X
    Categories: everYThriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1 บทที่ 8 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง Thriller Trainee เด็กฝึกระทึกขวัญ เล่ม 1

ผู้เขียน : 妄鸦 (Wang Ya)

แปลโดย : จื่อซิน

ผลงานเรื่อง : 无限练习生 (Wu Xian Lian Xi Sheng)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆาตกรรม การทรมาน

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การค้ามนุษย์ การบูลลี่ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

มีการบรรยายถึงงู เลือด สภาพศพ สถานการณ์อันน่าขยะแขยง

และการกระทำที่สยดสยองต่ออวัยวะภายในของมนุษย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 8 โรงพยาบาลจิตเวช (6)

 

เนื่องจากคำพูดเมื่อครู่ของหัวหน้าพยาบาล บรรยากาศสลดหดหู่ภายในโรงอาหารจึงยิ่งหนักหน่วงขึ้นกว่าเดิม

เมื่อประสบกับเรื่องหอพักเด็กฝึกระทึกขวัญและเรื่องน่าสยดสยองเมื่อคืน ก็มีเด็กใหม่คนหนึ่งเริ่มเสียสติ

หลังจากที่พยาบาลแจ้งตารางกิจวัตรประจำวันเสร็จ จู่ๆ เขาก็พุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว ซ้ำยังร้องตะโกนใส่พวกเธอ

“เมื่อคืนมีคนตายนะ! บุคลากรทางการแพทย์แบบพวกคุณ แม่งยังมีจิตสำนึกชั่วดีอยู่มั้ย!”

ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธที่ไม่คิดปิดบัง “ผมเนี่ยนะป่วยทางจิต สมองพวกคุณต่างหากที่มีปัญหา!”

“ที่นี่คือโรงพยาบาล เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องปกติค่ะ”

ใบหน้าขาวซีดของหัวหน้าพยาบาลระบายยิ้มเย้ยหยัน “ไหนคุณลองบอกมาหน่อยสิคะ ว่าคุณจะพิสูจน์ยังไงว่าไม่ได้ป่วยทางจิต”

การป่วยทางจิตเป็นเหมือนพื้นที่สีเทาอันน่ากลัว

คนที่ไม่อาจเลี่ยงโทษประหารสามารถใช้มันในการลดโทษได้ ส่วนคนบริสุทธิ์ก็สามารถติดคุกได้เพราะมัน

ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ขอแค่บอกว่า ‘เขาป่วยทางจิต’ ก็พอแล้ว

ส่วนจะพิสูจน์ว่าไม่ได้ป่วยทางจิตอย่างไรนั้น…

แต่ไหนแต่ไรมาผู้ป่วยจิตเวชก็ไม่เคยยอมรับว่าตัวเองป่วยอยู่แล้ว

ไร้หนทางพิสูจน์ หรือจะบอกว่ามันเป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปลอมแปลงอย่างหนึ่งก็ย่อมได้

เด็กใหม่ร่างกายสั่นเทิ้ม อึกอักพูดอะไรไม่ออก

ในขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาคงไม่พูดอะไรแล้ว จู่ๆ เด็กใหม่คนนั้นกลับหวีดร้องเสียงแหลม พุ่งตัวออกจากโรงอาหารคล้ายกับคนคลุ้มคลั่งก่อนหายวับไปทางบันได ไม่แม้แต่จะหันกลับมา

“ไปพาเขากลับมา”

หัวหน้าพยาบาลหันไปโบกมือให้บุรุษพยาบาล เอ่ยสั่งทั้งที่ไม่หันหน้ากลับไปมองด้วยซ้ำ

จนกระทั่งคนเหล่านั้นเดินออกจากโรงอาหารไปแล้ว คนอื่นๆ ถึงเริ่มได้สติจากบรรยากาศกดดันเมื่อครู่

ไม่ใช่แค่คนในโรงอาหารเท่านั้น แต่ซับกระสุนในสตรีมก็ถกเถียงกันไม่หยุด

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ สตรีมของจงจิ่วก็มีคนเข้ามาดูพันกว่าคนแล้ว แม้จะเทียบกับพวกพี่ใหญ่ที่มียอดคนดูเป็นล้านไม่ได้ แต่สำหรับเด็กใหม่นับว่าไม่ธรรมดาเลย

 

[ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว คืนนี้เกิดเรื่องแน่]

[จริง เอาชีวิตรอดให้ได้สามวัน วันแรกก็แค่ออเดิฟเท่านั้นแหละ ส่วนวันที่สองวันที่สามคือไฮไลต์]

[คนที่แวบไปดูสตรีมของอีกเซิร์ฟบอกว่าภารกิจหลักของเซิร์ฟนั้นก็คือให้เอาชีวิตรอดสามวันเหมือนกัน ถึงฝั่งนั้นจะไม่มี Imposter กับภารกิจรอง แต่เด็กฝึกตายไปแล้วเกือบครึ่งแน่ะ…ฝั่งนี้มีบุตรพระเจ้าคงมีโอกาสรอดสูงอยู่]

[ระบบหลักก็โหดเกิ๊น นี่แค่รอบแรกของเด็กฝึกระทึกขวัญเองนะ ระดับความยากยังเซ็ตไว้สูงขนาดนี้ ไม่กลัวเด็กใหม่ฝังใจกันหรือไง]

[ตอบเมนต์บน นายลองคิดดูว่าตอนคัดเลือกรอบแรกมีคนยืนอยู่ในสตูดิโอกี่คน…เยอะมาก ระบบหลักคงขี้เกียจรอให้เด็กใหม่พัฒนาฝีมือถึงได้เซ็ตดันเจี้ยนให้ยากขนาดนี้ แล้วก็รอเลือกเอาจากคนที่เหลืออยู่เหมือนการแข่งทัวร์นาเมนต์]

 

ความหวาดกลัวแผ่ซ่านโดยไร้เสียง

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ คนที่ถูกเลือกให้เป็นหัวหน้ากลุ่มควรแสดงภาวะความเป็นผู้นำออกมา เพราะการเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับทุกคนถือเป็นสิ่งที่จำเป็นมากๆ ในตอนนี้

และเห็นได้ชัดเลยว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เมสสิยาห์ต้องเจอกับสถานการณ์เช่นนี้

บุตรพระเจ้าผมบลอนด์วางช้อนลงก่อนหยัดตัวลุกขึ้นยืน “ทุกคนอย่าเพิ่งใจร้อน”

ทุกสายตาของคนในโรงอาหารหันมองมาทางเขา เสียงโหวกเหวกค่อยๆ เบาลง

“สิ่งสำคัญที่ต้องทำในวันนี้คือรวบรวมข้อมูลกับเบาะแสให้ได้ อีกเดี๋ยวฉันจะบอกข้อมูลทั้งหมดที่หามาได้จากเมื่อคืนกับทุกคนอย่างละเอียด

เวลาไม่คอยท่า หลังจากเข้าชมการรักษาแล้วให้ทุกคนแยกกันไปหาข้อมูลตามที่พวกเราตกลงกันไว้ ในเมื่อแบ่งห้องกันนอนก็ให้แบ่งกลุ่มตามนั้นเลย”

เมสสิยาห์ระบายยิ้มที่เห็นแล้วชวนให้รู้สึกสบายใจ “ขอให้ทุกคนวางใจ ฉันจะพยายามปกป้องทุกคนอย่างสุดความสามารถ”

ถ้าประโยคนี้ออกมาจากปากคนอื่นคงไม่มีใครคิดเชื่อ แต่ถ้าบุตรพระเจ้าเป็นคนพูดเอง ความหมายของมันก็จะแตกต่างออกไป

หลังได้รู้ข้อมูลเมื่อคืนมาจากเด็กเก่า เด็กใหม่ก็เริ่มเข้าใจอันดับ 7 คนนี้บ้างแล้ว

การที่บุตรพระเจ้ามีอำนาจบารมีผู้คนรายล้อมจนแทบใกล้เคียงกับคำว่าหนึ่งคนเรียกหา ร้อยคนขานรับได้ในลูปอนันต์แห่งนี้ ไม่ใช่แค่เพราะนิสัยเห็นอกเห็นใจผู้อื่นหรือความมีเมตตา แต่ยังเป็นเพราะความสามารถของเขาด้วย

เมสสิยาห์ไม่ใช่ชื่อเต็มของเขา ชื่อเต็มของเขาคือ ‘เมสสิยาห์ มู่เป่ย’

ตามความเชื่อของฝั่งตะวันตก เมสสิยาห์หมายถึง ‘ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก’ ซึ่งเป็นนามทางศาสนา

เมื่อผ่านพิธีเจิมแล้วจึงจะถูกแต่งตั้งให้เป็นประมุขหรือเครื่องสังเวย ทั้งยังสามารถเพิ่มนามเมสสิยาห์ไว้ตรงหน้าชื่อของตัวเองได้ เช่น เมสสิยาห์ โยชูวา, เมสสิยาห์ ยูดาส ฯลฯ

เมสสิยาห์เคยได้การ์ดตัวละครเป็นมหาปุโรหิตแห่งอิสราเอลโบราณจากดันเจี้ยนสยองขวัญแรงก์ S ที่จำลองมาจากคัมภีร์ไบเบิล หลังจากเข้าพิธีเจิม เขาก็กลายเป็นตัวแทนของพระเจ้าที่ลงมาโปรดโลกมนุษย์ในดันเจี้ยนนั้น และใช้นามนำหน้าว่าเมสสิยาห์

หลังจากผ่านดันเจี้ยนสุดโหดที่แทบจะไร้ทางออกดันเจี้ยนนั้นมาได้ เขาก็ได้รับการประเมินให้อยู่ในแรงก์ A อันน่าทึ่ง ทว่าสิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่ใช่แค่สีผมของเมสสิยาห์ แต่ยังมีสถานะของเขาที่เป็นถึงมหาปุโรหิตแห่งอิสราเอล นอกจากนี้ในวันที่ 10 เดือน 7 ตามปฏิทินฮีบรู เขาเดินทางเข้าสู่วิหารของพระเจ้าก่อนจะได้รับไม้เท้าเล่มหนึ่งมาครอบครองหลังการเอ่ยพระนามพระเจ้า

ในบันทึกพระธรรมอพยพ (Book of Exodus) กล่าวไว้ว่าศาสดาพยากรณ์โมเสสและศาสดาพยากรณ์อาโรนมีไม้เท้ากันคนละเล่ม

ไม้เท้าของโมเสสใช้ในการพิพากษาและปฏิบัติตามความปรารถนาของพระเจ้า ทั้งนี้เขายังเคยใช้มันในตำนาน ‘โมเสสแหวกทะเลแดง’ อันโด่งดัง ส่วนไม้เท้าของอาโรนพี่ชายของโมเสสถูกเก็บรักษาไว้ใน ‘หีบพันธสัญญา’ ที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวยิว

และไม้เท้าที่เมสสิยาห์ได้มาจากดันเจี้ยนนั้นก็คือแบบจำลองไม้เท้าของอาโรน

แม้พลังคืนชีพในแบบจำลองไม้เท้าของอาโรนจะเหมือนติดบั๊ก* จนเทียบไม่ได้กับของจริง แต่ก็ยังมีสกิลการรักษาเป็นเลิศ และในขณะเดียวกันพลังแสงสว่างกับพลังชีวิตที่อยู่กับไม้เท้าก็ทำให้มันน่าอัศจรรย์เมื่อมาอยู่ในดันเจี้ยนลี้ลับนี้

หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเมสสิยาห์คือฮีลเลอร์เคลื่อนที่ได้

บนโลกนี้จะหาเรื่องใครก็ได้แต่ต้องไม่ใช่ฮีลเลอร์! แรร์ไอเทมในลูปอนันต์ก็คือฮีลเลอร์นี่แหละ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฮีลเลอร์ที่มีสกิลช่วยปัดเป่าอีกต่างหาก

ทีมแรงก์สูงที่อยู่ในลูปอนันต์มีแค่ทีมที่เมสสิยาห์เป็นผู้นำเท่านั้นที่มีอัตราการเสียชีวิตต่ำที่สุด ทุกๆ ปีตอนเปิดรับเด็กใหม่ถึงมีคนแห่กันไปสมัครเข้าร่วมนับหมื่น

หลังจากการเรียกขวัญกำลังใจผ่านพ้นไป เด็กใหม่ที่รู้จักความเก่งกาจของเมสสิยาห์แล้วจึงวางใจลงได้ แถมแววตาที่มองบุตรพระเจ้ายังคลั่งไคล้มากกว่าเดิม

เหตุการณ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่เมสสิยาห์เลย แม้กระทั่งเฮ่อเจี้ยนหลันกับคนอื่นๆ ก็เห็นกันมาจนชินตาแล้ว

 

[มีบุตรพระเจ้าอยู่ในดันเจี้ยนด้วยนี่ช่วยคลายกังวลได้ดีจริงๆ นะ!!]

[มีพลังฮีลติดตัวแบบนี้ สกิลแบบนี้นับเป็นหมีแพนด้ายักษ์ที่ล้ำค่ายิ่งกว่าร่างทรงเสียอีก]

 

ซับกระสุนเริ่มทอดถอนใจ

 

[เด็กใหม่ดันเจี้ยนนี้โชคดีจัง]

 

“เจ็ดโมงห้าสิบแล้ว เหลืออีกสิบนาที พวกเรารีบไปกันเถอะ”

แม้นาฬิกาในโรงอาหารจะบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ แต่ทางเดินของโรงพยาบาลจิตเวชกลับยังมืดอึมครึมเช่นเดิม

ทุกคนทยอยกันเดินออกมาพร้อมกับบรรยากาศรอบกายที่มีแต่ความกังวล มุ่งหน้าไปยังประตูเหล็กลงกลอนแน่นหนาบานนั้นทางทิศใต้ของชั้นหนึ่ง

ระยะทางไม่ไกลมาก แต่จิตใจของทุกคนกลับกระสับกระส่าย

เซิ่งอวี้เดินรั้งท้าย ข้างกายมีเฮ่อเจี้ยนหลันที่มีหน้าที่สอบถามรายละเอียดเหตุการณ์เมื่อคืนกับเขา

คงเป็นเพราะตกใจกับสภาพการตายอันน่าอนาถของเหยี่ยนจิ้งเมื่อคืน สีหน้าของเด็ก ม.ปลาย จึงย่ำแย่อย่างเห็นได้ชัด ขอบตาดำคล้ำแทบจะลามไปถึงแก้ม

ครั้นเห็นชายผมขาวหันหน้ามามอง ใบหน้าโทรมๆ ของเซิ่งอวี้ถึงมีรอยยิ้มที่ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย

เฮ่อเจี้ยนหลันหรี่ตาระแวดระวัง “นายรู้จักเขา?”

เซิ่งอวี้ตอบกลับอย่างใสซื่อ “ใช่ครับ นั่นพี่จิ่วของผม”

จงจิ่วเต็มไปด้วยเครื่องหมาย…ในใจ ก่อนจะเลิกสนใจเหตุการณ์ด้านหลังอีก

ในบรรดากลุ่มย่อยเฉพาะกิจที่เมสสิยาห์เป็นคนแบ่ง จงจิ่วเป็นคนเดียวที่ถูกแยกออกมา

เด็กเก่าที่อยู่ในกลุ่มย่อยเฉพาะกิจไม่เห็นหัวแรงก์ E อย่างเขา เพราะคนเหล่านั้นคิดว่าจงจิ่วไม่คู่ควรให้มาทำตัวเสมอภาคกัน

แต่เด็กเก่าที่ไม่ได้เข้าร่วมกลุ่มย่อยเฉพาะกิจนี้กลับหมั่นไส้จงจิ่วยิ่งกว่า คิดว่ายังไงตัวเองก็ต้องเก่งกว่าแรงก์ E อย่างเขา อยากเข้ามาอยู่ในกลุ่มแทนที่เขาจนตัวสั่น

ส่วนเด็กใหม่ที่เหลือเห็นได้ชัดยิ่งกว่านั้น ทั้งๆ ที่แรงก์ต่ำเหมือนๆ กัน แต่ทำไมจงจิ่วถึงเข้าไปอยู่ในกลุ่มย่อยเฉพาะกิจได้ ไม่ใช่แค่เข้าไปอยู่ในนั้นได้อย่างเดียว แต่เขายังกอดแข้งกอดขาบุตรพระเจ้าได้อีกต่างหาก ในช่วงเวลาที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายเช่นนี้ มีเด็กใหม่คนไหนบ้างไม่อิจฉา

ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ มีโอกาสสูงมากที่จงจิ่วจะกลายเป็นตัวรับกระสุนที่ไม่มีใครสนใจไยดี แล้วไหนจะเฮ่อเจี้ยนหลันที่ตั้งท่าระแวงเขาตลอดเวลานั่นอีก

อย่างเช่นเช้าวันนี้หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ จงจิ่วเดินไปหาเบาะแสในห้องพักผู้ป่วย อีกฝ่ายก็ทำตัวลับๆ ล่อๆ เดินตามหลังเขามา พยายามจะหาหลักฐานมัดตัวให้ได้ว่าเขาเป็น Imposter

จงจิ่วรู้สึกไม่แฟร์กับตัวเอง ทั้งที่เขายังไม่ได้ทำอะไร แต่กลับถูกแรงก์ B เขม่นเสียอย่างนั้น และมันน่าหงุดหงิดยิ่งกว่าเมื่อเฮ่อเจี้ยนหลันคนนี้ดันสนิทสนมกับคนในกลุ่มย่อยเป็นอย่างดี เด็กฝึกคนอื่นๆ เลยพลอยมองเขาด้วยแววตาดูถูกไปตามๆ กัน แถมยังมีใครคนหนึ่งในนั้นที่คำว่าอิจฉาแทบจะแปะชัดบนใบหน้า

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ มันกลับลงล็อกตามที่จงจิ่วปรารถนาพอดี

แม้การรวมกลุ่มกันทำภารกิจจะมีข้อดี แต่มันก็มีข้อเสียเช่นกัน และการที่จงจิ่วเข้ามาอยู่ในกลุ่มก็ทำให้เขาได้เบาะแสที่ตัวเองต้องการเกือบครบแล้ว หลังจากนี้ถ้าหากไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น การจะเผ่นออกจากกลุ่มก็เป็นความคิดที่ดี

ในตอนที่เขามีความคิดเช่นนั้น หัวหน้าพยาบาลก็หยิบยื่นโอกาสมาให้เขาพอดี

ในสายตาของคนอื่นๆ จูเก่ออั้นฉลาดหลักแหลมไหวพริบดี เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ไม่ชอบทำตามคำสั่งใคร มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็น Imposter

แต่สำหรับจงจิ่ว จูเก่ออั้นกลับเป็นคนแรกที่ควรตัดออกจากการตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการเป็น Imposter มากที่สุดในโรงพยาบาลจิตเวชแห่งนี้

ที่จงจิ่วคิดเช่นนี้ก็ต้องขอบคุณเนื้อหาในนิยาย

นิยายใช้การบรรยายแบบบุคคลที่สาม และตอนที่นักเขียนพูดถึงเรื่องการ์ดตัวละครก็เปลี่ยนมาเป็นมุมมองของจูเก่ออั้นพอดี

ดังนั้นจงจิ่วจึงรู้ว่าการ์ดตัวละครที่จูเก่ออั้นได้เป็นแค่การ์ดตัวละครธรรมดา ไม่มีอะไรแอบแฝง

คิดไม่ถึงกันล่ะสิ จูเก่ออั้นที่ดูเหมือนจะเป็น Imposter มากที่สุดกลับบริสุทธิ์ผุดผ่องไร้มลทิน!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เมสสิยาห์ที่เดินอยู่หน้าสุดก็เดินไปถึงหน้าประตูเหล็กบานนั้นพอดี

ประตูยังถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนาเช่นเคย ไม่ได้ยินเสียงจากด้านในเลยด้วยซ้ำ

บุตรพระเจ้าผมบลอนด์ส่งสายตาให้ร่างทรงแรงก์ B ที่อยู่ซ้ายมือตัวเอง ฝ่ายนั้นเข้าใจทันทีจึงรีบหลับตาลง ไม่นานก็ลืมตาขึ้นแล้วพยักหน้าให้เมสสิยาห์พร้อมกับคำตอบในเชิงบวก

เมสสิยาห์สีหน้าผ่อนคลาย “เคาะประตูเถอะ ไม่มีอันตราย”

ฉินเหยี่ยก้าวขึ้นไปข้างหน้าเตรียมจะเคาะประตู แต่จู่ๆ ประตูกลับส่งเสียง ‘แอ๊ด’ ขึ้นมาเสียก่อน

ประตูเหล็กบานหนาและหนักเปิดออกมาเองจากข้างใน

ฉินเหยี่ยขยับตัวอย่างว่องไว ชั่วขณะที่ประตูเหล็กมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ เขาก็รีบถอยหลังตั้งท่าระแวดระวังทันที

ไม่ใช่แค่ฉินเหยี่ย แต่เด็กเก่าที่ยืนอยู่แถวแรกก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน

ข้างในว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ และไม่มีภาพน่าสยดสยองในแบบที่พวกเขาคิดเอาไว้

มันเป็นห้องผ่าตัดที่ดูแล้วเก่ามากๆ ห้องหนึ่ง

ส่วนทำไมถึงรู้ว่าห้องนี้เป็นห้องผ่าตัดน่ะเหรอ นั่นก็เพราะกลางห้องมีเตียงผ่าตัดเก่าๆ ซึ่งทำจากไม้ตั้งอยู่หลังหนึ่ง ตะเกียงส่องสว่างบนเตียงตัวนั้นคือแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้ ถาดบนพนักแขนมีคีมคีบ คีมห้ามเลือด มีดผ่าตัด และก้อนสำลีสกปรกๆ วางอยู่

แม้จะไม่มีภาพน่าสยดสยองให้เห็น แต่ห้องผ่าตัดห้องนี้ก็ยังชวนให้รู้สึกขนลุกขนชัน

นั่นก็เพราะอุปกรณ์ผ่าตัดเก่าๆ พวกนั้นมีร่องรอยของการถูกใช้งานโดยเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเลือดสีดำแห้งกรัง ในถังขยะยังไม่รู้ว่าโยนสารผสมอะไรทิ้งลงไปบ้างจนกลายเป็นสีแดงเถือก

นอกจากเตียงผ่าตัดไม้แล้ว ตรงมุมกำแพงยังมีเก้าอี้ไฟฟ้าที่มีเชือกมัดอยู่เต็มไปหมดตั้งอยู่ ส่วนด้านข้างคือสายไฟระโยงระยาง

ตู้เหล็กเก่าๆ สีทองแดงตั้งชิดผนัง หลังกระจกสีชาสกปรกคือของจิปาถะที่ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง เด็กใหม่คนหนึ่งที่เพ่งมองตรงนั้นให้ชัดๆ แล้วเห็นว่ามันคือกะโหลกศีรษะเหี่ยวย่นก็เกือบได้ร้องแหกปากออกมา

“น่าจะเป็นศพที่ผ่านการแช่ฟอร์มาลินมาแล้ว” เมสสิยาห์เอ่ย

จงจิ่วจ้องดูกะโหลกศีรษะชิ้นนั้น นิ่งงันด้วยความสนใจ และสังเกตเห็นว่ามันมีจุดที่น่าสงสัยอยู่

ทั้งๆ ที่กะโหลกศีรษะชิ้นนั้นถูกวางทิ้งไว้มานานมากจนกลายเป็นสีเหลืองคล้ำ

ทว่าดวงตาคู่นั้นไม่ใช่แค่ดูมีชีวิต พอเข้าไปมองใกล้ๆ กลับเห็นว่ายังมีเส้นเลือดสีเขียวอยู่ด้วย

มันคือดวงตาที่เพิ่งควักออกมาได้ไม่นาน แม้กระทั่งจุดที่บอบบางที่สุดยังอยู่ในสภาพดีไม่มีอะไรเสียหาย เรียกได้ว่าฝีมือล้ำเลิศไร้ที่ติ

ใครกันที่เอาตาคนเป็นๆ มาใส่ในเบ้าตาของคนตาย

จงจิ่วหรี่ตา หันมองเด็กใหม่ด้านหลังที่ตกใจจนขาสั่นระริก รู้สึกเห็นใจจึงไม่พูดความจริงออกไป

เขาเกิดมาก็ไม่ค่อยมีอารมณ์ความรู้สึก กระนั้นก็ยังปรับตัวได้เป็นอย่างดี ถึงขนาดมีอารมณ์หันมองสำรวจตัวอย่างทางชีวภาพชิ้นอื่นที่วางเรียงรายอยู่ในตู้

ของที่วางอยู่ในตู้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน มันแทบจะเหมือนกันหมดทุกอย่าง ถ้าไม่ใช่อวัยวะแปลกๆ ของมนุษย์ก็เป็นศีรษะรูปทรงต่างๆ

หมอฉู่แห่งโรงพยาบาลจิตเวชนี้ คงไม่ใช่พวกชอบเก็บสะสมอวัยวะมนุษย์หรอกนะ?

ในขณะที่จงจิ่วกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเด็กใหม่คนหนึ่งหวีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา

“อ๊ากกกกก มันขยับ เมื่อกี้มันขยับ!

ตรงนั้น ตัวอย่างตรงนั้น เมื่อกี้ตามันขยับ!”

เด็กเก่าที่สำรวจห้องผ่าตัดนี้อยู่พากันขมวดคิ้ว ไม่คิดจะสนใจ

เมื่อครู่ร่างทรงยืนยันแล้วว่าหลังประตูเหล็กไม่มีสิ่งลี้ลับของสกปรก หรือต่อให้มี ร่างทรงที่ยืนอยู่ใกล้ขนาดนั้นไม่มีทางที่จะไม่รับรู้ถึงอะไรแปลกๆ

กลับกลายเป็นว่ามีเด็กใหม่อีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาด้วยความหงุดหงิดว่า “ขยับยังไง ทุกคนกลัวกันจะตายอยู่แล้ว ตอนนี้นายยังมาพูดให้ตกใจอีก…”

แต่เขายังพูดไม่ทันจบก็เงียบไปเสียดื้อๆ

เพราะจู่ๆ นัยน์ตาสีดำของชิ้นส่วนศีรษะชิ้นนั้นก็หายไป เผยให้เห็นแค่นัยน์ตาขาวซีดที่กำลังมองตรงมาที่เขา

เด็กใหม่คนนั้นตกใจจนล้มก้นกระแทกพื้น

เห็นได้ชัดว่าเป็นเหตุการณ์ที่น่ากลัว แต่เด็กเก่ากลับเมินเฉย

เพราะแววตาคลั่งไคล้ของพวกเขาพร้อมใจกันจ้องเขม็งไปที่จุดจุดหนึ่ง

อีกด้านหนึ่งของเตียงผ่าตัด ในดวงตาของเด็กฝึกทุกคนมีแสงสว่างวูบหนึ่งวาบผ่าน ก่อนปรากฏเป็นตัวอักษร S เล็กๆ ให้เห็นรางๆ

นั่นมันไอเทมพิเศษแรงก์ S อันแสนล้ำค่า!

 

* บั๊ก (BUG) หมายถึงข้อผิดพลาด จุดบกพร่อง หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในโปรแกรม

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: