บทที่ 2
ริมน้ำ
กานต์นั่งตัวตรงอยู่บนโซฟาภายในออฟฟิศของภักดิ์โภคิน เมื่อคืนนี้เธอกลับจากการสังสรรค์กับพลพรรค Archwin ค่อนข้างดึก แต่ก็ไม่ลืมพิมพ์ข้อความไปบอกข่าวกับหทัยรัตน์ว่าเธอมีแนวโน้มจะรับงานรีโนเวตบ้าน ถึงเธอจะไม่ได้เซ็นสัญญากับโมเดลลิ่งที่เพื่อนทำงานอยู่อย่างเป็นทางการ ทว่าที่ผ่านมางานในแวดวงมายาของเธอเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ถูกติดต่อผ่านโมเดลลิ่งแห่งนี้ทั้งสิ้น ดังนั้นถ้ามีงานอื่นก็ต้องบอกให้เพื่อนรับรู้ไว้เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการ และเธอก็ถือโอกาสปรึกษาเพื่อนเรื่องการขอโทษบุษบาด้วย
‘เออ ฉันว่าจะคุยกับแกเรื่องนี้พอดี’ หทัยรัตน์ถึงกับโทรมาหลังจากอ่านข้อความ ‘ช่วงบ่ายแกไปดูบ้าน แต่พรุ่งนี้เช้าแกว่างใช่ไหม ฉันจะได้ลองติดต่อไปหาเลขาฯ คุณบุษบาว่าเขาว่างให้แกเข้าไปขอโทษไหม’
‘เอาสิ’
‘ว่าแต่แกคิดเรื่องไปขอโทษแล้วได้วางแผนอะไรไว้บ้างหรือเปล่า’
‘ยังไม่ได้วางแผนอะไรเลย’ กานต์ยอมรับตามตรง ‘คือฉันว่าคงไม่ได้เจอเขาง่ายๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะเร็วขนาดพรุ่งนี้’
‘ความจริงคุณบุษบาออกงานตลอด แต่โอกาสที่แกจะได้เจอเขาก็ไม่ใช่ง่ายๆ จริงๆ นั่นแหละ เพราะเขาออกแต่งานเบ้งๆ ทั้งนั้น ดังนั้นฉันว่าแกขอนัดเจอเขาเลยดีที่สุด’ หทัยรัตน์บอก
‘แล้วแกคิดว่าพรุ่งนี้เช้าเขาจะว่างไหม’
‘น่าจะว่างนะ ตอนนี้คุณบุษบาเขาไม่ได้ทำงานอะไรจริงจังหรอก หลานชายเลี้ยงอย่างดี ถ้าไม่ได้ไปเที่ยว ออกงาน หรือมีนัดก็น่าจะว่างอยู่’ เพื่อนให้ข้อมูล ‘นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ฉันอยากให้แกไปขอโทษคุณบุษบา เพราะถึงเขาจะไม่ได้ทำงาน แต่เขาก็มีอิทธิพลในธุรกิจล้านแปดของภักดิ์โภคินนะ ได้ยินว่าคุณบุษบาไปช่วยงานจำพวกงานการตลาดงานพีอาร์บ่อยๆ เป็นคนตัดสินใจเรื่องพรีเซ็นเตอร์อะไรต่างๆ ด้วย หรือไม่งั้นอย่างน้อยให้คุณบุษบาเรียกใช้แกเวลาจัดงานปาร์ตี้ก็ได้’
สรุปว่านี่ไม่ใช่แค่การขอโทษสำหรับความผิดที่ก่อขึ้น มันมีเรื่องธุรกิจและผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแล้วก็เป็นเรื่องเข้าใจได้…เมื่อก่อนกานต์เป็นคนที่ไม่คิดอะไรทำนองนี้เลย ทว่าโลกก็สอนกึ่งบังคับให้เธอเรียนรู้ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังสู้หทัยรัตน์ที่คิดคำนวณเรื่องพวกนี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติไม่ได้อยู่ดี ต้องยอมรับว่าบางทีเธอก็คิดไปไม่ถึง
เพื่อนสนิทดูแลเธอมาแต่ไหนแต่ไร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เรียนห้าปี หทัยรัตน์เลยจบก่อนเพราะนิเทศฯ เรียนแค่สี่ปี แต่อีกฝ่ายก็ยอมเช่าหอพักอยู่แถวมหาวิทยาลัยด้วยกันต่ออีกปีเพื่อไม่ให้เธอลำบากเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งที่ตอนนั้นเจ้าตัวได้งานในบริษัทที่อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยค่อนข้างมาก และด้วยความที่การเรียนสถาปัตย์มีธรรมชาติที่ค่อนข้างแตกต่างจากคณะอื่น บ่อยครั้งที่เพื่อนต้องช่วยจัดการธุระปะปังให้เธอ พูดได้ว่าถ้าไม่มีหทัยรัตน์ ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของเธอก็อาจจะยากลำบากกว่าที่ประสบมามาก
อันที่จริงชีวิตนอกรั้วมหาวิทยาลัยก็เช่นกัน กานต์ปล่อยให้หทัยรัตน์ย้ายไปอยู่กับแฟนตอนเธอเรียนจบ แต่เพื่อนก็ยังดูแลเธออยู่ดี ถ้าไม่มีอีกฝ่ายเธอก็คงไม่ได้ก้าวเข้ามาในวงการนางแบบ หทัยรัตน์บอกว่าอยากชวนเธอเข้าวงการตั้งแต่ได้ไปฝึกงานที่โมเดลลิ่งแล้ว ทว่าเพื่อนไม่ได้เอ่ยปากและรอจนเธอเรียนจบทำงานก่อนแทน
ถ้าจะมีใครบนโลกที่กานต์เชื่อว่าหวังดีกับเธอจากใจจริงโดยไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันก็ต้องเป็นหทัยรัตน์นี่เอง
“คุณบุษกำลังมานะคะ” เลขานุการสาวที่แนะนำตัวว่าชื่อจริยาเดินมาแจ้งข่าว
“ขอบคุณค่ะ” กานต์ยิ้มรับ
อีกฝ่ายส่งยิ้มตอบกลับและยังมองมาอยู่ แต่พอผ่านไปอึดใจก็เหมือนรู้ตัวว่าไม่เหมาะเลยรีบส่งยิ้มให้เธออีกครั้งแล้วหมุนกายจากไป
กานต์อมยิ้ม ไม่ได้ติดใจถือสา เธอชินเสียแล้วกับการที่มีคนทำท่าคล้ายไม่แน่ใจว่าเธอเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย รวมถึงคนที่มองมาด้วยสายตาประหลาดยามเธอพูดลงท้ายว่า ‘ค่ะ’
หญิงสาวนั่งนึกถึงประสบการณ์เก่าๆ ที่เคยเผชิญมาแล้วขำ ไม่นานบุษบาก็ปรากฏกายโดยมีเลขานุการตามมาด้วย
“สวัสดีจ้ะ ขอโทษที่ให้รอนานนะ”
“สวัสดีค่ะ” กานต์ลุกยืนเต็มความสูงแล้วยกมือไหว้ “หนูมาขอเข้าพบค่อนข้างกะทันหัน ต้องขอโทษเหมือนกันค่ะ”
หทัยรัตน์โทรมาหาเธออีกครั้งเมื่อเช้าเพื่อแจ้งข่าวว่าบุษบายอมให้เธอมาพบที่ออฟฟิศ และยังบอกด้วยว่าความจริงแล้วน้าของธีรดนย์ไม่ได้มีความจำเป็นต้องเข้ามาที่นี่ แต่เมื่อเธอขอพบท่านก็จะเข้ามาเจอ อันที่จริงเพื่อนก็อยากจะมาด้วย ทว่าเวลาไม่ลงตัว
“ไปคุยกันในห้องดีกว่าจ้ะ” บุษบารับไหว้ทั้งรอยยิ้ม ท่านผายมือเป็นเชิงเชื้อเชิญนิดหนึ่ง ก่อนจะเดินนำหน้าไปเปิดประตูห้องทำงาน กานต์เลยหันไปหยิบถุงกระดาษที่หิ้วติดมือมาด้วยแล้วเดินตามเข้าไป
เลขานุการสาวตามเข้ามาด้วย หลังจากสอบถามแล้วได้คำตอบว่าทั้งเจ้านายและแขกไม่ต้องการเครื่องดื่ม เธอก็กลับออกไปพร้อมกับปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย ขณะที่เจ้าของห้องเดินไปนั่งที่โซฟาแทนที่จะเป็นโต๊ะทำงาน กานต์เลยต้องตามไปนั่งตรงนั้นด้วย
“เห็นว่าหนูอยากเจอฉัน มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“หนูอยากจะมากราบขอโทษเรื่องเมื่อคืนวันงานเลี้ยงวันเกิดค่ะ คืนนั้นหนูทำตัวไม่เหมาะสม อีกอย่างหนูได้รับการว่าจ้างให้ไปทำงาน แต่คืนนั้นหนูก็ทำงานได้ไม่เต็มที่ด้วย” กานต์ยกมือไหว้ขอโทษ
“จ้ะ” บุษบาพยักหน้ารับ สีหน้าท่าทางไร้แววขุ่นเคืองใดๆ ซ้ำดวงตาที่ได้รับการตกแต่งอย่างงดงามยังจ้องมองใบหน้าของกานต์อย่างสนอกสนใจด้วย “ขอบคุณนะจ๊ะที่มาขอโทษถึงนี่ ความจริงฉันก็กำลังคิดว่าอยากเจอหนูอยู่พอดี แต่ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอกนะ แค่อยากเห็นหน้าหนูชัดๆ อีกรอบ คืนงานเลี้ยงแสงมันสลัวๆ ไปหน่อย”
กานต์ยิ้มรับ ไม่ได้งุนงงสงสัยหรือแปลกใจใดๆ เพราะบุษบาไม่ใช่คนแรกที่สนอกสนใจใบหน้าของเธอจากการที่เป็นผู้หญิงแต่แต่งตัวเป็นผู้ชายได้เนียนไม่ขัดตา
“หนูนี่หน้าตาดีแบบเก๋มากเลยนะ แต่งได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย น่าสนุกจัง” บุษบาชม ซึ่งหญิงสาวก็ยิ้มรับเพราะถือว่าเป็นคำชม “พูดตรงๆ นะ ที่ฉันจ้างหนูไปที่งานเลี้ยงก็เพราะอยากเจอตัวนี่แหละ พอดีมีเพื่อนคนนึงเล่าให้ฟังว่ามีนางแบบที่รับงานในฐานะนายแบบด้วย คืนนั้นเห็นหนูแวบแรกจากไกลๆ ฉันยังนึกว่าเป็นผู้ชายจริงๆ พอได้เห็นใกล้ๆ ถึงรู้ว่าเป็นผู้หญิง…ขอถามเรื่องส่วนตัวนิดนึงนะ ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบก็ได้ ชื่อกานต์นี่เป็นชื่อในวงการหรือเป็นชื่อจริงจ๊ะ”
“ชื่อจริงค่ะ หนูชื่อกานต์สั้นๆ คำเดียวเลย”
“ชื่อหนูเพราะนะ แต่พอเป็นคำเดียวเลยยิ่งชวนให้สับสนว่าเป็นผู้ชายเข้าไปใหญ่” บุษบาออกความเห็น
“มีคนเข้าใจว่าหนูเป็นผู้ชายหน้าหวานที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงบ่อยๆ ค่ะ แต่ส่วนใหญ่พอได้คุยกันแล้วก็จะรู้ว่าหนูเป็นผู้หญิง” หญิงสาวเล่าทั้งรอยยิ้มขัน
กานต์เป็นชื่อที่ก้ำกึ่ง คือสามารถใช้เป็นชื่อของทั้งผู้หญิงและผู้ชายได้ทั้งคู่ ด้วยความหมายของชื่อที่แปลว่า ‘เป็นที่รัก’ ทว่าน้อยนักที่ผู้หญิงจะมีชื่อจริงพยางค์เดียว คนเลยมักคิดไปว่ามันน่าจะเป็นชื่อของผู้ชาย แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็รักชื่อนี้ เพราะมันเป็นชื่อที่ยายตั้งให้
“แหม แต่วันนั้นหนูใช้คำว่าครับด้วยนะ เสียงก็เหมือนต่ำกว่านี้ ฟังเหมือนเสียงผู้ชายมาก ขนาดเห็นหน้าใกล้ๆ ฉันยังไม่แน่ใจเลย” บุษบาหัวเราะ
“คือคืนนั้นหนูถูกบรีฟมาว่าให้เป็นนายแบบน่ะค่ะ ปกติพอโดนบรีฟหนูก็จะใช้คำพูดแบบผู้ชายกับดัดเสียงนิดหน่อย จนหลังๆ นี้ชินไปเลย” เธอยิ้มแห้งๆ
“เสียงหนูก็ก้ำกึ่งด้วยล่ะ พอดัดนิดก็เหมือนเสียงผู้ชายเลย เกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ นะ เก๋มาก” หญิงสูงวัยชอบอกชอบใจ
“เอ้อ หนูมีของเล็กๆ น้อยๆ มาให้ด้วยค่ะ” กานต์นึกขึ้นได้และรีบหันไปหยิบถุงกระดาษที่วางอยู่ด้านหลังออกมา…เธอไม่ค่อยถนัดเรื่องการเข้าหาผู้ใหญ่เท่าไหร่ คราวนี้ก็ยังไม่วายเอ๋อเกือบลืมเอาของที่หิ้วมาให้ท่าน ถ้าหทัยรัตน์รู้เข้าคงจะแยกเขี้ยวใส่
“ขอบใจนะจ๊ะ จริงๆ ไม่ต้องก็ได้” บุษบารับถุงไปเปิดดู จากนั้นก็หยิบของในถุงออกมาดูอย่างสนใจ “เอ๊ นี่อะไรเนี่ย น่ารักจัง”
“ชุดยาหม่องยาดมเรนโบว์ค่ะ ทำจากสมุนไพรพื้นบ้านแล้วก็ดอกไม้” กานต์ตอบจากนั้นก็บอกคร่าวๆ ว่ายาหม่องยาดมแต่ละสีมีคุณสมบัติแตกต่างกันอย่างไร
ชุดยาหม่องยาดมนี้เป็นธุรกิจของเพื่อนเธอเอง เวลาต้องหาของไปฝากผู้ใหญ่เธอมักจะซื้อของชุดนี้ไปเพราะราคาไม่แพงมาก แต่ขณะเดียวกันก็ใช้งานได้จริงและดูดีด้วยแพ็กเกจที่ได้รับการออกแบบให้ทันสมัย ส่วนเรื่องคุณภาพนั้นไม่ต้องห่วงเพราะยายของเธอเองก็ชอบใช้ยาหม่องยาดมพวกนี้มากเหมือนกัน
“ต๊าย ดีจังนะ เพิ่งรู้ว่ามีแบบนี้ด้วย แพ็กเกจก็น่ารัก พกได้แบบเก๋ๆ เลย” บุษบาชอบอกชอบใจ “ขอบคุณมากนะจ๊ะ ฉันชอบมากเลย”
พอได้ยินแบบนี้กานต์ก็ยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ อันที่จริงเธอก็ไม่ค่อยมั่นใจนักตอนเลือกหยิบชุดยาดมยาหม่องนี้มา เพราะบุษบาไม่เหมือนผู้ใหญ่คนอื่นที่เธอเคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว อย่างน้อยก็คือเรื่องความไฮโซ จากการทำงานทำให้เธอเจอพวกไฮโซแปลกๆ มาไม่น้อยเหมือนกัน ทว่าเท่าที่สัมผัสมาจนถึงตอนนี้บุษบาติดดินและทำตัวธรรมดามากทีเดียว
“แล้วนี่เดี๋ยวหนูต้องไปไหนต่อหรือเปล่า ถ้าว่างไปกินข้าวเที่ยงกับฉันดีไหม”
กินข้าว? กานต์ถึงกับเหวอไปชั่วขณะ นี่ถือว่าเกินความคาดหมายอย่างแท้จริง แต่เธอก็รีบตั้งสติแล้วตอบกลับ
“เดี๋ยวหนูต้องไปทำงานต่อค่ะ”
“เหรอ แหม เสียดายจัง งั้นไว้คราวหน้าก็ได้”
หญิงสาวงุนงงแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยิ้มรับ ที่บุษบาดูเอื้อเอ็นดูเธอนั้นก็ดีอยู่หรอก ทว่าถึงขั้นชวนไปกินข้าวทั้งที่เพิ่งรู้จักกันอย่างเป็นทางการก็ทำให้เธออดหวาดระแวงไม่ได้อยู่เหมือนกัน เพราะเธอเคยได้ยินว่าอีกฝ่าย ‘เลี้ยง’ ชายหนุ่มหน้าตาดีอยู่บ้าง ถึงเธอจะไม่ใช่ผู้ชายแต่…ก็นั่นแหละ บางทีบุษบาอาจมีความแปลกไม่แพ้ไฮโซคนอื่นที่เธอเคยเจอก็ได้
มอเตอร์ไซค์สปอร์ตวิ่งผ่านป้ายขนาดใหญ่เขียนว่า ‘The Wharf’ ที่ติดตั้งอยู่เหนือแนวรั้วเมทัลชีตสีเขียวเข้ม จากนั้นก็ชะลอเล็กน้อยเพื่อเลี้ยวเข้าสู่เขตการก่อสร้างขนาดใหญ่ คราวนี้คนที่อยู่บนมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ใช้ความเร็วมากนัก เพราะต้องสอดส่ายสายตามองสองข้างทางด้วยไม่คุ้นชินกับสถานที่ จนกระทั่งสังเกตเห็นตู้คอนเทนเนอร์สองตู้ที่ถูกดัดแปลงใช้เป็นออฟฟิศของไซต์ก่อสร้าง รถมอเตอร์ไซค์ก็เลี้ยวเข้าไปจอดตรงพื้นที่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเป็นลานจอดรถชั่วคราว
กานต์ตวัดขาลงจากมอเตอร์ไซค์ เสยผมที่ชื้นไปด้วยเหงื่อแล้วหันไปเก็บหมวกกันน็อค แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงคุ้นหูลอยมา
“พี่กานต์ๆ ไม่ต้องแวะที่นี่ ไปท่าเรือข้างหลังกัน”
หญิงสาวหันไปมองแล้วพบสุรทินกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมาจากตู้คอนเทนเนอร์ตู้หนึ่ง
“หมายถึงจะให้ฉันขี่นิลมังกรเข้าไปข้างในเหรอ” เธอถามเพื่อความแน่ใจ
“ใช่ มีถนนเข้าไปถึงท่าเรือนู่นเลย เอามอ’ไซค์เข้าไปได้สบายมาก” รุ่นน้องพยักหน้ารับแข็งขัน “วันนี้ผมไปประชุมเลยใช้แท็กซี่ ขอติดรถพี่กานต์ไปด้วยนะ”
“โอเค” หญิงสาวรับคำแต่ก็หันไปเก็บหมวกกันน็อคลงกล่องเก็บของที่ติดตั้งไว้ด้านท้ายต่อ เพราะคิดว่าอีกนิดเดียวก็ไม่จำเป็นต้องใช้ “แล้วนี่ตกลงเมื่อคืนกลับออกจากออฟฟิศกี่โมง”
“สองทุ่มครึ่ง” สุรทินตอบหน้าเมื่อย
“อย่างน้อยก็ได้กลับนะ” เธอบอกยิ้มๆ
“ต้องได้กลับสิ วันนี้มีประชุมเช้า”
รุ่นน้องเฝ้ามองสาวรุ่นพี่สวมแว่นกันแดดทรงนักบินที่หยิบออกมาจากกล่องเก็บของ จากนั้นเธอก็ตวัดขาขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์คันโต แล้วสุรทินก็นิ่วหน้า
“ไม่เห็นแฟร์เลย พี่เป็นผู้หญิงนะ พี่จะเท่เบอร์นี้ไม่ได้”
“บ่นอะไรอยู่ได้ จะไปด้วยก็ขึ้นมาเร็วๆ” กานต์พูดโดยไม่หันไปมอง ชายหนุ่มเลยถอนหายใจก่อนจะปีนขึ้นไปซ้อนท้ายโดยใช้สองมือเกาะไหล่กว้างๆ ของรุ่นพี่ แล้วก็อดนึกบ่นต่อไม่ได้
ขนาดไหล่ยังกว้างและดูดีกว่าไหล่ของผู้ชายหลายคน…รวมถึงเขาด้วย
กานต์บังคับเจ้านิลมังกรออกวิ่ง แต่เธอก็ใช้ความเร็วไม่มากนักเพราะอยู่ในไซต์ก่อสร้าง สุรทินเลยถือโอกาสเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการออกแบบและก่อสร้างที่นี่ให้รุ่นพี่ฟัง เพราะเขาก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยของวีรากรในโปรเจ็กต์นี้ เวลามีประชุมส่วนใหญ่เขาจะติดสอยห้อยตามมาด้วย หรือถ้าวีรากรมาไม่ได้เขาก็ต้องมาแทน ดังนั้นจึงทราบรายละเอียดในโครงการนี้ดี
“อีกไม่นานก็ขึ้นเป็นซีเนียร์ได้แล้วสิ พี่วินให้มาทำงานยักษ์แล้ว”
“ซีเนียร์อะไรล่ะ เพิ่งสอบใบผ่านเมื่อปีก่อน” สุรทินบ่นขณะตวัดขาลงจากรถ หลังจากชี้ให้รุ่นพี่จอดรถตรงลานกว้างริมน้ำ
“เออน่า นี่ได้ใบแล้วก็ค่อยๆ สะสมประสบการณ์สะสมคะแนนไป อยู่กับพี่วินสบายอยู่แล้ว ใครมีใบพี่วินก็ดันออกสู่โลกกว้างหมด” กานต์ชี้ให้เห็นความจริง
ที่เธอกับรุ่นน้องกำลังพูดถึงคือเรื่องใบอนุญาตประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมควบคุม หรือที่เรียกกันว่า ก.ส. แค่ชื่อก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าคนที่เรียนจบคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และอยากทำงานในสายนี้ควรต้องมี ทว่าถ้าไม่มีก็ไม่ถึงกับอับจนหนทางหางานทำไม่ได้ เพราะก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะสอบได้ใบนี้ทันทีที่เรียนจบ อย่างเช่นสุรทินก็สอบอยู่หลายรอบ ระหว่างที่ยังไม่มีใบอนุญาตและเซ็นแบบก่อสร้างไม่ได้ อาชวินก็จะให้ทำงานในออฟฟิศไปก่อน พอมีใบ ก.ส. แล้วเขาก็จะเริ่มให้ออกไปทำงานนอกออฟฟิศ โดยเริ่มจากการติดสอยห้อยตามรุ่นพี่ไปศึกษางาน เมื่อมีประสบการณ์แก่กล้าพอก็จะให้รับผิดชอบโปรเจ็กต์ตามความถนัด รวมถึงให้เซ็นแบบก่อสร้างเพื่อสะสมผลงานเอาคะแนนไปขอเลื่อนระดับสถาปนิกได้
“นี่เราต้องไปเรืออะไร แกนัดไว้แล้วหรือยัง” หญิงสาวหันมองออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา
“นั่นไง เรือเรา” สุรทินยิ้มกริ่มขณะชี้นิ้วไปยังท่าเรือที่อยู่ห่างไปไม่ไกล
“สปีดโบ๊ตลำนั้นเหรอ” พอกานต์เห็นเรือที่จอดอยู่ตรงท่าแล้วก็หันไปมองเขาเพื่อถามให้แน่ใจ
ชายหนุ่มพยักหน้ารับแล้วเดินนำไปยังท่าเรือ
“นี่เรือของเจ้าของเดอะวอร์ฟ เขาสเป็กมาเลยว่าจะเอาท่าจอดเรือยอชต์ด้วย แบบว่าเอาไว้จอดเรือของตัวเองน่ะแหละจะได้ไม่ต้องไปเช่าที่อื่น ไพรออริตี้ลำดับหนึ่งเลย ก่อนทำอย่างอื่นต้องจัดการท่าเรือให้เสร็จก่อน เดี๋ยวพอเดอะวอร์ฟเปิดเขาก็คงให้คนมายืนถ่ายรูปตรงท่าเรือได้มั้ง แล้วใครจะไปร้านอาหารก็คงให้มาขึ้นเรือตรงนี้แหละ”
“สร้างมอลล์ริมน้ำ มีท่าเรือยอชต์ แล้วนี่ยังซื้อบ้านริมน้ำอีก…ท่าทางเขาจะชอบน้ำมากเลยนะ”
“คงงั้น นี่ได้ยินพี่วินบอกว่าเขากำลังวางแผนจะสร้างพวกคอนโดฯ หรือโรงแรมริมน้ำอีกนะ เห็นว่ากำลังจัดการเรื่องที่ดินอยู่มั้ง เราก็มีโอกาสได้โปรเจ็กต์ต่อจากเดอะวอร์ฟเลย”
“งั้นบ้านริมน้ำนี่ฉันก็ห้ามพลาดเลยใช่ไหม”
“แหงสิ แต่บ้านโคโลเนียลมันก็ทางของพี่อยู่แล้วนี่” สุรทินพูด จากนั้นก็พยักพเยิดไปทางบุรุษคนหนึ่งที่กำลังยืนพิงรั้วตรงชายน้ำ “นั่นพี่ดำ คนของเจ้าของเดอะวอร์ฟ เขาเคยขับเรือพาผมกับพี่วีออกไปกลางแม่น้ำเพื่อดูที่ดินผืนนี้จากตรงนั้น พอรู้ว่าเราจะไปดูบ้านเขาเลยส่งพี่ดำมาขับเรือให้”
กานต์พยักหน้ารับรู้ ก่อนที่เธอจะหันเหความสนใจไปยังเรือสปีดโบ๊ตซึ่งจอดอยู่ตรงปลายสุดของท่าเรือ…ถึงจะเป็นสปีดโบ๊ตแต่ก็เป็นแบบที่ดูหรูหราทีเดียว เห็นแล้วชักอยากลองขับดูเลย
บ้านโคโลเนียลหลังนั้นอยู่ห่างจากเดอะวอร์ฟโดยขับเรือย้อนขึ้นไปทางต้นน้ำไม่ถึงห้านาที เท่าที่ดูด้วยตาเปล่าท่าเรือของบ้านซึ่งมีลักษณะเป็นศาลาเล็กๆ น่าจะเก่าแก่พอกับตัวบ้าน มันดูไม่ค่อยแข็งแรง แม้จะยังพอใช้งานได้ทว่าก็ต้องระวังสักหน่อย แน่นอนว่าถ้ารับงานก็คงต้องรีบปรับปรุงส่วนนี้ก่อน
ขึ้นจากศาลาท่าน้ำไปก็เป็นส่วนของสวนหน้าบ้าน ซึ่งไม่ว่ามองไปทางไหนก็พบแต่ความรกชัฏ ก็ไม่น่าแปลกเมื่อคิดว่ามันถูกปล่อยร้างมานานระดับสิบปีตามที่ได้ยินมา ยังดีที่มีทางเดินปูด้วยหินจากศาลาท่าน้ำทำให้สามารถเข้าถึงตัวบ้านที่อยู่ลึกเข้าไปได้ไม่ยากลำบากนัก
“สวนกว้างนะ” หญิงสาวหันมองไปรอบๆ ขณะเดินไปยังตัวบ้าน
ด้วยความที่เจ้าของบ้านก็เพิ่งได้บ้านมาไม่กี่วัน แถมเป็นการซื้อแบบไม่ได้มาดูสถานที่จริงก่อนด้วย แค่มองจากบนเรือเข้ามาเท่านั้น ทางนั้นเลยไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับบ้านนี้เหมือนกัน กานต์กับรุ่นน้องที่ต้องมาประเมินหน้างานเพื่อให้อาชวินออกใบเสนอราคาเลยเหมือนมาผจญภัยหน่อยๆ เพราะไม่รู้ว่าจะได้เจออะไรบ้าง ดำบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้มาสำรวจสถานที่ก่อน แต่นั่นก็เพิ่งเมื่อวานเท่านั้น และเขาก็มาโดยมีจุดประสงค์เพื่อเคลียร์ที่ทางให้เธอกับสุรทินเป็นหลักด้วย
“ตอนผมมาเมื่อวาน ทางเดินเดินยากกว่านี้เยอะครับ น่ากลัวพวกสัตว์เลื้อยคลานด้วย” ดำเล่าด้วยน้ำเสียงต่ำๆ ของเขา
“ด้านหลังนั่นคือชุมชนแออัดใช่ไหมคะ แล้วมันไม่มีทางเข้าออกไปถึงถนนใหญ่เลยจริงๆ เหรอ” กานต์พูดจาคะค่ะกับดำตั้งแต่แรกทักทาย ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงท่าทีแปลกใจให้เห็นแม้แต่นิดเดียว นานๆ เธอจะเจอคนแบบนี้ และเธอก็ชอบด้วยเวลาได้เจอ
“ถ้าทุบรั้วก็พอจะทำทางเดินไปเชื่อมได้ครับ แต่ตรงนั้นมอเตอร์ไซค์ยังเข้าไม่ได้เลย เดินเท้าอย่างเดียว เดี๋ยวตอนขึ้นไปที่ชั้นสามคุณจะได้เห็น” เขาให้ข้อมูล “ความจริงที่ดินตรงชุมชนนั่นกับที่ดินบ้านหลังนี้เป็นผืนเดียวกันครับ คือบ้านหลังนี้สร้างตั้งแต่สมัยที่คนยังสัญจรทางน้ำเป็นหลัก พอมีถนนตัดผ่านเจ้าของบ้านในตอนนั้นเลยซื้อที่ดินเยื้องไปด้านหลังบ้านเพื่อไปเชื่อมกับถนน แต่ไม่ได้กั้นรั้วใหม่เป็นเรื่องเป็นราว แค่ใช้เป็นทางเข้าออก พอบ้านนี้ปิดเลยมีคนย้ายเข้ามายึดที่ว่างสร้างบ้านตั้งแต่นั้น”
“เอ๊ะ แล้วเจ้าของคนปัจจุบันซื้อที่ดินตรงชุมชนนั่นรวมมาด้วยหรือเปล่าคะ”
“ครับ มันมาพร้อมกันเป็นแพ็กคู่ แต่เจ้านายของผมก็คงปล่อยที่ชุมชนไว้อย่างนั้น นายแค่อยากได้บ้านหลังนี้”
“ตรงนั้นมีศาลาด้วย” กานต์เหลือบไปเห็นศาลาแบบฝรั่งตั้งอยู่กลางสวนรก จากนั้นเธอก็หันไปหารุ่นน้อง “สโคปงานเราจะรวมถึงแลนด์สเคปด้วยหรือเปล่า”
“พี่วินไม่ได้พูดถึงนะ” สุรทินขมวดคิ้วขณะทบทวนความจำ
“ต้องจัดสวนด้วยครับ” ดำส่งเสียงเมื่อเห็นว่าสุรทินไม่มีคำตอบให้ “เข้าใจว่าบริษัทของพวกคุณทำได้ใช่ไหม”
“ถ้าไม่ได้ต้องการอะไรซับซ้อนก็ทำได้ค่ะ”
หญิงสาวโน้ตไว้ในใจว่าดำน่าจะไม่ใช่แค่คนขับเรือ เขาดูใกล้ชิดกับเจ้าของบ้านพอสมควร ถ้ามีอะไรก็น่าจะถามหรือปรึกษาเขาได้ เผลอๆ ดำอาจช่วยบรีฟให้เธอเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นด้วยว่าเจ้าของบ้านต้องการหรือชอบอะไร เพราะเท่าที่ฟังจากอาชวินมันค่อนข้างกว้าง
ถ้าอ้างอิงตามสาขาวิชาหลักๆ ที่เปิดสอนกันอย่างเป็นสากลในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ งานด้านสถาปัตยกรรมก็จะแบ่งเป็นสถาปัตยกรรมหลัก ภูมิสถาปัตยกรรม มัณฑนศิลป์ และสถาปัตยกรรมผังเมือง ขอบข่ายงานของแต่ละสาขาแบ่งแยกกันชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้วสถาปนิกอย่างเธอก็พอจะออกแบบตกแต่งภายในรวมถึงออกแบบจัดสวนเล็กๆ ได้ โดยอาศัยประสบการณ์บวกกับความชอบส่วนตัว
งานของสถาปนิกค่อนข้างกว้างและหลากหลาย สถาปนิกแต่ละคนก็มีความชอบความถนัดแตกต่างกันไป อย่างเธอเองถนัดการออกแบบบ้าน ส่วนสถาปัตยกรรมโคโลเนียลเป็นความชื่นชอบหลงใหลส่วนตัว ดังนั้นพอเป็นงานโคโลเนียลเธอจึงสามารถทำงานตกแต่งภายในได้ด้วย และนี่ก็เป็นเหตุผลที่อาชวินเรียกเธอมาทำงานนี้ ส่วนการจัดสวนถ้าเป็นสวนเล็กๆ หน้าบ้านเธอก็พอจะจัดการได้
“เจ้านายพี่ดำเคร่งเรื่องฮวงจุ้ยไหมคะ”
“ไม่ครับ” ดำหันมามองเธอคล้ายแปลกใจกับคำถาม “นายเป็นคนไทยแท้ ไม่สนใจเรื่องพวกนี้”
กานต์พยักหน้ารับ ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นสุรทินอมยิ้ม…‘ซินแสและฮวงจุ้ยของเขา’ ถือเป็นประเด็นสุดคลาสสิกสำหรับคนที่ทำงานด้านการออกแบบในประเทศซึ่งเต็มไปด้วยประชากรเชื้อสายจีน ล่าสุดเมื่อวานณัฐรัมภาก็แทบจะเปิดฉากตบกับซินแส เพราะเจ๊เจ้าของบ้านที่เธอไปตกแต่งภายในให้นั้นเชื่อซินแสเสียจนณัฐรัมภาขยับตัวทำอะไรแทบไม่ได้ กานต์เองก็เคยเจอฤทธิ์เดชซินแสมาแล้วเหมือนกัน ดังนั้นเลยต้องถามไว้ก่อน เผื่อถ้ามีซินแสมาเกี่ยวจะได้บอกให้อาชวินหาทางบวกค่ายาแก้ปวดหัวไปในใบเสนอราคาด้วย
“แล้วเมื่อวานพี่ดำขึ้นมาบนบ้านด้วยใช่ไหมคะ บันไดกับพื้นยังแข็งแรงดีใช่หรือเปล่า”
“ดีครับ บางจุดไม้ยวบบ้าง แต่เท่าที่เดินเจอก็แค่ไม่กี่แผ่น”
“โอเค งั้นวันนี้จะได้สำรวจง่ายหน่อย…ยังไงรบกวนพี่ดำหน่อยนะคะ”
“ได้เลยครับ” ดำพยักหน้ารับแล้วเดินนำขึ้นบันไดเตี้ยๆ ไปยังระเบียงหน้าตัวบ้าน
กานต์ก้าวเดินตามขณะที่สายตาจับจ้องเชิงชายไม้ที่ฉลุเป็นลวดลายละเอียดลอองดงาม นี่เป็นแค่ก้าวแรก แต่เพียงแค่นี้หัวใจของเธอก็เต้นตึกตักราวตกหลุมรักแล้ว
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 18 มีนาคม)
Comments
comments