนังสือทั้งอย่างนั้นแล้วใช้เวลาเสิร์ชเว็บไปเรื่อยเปื่อย และผมก็เสิร์ชเว็บเพลินจัดจนดูนาฬิกาอีกทีเวลาก็ผ่านไปสามสิบนาทีแล้ว
ทำงานอยู่หรือไงนะ
ปกติพี่เขาจะมาตามผมตอนประมาณเที่ยงคืน แต่ถ้าติดงานแล้วอาจจะเข้านอนช้าหน่อย พี่เขาก็จะส่งข้อความมาบอกก่อนเสมอ ทว่ามือถือของผมในเวลานี้กลับยังเงียบกริบและไร้วี่แววว่าพี่เขาจะมาตามจนผมกังวลว่าควรจะทำยังไงดี วันพรุ่งนี้พี่เขาต้องทำงานตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนผมก็มีคลาสเรียนตอนเช้าที่ต้องรีบออกไปให้ไวที่สุด จึงไม่มีเวลาให้ทำตัวเอื่อยเฉื่อยไปเรื่อยเปื่อย
หลังจากรออีกประมาณสิบนาที ผมก็ตัดสินใจย่องออกจากห้องเพื่อตรวจดูสถานการณ์
ห้องของผมอยู่ใกล้กับโถงทางเข้าหน้าประตูที่สุด พอเปิดประตูออกไปต้องผ่านห้องนั่งเล่นที่มีระเบียงเพื่อไปยังห้องของพี่จีกอนที่อยู่สุดฟากตรงโน้น ส่วนห้องที่อยู่ข้างๆ กับห้องของพี่เขาคือห้องของจีซอก ผมต้องระวังตัวไว้ก่อนเผื่อจีซอกได้ยินเสียงเข้าแล้วจะเปิดประตูออกมา ถ้าถูกจับได้ว่าแอบย่องไปห้องพี่จีกอนกลางดึกแบบนี้คงทำตัวไม่ถูกน่าดู
และในจังหวะที่ผมกำลังย่องผ่านห้องนั่งเล่นที่มืดสลัวนั้นเอง
หืม? กลิ่นบุหรี่มาจากไหนน่ะ…
ผมสงสัยกับกลิ่นบุหรี่จางๆ พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาของใครบางคน มันเป็นเสียงที่ฟังดูเหมือนจะอยู่ใกล้ๆ และถ้าหากเงี่ยหูฟังก็น่าจะฟังออกได้ชัด เหมือนกับว่าจะเป็นเสียงที่ดังมาจากข้างนอกระเบียงคอนโดฯ
ในที่สุดก็ไม่จำเป็นต้องเหลียวซ้ายแลขวาอีกต่อไป ผมเห็นเงาที่ตกกระทบจากแสงจันทร์ของคนสองคนผ่านผ้าม่านบางๆ ตรงกระจกบานใหญ่ทางฝั่งระเบียงของห้องนั่งเล่นที่เปิดโล่ง ก่อนจะสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เพียงแค่มองปราดเดียวผมก็รู้ว่าชายสองคนที่มีส่วนสูงอันคุ้นเคยนี้คือใคร
ผมอยากรู้เกี่ยวกับบทสนทนาของสองคนนั้นรวมถึงกลิ่นบุหรี่ที่ไม่คุ้นเคย จึงแอบเดินเข้าไปใกล้ประตูระเบียงเงียบๆ แม้ผ้าม่านจะบาง แต่ด้วยความที่ผมอยู่ในพื้นที่มืด คนทั้งคู่จึงไม่น่าจะสังเกตเห็นผม
“ผมก็บอกไปแล้วไงว่าผมอยากรู้ว่าพี่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่”
ผมได้ยินเสียงที่ฟังดูหงุดหงิดเล็กน้อยของจีซอก หาได้ยากมากที่คังจีซอกตัวเป็นๆ ไม่ใช่ใครอื่นจะใช้น้ำเสียงแบบนี้
“แล้วนายล่ะกำลังคิดอะไรอยู่ นายไปเที่ยวไหนต่อไหนกับฮันมินอาอย่างสบายใจแท้ๆ แล้วดันกลับมาหัวเสียใส่ฉันเนี่ยนะ?”
“แล้วเรื่องตอนนี้พี่จะให้ผมทนบื้ออยู่เฉยๆ หรือไง!”
จีซอกตวาดลั่น ผมอ้าปากค้างกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นน้อยครั้งมากจนน่าตกใจตรงหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้นผมยิ่งตกใจเมื่อได้ยินชื่อของพี่มินอาโผล่ขึ้นมาในบทสนทนาของพวกเขา ผมใช้กำปั้นกดหน้าอกที่เจ็บแปลบเพื่อสงบจิตสงบใจของตัวเอง
“เบาหน่อย คังจีซอก”
เงาตะคุ่มของพี่จีกอนพ่นควันบุหรี่ออกมาพลางพูดราวกับข่มขู่
“พอพูดถึงฮันมินอานายก็ว่าง่ายเดินตามยัยนั่นต้อยๆ มาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง ไหนๆ ได้ไปกับยัยนั่นแล้วก็น่าจะเที่ยวให้สมใจอยากก่อนแล้วค่อยกลับมาสิ”
หัวใจของผมสั่นไหวจนได้ยินเสียงดังโครมครามอยู่ในหัว จนกระทั่งผมเริ่มถอยเท้าหนักๆ ไปข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
“หรือว่าตอนนี้นายไม่ได้ชอบฮันมินอาแล้ว? ไหนว่าสเป็กนายไง”
ผมไม่อยากฟังมันอีกต่อไปแล้ว ถ้าเกิดคังจีซอกพูดคำว่า ‘ชอบ’ ออกมาจากปากของเขาล่ะก็…
“ชอบสิ”
ขาของผมแทบทรุดลงทันที พร้อมกันนั้นหัวใจก็เต้นกระหน่ำจนหายใจถี่ระรัว
“ผมยังชอบพี่มินอาอยู่”
ผมรู้สึกราวกับถูกแทงเข้าจุดตาย ถึงจะคาดเดาเอาไว้อยู่แล้ว แต่คำพูดของคังจีซอกก็ชัดเจนมากจนไม่สามารถปฏิเสธได้
พี่จีกอนที่คาบบุหรี่ไว้ในปากหันมาทางผมโดยที่ยังยืนพิงระเบียงอยู่ ดวงตาคมกริบของเขามองมาทางผมผ่านช่องแคบๆ ของผ้าม่าน ในจังหวะที่เราสบตากันท่ามกลางความมืด ผมก็รู้สึกได้แค่ว่าต้องรีบหนีไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุดมากกว่าจะคิดว่าต้องรีบขอโทษเพราะถูกจับได้
เสียงของพี่จีกอนดังลอดเข้ามาในหูผมที่เดินถอยหลังออกไปช้าๆ
“ก็ดี…เป็นงั้นได้ก็ดี”
ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงรีบกลับเข้าห้องของตัวเอง หลังจากพรั่งพรูลมหายใจอันหนักอึ้งออกมา ผมก็ทิ้งตัวนอนแผ่หลาคว่ำหน้าลงบนเตียงราวกับเรี่ยวแรงที่เคยมีนั้นพลันเหือดหายไปจนหมดสิ้น
ทว่าหัวใจก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสงบลงสักที
ทำไมถึงได้รู้สึกแปลกแบบนี้กันนะ
ผมยิ้มเย้ยตัวเองพลางแค่นหัวเราะ
รู้ทั้งรู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังจะมาตาสว่างอะไรเอาป่านนี้…
ผมพอจะรู้อยู่ว่าคังจีซอกชอบพี่มินอา ไหนจะสเป็กที่เขาพูดถึง ไหนจะสายตาตอนที่เขามองพี่มินอา คนที่เฝ้ามองคังจีซอกมานานอย่างผมควรจะรู้สึกได้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือไงกัน
บทสนทนาก่อนหน้านี้ทำให้ผมรู้สึกเจ็บใจราวกับมีลิ่มที่สลักคำว่า ‘กับคนที่รู้ว่าไม่มีหวังแต่อยู่แรกแล้วมันเป็นไปไม่ได้หรอก’ ตอกลงกลางใจ
ผมไม่น่าแอบฟังเลย ถ้ากลับเข้าห้องเสียตั้งแต่แรก…ไม่สิ ผมควรจะเสียใจกับการที่ตัวเองดันผลุนผลันออกไปนอกห้องก่อนที่พี่จีกอนจะโทรมาต่างหาก
บางทีถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่แรก เราก็คงไม่มีทางได้ยินเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ…
ผมเสียใจกับทุกๆ เรื่องตั้งแต่เรื่องเล็กเรื่องน้อยพลางคิดว่าถ้าปล่อยให้มันเป็นเพียงแค่การคาดเดาและไม่รับรู้ต่อไป ผมคงจะรู้สึกดีกว่านี้
ครืด…
ระหว่างที่ผมกำลังหลับตาแน่นพลางปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอ มือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นมาเบาๆ พอหยิบมันออกมา ผมก็เห็นข้อความหนึ่งถูกส่งมา
มาหาพี่ที่ห้อง พี่จะปลอบนายเอง
ผมอ่านทวนข้อความที่แสนสั้นนั้นของพี่จีกอนอยู่หลายหน ดูเหมือนพี่เขาจะรู้ว่าผมแอบฟังอยู่จริงๆ
เวลาแบบนี้จะมีคำพูดไหนช่วยปลอบโยนได้กัน ไม่สิ นี่ใช่เรื่องที่ผมควรจะได้รับการปลอบโยนจริงๆ น่ะเหรอ
ผมก็แค่บังเอิญรู้ว่าเพื่อนที่ตัวเองชอบดันไปชอบใครคนอื่นที่ไม่ใช่ผม ซึ่งผมเองก็คาดเดาไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องที่ผมควรจะได้รับคำปลอบโยนสักหน่อย กลับกันแล้วผมควรจะต้องทำใจและยอมรับมันต่างหาก
ผมรู้สึกเหมือนหัวใจเจ็บแปลบขณะส่งข้อความไปหาพี่เขา
ผมไม่เป็นไรครับ ขอเวลาเตรียมตัวอีกเดี๋ยวแล้วจะรีบไปนะครับ
ถึงจะไม่มีอะไรที่ต้องเตรียมตัวเป็นชิ้นเป็นอัน แต่หากพูดตามตรง ผมก็ควรจะต้องจัดการหัวใจตัวเองก่อน ผมไม่อยากทำให้พี่จีกอนไม่สบายใจเพราะความรู้สึกของผมที่มีต่อคังจีซอก
แต่ถึงอย่างนั้นหัวใจก็ยังคงเต้นถี่ระรัวและว้าวุ่นเพราะใบหน้าของพี่มินอาและคำพูดของคังจีซอกที่อัดแน่นอยู่เต็มหัว
ต้องไปล้างหน้าด้วยน้ำเย็นให้ได้สติสักหน่อยแล้ว
ผมลุกขึ้นด้วยความคิดที่ว่าอาการน่าจะดีขึ้นมาหน่อยถ้าได้วักน้ำที่เย็นจัดเหมือนน้ำแข็งใส่หน้า ทว่าตอนนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้นพอดี
เปิดประตูที
มันเป็นข้อความสั้นๆ จากพี่จีกอน ผมรู้สึกกดดันอยู่ในใจอย่างไร้สาเหตุ ทั้งที่ประตูไม่ได้ล็อก เพียงแค่เปิดมันก็เข้ามาได้แล้วแท้ๆ แต่พี่เขากลับให้ผมเป็นคนเปิดประตูเองราวกับเป็นห่วงความรู้สึกของผมอยู่เสมอ
ผมละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้ตามที่พี่เขาบอกแทนที่จะตอบข้อความเขากลับไป พี่จีกอนยืนอยู่หน้าประตูอยู่ก่อนแล้วพร้อมกับกลิ่นมัสก์ที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวและกลิ่นบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปได้ไม่นาน
พอเปิดประตูออกไปประจันหน้ากันเข้าจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร ก่อนอื่นควรขอโทษที่แอบฟังเรื่องที่คุยกันโดยไม่ได้ตั้งใจดีไหม แต่จะว่าไม่ได้ตั้งใจตั้งแต่แรกมันก็กระไรอยู่ เพราะผมตั้งใจเงี่ยหูฟังเขาอยู่เห็นๆ
วินาทีที่สบตากับพี่จีกอน ผมก็พลันนึกถึงคำพูดของคังจีซอกที่ลืมไปได้ชั่วขณะหนึ่งขึ้นมา ผมไม่น่าไปได้ยินมันเลย ถ้าไม่แอบฟังก็คงไม่ต้องปวดหัวขนาดนี้หรอก
พอหลุบตาต่ำลงพลางนึกถึงจีซอก ผมก็ถูกพี่เขาคว้าแขนหมับทันที พี่จีกอนดึงแขนผมให้ออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะปิดประตูห้องนอนของผมอย่างเงียบเชียบ จากนั้นก็ดึงผมไปที่ห้องนอนของตัวเองโดยไม่พูดไม่จาสักคำ
ห้องนอนของพี่จีกอนนั้นกว้างขวางและสะอาดสะอ้านที่สุดในคอนโดฯ ห้องนี้ กระทั่งเตียงนอนก็ยังกว้างขวาง เตียงของเขากว้างจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาใช้มันนอนกับคนอื่นหรือเปล่า ดังนั้นตอนที่เราต้องการจะเข้านอนเพื่อให้หลับสนิทเลยต้องใช้ห้องนี้ตลอด
ทันทีที่ล็อกประตูพี่จีกอนก็อุ้มผมขึ้นโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัว ผมสะดุ้งโหยงกับภาพเบื้องหน้าที่เปลี่ยนไปกะทันหันเลยโอบแขนรอบคอของเขาไว้โดยอัตโนมัติพลางทำหน้าตาเหลอหลา
“พี่ครับ เดี๋ยวก่อน ทำไม…!”
พี่เขาวางผมนอนลงบนเตียงในท่านั้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไม่เพียงเท่านั้นเขายังนอนลงข้างๆ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงต้นคอของผมอีก
พอเห็นสีหน้าที่งงงวยของผม พี่เขาถึงได้ยิ้มออกมาตอนนั้น
“เขาว่ากันว่าคนเราจะลืมทุกอย่างตอนหลับ เพราะงั้นรีบนอนกันเถอะ”
พี่จีกอนยกรีโมตที่อยู่ตรงหัวเตียงมาปิดไฟทั่วห้อง ชั่วพริบตารอบด้านก็ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ดวงตาของผมปรับเข้ากับความมืดพร้อมกับแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาผ่านกรอบหน้าต่าง ทำให้สามารถแยกใบหน้าที่เข้ามาใกล้ได้ง่ายยิ่งกว่าที่เคย
ผมมองพี่จีกอนที่นอนข้างกันในขณะที่ค่อยๆ เขยิบถอยหลังในท่านอน ปกติเราจะจับมือกันนอนคนละขอบฝั่งเตียงเลยไม่จำเป็นต้องนอนใกล้กันขนาดนี้
แต่ในขณะที่ผมกำลังถอยไปอยู่ที่เดิมตามปกติของตัวเอง พี่เขาก็ยื่นวงแขนออกมาโอบรอบเอวผมไว้เพื่อไม่ให้ผมถอยหนีไปมากกว่านี้
“ไม่ต้องเขยิบไปหรอก ถ้าเขยิบไปอีกเดี๋ยวก็ได้ร้องไห้เพราะเหงาหรอก”
“ใครเขาจะร้องไห้เพราะเหงากันครับ”
ผมนึกฉุนขึ้นมากับถ้อยคำที่พูดเหมือนผมเป็นเด็กนั้นเลยพูดสวนกลับไป พี่เขายิ้มเบาๆ พลางตอบว่า ‘พี่เองแหละ’ ขึ้นมาท่ามกลางความมืด ผมมองพี่เขาผ่านสายตาที่พร่ามัว ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“ที่ส่งข้อความมาก็เพราะแค่อยากรีบนอนใช่ไหมล่ะครับ ไม่ได้คิดจะปลอบใจอะไรกันหรอก”
ตอนนี้เวลาล่วงเลยไปจนถึงตีหนึ่งซึ่งเป็นเวลาที่สมควรนอนแล้ว
อันที่จริงต่อให้ไม่ต้องมีคำปลอบใจผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก หากจะให้พูดตามตรง ถ้าเกิดพี่จีกอนที่เข้าใจความรู้สึกทั้งหมดของผมพูดปลอบเรื่องบทสนทนาก่อนหน้านี้เหมือนกับว่าสงสาร ความภาคภูมิใจที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของผมมันอาจจะถูกเหยียบย่ำจนราบไปกับดินเลยก็ได้ ผมอาจจะเศร้าจนเขาได้เห็นน้ำตา ทั้งที่คนที่ทำให้ผมเสียน้ำตากลับเป็นคนอย่างคังจีซอก
สู้ให้เขาลากผมมาเพราะต้องการแค่นอนหลับยังจะดีเสียกว่า
พี่จีกอนไม่ได้ตอบกลับมาว่าผมพูดถูกหรือผิด พี่เขาเพียงใช้วงแขนโอบรอบเอวผมไม่ให้เขยิบถอยหลังไปมากกว่านี้พลางลูบแผ่นหลังของผมเบาๆ ราวกับกล่อมเด็กให้หลับ
ผมพลันรู้สึกแปลกใหม่กับความรู้สึกนี้ ความรู้สึกอบอุ่นชวนเคลิ้มที่ทำให้ผ่อนคลายก่อตัวจากจุดที่มือและแขนของพี่เขาสัมผัสโดนตัวผมก่อนจะแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย หัวใจที่เต้นอย่างบ้าคลั่งจนถึงกับต้องหอบหายใจก่อนหน้านี้ก็พลอยสงบลงในพริบตา ความคิดที่ว้าวุ่นในหัวถูกจัดเรียงใหม่และสงบลง ความเบาสบายจากการสัมผัสที่ชวนให้รู้สึกเคลิ้มหลับนั้นเป็นเหมือนกับ ‘การปลอบโยน’ รูปแบบหนึ่งอย่างที่พี่เขาพูดเอาไว้
จะว่าไปแล้ว…
ความรู้สึกนี้ผมเคยรู้สึกจากที่ไหนกันนะ ผมนึกทบทวนความทรงจำที่เลือนรางก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเคยถูกพี่เขาลูบเบาๆ ด้วยวิธีแบบนี้เมื่อสี่ปีก่อน
พ่อแม่ที่หย่าร้างกันไปตั้งแต่ผมยังเด็กชอบมาเจอหน้ากันแล้วก็ทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ พวกเขาไม่สนใจเลยสักนิดว่าลูกชายเพียงคนเดียวจะเตรียมตัวสอบอยู่หรือเปล่า ตอนที่ผมทุ่มเทกับการอ่านหนังสือในห้องก็ทะเลาะกันเสียงดังอย่างไม่สนใจใคร
ถึงตอนนี้ปัญหาเรื่องเงินที่ทำให้ทั้งสองคนทะเลาะกันอยู่บ่อยๆ จะถูกสะสางไปแล้ว แต่แม่ที่เป็นผู้รับผิดชอบในการเลี้ยงดูผมก็ยังคงอ่อนไหวกับเรื่องเงินที่ต้องจ่ายออกไปเสมอ จนตอนนั้นผมตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้เลยว่าตัวผมเองจะต้องรับผิดชอบค่าเทอมที่แพงแสนแพงด้วยตัวเองเพื่อเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหรือเปล่า
ด้วยเหตุนั้นผมจึงรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะรับมือกับพื้นที่ภายในบ้านที่อึมครึมเลยอ้างว่าจะไปติวพิเศษที่บ้านของจีซอก แต่พอถึงช่วงปิดเทอมในตอนนั้น หมอนั่นกับครอบครัวก็ไปเที่ยวเล่นกันที่บ้านญาติโดยไม่ได้บอกได้กล่าว ทั้งบ้านเลยเหลือแค่พี่จีกอนอยู่แค่คนเดียว
วันนั้นเป็นวันที่ผมคุยกับพี่จีกอนเยอะที่สุด ผมพรั่งพรูคำพูดที่กักเก็บไว้ในใจออกมา พร้อมทั้งสารภาพออกไปตรงๆ ว่าผมอิจฉาสมาชิกในครอบครัวของพี่เขาที่ดูแน่นแฟ้น แม้จะอยู่ห่างกันเพราะเรื่องของการงานก็ตาม ระหว่างที่รับฟังคำพูดปนคำบ่นของผม พี่เขาก็ลูบศีรษะพลางเช็ดน้ำตาให้ผมที่กำลังอ่อนไหวและพาผมเข้านอน ทั้งที่ตอนนั้นผมไม่คุ้นเคยกับการกระทำที่เหมือนกับการกล่อมเด็กน้อยของพี่เขา แต่ไม่ทันไรผมก็ผล็อยหลับไปอย่างสบาย พอลืมตาขึ้นมาอีกที ความรู้สึกอัดอั้นที่ทับถมอยู่ในใจก็พลันมลายหายไปจนหมดสิ้น กระทั่งอารมณ์ลบๆ ที่พลุ่งพล่านขึ้นมาในลำคอเองก็พลอยถูกชะล้างออกไปด้วยจนผมอดที่จะรู้สึกทึ่งไม่ได้ แม้แต่สายตาของพี่จีกอนที่ก้มมองผมอย่างเป็นห่วงเป็นใยในตอนที่ลืมตาขึ้นมาก็ยังชวนให้รู้สึกดี
พอคิดว่าสิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้ละม้ายคล้ายกับในตอนนั้น ดวงตาของผมก็ทำท่าว่าจะปิดลงโดยอัตโนมัติ ช่วงนี้ผมหลับสนิทกับพี่เขาเป็นประจำ จึงไม่ได้รู้สึกง่วงหรือเหนื่อยง่ายขนาดนั้น แต่ก็คงต้องขอบคุณความรู้สึกผ่อนคลายในตอนนี้ที่ทำให้ความง่วงถาโถมเข้ามา
ผมไม่ปฏิเสธความง่วงงุนที่ใกล้จะเข้าครอบงำสติสัมปชัญญะของผม ขณะเดียวกันผมก็หลับตาพริ้มรอฟังคำว่า ‘หลับฝันดีนะ’ จากพี่เขาตามความเคยชิน ในตอนนั้นผมรู้สึกได้ถึงมือใหญ่ที่คอยลูบศีรษะกล่อมอย่างนุ่มนวล แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าตัวเองถูกพี่เขาลูบศีรษะบ่อยมากเกินไปหรือเปล่า ต่อให้จะบอกว่าลูบศีรษะในฐานะน้อง แต่เราทั้งคู่ก็ยังเป็นผู้ชายด้วยกันอยู่ดี ทว่าความง่วงที่กดทับลงมาก็ไม่ปล่อยให้ผมครองสติอยู่ได้อีกต่อไป
“หลับฝันดีนะ อูซอยา”
ผมฟังเสียงของพี่เขาที่คลอเคลียอยู่ข้างหูก่อนจะผล็อยหลับไปในทันที
Chapter 3.5 ชินอูซอ
วันถัดมา
ผมและคังจีซอกยังคงทำตัวตามปกติ
คังจีซอกเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้ายิ้มๆ เหมือนอย่างเคยและเอ่ยขอโทษผมที่นอนตื่นสาย ผมที่นึกไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ยื่นขนมปังปิ้งทาเนยสีเหลืองสวยสองแผ่นกับแยมสตรอเบอรี่ให้เขาพร้อมกับบอกว่านี่คืออาหารเช้า ผมชิงดุให้เขารีบกินแล้วเดินกลับเข้าห้อง ก่อนที่เขาจะแกล้งบ่นพึมพำอย่างผิดหวังว่า ‘อาหารเช้าต้องซุปเต้าเจี้ยวสิ’ แล้วก็ทำหน้าบูดเหมือนเต้าเจี้ยวเสียเอง
นั่นสินะ ก็แค่ทำตัวเหมือนอย่างเคย แค่เป็นแบบนี้ได้ก็พอแล้ว
เรื่องเมื่อวานยังคงฉายชัดอยู่ในหัวของผม แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใส่ใจและหวาดหวั่นกับมัน ถึงความสิ้นหวังจะเกาะกินหัวใจผมมาอย่างยาวนาน แต่แล้วจะทำไมกันล่ะ ในเมื่อสิ่งที่ผมปรารถนาก็มีแค่การได้อยู่เคียงข้างเขานานๆ ในฐานะ ‘เพื่อนสนิทของจีซอก’ ก็เท่านั้นเอง
ช่างน่าแปลกที่วันนี้ร่างกายของผมรู้สึกเบาหวิวกว่าทุกวันเล็กน้อย จิตใจของผมเองก็แจ่มใสขึ้น และต่อให้จะนึกถึงเรื่องเมื่อวานขึ้นมาได้ แต่อาการของหัวใจที่สั่นไหวอย่างเจ็บปวดก็ยังทุเลาลง
‘พี่เพิ่งรู้เลยนะว่ายิ่งสัมผัสกันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหลับสบายมากขึ้น’
พี่จีกอนที่ยื่นน้ำเย็นสดชื่นมาให้ทันทีที่ผมลืมตาตื่นพูดกับผมแบบนั้นพร้อมด้วยรอยยิ้ม ผมในตอนนั้นที่ยังอยู่ในอาการขี้เซาเลยตอบกลับไปสั้นๆ ว่า ‘คงงั้นมั้งครับ’ แต่ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าการที่แค่นอนจับมือกันกับการที่มีแขนโอบรอบเอวนั้นมีบางอย่างที่แตกต่างกัน
ตอนนอนท่าที่มีพี่เขาโอบกอดจากข้างหลังเหมือนจะสดชื่นแล้วก็รู้สึกดีมากเลยแฮะ…
ระหว่างที่คิดอยู่ในใจนั้น ใครบางคนก็พุ่งเข้ามากอดผมจากทางด้านหลัง คงต้องขอบคุณกลิ่นมัสก์ประจำตัวที่ทำให้ผมรู้ได้ในทันทีว่าเป็นใครโดยไม่ต้องหันกลับไปมอง
“ตกใจหมดเลยครับพี่”
“กะจะแกล้งให้นายตกใจสักหน่อย ทำไมมายืนเหม่อแบบนี้แล้วไม่ปิดประตูล่ะ”
พี่จีกอนที่ใส่สูทเรียบร้อยแล้วแอบย่องโผล่ออกมาอย่างกะทันหันคลายวงแขนออกด้วยรอยยิ้ม ภาพของพี่เขาที่สวมสูทดูภูมิฐานและเสยผมด้านหน้าขึ้นนั้นดูแตกต่างจากคังจีซอกอย่างชัดเจน แต่ใบหน้ายิ้มแย้มกับการโผล่พรวดเข้ามาแบบนี้กลับเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อวานผมนึกถึงพี่เขาตอนที่ยังดูเป็นมิตรและอ่อนโยนในอดีตขึ้นมาหรือเปล่า ผมถึงได้รู้สึกใกล้ชิดและสนิทสนมกับพี่เขาเหมือนเมื่อก่อน ทั้งที่ก่อนหน้านี้หนึ่งวันยังดูขรึมๆ และน่าเกรงขามประมาณหนึ่งอยู่เลย ดูเหมือนว่าการสัมผัสที่ใกล้ชิดกันเมื่อคืนจะเป็นสาเหตุสำคัญ
พี่จีกอนใช้นิ้วมือสางผมด้านหน้าที่ยุ่งเหยิงก่อนจะเปรยถาม
“ให้พี่ไปส่งไหม”
“ไม่เป็นไรครับ มันคนละทางกับบริษัทพี่เลยไม่ใช่เหรอ ถ้าขับไปส่งพวกผม เวลามันน่าจะกระชั้นชิดนะครับ”
“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่”
และในตอนที่พี่จีกอนยกมือถือขึ้นมาดูเวลานั้นเอง จีซอกที่เข้ามาหยุดยืนตรงขอบประตูก็ถามแทรกบทสนทนาระหว่างผมกับพี่เขาขึ้น
“นายรู้เหรอว่าบริษัทพี่ฉันอยู่ที่ไหน”
ทั้งที่ผมมั่นใจว่าริมฝีปากของจีซอกกำลังยิ้มอยู่ แต่ไม่รู้ทำไมหางตาของเขาถึงยกขึ้นอย่างน่าหวั่นใจคล้ายกับพี่จีกอน
อันที่จริงผมไม่รู้ว่าบริษัทของพี่จีกอนอยู่ที่ไหนจนกระทั่งวันก่อนที่วงแหวนจะปรากฏ ถึงจะพอรู้ชื่อ แต่ผมก็ไม่เคยค้นหาที่ตั้งของบริษัทพี่เขามาก่อน และรู้เพียงแค่ว่าเป็นบริษัทผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นขนาดย่อมที่ตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในโซล ทว่าหลังจากวงแหวนปรากฏขึ้น ผมก็จำเป็นต้องไปหาพี่เขาที่ออฟฟิศและนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมได้รู้ตำแหน่งที่ตั้ง ไม่อย่างนั้นจนถึงป่านนี้ผมก็คงไม่รู้หรอกเพราะเรื่องนั้นมันอยู่นอกเหนือความสนใจของผม
ขณะที่ผมกำลังอ้อมแอ้มอยู่ในปากพลางครุ่นคิดว่าควรจะตอบกลับไปว่าอะไรดี พี่จีกอนก็ชิงออกหน้าแก้ต่างให้เสียก่อน
“ฉันบอกเองแหละว่าคราวหลังให้มาสอดส่องเผื่อจะได้ดูงานเอาไว้น่ะ”
“…”
จีซอกที่ได้รับคำตอบอย่างง่ายๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเป็นพิเศษ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าสายตาของเขากำลังหวาดระแวงพี่ชายตัวเองแบบแปลกๆ
พี่จีกอนพูดซ้ำอีกรอบว่าจะไปส่ง แต่ผมก็ปฏิเสธกลับไปอีกเช่นเคย เพราะหนนี้ผมรู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศของทั้งสองคนที่ดูคุกรุ่นแปลกๆ มากกว่าความคิดที่ว่าจะไปรบกวนเวลาเข้างานของพี่เขาเสียอีก
หลังจากส่งพี่จีกอนออกไปก่อน ผมที่ออกมาข้างนอกคอนโดฯ ก็เหลือบมองจีซอกก่อนจะลอบถามอย่างระมัดระวัง
“นายกับพี่จีกอนทะเลาะกันเหรอ”
ถึงจะพอรู้คร่าวๆ อยู่แล้วว่าที่ระเบียงเมื่อคืนพวกเขาคุยเรื่องอะไรกันและคุยด้วยบรรยากาศแบบไหน แต่ผมก็ยังตีเนียนถามเหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องอะไร จีซอกจึงยิ้มเจื่อนๆ พลางตอบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนพร้อมกับเกาท้ายทอยตามคาด
“คนเป็นพี่น้องกันก็มีเรื่องให้กระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา อีกเดี๋ยวก็ดีกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราก็ทำนองนั้นแหละ”
หลังจากนั้นเขาก็บอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไรเลย และขอโทษที่ทำให้รู้สึกอึดอัด
ดูท่าว่าจะไม่ใช่แบบนั้นนะ…
ไม่ว่าจะสีหน้าที่เคร่งขรึมของจีซอก แววตาที่หวาดระแวง หรือคำพูดห้วนๆ ที่พูดใส่พี่จีกอน ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพฤติกรรมที่หาได้ยากจากจีซอกในยามปกติ ผมจึงไม่สามารถมองข้ามเหตุการณ์เมื่อครู่ไปได้ง่ายๆ แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องให้ผมฟังจนหมดเปลือก แต่อย่างน้อยก็น่าจะพอบอกได้หรือเปล่าว่าสถานการณ์มันเป็นมายังไง หรือไม่ก็เกิดอะไรขึ้นกับพี่มินอา
ขืนผมนึกสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับตัวเองหรือเปล่าแล้วดึงดันไปเซ้าซี้ถามจนในท้ายที่สุดก็ได้รู้ความจริงขึ้นมา สุดท้ายแล้วก็คงมีแต่ตัวผมเองที่ต้องทนข่มอารมณ์และเก็บซ่อนความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องราวในครั้งนี้เอาไว้คนเดียว เพราะอย่างนั้นผมเลยคิดว่ารู้ไปก็มีแต่จะช้ำใจหนักกว่าเดิม
ไม่ๆๆ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปก็ไม่จบกันพอดี
ผมสงบสติอารมณ์และข่มความหึงหวงที่ปะทุออกมาทีละน้อย ถ้าฟังเรื่องราวของจีซอกก็คงต้องมีเรื่องพี่มินอาโผล่มาเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่ๆ ถ้าเป็นแบบนั้นขุดคุ้ยลึกลงไปก็รังแต่จะสร้างบาดแผลให้ใจตัวเองเปล่าๆ
ผมอยากหลีกหนีความอึดอัดและความเจ็บปวดใจที่ได้ประสบมาเมื่อวาน รวมถึงความรู้สึกพ่ายแพ้และความอ้างว้างว่างเปล่าที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวเองก็เช่นกัน
ผมสงบอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านอยู่ในใจ ก่อนจะเริ่มคุยไปเรื่อยเปื่อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบเดียวกับที่จีซอกทำ เราคุยกันตั้งแต่เรื่องงานกลุ่มว่าวันนี้สมาชิกในกลุ่มจะโผล่หัวมากี่คน ถ้าไม่มีใครมายันตอนตรวจสอบความเรียบร้อยของงานรอบสุดท้ายก็จะใจแข็งถอดชื่อคนคนนั้นออก ไปจนถึงเรื่องในบ้านว่ามื้อเย็นจะทำอะไรกินกันดี
ในขณะที่เรากำลังพูดเรื่องนั้นระหว่างที่เดินออกจากย่านคอนโดฯ ชายสวมฮู้ดคนหนึ่งที่เดินมาทางนี้ก็ชนไหล่ของผมอย่างแรงก่อนจะเดินผ่านไป ร่างกายผมเสียหลักจนจีซอกที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องรีบโอบรับเอาไว้
“นี่ เป็นอะไรไหม”
ไหล่ของผมโดนกระแทกจนเจ็บ แถมยังได้ยินเสียงดังปักอีก จีซอกจะตกใจก็คงไม่แปลก คนที่ชนไหล่ของผมอย่างแรงแล้วเดินผ่านไปเองก็น่าจะโดนกระแทกแรงไม่ต่างกัน แต่เขากลับไม่แม้แต่จะหันกลับมาเลยสักนิด
จีซอกก้มมองไหล่และใบหน้าของผมที่เหยเกน้อยๆ ก่อนจะทนไม่ไหวแล้วตะโกนเสียงดังใส่ชายคนนั้น
“นี่คุณ! ชนคนอื่นก็ต้องขอโทษสิครับ!”
ถึงจะก้าวเท้าเร็วๆ แต่ระยะทางที่เดินผ่านไปนั้นก็ไม่ได้ไกลอะไร ทั้งที่น่าจะพอได้ยินเสียงแน่ๆ แต่อีกฝ่ายกลับไม่หันหลังกลับมาเลยแม้แต่น้อย ผมที่หมดข้อสงสัยเลยห้ามปรามจีซอกที่ทำท่าจะตะโกนอีกครั้ง
“ช่างเถอะ เราไปกันดีกว่า”
“ไม่เป็นไรแน่นะ? ไม่ใช่ว่าไหล่หลุดไปแล้วหรอกนะ? ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ”
“ฉันไม่เป็นไรจริงๆ เราไม่มีเวลาแล้วนะ รีบไปมหา’ลัยกันเถอะ”
ผมคว้าข้อมือของจีซอกที่ยืนอยู่ข้างกันแล้วเหลียวไปมองด้านหลัง ชายคนนั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตาเดินไปตามทางของตัวเองเหมือนคนที่ไม่ได้ยินและไม่รับรู้อะไร
ไม่ว่าจะขอโทษหรือไม่ อย่างน้อยๆ ถ้าชนคนแรงขนาดนี้ก็น่าจะหันมามองกันบ้าง แต่ชายคนนั้นกลับเมินเฉยโดยไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าเขาจงใจเล็งผมและพุ่งมาชนไหล่ตั้งแต่แรกแล้ว
เป็นคนที่เคยเจอกันที่ไหนหรือเปล่านะ
ผู้ชายคนนั้นสวมฮู้ดมิดชิดเลยเห็นหน้าไม่ชัด แต่ผมก็แน่ใจว่าเขามีส่วนสูงไล่เลี่ยกันกับผม ผมทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ว่ามีคนแบบนั้นอยู่ในความทรงจำบ้างหรือเปล่า ก่อนจะเหลียวไปมองด้านหลังอีกครั้ง
ผมเห็นชายคนเมื่อครู่นี้กำลังจ้องเขม็งมาทางผมจากที่ไกลๆ โดยที่มือทั้งสองข้างสอดอยู่ในกระเป๋าแจ็กเก็ตฮู้ด
เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงคลาสที่ต้องรวมตัวนำเสนองานกลุ่มครั้งสุดท้าย แต่สถานที่นัดรวมตัวกลับยังมีที่นั่งว่างเหลืออยู่ และที่แย่ไปกว่านั้นคือมีคนหายหัวไปถึงสองคน
พอถึงขั้นนี้แล้วความรู้สึกเอือมระอาและความขุ่นเคืองก็ประเดประดังเข้ามาพร้อมกัน
“คังจีซอก ถอดชื่อเจ้าพวกนี้ออกไปให้หมด”
“ถอดแล้ว”
จีซอกลบชื่อทั้งสองคนออกจากไฟล์พรีเซนเทชั่นพร้อมกับขมุบขมิบปากแช่งชักสมาชิกที่อู้งานและยังติดต่อไม่ได้ สมาชิกอีกสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมกับจีซอกเองก็พากันด่ากราดสมาชิกที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้ว่าทำตัวน่าขยะแขยง ทั้งที่ตัวเองก็เพิ่งจะมาเริ่มทำงานตอนช่วงกลางๆ
แต่ก็โชคดีที่ทางนี้คิดเผื่อไว้แล้วว่าทั้งสองคนคงไม่มาเลยเตรียมการมาอย่างรอบคอบ เรื่องการนำเสนอคงไม่เป็นปัญหา แต่การที่อาจารย์เรียกชื่อสองคนนั้นที่ถูกถอดชื่อออกไปก็คงจะทิ่มแทงใจอย่างเจ็บปวดเหมือนลูกธนูอยู่เหมือนกัน
พอเราสี่คนตรวจเช็กงานเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าห้องเรียน ไอ้พวกอู้งานสองคนนั้นถึงได้เดินยิ้มแฉ่งมาหาเรา พวกนั้นอ้างโน่นอ้างนี่แล้วโดดงานกลุ่มไป คนที่รับหน้าที่นำเสนอจึงแกล้งพูดเสียงแหบแห้งถึงจะไม่แนบเนียนสักเท่าไหร่ก็ตาม ส่วนคนที่รับหน้าที่ทำพรีเซนเทชั่นเองก็ชูนิ้วมือที่พันผ้าพันแผลไว้อย่างลวกๆ ให้ดูพลางบอกว่ายังไม่หายเจ็บดี พอจีซอกที่ต้องนำเสนอแทนยิ้มพลางบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งสองคนก็เอ่ยขอบคุณยกใหญ่พร้อมบอกว่าพวกผมใจดีจริงๆ
แต่หลังจากเห็นว่าชื่อของตัวเองถูกถอดออกจากสไลด์ คนพวกนั้นก็มองเราด้วยสายตาโกรธแค้น แต่สุดท้ายก็ถูกอาจารย์เรียกไปหาทันทีที่จบคลาส พอเห็นไหล่ที่ห่อลงกับสีหน้ากระวนกระวายแล้วก็รู้สึกสมน้ำหน้าชะมัด
ผมทำงานจนร่างแหลกแทบทุกวันแล้วไง พวกเพื่อนคนอื่นๆ กลับลากผมมาก๊งเหล้าด้วยสีหน้าโล่งใจเหมือนเพิ่งผ่านการสอบครั้งใหญ่เสร็จ เพื่อนบางคนโบกมือลางานกลุ่มที่น่าเข็ดขยาดพลางบอกว่ายอมทำงานเดี่ยวสิบชิ้นยังจะดีเสียกว่า
“อ้า! เหล้านี่โคตรสุดเลยว่ะ”
เพื่อนคนหนึ่งโบกแก้วโซจูเหนือศีรษะของตัวเองเป็นการใหญ่ เหล้าโซจูสองสามหยดหยดลงบนศีรษะ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด ผมครุ่นคิดว่าถ้าเมาแอ๋แล้วหลับไปทั้งแบบนี้โดยไม่สระผมคงเหม็นหึ่งแน่ แต่ถึงยังไงพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่แล้วเลยปล่อยเลยตามเลย
พองานกลุ่มที่สำคัญเสร็จลุล่วง ทีนี้ก็เหลือวิกฤตอยู่อีกอย่างเดียวคือการสอบปลายภาค ขอแค่ผ่านมันไปให้ได้ แล้วปิดเทอมภาคฤดูร้อนที่โหยหาก็จะมาถึง
พอพูดถึงฤดูร้อนแล้ว คังจีซอกก็ยังคงเป็นคังจีซอกที่มักจะป่วยออดๆ แอดๆ อย่างไม่เข้ากับขนาดตัวอยู่วันยังค่ำ ส่วนผมเองก็มีปัญหายุ่งยากมากมายเหมือนกัน
กิจวัตรประจำวันของผมในฤดูร้อนคือการนอนแผ่กับพื้นห้องเย็นๆ อย่างหมดแรงเหมือนหมากฝรั่งหนืดๆ แล้วพอถึงฤดูฝนทีไรร่างกายก็มักจะหนักอึ้งและเซื่องซึมเป็นไก่ป่วยเพราะอากาศชื้นและท้องฟ้าที่มืดครึ้ม เมื่อเทียบกับคังจีซอกที่ลำพังแค่เอาชนะไข้หวัดได้ก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาได้แล้ว ผมที่เป็นแบบนั้นตลอดทั้งฤดูร้อนไม่สามารถนับจำนวนซัมกเยทัง* ที่ถูกเขาจับป้อนตลอดระยะเวลาสามเดือนได้เลย
พอคิดแบบนั้นแล้วในหัวผมก็คิดแค่ว่าปิดเทอมนี้จะนอนตัวอ่อนเปลี้ยยังไงดีมากกว่าที่จะคาดหวังถึงวันหยุดที่กำลังใกล้เข้ามา ระหว่างนั้นบรรดาเพื่อนๆ ที่ไม่รู้ว่าเติมเหล้าไปกี่แก้วแล้วก็กำลังเมาปลิ้นกันได้ที่ คังจีซอกที่ตะโกนดังลั่นว่า ‘เทเลย ดื่มเลย’ เองก็อยู่ในสภาพเดียวกัน เพื่อนที่กำลังเล่นเกมกันอย่างคึกคะนองเทเหล้าใส่แก้วของผม ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจต้องชนแก้วไปกับเขาด้วย
ผมกลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบตัวแล้วดื่มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าเริ่มเมากรึ่มๆ และใบหน้าร้อนวูบวาบ
นี่เราดื่มไปกี่แก้วแล้วนะ…
ในหัวของผมมึนตึ้บจนคำนวณอะไรไม่ได้ ทั้งที่ดีกรีเหล้าก็ไม่ได้แรงอะไรมากมาย แต่การยกดื่มโซจูที่ไม่ได้ดื่มมานานติดๆ กันหลายแก้วก็เล่นเอาผมเมาได้เหมือนกัน
ผมอังมือบนหน้าผากที่ร้อนผ่าวพลางหยิบมือถือออกมาดูเวลาว่ากี่โมงแล้ว แต่สิ่งแรกที่สะดุดตาก่อนเลขบอกเวลาคือข้อความจากพี่จีกอนที่เด้งขึ้นมากลางหน้าจอ
ดื่มหนักเกินไปหรือเปล่า
ฉับพลันนั้นผมก็รู้สึกสร่างเมาขึ้นมาทันทีทันใด ผมเงยหน้าขึ้นแล้วกวาดตามองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของพี่จีกอนเลย
และในตอนนั้นเองข้อความก็เด้งขึ้นมาอีกหนึ่งข้อความ
หยุดดื่มดีกว่านะ หน้าแดงหมดแล้ว
ผมกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยใบหน้าที่ร้อนจนขึ้นสีแดงเรื่ออีกครั้ง ตัวพี่เขาไม่ได้อยู่ในร้านก็จริง แต่ผมเห็นรถยนต์คันคุ้นตาผ่านกระจกร้านฝั่งที่อยู่ใกล้กับที่นั่งของผมมากที่สุด หน้าต่างฝั่งที่นั่งคนขับของรถคันนั้นถูกเลื่อนลงมาประมาณหนึ่งในสาม ผมเห็นดวงตาที่คุ้นเคยผ่านช่องว่างนั้น ดวงตาของคนที่สบสายตากันอยู่กำลังหยียิ้มเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเหมือนคังจีซอก
ทีแรกผมนึกว่าตัวเองตาฝาดไป ทั้งที่ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วพี่จีกอนรู้จนตามมาเจอได้ยังไงกัน
“มัวทำอะไรอยู่ ไม่รีบดื่มล่ะ”
เพื่อนคนหนึ่งปรือตาพลางโอบไหล่ของผมแล้วยื่นแก้วที่มีโซจูอยู่เต็มแก้วใส่มือผม ผมที่เห็นพี่จีกอนแล้วสร่างเมาขึ้นมาทันตาจึงวางแก้วลงเพราะตั้งใจจะหยุดดื่ม ทว่าเพื่อนคนนั้นกลับกุมมือของผมที่จับแก้วอยู่แล้วบังคับให้กระดกเข้าปาก
“เฮ้ย ฉันดื่มไปเยอะแล้ว”
“ลิ้นยังปกติดีนี่ ดื่มเยอะอะไรกัน คืนนี้ยังอีกไกลเว้ย เอ้า ดื่มๆๆ!”
“ใช่! ดื่มให้เมาแอ๋กันไปเลย!”
เพื่อนคนอื่นพากันรุมกดดันผมอีกแรง ผมที่ต้านแรงกดดันไม่ไหวเลยกรอกโซจูเข้าปากไปรวดเดียวจนรู้สึกว่าลำคอร้อนวูบวาบ หลังจากนั้นหัวผมก็ตื้อไปหมดเพราะอาการเบลอ
“จะรีบชิ่งไปไหนนายน่ะ จัดอีกแก้วเลย โทษฐานที่ขี้ขลาด”
ทันทีที่แก้วว่างเปล่าก็มีคนมาเติมโซจูให้ใหม่ ผมหยิบขนมที่เป็นกับแกล้มมากินพลางยกดื่มช้าๆ แต่ไอ้พวกนี้ก็ยังไม่ยอมหยุดกัน
หลังจากดื่มโซจูไปสามแก้วติดกัน ผมก็เมาหนักจนใบหน้าร้อนผ่าวราวกับจะระเบิด หัวของผมเต้นตุบๆ เป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจ อีกทั้งยังรู้สึกล่องลอยเหมือนกับว่าเท้าอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยลูกโป่ง
“เฮ~ อีกแก้วโว้ย!”
“…ไอ้อาจารย์…ไอ้เวรตะไลเอ๊ย! เป็นอาจารย์แล้วไงวะ?!”
เสียงเมาอ้อแอ้ดังมาจากรอบด้านก่อนที่เหล้าจะถูกเติมใส่แก้วของผมอีกครั้ง ตอนนี้ผมคิดแค่ว่าต่อให้เติมอะไรมาก็คงต้องดื่มโดยไม่คิดที่จะปฏิเสธหรือเลือกที่จะดื่มแต่พอควรอีก เพราะต่อให้ไม่ดื่มก็ถูกบังคับจับกรอกเข้าปากอยู่ดี
ผมยกแก้วโซจูขึ้นมาด้วยความที่เริ่มชิน แต่แล้วก็ถูกมือของใครบางคนที่โฉบมาจากทางด้านข้างฉวยเอาไป
“อูซอยา…ฮึก…นายดื่ม…ฮึก…มากไปแล้วนะ”
คนที่แย่งแก้วโซจูของผมไปและกำลังสะอึกฮึกๆ อยู่นั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคังจีซอก เพื่อนคนอื่นเห็นอย่างนั้นก็พยายามแย่งคืนแล้วบอกให้เขาดื่มเหล้าของตัวเองไป แต่คังจีซอกกลับยิ้มกริ่มแล้วซัดเหล้าของผมเข้าปากไปรวดเดียว จากนั้นเขาก็ถือแก้วสองใบไว้ในมือสองข้าง ก่อนจะขอเติมอย่างกระตือรือร้น เพื่อนคนอื่นๆ ก็ไม่ได้แล้งน้ำใจจึงพากันเทโซจูใส่แก้วสองใบให้เพื่อนตัวเองอีกครั้ง
ผมมองคังจีซอกที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในสภาพตัวอ่อนปวกเปียก พอเห็นคังจีซอกเมาแอ๋เต็มที่แล้ว หัวใจก็พลันเต้นโครมครามกับการที่เขาเป็นห่วงผม ทว่าความรู้สึกนั้นกลับเหือดแห้งไปในพริบตาเดียว
‘ผมยังชอบพี่มินอาอยู่’
ทำไมต้องนึกถึงคำพูดนั้นขึ้นมาตอนนี้ด้วยนะ
คำสารภาพของคังจีซอกที่ดังก้องอย่างบ้าคลั่งในหัวที่ปวดตื้อทำให้อารมณ์ที่ครึกครื้นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เปลี่ยนเป็นหมดอาลัยตายอยากแทน
ผมเท้าคางกับแขนที่พาดอยู่บนโต๊ะขณะมองคังจีซอกด้วยสายตาที่พร่าเบลอ เหล้าสีใสถูกเติมใส่ในแก้วเหล้าของผมที่ยังอยู่ในมือของเขา ก่อนที่เขาจะกรอกเข้าปากจนหมดเกลี้ยงไปในพริบตา ไม่นานนักคังจีซอกก็วางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะแล้วทิ้งมันไว้ราวกับไม่มีเจ้าของ
ผมรู้ตัวดีว่าผมกำลังเอาความรู้สึกของตัวเองไปใส่ใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ถึงจะรู้ว่ามันคือฤทธิ์ของแอลกอฮอล์และผลข้างเคียงของเหล้า แต่ผมก็อดที่จะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังตีรวนอยู่ข้างในไม่ได้ และความรู้สึกตีรวนที่ว่านั้นก็ส่งผลกระทบต่อท้องไส้ของผมจนผมต้องรีบลุกจากที่นั่ง
ผมเดินไปที่ห้องน้ำเพราะอาการคลื่นไส้ที่ตีรวนขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเดินหนีจากพื้นที่ข้างนอกที่มีกลิ่นเหล้าเหม็นคลุ้งออกมาพ้นแล้วหรือเปล่า ภายในห้องน้ำถึงได้แลดูเงียบสงบต่างจากที่กังวลเอาไว้อย่างสิ้นเชิง ผมกำลังลูบหน้าอกอยู่ดีๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาเลยเท้าแขนกับอ่างล้างมือไว้ก่อนจะลองแตะหน้าผากดู ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไข้ขึ้นหรือยังไง ทั้งที่ฝ่ามือมีอุณหภูมิปกติ แต่ใบหน้ากลับร้อนผ่าวจนเกินคำว่าอุ่นไปไกล พอเงยหน้าขึ้นมองกระจกบนผนัง ผมก็รู้สึกราวกับว่าทั้งตัวกำลังถูกคลอกด้วยไฟ
ตอนนั้นเองผมก็ได้ยินเสียงประตูที่ถูกเปิดดังปัง ก่อนที่คังจีซอกจะเดินเข้ามา ถึงใบหน้าของเขาจะแดงก่ำไม่ต่างจากผม แต่ดวงตาของเขาดูจะปรือปรอยกว่าผมเล็กน้อย
“อะไรน่ะ นายเองก็มาเข้าห้องน้ำเหรอ”
จีซอกที่เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มพลันขมวดคิ้วมุ่นราวกับเป็นห่วงผม
“นายไหวไหมเนี่ย คลื่นไส้เหรอ หรือว่าเวียนหัว? อยากกลับคอนโดฯ ไหมล่ะ”
ผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจแปลกๆ กับการที่เขาเดินเข้ามาอย่างเป็นห่วงเกินเหตุแบบนี้ ทั้งที่เขาก็ทำตัวไม่ต่างไปจากปกติและต่อให้เมายังไงก็ยังทำตัวเหมือนเดิม แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกชังน้ำหน้าเขาไปหมดทุกอย่างเลยนะ
คังจีซอกก็น่าจะปฏิบัติกับเพื่อนแบบนี้เหมือนกันหมดนั่นแหละ ไม่ใช่แค่กับผมหรอก กับคนอื่นเขาก็คงจะถามแบบนี้และปฏิบัติแบบนี้เหมือนกัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงรู้สึกขอบคุณและหวั่นไหวกับน้ำใจนี้ แล้วก็คงจะรู้สึกเหมือนกับว่าได้รับการดูแลปฏิบัติเป็นพิเศษจนทะนงตนว่าเป็นเพื่อนสนิทที่เขาใส่ใจราวกับเป็นคนรัก แต่ตอนนี้ผมไม่อาจยอมรับความหวังดีของเขาได้อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ เพราะความรู้สึกที่ว้าวุ่นและความคิดที่ยุ่งเหยิงของตัวผมเอง
‘ผมยังชอบพี่มินอาอยู่’
อยากจะบ้าตาย
คำพูดนั้นของคังจีซอกพุ่งเข้ามากระแทกศีรษะของผมเข้าอย่างจังอีกครั้งราวกับตอกย้ำว่าต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ผมก็ไม่มีทางอยู่ในขอบเขตการยอมรับของคังจีซอกได้เหมือนพี่มินอา
เพียะ!
ผมปัดมือที่ยื่นมาตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว ผมจ้องหน้าคังจีซอกที่ขบกัดริมฝีปากพลางจ้องมองอย่างตกใจ ก่อนจะเดินกระแทกไหล่เขาด้วยฝีเท้าที่โซซัดโซเซ
ผมกลับมาที่เก้าอี้ของตัวเองแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นมา ขณะที่สายตาเหลือบมองไปเห็นว่าเพื่อนสองคนในกลุ่มได้ล้มฟุบไปแล้ว เพื่อนที่ยังพอมีสติอยู่รั้งผมเอาไว้พลางถามว่าจะไปไหน ผมเลยควักเงินค่าเหล้าไม่กี่หมื่นวอนให้หมอนั่นแล้วรีบออกมาอย่างเงียบๆ
พอออกมาข้างนอก ร่างกายผมก็ปะทะเข้ากับสายลมที่พัดมาแรงมาก ทั้งที่อีกไม่ถึงเดือนก็จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่อากาศกลับหนาวเย็นจนเสียวสันหลังวาบ แต่คงเป็นเพราะผมที่กำลังอยู่ในสภาพตัวร้อนผ่าวด้วย
ครืด…
พอได้ยืนตากลมนอกร้าน ผมก็นึกถึงมือถือที่เสียบเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาได้ ดูจากการที่มันสั่นอย่างต่อเนื่องแล้วน่าจะมีใครสักคนโทรเข้ามา แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่อยากรับสายตอนนี้ แล้วก็ไม่อยากจะสนใจด้วย
ผมก้าวขาออกไปโดยเมินแรงสั่นนั้นพร้อมกับความรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวและภาพเบื้องหน้าที่โคลงเคลง บางทีถ้าได้เดินกลับคอนโดฯ ไปทั้งอย่างนี้ ความรู้สึกที่ปั่นป่วนอยู่ภายในใจก็อาจจะสงบลงและสร่างเมาก็ได้
ทว่าในตอนที่ผมเพิ่งจะเดินไปได้เพียงสามก้าวภาพเบื้องหน้าก็พลันวูบไหว ก่อนที่จู่ๆ ร่างกายผมจะเซล้มไปด้านหลัง แต่ผมก็พลันต้องทำหน้าเหยเกไปโดยอัตโนมัติเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่แสนคุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้า
“ออกมาทำไม ดื่มกันเสร็จแล้วเหรอ”
คนที่ผมเห็นผ่านสายตาที่พร่ามัวคือคังจีซอกที่กำลังมุ่นคิ้วถามด้วยสายตากังวลเหมือนเมื่อครู่นี้
“ปล่อยฉันแล้วไสหัวไปซะ”
ทั้งที่ผมว้าวุ่นใจจนอยากอยู่คนเดียวเพื่อจัดการกับความรู้สึกของตัวเอง แต่ไอ้ตัวการนี่ก็ยังจะหน้าด้านมายุ่มย่ามกับผมอยู่ได้
ผมเหวี่ยงแขนที่ถูกจับไว้แล้วพยายามผลักอีกฝ่ายออก แต่กลับถูกอีกฝ่ายรวบแขนอีกข้างเอาไว้ด้วยเสียอย่างนั้น
“พอเมาแล้วปากเก่งเชียวนะ”
ชั่วขณะที่ตะคอกใส่คังจีซอกที่ทำตัวน่ารำคาญไปหนหนึ่ง ผมก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าเสียงของเขานั้นทุ้มต่ำต่างจากตอนที่อยู่ในห้องน้ำ พอพินิจมองอย่างละเอียดดูอีกที ผมถึงได้เห็นว่าคนที่อยู่ในชุดสูทสะอาดเอี่ยมกำลังส่งยิ้มอย่างผู้ใหญ่มาให้ผมอยู่
“…พี่?”
ตอนนั้นเองผมถึงได้รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คังจีซอกแต่เป็นพี่จีกอน พอลองคิดดูผมก็นึกขึ้นได้ว่าพี่เขามาที่นี่ตั้งแต่ตอนที่พวกผมกำลังจัดหนักกันก่อนหน้านี้แล้ว ผมมัวแต่สนใจคังจีซอกกับเหล้าเลยลืมไปเสียสนิทว่าพี่จีกอนเองก็อยู่ที่ร้านนี้ด้วย
“เอ่อ…ขอโทษครับ ตอนนี้ผมไม่ค่อยมีสติก็เลย…”
ผมรีบพูดออกไปด้วยความรู้สึกผิดและความงงงวยปะปนกัน แต่ดูเหมือนว่าลิ้นของผมที่แต่เดิมก็อ่อนเปลี้ยอยู่แล้วจะพันกันมั่วไปหมด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังโชคดีที่พี่จีกอนช่วยประคองตัวผมไว้โดยไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจอะไร
“เพื่อนคนอื่นยังอยู่กันครบ นายออกมาแบบนี้ได้เหรอ”
“ครับ…พอดีผมว่าจะหยุดดื่มแล้วน่ะครับ”
ผมหลุบตาลงต่ำก่อนจะเบือนหน้าหนี แต่พี่เขาก็จับใบหน้าของผมเบาๆ ให้หันไปสบตากัน
“รู้ตัวไหมว่านายติดนิสัยหลุบตาลงต่ำเวลาว้าวุ่นใจน่ะ”
พี่เขายิ้มอย่างเป็นห่วงพลางใช้นิ้วโป้งแตะลงที่ใต้ตาผมก่อนจะลูบไปมาเบาๆ ทั้งที่เป็นนิสัยที่ผมทำไปโดยไม่รู้ตัวแท้ๆ แต่ผมก็อดรู้สึกทึ่งไม่ได้จริงๆ ที่เขาสังเกตเห็นมัน และผมก็รู้สึกทึ่งอีกเช่นกันกับการที่พี่เขามาอยู่ที่นี่ ไหนจะเรื่องที่พี่เขาเหมือนกับคังจีซอกขนาดนี้อีก…ทุกอย่างมันน่าทึ่งไปหมด
“พี่รู้แล้วมาที่นี่ได้ยังไงครับ”
พี่จีกอนหยิบมือถือขึ้นมาโชว์ข้อความหนึ่งให้ดูโดยไม่พูดไม่จาอะไร
ออกมาดื่มกับเพื่อน น่าจะกลับดึก ไม่ต้องรอนะ
มันเป็นข้อความที่คังจีซอกส่งถึงพี่เขา พอผมถามพี่เขาผ่านสายตาว่าทั้งที่มีข้อมูลอยู่เท่านั้นแล้วรู้ยันตำแหน่งร้านได้ยังไง พี่เขาก็ยิ้มกริ่มให้
“เมื่อก่อนเคยได้ยินว่าเจ้านี่มีร้านประจำที่มักจะมาทุกครั้งเวลาดื่มกับเพื่อน พี่ก็เลยพอรู้คร่าวๆ ว่าอยู่ที่ไหนน่ะ”
พอได้ยินแบบนั้นผมก็ตระหนักได้ว่าเรามาร้านเหล้าร้านนี้ทุกครั้งเวลาดื่มกับกลุ่มเพื่อน ด้วยความที่ร้านนี้เป็นร้านใกล้มหาวิทยาลัยที่กับแกล้มราคาน่าคบหาและเจ้าของร้านใจกว้างมาก พวกนักศึกษาเลยแวะเวียนมากินดื่มกันอยู่บ่อยๆ
“พรุ่งนี้เป็นวันหยุด พี่ดูท่าทีแล้วกลัวว่านายจะดื่มกันยันเช้ามืดไม่ยอมกลับบ้านก็เลยมาหาน่ะ พอดีพรุ่งนี้พี่ต้องออกไปข้างนอกด้วย”
ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าพี่เขากำลังกังวลเรื่องอะไร พี่เขาไม่สามารถนอนหลับได้โดยไม่มีผม และมันก็จะเป็นอุปสรรคใหญ่ต่องานของพี่เขาในวันพรุ่งนี้ พี่เขาก็เลยอดกังวลใจไม่ได้ แถมเวลานี้ก็เลยห้าทุ่มมาแล้วด้วย
“ขอโทษครับ ถ้างั้นเรากลับห้อง…”
ผมเอ่ยปากก่อนจะกลืนคำพูดลงคอไปทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบ พอมาลองคิดดูดีๆ แล้ว ถ้ากลับคอนโดฯ ไปด้วยอารมณ์นี้ผมคงจะหงุดหงิดงุ่นง่านน่าดู ผมเกลียดความรู้สึกอึดอัดที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจและไม่ชอบเวลาที่ในหัวมีแต่เรื่องที่เอาออกไปไม่ได้สักที
ถ้ามีที่ไหนสักที่ให้ได้นั่งปรับทุกข์ก็คงจะดี
หลังจากครุ่นคิดเสร็จผมก็คว้าแขนของพี่เขาไว้เบาๆ
“เอ่อคือ…ดื่มกับผมสักแก้ว…ได้ไหมครับ”
นี่ผมจับตัวคนที่ต้องไปทำงานพรุ่งนี้ไว้แล้วพูดอะไรออกไปเนี่ย
ผมหวังในใจให้พี่เขาทำเป็นไม่ได้ยินแล้วพาผมกลับคอนโดฯ แต่พี่เขากลับพาผมไปทางที่รถจอดอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มระรื่นอย่างอารมณ์ดี
“สักสองแก้วก็ได้นะ”
พี่จีกอนตอบตกลงในทันทีราวกับรอคอยคำพูดของผมอยู่
* ซัมกเยทัง หรือไก่ตุ๋นโสม เป็นการนำไก่ไปตุ๋นกับสมุนไพรต่างๆ ที่มีฤทธิ์ช่วยคลายร้อน เช่น โสม พุทราจีน เกาลัด เป็นต้น โดยมักทานกันในฤดูร้อนเพราะช่วยคลายร้อน รวมถึงเรื่องของการปรับสมดุลในร่างกาย และทำให้รู้สึกสดชื่น
Chapter 3.6 ชินอูซอ
หนึ่งชั่วโมงแล้วที่ผมตามพี่จีกอนมาที่บาร์วินเทจแห่งหนึ่งซึ่งน่าอายเกินกว่าจะเรียกว่าร้านเหล้า
ผมนั่งดื่มค็อกเทลอยู่ข้างพี่เขาหน้าบาร์หรูแบบที่เคยเห็นในหนัง ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่แก้วแรก แต่เป็นแก้วที่สาม
“ผมรู้ว่ามันไม่ควรเป็นแบบนี้…จริงๆ นะครับ”
ผมกระดกค็อกเทลสีใสที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วเข้าปาก ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งเสยผมด้านหน้าที่กระเซิงขึ้นอย่างลวกๆ
“ผมคาใจที่คังจีซอกทำดีกับผมและเป็นห่วงผมบ่อยๆ คำพูดตอนนั้นเลยยังวนเวียนอยู่ในหัวตลอด…ทั้งที่เขาก็ทำแบบเดียวกันกับคนอื่นๆ แถมยังมีคนที่ชอบอยู่แล้ว…แล้วทำไมผมต้องหวั่นไหวกับเรื่องพรรค์นั้นด้วย…ทำไมกัน…”
ผมกินก้อนชีสลูกกลมๆ สีขาวจากปลายส้อมที่พี่จีกอนจ่อใส่ปากอย่างไม่ลังเล ถ้าเป็นตอนปกติผมคงบอกว่า ‘เดี๋ยวผมกินเอง’ ด้วยความเขินอาย แต่ตอนนี้แอลกอฮอล์กำลังพลุ่งพล่านไปทั่วร่าง ความสะดวกสบายที่ไม่ต้องหยิบกับแกล้มกินเองจึงมาก่อนความเขินอาย
พี่จีกอนที่ป้อนกับแกล้มให้ผมใช้ส้อมจิ้มของแบบเดียวกันเข้าปากตัวเองก่อนจะตอบกลับ
“มันก็เป็นไปได้แหละนะ คนที่ชอบดันมาทำดีด้วย ไม่ว่าใครก็อยากให้ความหมายกับมันทั้งนั้นแหละน่า”
“ความหมาย…จริงสิ ความหมาย…นั่นสินะครับ…”
ผมใช้มือเท้าศีรษะที่มึนตึ้บไปหมดเพื่อประคองตัวอย่างทุลักทุเลขณะปรายตามองแก้วค็อกเทลที่ว่างเปล่า ใบหน้ายิ้มร่าของคังจีซอกถูกวาดขึ้นมาอย่างเลือนรางบนพื้นผิวของแก้วค็อกเทล
“ผมเคยคิดนะว่าต่อให้คังจีซอกคบกับผู้หญิงคนอื่นจนแต่งงาน…ตัวผมเองก็คงจะโอเค ผมต้องโอเคให้ได้อยู่แล้วล่ะ…ก็ผมยังอยากยืนอยู่ข้างเขานี่นา…”
เพราะรู้ตัวว่ามันเป็นไปไม่ได้ ผมเลยตั้งใจว่าจะอยู่ในฐานะเพื่อนแบบนี้ไปให้นานที่สุด ตั้งใจว่าจะไม่รู้สึกอะไรที่ไม่ควรรู้สึกและแสดงออกแค่ในฐานะเพื่อนสนิทเท่านั้น และผมก็มั่นใจว่าตัวเองทำได้ดีมาตลอดเหมือนที่ทำมาจนถึงตอนนี้
แต่ถึงอย่างนั้นพอรู้ว่าคังจีซอกมีผู้หญิงที่ชอบ ผมก็ดันมามีสารรูปแบบนี้เอาเสียได้ แล้วแบบนี้ผมจะสามารถอยู่เคียงข้างเขาต่อไปได้ยังไงในเมื่อผมควบคุมความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่ได้เสียแล้ว ผมได้แต่สมเพชตัวเองจนอดคิดไม่ได้ว่านี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ผมคงต้องถอยห่างหรือตัดใจจากเขาแล้วจริงๆ บรรยากาศสุขุมเฉพาะตัวและความเป็นผู้ใหญ่ของพี่จีกอนในตอนนี้ดึงดูดสายตาของผมมากกว่าใบหน้าที่คล้ายคลึงกับคังจีซอก
“ถ้าผมอายุเท่าพี่ ผมก็น่าจะทำใจได้ใช่ไหมครับ”
ถ้าสุขุมและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเหมือนพี่จีกอน ผมจะจัดการกับความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นอีกหน่อยไหมนะ ลำพังแค่ได้ยินว่าคังจีซอกชอบใครบางคนอยู่ผมก็เป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว วันหลังถ้าเกิดเขาบอกว่าคบกับใครขึ้นมา ถึงเวลานั้นผมจะแสร้งทำเป็นไม่สะทกสะท้านอะไรได้เหรอ แล้วผมก็แค่นหัวเราะให้พี่เขาที่นั่งอยู่เงียบๆ
“การรักใครข้างเดียวนี่มัน…เหนื่อยจริงๆ เลยนะครับ”
มุมปากที่เคยยกยิ้มอย่างปลอบโยนของพี่เขาลดต่ำลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแบบนั้นหรือเปล่า รอยยิ้มของพี่เขาจึงดูขมขื่นเหมือนกับผมในตอนนี้และแตกต่างไปจากรอยยิ้มในยามปกติ
ในจังหวะที่ดื่มค็อกเทลแก้วใหม่ไปได้ครึ่งแก้ว ภาพเบื้องหน้าของผมก็เกิดวูบไหวขึ้นมาราวกับเป็นการแจ้งเตือนว่าตอนนี้ผมดื่มเกินขีดจำกัดไปมากแล้ว แถมร่างกายเองก็โงนเงนจนพี่จีกอนต้องโอบไหล่ผมเพื่อช่วยประคอง
“ทีนี้ก็ถึงเวลาต้องกลับกันแล้วนะ นายดื่มหนักไปแล้ว”
“ไม่ครับ ผมยัง…”
ผมรู้สึกผิดกับพี่เขาเพราะตัวเองเอาแต่อาศัยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์นั่งพร่ำบ่นคนเดียวไปเรื่อย ถึงพี่เขาจะรู้ว่าผมคิดยังไงกับคังจีซอก แต่เรื่องน่าอึดอัดแบบนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังสักเท่าไหร่นัก
ผมพูดอ้อแอ้ว่า ‘ทีหลังถ้าพี่มีอะไรที่อยากระบายก็พูดมันออกมาได้นะ’ ก่อนจะได้รับคำตอบกลับมาเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ เหนือไหล่ที่กำลังซบอยู่
ผมเห็นใครบางคนเดินเข้ามาพูดอะไรสักอย่างแล้วพี่จีกอนก็ยื่นบัตรเครดิตใบหนึ่งให้คนคนนั้นผ่านสายตาที่พร่าเบลอของผม ภาพนั้นให้ความรู้สึกแตกต่างจากตอนที่ผมยื่นเงินสดจำนวนหนึ่งให้เพื่อนแล้วออกมาจากร้านเหล้าอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนความต่างนั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผมยังเป็นเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่
ผมขยับขาที่รู้สึกหนักอึ้งเป็นพิเศษตามพี่เขาออกมาข้างนอก ทั้งที่เมื่อครู่นี้สายลมยังเย็นยะเยือกขนาดนั้น แต่พอเวลาผ่านไปก็กลับอ่อนลงเป็นสายลมเย็นสบายที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายแทน
ผมไม่รู้ว่าตัวเองมานั่งบนที่นั่งข้างคนขับได้ยังไง ผมรู้สึกเหมือนจะจำได้รางๆ ว่าพี่จีกอนอุ้มผมมาจากที่นั่งในบาร์เมื่อครู่ แต่แล้วภาพความทรงจำของผมก็เริ่มตัดไปอย่างที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก
พอได้ยินเสียงประตูฝั่งคนขับปิดลง ผมก็ตั้งใจจะหลับตาลงเพราะคิดว่าในไม่ช้ารถก็จะแล่นออกไปแล้ว แต่ทันใดนั้นเสียงมือถือก็ดังขึ้น ระหว่างที่ดื่มเหล้ากับพี่จีกอน ไม่ว่าสายไหนจะติดต่อมาผมก็เมินมันหมดทุกสาย แต่เวลาใกล้เช้ามืดอย่างนี้ก็ยังจะติดต่อมาไม่เลิก
ผมหยิบมือถือออกมาเช็กดูด้วยแววตารำคาญก่อนจะตาสว่างขึ้นมาในฉับพลัน
นายอยู่ไหนน่ะ อูซอยาㅠㅠ
คังจีซอกส่งข้อความมาหาผม หลังจากตรวจดูประวัติการโทรเข้าแล้วปรากฏว่าสายที่ผมไม่ได้รับทั้งสิบเอ็ดสายล้วนเป็นสายจากคังจีซอก ซึ่งนั่นยังไม่รวมข้อความอีกนับไม่ถ้วน
หากเป็นเมื่อก่อนผมคงจะรู้สึกดีกับความเอาใจใส่แบบนี้ของเขา แต่วันนี้ผมไม่อาจรู้สึกดีกับมันได้อย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ เพราะเรื่องเหล่านั้นที่คอยกวนใจ และสิ่งที่กวนใจผมไปมากกว่านั้นคือการที่ถึงแม้ตอนนี้เวลาจะเลยตีหนึ่งมาแล้วแต่คังจีซอกกลับยังไม่เมาปลิ้นจนหลับเป็นตายอีก
อยู่บ้านคนเดียวมันน่ากลัวนะㅠㅠ
ดูสิ หมอนี่พิมพ์ไม่ผิดเลยสักตัว
ไม่ว่าจะแค่งัวเงีย เมายาแก้หวัด หรือเมาเหล้าการพิมพ์ผิดของคังจีซอกก็จะบอกถึงสภาพของเจ้าตัวได้อย่างละเอียดยิบ ดูจากที่เมื่อครู่นี้เขายังแย่งเหล้าของผมไปดื่มอึกๆ แต่พิมพ์ไม่ผิดสักตัวแล้ว นั่นหมายความว่าสติของเขายังครบถ้วนสมบูรณ์ดีอยู่แน่ๆ
พอคิดได้อย่างนั้นผมก็ยิ่งไม่อยากกลับคอนโดฯ เข้าไปใหญ่ ผมคาดเดาไม่ได้เลยว่าฤทธิ์แอลกอฮอล์จะทำให้ตัวเองเผลอหลุดพูดอะไรออกไปหรือเปล่า ถ้าเจอคังจีซอกในสภาพที่ตัวเองกำลังอารมณ์อ่อนไหวและสติไม่ครบถ้วนแบบนี้
ผมจ้องหน้าจอมือถือนิ่งโดยไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ก่อนที่มือใหญ่ของใครบางคนจะยื่นเข้ามาบดบังหน้าจอนั้น
“อูซอยา พี่ว่าเรา…”
พี่จีกอนที่ใช้มือปิดข้อความของจีซอกส่งยิ้มมาให้อย่างเย้ายวน พริบตานั้นผมมองเห็นใบหน้าของคังจีซอกซ้อนทับอยู่บนหน้าของพี่เขาจนหัวใจเผลอเต้นแรงไปวูบหนึ่ง หากมองต่อไปคงหลงตายเอาแน่ๆ แต่หากเบือนหน้าหนีผมก็คงจะเสียดายจนต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง
“…ไม่กลับคอนโดฯ กันไหม”
ข้อเสนอของพี่เขาเย้ายวนพอๆ กับรอยยิ้ม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เห็นดีเห็นงามได้ไม่เต็มปาก
“ไหนบอกว่าพรุ่งนี้ต้องไปทำงานเช้าไงครับ”
“อืม…เรื่องนอนพี่ก็ต้องนอน แต่ดูเหมือนว่านายจะไม่อยากเข้าคอนโดฯ นี่นา”
บางครั้งผมก็รู้สึกขนลุกที่พี่เขาเป็นแบบนี้ พี่เขารู้ความคิดของผมอย่างทะลุปรุโปร่งขนาดนั้นได้ยังไงกัน
“เดี๋ยวพี่จองโรงแรมใกล้ๆ แล้วจะขยายเวลาเช็กเอาต์ก่อนออกไปทำงานให้ นายเองก็หลับให้เต็มอิ่มแล้วค่อยเช็กเอาต์ออกมาก็แล้วกัน”
มือของพี่จีกอนที่เทียบกันแล้วอุณหภูมิต่ำกว่าลูบแก้มอุ่นๆ ของผมอย่างเบามือ ความรู้สึกเย็นสบายจากฝ่ามือนั้นชวนให้ข้างในใจของผมรู้สึกปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก และในขณะเดียวกันภาพของคังจีซอกก็มักจะซ้อนทับกับพี่เขาที่กำลังเอาใจใส่ผม
“ไม่ว่าจะคังจีซอกหรือพี่…ทำไมทุกคนถึงได้เอาใจใส่ผมขนาดนี้กันนะ…”
ลิ้นที่อ่อนเปลี้ยพูดคำที่อยู่ในหัวออกมาไปเรื่อย รู้ตัวอีกทีผมก็กำลังถูแก้มกับฝ่ามือเย็นๆ ของพี่เขาเสียแล้ว
“ครั้งแรกเลยนะที่พี่ได้ยินใครบอกว่าพี่เอาใจใส่น่ะ”
“ไหนพี่บอกว่าเคยมีคนรักไงครับ…คนรักของพี่เขาไม่ได้บอกพี่ทุกวันหรอกเหรอ”
ไม่ว่าจะการพูด การกระทำ หรือสายตาของพี่เขา ทุกอย่างล้วนเป็นคังจีซอกทั้งหมด ต่อให้ยกความเอาใจใส่นี้ออกไปร่างกายนี้ก็ยังเรียกได้ว่าเป็นคังจีซอก…
“อืม ไม่เคยได้ยินเลยสักครั้ง อย่าว่าแต่เอาใจใส่เลย มีแต่คนด่ากันทั้งนั้นว่าพี่เย็นชา”
“โกหก…”
“พี่พูดจริงนะ ที่นายรู้สึกว่าพี่เอาใจใส่นาย บางทีมันอาจจะเป็นเพราะพี่แสดงเก่งเกินไปล่ะมั้ง?”
ดวงตาและริมฝีปากของพี่จีกอนคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกัน พี่เขาเหมือนคังจีซอกมากจนผมสับสนไปชั่วขณะว่าตัวเองกำลังคุยกับอยู่ใครกันแน่
หัวที่มึนตึ้บคิดประมวลผลอย่างช้าๆ ก่อนจะเข้าใจความหมายที่พี่เขาพูดขึ้นในทีหลัง
‘พี่เลียนแบบเป็นจีซอกเท่าไหร่ก็ได้ ขอแค่นายต้องการ’
อ๋า…เพราะแบบนี้นี่เองสินะ
เสียงหัวเราะอันไร้เรี่ยวแรงหลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของพี่เขา พี่เขาก็แค่พยายามทำในสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำ แค่แสดงสีหน้า แค่แสดงความเป็นห่วงเป็นใยให้เหมือนกับคังจีซอก และแค่ทำทุกอย่างที่ผมต้องการจากคังจีซอก
พอรู้อย่างนั้นแล้วผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเป็นกอง ต่อจากนี้ผมไม่ต้องคอยคิดว่ามันเป็นความเพ้อฝันของผมที่ยังมีเยื่อใยกับความเอาใจใส่ของคังจีซอกที่รู้สึกได้จากพี่เขาแล้วก็ได้
เสี้ยวหนึ่งในหัวของผมบิดเบี้ยวและเกิดความคิดอันเห็นแก่ตัวขึ้นมา ถึงคนที่กำลังสบตากับผมอยู่ตอนนี้จะไม่ใช่คังจีซอก แต่ก็เหมือนว่าเขาจะสามารถรับฟังผมได้ทุกสิ่งในสิ่งที่ผมต้องการจากคังจีซอก แม้มันจะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากมายยังไงก็ตาม
เพราะผมคือคนที่พี่ต้องการ…และวงแหวนสีแดงที่นิ้วนางข้างซ้ายของพี่ก็ไม่ต่างอะไรกับโซ่ตรวนสีแดงที่ผมกำลังกุมเอาไว้
หัวที่มึนตึ้บเพราะฤทธิ์จากแอลกอฮอล์เริ่มคิดอะไรตื้นๆ เหมือนเด็ก ผมถือว่าคำพูดของพี่เขาที่บอกว่าจะเลียนแบบคังจีซอกเป็นประกาศิตที่ทำให้ผมมีสิทธิ์สั่งเขาให้ทำอะไรก็ได้ทุกอย่าง
“พี่ครับ ถ้าอย่างนั้น…”
แม้ผมจะรู้แก่ใจดีว่าไม่ควรทำแบบนี้ แต่ปากของผมกลับพูดออกไปไม่ยอมหยุด
“พี่ช่วยแกล้งเป็นคังจีซอก…ในแบบที่ผมต้องการหน่อยได้ไหมครับ…ผมหมายถึงให้พี่เป็นตัวแทนของคังจีซอกน่ะครับ…”
หลังจากพูดจบผมก็กลับมาว้าวุ่นใจกับตัวเองว่าทำไมถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนั้นออกไป
ไอ้เหล้าบัดซบเอ๊ย จะดื่มก็ดื่มให้มันพอดีหน่อยสิ
ผมพยายามขยับลิ้นที่หนักอึ้งแก้คำที่พูดออกไปอย่างสิ้นคิด ไม่ว่ายังไงการร้องขอพี่จีกอนอย่างหน้าด้านในสิ่งที่ตัวเองต้องการจากคังจีซอกก็เป็นคำร้องขอที่น่ารังเกียจเกินไป
“ผมขอโทษนะครับ การร้องขออะไรแบบนี้มันก็น่ารังเกียจเกินไปจริงๆ นั่นแหละ…”
“นายอยากให้พี่ทำอะไรล่ะ”
ผมคิดว่าพี่เขาจะมองผมแปลกๆ แต่ผิดคาดที่พี่เขาถามผมกลับมาโดยที่น้ำเสียงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
“อยากได้แบบไหนล่ะ จะให้จูบก็ได้นะ”
คำพูดที่ฟังดูโจ่งแจ้งของพี่จีกอนทำให้ใบหน้าที่แดงก่ำอยู่แล้วของผมเห่อร้อนยิ่งกว่าเดิม
จูบ? มันเป็นคำที่ผมคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ผมที่คิดว่าอย่างมากก็คงขอแค่กอด ดูคิดอะไรได้น่ารักและดูเด็กไปเลย
ผมใช้ปลายนิ้วกุมขมับที่ปวดตุบๆ
“พี่จะไม่คิดมากอะไร…ใช่ไหมครับ”
“พี่จะไปคิดมากอะไรได้ล่ะ”
พอถามกลับไปพี่เขาก็ถามกลับมาอีกรอบ มือของพี่เขากดลงบนขมับแทนมือของผมที่หมดแรง
“ขอแค่นอนหลับเต็มอิ่ม จะให้ทำอะไรพี่ก็ไม่สนหรอก”
พี่เขาจะทำอย่างนั้นได้จริงๆ น่ะเหรอ
ดูจากการที่พี่เขาบอกว่าคนรักที่เลิกไปเป็นผู้ชาย พี่เขาก็ไม่น่าจะเป็นคนที่สนใจเรื่องเพศเหมือนคังจีซอก แต่ถึงอย่างนั้นพี่เขาจะไม่กระอักกระอ่วนใจที่อีกฝ่ายเป็นเพื่อนสนิทของน้องชายตัวเองหน่อยเหรอ เหนือสิ่งอื่นใดคือพี่เขาคิดจะจูบกับคนที่กำลังมองตัวเองเป็นน้องชายตัวเองเนี่ยนะ สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการเลยด้วยซ้ำ
พี่จีกอนมองผมที่กำลังครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ก่อนจะผละมือจากพวงมาลัยรถ
“ทำใจให้สบาย สิ่งที่นายอยากให้จีซอกทำให้น่ะ ไม่ว่าอะไรก็บอกมาได้เลย”
ถึงผมจะไม่ได้คล้อยตามคำพูดของพี่เขาง่ายดายขนาดนั้น แต่อารมณ์ที่เริ่มปั่นป่วนเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ก็กำลังทำให้ผมขาดสติ
“ผมอยากทำครับ”
ผมจ้องตาพี่เขาเขม็งราวกับคนที่ตัดสินใจครั้งใหญ่พลางกำสองมือที่วางอยู่บนตักแน่น
“จูบ…ผมอยากลองจูบครับ”
ผมคิดหนักว่าถ้าพูดออกไปชัดเจนแบบนี้ พี่เขาจะตกใจหรือลำบากใจหรือเปล่า พี่เขาจะบอกว่า ‘พี่แค่ล้อเล่นกับคนเมาเท่านั้นเอง ทำไมนายถึงคิดจริงจังอะไรได้ขนาดนั้น’ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไหม…
แต่แล้วพี่จีกอนกลับใช้มือประคองใบหน้าของผมให้หันไปทางเขาพร้อมกับขยับริมฝีปากเข้ามาใกล้
“เคยจูบมาก่อนไหม”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของพี่จีกอนที่เบาราวกับเสียงกระซิบดังชัดเจนอยู่ในระยะประชิด ผมรู้สึกได้ถึงมืออีกข้างของพี่เขาที่ประคองท้ายทอยของผมแล้วดึงเข้าไปหาเบาๆ พร้อมกับความคิดที่ว่าลมหายใจของเรากำลังสัมผัสกัน
“เคยครับ…”
หางตาของพี่จีกอนกระตุกราวกับไม่พอใจเล็กน้อย แม้จะไม่รู้เหตุผลว่าทำไม แต่ผมก็รู้สึกราวกับมีเข็มแหลมๆ นับร้อยปรากฏขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศอันนุ่มนวล
“เมื่อไหร่ กับใคร”
เสียงที่ฟังดูทุ้มต่ำลงกว่าเดิมถามขึ้นอย่างกดดัน
“สมัยเรียนมัธยมปลาย…กับเด็กผู้ชายที่สารภาพรักกับผมครับ…”
ตอนนั้นเป็นช่วงหลังจากที่ผมรู้ตัวแล้วว่าชอบคังจีซอก ผมกำลังสับสนอยู่ในใจ แล้วก็มีเด็กผู้ชายอีกคนมาสารภาพรักกับผมโดยพรั่งพรูคำพูดแบบเด็กๆ ที่ควรจะอยู่แค่ในละครเก่าๆ หรือนวนิยายอย่างเช่นแอบมองผมมานานแล้ว ชอบผมมากจนนอนไม่หลับมาหลายคืน หรือผมเป็นคนเดียวที่เปล่งประกายท่ามกลางผู้คนในสายตาของเขา
แต่สิ่งที่มากกว่าความสับสนงุนงงที่มีผู้ชายมาสารภาพรักคือการที่ผมดันเผลอคิดไปว่าตัวเองอาจจะไม่ได้ชอบคังจีซอกจริงๆ ก็ได้ ผมเพียงแค่ชอบผู้ชายโดยที่ไม่รู้ตัวเลยคิดแค่ว่าอยากจะลองจูบดูก็เท่านั้น มันอาจจะเป็นวิธีที่น่าอายไปสักหน่อย แต่ตัวผมในตอนนั้นก็ว้าวุ่นใจหนักถึงขั้นที่คิดอะไรแบบนั้นออกมาได้จริงๆ
ดังนั้นพอถามออกไปว่าถ้าชอบผมขนาดนั้น ขอผมลองจูบได้ไหม อีกฝ่ายก็พุ่งพรวดเข้ามาราวกับกำลังเฝ้ารอช่วงเวลานี้ ถึงผมจะเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากเสนอก่อนเอง แต่จูบในวันนั้นก็เป็นเรื่องที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนตัวแข็งทื่อทั้งที่รู้สึกเจ็บจากริมฝีปากที่ถูกบดขยี้และฟันที่กระทบกัน ในจังหวะเดียวกันผมก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างลอดผ่านช่องว่างระหว่างริมฝีปากเข้ามา ผมรู้สึกอึดอัดเหนือคำบรรยายจนเกือบสติขาดผึงฆ่าเด็กคนนั้นทิ้งไปเสียแล้ว
และนั่นก็เป็นจูบครั้งเดียวในชีวิตของผม จูบแรกที่แสนจะห่วยแตก จูบที่ทำให้ผมตระหนักได้ว่าตัวผมเองไม่ได้ชอบผู้ชายคนไหนก็ได้ แต่ชอบคังจีซอกเพียงแค่คนเดียว
อันที่จริงตอนนี้ผมเองก็ยังลังเลอยู่หน่อยๆ ว่าคิดดีแล้วใช่ไหมที่จะจูบกับพี่จีกอนที่แค่เลียนแบบเป็นคังจีซอก
ระหว่างที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ผมก็รู้สึกได้ถึงแรงกดตรงสันกรามที่ถูกพี่เขาจับให้เชิดขึ้นเล็กน้อย
“เสียดายชะมัด อืม…น่าเสียดาย”
น้ำเสียงของพี่จีกอนทุ้มต่ำและเย็นชาขึ้นมาอีกระดับ และในเสี้ยววินาทีนั้นเองผมก็พลันรู้สึกขนลุกวาบไปทั้งร่างเมื่อริมฝีปากของพี่เขาสัมผัสกับริมฝีปากของผม ผมนึกถึงประสบการณ์อันห่วยแตกกับเด็กคนนั้นขึ้นมาเลยผงะถอยหนีไปตามสัญชาตญาณ แต่กลับถูกมือของพี่เขาที่คอยประคองท้ายทอยอยู่ล็อกเอาไว้แน่นจนไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้
“เคยลองทำกับคนอื่นแล้วนี่ รู้สึกยังไงบ้างล่ะ”
แม้ว่าน้ำเสียงของพี่เขาจะฟังดูอ่อนโยน แต่บรรยากาศที่แผ่ออกมากลับหนักอึ้งชวนขนลุก และไม่ว่าดวงตาที่สบกันอยู่จะหยียิ้มอย่างเอ็นดูผมแค่ไหน แต่ผมก็รู้สึกได้ว่านัยน์ตาสีดำที่อยู่ข้างในนั้นกลับดูเย็นชาเสียจนผมรู้สึกว่ามันขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ครับ ถ้าจะให้พูดตามตรงก็รู้สึกงั้นๆ”
“โล่งอกไปที”
ก่อนที่จะทันได้เข้าใจว่าพี่เขาหมายความว่ายังไง ริมฝีปากที่เคยสัมผัสเฉียดผ่านกันไปมาก็ประกบเข้าหากันอย่างแนบแน่น
“อึก…!”
ทั้งที่เตรียมใจเรื่องจูบเอาไว้แล้ว แต่พอเอาเข้าจริงผมก็อดที่จะตกใจไม่ได้อยู่ดี และแม้ว่าริมฝีปากอ่อนนุ่มที่บดเบียดเข้าหากันจะให้ความรู้สึกอึดอัดเหมือนจูบแรกอยู่หน่อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นสัมผัสที่อ่อนนุ่มจนผมเผลอลืมความรู้สึกแรกนั้นไปเสียสนิท หลังจากนั้นไม่นานมันก็เริ่มไม่ใช่แค่การบดเบียดริมฝีปากเข้าหากัน เพราะเรียวลิ้นอุ่นที่เคล้าไปด้วยกลิ่นเหล้าของพี่เขาเริ่มซุกซนจนผมพลันรู้สึกเสียววาบไปทั่วทั้งตัว
พี่เขาใช้ปลายลิ้นเล็มเลียกลีบปากผมราวกับกำลังจรดพู่กันวาดลงบนกระดาษ ก่อนจะประทับริมฝีปากลงมาอีกครั้งพร้อมกับสอดเรียวลิ้นเข้ามา พี่เขาละเลียดลิ้นไปตามแนวฟันที่ขบเข้าหากันแน่นด้วยความเกร็ง จากนั้นก็ขบเม้มและดูดดึงริมฝีปากล่างของผมเบาๆ อย่างทะนุถนอม
“อ้าปากหน่อยสิ อูซอยา”
เสียงทุ้มต่ำของพี่จีกอนพลันทำให้รู้สึกเสียววาบในช่องท้อง มันเป็นความรู้สึกที่ราวกับมีแรงฉุดกระชากมาจากที่ไหนสักที่ ยิ่งวันนี้ที่เสียงของพี่เขาฟังดูทุ้มต่ำเป็นพิเศษยิ่งแล้วใหญ่ ผมรู้สึกหมดเรี่ยวหมดแรงจนแม้แต่จะอ้าปากก็ยังไม่ไหว อีกทั้งขอบตายังสั่นระริกคล้ายกับจะเป็นลม ทันใดนั้นดวงตาของพี่เขาก็ขยับเล็กน้อยจนเห็นเป็นรอยยิ้มชวนมองที่เหมือนกับรอยยิ้มของคังจีซอกไม่มีผิดเพี้ยน
“พี่จะทำให้นายรู้สึกดีเอง อ้าปากสิ”
ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังรู้สึกดีอยู่หรือเปล่า ผมสัมผัสได้แค่ความรู้สึกแปลกๆ ที่ทั้งจั๊กจี้และเจ็บแปลบเบาๆ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่ามันนุ่มนวล ถ้าหากว่าผมยอมอ้าปาก ผมจะรู้สึกดีกว่านี้ไหมนะ
ผมอ้าปากออกโดยอัตโนมัติขัดกับใจที่กำลังฉงนสงสัย ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าเจ้าของนัยน์ตาที่สบกันอยู่ในตอนนี้นั้นไม่ใช่คังจีซอก แต่ผมก็เผลอคิดไปว่าตัวเองกำลังประกบปากจูบกับหมอนั่นอย่างลืมตัว ถ้าเป็นจูบของคังจีซอก มันจะต้องเป็นจูบที่รู้สึกต่างไปจากจูบในตอนนั้นอย่างแน่นอน
ผมรู้สึกว่าเรียวลิ้นที่สอดแทรกเข้ามานั้นกำลังเอ่ยชมผมว่าเก่งมากทันทีที่ผมยอมอ้าปากออก พี่เขาแทรกลิ้นเข้ามาผ่านแผงฟันแล้วเกี่ยวกระหวัดลิ้นที่แข็งทื่อของผม ก่อนจะกวาดต้อนสลับกับดูดดุนไปมาราวกับเค้นคลึง และทุกครั้งที่พี่เขาทำแบบนั้น ความรู้สึกเสียวซ่านจากลิ้นก็จะแล่นพล่านไปถึงช่องคอจนผมหลุดครางกระเส่าออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เรียวลิ้นของพี่เขาที่สอดแทรกเข้ามาในโพรงปากโอบรัดรอบเรียวลิ้นของผม ก่อนจะค่อยๆ ลากผ่านเนื้อกระพุ้งแก้มด้านข้างเรื่อยไปจนถึงเพดานปากด้านบน จากนั้นลิ้นที่ลากผ่านฟันขึ้นมาเมื่อครู่ของพี่เขาก็เริ่มหยอกล้อเพดานปากของผม โดยใช้ปลายลิ้นครูดไปตามผนังเพดานปากจากด้านในลำคอออกมาด้านนอกสองสามครั้ง ก่อนจะกดลิ้นย้ำๆ กับเพดานปากของผมปิดท้ายราวกับหยั่งเชิง ทุกเสียงที่เกิดขึ้นภายในโพรงปากดังก้องเข้ามาภายในหัวของผมจนหัวที่แต่เดิมก็เบลอมากอยู่แล้วรู้สึกโคลงเคลงไปหมด
ปลายลิ้นที่โลมเลียไปทั่วเพดานปากลากไล้ผ่านแนวฟันด้านในของผมอย่างหยอกเย้า ก่อนจะเปลี่ยนมาเลียวนบนลิ้นของผมอย่างปลุกเร้าอารมณ์ย้ำๆ ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่ขยับลิ้นที่อ่อนระทวยหนีเขาไปมา รู้ตัวอีกทีก็ถูกพี่เขาคว้าจับท้ายทอยและเอวเอาไว้แน่นจนผมขยับตัวถอยหนีไปไหนไม่ได้
“อึก…อ๊ะ…พี่ครับ เดี๋ยวก่อน…!”
“พี่ที่ไหนกัน คังจีซอกต่างหากล่ะ”
เขาแก้ชื่อที่ผมเอ่ยเรียกด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก ก่อนจะละเลียดเลียริมฝีปากล่างที่ชื้นแฉะไปด้วยน้ำลายให้ผมอย่างอ่อนโยน
“ตอนนี้นายกำลังจูบกับคังจีซอกอยู่นะ”
คำพูดของพี่เขาทำให้ผมรู้สึกสับสนไปชั่วขณะอย่างน่าประหลาด
ผมดูออกว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้คือพี่จีกอนด้วยอยู่ใกล้ แต่ขณะเดียวกันไอ้ความอยู่ใกล้นี้ก็ทำให้ผมอดที่จะรู้สึกสับสนไม่ได้ เพราะในสายตาของผมดวงตาอันอ่อนโยนและฝ่ามือใหญ่ที่กำลังสัมผัสกายผมของพี่เขานั้นให้ความรู้สึกเหมือนจีซอกเหลือเกิน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือเปล่า ถ้าอยู่ในสภาพปกติเต็มร้อย ผมคงไม่มีทางมองคนที่กำลังจูบอยู่ผิดไปแน่ๆ และต่อให้คล้ายกันแค่ไหนก็ไม่มีทางที่ผมจะใช้พี่เขามาเป็นตัวแทนในการจูบกับคังจีซอกอย่างเด็ดขาด
ใช่แล้ว เหล้านั่นแหละตัวการ
เพราะอย่างนั้นผมเลยเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ ว่าคนที่กำลังจูบอยู่คือคังจีซอกยังไงล่ะ
ถ้าเป็นคังจีซอก…ก็คงจะดี
ร่างกายที่แข็งทื่อพลันอ่อนยวบลง ลิ้นที่เคยอ่อนเปลี้ยเริ่มขยับเองทีละน้อย ผมบดเบียดลิ้นตัวเองกับลิ้นของพี่เขาที่รุกล้ำผมอยู่ฝ่ายเดียว และบดเบียดริมฝีปากให้แนบแน่นเข้าไปอีกจนรู้สึกเจ็บเพื่อรับการปลุกเร้าที่ชวนให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มขึ้นอีกหน่อย
แม้สัมผัสของจูบห่วยๆ ที่เคยเจอมาในอดีตจะยังคงเลือนรางอยู่ในความทรงจำ แต่สัมผัสที่น่าพึงพอใจของจูบครั้งใหม่นั้นกลับแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายผ่านริมฝีปาก ก่อนจะซึมซ่านเข้าไปในหัวของผม เสียงที่ผมได้ยินตอนนี้มีเพียงเสียงน้ำลายแฉะชื้นจากริมฝีปากที่จูบกันอยู่ เสียงครางแผ่วจากผม และเสียงลมหายใจที่ร้อนรุ่มของเราสองคน
ในระหว่างที่เราแลกจูบกันอย่างดูดดื่มและมัวเมาไปกับมันเสียยิ่งกว่าแอลกอฮอล์ ผมก็ไม่สามารถละสายตาไปจากนัยน์ตาของพี่เขาที่กำลังรับบทแสดงเป็นคังจีซอกได้เลย
การแลกจูบขณะนึกถึงคังจีซอกนั้นช่างนุ่มนวลและหอมหวาน ขณะเดียวกันก็ชวนให้รู้สึกประหม่าเหมือนกับเวลาที่เด็กน้อยไปก่อเรื่องอะไรไม่ดีมา ผมคิดอยู่ในหัวที่ว่างเปล่าราวกับไม่ใช่หัวของตัวเองตลอดว่าผมทำแบบนี้ได้จริงๆ ใช่ไหม
วินาทีที่จูบอันแสนยาวนานจบสิ้นลง ผมก็รู้สึกหน้ามืดตาลายเพราะหายใจถี่รัวจนถึงกับล้มฟุบใส่พี่เขา ผมรู้สึกเหมือนกับว่าพี่เขาที่ยังคงจับตัวผมไว้แน่นจนถึงตอนนี้กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมก็ดันหมดสติไปก่อนจะทันได้รับรู้คำพูดนั้น
สิ่งที่จำได้ในตอนนั้นมีเพียงไอเย็นจางๆ ที่แผ่ออกมาจากตัวของพี่เขา
ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ใน The Link of a Relationship แหวนเชื่อมรัก เล่ม 1
วางจำหน่ายแบบรูปเล่มที่เว็บไซต์ Jamsai Store, ร้าน Jamclub
และร้านหนังสือทั่วไป
รวมถึงในรูปแบบอีบุ๊กที่
Meb / OOKBEE / Pinto E-book by Fictionlog / Naiin App / SE-ED / Hytexts / comico และ ARN
Comments
comments
No tags for this post.