บทที่สี่
หลังเลิกงานวันรุ่งขึ้น เนี่ยชังหมิงไปจวนใต้เท้าจางด้วยกันกับต้วนหยวนเจ๋อ
นักพรตเซ่าหยวนเจี๋ยประสบเหตุในเขตมณฑลทหารของพวกเขาสองคน ใต้เท้าจางย่อมต้องเอาเรื่อง ข้อนี้คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าเซ่าหยวนเจี๋ยจะอยู่ในจวนใต้เท้าจาง ไม่ได้เข้าวังหลวง
“ท่านนี้…คือใต้เท้าเนี่ย ผู้บัญชาการมณฑลทหารห้าเขตควบกับเป็นขุนนางบรรดาศักดิ์ที่ใต้เท้าจางพูดถึงใช่หรือไม่” เซ่าหยวนเจี๋ยอายุราวสามสิบ ถามพลางสบตาเนี่ยชังหมิงตรงๆ
ชายหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อย แล้วเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ “ผู้น้อยคือเนี่ยชังหมิง”
“ได้บรรดาศักดิ์ตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น อนาคตต้องไปไกลแน่” ฝ่ายตรงข้ามเยินยอ แล้วเดินเข้ามาใกล้
“นั่นสินะ!” ใต้เท้าจางพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนแรกข้านึกว่าได้เจ้าช่วยดูแลอารักขา นักพรตเซ่าจะต้องปลอดภัยแน่ ไม่นึกเลยว่าในบรรดามณฑลทหารห้าเขต จะเกิดปัญหาในเขตมณฑลทหารของเจ้าคนเดียว”
“ใต้เท้า” ต้วนหยวนเจ๋อพูดอึกอัก “ก็แค่บังเอิญเท่านั้นล่ะขอรับ ในเมืองหลวงมีพื้นที่ใดบ้างที่โจรพวกนี้ไม่เคยก่อเหตุ”
“ข้าให้เจ้าพูดหรือ!” ใต้เท้าจางเอ็ดอย่างฉุนเฉียว แล้วเห็นได้จากทางหางตาว่านักพรตเซ่าเดินวนรอบตัวเนี่ยชังหมิงช้าๆ พลางมองอย่างพิจารณา
“พวกเราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่” นักพรตพลันถามขึ้น
เนี่ยชังหมิงยิ้มละไม นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยน “บ้านเกิดของข้าอยู่ที่หนานจิง ต่อมาขึ้นเหนือ ยังไม่เคยไปบ้านเกิดของท่านนักพรตมาก่อน ไม่น่าจะเคยพบกันได้”
“เช่นนั้นเหตุใด…ข้าถึงได้รู้สึกเหมือนเคยเห็นท่านที่ไหน”
“โลกเรามีคนหน้าคล้ายกันเยอะไป” เขาตอบเนิบๆ
เซ่าหยวนเจี๋ยหรี่ตามองจ้องตาเขาอย่างเพ่งพินิจ “ไม่ ข้าไม่ได้หมายถึงใบหน้า แต่หมายถึงดวงตา เมื่อคืนข้าเห็นแค่ต้วนเจวี๋ยเหยียนำกำลังพลมาช่วย เหตุใดถึงไม่เห็นท่าน”
“เขานำกำลังพลไปช่วยคน ข้านำกำลังพลล่าคนร้าย น่าเสียดายที่จับตัวมาไม่ได้” เนี่ยชังหมิงถอนหายใจ
“ได้ยินว่าเนี่ยเจวี๋ยเหยียวรยุทธ์ล้ำเลิศยิ่งนัก ที่จับจอมโจรเมืองหลวงไม่ได้เพราะมัวแต่ช่วยทั่นฮวาคนใหม่อย่างนั้นหรือ”
“ขอรับ ทั่นฮวาคนใหม่ผ่านไปตรงนั้นพอดี จึงถูกคนร้ายจับเป็นตัวประกัน ข้ามัวแต่ช่วยเขา เลยจับโจรไม่ทัน”
“อย่างนั้นหรอกหรือ” เซ่าหยวนเจี๋ยหันไปถามใต้เท้าจาง “ไม่ทราบว่าจะเชิญใต้เท้าถานออกมาได้หรือไม่”
เนี่ยชังหมิงกับต้วนหยวนเจ๋อหันไปสบตากัน สายตาของฝ่ายหลังแสดงความงุนงงออกมาอย่างชัดเจน ขณะที่เนี่ยชังหมิงตระหนกอยู่ในใจ นึกโมโหที่เมื่อคืนไม่ได้ฆ่าถานอู่ฟูให้ตายไปเสีย เคราะห์ในวันนี้เขาเป็นคนก่อขึ้นมาเอง โทษใครไม่ได้ทั้งสิ้น
จากนั้นบ่าวในจวนก็พาถานอู่ฟูเดินออกมา นางยิ้มระรื่นคำนับใต้เท้าจาง
“ใต้เท้า พ่อครัวในจวนของท่านรสมือชั้นหนึ่งจริงๆ ทำเอาผู้น้อยแทบไม่อยากลุกจากโต๊ะ อยากจะอยู่ที่นี่ไปเลยด้วยซ้ำ…อ้าว เจวี๋ยเหยียทั้งสองก็อยู่ด้วยหรือ”
เนี่ยชังหมิงถามนางผ่านรอยยิ้ม
“ใต้เท้าถานไม่พักรักษาตัวอยู่ในจวน แสดงว่าร่างกายดีขึ้นแล้วอย่างนั้นสิ” มือที่แนบอยู่ข้างลำตัวกำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนท่อนแขนใต้แขนเสื้อ นึกโมโหความโง่งมของตัวเอง
“ยังรู้สึกไม่สบายอยู่นิดหน่อย” นางยิ้มเสแสร้ง “แต่โชคดีใต้เท้าจางเชิญข้ามาชิมอาหารอร่อยๆ ที่จวน ท่านก็รู้นี่ว่าข้ามันตะกละแต่เลือกกิน อยู่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยแม้แต่ของกินเล่นยังต้องจ่ายเงิน ไม่ให้อารมณ์เสียได้หรือ”
“ไม่ต้องอารมณ์เสีย…ไม่ต้องอารมณ์เสีย หากเจ้าชอบกิน ก็เชิญมาที่นี่ได้ทุกเวลา” ใต้เท้าจางยิ้มจนตาหยี ตอนเข้าเฝ้าเบื้องพระพักตร์ในวันนั้น ตนเห็นฉางอู่ฟูแค่ไกลๆ มองหน้าไม่ถนัด รู้แต่ว่าทั่นฮวาคนใหม่ช่างขี้ตื่นสิ้นดี วันนี้มาเห็นชัดๆ ถึงเพิ่งรู้ว่าหน้าตางามล้ำ ทำเอาเขากระสันใจสุดทน
เขาเคยเลี้ยงเด็กหนุ่มมาก่อน ถานอู่ฟูนั้นเป็นหนุ่มน้อย เสียดายที่เป็นขุนนาง ไม่เช่นนั้นก็อยากเอามาเป็นของตัวเองจริงๆ
“ขอบคุณใต้เท้า” นางยิ้มซุกซนพลางใช้หางตาเหลือบมองใบหน้าเรียบเฉยของเนี่ยชังหมิง “ผู้น้อยมีจุดอ่อนตรงเป็นคนตะกละนี่ล่ะ ที่ใดมีของอร่อยก็ไปที่นั่น”
เนี่ยชังหมิงกัดฟันกรอดจนเลือดไหลซิบ เพิ่งตระหนักตอนนี้เองว่าการรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้านั้นยากเย็นเพียงไร
“ใต้เท้าถาน เมื่อคืนเจ้า…ไปเจอจอมโจรเมืองหลวงเข้าได้อย่างไร” เซ่าหยวนเจี๋ยถามแทรกขึ้นมาพลางปรายตามองดวงตาที่ดูคุ้นของเนี่ยชังหมิงอีกครั้ง
ถานอู่ฟูทำไหล่ห่อ รอยยิ้มหดหาย “พูดถึงเรื่องเมื่อคืน…ยังตกใจไม่หายจริงๆ ข้าไม่สบาย เนี่ยเจวี๋ยเหยียใจดีพาไปส่งกลับจวน ปรากฏว่าเจอโจรชั่วเข้ากลางทาง มันจับตัวข้าไป โชคดีภายหลังเนี่ยเจวี๋ยเหยียตามมาช่วย หาไม่ป่านนี้ข้าคงไม่มีชีวิตรอดแล้ว”
“แล้วท่านเห็นหน้าค่าตาโจรถ่อยนั่นชัดหรือไม่”
“มันใช้ผ้าคลุมหน้า จึงมองไม่เห็น”
“รูปร่างเล่า”
“รูปร่างคล้ายเนี่ยเจวี๋ยเหยียยิ่งนัก หากไม่เพราะทั้งสองต่อสู้กันหลายกระบวนท่า ข้าคงนึกว่าเป็นคนคนเดียวกันไปแล้ว” นางตอบด้วยท่าทีซื่อๆ
“หือ?” เซ่าหยวนเจี๋ยกับใต้เท้าจางหันไปสบตากัน ฝ่ายหลังเหมือนจะบอกว่าเขาคิดมากเกินไป “เช่นนั้นแผลของเจ้า…”
“ถูกมีดสั้นฟันเข้าน่ะขอรับ” พอพูดถึงแผล นางก็แกะผ้าพันออกด้วยสีหน้าพรั่นพรึง รอยแผลเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ๆ และใส่ยาได้ไม่นาน ยังมีเลือดซึมออกมาได้ง่าย นางชูข้อมือขึ้นสูงแล้วถอนหายใจ “เนี่ยเจวี๋ยเหยียเองก็ได้แผลเหมือนกัน เพราะตอนไอ้โจรถ่อยมันจะทำร้ายข้า เนี่ยเจวี๋ยเหยียเข้ามาปกป้องข้าจนบาดเจ็บเสียเอง…” น้ำตาใสๆ เอ่อคลอเบ้าเมื่อพูดมาถึงตรงนี้
“ยะ…อย่าร้องน่า…” ใต้เท้าจางโพล่งขึ้น เพราะทนมองเด็กหนุ่มบอบบางน้ำตารื้นไม่ไหว
“ฮึก…ใต้เท้าโปรดอย่าได้หัวเราะ แค่นึกว่าเมื่อคืนตัวเองเกือบต้องจบชีวิตในเมืองหลวง ข้าก็น้ำตาไหลอย่างห้ามไม่อยู่ โชคดีได้เนี่ยเจวี๋ยเหยียช่วยไว้ ไม่เช่นนั้นเรื่องคงไม่จบแค่ข้าได้แผลเล็กน้อยแน่…” พูดพลางใช้ชายแขนเสื้อเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาป้อยๆ
ไม่ใช่เรื่องเหมาะสมที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งจะร้องไห้ให้คนอื่นเห็น ทว่าเด็กหนุ่มคนนี้กลับร้องไห้ได้น่ามองอย่างยิ่ง เห็นแล้วน่าสงสารจับใจ
ใต้เท้าจางรู้สึกเช่นนั้นขณะรีบปลอบ “เอาเถิดๆ อย่าไปพูดถึงเรื่องบ้าๆ พรรค์นี้อีกเลย เจ้ากลับไปพักฟื้นร่างกายดีกว่า อย่าให้แผลปริอีก เรื่องจับโจรให้เป็นหน้าที่ของกองบัญชาการมณฑลทหารห้าเขตเถิด เนี่ยเจวี๋ยเหยีย เจ้าอารักขาถานอู่ฟูกลับไปพักผ่อนไป”
เซ่าหยวนเจี๋ยทำท่าจะพูดอะไรออกมาอีก ติดที่ถูกใต้เท้าจางปรามไว้
ถานอู่ฟูสูดจมูก ค้อมกายคำนับลาออกมา เห็นได้จากทางหางตาว่าเนี่ยชังหมิงรับคำสั่งด้วยสีหน้าสงบ
นางลอบยิ้มกับตัวเอง เขาไม่แสดงความรู้สึกก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเดาใจเขาไม่ได้
หลังออกจากจวนใต้เท้าจาง นางขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว ต้วนหยวนเจ๋อเดินตามเกี้ยวมาสักพักก็พูดขึ้นกับเนี่ยชังหมิงเบาๆ
“ใต้เท้าจาง…หมายตาอู่ฟูไว้กระมัง”
“ต่อให้ถูกหมายตา เขาก็มีวิธีเอาตัวรอดเองอยู่ดี”
“วิธี? วิธีอะไรเล่า เมื่อครู่ไม่เห็นหรือว่าแค่พูดถึงเรื่องเมื่อคืน เขาก็ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว เด็กคนนี้อายุยังน้อย จะรับมือกับเฒ่าเจ้าตัณหาอย่างคนแซ่จางนั่นได้อย่างไรเล่า” ต้วนหยวนเจ๋อแสดงความกังวล
“ข้าเองก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อเช่นกัน” เนี่ยชังหมิงพึมพำ
“หา?” พอดีกับที่เดินมาถึงหัวถนน ต้องแยกกันไปคนละทาง ไม่มีเวลาจะถามมากกว่านี้ ต้วนหยวนเจ๋อจึงได้แต่บอกว่า “เจ้าพาเขาไปส่งไป เตือนเขาด้วยล่ะว่าหลังจากนี้ไม่ต้องไปจวนใต้เท้าจางบ่อยๆ ไม่เคยได้ยินว่าเฒ่าเจ้าตัณหานั่นเอาเด็กหนุ่มมาเล่นก็จริง แต่ระวังตัวไว้เป็นดี”
เฮ้อ เกิดมาหน้าตาดีเกินไปก็เป็นกรรมเหมือนกัน สมัยนี้ไม่ได้มีแต่หญิงงามหรอกที่เสี่ยงอันตราย บุรุษ…ก็เสี่ยงเช่นกัน
“พี่ใหญ่ ต้วนเจวี๋ยเหยียไปแล้วหรือ” เสียงถามดังออกมาจากในเกี้ยว
“อืม เขาไปทางประตูเมือง”
“เช่นนั้นก็หยุดเกี้ยวเถิด” น้ำเสียงเริ่มร้อนรน
พวกสตรีเรื่องมาก คำนี้ไม่ผิดความจริงแม้แต่นิดเดียว เนี่ยชังหมิงสั่งให้คนหามเกี้ยววางเกี้ยวลง แล้วเลิกม่านหน้าเกี้ยวอย่างไม่สบอารมณ์
“หากหิวก็ทนหน่อย…”
นางมุดพรวดออกมาโดยไม่แม้แต่จะมองเขา แล้วไปโก่งคออาเจียนตรงมุมกำแพง
กินของผิดสำแดงอย่างนั้นหรือ
กลิ่นเหม็นจางๆ โชยมา เขามองนางค้อมตัวอาเจียนไม่หยุด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เดินเข้าไปหา
“อ๊อก…” นางอาเจียนออกมาอีกระลอก
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “เจ้า…ไปกินอะไรมา ถึงอาเจียนได้ขนาดนี้”
ถานอู่ฟูส่งเสียงอ๊อกอยู่หลายครั้ง จวบจนอาเจียนสิ่งที่กินเข้าไปเมื่อครู่ออกมาจนหมดสิ้น ถึงได้ยกมือเช็ดคราบเปื้อนตรงมุมปากอย่างอ่อนแรง
“ข้าหิวแล้ว…”
“หิวอีกแล้ว?”
นางยื่นมือมาให้ เขาจ้องเขม็งอยู่สักพักถึงค่อยกลั้นใจเอื้อมมือไปจับ มือนางเย็นเฉียบ ร่างโงนเงน ชายหนุ่มเห็นแล้วรีบถอยหนีไปก้าวหนึ่ง
“หากจะหมดสติก็ขึ้นเกี้ยวก่อน”
“พี่ใหญ่ ท่านช่างอำมหิตเหลือเกิน เสียแรงที่ข้าจริงใจกับท่าน สู้อุตส่าห์ช่วยให้ท่านรอดพ้นความผิดมาได้” พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แก้มนางก็เนืองนองไปด้วยน้ำตา
เนี่ยชังหมิงเบนสายตาหนี แล้วพลันเห็นว่าคนหามเกี้ยวกำลังมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น เขาพยายามดึงมือออก แต่ถูกนางจับไว้แน่น สตรีผู้นี้มียางอายบ้างหรือไม่ ดูท่าจะปลอมตัวเป็นชายจนติดลมบนไปแล้วกระมัง
“พี่ใหญ่ เหตุใดต้องรังเกียจข้าด้วย พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้วแท้ๆ หากข้าคิดอยากขัดแข้งขัดขาท่าน เมื่อครู่เป็นโอกาสทอง แต่ข้าเอาใจมาอยู่ข้างท่าน ท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ”
จะไม่เข้าใจได้อย่างไร ตอนอยู่ในจวนใต้เท้าจาง นางจะเปิดโปงความจริงเสียก็ได้ แต่ก็ยังช่วยเขาปิดบังอำพราง ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าต่อไปหากถูกจับได้ขึ้นมา ตัวนางเองก็จะมีความผิดฐานสมรู้ร่วมคิดไปด้วย
ใช่ว่าเขาไม่อยากเปิดใจรับนาง แต่เขาเป็นคนขี้ระแวงและทำอะไรคนเดียวจนชินเสียแล้ว สัญชาตญาณจึงคอยกีดกันคนอื่นไม่ให้ใกล้ชิดมากเกินพอดี
“พี่ใหญ่?”
“เจ้ามีจุดอ่อนเยอะเหลือเกิน” เขาหุบยิ้ม
“แต่ท่านก็ยังเก็บคนจุดอ่อนเยอะแบบข้าเอาไว้ แสดงว่าท่านใจอ่อนกับข้า ข้าจงรักภักดีต่อท่านนะ พ่อครัวจวนใต้เท้าจางฝีมือดีแล้วอย่างไร ต่อให้เขารสมือเป็นเลิศเหมือนอี้หยา ข้าก็ตัดเขาได้ง่ายๆ ไม่อาลัยอาวรณ์แม้แต่นิดเดียว”
เนี่ยชังหมิงมองฝ่ายตรงข้ามอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยเนิบๆ
“เจ้าแสดงความจริงใจถึงขั้นนี้ ข้ายังจะพูดอะไรได้ อย่าให้ข้าจับได้แล้วกันว่าเจ้าทรยศข้า อู่ฟู” เขาเดินผ่านร่างนางไปแหวกม่านหน้าเกี้ยวให้ แล้วถอนหายใจเฮือก “รีบขึ้นเกี้ยวเถิด น้องชาย”
ถานอู่ฟูลอบถอนใจโล่งอก เขาใจแข็งก็จริง แต่เพราะอายุยังน้อย ไม่เด็ดขาดพอ จึงยอมไว้ชีวิตนาง
ก่อนก้าวขึ้นเกี้ยว เขาพลันถามขึ้น
“เหตุใดจึงอาเจียน ไหนบอกว่าชอบกินอาหารของคฤหาสน์สกุลจางนักไม่ใช่หรือ”
“เพราะข้าไม่กินอาหารของขุนนางกังฉินน่ะสิ” นางตอบคล่องแคล่วเหมือนมีอุดมการณ์ แต่พอนึกถึงรสชาติอาหารของคฤหาสน์สกุลจางก็สะท้านเฮือกไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่อยู่ จะว่าไปคนที่มีรสมือเลิศล้ำดุจอี้หยาตัวจริงคือพ่อครัวคฤหาสน์สกุลเนี่ยต่างหากเล่า หากเขารู้ว่าหนึ่งในสาเหตุที่นางไม่ทรยศเขาคือพ่อครัวที่คฤหาสน์ตัวเอง ไม่รู้จะมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง
“เจ้ารุกเป็นถอยเป็น นิสัยแบบนี้ช่วยให้รับราชการได้อย่างราบรื่น เจ้าตั้งใจจะเป็นขุนนางนานแค่ไหน”
นางยิ้มบาง ตอบตามตรงว่า “ข้ากำลังคิดอยู่”
“คิด? คิดอะไร” เขาจ้องนางเขม็ง เหมือนจะจ้องให้ทะลุเข้าไปถึงความคิด
ในเมื่อนับกันเป็นพี่เป็นน้อง เขาก็ประสงค์จะให้นางตรงไปตรงมากับเขาให้มากที่สุด แม้นางจะไม่ยอมเปิดเผยความลับสุดยอดของนาง แต่ก็ขออย่าได้เสแสร้งตลบตะแลง แบบนี้ถึงจะยืนยันความจริงใจของนางได้
มีหรือนางจะไม่รู้
“คิดว่าเป็นขุนนางสนุกตรงไหนน่ะสิ ไว้ให้ข้าคิดได้แจ่มแจ้งเมื่อไร ก็จะลาออกจากราชการกลับบ้านนอกเอง” นางอมยิ้ม ดวงตาหลุบลงขณะให้คำมั่นอย่างจริงจัง
กับเรื่องนี้ นางใช้เวลาคิดกว่าสามปี
สามปีมานี้ดวงงานของถานอู่ฟูราบเรียบยิ่ง นางยังคงทำงานในสำนักราชบัณฑิตด้วยตำแหน่งอาลักษณ์อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว
หากใครสักคนนึกถึงนางขึ้นมา กว่าครึ่งมักจำชื่อนางไม่ได้ และจะเอ่ยถึงนางว่า
‘ก็หนุ่มคนรักของเนี่ยเจวี๋ยเหยียนั่นอย่างไรเล่า’
‘เห็นว่าสาบานเป็นพี่เป็นน้องกันนะ ไม่ใช่คนรัก!’
หากใครช่วยแก้ต่างให้ ก็ต้องมีคนโต้กลับไปว่า
‘ข้ออ้างทั้งเพ ท่านไม่เห็นหรือว่าเนี่ยเจวี๋ยเหยียดีกับเขาเพียงไร มีแต่เขาคนเดียวนี่ล่ะที่เนี่ยเจวี๋ยเหยียยอมให้นั่งร่วมเกี้ยว ยอมให้อยู่ร่วมเรือน คอยให้คนส่งข้าวส่งน้ำวันละหกมื้อไม่เคยขาด มีอยู่ครั้งหนึ่ง เนี่ยเจวี๋ยเหยียถึงกับมอบปิ่นปักผมให้เขา ปิ่นนะ! แบบที่สตรีใช้กัน มิเท่ากับประกาศโต้งๆ หรือไร’
‘หือ? ท่านไปได้ยินมาจากไหน’
‘ไม่รู้’
‘ไม่รู้ว่าได้ยินมาจากไหน แล้วไปรู้มาได้อย่างไร’
‘ไม่ต้องทำมาเป็นเล่นคำ ในเมื่อมีคนลือก็ต้องมีคนฟัง มีคนฟังก็ต้องมีคนพูด ไม่เช่นนั้นเจ้าลองไปดูหน้าอาลักษณ์สำนักราชบัณฑิตคนนั้นสิว่าจิ้มลิ้มพริ้มเพราจริงหรือไม่ เด็กหนุ่มหน้าตาเช่นนี้ แม้แต่ข้ายังอยากได้เลย…’
ข่าวลือไร้ความสำคัญแพร่สะพัดไปทั่ว จะปิดหูก็ทำไม่ได้ ต่อให้ไม่อยากฟัง ถึงอย่างไรก็ยังเข้าหูไม่น้อยอยู่ดี
หิมะขาวเกล็ดเล็กละเอียดโปรยปรายลงมาติดเครื่องแบบขุนนาง ชายหนุ่มปัดออกเบาๆ ด้วยกิริยาคล่องแคล่วสง่างาม ขุนนางคนแล้วคนเล่าที่เดินผ่านต่างพากันคารวะเขา สายตาบ่งบอกความเคารพเลื่อมใสและริษยาไปพร้อมกัน
เลื่อมใสที่เขาทำงานในสำนักราชบัณฑิตแค่สามปีก็กลายเป็นตัวเลือกที่มีลุ้นว่าจะได้เข้าไปกินตำแหน่งในสภาขุนนางมากที่สุด ริษยาความสามารถและดวงของเขา มีผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งมั่นคงอย่างสกุลอู๋ สถานะในราชสำนักของเขามีแต่จะสูงขึ้นเรื่อยๆ
เขาเป็นคนปกติ มีภรรยา กำลังจะมีลูก ทำความเข้าใจความชื่นชอบแปลกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้ รู้แต่ว่าระหว่างเขากับถานอู่ฟู คนหนึ่งเป็นฟ้า อีกคนเป็นดิน
มองผ่านสีขาวโพลนของหิมะไปก็เห็นถานอู่ฟูเดินตามหลังเขาช้าๆ เกล็ดหิมะตกลงมาเกาะปลายจมูก เจ้าตัวคร้านจะยกมือเช็ดออก เลยย่นจมูกบิดไปมาให้มันตกลงมาแทน มือทั้งสองข้างจับประสานกันอยู่ใต้แขนเสื้อ แก้มแดงเรื่อเพราะอากาศหนาว ดวงตาหลุบต่ำ
เขาชะลอฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว ให้ขุนนางอื่นๆ เดินนำไปก่อน
“อู่ฟู ไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ฝ่ายนั้นเผยอเปลือกตาขึ้น พยายามทำให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่าแล้วตอบยิ้มๆ “ข้าสบายดี ยินดีด้วยพี่เสี่ยนย่า ข้าขออวยพรให้ปีนี้ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นมหาราชบัณฑิตในสภาขุนนาง ได้ยินว่าฮูหยินก็มีข่าวดีด้วยนี่”
ชายหนุ่มยืดอกขึ้นอย่างภาคภูมิ แต่พอเห็นรอยยิ้มสดใสจริงใจบนใบหน้าเหนื่อยล้าของถานอู่ฟู เขาก็เหม่อลอยไปอย่างห้ามไม่อยู่ ตัวเขาเองพยายามอย่างมากในการสร้างสายสัมพันธ์กับขุนนางอื่น ทว่าก็รู้อยู่แก่ใจว่าตนเป็นที่ริษยาของคนเหล่านั้น มีเพียงถานอู่ฟูที่ไม่เคยอิจฉาเขาเลย
“พี่เสี่ยนย่า?”
เขาได้สติกลับมา ประสานมืออวยพรตอบ “วันนี้เป็นวันปีใหม่ ข้าเองก็ขออวยพรให้เจ้า…ให้เจ้า…”
ให้อะไรดีเล่า เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานอย่างนั้นหรือ ใช่ว่าเขาอยากดูถูก ถานอู่ฟูคนนี้นิสัยดีจริง แต่หัวยังดีไม่เท่าบัณฑิตสามัญชนทั่วไปด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าตอนนั้นสอบได้ตำแหน่งทั่นฮวามาได้อย่างไร
ถ้าเช่นนั้นก็ขออวยพรให้…งามกว่าดอกไม้แล้วกัน แม้ว่าความชื่นชอบของเขาเป็นแบบปกติธรรมดา ไม่เคยคิดเกินเลยกับถานอู่ฟู แต่ระยะนี้เขารู้สึกว่าหน้าตาอีกฝ่ายเหมือนสตรีมากขึ้นทุกที สามปีก่อนยังดูเป็นเด็กคนหนึ่ง สามปีให้หลังเมื่ออายุครบยี่สิบ นอกจากจะไม่มีบุคลิกแบบบุรุษ ยังดูละมุนละไมขึ้นด้วยซ้ำ
เขาลอบคิดในใจว่าเป็นเพราะเนี่ยชังหมิงนั่นล่ะ
“อวยพรให้ปีหน้าข้าไม่ต้องมางานถวายพระพรแบบนี้แล้วกัน…” นางงึมงำ วันปีใหม่ทั้งที ต้องมายืนแกร่วหน้าตำหนักเฟิ่งเทียนกับขุนนางอื่นตั้งแต่เช้ายันเย็น ร้องขานว่า ‘ขอทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี’ เพลียจะตายอยู่แล้ว
ถานเสี่ยนย่าหูดี ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก แต่ด้วยความฉลาดจึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
ประตูซีหวาอยู่ข้างหน้านี่แล้ว ในวังหลวงมีกฎห้ามไม่ให้นั่งเกี้ยวหรือรถม้า ต่อเมื่อเดินออกมาแล้วถึงค่อยนั่งเกี้ยวกลับจวนได้ ขุนนางคนอื่นกรูกันเบียดขึ้นหน้าไปจนพวกเขาแยกออกจากกัน ถานเสี่ยนย่าพลันโพล่งถามเบาๆ
“อู่ฟู เจ้าอยากกลับบ้านหรือไม่”
นางหันมายิ้ม “อยาก อยากมากด้วย”
“เช่นนั้น…รอข้าอยู่ข้างนอกนะ ข้าจะไปส่ง”
นางมองหน้าเขา ก่อนจะอ้าปากหาวปล่อยตัวให้ไหลตามฝูงชนออกจากประตูซีหวาไปช้าๆ ไม่ได้รีบรุดเบียดคนออกไป
พอถึงด้านนอก เหล่าขุนนางต่างแยกย้ายไปคนละทาง บ้างขึ้นม้า บ้างนั่งรถม้า บ้างนั่งเกี้ยว นางขมวดคิ้วมองไปรอบๆ
“ขอแสดงความยินดีกับน้องชายที่แคล้วคลาดปลอดภัยไปได้อีกปี”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นข้างตัว จากนั้นลมแผ่วก็พัดเข้ามากระทบร่าง
ไม่ต้องเหลือบตามองก็รู้ว่าคนที่เข้ามายืนข้างๆ คือใคร นางยิ้มสัพยอก “ขอแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่ หนึ่งปีมานี้ท่านแก่ขึ้นไม่น้อยเลย”
“ปีนี้ข้าอายุยี่สิบหก เริ่มมีผมหงอกประปรายแล้ว” เขาถอนหายใจ
นางหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขา “มีผมหงอกก็แสดงว่าพี่ใหญ่ห่วงใยทุกข์สุขปวงประชา ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้ชาติบ้านเมืองอย่างไรเล่า”
“ผิดกับเจ้า ชิงมีความสุขก่อนที่ชาวบ้านเขาจะสุข แต่ทุกข์หลังจากที่ชาวบ้านเขาทุกข์”
“นั่นเป็นเพราะต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็มีพี่ใหญ่รับไว้ให้ข้า ข้าจะต้องกังวลอะไรเล่า”
ก็เพราะอย่างนี้นี่ล่ะ ทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อชาติบ้านเมืองยังไม่เท่าไร สาเหตุหลักคืออกสั่นขวัญแขวนแทนนางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่าจะถูกล่วงรู้ความลับต่างหาก
สามปีก่อนเขาเห็นนางเก่งกาจสามารถ ยังนึกว่าอนาคตจะรุ่งโรจน์ ที่ไหนได้ พอนางมั่นใจว่าตัวเองมีที่พึ่งก็…กลายเป็นเฉื่อยแฉะเสียอย่างนั้น
ถือว่าเขาคาดการณ์พลาดเอง! ได้น้องสาวมาคนก็ดีแต่วางท่า นางฉลาดจริง แต่ใช้ความฉลาดแค่กับตัวเองเท่านั้น
“ขุนนางบุ๋นบู๊แยกกันยืนเป็นฝั่งตะวันออกกับตะวันตก ข้าตาดีเลยมองเห็นพี่ใหญ่ ท่านนี่ยอดจริงๆ งานถวายพระพรจัดตั้งแต่เช้ายันเย็น ท่านยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่นิดเดียว” พูดพลางเดินตามชายหนุ่มไปที่รถม้าคฤหาสน์สกุลเนี่ย
“แต่เจ้ากลับทำเหมือนจะหมดสติให้ได้” ทำเอาเขาพรั่นพรึงเสียไม่มีดี
“ก็ข้าหนาวนี่นา” นางบ่นเบาๆ “งานถวายพระพรอะไรก็ไม่รู้ ปีใหม่ทั้งทีก็ควรได้นอนสบายอยู่ในห้อง นี่ต้องออกมาร้องทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆ ปี มีอะไรน่าสนุกตรงไหน”
“งานพิธีการที่ไม่จำเป็นเช่นนี้ ต้องมีอยู่แล้วล่ะ” เขาสังเกตเห็นว่านางตัวสั่นนิดๆ เลยช่วยกระชับผ้าคลุมกันลมให้แน่นขึ้น ขุนนางโดยรอบเห็นการกระทำน่าคิดลึกของเขาก็พากันมองมาด้วยสายตาแปลกๆ
ถานอู่ฟูเมินสายตาเหล่านั้น ถอนหายใจพูดต่อไปว่า “จะแกล้งป่วยก็ยังไม่ได้ เป็นขุนนางนี่ไม่ง่ายเลยสักนิด” ปกติแอบอู้ได้เมื่อไรเป็นต้องอู้ คนอื่นทำงาน ส่วนนางเอ้อระเหยลอยชายอย่างมีความสุข มีแต่พิธีการหยุมหยิมในราชสำนักนี่ล่ะที่อยากหนีก็หนีไม่ได้
“อู่ฟู เจ้า…คิดได้หรือยัง” เขาถามอย่างมีนัยสำคัญ
นางมองชายหนุ่มแล้ววาดยิ้มบนเรียวปาก “ยัง”
รถม้าจอดรออยู่ข้างหน้า คนรถเปิดประตูให้ เนี่ยชังหมิงช่วยประคองนางขึ้นรถก่อน จากนั้นตัวเองก็ก้าวตามขึ้นไป
“ยังหนาวอยู่หรือไม่” เขาถามพลางเปิดม่านหน้าต่าง ลมหนาวพัดกรูเข้ามาจนนางสะท้าน
“หนาวจนจะแข็งอยู่แล้ว” นางทิ้งร่างนุ่มนิ่มบอบบางไปซุกผ้าห่มเนื้อนุ่มที่เตรียมไว้บนรถ
“เจ้าเป็นคนทางใต้ จะไม่ชินกับอากาศแบบนี้ก็ไม่แปลก” เขาบอก
เขาประจักษ์นิสัยขี้หนาวของนางตั้งแต่ปีแรก กลับจากสำนักราชบัณฑิต นางเป็นต้องตรงดิ่งไปล้มตัวนอนบนเตียงโดยไม่กินข้าวเย็นด้วยซ้ำ ตอนแรกเขานึกว่านางเป็นโรคอะไรสักอย่าง ต่อมาถึงได้รู้ว่าเป็นเพราะนิสัยขี้หนาวของนางนั่นเอง
พอกำลังจะสั่งให้คนรถออกรถ ก็ได้ยินเสียงคนเรียกอยู่ข้างนอก “เดี๋ยว! ช้าก่อน! อู่ฟู อย่าเพิ่งไป!”
“สหายร่วมงานของเจ้าน่ะอู่ฟู”
“อ้อ” นางงึมงำในคอ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย เพราะเดิมทีจวนหลับอยู่แล้ว มาถูกปลุกเสียได้
รอจนนางนั่งเรียบร้อยแล้ว เนี่ยชังหมิงถึงค่อยเปิดประตูรถออกครึ่งหนึ่ง ให้อีกครึ่งที่เหลือบังร่างของนางเอาไว้ จากนั้นก็ส่งยิ้มบางๆ ไปให้ถานเสี่ยนย่า “ใต้เท้าถาน มีอะไรหรือ”
“ก็ไม่มีอะไรหรอก” ถานเสี่ยนย่าเหลือบมองข้างในรถอย่างอดไม่อยู่ “ข้านัดกับอู่ฟูไว้ว่าจะพาเขาไปส่ง”
“จะต้องรบกวนใต้เท้าถานไปไย ข้าเองก็กำลังจะกลับคฤหาสน์สกุลเนี่ยอยู่พอดี ให้เขากลับไปด้วยกันเลยก็ได้ ท่านรีบกลับจวนไปฉลองปีใหม่ดีกว่า” เนี่ยชังหมิงเอ่ยปฏิเสธ
หิมะขาวโพลนปลิวว่อน ลมแรงระลอกหนึ่งพัดเกล็ดหิมะเข้ามาในรถ ถานอู่ฟูจามพรืดแล้วทำตัวหด ถลึงตามองเขาเป็นเชิงตำหนิ
ถลึงตาใส่เขาทำไมกัน อีกฝ่ายไม่ใช่สหายร่วมงานของเขาเสียหน่อย สตรีผู้นี้เหิมเกริมขึ้นทุกที เห็นพี่ชายอย่างเขาเป็นบ่าวคอยไล่แขกไปแล้ว
“อู่ฟู ห่มผ้าสิ!” เนี่ยชังหมิงขมวดคิ้ว ทำท่าจะปิดประตูรถ
ยามนั้นเอง ไม่รู้ว่าถานเสี่ยนย่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ถึงได้จับประตูรถเอาไว้พลางว่า “ได้ยินว่าพอถึงเทศกาลทีไร หากเจวี๋ยเหยียไม่ได้ออกลาดตระเวนเมืองหลวง ก็จะอยู่ในคฤหาสน์สกุลเนี่ยกับสหายสนิทสี่ห้าคน ถกประเด็นเรื่องความเป็นไปของชาติบ้านเมืองในอนาคต แม้ข้าจะทำงานในสำนักราชบัณฑิต แต่ก็ห่วงใยทุกข์สุขของราษฎรด้วยเช่นกัน ไม่ทราบว่าคืนนี้ข้าขอไปเข้าร่วมด้วยอีกคนได้หรือไม่” พูดจบก็พบว่าเนี่ยชังหมิงไม่ได้มองเขา หากแต่ทอดสายตามองผ่านตัวเขาไปหยุดอยู่ด้านหลังไกลๆ
เขาหันไปมอง พบว่าในกลุ่มสหายร่วมงานที่ยืนกระจัดกระจายหน้าประตูซีหวา ใครคนหนึ่งกำลังมองมาทางนี้เช่นกัน เป็นเซ่าหยวนเจี๋ยที่ได้รับความไว้วางพระทัยอย่างสูงจากจักรพรรดินั่นเอง
“หากข้ายังปฏิเสธอีกก็เท่ากับไม่ไว้หน้าใต้เท้าถาน เชิญขึ้นมาเถิด” เนี่ยชังหมิงพูดปุบปับพร้อมเปิดประตูรถให้ ลังเลอยู่สักพักเขาก็พูดเบาๆ กับถานอู่ฟูก่อนที่ถานเสี่ยนย่าจะก้าวขึ้นมา “ขออภัยที่ล่วงเกิน”
ร่างสูงใหญ่ขยับเข้าไปหาหญิงสาว เว้นที่ที่นั่งอยู่เมื่อครู่ให้ถานเสี่ยนย่า
“พี่ใหญ่มัดใจคนเก่งจริงๆ ไม่ตกหล่นแม้แต่คนเดียว” นางหาว ท่าทางจะไม่ได้ยินคำขอขมาเมื่อครู่ของเขา
“ข้าทำเพื่อเจ้าหรอกนะ อดทนหน่อย กลับไปค่อยนอน” เขากระซิบข้างหูนางเบาๆ
หญิงสาวส่งเสียงงัวเงีย พอถานเสี่ยนย่าก้าวขึ้นมาอีกคน รถม้าก็แคบไปถนัดใจ เขาขายาวแขนยาว จึงไปโดนมือทั้งสองข้างของถานอู่ฟูโดยไม่ได้ตั้งใจ และทำท่าจะอุทานว่ามือนางเย็นเหลือเกิน
แต่แล้วเนี่ยชังหมิงก็ปัดมือนางออกแบบไม่ให้ตั้งตัว เพื่อจะได้ไม่ถูกเขาสัมผัส
“เจ็บนะ” ขนตาหนาเป็นแพของนางขยับเบาๆ คิ้วขมวดเข้าหากัน
เนี่ยชังหมิงยิ้มบาง “ห่มผ้าเสียให้เรียบร้อย อย่าให้มือเท้าโผล่ออกมา เดี๋ยวก็หนาวหรอก”
ถานเสี่ยนย่าใจเต้นแรงขึ้นหนึ่งจังหวะ เขาประสานสายตาเข้ากับเนี่ยชังหมิง ขยับริมฝีปากอยู่ชั่วครู่ถึงหาคำพูดเจอ “ในเมื่อถานอู่ฟูหนาว เช่นนั้น…เช่นนั้นข้าเอาม่านหน้าต่างลงแล้วกัน…”
“ไม่ต้อง ใต้เท้าถาน อากาศในรถไม่ถ่ายเท” เนี่ยชังหมิงห้ามอย่างสุภาพ
“อ้อ…ขอรับ…” ทั้งคู่ไม่ได้ทำอะไรผิดปกติเลยแท้ๆ แต่ถานเสี่ยนย่าก็ยังหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ ไม่รู้จะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหนดี สุดท้ายก็ถามด้วยเสียงอันดัง “ได้ยินว่าปีก่อนเจวี๋ยเหยียถวายรายงานขอให้เสริมกำลังกองทัพป้องกันชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้อย่างนั้นหรือ”
ถานเสี่ยนย่ากระแอมสองที แล้วเห็นถานอู่ฟูที่หลับตานอนสะดุ้งเบาๆ เขาลองกระแอมอีกที ถานอู่ฟูก็สะดุ้งอีก แต่ไม่ยอมลืมตาขึ้นมา เห็นแล้วพลันนึกถึงแมวที่ฮูหยินของเขาเลี้ยงไว้ในบ้าน ช่าง…ตลกดีเหลือเกิน
“ชาวบ้านแถบชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงใต้มีความเป็นอยู่แร้นแค้นฝืดเคือง การมีกองกำลังของราชสำนักปกป้องช่วยข่มขวัญพวกโจรสลัดวอโค่ว* ได้ไม่มากก็น้อย น่าเสียดายที่รายงานของข้าถูกตีกลับมา”
คำตอบของเนี่ยชังหมิงดึงสติถานเสี่ยนย่ากลับมาชั่วขณะ “อย่างนี้นี่เอง” เขายิ้มเก้อๆ แล้วเบนสายตาไปหาใบหน้ายามหลับใหลของถานอู่ฟูอีกครั้ง ก่อนจะกระแอมใหม่ นางขยับตัวเล็กน้อยตามคาด
“อู่ฟู อย่าหลับสิ” ดูเหมือนเนี่ยชังหมิงจะสังเกตเห็นสายตาผิดปกติของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อยากเสียมารยาทเขย่าตัวปลุกนาง จึงเอื้อมมือผ่านร่างแบบบางไปหยิบกล่องฉวนเหอมาแทน “อ้าปาก”
“อือ…”
“อู่ฟู”
กลีบปากสีชมพูเผยอออกเล็กน้อย เนี่ยชังหมิงป้อนวุ้นพุทราเปรี้ยวให้กิน นางทำหน้าย่น ลืมตาโพลง หายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“เปรี้ยวนัก!”
“เปรี้ยวสิดี ช่วยเรียกน้ำย่อย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่าได้อีกด้วย” นี่คือของวิเศษที่พ่อครัวคฤหาสน์สกุลเนี่ยทำมาเพื่อแก้อาการของนางโดยเฉพาะ “เห็นคนในจวนบอกว่าเมื่อวานเจ้าเข้าห้องไปนอนทันทีโดยไม่กินข้าวเย็น เจ้าต้องกินวันละหกมื้อ วันนี้ก็ไม่กินอีก เดี๋ยวก็ป่วยเอาหรอก เมื่อป่วยก็ต้องไปหาหมอ เจ้าไม่ชอบไปหาหมอไม่ใช่หรือไร”
“พี่ใหญ่ช่างล่วงรู้จริงๆ” นางบ่นอย่างหงุดหงิด แล้วหยิบวุ้นพุทราเปรี้ยวใส่ปากเองอีกชิ้น
ถานเสี่ยนย่ามองคนทั้งคู่จนตาแทบถลน รักร่วมเพศคืออะไร วันนี้เขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว! ที่แท้ความรักระหว่างบุรุษกับบุรุษก็เหมือนความรักระหว่างบุรุษกับสตรี ถานอู่ฟูกับเขาทำงานด้วยกัน ปกติเขารู้สึกแค่ว่าฝ่ายนั้นหน้าตาคล้ายสตรี ซึ่งบุรุษไม่น้อยก็หน้าตาเช่นนี้ เวลาที่อยู่ใกล้ๆ กันจะได้กลิ่นหอมรวยรินออกมาจากกายเจ้าตัว อากัปกิริยาดูนุ่มนวล แม้จะโง่งมอยู่สักหน่อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเกินเยียวยา…
ต้องมาเห็นคนอย่างนี้พลัดเข้าไปในโลกที่มีผู้คนรังเกียจ ศีลธรรมในใจทำให้เขา…ทนมองไม่ไหวจริงๆ
ทันทีที่รถจอด ถานเสี่ยนย่าก็พรวดพราดลงไปเป็นคนแรก
“พี่ใหญ่ เขาเป็นอะไรไปน่ะ”
“คิดเลื่อนเปื้อนน่ะสิ” เนี่ยชังหมิงตอบเนิบๆ
“เขาอยู่บ้านแล้วคับอกคับใจ พี่ใหญ่ดีกับเขาหน่อยแล้วกัน”
“หือ? ข้านึกว่าพวกเจ้าไม่สนิทกันเสียอีก นึกไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องที่บ้านเขายังเอามาเล่าให้เจ้าฟังด้วย” เขาไม่ได้คบหากับถานเสี่ยนย่า แต่ก็เคยเจอหน้าอยู่หลายครั้ง ดูออกว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะระบายความคับใจให้คนนอกฟัง
“ข้าเดาเอาน่ะพี่ใหญ่” นางยกมือปิดปากหาว “ปีใหม่ทั้งที แต่คนมีครอบครัวแล้วกลับมาขลุกอยู่กับเหล่าชายไร้คู่ ท่าทางจะมีปัญหากับที่บ้านถึงได้ไม่อยากกลับ ฮูหยินของเขาเป็นธิดาขุนนาง ย่อมต้องเอาแต่ใจบ้าง จะทะเลาะกันก็ไม่แปลก”
เนี่ยชังหมิงมองนางอยู่นาน จนมั่นใจว่านางไม่ได้จงใจคอยจับสังเกตถานเสี่ยนย่า จึงค่อยแกล้งพูดยิ้มๆ “โชคดีที่ตอนนั้นเจ้าได้เป็นแค่ทั่นฮวา ไม่เช่นนั้นคนที่ต้องคับอกคับใจวันนี้ก็คือเจ้า”
ถานอู่ฟูเพียงแต่ยิ้มโดยไม่ว่ากระไร การไม่ตอบก็ถือเป็นการปกป้องตัวเองเช่นกัน ปากมากมักพลาดง่าย ข้อนี้นางรู้อยู่หรอก เมื่อใดที่เขาพูดจาเป็นนัยเช่นนี้ นางจะสงสัยเสมอว่าเขามองอะไรออกแล้ว
มองเพศที่แท้จริงของนางออก? เป็นไปได้ด้วยหรือ เท่าที่ทำงานในราชสำนักมา ไม่มีใครมองออกว่านางเป็นหญิงในคราบชาย แล้วเขาจะมองออกได้อย่างไรเล่า
“เจวี๋ยเหยีย รีบลงจากรถม้าเถิดขอรับ!” ถานเสี่ยนย่าส่งเสียงร้อนรนเรียกอยู่ข้างนอก เหมือนนึกเสียใจว่าเมื่อครู่ไม่น่ารีบลงมาเร็ว แล้วปล่อยให้ถานอู่ฟูอยู่กับเนี่ยชังหมิงตามลำพัง
“อู่ฟู จะให้ข้าช่วยพยุงลงจากรถหรือไม่” เนี่ยชังหมิงถามพร้อมยื่นมือไปให้
หญิงสาวได้สติกลับมา แล้วคลี่ยิ้มตามความเคยชิน “ขอบคุณพี่ใหญ่” แต่พอจะจับมือแข็งแรง เขากลับเลี่ยงหนีอย่างแนบเนียนด้วยการจับข้อมือใต้แขนเสื้อของนางไว้แทน แล้วจูงนางลงจากรถ
สัญญาณเตือนภัยดังวาบขึ้นในใจ ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว นางไม่อยากเปลืองสมองคิดมาก และยิ่งไม่อยากเชื่อว่าตนมีพิรุธให้เขาจับได้ ยอมมองว่าคิดมากไปเองดีกว่า หาไม่นางจะรู้สึกเสียศักดิ์ศรี
“อา หิมะตกหนักขึ้นทุกทีแล้ว” ถานอู่ฟูพึมพำพลางแหงนหน้ามองหิมะที่ปลิวว่อนเต็มฟ้า ก่อนจะโปรยปรายลงมาทับถมกันบนพื้น
“หิมะตกเหมือนกันอย่างนี้ทุกปี แต่สตรีเล่า” เนี่ยชังหมิงเอ่ยเป็นนัย คล้ายกำลังสื่ออะไรบางอย่าง “สตรีมีความสาวสะพรั่งให้ผลาญได้สักกี่ปี เจ้าว่าจริงหรือไม่ อู่ฟู”
นางตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “พี่ใหญ่รำพึงรำพันเสียแล้ว ท่านเองก็ใกล้จะสามสิบเต็มที เหตุใดถึงยังไม่แต่งงานเสียทีเล่า”
“ใจข้ามีแต่ราชสำนัก”
“คิดจะอยู่ตัวคนเดียวไปทั้งชีวิตหรือไร” นางถามต่อ
เนี่ยชังหมิงยักไหล่ ก่อนจะตอบยิ้มๆ “ที่บ้านเกิด ข้ามีพี่น้องร่วมสายเลือด ในราชสำนักนี่ ข้ามีน้องชายที่รู้ใจอยู่เป็นเพื่อนก็เพียงพอแล้ว ชีวิตนี้ความรักที่ข้าต้องการก็มีแค่นี้ล่ะ เจ้าเล่า เจ้าเองก็จะอยู่อย่างไร้คู่ไปทั้งชีวิตเหมือนกันหรือ” นางไม่แต่งงานไปตลอดแบบเขาไม่ได้หรอก
“ข้า?” หญิงสาวนิ่งคิดเล็กน้อย ก่อนจะเลิกคิ้วยิ้มๆ “ข้ากับพี่ใหญ่เป็นพี่น้องร่วมใจ ในเมื่อร่วมใจ ข้าก็จะครองตัวไร้คู่กับพี่ใหญ่ไปทั้งชีวิต”
“พูดจาส่งเดช” เขางึมงำ
ละอองหิมะสีขาวเงินตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดกระโชกแรงจนโคมไฟบนหลังคารถม้าดับลง ท่ามกลางความมืดสลัว แลเห็นแสงเงินส่องกระทบใบหน้านางได้เลือนราง นางยิ้มอยู่ ทว่าเขาอ่านความรู้สึกใต้รอยยิ้มของนางไม่ออก
วันๆ เขาได้แต่ทำงานอยู่ในราชสำนัก เจอสตรีที่ยังสาวและยังไม่ได้ออกเรือนน้อยคน นางเป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวที่ใกล้ชิดกับเขา นางไม่เคยทรยศหักหลังเขา เปิดใจคุยกับเขาได้ทุกอย่างตั้งแต่เรื่องชาติบ้านเมืองลงไปถึงความชอบส่วนตัว มีแต่เพศที่แท้จริงเท่านั้นที่นางไม่เคยปริปากให้ฟัง
นางไม่พูด เขาก็ไม่ถาม เพียงแต่ในบางครั้งจะรู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้งอยู่ในใจ เสียดายที่นางคิดการใหญ่ไม่เป็น ขอแค่เป็นอาลักษณ์ในสำนักราชบัณฑิตไปวันๆ ก็พอ หากนางเป็นชาย เขาจะเค้นให้นางแสดงความสามารถออกมาให้ได้ แต่นี่นางเป็นสตรี…
สามปีก่อนเขานึกแค้นใจที่นางไม่ใช่บุรุษ สามปีให้หลังเขากลับนึกแค้นระบบสอบเข้ารับราชการที่กีดกันสตรี!
“พี่ใหญ่ ท่านถอนใจอีกแล้วนะ ระยะนี้บ้านเมืองเกิดวิกฤตขึ้นจริงๆ อย่างนั้นหรือ”
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจอีกครั้งพลางนึกในใจ ที่ทอดถอนใจอย่างนี้ สาเหตุไม่ได้มาจากชาติบ้านเมือง แต่มาจากนางต่างหาก!
ต่อให้คนรอบข้างมองมาด้วยสายตาแปลกๆ เขาก็ยังเห็นนางเป็นน้องสาวจากใจจริง และคอยลอบปกป้องชื่อเสียงของนางมิให้ด่างพร้อย โดยพยายามรักษาระยะห่างกับนางให้มากที่สุด วันข้างหน้าหากนางพึงใจหนุ่มบ้านใด เขาก็จะจัดการให้นางออกเรือนไปอย่างมีหน้ามีตา
แต่มีข้อแม้คือบุรุษผู้นั้นจะต้องสติปัญญาดีพอ ยอมรับนางได้ และ…กล้าแต่งงานกับนาง
พอคิดว่าเมื่อนางแก่ตัวลงเรื่อยๆ บุรุษที่ตรงตามเงื่อนไขยิ่งน้อยลงทุกที เขาก็ปวดหัวหนักกว่าเดิม
ช่างน่าปวดหัวนัก
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 ส.ค. 62)
Comments
comments