X
    Categories: everYทดลองอ่านโกลาหลกลกาล

ทดลองอ่าน โกลาหลกลกาล เล่ม 1 บทที่ 1-2 #นิยายวาย

หน้าที่แล้ว1 of 2

ทดลองอ่าน เรื่อง โกลาหลกลกาล เล่ม 1 

ผู้เขียน : 非天夜翔 (Fei Tian Ye Xiang)

แปลโดย : Singin’ in the Rain

ผลงานเรื่อง : 天地白驹

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง

มีการกล่าวถึงเลือด การฆาตกรรม

อาการซึมเศร้า อาการป่วยทางจิต และการฆ่าตัวตาย

ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

ภาคที่ 1 คนที่ทอดทิ้งฉัน

สรรพสิ่งบนโลกล้วนไม่หยุดนิ่ง ทุกสิ่งเป็นดังสายน้ำที่ไหลเลื่อนเรื่อยไปอย่างไม่หยุดยั้ง ชีวิตคนเราประหนึ่งม้าขาววิ่งผ่านรอยแยก ดำรงอยู่เพียงชั่วคราว

 

บทที่ 1

เขาเคยคิดว่าตัวเองจะอยู่กับใครสักคนไปจนแก่เฒ่าได้ แต่ความจริงก็ได้พิสูจน์แล้วว่าความรักที่เกิดขึ้นในตอนที่ยังไร้เดียงสานั้นก็เหมือนภาพที่วาดไว้ตามซากปรักหักพังของกำแพง มีแต่จะเลือนหายไปกับสายลมและสายฝนที่กัดกร่อนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หลายเดือนผ่านไป เมื่อกลับไปดูอีกทีกำแพงนั้นก็ไม่อยู่แล้ว เหลือเพียงกองอิฐและเศษกระเบื้อง ผ่านไปอีกหลายปีแม้แต่ฐานรากของกำแพงก็ถูกรื้อถอนจนหมด

โจวลั่วหยางเร่งฝีเท้าเดินลงบันไดอาคารพลางสลัดสายหูฟังที่พันกันยุ่งเหยิงให้คลายออก ก่อนจะหยุดจัดชายเสื้อและปัดผมเผ้าให้เรียบร้อยตรงหน้ากระจกแตกฝุ่นเขลอะที่ผู้พักอาศัยชั้นล่างของอาคารโยนทิ้งไว้ จากนั้นเขาก็เข็นจักรยานออกมา ก่อนจะขึ้นคร่อมอานแล้วใส่หูฟัง

วันที่เจ็ดเดือนเก้า แสงอาทิตย์เจิดจ้า ตะวันรอนสาดแสงพร่างตา ทันใดนั้นกระแสลมร้อนผ่าวในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงก็พัดมาปะทะเขา ตรงหน้าอาคารสูงใหญ่นับไม่ถ้วน ท่ามกลางแสงสะท้อนจากผนังกระจกตรงนั้นตรงนี้ ทำให้เมืองหว่านดูราวกับกรงขังขนาดมหึมาที่สร้างด้วยลำแสงในดินแดนแห่งฝันที่แหลกสลาย

โจวลั่วหยางฮัมตามทำนองเพลง โดยหยุดเป็นพักๆ ตามสัญญาณไฟจราจรตรงทางแยก เขาย่ำเท้าตามจังหวะดนตรี แล้วปักหมุดร้านอาหารที่จะไป จากนั้นก็เดินทางสวนกระแสผู้คนในชั่วโมงเร่งด่วนหลังเลิกงานราวกับเป็นปลาหัวรั้น โดยมุ่งหน้าไปตามนัดหมายที่ถนนวงแหวนรอบที่สอง

“เอาให้อยู่นะ” เสียงผู้แนะนำดังมาจากปลายสาย “อย่าเล่นมุกไม่ถูกกาลเทศะอีกล่ะ”

โจวลั่วหยางกดแฮนด์จักรยานพลางตอบกลับอย่างจนปัญญา “รู้แล้ว แค่กินข้าวไม่ใช่เหรอ ทำไมนายร้อนใจกว่าฉันซะอีก”

เสียงในโทรศัพท์ว่า “นี่ฉันให้นายรีบหาวิธีคืนเงินฉันอยู่นะ”

โจวลั่วหยางจอดจักรยานไว้ข้างทาง บิดเกลียวเปิดฝาขวดน้ำแร่ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้น

“นายน้อย ฉันดูเหมือนพวกยืมเงินแล้วไม่คืนหรือไง มาถึงแล้ว ไว้ค่อยคุยกันนะ วางสายก่อน”

หลังจากที่มาอยู่เมืองหว่านได้ครึ่งปีโจวลั่วหยางก็จัดการเรื่องที่ควรจัดการเรียบร้อยแล้ว โดยเขาได้ชำระหนี้สินที่ติดค้างไปแล้วส่วนหนึ่ง ขอยืมเงินก้อนหนึ่งจากเพื่อน หาห้องเช่าได้ตรงวงแหวนรอบที่สามที่ใกล้กับวงแหวนรอบที่สอง หลังจากเขาตรวจสอบมรดกที่ปู่ทิ้งไว้ให้เรียบร้อยแล้วจึงย้ายออก หาทางตั้งตัวในเมืองใหญ่ ทำมาหากินเลี้ยงทั้งตัวเองและน้องชาย

ห้องส่วนตัวหมายเลขสิบสอง…คู่นัดบอดคือผู้ชายที่เป็นเจ้าของกิจการ โจวลั่วหยางเช็กมือถือพลางเคาะประตูสองสามครั้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหนักแน่นดังออกมาจากห้องส่วนตัวตรงหน้านี้

“เข้ามาสิ”

โจวลั่วหยางเข้าไปในห้องส่วนตัว เขายิ้มให้ชายคนนั้น อีกฝ่ายกำลังคุยโทรศัพท์อยู่จึงทำท่าบอกให้โจวลั่วหยางนั่งรอก่อน

ชายคนนั้นอายุประมาณสี่สิบปี กำลังสั่งงานผ่านทางโทรศัพท์ โจวลั่วหยางเหลือบมองมือถืออีกครั้ง จากข้อมูลที่ผู้แนะนำส่งมาให้ เขาจึงรู้ว่าคนคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแต่เป็นเกย์ และอยากจะหาคนรักชายที่เหมาะสมกันเพื่อมาร่วมชีวิต…

ทว่าสิ่งที่โจวลั่วหยางต้องการไม่ใช่คนรัก แต่เป็นหุ้นส่วน

“สวัสดี โจวลั่วหยาง” ชายวัยกลางคนทักทาย “ผมชื่ออวี๋เจี้ยนเฉียง”

โจวลั่วหยางพยักหน้า ด้วยความที่เขาขี่จักรยานมาตลอดทาง เหงื่อจึงไหลจนเสื้อเชิ้ตสีขาวเปียกชุ่ม สามารถมองเห็นเค้าโครงมัดกล้ามและผิวขาวได้รางๆ พอถูกลมแอร์ในห้องส่วนตัวเป่าเขาก็หนาวจนตัวสั่น แววตาอวี๋เจี้ยนเฉียงแฝงรอยยิ้มอยู่ลึกๆ สายตานั้นมองประเมินเขาไม่หยุด ดูเหมือนอวี๋เจี้ยนเฉียงจะค่อนข้างพอใจในรูปร่างหน้าตาของเขา และจ้องมองเสียจนโจวลั่วหยางชักจะอึดอัดขึ้นมา

“วันนี้ร้อนเนอะ” อวี๋เจี้ยนเฉียงชวนคุย “เดินมา?”

โจวลั่วหยางกำลังจะตอบ แต่อวี๋เจี้ยนเฉียงกลับมีสายเข้า อีกฝ่ายเลยยกมือบอกให้เขานั่งรอก่อนแล้วยื่นเมนูอาหารมาให้พลางทำท่าบอกให้สั่งอาหาร ก่อนจะเดินไปด้านหนึ่งของห้องเพื่อรับสาย

โจวลั่วหยางตามองเมนูอาหาร แต่หูคอยจดจ่อกับการฟังอวี๋เจี้ยนเฉียงคุยโทรศัพท์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเปิดประมูลและซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนา

“ขอโทษจริงๆ” อวี๋เจี้ยนเฉียงวางสายไปอีกครั้งแล้วอธิบาย “จะซื้อที่แปลงหนึ่งน่ะ พอดีพรุ่งนี้จะมีงานประมูล”

โจวลั่วหยางรีบพยักหน้า งานของอีกฝ่ายคงยุ่งมาก แต่เวลานี้ก็ยังมาตามนัด เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้ให้ความสำคัญกับตัวเขา…หรืออาจบอกได้ว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับผู้แนะนำ

“ได้ยินว่าคุณเพิ่งมาเมืองนี้?” อวี๋เจี้ยนเฉียงเปิดโหมดปิดเสียงในโทรศัพท์ “หางานทำแล้วหรือยัง”

“ยังครับ” โจวลั่วหยางส่งเมนูอาหารคืนพร้อมกับเอ่ย “ตามใจคุณเลย ผมกินอะไรก็ได้ กลับมาได้ครึ่งปี ยุ่งอยู่กับเรื่องย้ายบ้านและจัดการเรื่องในบ้านน่ะครับ”

“เรียนอะไรมา”

“วิศวกรรมเครื่องกลครับ”

“เป็นคนที่นี่?”

“ครับ…ปู่ผมเป็นคนที่นี่ พอปู่เสียแล้วที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่” โจวลั่วหยางบอก “พ่อแม่ของผมเสียไปนานแล้ว ตอนนี้อยู่กับน้องชายครับ”

“มีน้องชายด้วย?” อวี๋เจี้ยนเฉียงแปลกใจเล็กน้อย ด้วยผู้แนะนำไม่เคยบอกเรื่องนี้เลย เขายิ้มแล้วพูดต่อ “หล่อเหมือนคุณล่ะสิ”

“หล่อกว่าผม” โจวลั่วหยางแย้มยิ้ม เผยฟันขาวเรียงสวย “เพิ่งอายุสิบหกปีเต็ม กำลังเตรียมเข้าเรียน ม.ปลาย ครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงพยักหน้าช้าๆ “วางแผนจะหางานแบบไหนล่ะ งานระดับปริญญาตรีในตอนนี้ดูจะหาได้ไม่ง่ายนะ…”

โจวลั่วหยาง “ผมจบปริญญาโทครับ”

“อ้อ” อวี๋เจี้ยนเฉียงแปลกใจอีกครั้ง

ขณะอาหารมาเสิร์ฟโจวลั่วหยางเล่าว่า “ตอนแรกผมอยากรับช่วงต่อร้านของปู่ แต่หลายปีมานี้กิจการแค่พอไปได้ แล้วก็ติดหนี้อยู่ไม่น้อย เลยต้องปิดร้านไว้ก่อนแล้วค่อยคิดหาทางทีหลัง หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้กลับมาเปิดร้านครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงพยักหน้าอย่างเห็นใจ ก่อนจะออกปากถาม “ร้านอะไร”

“ร้านขายนาฬิกา พวกของโบราณ” โจวลั่วหยางคิดแล้วตอบ

“ติดหนี้เท่าไหร่”

“หกล้านกว่าครับ”

หนึ่งคำถาม หนึ่งคำตอบ น้ำเสียงของโจวลั่วหยางผ่อนคลายอย่างยิ่งคล้ายกับกำลังพูดคุยเรื่องของคนอื่น กระทั่งอวี๋เจี้ยนเฉียงหยิบไวน์แดงขวดหนึ่งออกมา โจวลั่วหยางจึงรีบลุกขึ้นไปรับมาแล้วรินให้ อวี๋เจี้ยนเฉียงมองดูเด็กหนุ่ม ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกยอมรับเขาขึ้นมาเอง

“ดื่มได้ไหม ถ้าดื่มได้ก็ดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อย”

โจวลั่วหยางไม่ได้ถามว่าอวี๋เจี้ยนเฉียงขับรถมาเองหรือเปล่า ด้วยคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีคนขับรถหรือเรียกใช้บริการขับรถแทนได้ เขาจึงพยักหน้าแล้วรินไวน์

อวี๋เจี้ยนเฉียงเอ่ย “ตอนที่ผมอายุเท่าคุณยังเรียนรู้การทำธุรกิจจากพี่ใหญ่อยู่เลย พี่ใหญ่ในวงการน่ะ ผมสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยมือเปล่า ชีวิตคนเรานับว่ามีเรื่องพลิกผันมากมาย…”

หลังดื่มไวน์แดงโจวลั่วหยางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายนักเลงบนตัวของอวี๋เจี้ยนเฉียงที่ไม่ค่อยเหมาะกับภาพลักษณ์ของเจ้าตัวสักเท่าไหร่นัก แต่อาจเป็นเพราะวันนี้แค่มาร่วมกินอาหารและตัวเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายอยู่แล้ว อีกทั้งความหมายของผู้แนะนำเขาเองก็เข้าใจดี นั่นคืออวี๋เจี้ยนเฉียงจะช่วยแก้ปัญหาทางการเงินที่บีบคั้นที่สุดในตอนนี้ และช่วยสนับสนุนให้เขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดนี้ไปได้

หลังจากนั้น…โจวลั่วหยางก็บอกไม่ได้เหมือนกัน

พอใบหน้าเริ่มแดงหลังเมากรึ่ม อวี๋เจี้ยนเฉียงก็พูดพล่ามไม่หยุด เขาพูดโอ้อวดให้โจวลั่วหยางฟังว่าตัวเองสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยมือเปล่าอย่างไร แล้วก็เหมือนกับการสอบสัมภาษณ์ เขาซักถามโจวลั่วหยางมากมาย โดยเรื่องที่ถามมากที่สุดก็คือต่อไปคิดจะทำอะไร สุดท้ายอวี๋เจี้ยนเฉียงก็จุดบุหรี่มวนหนึ่ง ควันบุหรี่ลอยฟุ้งทั่วห้องส่วนตัว เขาคีบบุหรี่ก่อนจะชูนิ้วกลางแล้วชี้มาที่โจวลั่วหยาง

“พี่ชายจะขอพูดเข้าประเด็นเลยแล้วกัน” อวี๋เจี้ยนเฉียงเอ่ย “พี่เป็นคนแบบนี้แหละ พูดอะไรไม่ค่อยน่าฟัง น้องชายอย่าถือสาก็แล้วกัน”

โจวลั่วหยางไอแค่กๆ เขาฝืนยิ้มแล้วพูดว่า “จะถือสาได้ไงล่ะครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงเอ่ย “ตอนนี้นายคงจะขาดเงินมากสินะ”

โจวลั่วหยางตอบอย่างจริงจัง “ใช่ครับ ค่าใช้จ่ายเดือนหน้ายังไม่รู้จะไปหามาจากไหนเลยครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียง “ทำงานที่สอดคล้องกับความเป็นจริงหน่อย ไม่ต้องไปคิดถึงร้านที่ปู่ทิ้งไว้ให้แล้ว หางานทำจริงๆ จังๆ สิถึงจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง”

โจวลั่วหยางพยักหน้าหงึกๆ อวี๋เจี้ยนเฉียงจึงพูดต่อ “คนมีการศึกษาอย่างพวกนายล้วนเย่อหยิ่ง พูดอย่างนี้ไม่รู้ว่าเหมาะหรือเปล่า แวบแรกที่พี่เห็นนายก็คิดว่านายมีชีวิตชีวามาก ยิ้มแย้ม เป็นคนจิตใจดีซะจนไม่รู้ว่าสังคมน่ะโหดร้าย”

โจวลั่วหยาง “เอ่อ…”

อวี๋เจี้ยนเฉียง “พี่รู้ว่านายลำบากใจที่จะออกปาก งั้นให้พี่พูดก็แล้วกัน พี่ให้นายเดือนละหมื่นสอง นายไปเช่าห้องสักห้อง มีเวลาว่างพี่จะไปหาสัปดาห์ละสองสามครั้ง…”

โจวลั่วหยาง “โอ้…”

โจวลั่วหยางคิดในใจ นี่หมายความว่าคิดจะเลี้ยงดูฉันด้วยเงินเดือนละหมื่นสองสินะ ทำไมจากที่จะมาหาหุ้นส่วนถึงกลายเป็นคู่ขาไปซะได้ กลับไปจะต้องตีผู้แนะนำสักยกแล้ว

แต่เขายังควบคุมตัวเองได้ดี ไม่ได้ลุกหนีไปเสียก่อน

หลังจากที่คิดอยู่นานโจวลั่วหยางถึงค่อยตอบกลับอย่างจริงใจ “พี่ชาย ถ้าอย่างนั้นให้ผมเป็นรุกหรือเป็นรับล่ะครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”

“ถ้าเป็นรับ…” โจวลั่วหยางพูดอย่างลำบากใจ “ที่ว่าเดือนละหมื่นสอง ดูเหมือนจะน้อยไปหน่อยนะครับ”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อวี๋เจี้ยนเฉียงใช้เงินฟาดหน้าคนอื่น แต่โจวลั่วหยางกลับเป็นคนแรกที่กล้าต่อรองราคากับเขา ทำให้อวี๋เจียนเฉียงถึงกับสำลัก เขาตะลึงงันไปสองสามวินาทีแล้วหัวเราะลั่น ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เด็กหนุ่มอย่างนายนี่น่าสนใจจริงๆ”

โจวลั่วหยางแสร้งถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ไม่รู้ว่าตอนนี้ราคาตลาดเท่าไหร่กันแน่ แต่ผมจำได้ว่าเมื่อปีก่อนนักศึกษาปริญญาตรีที่ถูกเลี้ยงดูได้เดือนละสองหมื่นเชียวนะครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงยิ้มร่าพลางประเมินโจวลั่วหยาง ใบหน้ามีความมึนเมาเล็กน้อย เขาพูดว่า “ก็ได้ คนขายมักตั้งราคาสูงเกินไป คนซื้อมักต่อราคาต่ำเกินไป นายอยากได้เท่าไหร่ว่ามา”

โจวลั่วหยางทำสีหน้าจริงจัง “ผมเรียนจบปริญญาโท ยังไงก็ต้องบวกเพิ่มสักสี่พันครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียงมองออกแล้วว่าโจวลั่วหยางกำลังพูดเสียดสีตนเอง แต่เขากลับไม่รู้สึกโกรธ มิหนำซ้ำยังพูดอย่างไม่แยแส

“ถ้าอย่างนั้นก็หมื่นหก นายกลับไปลองคิดดูก็แล้วกัน”

ตั้งแต่อีกฝ่ายเสนอว่า ‘หมื่นสอง’ โจวลั่วหยางก็รู้แล้วว่าการพบกันวันนี้เป็นการเสียเวลาเปล่า แต่ก็ยังคงรักษามารยาท เขาส่งยิ้มให้อีกฝ่ายโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก็อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้

อวี๋เจี้ยนเฉียงเรียกคนมาคิดเงินแล้วโทรศัพท์หาคนขับรถ ขณะเตรียมจะกลับ ก่อนไปอาการชอบเอาชนะก็กำเริบขึ้นมา เขารู้ว่าเขาจะระบายโทสะออกมาต่อหน้าชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าที่กำลังทำหน้ายิ้มเยาะหยันไม่ได้ แต่ก็อดใจไม่ไหว สุดท้ายแล้วเขาจึงพูดออกมาประโยคหนึ่ง

“อยากได้เงินก็ต้องหาเอาเอง” อวี๋เจี้ยนเฉียงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าไม่ใช่ญาติหรือเพื่อน โลกนี้ไม่มีใครจะมาชดใช้หนี้แทนนายหรอกนะ อีกอย่างนายก็ไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น”

“กำลังหาเงินอยู่นี่ไงครับ ไม่ต้องลำบากเป็นห่วงผมหรอก อาหารยังกินไม่หมดเลย บอสอวี๋ไม่ห่อกลับเหรอครับ” โจวลั่วหยางพูดยิ้มๆ “สุรุ่ยสุร่ายเกินไปแล้วมั้ง ทั้งหมดนี้ห่อกลับไปให้หมากินก็ยังได้ ความหมายลึกๆ ของการสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยมือเปล่าคืออะไร คือการเพิ่มรายได้และประหยัดรายจ่ายใช่ไหมล่ะครับ”

อวี๋เจี้ยนเฉียง “…”

อวี๋เจี้ยนเฉียงไม่รู้ว่าทำไมถึงคันไม้คันมืออยากต่อยอีกฝ่ายสักหมัด

“บอสอวี๋ วันหน้าค่อยพบกันใหม่!”

ทว่าโจวลั่วหยางไม่ได้ให้โอกาสนี้กับอวี๋เจี้ยนเฉียง เขารีบเปิดประตูห้องส่วนตัวก่อนจะเดินออกไป

ตอนนั้นเองคนคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากด้านนอก โจวลั่วหยางไม่ทันระวังจึงก้าวพรวดออกไปชนกับอีกฝ่ายอย่างแรง

ชายร่างสูงโปร่งผิวขาวคนหนึ่งถือใบเสร็จค่าอาหารแล้วนำมายื่นให้อวี๋เจี้ยนเฉียง

โจวลั่วหยางรีบขอโทษแล้วถอยหลังครึ่งก้าว แต่เมื่อสบตากับผู้ช่วยชายคนนั้นก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

“ห่ออาหารให้เขาเอากลับบ้านไปเลี้ยงหมา แล้วไปส่งเขาด้วย” อวี๋เจี้ยนเฉียงไม่แม้แต่จะมองโจวลั่วหยาง เขาหันไปสั่งผู้ช่วยชายแล้วเดินผ่านด้านข้างพวกเขาสองคนออกไป

โลกใบน้อยในห้องส่วนตัวจึงเหลือเพียงความเงียบงัน

ชายสวมชุดสูทตัวตรงแหน็ว สวมแว่นตาดำยืนอยู่ที่ประตูห้องส่วนตัว ใบหน้าของเขาซูบตอบ คิ้วสีดำเข้ม และมีรอยแผลเป็นที่น่าตกตะลึงพาดจากแก้มมาจนถึงสันจมูก อย่างกับมีคนฟันดาบลงบนสันจมูกโด่งอันงดงามนั้น

แผลเป็นที่ว่านั้นมองเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษภายใต้แสงไฟของห้องส่วนตัว

“ให้ห่อกลับ?” เสียงของชายหนุ่มทุ้มต่ำ

“ตู้จิ่ง?!” โจวลั่วหยางตกตะลึง เขาพึมพำ “เป็นนายได้ยังไง”

โจวลั่วหยางเดินเข้าไปหาผู้ช่วยคนนั้นครึ่งก้าวอย่างอดใจไม่ไหว เขานึกอยากเอื้อมมือไปคว้าตัวหรือไม่ก็ตบตีอีกฝ่าย แต่พอยกมือขึ้นมาก็กลับหยุดชะงัก เพราะชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธตัวตนที่เขาเรียก ถึงอย่างไรบนใบหน้าก็มีสัญลักษณ์ที่ชัดเจนขนาดนี้ ปฏิเสธไปก็แทบจะไร้ความหมาย

พนักงานเข้ามาเอาอาหารไปห่อให้ โจวลั่วหยางกับตู้จิ่งยังคงยืนประจันหน้าอยู่อย่างนั้น เวลาเหมือนหยุดนิ่งไปแล้วตรงหน้าพวกเขา

จากนั้นโจวลั่วหยางก็ยื่นมือไปหมายจะถอดแว่นตาดำของตู้จิ่ง แต่เมื่อเห็นเขายื่นมือออกไป ตู้จิ่งก็ชิงถอดแว่นตาดำออกเองเสียก่อน

“นายเป็นผู้ช่วยของหมอนั่น?” โจวลั่วหยางงงงัน เขามองประเมินตู้จิ่งทั้งตัวแล้วเอ่ย “คงไม่ใช่หรอกน่า!”

ตู้จิ่งไม่ตอบ สายตาเคลื่อนจากสองตาของโจวลั่วหยางไปยังพนักงานที่นำอาหารไปห่อให้

“นายเลี้ยงหมา?” จู่ๆ ตู้จิ่งก็ถามขึ้น

โจวลั่วหยางไม่ได้ตอบแต่ถามต่อ “หลังลาออกจากมหา’ลัยแล้วก็ไม่ได้ข่าวคราวของนายอีกเลย หลายปีมานี้นายหายไปไหนมา”

ตู้จิ่งรับถุงกระดาษใส่อาหารมา สวมแว่นตาดำกลับดังเดิมแล้วผลักเปิดประตูเดินออกไปก่อน โจวลั่วหยางรีบสาวเท้าตามออกไป ชั่วขณะหนึ่งเรื่องราวมากมายในอดีตก็ผุดขึ้นในใจ และเมื่อเขามองแผ่นหลังของตู้จิ่ง เรื่องราวในอดีตที่เป็นเหมือนเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นก็ผุดพรายขึ้นมาในชั่วขณะหนึ่งตรงถนนที่ไฟประดับเพิ่งเริ่มส่องสว่าง

“จอดรถไว้ที่ไหน” ตู้จิ่งถาม

“หาที่ดื่มกันสักสองแก้ว?” โจวลั่วหยางชวน

ตั้งแต่ได้พบกันอีกครั้งทั้งสองคนต่างก็พูดแต่ในสิ่งที่ตัวเองอยากจะพูด จนกระทั่งตอนนี้ตู้จิ่งถึงได้ตอบคำถามของโจวลั่วหยางในที่สุด

“ไม่ไป มีธุระ”

ตู้จิ่งยืนอยู่ริมถนน เขายื่นถุงกระดาษใส่อาหารให้โจวลั่วหยาง แต่โจวลั่วหยางกลับไม่ยอมรับเอาไว้

“โยนทิ้งไปเถอะ”

“…”

“ทิ้งช่องทางติดต่อไว้?” โจวลั่วหยางถามอีก

พอตู้จิ่งไม่ตอบ โจวลั่วหยางก็ไม่ซักไซ้อีก เมื่อห้าปีก่อนเขารู้แล้วว่าไม่อาจใช้วิธีการปกติมารับมือกับหมอนี่ได้

“งั้นฉันไปแล้ว” โจวลั่วหยางเปลี่ยนคำพูด “หวังว่าเราจะมีโอกาสได้พบกันอีก”

โจวลั่วหยางเดินไปยังจุดที่ตัวเองจอดจักรยานไว้ แต่ก็หาจักรยานของตัวเองไม่พบ และหลังจากมองหาอีกหลายครั้งจนยืนยันได้แล้วก็จำต้องยอมรับความจริง…จักรยานน่าจะถูกขโมยไปแล้ว

ตู้จิ่งมองโจวลั่วหยางหาจักรยานอยู่ด้านข้างเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “บอสอวี๋ให้ฉันไปส่งนาย”

โจวลั่วหยางบอก “ไม่ต้อง ฉันเช่าจักรยานสาธารณะก็ได้”

แต่ตู้จิ่งกลับควักมือถือออกมาแล้วเอ่ย “ที่อยู่?”

โจวลั่วหยางยืนนิ่งสักพักแล้วบอกที่อยู่ไป จากนั้นตู้จิ่งก็ใช้แอพพลิเคชั่นเรียกรถ

โจวลั่วหยางเหลือบมองอีกฝ่าย บนข้อมือซ้ายของตู้จิ่งสวมสายรัดข้อมือยางเอาไว้เส้นหนึ่ง

เขายื่นมือไปหมายจะดึงสายรัดข้อมือยางเส้นนั้น ทว่าตู้จิ่งก็เบี่ยงหลบเล็กน้อยจนแทบจะสังเกตไม่เห็นโดยไม่ยอมให้เขาแตะต้องตัว

 

เมืองหว่านยามค่ำคืนร้อนอบอ้าวอย่างยิ่ง ทั้งสองยืนอยู่ริมถนน โจวลั่วหยางเหงื่อไหลจนเปียกชุ่มเสื้อเชิ้ตไปหมด เขาหันไปมองตู้จิ่งที่สวมชุดสูททั้งตัวก่อนจะถามขึ้น

“ไม่ร้อน? ร้อนก็ถอดเสื้อตัวนอกออกสิ”

ตู้จิ่งไม่ตอบ

“หลายปีมานี้เป็นยังไงบ้าง” โจวลั่วหยางถามอีก “ยังสวมอยู่อีกเหรอ อาการป่วยดีขึ้นแล้วหรือยัง”

“ฉันทำตามที่นายบอก ลองรักษาดูแล้ว” ตู้จิ่งตอบ “แต่รักษาไม่ได้ แล้วก็รักษาไม่หายขาด”

โจวลั่วหยางขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองตู้จิ่ง ก่อนจะถอนหายใจแล้วลูบผม แม้จะเอาเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้มารวมกันก็ยังเทียบไม่ได้กับการได้พบตู้จิ่งอีกครั้งอย่างกะทันหันเลย

“ไปนั่งเล่นที่ห้องฉันไหม” โจวลั่วหยางถามอีก

ตู้จิ่งยังคงไม่พูดอะไร ในขณะที่โจวลั่วหยางค้นหาความทรงจำนับไม่ถ้วนในหัวสมอง อาการป่วยของตู้จิ่งกำเริบเป็นพักๆ ปฏิกิริยานี้เหมือนตอนที่พวกเขาทะเลาะกันในหอพักสมัยเรียนหนังสือมาก…ตอนนั้นตู้จิ่งบอกว่า ‘อย่าพูดกับฉัน เดี๋ยวฉันดีขึ้นได้ด้วยตัวเอง’

แต่ในเวลานี้ไม่ง่ายเลยกว่าที่โจวลั่วหยางจะหาเขาพบ แล้วทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรสักอย่างล่ะ

“ฉัน…” โจวลั่วหยางคิดแล้วคิดอีก สุดท้ายก็เอ่ยว่า “ตู้จิ่ง…”

รถมาถึงแล้ว พอตู้จิ่งเปิดประตูรถ โจวลั่วหยางเลยเข้าไปนั่งในรถก่อน เดิมทีเขาคิดว่าตู้จิ่งจะตามขึ้นมา อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ตู้จิ่งก็บอกว่า ‘ไปส่งนาย’ เลยไม่คิดว่าตู้จิ่งจะปิดประตูรถให้เสียอย่างนั้น

บทที่ 2

ตกดึกฝนตกลงที่นอกหน้าต่าง เสียงฝนตกกระทบกันสาดเมทัลชีทเหนือระเบียงห้องเช่าดังเปาะแปะ

เล่อเหยาน้องชายอายุสิบหกยังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น ตอนโจวลั่วหยางเปิดประตูเข้ามาก็หันไปมองนาฬิกาแขวนผนังทันทีโดยไม่รู้ตัว

“กลับมาเร็วจัง?” เล่อเหยาถามอย่างคาดหวัง “คุยเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดี” โจวลั่วหยางไม่ได้เล่าเรื่องที่ร้านอาหารให้น้องชายฟัง ตอนบ่ายแค่เล่าคร่าวๆ ว่าออกไปคุยเรื่องหาหุ้นส่วนทางธุรกิจ และอีกไม่นานร้านขายของโบราณคงกลับมาเปิดได้อีกครั้ง

เขาเดินเข้าไปอุ้มเล่อเหยาผู้เป็นน้องชายขึ้นจากรถเข็นพลางอธิบาย “ค่อนข้างราบรื่นนะ อีกฝ่ายบอกว่าจะกลับไปพิจารณาอีกที”

เล่อเหยาทำท่าทางให้เขาดูกระดาษสองสามแผ่นที่วางไว้บนโต๊ะกาแฟแล้วบอกว่า “ข้อมูลที่ทำให้พี่ไม่ได้เอาไป”

“จำได้หมดแล้วล่ะ” โจวลั่วหยางยิ้มก่อนจะอุ้มน้องชายในท่าเจ้าหญิงเข้าไปในห้องน้ำ

ห้องที่เช่าได้นั้นห้องน้ำแคบมาก แต่ยังดีที่อย่างน้อยก็มีอ่างอาบน้ำเก่าๆ ให้ โจวลั่วหยางดึงม่านอาบน้ำ จากนั้นก็ปูแผ่นพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งในอ่างให้เรียบร้อย

“อาบน้ำเองไหม”

“อืม”

ดังนั้นโจวลั่วหยางจึงย้ายเก้าอี้ออกมานั่งใจลอยอยู่นอกม่านขณะรอน้องชายอาบน้ำ

“วันนี้มีคนโทรมาที่บ้าน” เล่อเหยาพูดออกมาจากหลังม่าน

“อะไรนะ” โจวลั่วหยางระแวดระวังขึ้นมาทันที ในใจคิด โทรมาทวงเงินหรือเปล่า ทำไมหาบ้านเจอเร็วขนาดนี้นะ

เล่อเหยาตอบ “รับแล้ว แต่ไม่มีเสียงพูด”

โจวลั่วหยางส่งเสียงตอบรับแล้วพูด “คราวหน้าก็วางสายซะ น่าจะเป็นพวกขายของผ่านโทรศัพท์”

เล่อเหยา “โรงเรียนส่งอีเมลมา ถามว่าผมยังต้องการข้าวของอะไรอีกไหม”

โจวลั่วหยางตอบ “เดี๋ยวคืนนี้พี่จะตอบกลับไป”

เล่อเหยาไอสองสามทีเพราะสำลักน้ำเข้าไปโดยไม่ทันระวัง โจวลั่วหยางจึงเปิดม่านเข้าไปช่วยเขาสระผม บนผิวน้ำปรากฏเงาสะท้อนของแขนและไหล่อันอ่อนแอของเขา รวมถึงใบหน้าที่แฝงความกังวลและคิ้วที่ขมวดเล็กน้อยของโจวลั่วหยาง

เล่อเหยาอายุสิบหกแล้ว แต่เนื่องจากพิการรูปร่างจึงเล็กกว่าคนในวัยเดียวกัน เขาอยู่ในห้องตลอดทั้งวันจนผิวยิ่งซีดขาว และสูงเพียงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบแต่หนักแค่เก้าสิบสามจิน* เท่านั้น

ผู้ป่วยอัมพาตครึ่งท่อนใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ไม่สะดวกสบายเหมือนอย่างในประเทศอื่น บางครั้งโจวลั่วหยางถึงกับกลุ้มใจว่าการให้เล่อเหยากลับมาเรียนหนังสือที่จีนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่

ตอนแรกเขาคิดว่าเทียบกับความสะดวกสบายในชีวิตแล้ว การมีคนในครอบครัวอยู่เคียงข้างอาจเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่สุดของน้องเล็ก อย่างไรเสียตอนนี้พวกเขาก็เป็นคนในครอบครัวที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของกันและกัน…และสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือสถานการณ์ทางการเงินที่ไม่เอื้ออำนวย มรดกที่พ่อทิ้งไว้ไม่เพียงพอสำหรับจ่ายค่าเล่าเรียนในต่างประเทศให้กับน้องชาย ส่วนโจวลั่วหยางในตอนนี้แม้แต่จะเลี้ยงดูตัวเองก็ยังเป็นปัญหา

“ไม่ราบรื่นเหรอ” เล่อเหยาถาม

“อะไรนะ” หลังจากโจวลั่วหยางได้พบตู้จิ่งอีกครั้งก็เอาแต่เหม่อลอย ตอนที่สบตาน้องชายถึงได้รู้ว่าความกังวลในใจของตนเองคงแสดงออกบนใบหน้า เขาจึงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เปล่าหรอก”

เล่อเหยากล่าว “เมื่อก่อนพ่อบอกว่าจะร่วมหุ้นกับใครก็เหมือนแต่งงานกัน ถ้ารู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะก็อย่าฝืน คงมีโอกาสอื่นอีกแหละ”

โจวลั่วหยางเข้าใจในสิ่งที่เล่อเหยาคิด เขาจึงอธิบาย “ไม่ใช่เพราะหุ้นส่วนหรอก พี่แค่กลัวว่านายไปโรงเรียนแล้วจะไม่สะดวก พี่ชินแล้วที่มีนายอยู่ด้วย จู่ๆ ถ้านายต้องไปเข้าเรียนคงรู้สึกโหวงๆ พิลึก”

เล่อเหยาตอบรับหนึ่งเสียงก่อนจะพูดว่า “พวกคุณครูกระตือรือร้นในการให้ความช่วยเหลือมาก ผมดูแลตัวเองได้ อีกอย่างผมอยากเรียนรู้การใช้ชีวิตด้วยตัวเอง”

โจวลั่วหยางไม่ได้พูดต่อ เขาถอดเสื้อออกแล้วอุ้มน้องที่ตัวเปียกขึ้นมาวางลงบนเก้าอี้เพื่อเช็ดตัวและ เปลี่ยนเป็นชุดนอนให้ ก่อนจะพูดขึ้น

“เรื่องร้านไม่ต้องกังวล พอจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว พรุ่งนี้ถ้าพี่ว่างจะพานายออกไปเดินเล่น ตั้งแต่กลับมายังไม่ได้ไปเดินเล่นในเมืองเลย”

เล่อเหยาพยักหน้า ก่อนเอามือยันขอบเตียง แล้วออกแรงยกตัวจากเก้าอี้รถเข็นขึ้นไปบนเตียง ส่วนโจวลั่วหยางก็เข้าไปเก็บข้าวของในห้องน้ำแล้วอาบน้ำ

น้ำอุ่นไหลผ่านศีรษะเขาลงไปตามริ้วกล้ามเนื้อรางๆ ของไหล่และแผ่นหลัง ไหลเรื่อยลงไปตามร่องลึกตรงช่วงเอว กระจกยาวจรดพื้นในห้องน้ำขึ้นฝ้าขาว

โจวลั่วหยางเช็ดกระจกสองสามที จากนั้นจึงจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก เส้นผมเปียกชื้นตกลงมาปรกตา คล้ายกับว่าตัวเขาไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อห้าปีก่อนเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะนึกถึงตู้จิ่งที่เพิ่งได้พบโดยไม่ทันตั้งตัวอีกครั้ง

“ฉันชื่อตู้จิ่ง ‘ตู้จิ่ง’ มีที่มาจาก ‘ซิว ซัง เซิง ตู้ จิ่ง สื่อ จิง ไค’*

โจวลั่วหยางพึมพำกับตัวเอง

ฝนด้านนอกหน้าต่างตกหนักขึ้นเรื่อยๆ เหมือนวันแรกที่เขากับตู้จิ่งได้รู้จักกัน

 

วันนั้นมีพายุฝนพัดกระหน่ำ พายุไต้ฝุ่นแทบจะพัดอาคารหอพักจนถล่ม ตอนที่โจวลั่วหยางมารายงานตัวตามลำพังในเมืองที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาไม่มีจุดไหนที่แห้งเลย

เขาเข้าไปในห้องพักที่มีละอองน้ำสาดเข้ามาเป็นพักๆ เงาร่างสูงใหญ่ด้านในก้าวพรวดเข้ามาแล้วช่วยเขาปิดประตู หน้าต่างถูกพายุพัดส่งเสียงดังปึงปัง หลังจากคนคนนั้นปิดหน้าต่างโลกก็สงบเงียบในที่สุด

‘หน้าต่างปิดไม่อยู่’ ชายคนนั้นบอก ‘แค่ลมพัดก็เปิดออกแล้ว’

โจวลั่วหยางผ่อนลมหายใจ ‘ปีนี้พายุไต้ฝุ่นแรงจัง’

‘ฉันเพิ่งเคยเจอพายุไต้ฝุ่นเป็นครั้งแรก’ ผู้ชายคนนั้นคุยเรื่อยเปื่อย ‘พัดอย่างนี้ทั้งวัน’

โจวลั่วหยางพิงโต๊ะเขียนหนังสือที่มีสภาพน่าอนาถอย่างยากจะรับได้ ในขณะที่ทั้งตัวมีแต่น้ำหยดติ๋งๆ และเมื่อเขามองไปที่ชายคนนั้นก็เห็นรอยแผลเป็นลึกที่พาดผ่านสันจมูกของอีกฝ่ายในปราดเดียว

หน้าตาออกจะหล่อ ถ้าไม่มีแผลเป็นนั่นน่ะนะ โจวลั่วหยางคิด

ต่อมาโจวลั่วหยางก็เคลื่อนสายตาไปที่ดวงตาคู่นั้นของอีกฝ่าย ก่อนที่ทั้งสองจะพยักหน้าให้กันน้อยๆ

ชีวิตหลายปีหลังจากนั้นของโจวลั่วหยางก็ได้ใช้ร่วมกับคนคนนี้นี่เอง

‘โจวลั่วหยาง’ โจวลั่วหยางแนะนำตัว ‘ลั่วหยางที่มาจาก ‘หากญาติมิตรที่ลั่วหยางยังถามหา จงบอกว่าจิตใจข้าบริสุทธิ์ดังน้ำแข็งในกาหยก’*

‘ตู้จิ่ง’ ชายคนนั้นแนะนำตัวเช่นกัน ‘ตู้จิ่งที่มาจาก ซิว ซัง เซิง ตู้ จิ่ง สื่อ จิง ไค’

โจวลั่วหยางได้ฟังแล้วก็นึกแปลกใจ เขาถึงกับเอียงศีรษะมองตู้จิ่งยิ้มๆ ทว่าตู้จิ่งก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ชายหนุ่มลากเก้าอี้ออกมานั่งที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือแล้วใส่หูฟัง โดยทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น

เป็นคนเงียบๆ จริงๆ ด้วย…โจวลั่วหยางเก็บข้าวของลวกๆ โดยหันหลังให้ตู้จิ่ง หลังถอดเสื้อยืดออกแล้วก็อดที่จะหันไปมองตู้จิ่งแวบหนึ่งไม่ได้ เขาเห็นตู้จิ่งกำลังก้มหน้าอ่านหนังสือด้วยสีหน้าเฉยชา และในความเฉยชานี้ก็เป็นผลให้รอยแผลเป็นใต้ดวงตายิ่งเห็นเด่นชัด

เพื่อนเก่าของปู่ของโจวลั่วหยางเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นี่ ก่อนมารายงานตัวโจวลั่วหยางเคยโทรหาอาจารย์ท่านนี้ ลูกศิษย์ที่เป็นนักศึกษาปริญญาโทของอาจารย์ท่านนี้ถามเขาว่ามีข้อเรียกร้องอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับเพื่อนร่วมห้องพักไหม ซึ่งโจวลั่วหยางก็บอกไปว่า ‘ขอแค่นิสัยดี เงียบสงบ ไม่รบกวนกันก็พอแล้ว’

ดังนั้นทางคณะจึงให้เขาไปอยู่ที่ตึกทิงเป้า 603 ต่อมาโจวลั่วหยางถึงค่อยรู้ว่านักศึกษาที่พักในหอนี้มีไม่มาก ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของอาจารย์และเจ้าหน้าที่ ไม่ก็เป็นคนที่มีข้อเรียกร้องพิเศษหรือที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ หรืออาจพูดได้ว่าตอนจัดสรรห้องพักตู้จิ่งก็ได้ใช้เส้นสายของคนในครอบครัวเหมือนกัน

สภาพแวดล้อมของตึกทิงเป้าเงียบสงบดีมาก แต่ก็ออกจะเงียบเกินไปสักหน่อย ภายในหอพักเงียบสงัด นอกหน้าต่างมีแต่เสียงลมฝน ดูแล้วรูมเมตของเขาค่อนข้างมีนิสัยรักความสันโดษเลยทีเดียว

 

โจวลั่วหยางอาบน้ำและเช็ดผมจนแห้ง เมื่อเห็นน้องชายนอนหลับไปแล้วบนเตียงจึงห่มผ้าห่มให้เขาก่อนจะปิดไฟ

เมื่อนึกถึงวันแรกที่ได้รู้จักตู้จิ่ง สิ่งที่กลายเป็นภาพประทับที่ติดตรึงอยู่ในใจของโจวลั่วหยางมากที่สุดก็คือรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขา อย่างที่สองก็คือความเงียบงันอย่างยิ่งของรูมเมตคนนี้

น่าเสียดายโจวลั่วหยางรู้สึกว่าถ้าตู้จิ่งไม่มีรอยแผลเป็น อาศัยเพียงรูปร่างหน้าตาของเขาก็เพียงพอที่จะขึ้นปกนิตยสารแฟชั่นได้แล้ว เมื่อก่อนหล่ออย่างไรเดี๋ยวนี้ก็ยังหล่ออย่างนั้น

ตอนพบกับตู้จิ่งอีกครั้งอย่างกะทันหันในห้องส่วนตัว โจวลั่วหยางเกือบคิดไปแล้วว่าอีกฝ่ายหายไปจากชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง

แต่ทำไมตู้จิ่งถึงปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้ และหลายปีมานี้เขาผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง

โจวลั่วหยางหยิบนมเปรี้ยวหนึ่งกล่องออกมาจากตู้เย็นก่อนจะถอนหายใจ เขาเสียบหลอด ดื่มนม แล้วกลับเข้าไปในห้อง จากนั้นก็ขึ้นไปนอนบนเตียง

จู่ๆ ก็ได้พบหน้าแล้วก็แยกจากกันแบบปุบปับ ตู้จิ่งไม่แม้แต่จะให้ช่องทางการติดต่อกับเขาเลยสักทาง โจวลั่วหยางรู้ว่าตู้จิ่งต้องยังโกรธเขาอยู่แน่ๆ อีกทั้งยังคงโกรธตัวเอง ความรู้สึกโกรธนี้ยาวนานถึงสามปีทีเดียว

สำหรับคนอื่นเวลาสามารถแก้ไขได้ทุกปัญหา แต่สำหรับตู้จิ่งแล้วคงแก้ไม่ได้

อาการป่วยของเขาหนักกว่าเก่าหรือเปล่านะ

โจวลั่วหยางพลิกไปพลิกมาบนเตียงในความมืดสลัว ในห้วงความคิดมีแต่ภาพของตู้จิ่งวันนี้ ดูเหมือนเขาจะสูงกว่าเมื่อสามปีก่อนนิดหน่อย แถมยังผอมลงอีกต่างหาก

 

ตอนพบกันครั้งแรกพวกเขาเหมือนคนแปลกหน้าสองคนที่เกรงใจกัน โจวลั่วหยางยังไม่ทันคุ้นเคยกับเขาด้วยซ้ำ หลายวันหลังจากนั้นการฝึกทหารก็เริ่มขึ้นแล้ว

ตู้จิ่งเรียนวิศวกรรมอัตโนมัติ ส่วนโจวลั่วหยางเรียนวิศวกรรมเครื่องกล ทั้งสองไม่ได้อยู่หน่วยเดียวกัน แต่บางครั้งโจวลั่วหยางก็เห็นเขาเดินผ่านสนามฝึก เขาคือคนที่สวมเครื่องแบบทหาร ตัวสูงที่สุดและยืนอยู่แถวสุดท้าย ตอนพักโจวลั่วหยางจะโบกมือและผิวปากส่งสัญญาณให้เขา บางครั้งตู้จิ่งก็หันมามองแต่ไม่ได้ทำท่าทางอะไรตอบกลับมา เพียงแค่หันมองโจวลั่วหยางทีหนึ่งจากที่ไกลๆ เท่านั้น

โจวลั่วหยางสังเกตว่าตู้จิ่งแทบไม่ได้พูดคุยอะไรกับเพื่อนร่วมกลุ่มเลย ตอนพักก็เอาแต่นั่งนิ่งอยู่อีกด้านคนเดียวด้วยท่าทางเย็นชา

‘ดื่มโค้กไหม’ โจวลั่วหยางเดินไปหาพลางยื่นน้ำอัดลมให้

ตู้จิ่งพยักหน้าอย่างเฉยชา เขารับไปแล้วมองโค้กในมือ จู่ๆ ก็ควักซองบุหรี่ออกมายื่นให้โจวลั่วหยาง

‘รู้ได้ยังไงว่าฉันสูบ’ โจวลั่วหยางแปลกใจเป็นอย่างมาก

‘ตัวนายมีกลิ่นบุหรี่’ ตู้จิ่งตอบ

ตอนแรกโจวลั่วหยางคิดว่าตู้จิ่งไม่อยากเป็นเพื่อนกับตนจึงไม่พูดด้วย แต่ต่อมาพอได้ฝึกทหาร เขาถึงได้รู้ว่าตู้จิ่งนั้นทั้งเงียบและเย็นชากับคนรอบข้างมากกว่าตัวเขาเองเสียอีก เขาจึงเดาว่าตู้จิ่งคงเป็นคนอย่างนี้โดยธรรมชาติ แต่ด้วยความที่ตู้จิ่งคุยกับโจวลั่วหยางมากกว่าคนอื่นอยู่บ้าง เขาจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ

ส่วนโจวลั่วหยางนั้นมีเพื่อนมาก เหตุผลเพราะเขาเป็นคนสบายๆ และร่าเริงเบิกบาน ไม่ช้าก็สนิทสนมคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมกลุ่ม

แต่เขายังเป็นห่วงรูมเมตคนนี้ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็จะต้องใช้ชีวิตร่วมกันยาวนานในระยะหนึ่ง

วันหนึ่งตอนที่ฝึกทหาร หลังจากกลุ่มของโจวลั่วหยางเลิกฝึกแล้ว เขาก็เห็นพวกวิศวะฯ อัตโนมัติกลุ่มสามตากแดดอยู่กลางสนาม เพียงแต่มองไม่เห็นตู้จิ่งจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

โจวลั่วหยางไปซื้อชาดับร้อนที่โรงอาหาร แล้วไปที่ห้องพักหน่วยฝึกทหารของตู้จิ่ง ก่อนจะถามหาครูฝึก

‘เธอเป็นเพื่อนของเขา?’ ครูฝึกถาม

‘รูมเมตครับ’ โจวลั่วหยางเดาว่าตู้จิ่งอาจจะเป็นลมแดด ‘ผมมาเยี่ยมเขา’

‘โจวลั่วหยาง’ ครูฝึกเอ่ย ‘อยู่ตึกทิงเป้า 603 ฉันรู้จักเธอ’

โจวลั่วหยาง ‘…?’

โจวลั่วหยางแปลกใจเล็กน้อย ครูฝึกในกลุ่มของตู้จิ่งรู้จักเขาได้อย่างไร เพราะเคยเห็นรายชื่อห้องพัก? หรืออาจเป็นตอนที่จัดให้พวกเขาสองคนพักด้วยกัน ครูฝึกเลยสังเกตเห็นชื่อเขา?

ทว่าโจวลั่วหยางไม่ได้ถามอะไรมาก ครูฝึกบอกหมายเลขห้องพักให้เขา จากนั้นโจวลั่วหยางก็ไปเคาะประตู เมื่อตู้จิ่งที่อยู่ด้านในไม่พูดอะไร โจวลั่วหยางจึงเปิดประตูเข้าไป

ห้องนี้เป็นห้องพักเตียงคู่ ตู้จิ่งนั่งอยู่บนเตียงหลังหนึ่ง ร่างกายและใบหน้าซ่อนอยู่ในเงามืด เขากำลังก้มหน้ากินยา

‘เป็นอะไรไหม’ โจวลั่วหยางถาม

เห็นได้ชัดว่าตู้จิ่งตกใจจนสะดุ้งโหยง แววตาของเขาสั่นไหว โจวลั่วหยางถาม ‘เป็นลมแดดเหรอ ฉันเห็นนายไม่ได้ไปฝึก เลยเอาน้ำจับเลี้ยงมาให้’

‘ขอบใจ’ ตู้จิ่งกลับมามีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนปกติในทันที ก่อนจะเอากล่องยายัดใส่กระเป๋าเสื้อ

โจวลั่วหยางนึกสงสัยเล็กน้อย เมื่อครู่เขาแอบเห็นว่าในกล่องยาของตู้จิ่งมียาเม็ดสีขาว กล่องยาเองก็มีช่องแบ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นยาที่ต้องกินประจำวัน

เขาป่วย?

โจวลั่วหยางมองไปรอบๆ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงอีกหลังหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องพูด เขายิ้มแล้วกล่าวว่า ‘ห้องพักห้องนี้ของนายดีกว่าของพวกเราอีก พวกเราสิบสองคนอยู่ในห้องเดียวกัน ฝึกทหารมีห้องเตียงคู่ด้วย?’

‘เตียงของครูฝึกน่ะ’ ตู้จิ่งเฉลย

‘อากาศร้อนเกินไปสินะ’ โจวลั่วหยางถามเรื่อยเปื่อย ‘ไม่สบาย? กินข้าวเที่ยงหรือยัง’

ตู้จิ่งพยักหน้า โจวลั่วหยางเปิดฝาแก้วเก็บอุณหภูมิแล้วรินน้ำให้เขา

‘ขมจัง’ ตู้จิ่งนิ่วหน้า ทว่าโจวลั่วหยางกลับหัวเราะออกมา

ครูฝึกเองก็เข้ามาในห้องพร้อมกล่าว ‘ไม่ออกไปเดินเล่นเหรอ ไปเถอะ พาเพื่อนของนายไปด้วย’

ตู้จิ่งจึงหยิบหมวกลายพราง จากนั้นก็ทำท่าให้โจวลั่วหยางตามตัวเองออกมา พวกเขาออกจากห้องแล้วไปเดินเล่นที่ด้านหลังร้านขายของชำ ด้านหลังค่ายตรงนี้เป็นค่ายของผู้หญิงซึ่งโจวลั่วหยางไม่เคยเดินผ่านมาก่อน พวกเขาสองคนคนหนึ่งเดินนำหน้า ส่วนอีกคนตามหลังโดยไม่ได้พูดจากัน จนกระทั่งมาถึงตรอกเล็กๆ จู่ๆ ตู้จิ่งก็พูดขึ้น

‘ไปกลุ่มข้างๆ?’

โจวลั่วหยางงุนงง ‘อะไรนะ’

‘สาวๆ หลายคนกำลังพูดถึงนาย’ ตู้จิ่งบอก ‘จะพานายไปให้พวกเธอดูตัวสักหน่อย’

‘อย่าเหลวไหลน่า!’ โจวลั่วหยางถึงกับหัวเราะลั่น ‘นายรู้ได้ยังไง’

‘บังเอิญได้ยินมาน่ะ’ ตู้จิ่งบอก

‘นายแอบฟังคนอื่นคุยด้วย?’ โจวลั่วหยางแปลกใจ ‘ไม่คิดว่านายจะเป็นพวกชอบซุบซิบกับเขาด้วย’

ตู้จิ่งจึงบอกว่า ‘ฉันแค่รู้จักนาย พอได้ยินชื่อนายเลยตั้งใจฟัง บุหรี่สูบหมดแล้วเหรอ ไปซื้อให้นายอีกซองกันเถอะ’

โจวลั่วหยางหยิบบุหรี่ที่ตู้จิ่งซื้อให้ออกมาก่อนจะพูด ‘ยังไม่ได้ฉีกซองเลย ให้นายก็แล้วกัน’

ตู้จิ่งโบกมือปฏิเสธ ทำเอาโจวลั่วหยางรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ‘นายไม่สูบแล้วจะซื้อมาทำอะไร’

‘ซองมันสวยดี’ ตู้จิ่งเสมองไปด้านข้างแล้วตอบกลับ ‘เห็นแล้วเลยซื้อติดมือมา’

นี่เป็นครั้งแรกที่โจวลั่วหยางได้ยินเหตุผลแบบนี้

 

โจวลั่วหยางกำลังสูบบุหรี่อยู่ในตรอกเล็กๆ หน้าร้านขายของชำ เพื่อนร่วมกลุ่มเดินผ่านมาเป็นครั้งคราว พวกเขาหันมาผิวปากให้คนทั้งสอง โจวลั่วหยางยิ้มพลางโบกมือทักทาย คนที่เดินผ่านไปผ่านมาทุกคนล้วนมองตู้จิ่งอย่างแปลกใจ ส่วนตู้จิ่งนั้นหันไปมองทางอื่น ไม่หันไปทางคนเลย

‘เฮ้ มีคนแอบถ่ายรูปนายน่ะ’ นักศึกษาชายที่เป็นเพื่อนร่วมกลุ่มของโจวลั่วหยางรีบบอกเขา โจวลั่วหยางจึงหันไปยิ้มให้

ทรงผมของเขายุ่งเหยิง เขาเอาบุหรี่ไปซ่อนไว้ข้างๆ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ ใครจะคิดว่าทันทีที่ตู้จิ่งหันไปเห็นก็รีบเบือนหน้าหนี ด้วยไม่อยากให้ใครถ่ายรูปหน้าตรงของตัวเอง

ที่สุดตรอกแว่วเสียงคนหัวเราะ ตอนที่โจวลั่วหยางตั้งใจจะเพ่งมองให้เห็นชัดๆ คนที่แอบถ่ายก็เดินหายไปแล้ว แม้แต่หน้าตาก็ไม่ทันได้เห็น

‘ชายหรือหญิง?’

‘เห็นไม่ชัด ถ่ายรูปโจวลั่วหยางล่ะมั้ง’

‘ถ่ายพวกนายนั่นแหละ’ โจวลั่วหยางคลุกคลีกับเพื่อนชายร่วมกลุ่มจนสนิทสนมกันแล้ว จึงพูดโพล่งขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

‘ถ่ายนายต่างหาก’

‘ถ่ายนายนั่นแหละ!’

ทุกคนเริ่มเข้ามาแย่งโค้กของโจวลั่วหยาง โจวลั่วหยางจึงยื่นให้ จากนั้นโค้กขวดเดียวก็เวียนไปรอบวง ตอนวนกลับมาที่เขาจึงเหลือแต่ขวดเปล่า

ตู้จิ่งเดินไปเงียบๆ โจวลั่วหยางจึงโยนขวดโค้กทิ้งส่งๆ แล้วเดินตามตู้จิ่งไป

‘นายกลับไปเถอะ’ ตู้จิ่งหันมาพูดพลางหรี่ตามองประเมินโจวลั่วหยางใต้แสงแดด

โจวลั่วหยางบอก ‘กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ ให้อยู่เป็นเพื่อนนายไหม’

ตู้จิ่งเอ่ย ‘ฉันไม่ต้องมีคนอยู่เป็นเพื่อนหรอกน่า’

โจวลั่วหยางค้นพบว่าไม่ว่าตนเองจะพูดอะไร ตู้จิ่งล้วนสามารถทำให้กร่อยได้อย่างรวดเร็ว อาจเพราะสาเหตุนี้ตู้จิ่งจึงไม่มีเพื่อน

‘ยังไม่มีช่องทางติดต่อนายเลย’ โจวลั่วหยางพลันนึกขึ้นได้จึงล้วงมือถือออกมา เขาคิดในใจว่าอาจต้องเป็นเพื่อนกันในวีแชต* ก่อนแล้วค่อยคุยกันในนั้น ถึงตอนนั้นสถานการณ์ก็อาจจะดีกว่านี้ อย่างไรเสียก็มีบางคนที่ตอนเจอหน้ากันจริงๆ ไม่ชอบพูด แต่อาจดีขึ้นมากตอนคุยกันผ่านแอพพลิเคชั่นติดต่อสื่อสาร

‘มือถือฉันตกน่ะ’ ตู้จิ่งล้วงมือถือออกมาให้โจวลั่วหยางดู มือถือของอีกฝ่ายหน้าจอแตกละเอียด ตัวเครื่องก็เหมือนถูกทุบจนบิดเบี้ยว

โจวลั่วหยางตกใจ ‘ตกแบบไหนถึงออกมาสภาพนี้’

‘ไม่ทันระวังเลยลื่นหล่นลงมาจากชั้นบนน่ะ’ ตู้จิ่งเล่า ‘ตอนเก็บก็ดันถูกเหยียบไปอีกที’

โจวลั่วหยางพยายามสองสามครั้งแต่ก็เปิดมือถือไม่ได้ ‘ฝึกเสร็จแล้วกลับไปจะไปเป็นเพื่อนนายซื้อเครื่องใหม่นะ’

ตู้จิ่งพยักหน้า ตอนนั้นเองเสียงสัญญาณเรียกรวมพลก็ดังขึ้น โจวลั่วหยางหันมาโบกมือให้เขาก่อนจะรีบวิ่งกลับไปเข้ากลุ่ม

 

ภายหลังโจวลั่วหยางก็อดที่จะฝากฝังเพื่อนร่วมชั้นให้ไปสอบถามพวกวิศวะฯ อัตโนมัติไม่ได้ ซึ่งคำตอบที่ได้มาก็เหมือนกับที่เขาคิดไว้ทุกประการ

ตู้จิ่งเข้ากับเพื่อนฝูงไม่ค่อยได้ ไม่เคยเป็นฝ่ายชวนคนอื่นคุยก่อน ดังนั้นทุกคนเลยไม่ทักทายเขาก่อนเช่นกัน

‘เพราะน้อยเนื้อต่ำใจล่ะมั้ง?’ คนที่ไปช่วยสอบถามหันมาพูดกับโจวลั่วหยาง ‘หน้าตาเสียโฉมมากอยู่ นี่ก็รู้สึกว่าสายตาเขาดูแปลกๆ’

‘แปลกตรงไหน’ โจวลั่วหยางพูดเสียงจริงจัง ‘ฉันไม่เห็นรู้สึกว่ามีตรงไหนแปลกเลยสักนิด’

‘ได้ยินว่าเขาสอบเข้ามหา’ลัยได้คะแนนสูงสุดของรุ่นนี้นะ’ คนที่ช่วยสอบถามบอก ‘สอบเลขได้คะแนนเต็มด้วย’

โจวลั่วหยาง ‘…’

 

วันที่ฝึกทหารจบแต่ละสาขามากินดื่มรวมกันในโรงอาหารโดยแยกเป็นโต๊ะหลายโต๊ะ โจวลั่วหยางกำลังพูดคุยอย่างร่าเริงอยู่ตรงโต๊ะตัวหนึ่ง ขณะที่เล่นมุกกันอยู่จู่ๆ ทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ ทุกคนหันไปมองทางด้านหลังโจวลั่วหยางอย่างพร้อมเพรียงกัน

โจวลั่วหยางรู้ตัวช้า พอหันไปก็เห็นตู้จิ่งยืนอยู่ โดยที่ในมือของอีกฝ่ายถือแก้วน้ำของเขาเอาไว้

‘รูมเมตฉันเอง’ โจวลั่วหยางหันไปแนะนำกับทุกคน ‘ตู้จิ่ง กินด้วยกันไหม มานั่งนี่มา’

ก่อนหน้านี้โจวลั่วหยางเห็นว่าตู้จิ่งเข้ากับเพื่อนสาขาอัตโนมัติไม่ค่อยได้ เลยคิดว่าสาขาเครื่องกลมีคนบ้าๆ บอๆ มากกว่า น่าจะคุยเล่นกับอีกฝ่ายได้บ้าง

‘เอาแก้วน้ำมาคืนนาย’ ตู้จิ่งยื่นแก้วน้ำให้โจวลั่วหยาง แล้วดึงปีกหมวกลงก่อนจะหันหลังเดินจากไป

‘นายอยากเปลี่ยนห้องไหม’ เพื่อนที่เที่ยวเล่นด้วยกันเวลานี้ต่างหันมากระซิบถามโจวลั่วหยาง ‘หมอนี่ดูอึมครึมยังไงก็ไม่รู้ ต้องอยู่ไปอีกสี่ปีเชียวนะ ใครจะรับประกันได้ ถ้าเกิดทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆ อะไรสักอย่างแล้วเขาเกิด…’

โจวลั่วหยางจำต้องรีบหยุดคำซุบซิบนินทาจำพวก ‘ขอบคุณความเมตตาของรูมเมตที่ไม่ฆ่าฉัน’ ทันที

อีกอย่างเขาไม่เคยรู้สึกว่าแววตาของตู้จิ่งดูอึมครึมเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็บอกเหตุผลไม่ได้เหมือนกัน มันเหมือนกับสัญชาตญาณบางอย่างที่มีมาตั้งแต่เกิดซึ่งมันบอกเขาว่านั่นไม่ใช่แววตาแห่งความเคียดแค้น แต่เป็นความโดดเดี่ยวต่างหาก

เป็นความโดดเดี่ยวที่เก็บไว้ในส่วนลึก…เป็นความโดดเดี่ยวที่เปิดเผยความยอมจำนนต่อโลกใบนี้ทั้งใบ

ตอนอยู่ ม.ปลาย โจวลั่วหยางชอบศึกษาเรื่องสัตว์ จึงไปทำงานพิเศษช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่สวนสัตว์อยู่ช่วงหนึ่ง และดวงตาคู่นั้นของตู้จิ่งก็มักทำให้เขานึกถึงสัตว์ที่ถูกขังไว้ในกรงให้คนมาเยี่ยมชม

ภายหลังเขาถึงค่อยๆ รู้ว่าตู้จิ่งแค่ไม่อยากทำร้ายคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจเท่านั้นเอง

ห้าปีผ่านไปโจวลั่วหยางนอนพลิกไปพลิกมาในความมืดสลัว สุดท้ายก็หยุดการเคลื่อนไหว

ขอแค่ตั้งใจตามหาในเมืองจะต้องหาเขาจนพบแน่ โจวลั่วหยางคิดเช่นนี้แล้วก็ผล็อยหลับไปในค่ำคืนอันเงียบสงบ

 

* จิน หรือชั่ง เป็นหน่วยมาตราชั่งของจีน เทียบน้ำหนักได้ประมาณครึ่งกิโลกรัม

* ซิว ซัง เซิง ตู้ จิ่ง สื่อ จิง ไค เป็นชื่อประตูทั้งแปดในศาสตร์แปดประตูพิสดาร (ฉีเหมินตุ้นจย่า) ซึ่งเป็นศาสตร์การทำนายแขนงหนึ่งในสมัยโบราณของจีน

* หากญาติมิตรที่ลั่วหยางยังถามหา จงบอกว่าจิตใจข้าบริสุทธิ์ดังน้ำแข็งในกาหยก มาจากบทกวี ‘อำลาซินเจียนในหอฝูหรง’ ประพันธ์โดยหวังชังหลิง กวีสมัยราชวงศ์ถัง

* วีแชต เป็นแอพพลิเคชั่นส่งข้อความและโซเชียลมีเดียของจีน

 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 2

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: