X
    Categories: ทดลองอ่านทั่นฮวาในดวงใจมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ทั่นฮวาในดวงใจ บทที่หนึ่ง

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่หนึ่ง

 เด็ก…เด็กเสียจนน่าตกใจ เด็กอายุน้อยเพียงนี้กลับสามารถสอบผ่านระดับเตี้ยนซื่อ ได้ด้วยความเรียงอันโดดเด่น ย่อมต้องมีดีเป็นแน่ ต่อไปจะต้องเป็นเสาหลักของบ้านเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย! ทีนี้ราชสำนักก็มีความหวังแล้ว มีความหวังอย่างยิ่ง!

เนี่ยชังหมิงรู้สึกยินดีปรีดา ใบหน้าผ่องใสขณะช่วยประคองเด็กหนุ่มที่คำนับตนอย่างนอบน้อมขึ้นมา พลางครุ่นคิดสะระตะอยู่ในใจว่าจะเอาเด็กคนนี้มาไว้ข้างกายอย่างไรให้แนบเนียน เด็กอายุเพียงแค่นี้จะได้ไม่ริอ่านฉ้อราษฎร์บังหลวงเลียนแบบผู้อื่น แล้วกลายเป็นภัยร้ายของราชสำนักไปแทน

จะรับเด็กคนนี้เป็นน้องบุญธรรมก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น…

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น แล้วพลันคลี่ยิ้มให้เขา

ยามนั้นเอง ราวกับฟ้าใสครามเกิดอสนีบาตขึ้นมาในบัดดล แล้วผ่าเปรี้ยงลงกลางความคิดของเขา

“ท่านผู้บัญชาการเนี่ย” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มค่อนข้างไร้เดียงสา ไม่ได้ล่วงรู้ถึงความตกตะลึงของเขาแม้แต่น้อย “กล่าวกันว่าท่านผู้บัญชาการเก่งกาจทั้งที่ยังหนุ่ม อายุเพิ่งจะยี่สิบกว่าก็รั้งตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายทัพซ้ายของกองบัญชาการมณฑลทหารห้าเขต ซ้ำยังได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์! ปีนี้ผู้น้อยอายุสิบแปด อ่อนกว่าท่านผู้บัญชาการหลายปี หากไม่รังเกียจ จากนี้ไปขอเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ได้หรือไม่”

แม้ว่าเนี่ยชังหมิงจะยังรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้า แต่ก็ยกแขนเสื้อขึ้นขยี้ตาโดยไม่รู้ตัว

“อากาศร้อน เหงื่อเลยออกเยอะ” เด็กหนุ่มเข้าใจผิดคิดว่าเขาเช็ดเหงื่อ จากนั้นก็สาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นอีกก้าว นัยน์ตาสีดำสุกใสกะพริบช้าๆ สองครั้ง ก่อนที่ร่างจะพลันอ่อนยวบเซล้มเข้ามาปะทะอกเขา

เนี่ยชังหมิงกอดอีกฝ่ายไม่ให้ล้มตามสัญชาตญาณ พอจะถามว่าเป็นอะไรมากหรือไม่ อากาศร้อนจนเป็นลมหรือไร ก็พลันสัมผัสได้ว่าร่างในวงแขนนุ่มนิ่มบอบบาง ราวกับหากโดนบีบแรงหน่อยจะแหลกสลายได้กระนั้น…

หัวใจของเขาเต้นโครมทีหนึ่ง พอเห็นขันทีที่อยู่อีกด้านมองมาทางนี้ด้วยสายตาไม่ชอบมาพากล เขาก็รีบปล่อยมือทันที เด็กหนุ่มไม่ทันตั้งตัวว่าอยู่ๆ เขาจะชักมือกลับ จึงทำท่าจะล้มลงไปบนพื้น เขาเห็นแล้วสงสาร เลยยื่นมือไปยึดท่อนแขนผอมบางนั้นเอาไว้ไม่ให้เจ้าตัวล้ม

“ขอบคุณท่านผู้บัญชาการ” เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างอ่อนแรง รอยยิ้มซาบซึ้งวาดอยู่บนเรียวปาก “ท่านว่าหากข้าหมดสติไป ก็ไม่ต้องไปร่วมงานเลี้ยงฉยงหลิน แล้วใช่หรือไม่”

ดวงหน้าขาวราวกับหิมะเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก แม้แต่ริมฝีปากก็ซีดเผือด ท่าทางเหมือนพร้อมจะหมดสติล้มพับไปได้ทุกเมื่อ ในสายตาผู้อื่น เด็กคนนี้เป็นพวกอ่อนแอไม่ได้ความ แต่เขากลับมองว่าเป็นเด็กที่ค่อนข้างอันตรายทีเดียว

“ต่อให้หมดสติก็ยังจะมีคนหามเจ้าไปร่วมงานเลี้ยงฉยงหลินอยู่ดี” เนี่ยชังหมิงทำลายความหวังอีกฝ่ายให้แตกเป็นเสี่ยง พอเห็นรอยยิ้มไร้เดียงสาที่ยังอยู่บนใบหน้าเด็กหนุ่มอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ความกังขาก็ผุดขึ้นมาในใจ

รอยยิ้มเช่นนี้ช่างคุ้นตาเหลือเกิน…คุ้นจนเหมือนเขาเห็นจากที่ใดอยู่ตลอดเวลา เขาเชื่อว่าตนเองเห็นใครแล้วไม่มีทางลืม โดยเฉพาะกับคนเก่งจะยิ่งจดจำได้แม่นยำเป็นพิเศษ ใบหน้าของเด็กคนนี้ไม่ติดอยู่ในความทรงจำเลยแม้แต่นิดเดียว แต่เขากลับรู้สึกเหมือนรู้จักรอยยิ้มนี้

“เจ้า…เป็นทั่นฮวาจริงๆ น่ะหรือ” เขาถามขึ้น

“จริงแท้แน่นอนขอรับ” เด็กหนุ่มเดาได้อยู่แล้วว่าเขาต้องไม่เชื่อ จึงโอ้อวดตนอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย “องค์จักรพรรดิทรงเล็งเห็นแวว ข้าจึงได้รับคัดเลือกให้เป็นทั่นฮวา ดำรงตำแหน่งอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิต ไม่แน่ว่าในอนาคต ข้าอาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกคนที่จะเข้าไปอยู่ในสภาขุนนางก็เป็นได้”

เนี่ยชังหมิงขำพรืด “ช่างสำคัญตัวเหลือเกินนะ”

“ที่สำคัญตัวก็เพราะว่าข้าฉลาด หากท่านผู้บัญชาการยอมให้ข้าอยู่ด้วย จะเป็นผลดีต่อท่านในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน”

“ยอมให้เจ้าอยู่ด้วย?”

“ถูกต้อง ก่อนจะเข้าสอบ ข้าได้ยินคนเขาพูดกันว่าราชสำนักให้เบี้ยหวัดน้อยนัก บัณฑิตต่างเมืองที่สอบได้จะต้องอยู่โรงเตี๊ยมในเมืองหลวง ค่าเช่าแต่ละเดือนไม่ใช่น้อย จะกินจะใช้ต้องกระเบียดกระเสียร เพราะเหตุนี้ท่านผู้บัญชาการจึงแบ่งจวนของตัวเองให้บัณฑิตที่สอบได้เช่าอยู่โดยเฉพาะ เก็บค่าเช่าถูกแสนถูก ดังนั้นจึงใคร่ขอให้ท่านผู้บัญชาการเก็บห้องไว้ให้ผู้น้อยสักห้อง” พูดจบก็คำนับเขาอีก

เนี่ยชังหมิงมองฝ่ายตรงข้ามเขม็งอยู่สักพัก ก่อนจะเปรยขึ้นเนิบๆ “เจ้ารู้เรื่องของข้าดีทีเดียวนะ”

“ที่ถูกควรบอกว่าข้าเลื่อมใสในตัวท่านผู้บัญชาการอย่างมากต่างหาก จึงสนอกสนใจข่าวลือเกี่ยวกับท่านเป็นพิเศษ” เด็กหนุ่มยิ้มตามเคย

รอยยิ้มเช่นนี้เห็นแล้วช่างหงุดหงิดนัก! เขาเคยเห็นยิ้มใสซื่อที่แสนจอมปลอมแบบนี้จากที่ใดกันนะ ตระกูลเขามีพี่น้องบุรุษมากมาย แต่ละคนนิสัยต่างกัน แต่ไม่มีใครยิ้มได้ประจ๋อประแจ๋เหมือนเด็กนี่เลยสักคน

“อาจารย์ของเจ้าอยู่ที่ใด ตามหลักเจ้าควรอยู่กับอาจารย์มากกว่า”

“อาจารย์ของข้าก็อยู่ข้างหลังท่านอย่างไรเล่า เห็นหรือไม่ อาจารย์กำลังยุ่งอยู่กับการแสดงความยินดีแก่จ้วงหยวน หากข้าหาที่พักได้ อาจารย์มีแต่จะดีใจล่ะไม่ว่า ท่านผู้บัญชาการวางใจได้เลย”

“ใต้เท้าอู๋?” เขาเหลือบตามองไป เห็นว่าเป็นผู้คุมสอบปีนี้ เดิมทีเขานึกว่าวันนี้มีเรื่องให้แปลกใจมากพอจนไม่มีอะไรทำให้เขาแปลกใจได้มากกว่านี้แล้วเสียอีก ทว่าเด็กหนุ่มยังโยนเรื่องน่าตกใจใส่เขาระลอกแล้วระลอกเล่า “เจ้า…คือถานเสวียนอวี้หรอกหรือ”

“ข้านี่ล่ะถานเสวียนอวี้ ชื่อรองอู่ฟู คนรู้จักเรียกข้าว่าอู่ฟูกันทุกคน ท่านพี่ผู้บัญชาการ ทีนี้ท่านเองก็โปรดเรียกข้าว่าอู่ฟูเถิดนะ” เด็กหนุ่มตอบยิ้มๆ

เป็นคนผู้นี้จริงด้วย!

แต่ก่อนใต้เท้าอู๋เคยพูดให้ฟังว่าถานเสวียนอวี้เฉลียวฉลาด มีความรู้แตกฉานเหนือคนทั่วไป หากไม่มีเหตุผิดพลาด จะต้องได้ตำแหน่งจ้วงหยวนปีนี้มาครองอย่างแน่นอน! แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงกลายเป็นทั่นฮวาไปเสียได้ แต่…น่าโมโหนัก!

คนเก่งๆ แบบนี้เหตุใดถึงได้…เป็นสตรีเสียเล่า!

เขาอยากให้ตนเองมองผิดไปเหลือเกิน แต่ตัวเขาเองดันมองคนเก่งมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นแม่นางน้อยชัดๆ ไฉนใต้เท้าอู๋ถึงได้ดูไม่ออก

แล้วแม่นางน้อยผู้หนึ่งสอบได้ตำแหน่งทั่นฮวาได้อย่างไรกัน หากฉลาดมากจริงจะรนหาที่ตายด้วยการมาสอบทำไม! อย่าลืมเสียล่ะว่ากว่าจะเข้าสอบระดับสูงสุดได้จะต้องผ่านสนามสอบใหญ่น้อยมาไม่รู้กี่ครั้ง นางต้องตรากตรำเล่าเรียนมาสักกี่ปีกัน ถึงสอบได้เป็นทั่นฮวาแล้วอย่างไรเล่า นึกหรือว่าจักรพรรดิจะยอมให้นางปลอมตัวเป็นชายมารับตำแหน่งขุนนางจริงๆ

วันใดวันหนึ่งเกิดความแตกขึ้นมาว่านางเป็นหญิง จะโทษฐานล้อเล่นกับราชสำนักหรือโทษฐานปิดบังเบื้องสูงก็ล้วนแต่ต้องตายสถานเดียวเท่านั้น นางผู้นี้ปัญญาอ่อนไปแล้วหรือไร

“ตกลงตามนี้แล้วกัน ท่านพี่ผู้บัญชาการ รบกวนท่านช่วยเก็บห้องไว้ให้ข้าสักห้องด้วยนะ”

“เหลวไหล!”

“ข้าเหลวไหลตรงไหน” เด็กหนุ่มถามอย่างไร้เดียงสา

“เจ้า…” คำพูดแล่นมาถึงริมฝีปากก็ย้อนกลับลงคอไปใหม่ ในใจคิดว่าหากเปิดโปงนางเสียตอนนี้ นางจะต้องถูกประหารอย่างไม่ต้องสงสัย หากไม่เปิดโปง ปล่อยให้นางไปพักที่โรงเตี๊ยม มากคนมากปาก เกิดพลั้งเผลอให้ใครจับได้ว่านางเพศใด ผู้คนคงจะหัวเราะขันว่าจักรพรรดิตาไร้แววถึงได้แต่งตั้งสตรีเป็นขุนนาง แต่…หากให้นางไปพักที่จวน ต่อไปเขาย่อมไม่แคล้วจะเดือดร้อนไปด้วย…

“งานเลี้ยงฉยงหลินกำลังจะเริ่มแล้ว เห็นทีคงคุยกับท่านผู้บัญชาการต่อไม่ได้” เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มอวดฟันขาว แล้วประสานมือคำนับเขาอย่างได้คืบจะเอาศอก “อีกเดี๋ยวข้าจะขอให้กงกงส่งคนไปเอาห่อสัมภาระของข้าจากโรงเตี๊ยมไปไว้ที่คฤหาสน์สกุลเนี่ย ต่อจากนี้ก็ต้องขอให้ท่านพี่ผู้บัญชาการช่วยชี้แนะให้มากๆ นะขอรับ”

เนี่ยชังหมิงเม้มปาก มองนางเดินจากไปพร้อมบัณฑิตที่สอบได้คนอื่นๆ

“ช่างลื่นไหลจนน่ารังเกียจ…” เขาพึมพำ รู้อยู่แก่ใจว่าถึงอย่างไรก็ต้องให้นางอยู่ด้วย ตนเองเดือดร้อนก็ยังดีกว่าปล่อยให้จักรพรรดิขายหน้า ตั้งแต่เข้ารับราชการจนถึงวันนี้ ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่า ‘น้ำท่วมปาก’ หมายความว่าอย่างไร!

“เจวี๋ยเหยีย ก็รังเกียจใครเป็นด้วยหรือนี่” ขุนนางราชสำนักผู้หนึ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างกายเขาพลางเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ

เนี่ยชังหมิงหันไปมองแล้วคลี่ยิ้มบางๆ ตามความเคยชิน “ใต้เท้าจางหูฝาดแล้วล่ะ ผู้น้อยพูดว่าการสอบเคอจวี่ปีนี้ผ่านไปได้อย่างลื่นไหลต่างหาก”

“อย่างนี้นี่เอง ข้าก็คิดอยู่แล้ว เจวี๋ยเหยียอารมณ์เย็นออกอย่างนี้จะโมโหใครได้” พูดถึงตรงนี้ก็ลดเสียงลง “ถานเสี่ยนย่าจ้วงหยวนปีนี้อายุเท่าเจวี๋ยเหยียนี่ล่ะ อีกไม่กี่วันจะเข้าทำงานในสำนักราชบัณฑิต อนาคตรุ่งโรจน์ทีเดียว ดูเหมือนใต้เท้าอู๋จะอยากยกธิดาให้ตบแต่งด้วย”

“ข้านึกว่าคนที่ใต้เท้าอู๋ถูกใจคือทั่นฮวาเสียอีก”

“เจ้าหมายถึงถานเสวียนอวี้น่ะหรือ” ใต้เท้าจางเข้าใจทันที “เมื่อครู่เห็นเจ้าคุยกับเขาอยู่ คิดว่าคนผู้นี้เป็นอย่างไรบ้างเล่า”

“หน้าตางดงาม อายุยังไม่ถึงยี่สิบ ต่อไปจะต้องเป็นเสาค้ำจุนราชสำนักได้อย่างแน่นอน” เขาตอบกำกวม

ใต้เท้าจางหัวเราะเบาๆ “หน้าตาดีจริงๆ นั่นล่ะ แต่ทำอะไรไม่รู้กาลเทศะเอาเสียเลย เมื่อครู่ตอนคุกเข่าถวายคำนับเบื้องพระพักตร์ เขาลนลานเสียจนเกือบลมจับ พูดจาไม่รู้เรื่อง ทำให้องค์จักรพรรดิทรงหงุดหงิด แต่เขาดันเขียนความเรียงได้ดีเยี่ยม หากไม่แก้นิสัยขี้ตื่นเหมือนหนูนี่ล่ะก็ ต่อไปจะ ‘ทำงาน’ ให้เราได้อย่างไรเล่า ถ้าเขากล้าหาญกว่านี้สักนิด ลูกเขยที่ใต้เท้าอู๋หมายตาไว้คงไม่ใช่ถานเสี่ยนย่าหรอก” นิ่งไปครู่หนึ่งก็พูดต่อด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ “จริงสิเนี่ยเจวี๋ยเหยีย องค์จักรพรรดิทรงโปรดนักพรต บ้านเกิดข้ามีนักพรตผู้หนึ่งเก่งกาจอย่างยิ่ง ไว้อีกสักพักข้าจะให้เขาเข้าเมืองหลวง เจวี๋ยเหยียยินดีจะไปรับรองเขาเบื้องพระพักตร์ด้วยกันหรือไม่ ต่อไปเมื่อมีคนผู้นี้เป็นสะพาน พวกเราจะได้ผลประโยชน์นับไม่ถ้วนกันเลยทีเดียว”

เส้นเลือดบนท่อนแขนใต้แขนเสื้อกระตุกน้อยๆ เขาเอามือไพล่หลัง ใบหน้าอ่อนเยาว์สว่างไสว ขณะพยักหน้ารับคำยิ้มๆ

“ใต้เท้าว่าอย่างไร ผู้น้อยก็ทำตามนั้น ขอเพียงใต้เท้าช่วยสนับสนุนในทางการงาน แค่ช่วยพูดเบื้องพระพักตร์ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

ใต้เท้าจางเงยหน้ามอง แต่เดิมตั้งใจว่าจะเอ่ยชมที่เขารู้ความ แต่พอเห็นรอยยิ้มนั้นก็พลันอุทานว่า “พวกเจ้าเหมือนกันเหลือเกิน”

“เหมือนกัน?” แม้จะประหลาดใจ รอยยิ้มบางๆ ก็ยังไม่เลือนหายไปจากใบหน้าของเนี่ยชังหมิง “เหมือนใครขอรับ”

“เหมือนทั่นฮวานั่นอย่างไรเล่า รอยยิ้มของพวกเจ้าเหมือนกันจริงๆ”

เขาผงะไปเล็กน้อย

“ข้าไม่เหมือนคนผู้นั้นแม้แต่นิดเดียว” ดวงหน้านางสะอาดสะอ้านชวนพิศ เป็นได้ทั้งบุรุษและสตรี ผิดกับเขา แม้จะเพิ่งอายุยี่สิบสาม แต่ก็ดูสุขุมเคร่งขรึมเกินวัย

ใต้เท้าจางยิ่งมองยิ่งนึกสนุก จึงหัวเราะออกมาว่า “พวกเจ้าสองคนหน้าตาไม่คล้ายกันก็จริง แต่พอยิ้มเท่านั้นล่ะ รอยยิ้มเหมือนกันมาก มิน่าตอนข้าเห็นเขาครั้งแรกถึงได้รู้สึกคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ที่แท้ก็เหมือนเจ้านี่เอง! ฮ่าๆ…บ้านเจ้าพี่น้องบุรุษเยอะ อย่าบอกนะว่าเขาเป็นน้องชายที่พลัดพรากไปนานปีของเจ้า”

ชายสูงวัยพูดขันๆ เนี่ยชังหมิงเองก็ยิ้มตามไปด้วย

ที่แท้รอยยิ้มคุ้นตานั่นก็เห็นบ่อยๆ จากตัวเขาเอง มิน่าถึงได้ดูน่าโมโหขนาดนี้

มีใบหน้าซื่อๆ ไร้พิษสง แต่เนื้อในกลับเต็มไปด้วยเล่ห์กระเท่ห์ คนประเภทนี้ล่ะที่ควรระวังที่สุด แต่นี่เขาต้องให้นางมาอยู่ร่วมชายคา น่ากลัวว่าต่อไปคนที่ต้องลำบากก็คือเขานี่ล่ะ

สงสัยแค่อย่างเดียว เหตุใดนางถึงจงใจมาหาเขา

“ตกลงตามนี้ล่ะนะ หากสำเร็จ รับรองว่าเจ้าจะต้องได้ผลประโยชน์แน่” ใต้เท้าจางเดินจากไปอย่างพึงพอใจเมื่อพูดจบ

ชายหนุ่มหรี่ตามองตามพลางพึมพำกับตัวเอง “คานบนคดเสียอย่าง คานล่างจะตรงได้อย่างไรกัน”

ราชสำนักมีขุนนางโลภโมโทสันตั้งแต่ระดับสูงจนถึงระดับล่างชุกชุมราวกับมด นับกันไม่หวาดไม่ไหว ตอนแรกได้ยินใต้เท้าอู๋พูดถึงถานเสวียนอวี้ว่าเป็นคนเก่ง เขาจึงได้เตรียมห้องหับในคฤหาสน์สกุลเนี่ยไว้ล่วงหน้าโดยไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากขออาศัย เพื่อจะได้ชิงซื้อใจไว้ก่อน ที่ไหนได้ นางกลับกลายเป็นหนามแหลมที่อาจแทงเขาได้ทุกเมื่อ

เฮ้อ! ความฝันสวยหรูสลายกลายเป็นอากาศ ราชสำนักเช่นนี้ อาศัยกำลังเขาแค่คนเดียวจะช่วยฟื้นฟูได้อย่างไร

“เนี่ยชังหมิง ปีนี้อายุยี่สิบสาม มีพี่น้องสิบสองคน นิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบาย ยืมมีดฆ่าคนเก่งนัก ต้องระวังให้มาก”

หลังพึมพำอ่านข้อความในกระดาษ แล้วนึกถึงปฏิกิริยาของเขายามพบกันเมื่อตอนกลางวันขึ้นมาได้ จึงหยิบพู่กันมาบันทึกลงไปว่า

 

‘คนผู้นี้ยึดชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ระหว่างชาติบ้านเมืองกับสหายย่อมต้องเลือกอย่างแรก ต่อให้สนิทสนมกัน ก็ต้องคอยระวังว่าเขาจะทรยศสหายเพื่อชาติ’

 

ถานอู่ฟูเป่าหมึกบนกระดาษให้แห้ง แล้วยิ้มเยาะตัวเอง “ที่พึ่งแบบนี้ไม่มั่นคงเลยสักนิด จะทำร้ายเราถึงตายเมื่อไรก็ไม่รู้ แม้อยากจะเขียนคำสั่งเสียยังไม่ทันด้วยกระมัง”

ใต้แสงเทียนเหลืองหม่น เรือนผมยาวเหยียดสยายอยู่บนแผ่นหลัง แม้จะไม่ได้เจาะหู แต่ผิวขาวเนียนละเอียดกับอิริยาบถผ่อนคลายก็ฟ้องความนุ่มนวลแบบอิสตรีออกมาให้เห็นอยู่บ้าง

โชคดีที่ราชสำนักในยุคนี้เริงโลกีย์เหลวแหลก ชนชั้นสูงและสามัญชนต่างพากันเอาเยี่ยงอย่างด้วยการปล่อยตัวทางกามา อ้างความรักบังหน้า แท้ที่จริงคือสนองตัณหา ผู้คนพนันขันต่อกันว่าลูกชายบ้านใดจะเกิดมาหน้าตางดงามที่สุด ดังนั้นจึงมีข่าวมาให้ได้ยินว่าชนชั้นสูงเชยชมหญิงนับร้อยในคืนเดียว ตอนได้ฟังเรื่องนี้เป็นครั้งแรก นางรู้สึกสะอิดสะเอียนสิ้นดี นึกไม่ถึงว่าค่านิยมนี้จะมีประโยชน์ต่อตัวเอง ไม่มีใครนึกสงสัยที่นางหน้าตากระเดียดไปทางสตรี คิดกันแค่ว่ายุคนี้มีเด็กหนุ่มหน้าตาท่าทางนุ่มนิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกที

นางม้วนกระดาษไปเก็บไว้บนตู้หนังสือ พอยกมือป้องปากหาว ท้องก็พลันส่งเสียงร้องจ๊อก

“แย่แล้ว…” นางโอดครวญ

ค่าเช่าห้องคฤหาสน์สกุลเนี่ยถูกแสนถูก แต่มีบ่าวแค่คนเดียวซึ่งต้องใช้ร่วมกับคนอื่น พอตกค่ำจึงต้องลงมือทำเองทุกอย่าง

ไม่รู้ว่าในโรงครัวจะมีอาหารเหลืออยู่บ้างหรือไม่

นางคิดอยู่สักพักก็มัดผม แต่คร้านจะใช้ผ้ารัดอก นางเพิ่งจะอายุสิบแปด เป็นเด็กโตช้า หากลมไม่พัดแรงจริงๆ ไม่น่าจะมีใครมองเห็นสัดส่วนที่นูนขึ้นมาตรงอก แม้รู้ดีว่านิสัยขี้เกียจนี้จะนำภัยมาให้ตัวเองในสักวัน แต่ก็เป็นสันดานที่แก้ไขได้ยากยิ่ง

“ยุ่งมาทั้งวัน เหนื่อยเหลือเกิน แต่กลับมาหิวเอาตอนนี้ เจ้าท้องนี่มันไม่ได้ความเลยจริงๆ” นางบ่นงึมงำพลางผลักประตูเดินออกจากห้อง ก่อนจะทำไหล่ห่อเมื่อลมเย็นพัดเข้ามากระทบร่าง

ตอนมาถึงที่นี่ นางจำแค่ห้องตัวเอง บ่าวที่นำทางไม่ได้พาผู้เช่าไปดูเรือนอื่นๆ ในคฤหาสน์สกุลเนี่ย นางปรือตาพึมพำ

“โรงครัวอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ เอาเป็นว่าจะเดินไปสักร้อยก้าวแล้วกัน” นางอมยิ้ม สาวเท้าเดินก้าวแล้วก้าวเล่า

ยามนี้ดวงจันทร์ลอยแจ่มอยู่กลางฟ้า นางอาศัยแสงจันทร์ส่องสว่างเดินไปทางตะวันออก

“หนึ่งสองสามสี่ห้า ไร้ทีท่าแม้สักนิด หกเจ็ดแปดเก้าสิบ ยังไม่เห็นเงาของกิน! เฮ้อ อย่าเดินให้เสียเที่ยวดีกว่า” นางเดินๆ หยุดๆ ไร้อารมณ์จะชมจันทร์ ได้แต่ก้มหน้านับก้าวไปเรื่อยๆ

“ก้าวที่เก้าสิบเจ็ด เฮ้อ แม้แต่เงาคนยังไม่มี ทีนี้ได้หิวท้องกิ่วจริงๆ แน่! เก้าสิบแปด…เก้าสิบเก้า…หนึ่งร้อย…” ปลายเท้าเดินลอดซุ้มประตูเข้ามาหยุดลงด้านในพอดี จากนั้นก็ไม่ยอมเดินต่อแม้แต่ก้าวเดียว

ทันใดนั้น…

“ใครน่ะ!” เสียงแจ้วๆ แบบเด็กเล็กแหวขึ้น

นางเหลือบตามองไปก็เห็นแสงสีเงินพุ่งแวบมาทางนี้ พร้อมกับที่ร่างคุ้นเคยปรากฏขึ้นมาให้เห็นทางหางตา นางยืนนิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้อีกฝ่ายอุ้มตัวเองออกจากจุดที่ยืนอยู่

“นายท่านระวัง! มันเป็นขโมยหรือไม่ก็ไม่รู้!” ตะขอเงินพุ่งเข้าไปปักในหินประตูโค้ง เสี่ยวจิ่นที่อยู่ด้านหลังเนี่ยชังหมิงร้องบอกอย่างเป็นห่วง

“เจ้ายังไม่ทันได้มองด้วยซ้ำก็มั่นใจแล้วหรือว่าเขาเป็นขโมย” ชายหนุ่มหันไปขึงตาใส่เสี่ยวจิ่นพลางดุ ก่อนจะก้มหน้ามองเด็กหนุ่มที่อยู่ในอ้อมกอด แล้วให้ผงะไป “เจ้าเองหรือ”

“บังเอิญจังนะพี่ใหญ่” นางส่งยิ้มใสซื่อไปให้

“เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร”

“ข้าหิว ก็เลยออกมาหาของกิน พี่ใหญ่ ปล่อยข้าก่อนดีกว่า อย่าให้เด็กหญิงตัวเล็กๆ มองจนตาค้างเลย”

เนี่ยชังหมิงเพิ่งรู้ตัวก็ตอนนี้ว่ามือกอดเอวนางอยู่ ด้านหน้าของนางที่แนบอิงกับอกเขานั้นช่าง…แสนนุ่ม

เขารีบปล่อยมือทันที ทำเอานางล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปกับพื้น

“โอ๊ย! เจ็บชะมัด พี่ใหญ่ จะปล่อยก็ระวังๆ หน่อยสิ!” นางโอดครวญ

เขาถลึงตามอง ภายใต้แสงจันทร์ผมยาวของนางถูกรวบไว้ แต่กระนั้นก็มองเห็นว่ายังชื้นอยู่ กลิ่นหอมรวยรินมาจากเรือนกาย ต้องเพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ อย่างแน่นอน

มิน่า…มิน่าถึงไม่ได้รัดอก

เขาดึงสายตาไปทางอื่นอย่างกระอักกระอ่วน รับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวตรงปลายนิ้ว ไม่กล้าอาศัยแสงจันทร์มองผิวขาวอมชมพูของนาง

“นายท่าน…ข้าเข้าใจแล้ว! เขาเรียกท่านว่าพี่ใหญ่ ที่แท้เขาก็เป็นน้องของนายท่านนี่เอง!” เสี่ยวจิ่นร้องขึ้นพลางก้าวขาอ้วนป้อมวิ่งเข้ามาหา

“คนผู้นี้ไม่ใช่พี่น้องข้า” เขาเอ็ด “ลืมแล้วหรือว่าวันนี้มีบัณฑิตที่สอบผ่านย้ายเข้ามาอยู่ใหม่”

เสี่ยวจิ่นยังเล็กนัก เรื่องที่พูดให้ฟังตอนกลางวัน พอตกกลางคืนก็ลืมแล้ว ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนเกินไปย่อมจำไม่ได้ รู้เพียงแต่ว่าคนแปลกหน้ามีความหมายเท่ากับศัตรูเท่านั้นเอง

“นายท่าน…”

“เรียกท่านพ่อสิ” เนี่ยชังหมิงติง แล้วหันไปประสานมือให้ถานอู่ฟู “ใต้เท้าถานโปรดอย่าได้ถือสาที่ลูกสาวข้าเสียมารยาท”

“ใต้ทงใต้เท้าอะไรกัน! พี่เนี่ย ต่อไปพวกเราก็เป็นคนกันเองแล้วนะ ท่านเรียกข้าว่าน้องอู่ฟูก็ได้ ไม่ต้องเอาธรรมเนียมราชสำนักมาใช้หรอก” ดวงตาสีดำสนิทมองไปทางเสี่ยวจิ่น กะพริบช้าๆ สองที ก่อนจะกวักมือเรียก “มานี่มา หนูน้อย ข้าขี้เกียจลุก เจ้าเดินมาหน่อย”

เด็กหญิงเหลือบมองเนี่ยชังหมิงอย่างลังเล ก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างบนพื้น “ใต้…ใต้เท้า…”

“เรียกข้าว่าพี่ชายอู่ฟูก็ได้” ถานอู่ฟูล้วงถุงมือคู่หนึ่งออกจากอกเสื้อ “เจ้าเป็นลูกสาวของพี่เนี่ย ตามหลักข้าควรต้องให้ของขวัญแรกพบ แต่ข้าไม่มีอะไรดีๆ เลยสักอย่าง มีแต่ถุงมือคู่นี้นี่ล่ะที่พกติดตัวมาด้วย เจ้ารับไว้สิ”

พอจะเอื้อมมือไปดึงมือป้อมๆ เด็กน้อยก็พลันถอยหลังกรูดพลางพูดด้วยใบหน้าแดงเรื่อ

“นาย…ท่านพ่อเคยบอกว่าไม่มีความดีความชอบอย่าได้รับของจากผู้ใด เสี่ยวจิ่นรับของของคุณชายมาเปล่าๆ ไม่ได้หรอก”

“หือ? ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ข้าหิวจะแย่แล้ว หนูน้อย ข้ากลัวความหิวที่สุดเลย หากเจ้าช่วยข้าไม่ให้หิวตายได้จะถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวงเลยล่ะ”

“เอ่อ…” นางเป็นผู้อารักขาของนายท่านก็ไม่ควรอยู่ห่างนายท่าน จะไปโรงครัวให้คุณชายท่านนี้ได้อย่างไร แต่พอเห็นเนี่ยชังหมิงพยักหน้าให้น้อยๆ ซ้ำถุงมือคู่นี้ก็ปักลายดอกไม้ตระการตาล่อใจ นางจึงงึมงำ “ข้า…ไปแค่ครู่เดียว เดี๋ยวก็กลับ ท่านพ่อ ท่านห้ามเดินเพ่นพ่านไปไหนเด็ดขาด”

นางรับถุงมือมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ แล้ววิ่งปรู๊ดหายวับไปด้านหลังซุ้มประตูอย่างว่องไว

“วิ่งเร็วกว่าข้าอีกนะเนี่ย” ถานอู่ฟูเอ่ยพลางมีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย

“ดึกดื่นป่านนี้แล้วไม่พักผ่อนอยู่ในห้อง เหตุใดจึงเดินออกมาที่นี่”

“ก็ข้าหิวนี่นา”

“เจ้าเพิ่งกลับมาจากงานเลี้ยงฉยงหลินแท้ๆ…”

“ท่านคิดว่างานเลี้ยงของราชสำนักจะกินได้สักเท่าไรกันเชียว อีกอย่างวันหนึ่งๆ ข้ากินข้าวอย่างต่ำหกมื้อ ดีนะมาเจอพี่ใหญ่ก่อน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้คงได้มีศพนอนตายอยู่ในจวนแน่” นางเงยหน้าขึ้น สังเกตเห็นว่าสายตาของฝ่ายตรงข้ามมองไปทางอื่น “พี่ใหญ่ ท่านมีลูกสาวแล้วหรือ ไม่เห็นจะคล้ายท่านเลย”

“นางมาอยู่กับข้าตั้งแต่เด็ก พวกเราจึงผูกพันกันเหมือนเป็นพ่อลูก” เขาตอบเรียบๆ

“ข้าได้ยินมาว่าครอบครัวพี่ใหญ่มีพี่น้องชายหลายคน แต่ละคนมีผู้อารักขา ผู้อารักขาของพี่ใหญ่คงไม่ใช่น้องเสี่ยวจิ่นนี่หรอกกระมัง” นางลองเลียบเคียง เด็กน้อยคนเมื่อครู่ท่าทางจะอายุแค่แปดขวบเท่านั้น ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนผู้อารักขาฝีมือฉกาจเลยแม้แต่นิดเดียว

ในที่สุดเขาก็เบนสายตากลับมาหยุดลงบนร่างนาง

“เจ้าแอบสืบเรื่องของข้ามาหรือ” ใครคิดร้ายตามสืบเรื่องของเขา เขาไม่สนใจ มีเพียงคนคนนี้เท่านั้นที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนเรื่องส่วนตัวถูกตีแผ่อยู่ตรงหน้านางทั้งหมด

“ไม่เรียกว่าสืบหรอก สกุลเนี่ยเป็นหัวข้อที่ชาวบ้านร้านตลาดแถบเมืองหลวงคุยกันยามว่างอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าพี่ใหญ่เป็นขุนนางในราชสำนัก ลูกชายคนที่สามรับช่วงต่อกิจการร้านขายหนังสือทั่วแผ่นดินตั้งแต่อายุน้อยๆ ตอนนี้เริ่มประสบความสำเร็จแล้ว ลูกชายคนที่ห้า ‘ลือกันว่า’ ดูแลกิจการร้านหนังสือในอาณาจักรเพื่อนบ้าน ลูกชายคนที่หกเรียนวิชาแพทย์ นี่แค่ยกตัวอย่างนะ พี่ใหญ่ เรื่องพวกนี้น่ะ ข้าแค่เข้าไปนั่งในโรงเตี๊ยมสักพักก็ได้ยินคนเขาพูดกันทั่วแล้วล่ะ” นางมองซ้ายมองขวา เห็นว่ามีศาลารับลมก็คำนวณระยะห่าง แล้วยื่นมือออกไปให้เขา

ชายหนุ่มจ้องมองมือเล็กบางข้างนั้นอยู่สักพัก ถึงจะเข้าใจเจตนารมณ์ของอีกฝ่าย

เขาลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะจับมือเล็กนุ่มลื่นนั้นไว้ ฉุดนางให้ลุกขึ้นจากพื้น นางทำตัวไม่สมกับเป็นสตรีเอาเสียเลย หากไม่เป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในสองตาของตัวเองล่ะก็ คงเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นบุรุษไปแล้ว

นางเดินโซเซเข้าไปในศาลาอย่างเชื่องช้า

“เจ้า…ดื่มสุรามาหรือ” เขาไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ เพราะกลัวกลิ่นหอมของนางจะโชยมาเข้าจมูก

“ดื่มมานิดหน่อยจากงานเลี้ยง” นางรับตรงๆ แล้วทิ้งตัวลงบนม้าหิน “ดีนะที่ข้าเป็นแค่ทั่นฮวาตัวเล็กๆ ไม่อย่างนั้นคงต้องให้คนหามกลับมาแล้ว” เห็นชายหนุ่มยังรักษารอยยิ้มเอาไว้บนใบหน้า ทั้งที่ดวงตาสะท้อนความรังเกียจ นางก็กล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่ได้เมาสุราหรอก แค่หิวจนทนไม่ไหว พอหิวหนักเข้าเลยหน้ามืดตาลาย”

นางทำตัวอ่อนฟุบลงไปบนโต๊ะราวกับไม่มีกระดูก ไม่ได้นั่งตัวตรงสง่างามแบบคนร่ำเรียนหนังสือ

เนี่ยชังหมิงขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ แล้วนึกขึ้นมาได้ว่าตอนถูกเสี่ยวจิ่นจู่โจมด้วยตะขอเงิน นางไม่แม้แต่จะหลบ จึงถามขึ้นว่า “เจ้าไม่เคยฝึกยุทธ์ แต่เมื่อครู่ไม่ยักหลบ ไม่กลัวว่าจะเกิดพลาดพลั้งขึ้นมาหรือ”

“พี่ใหญ่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ข้าจะถูกเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งทำร้ายได้อย่างไร จริงหรือไม่เล่า” นางเอ่ยเสียงจริงใจ ทว่าหลอกเขาไม่สำเร็จ

น้ำเสียงเช่นนี้เขาคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างไร เมื่อกลางวันตอนอยู่ด้านนอกตำหนักเฟิ่งเทียน เขามัวแต่ตกตะลึงกับเพศที่แท้จริงของนางจนไม่ทันสังเกตอย่างอื่น แต่คำพูดไร้เจตนาของใต้เท้าจางทำให้เขาเริ่มพิจารณานางอย่างถี่ถ้วน

ไม่มีเวลาไหนที่นางไม่ยิ้ม รอยยิ้มคล้ายจะใสซื่อจริงใจ แต่ในสายตาเขากลับดูเสแสร้งจนเกินพอดี เหมือนท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อคนอื่นจริงๆ นั่นล่ะ

เห็นชายหนุ่มจ้องมองตัวเองเขม็ง นางก็ถอนหายใจยิ้มๆ “เอาล่ะ ข้าเห็นว่าพี่ใหญ่เองก็เป็นคนฉลาด จะสารภาพตามตรงก็ได้ เดิมทีตั้งใจจะสร้างภาพลักษณ์ให้ท่านประทับใจเสียหน่อย ไม่ใช่ว่าข้าไม่กลัว แต่ข้าคร้านจะขยับต่างหาก หลังกลับจากงานเลี้ยงฉยงหลินเมื่อครู่ ข้าอาบน้ำแต่งตัวแล้วหิวจนตาลาย ข้ามันพวกขี้เกียจ แต่ก็ไม่อยากเรียกบ่าวเข้าครัวดึกๆ ดื่นๆ เลยบอกกับตัวเองว่าหากเจอโรงครัวภายในร้อยก้าวก็จะหาอะไรกิน แต่หากไม่เจอก็กลับห้อง อย่างมากพรุ่งนี้ก็แค่ไปสำนักราชบัณฑิตไม่ไหวเท่านั้น”

เขาถามอย่างฉงน “เหตุใดพรุ่งนี้ถึงจะไปไม่ไหว”

“ก็เพราะข้าลุกไม่ไหวน่ะสิ ข้าบอกแล้วว่าข้าทนหิวไม่ได้ ตอนกลางวันหากหิวขึ้นมา สมองข้าจะไม่ทำงาน มิหนำซ้ำยังจะพูดจาไม่รู้เรื่องเอาง่ายๆ หากเกิดหิวตอนกลางคืน เช้าวันรุ่งขึ้นต่อให้เอากลองเอาฆ้องมาตีปลุก ข้าก็ไม่ตื่น”

“เจ้าอุตส่าห์สอบผ่านอย่างยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็น แต่กลับไม่จริงจัง รู้ไว้เสียว่าเป็นขุนนางราชสำนักใช่จะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ นึกจะไม่เข้าสำนักราชบัณฑิตก็ไม่เข้า!” เขาเอ็ด นางมีความคิดเอาแต่ใจตัวเองอย่างนี้ ไม่ต้องรอให้คนอื่นจับได้หรอกว่าแท้ที่จริงแล้วนางเพศอะไร นิสัยก็คงนำภัยมาถึงตัวก่อน

นางยิ้มน้อยๆ เอื้อมมือไปเปิดหน้าต่างให้ลมเย็นพัดเข้ามาพลางว่า “อะไรคือความยากลำบากเลือดตาแทบกระเด็น ข้าไม่ยักรู้จัก ตำแหน่งทั่นฮวานี้ได้มาง่ายๆ ความเรียงก็เขียนง่ายๆ สอบได้ไม่เห็นน่าตื่นเต้นตรงไหน”

เนี่ยชังหมิงหรี่ตา รู้สึกหงุดหงิดกับถ้อยคำโอ้อวดของนาง ทว่าก็ไม่ได้โต้กลับ นางเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเล่า เขาจะเปลืองน้ำลายไปด้วยเหตุใดกัน

สักพักเสี่ยวจิ่นก็วิ่งปรู๊ดกลับมาพร้อมซาลาเปาร้อนๆ หนึ่งเข่ง

“โอ้โห! หอมจัง ลำบากเจ้าแล้วนะหนูน้อย” ถานอู่ฟูรีบเอื้อมมือไปรับซาลาเปามาฉีกกินคำเล็กๆ อย่างรวดเร็ว อากัปกิริยานุ่มนวลชวนมอง ไม่ดูเหมือนคนหิวโซแม้แต่นิดเดียว

“พ่อครัวที่จวนทำอาหารอร่อยมากๆ…อร่อยมากๆ” เสี่ยวจิ่นบอกอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นก็เดินไปยืนข้างหลังเนี่ยชังหมิงอย่างรู้หน้าที่ “พวกเราจะกลับจวนผู้บัญชาการกันหรือยังเจ้าคะ”

ควรกลับได้แล้ว เสี่ยวจิ่นยังเล็กนัก ถ่างตาดึกๆ ดื่นๆ ไม่ไหว

เขาหันไปมองถานอู่ฟูอีกครั้ง แล้วโพล่งขึ้นว่า “ลักษณะเจ้าดูไม่เหมือนคนอับโชค”

“พี่ใหญ่พูดได้ดี ตั้งแต่เกิดมาข้ายังไม่เคยลำบากเลย หมอดูก็เคยบอกเหมือนกันว่าในภายภาคหน้าข้าจะเจริญรุ่งเรือง มีลาภยศสรรเสริญ หลายร้อยปีมานี้จะหาใครดวงดีเท่าข้าไม่มีอีกแล้ว ข้าไล่สอบมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ระดับเซียงซื่อ ยังไม่เคยต้องสอบซ้ำมาก่อน พอได้ตำแหน่งทั่นฮวาก็ได้เจอพี่ชายดีๆ มีที่ให้อยู่ ขนาดพ่อครัวบ้านพี่ใหญ่ยังรสมือเป็นเลิศ ไม่ต้องพูดถึงอนาคตของข้าหรอก แค่ตอนนี้ข้าก็ดวงดีจนไม่รู้จะดีอย่างไรแล้ว” นางกล่าวผ่านรอยยิ้ม ซาลาเปาลูกหนึ่งกัดกินแค่ไม่กี่คำก็วาง

ช่างไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเอาเสียเลย

เขาสะกดโทสะเอาไว้ในอก เห็นแก่ที่นางยังอายุน้อย ซ้ำยังเป็นคนฉลาดเฉลียวเรียนรู้ไว จึงเตือนอ้อมๆ ด้วยความหวังดี

“อยู่กับจักรพรรดิก็เหมือนอยู่กับเสือ เป็นขุนนางราชสำนักต้องระวังตัวทุกฝีก้าว เกิดทำให้จักรพรรดิทรงกริ้วหนักขึ้นมา ต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์ก็รักษาหัวเอาไว้บนบ่าไม่ได้ หากเจ้าไม่คิดจะทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อชาติบ้านเมืองในระยะยาวแล้วล่ะก็ รีบล้มเลิกความตั้งใจแล้วกลับบ้านไป…มีเมียมีลูกเสียแต่เนิ่นๆ ดีกว่า” สตรีผู้หนึ่งจะเป็นขุนนางได้นานสักเท่าไรกัน สิบปี ยี่สิบปี ต่อให้ไม่ออกเรือนเลยชั่วชีวิต นางจะปิดบังความจริงได้นานแค่ไหน รนหาที่ตายชัดๆ

“พี่ใหญ่พูดแบบคนมีประสบการณ์มาก่อนหรือ” นางทำหน้าซาบซึ้ง “ที่แท้พี่ใหญ่ก็เห็นข้าเป็นน้องชายจริงๆ ถึงได้ระบายความคับแค้นที่สะสมไว้ในใจมานานให้ฟัง วางใจเถิด ข้าฟังเข้าหูซ้ายก็ทะลุออกหูขวา ไม่เอาไปพูดต่อให้เสื่อมเสียชื่อเสียงที่ท่านเพียรสร้างมาเนิ่นนานหรอก”

คนพูดยิ้มหน้าเป็น เห็นแล้วน่าโมโหนัก

“ใครเห็นเจ้าเป็นน้องชาย” ชายหนุ่มหุบยิ้ม กัดฟันพูดเคืองๆ “ไม่ต้องมาเรียกพี่ใหญ่อย่างนั้นพี่ใหญ่อย่างนี้ ข้ามีพี่น้องเยอะพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีเพิ่มอีกคน”

“นี่พี่ใหญ่รังเกียจข้าหรือ” นางถามอย่างตกตะลึง

“ยิ่งกว่ารังเกียจเสียอีก เจ้าไม่ควรมาอยู่ตรงนี้แต่แรกแล้ว เจ้าสอบได้ตำแหน่งทั่นฮวา ก็เท่ากับมีวิชาความรู้เหนือคนอื่น คนร่ำเรียนหนังสือทั่วไปห่างชั้นกับเจ้ามาก เจ้าควรพอใจแล้วรีบลาออกจากราชการโดยเร็วจะดีกว่า…”

“นายท่าน?!” เสี่ยวจิ่นอุทาน นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางเห็นนายท่านมีโทสะ และเป็นครั้งแรกเช่นกัน…ที่เห็นน้ำตาบุรุษ

“ฮึก…ข้า…ข้าเจ็บปวดเหลือเกิน…ที่แท้ไม่ได้มีแต่อาจารย์ที่รังเกียจข้า แม้แต่พี่ใหญ่ก็ยังรังเกียจ…” ถานอู่ฟูระบายความโศกเศร้าออกมาผ่านเสียงสะอึกสะอื้น “เคยได้ยินคนเขาพูดอยู่บ่อยๆ ว่าขุนนางเมืองหลวงถึงอย่างไรก็โลภโมโทสัน ทำตัวเหนือกฎหมาย ไม่ได้มาเป็นขุนนางเพื่อชาติบ้านเมือง แต่มาหาเงินพกเข้าห่อตัวเอง…มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เหมือนคนอื่น คือเนี่ยเจวี๋ยเหยียที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายซ้าย ไม่กินสินบน จงรักภักดีต่อแผ่นดิน ขณะที่ราชสำนักยังจัดหาที่อยู่อาศัยให้บัณฑิตสอบผ่านไม่ได้ เนี่ยเจวี๋ยเหยียกลับยกบ้านตัวเองให้อยู่ ข้าฟังแล้วเลื่อมใสยิ่งนัก…ฮือ ต่อให้ได้เกี่ยวข้องกับวีรบุรุษในดวงใจแม้เพียงนิดเดียว…ข้าก็ยังยินดี…ฮือ…”

“นายท่าน…” เสี่ยวจิ่นดึงชายเสื้อเขา

รู้ทั้งรู้ว่านางเล่นละคร เขาก็ยังมองตาค้างอยู่นั่นเอง

“ฮือ…ข้าช่างน่าสงสารอะไรอย่างนี้…แค่ก…แค่ก…” นางสำลักไส้ซาลาเปาเมื่อครู่เข้าเสียแล้ว

เสี่ยวจิ่นรีบวิ่งเข้ามาตบหลังให้ พลางถลึงตาใส่นายท่านซึ่งตนเชิดชูราวกับเทพเจ้าเป็นเชิงตำหนิ

“นายท่าน ความจริงคุณชายก็น่าสงสารมากนะ…”

น่าสงสาร? เขาคิดว่าตัวเองเจ้าเล่ห์มากแล้ว ไม่นึกว่ายังมีคนเจ้าเล่ห์กว่าเขาอีก! ขนาดเด็กจงรักภักดีอย่างเสี่ยวจิ่นยังโดนหลอกไปอยู่ข้างโน้น ไม่ต้องคิดเลยว่าต่อไปนางจะกอบโกยลาภยศสรรเสริญให้ตัวเองในราชสำนักด้วยวิธีใด

เนี่ยชังหมิงกัดฟันกรอด ก่อนจะแค่นยิ้มฉุนๆ

“ใต้เท้าถาน เจ้าไม่ยอมลาออกจากราชการ ข้าก็ไม่ห้าม เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อ ข้าก็จะไม่ขับไล่ไสส่ง เก็บน้ำตาของเจ้าได้แล้ว” น้ำตาของสตรีช่างไม่มีราคาเอาเสียเลย

“จริงหรือพี่ใหญ่” นางถามด้วยดวงตาฉ่ำคลอ

เขาสะบัดแขนเสื้อ “แล้วแต่เจ้าเถิด” อยากรนหาที่ตายเองก็อย่ามาโทษเขาแล้วกัน “เสี่ยวจิ่น กลับจวน”

“พี่ใหญ่ควรกลับจวนผู้บัญชาการแล้วจริงๆ” น้ำตานางเหมือนสั่งได้ สองแก้มยังเปียกเป็นทาง แต่ไม่มีน้ำใสไหลลงมาจากดวงเนตรสุกใสแล้ว นางแย้มยิ้มบาง “รีบกลับไปเสีย จะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน”

เขาชะงักเท้า หันไปมองอีกฝ่าย “ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน?”

“พี่ใหญ่เก็บสัมภาระเพื่อจะกลับไปอยู่จวนผู้บัญชาการ ทำแบบนี้ดีกับท่าน แล้วก็ดีกับพวกเรา ความจริงค่าเช่าแต่ละเดือนถือเป็นเงินที่น้อยมากสำหรับท่าน หากให้พวกเราเข้ามาอยู่โดยไม่เก็บค่าเช่า ย่อมมีบัณฑิตซาบซึ้งในน้ำใจท่านไม่รู้กี่คน ต่อไปเมื่อพวกเขาเหล่านี้ได้เข้าทำงานในสภาขุนนางเอย เป็นราชบัณฑิตเอย รองเสนาบดีเอย เสนาบดีเอย ก็จะนึกถึงบุญคุณท่านและอยากตอบแทนอย่างแน่นอน นี่คือการลงทุนระยะยาว แต่ท่านไม่ต้องการ ถึงอย่างไรก็จะเก็บค่าเช่าจากพวกเรา อาหารสามมื้อรวมอยู่ในค่าเช่า ส่วนของกินจุบจิบต้องจ่ายเงิน มีบ่าวให้เรียกใช้ แต่ทั้งเรือนที่ให้เช่ามีบ่าวแค่คนเดียว ดีกว่าโรงเตี๊ยมทั่วไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง พี่ใหญ่ ท่านจงใจเลี่ยงภัย”

เขาหรี่ตา “เลี่ยงภัยอะไร”

“ภัยที่จะถูกครหา ไม่ให้ใครมาพูดได้ว่าท่านชุบเลี้ยงสหายขุนนางเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว”

ชายหนุ่มสาวเท้าพรวดไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง เสี่ยวจิ่นนึกว่าเขาจะต่อยอีกฝ่าย ก็รีบดึงไว้พลางร้องเรียกอย่างตกใจ “นายท่าน!”

“เจ้า…”

“พี่ใหญ่?” นางยิ้ม

เขาอยากแสนอยากที่จะจับไหล่นางเขย่าแรงๆ แล้วถามว่าเหตุใดต้องเป็นสตรี หากเป็นบุรุษจะดีสักแค่ไหนกันเชียว! คนที่เดาใจเขาได้มีแต่นางนี่ล่ะ

ตัวเขามีน้องชาย ทว่าแต่ละคนมีความมุ่งมาดแตกต่างกัน พวกน้องๆ ไม่เห็นดีเห็นงามที่เขาเลือกชาติบ้านเมือง แต่ก็ไม่เคยคัดค้าน เรื่องจะเข้าใจความคิดอ่านที่เขามีต่อราชสำนักนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากนางเป็นบุรุษก็ดีสิ เขาจะได้รับนางเป็นน้องบุญธรรม แล้วทุ่มเทแรงกายแรงใจให้แผ่นดินด้วยกัน!

แต่นี่นางเป็นสตรี สตรีคนหนึ่งจะทำอะไรได้!

“นายท่านอย่าโมโหๆ” เสี่ยวจิ่นละล่ำละลัก รู้สึกตกอกตกใจยิ่งนักที่เห็นเส้นเลือดของเนี่ยชังหมิงปูดขึ้นมาบนผิว นับตั้งแต่ติดตามเขามา นางยังไม่เคยเห็นเขาแสดงสีหน้าอย่างอื่นนอกเหนือไปจากความแจ่มใส ต่อให้มีคนยั่วโทสะหรือพูดจาว่าร้าย นายท่านก็ไม่เคยโกรธขึ้งเลยสักครั้ง แต่วันนี้กลับเดือดดาลครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะคนคนเดิม

“พี่ใหญ่ เดินดีๆ ล่ะ ข้าขี้เกียจ ขอไม่ไปส่งนะ” นางยิ้มกว้าง

เนี่ยชังหมิงจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่สักอึดใจก็เอ่ยลอดไรฟัน “เสี่ยวจิ่น ไปกันเถิด”

เขามองนางอีกครั้ง รู้สึกอยากจะตีอกชกหัวนัก มองนางทีไรก็เสียดายจนปวดใจทุกที คนฉลาดเฉลียวเก่งกาจเช่นนี้…กลับเป็นสตรี!

ถานอู่ฟูมองตามหลังคนสองคนที่เดินจากไป แล้วพึมพำเสียงค่อย

“ใช้ความคิดนี่…เหนื่อยจริง”

นางไม่ใคร่ชอบใช้สมองนัก แต่การตอบโต้กับเขานอกจากต้องคอยสังเกตสีหน้า ยังต้องคอยคาดเดาความคิด สมองเล็กๆ ที่แทบขึ้นสนิมอยู่รอมร่อของนางจึงต้องทำงานไม่หยุด

“ประหลาดแท้ เหตุใดเขาถึงได้ไม่ชอบข้านะ พวกชอบคนเก่งอย่างเขาต้องดีกับข้ามากๆ ถึงจะถูก กลับกลายเป็นขวางหูขวางตาเขาไปเสียได้ เพราะอะไรกัน” นางครุ่นคิดกับตัวเอง จวบจนลมเย็นพัดมากระทบร่างก็สะท้านเฮือก แล้วรีบพักเรื่องปวดหัวไว้ก่อน

เขาเดาใจยาก แต่ช่างเถิด เป็นที่พึ่งให้นางได้ก็พอ นางบิซาลาเปาอีกลูก ฉีกแป้งทิ้งกินแต่ไส้ ก่อนเอ่ยงึมงำ “อิ่มจัง…”

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ส.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

Jamsai Editor: