X
    Categories: LOVEณัฐรัมภาทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ณัฐรัมภา บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 3 สองครอบครัว

ณัฐรัมภาระบายลมหายใจเบาๆ หลังจากดับเครื่องรถยนต์จอดตรงหน้ารั้วบ้าน เธอมองผ่านแนวรั้วแบบโปร่งไปยังตัวบ้านสองชั้นที่มีร่องรอยความเก่าให้เห็นชัดเจน ซึ่งก็ว่าไม่ได้ ในเมื่อมันมีอายุนับได้ยี่สิบปีเศษแล้ว

หญิงสาวหันไปหยิบกระเป๋าสะพายแบรนด์เนมและถุงขนมจากร้านดังที่วางเคียงกันบนเบาะข้างคนขับ จากนั้นเธอก็เปิดประตูลงจากรถ แล้วหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูรั้วเข้าบ้านเอง สุนัขปอมเมอเรเนียนตัวจิ๋ววิ่งออกจากบ้านมาเห่า แม้จะเห็นว่าเป็นเธอซึ่งคุ้นกันดีมันก็ยังไม่ยอมหยุดเห่า เพียงแต่วิ่งวนรอบตัวเธอไปเห่าไปโดยไม่เข้ามากัดเท่านั้นเอง

ณัฐรัมภาสังเกตเห็นคนโผล่หน้ามาดูตรงประตู ก่อนจะผลุบหายไปโดยไม่ออกมาต้อนรับ ทว่าเธอก็ไม่แปลกใจและเดินต่อไปยังตัวบ้านด้วยความเร็วเท่าเดิม

“ว่าไงลูก”

ศุภกิจเปิดประตูบ้านออกมาตอนที่เธอกำลังถอดรองเท้าพอดี เธอยกมือไหว้พ่อทั้งที่ข้าวของพะรุงพะรัง พอเห็นอย่างนั้นเขาเลยถามต่อ

“ซื้ออะไรมาเยอะแยะอีกแล้ว”

“ขนมที่คุณพ่อชอบไง” หญิงสาวบอกทั้งรอยยิ้ม “ห้ามบ่นนะ ยังไงรัมภาก็ซื้อมาแล้ว”

“พ่อไม่ได้จะบ่น พ่อแค่เกรงใจ ขนมพวกนี้ก็ไม่ได้ถูกๆ” ศุภกิจเอื้อมมาดึงถุงขนมไปจากมือลูกสาว

“ถ้าคุณพ่อไม่ยอมรับเงินจากรัมภาไปซื้อของกินเองก็ต้องรับขนมต่อไปแหละ”

ณัฐรัมภาหัวเราะแล้วก้าวตามพ่อเข้าสู่ตัวบ้าน ครั้นสังเกตเห็นรสนานั่งอยู่บนโซฟาเธอก็ยกมือไหว้ อีกฝ่ายยิ้มรับน้อยๆ ก่อนจะก้มลงไปอุ้มเจ้าปอมเมอเรเนียนที่วิ่งตื๋อตามพวกเธอเข้ามาในบ้าน ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเธออีก แต่นั่นก็ดีแล้ว เพราะเธอเองก็ไม่ได้อยากวิสาสะกับรสนาเช่นกัน ที่ยกมือไหว้ก็เป็นไปตามมารยาท และเธอก็แน่ใจด้วยว่าเงาคนที่เห็นลุกขึ้นมาดูตอนเพิ่งมาถึงก็คือภรรยาใหม่ของพ่อนี่เอง

ศุภกิจเลิกกับรุจิราผู้เป็นแม่ของณัฐรัมภามาสิบกว่าปีแล้ว แถมเป็นการเลิกกันแบบไม่ดีเสียด้วย เพราะต่างฝ่ายต่างนอกใจกัน…ตอนนั้นครอบครัวของเธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว ส่วนเธอยังเป็นเด็กหญิงเรียนชั้นมัธยมต้น ความทรงจำในช่วงนั้นไม่ชัดนัก เธอจำได้แค่ว่าพ่อแม่ระหองระแหงกัน มารู้อีกทีก็ตอนค้นพบว่าแม่มีชู้เป็นเพื่อนร่วมงานที่บริษัท หลังจากนั้นไม่นานความจริงก็เปิดเผยตามมาอีก ว่าพ่อเองก็นอกใจไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเพื่อนสมัยเรียน ซึ่งก็คือรสนา แล้วพ่อแม่ของเธอก็หย่ากัน

รุจิราออกจากบ้านไป ทิ้งเธอไว้กับพ่อ ทว่าอยู่กันตามลำพังไม่นานรสนาก็ย้ายเข้ามา อีกฝ่ายเป็นแม่ม่าย มีลูกติดหนึ่งคนคือปรพล เขาอายุมากกว่าเธอและกำลังเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ช่วงนั้นเขาอยู่หอพักเลยไม่ได้ย้ายตามรสนาเข้ามาด้วย มาพักแค่ชั่วครั้งชั่วคราวระหว่างปิดเทอมเท่านั้น

พูดตามตรง ถึงตอนนั้นเธอจะโตจนรู้ความแล้ว แต่ก็ถือว่าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ และเธอก็ไม่อาจทำใจรับความจริงที่ว่าครอบครัวแตกสลายได้ ถึงจะไม่ได้กลายเป็นเด็กมีปัญหา ทว่าเธอก็ไม่สามารถเปิดใจรับรสนาเป็นแม่เลี้ยงได้เช่นกัน เธอเฉยชากับอีกฝ่าย และพอขึ้นชั้นมัธยมปลายก็ทำตัวเป็นเด็กกิจกรรม รวมถึงเรียนพิเศษทุกอย่างที่เรียนได้เพื่ออยู่นอกบ้านให้มากที่สุด เรียกได้ว่ากลับบ้านเพื่อมานอนเท่านั้น ความสัมพันธ์ของเธอกับรสนาจึงค่อนข้างห่างเหิน ซึ่งเธอก็ไม่ได้นึกเสียใจ อีกฝ่ายอาจเป็นภรรยาใหม่ของพ่อ ทว่าก็ไม่ใช่แม่ของเธออยู่ดี

อย่างไรก็ตาม ณัฐรัมภาค่อนข้างสนิทใจกับปรพล เขาทำความรู้จักกับเธอในลักษณะเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ก็คอยดูแลเธอเหมือนพี่ชาย โดยเฉพาะช่วงที่เธอย้ายไปอยู่หอพักตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาเรียนจบพอดีและย้ายเข้ามาอยู่กับรสนาที่บ้านหลังนี้ ถึงจะไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ แต่เวลาต้องการแรงงานขนของเขาก็ไปช่วย หรือกระทั่งไปรับส่งในบางครั้งที่เธอต้องเดินทางดึกดื่นเที่ยงคืน ดังนั้นเธอเลยมองปรพลเป็นพี่ชายคนหนึ่ง และอาจเป็นเพราะจุดนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับรสนาไม่แย่เกินไปนัก

หลังจากเรียนจบหญิงสาวก็ไม่ได้ย้ายกลับมาอยู่บ้าน เธอเลือกทำงานในบริษัทที่อยู่ค่อนข้างไกล และนอกจากทำงานบริษัทตามปกติแล้วเธอก็ยังรับงานพิเศษจนแทบไม่ได้พัก พยายามเก็บเงินชนิดที่เรียกว่าแทบไม่ได้ใช้จ่ายอะไรนอกจากค่ากินค่าอยู่ บวกกับเงินเก็บจากการที่พ่อแม่ส่งให้ใช้และเงินจากการสอนพิเศษต่างๆ ตั้งแต่สมัยเรียน เธอจึงสามารถซื้อคอนโดฯ เป็นของตัวเองได้สำเร็จ

ถึงตอนนี้ณัฐรัมภาก็ยังผ่อนคอนโดฯ ไม่หมด แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้สบายขึ้นกว่าเมื่อก่อน งานก็อยู่ตัวทั้งในและนอกบริษัท เธอซื้อรถคันเล็กๆ ได้ รวมถึงใช้จ่ายได้โดยไม่ต้องจำกัดจำเขี่ยแบบก่อนหน้านี้ด้วย…อันที่จริงเธอทราบดีว่าถ้าช่วงแรกยอมอยู่บ้านสักระยะก็น่าจะเก็บเงินก้อนได้และสบายกว่านี้ ทว่าก็นั่นแหละ หญิงสาวรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธออีกต่อไปแล้ว

ทุกวันนี้มัณฑนากรสาวจะกลับมาเยี่ยมพ่ออย่างน้อยเดือนละหน ท่านไม่ยอมรับเงินจากเธอ ดังนั้นเธอจึงมักจะซื้อข้าวของเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ก็ของกินมาให้ท่านแทน ซึ่งท่านก็น่าจะรู้ดีว่าเธอไม่มีวันกลับมาอยู่บ้านอีก…สำหรับเธอ พ่อมีครอบครัวของท่าน ส่วนแม่ก็เลิกกับอดีตเพื่อนร่วมงานและมีสามีใหม่อีกคนเป็นชาวฮ่องกง ตอนนี้ท่านย้ายไปอยู่ที่นั่นเรียบร้อยแล้ว แม่ไม่ค่อยได้กลับไทยด้วย เธอไม่ได้เจอท่านมานานแล้ว โทรคุยก็ไม่บ่อย ส่วนใหญ่ส่งข้อความคุยกันมากกว่า เธอเองก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตด้วยตัวเอง นับว่าทุกอย่างลงตัวดีแล้ว

“ตอนแรกเห็นว่าจะมาพรุ่งนี้ ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจล่ะ” ศุภกิจถาม

แรกสุดลูกสาวส่งข้อความมาบอกว่าจะแวะมากินข้าวเย็นในวันอาทิตย์ แต่จู่ๆ เมื่อสองชั่วโมงก่อนเธอก็ส่งข้อความมาถามใหม่ว่าวันนี้ท่านอยู่บ้านไหม พอรู้ว่าอยู่เธอก็บอกว่าจะเข้ามาวันนี้แทน

“งานเข้านิดหน่อย…ไม่ใช่งานในเชิงไม่ดีนะ พอดีจู่ๆ รัมภาก็ได้งานพิเศษงานใหม่” ณัฐรัมภาอธิบายเพิ่มเติมเมื่อนึกได้ว่าพ่ออาจไม่เข้าใจ

“อ้อ” ชายสูงวัยพยักหน้าหงึกหงัก “พ่อก็นึกว่ามีนัดกับแฟนกะทันหันหรืออะไรแบบนั้น”

สาวสวยไม่พูดอะไร ปกติเธอไม่ค่อยเล่าเรื่องส่วนตัวให้พ่อฟังอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องเจอผู้ชายเจ้าชู้คบซ้อนนอกใจยิ่งไม่คิดจะเล่า เพราะพูดไปก็จะกลายเป็นกระทบพ่อบังเกิดเกล้าเปล่าๆ

“เสียงรถนี่” รสนาชะเง้อมองออกไปนอกบ้าน ก่อนจะลุกขึ้นไปดูตรงประตูโดยที่ในอ้อมแขนยังอุ้มสุนัขปอมเมอเรเนียนตัวโปรด “ป๊อกกลับมาแล้วจริงด้วย”

พอได้ยินว่าปรพลกลับมาณัฐรัมภาก็สบายใจขึ้นกว่าเดิมพอสมควร เพราะถ้ามีแค่เธอกับศุภกิจและรสนา บางทีบรรยากาศก็อิหลักอิเหลื่อ เธออาจจะผูกมิตรกับใครต่อใครเก่ง แต่เธอไม่คิดจะพยายามกับภรรยาใหม่ของพ่อเสียด้วย ถ้ามีปรพลอยู่ด้วยบรรยากาศจะดีกว่า

วันนี้คงเป็นวันโชคดีของเราล่ะมั้ง…

 

ณัฐรัมภาคิดถูก การมาของปรพลทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเป็นไปในทางรื่นเริง หลังกินข้าวเสร็จเธอไม่ได้อยู่ต่อนานนักเพราะยังมีสัญญาที่ต้องไปเตรียม ต่อให้มีสัญญาจากงานเก่าๆ เป็นต้นแบบอยู่แล้วก็ตาม และจากการไปเห็นบ้านจริงในวันนี้ก็ทำให้เธอพอมีไอเดียในหัวอยู่บ้าง คืนนี้เธอน่าจะเริ่มรวบรวมไอเดียเหล่านั้นให้เป็นเรื่องเป็นราวหรืออาจเริ่มงานเบื้องต้นได้เลย

พอชายหนุ่มเห็นว่าเธอจะกลับ เขาก็เดินตามออกมาส่งที่รถเหมือนทุกครั้ง

“ตอนกินข้าวกันได้ยินรัมภาพูดว่ามีงานพิเศษงานใหม่ งั้นตอนนี้รัมภาก็ไม่ว่างแล้วใช่ไหม เพราะปกติรัมภารับงานพิเศษแค่ทีละงาน” ปรพลถาม

“ฮื่อ ทำไมเหรอ”

“ไม่ใช่พี่หรอก ไอ้แจ็คนู่น รัมภาจำแจ็คได้ใช่ไหม”

“เพื่อนพี่ป๊อกคนที่เป็นลูกครึ่ง หน้าตาดีๆ หน่อยใช่หรือเปล่า”

หญิงสาวไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายในการนึกหน้าอีกฝ่าย ถึงเธอจะได้เจอเพื่อนคนนี้ของปรพลแค่สองสามหน แต่จตุภูมิหรือแจ็คเป็นผู้ชายหน้าตาดี โพรไฟล์ก็เป็นถึงวิศวกรด้านคอมพิวเตอร์ที่ได้ยินว่าเก่งไม่ใช่น้อย แถมเขายังเป็นเพื่อนที่ปรพลพูดชื่อให้ได้ยินบ่อยๆ ด้วย เพราะทั้งสองหนุ่มเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กทีเดียว

“นั่นแหละ พอดีหมอนั่นซื้อคอนโดฯ ใหม่ จริงๆ มันก็มีออพชั่นตกแต่งพร้อมอยู่นั่นแหละ แต่แจ็คไม่ชอบการตกแต่งของโครงการเลยขอต่อรองลดราคาแล้วจะเอาเงินส่วนต่างมาแต่งห้องเอง”

“อ้อ ก็เลยจะหาอินทีเรีย”

“ใช่ แจ็คจำได้ว่ารัมภาทำอินทีเรียก็เลยฝากพี่มาถาม หมอนั่นว่าอย่างน้อยก็พอรู้จักกันอยู่ แจ็คไม่ค่อยไว้ใจพวกอินทีเรียทั่วไปเท่าไหร่”

“แล้วจะมาจ้างรัมภาแบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะทำพี่ป๊อกเสียเพื่อนนะ” หญิงสาวพูดยิ้มๆ

การทำงานให้คนรู้จักมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือการรู้จักกันอยู่แล้วทำให้อะไรๆ ง่ายขึ้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ถือเป็นข้อเสียไปพร้อมกัน เพราะถ้างานไม่ถูกใจก็อาจเป็นปัญหา มีการแก้งานไม่จบไม่สิ้นต่างจากลูกค้าทั่วไปโดยอาศัยความสนิทสนมส่วนตัว หรือกระทั่งปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วเธอเลยไม่ค่อยนิยมการรับงานคนรู้จักเท่าไหร่

“ไม่หรอก พี่คุยกับแจ็คแล้ว หมอนั่นจะจ้างรัมภาแบบลูกค้าคนนึงเลย ไม่ต่อราคา ไม่ขออะไรพิเศษ…แจ็คกลัวเจอพวกทิ้งงานแล้วก็พวกทำงานส่งๆ น่ะ” ปรพลเปิดประตูรั้วให้เธอเดินออกไปก่อนจากนั้นเขาจึงก้าวตาม “แต่รัมภารับงานไว้แล้ว คงรับงานของแจ็คไม่ได้ใช่ไหม”

“คอนโดฯ พี่แจ็คนี่ห้องใหญ่ไหม” ณัฐรัมภาถาม ขณะเดียวกันก็ชั่งใจว่าควรจะส่งต่องานนี้ให้พวกพ้องหรือรับเอาไว้เองดี

“ก็หนึ่งห้องนอน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะประมาณสี่สิบตารางเมตร”

“แล้วเขารีบไหม”

“ไม่รีบ คอนโดฯ ยังไม่เสร็จดีเลย น่าจะอีกสักเดือนสองเดือนหรือไงนี่แหละกว่าจะให้เอาช่างข้างนอกเข้าไปได้”

หญิงสาวหยิบกุญแจรีโมตออกมาจากกระเป๋าสะพาย เธอมองหน้าปรพลนิดหนึ่งก่อนจะตัดสินใจ

“ถ้าอีกเดือนสองเดือนจริงงั้นรัมภาน่าจะรับงานนี้ได้นะ ป่านนั้นงานบ้านที่รัมภารับไว้ก่อนน่าจะใกล้เสร็จแล้ว”

“ดีสิ งั้นเดี๋ยวพี่ให้เบอร์รัมภากับแจ็คไว้นะ จะได้โทรคุยกัน”

“พี่ป๊อกส่งเบอร์พี่แจ็คมาให้รัมภาทางข้อความด้วยแล้วกัน”

“โอเค” ปรพลพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม “โล่งไป พี่จะได้ไม่ต้องฟังหมอนั่นบ่นเรื่องหาอินทีเรียแล้ว”

“แล้วเจอกันใหม่นะคะ” ณัฐรัมภาพูดกลั้วหัวเราะ เธอยกมือไหว้อีกฝ่ายจากนั้นก็เปิดประตูขึ้นรถ

ใครจะไปนึกว่าวันนี้วันเดียวเธอจะได้งานพิเศษถึงสองงาน แถมลูกค้าทั้งสองงานก็มีทัศนคติคล้ายกันแบบแปลกๆ เกี่ยวกับการติดต่อจ้างงานมัณฑนากรทั่วไปเสียด้วย

ที่หญิงสาวตั้งกฎเอาไว้ว่าจะไม่รับงานมากเกินไปก็เพราะอยากให้ตัวเองมีเวลาพักผ่อน เงินก็อยากได้นั่นแหละ แต่ตอนเด็กกว่านี้เธอทำงานหนักมาก เลยได้เรียนรู้ว่าถ้าถึงขั้นไม่มีเวลาให้ตัวเองคงแย่ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต การพยายามหาจุดสมดุลให้กับชีวิตส่วนตัวและการงานถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นปัจจุบันเธอจึงเลือกมากขึ้นในการรับงานพิเศษแต่ละหน

ทว่าสำหรับครั้งนี้ณัฐรัมภาพิจารณาแล้วว่างานที่บ้านของณัฐนนท์ไม่ยุ่งยากมาก ดังนั้นก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร หรือต่อให้สองงานคาบเกี่ยวกันอยู่บ้างก็คงไม่หนักหนาเกินไป อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็โสดสนิท ไม่ต้องหาเวลาให้ใคร ที่สำคัญคือการได้คุยกับณัฐนนท์ทำให้เธอหวนนึกถึงความฝันสมัยยังเด็กที่อยากไปเรียนเมืองนอกด้วย

ถึงจะยังผ่อนคอนโดฯ ไม่หมด แต่ยอดเงินต้นที่เหลือก็ไม่มากแล้ว ส่วนรถก็เหลือจำนวนงวดที่ต้องผ่อนอีกประมาณหนึ่งปีเท่านั้น หญิงสาวเชื่อว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการตามความฝัน เมื่อคำนวณเวลาและอะไรต่างๆ คร่าวๆ แล้ว เธอคิดว่าน่าจะสามารถไปเรียนต่ออะไรสักอย่างในระยะสั้นได้ก่อนอายุครบสามสิบปี

ก่อนหน้านี้ณัฐรัมภาตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้ว่าจะผ่อนบ้านผ่อนรถให้หมด ทว่าตอนนี้ก็มีเรื่องการไปเรียนต่อเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี การมีเป้าหมายถือเป็นแรงขับเคลื่อนชั้นดีในการพาชีวิตดำเนินไปข้างหน้า ทุกวันนี้ที่เธอมีไฟในการทำงานก็เพราะมีเป้าหมายนี่เอง

มานึกดู การวางแผนว่าจะกลับไปเรียนก็น่าสนุกดีเหมือนกัน

 

“ณัฐ ล้างจานดีๆ สิวะ น้ำกระเด็นมาโดนฉันแล้วเห็นไหม”

ไทโรนที่ยืนดูดน้ำมะพร้าวอยู่ใกล้กับอ่างล้างจานเอะอะใส่เพื่อนชาวไทยผู้ซึ่งกำลังล้างจาน ผลคือโดนณัฐนนท์หันมาขึงตาใส่

“ไอ้เวร ยืนกินแรงอยู่เฉยๆ แล้วยังจะบ่นอีก ไม่อยากโดนน้ำกระเด็นใส่ก็ไปไกลๆ โน่น”

“อะไรวะ นี่ฉันอุตส่าห์มาให้กำลังใจ” หนุ่มอเมริกันแกล้งบ่นพึมพำ

เย็นนี้สองหนุ่มเพื่อนซี้มากินข้าวที่บ้านของชื่นจิตผู้เป็นแม่ของณัฐนนท์ ปกติถ้ากลับมากินข้าวที่บ้านชายหนุ่มก็จะช่วยแม่ล้างจานชามหลังมื้ออาหารอยู่แล้ว ถ้าไทโรนมาด้วยเขาก็จะอาสาช่วยอีกคน แต่แม่ก็มักจะมองว่าหนุ่มอเมริกันเป็นแขก เจ้าบ้านไม่ควรรบกวนแขก ดังนั้นท่านเลยบอกให้ลูกชายล้างเองคนเดียว ตอนแรกเพื่อนตัวดีก็ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ทว่าพอหลายหนเข้าอีกฝ่ายก็ไม่โต้แย้งอีก แล้วหันมาแกล้งก่อกวนเยาะเย้ยณัฐนนท์ระหว่างล้างจานแทน

“อะไรกันอีกแล้วล่ะนั่น” ชื่นจิตยื่นหน้ามาดูเพราะได้ยินเสียงเอะอะในห้องครัว “อย่าเล่นอะไรกันให้ครัวแม่เลอะเทอะล่ะ”

“ไม่เล่นหรอก ถ้าเลอะผมก็ต้องทำความสะอาดอีก” ณัฐนนท์ทำหน้าเมื่อย “ไอ้ลูกฝรั่งของแม่สิ กวนผมอยู่ได้”

“เรียกเพื่อนแบบนั้นได้ไง” ผู้เป็นแม่ขมวดคิ้วก่อนจะถอยกลับไป

หนุ่มไทยเข้าใจว่าแม่คงคร้านจะยุ่งกับการตีกันของเขาและเพื่อนซึ่งเกิดขึ้นบ่อยๆ เขาหันกลับมายังอ่างล้างจาน ทว่าพอเหลือบเห็นเพื่อนยิ้มกริ่มกวนโอ๊ยก็แทบจะยกขาขึ้นถีบ ถึงอีกฝ่ายจะเพิ่งมาอยู่เมืองไทยได้แค่ปีกว่าแต่ก็เข้าใจภาษาไทยดี เพราะสมัยเรียนอยู่อเมริกาไทโรนเคยขอให้เขาสอนภาษาไทยเพื่อไปจีบสาวไทย พอจีบติดภาษาไทยก็ยิ่งพัฒนา แม้จะติดขัดบ้างเวลาพูดคำยากๆ หรือบางทีก็ต้องใช้เวลานึกเรียบเรียงประโยคสักหน่อย แต่แค่นี้ก็ทำให้คนไทยเอ็นดูได้ไม่ยากแล้ว แม่ของเขาก็เช่นกัน แถมหมอนี่ก็เป็นพวกปะเหลาะเก่งเสียด้วย ไหนจะความเห็นใจที่ต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาไกลอีก ชื่นจิตเลยเห็นไทโรนเป็นเหมือนลูกชายอีกคน

ณัฐนนท์เองก็เห็นไทโรนเป็นเหมือนพี่ชาย เพราะตอนเขาเรียนอยู่อเมริกาก็นับว่าร่วมหัวจมท้ายกันมา แต่บางทีเขาก็หมั่นไส้เพื่อนจนอยากถีบแรงๆ สักที!

“ไปเลือกผลไม้ไป จะเอาอะไรกลับไปกินก็หยิบเอา”

“เออ ใช่ มะม่วง” หนุ่มอเมริกันทำท่านึกขึ้นได้แล้วเดินข้ามไปยังอีกฝั่งของห้องซึ่งมีตะกร้ามะม่วงวางอยู่ทันที

ไทโรนชอบผลไม้เมืองร้อน ยิ่งได้มาเมืองไทยแล้วค้นพบว่าหลายอย่างอร่อยกว่าตอนซื้อกินที่อเมริกาก็ยิ่งติดใจ บ้านของชื่นจิตอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ก็จริง แต่ก็อยู่แถบนอกเมืองซึ่งยังมีสวนผลไม้ พวกเพื่อนบ้านมักเอาผลไม้จากสวนของตัวเองมาแบ่งปัน เช่นเดียวกับชื่นจิตที่มักจะเอาขนมทำเองไปฝาก

พ่อของณัฐนนท์เสียชีวิตไปตั้งแต่เขายังเล็ก เรียกได้ว่าไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อเลยนอกจากที่เห็นในรูปถ่าย แม่เลี้ยงเขามาคนเดียว ชื่นจิตเป็นแม่ค้าขายขนม สมัยเด็กเขาเองก็ช่วยแม่ทำขนมบ่อยๆ บางช่วงก็มีชุดาซึ่งเป็นพี่สาวของแม่มาอยู่ด้วย แต่ครั้งไหนจะอยู่นานเท่าใดก็ขึ้นอยู่กับชีวิตส่วนตัวของอีกฝ่าย จนกระทั่งช่วงที่เขาเรียนจบปริญญาโทที่อเมริกา ชุดาจึงย้ายมาอยู่กับน้องสาวเป็นการถาวรเนื่องจากสามีเสียชีวิต ลูกก็ไม่มี ป้าเป็นคนค่อนข้างเจ้ากี้เจ้าการ แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้เลวร้าย ปัจจุบันนอกจากเลี้ยงแม่แล้วเขาเลยเลี้ยงป้าด้วย ซึ่งเขาก็เต็มใจเพราะถือว่าท่านเป็นคนหนึ่งที่ช่วยเลี้ยงดูเขามา ที่สำคัญชื่นจิตจะได้มีเพื่อนด้วยในเมื่อเขาแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพัง

ชีวิตในวัยเด็กของชายหนุ่มค่อนข้างลำบาก แม้จะไม่ถึงขั้นอดมื้อกินมื้อ ทว่าก็ต้องประหยัดมัธยัสถ์อย่างยิ่ง เขาจึงพยายามตั้งใจเรียนเพื่อที่จะได้มีอนาคตที่ดี โชคดีที่ความถนัดและความชอบทางด้านวิทยาศาสตร์พาเขาไปได้ไกล ที่สำคัญคือมันพาเขาไปพบมิตรดีๆ หลายคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือไทโรน

ตอนที่เขาเริ่มเรียนปริญญาโท ไทโรนเป็นรุ่นพี่อยู่ก่อนแล้วหนึ่งปี พอคุยกันถูกคอบวกกับเรียนในสาขาวิชาที่ส่งเสริมกัน อีกฝ่ายจึงดึงเขาเข้าไปร่วมโครงการวิจัยที่ทำอยู่ แรกสุดเขาคิดว่ามันเป็นการหารายได้พิเศษทางหนึ่ง แต่เอาเข้าจริงมันกลับพาเขาไปไกลกว่านั้นมาก

โครงการวิจัยนั้นเกี่ยวกับการนำอินซูลินมาบรรจุในแคปซูลยา เพื่อที่คนไข้เบาหวานจะได้สามารถกินแคปซูลอินซูลินแทนการฉีด งานวิจัยนี้กินระยะเวลายาวนาน จนมาสำเร็จในการทดลองกับสัตว์ตอนที่เขาใกล้จบปริญญาเอก ด้วยความที่เป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการจึงต้องการการพัฒนาต่อยอดอีกมากหากจะเอาไปใช้กับคน แต่แค่นั้นก็เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของบริษัทยายักษ์ใหญ่ได้ นอกจากจะได้ค่าตอบแทนเป็นเงินก้อนโตแล้ว พวกเขายังได้รับการว่าจ้างให้ร่วมพัฒนาแคปซูลอินซูลินนี้ต่อ เขาตอบรับและเข้าไปทำงานในบริษัทยา แต่อยู่ได้ไม่นานเพราะรู้สึกว่าไม่ชอบ สุดท้ายเลยย้อนกลับมาทำงานในสายการศึกษาพักหนึ่ง ก่อนจะกลับมาไทยตามความตั้งใจเดิม

ณัฐนนท์คิดไว้ตั้งแต่ตอนได้ทุนไปเรียนต่อว่าจะกลับมาส่งต่อความรู้ให้เด็กไทย ด้วยโพรไฟล์ของเขาทำให้มหาวิทยาลัยพร้อมรับเขาเข้าเป็นอาจารย์โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ติดที่ระบบและกฎเกณฑ์การเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยในปัจจุบันนั้นวุ่นวายน่ารำคาญมากสำหรับเขา หลังจากพยายามหาทางออกกับคณบดีอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตกลงใจจะเป็นแค่อาจารย์พิเศษแทน

เมื่อไม่นานมานี้เพื่อนชาวจีนซึ่งเป็นหนึ่งในคณะวิจัยแคปซูลอินซูลินเพิ่งย้ายกลับมาจีน อีกฝ่ายมีไอเดียจะพัฒนาคอนแทกเลนส์อัจฉริยะและเห็นว่าเขาอยู่ไม่ไกลเลยชวนมาช่วยกันอีกครั้ง พอไทโรนได้ข่าวก็หอบผ้าหอบผ่อนตามมาทำงานวิจัยกับเขาที่เมืองไทยด้วยเสียอย่างนั้น ตอนนี้งานวิจัยคอนแทกเลนส์มีแล็บอยู่ในสองประเทศคือจีนกับไทย อาศัยเทคโนโลยีช่วยในการทำงานแม้จะอยู่กันคนละที่ อีกอย่างไทยกับจีนก็ไม่ได้ไกลกันมาก ถือว่าเดินทางไปมาหาสู่ไม่ลำบาก

ปัจจุบันณัฐนนท์ไปสอนที่มหาวิทยาลัยสัปดาห์ละสองวัน อาจจะมีงานพิเศษอื่นเช่นงานบรรยายบ้างแล้วแต่ใครติดต่อจ้าง ทว่ารายได้หลักที่ทำให้เขาสามารถซื้อบ้านและทำงานวิจัยที่สนใจได้แบบสบายๆ ก็มาจากสิทธิบัตรแคปซูลอินซูลินนั่นเอง เพราะนอกจากเงินก้อนแรกกับเงินเก็บจากการทำงานที่อเมริกาแล้ว บริษัทยายังต้องจ่ายค่าสิทธิบัตรให้ทุกคนในคณะวิจัยเมื่อมีการนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ใดๆ ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็เอาบางส่วนของงานวิจัยไปดัดแปลงใช้ผลิตผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ออกมาขาย ทุกวันนี้เขาเลยมีรายได้เข้ามาอย่างสม่ำเสมอไม่เดือดร้อน

“ณัฐ จะเอามะม่วงไปฝากคุณคนสวยด้วยไหม พรุ่งนี้นัดเจอกันนี่”

เสียงถามลอยมาขณะที่ณัฐนนท์กำลังล้างจานใบสุดท้าย และมันก็ทำให้เขาทั้งขำทั้งหมั่นไส้เพื่อน แต่ก็ด่ากลับไปเสียงเข้ม

“ไม่เอาโว้ย ไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี”

“เขาเรียกหวังดีโว้ย ไม่ใช่รู้ดี…จะได้สนิทกันเร็วๆ ไง”

“ก็เพราะแกออกนอกหน้าแถมรีบแบบนี้ไง ผู้หญิงถึงกลัวหนีไปหมด” หนุ่มไทยพาดพิงถึงเรื่องราวในอดีตซึ่งเพื่อนเคยคลั่งผู้หญิงคนหนึ่งมาก แต่ผลสุดท้ายกลับทำสาวเจ้ากลัวจนรีบปฏิเสธแล้วชิ่งไป

“ไอ้หอก!” ไทโรนหันมาด่ากลับ “เดี๋ยวฉันจะรอดูแก”

“รอดูอะไรฉันวะ ฉันไม่ได้จะจีบเขาเสียหน่อย ก็แค่ตีสนิทนิดๆ หน่อยๆ…ดูก็ไม่น่ายากเท่าไหร่”

“มั่นหน้าว่ะ” คำพูดสุดแสนจะมั่นใจของเพื่อนทำให้หนุ่มอเมริกันหมั่นไส้อย่างช่วยไม่ได้

ณัฐนนท์หันไปดึงผ้าขนหนูมาเช็ดมือ มุมปากยกเป็นรอยยิ้มเล็กๆ โดยไม่ได้พูดอะไรอีก

เมื่อสัปดาห์ก่อนเขายังไม่เคยได้ยินชื่อณัฐรัมภาด้วยซ้ำ และต่อให้เขากำลังมองหามัณฑนากรก็คงจะไม่ได้เฉียดใกล้ไปติดต่อเธอ แต่เพราะเกิดเรื่องกับงานวิจัยทางฝั่งแล็บจีน มีชื่อจตุภูมิผุดขึ้นมา อีกฝ่ายมีเพื่อนสนิทชื่อปรพล นั่นก็คือพี่ชายของหญิงสาว ต่อให้ทั้งสองไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ โดยสายเลือดก็ตาม ด้วยความที่ปรพลอยู่เมืองไทยเขากับไทโรนเลยคิดว่าควรจะลองตรวจสอบเบื้องต้นเองก่อน เพื่อไม่ให้กลายเป็นเรื่องเอิกเกริกเกินไป ซึ่งเมื่อพิจารณาจากอาชีพนักการตลาดของปรพลแล้วหนทางที่น่าจะง่ายที่สุดในการเข้าถึงตัวปรพลก็คือการเข้าไปผ่านทางสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ นั่นเอง

ตอนแรกพอตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นแล้วทราบว่าณัฐรัมภาเป็นมัณฑนากร เขาก็คิดว่าจะติดต่อจ้างเธอมาตกแต่งบ้าน แต่โชคก็เข้าข้างเพราะนักสืบเอกชนซึ่งเขาใช้บริการแจ้งว่าเธออยู่ในร้านอาหารกึ่งผับใกล้กับร้านที่พวกเขานั่งอยู่พอดี ณัฐนนท์กับไทโรนจึงย้ายร้านตามไปดูจนทำให้เกิดการสลับมือถือกันขึ้น ซึ่งจะโทษเขาก็คงไม่ได้ ในเมื่อเธอทำมือถือตก สร้างสถานการณ์เป็นใจให้เขาเอง

และถ้าหญิงสาวจะไม่พอใจที่เขาเข้าไปตีสนิทกับเธอด้วยจุดประสงค์แอบแฝง เธอก็คงต้องไปต่อว่าพี่ชายเอาเอง

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 ส.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: