X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเซียนเครื่องหอม

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม เล่ม 7 ตอนที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 8

ตอนที่ 4

“ข้าสงสัยว่าตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยจะอยู่ในมือปรมาจารย์ไป๋!” พอสองพ่อลูกเข้าประตูมา กู่ฉินก็พูดอย่างทนรอไม่ไหว

ถูกชุบเลี้ยงอยู่ในห้องใต้ดิน ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน เวลาผ่านไปหลายเดือนผิวของนางก็ขาวยิ่งกว่าเดิม ร่างกายก็อ้วนท้วมขึ้น ทว่าดวงตาไร้หัวใจนั้นกลับมีร่องรอยของอายุที่มากขึ้น มองดูแล้วราวกับหญิงแก่ที่ผ่านประสบการณ์มานาน

วิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ย?

ได้ยินชื่อนี้แล้วหลิ่วเฟิ่งก็ตัวสั่น “เหตุใดพี่จึงพูดเช่นนี้” นางหัวใจเต้นแรง มองกู่ฉินไม่วางตา

“คุณหนูใหญ่ฟังให้ดี” กู่ฉินบิดธูปไหว้พระแคว้นซีอวี้ที่มู่หวั่นชิวเป็นคนปรุงแล้วยื่นไปใต้จมูกหลิ่วเฟิ่งให้นางดม “นี่เป็นรูปแบบของตระกูลเว่ย!” นางผ่อนลมหายใจ “บนโลกนี้นอกจากปรมาจารย์เว่ยก็ไม่มีใครสามารถเลียนกลิ่นจันทน์หอมได้ยอดเยี่ยมเช่นนี้อีกแล้ว แม้แต่ข้ายังดมไม่ออก ถ้าไม่ใช่เพราะจันทน์หอมของตระกูลเหยาในตอนนั้นไม่ได้อยู่ในมือหลีจวิน และพวกเราต้องขาดทุนย่อยยับ บนโลกนี้คงไม่มีใครเชื่อว่าจันทน์หอมในธูปนี้ทำเลียนกลิ่นออกมา!” เกรงว่าหลิ่วเฟิ่งสองพ่อลูกจะไม่เชื่อ กู่ฉินจึงพูดอีกว่า “แค่คนที่เพิ่งเข้าสู่วงการปรุงเครื่องหอมได้สองปี แม้นางจะเป็นคนมีความสามารถเพียงใดก็คงเลียนกลิ่นเครื่องหอมไม่เป็นแน่นอน!”

กระทั่งกู่ฉินที่อยู่ในวงการมาสิบกว่าปีก็ยังไม่เคยเลียนกลิ่นที่ดีได้สักอย่าง แล้วไป๋ชิวที่เดิมเป็นเพียงคนงานที่ดมกลิ่นไม่เป็นเลยด้วยซ้ำ ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองปีจะประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้อย่างไร

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าถูก กู่ฉินจึงพูดต่อไปว่า “ตอนแรกใบสนหอมกับธูปเขียวของนางก็มีรูปแบบของตระกูลเว่ยเช่นกัน ข้าเคยสงสัยว่าตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยอาจจะตกอยู่ในมือนาง แต่น่าเสียดาย ที่ถูกนางแกล้งทำเป็นโง่หลอกลวงเสียได้!” เมื่อคิดได้ว่าเคยจะฆ่ามู่หวั่นชิวหลายครั้ง แต่มู่หวั่นชิวก็หลบเลี่ยงไปได้ กู่ฉินพลันรู้สึกเสียใจอย่างมาก

หากตอนนั้นไม่ถูกท่าทางโง่เขลาของนางหลอกลวง ไม่มัวมาห่วงหน้าพะวงหลังแล้วฆ่านางไปเสีย ตนเองจะตกอยู่ในสภาพเช่นวันนี้ได้อย่างไร พูดอยู่นานแต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบ กู่ฉินจึงช้อนตาขึ้น เห็นสองพ่อลูกจ้องมองนางอยู่

“ที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง ธูปไหว้พระนี้มีรูปแบบของตระกูลเว่ยจริงๆ” กู่ฉินจึงพูดเน้นย้ำ แล้วยื่นมือไปหยิบธูปขึ้นมาจุดในเตา “นายท่าน คุณหนูใหญ่ พวกท่านลองดมดูสิ!”

หลิ่วเฟิ่งไม่รู้เรื่องเครื่องหอมเลย นางจึงไม่มีจมูกที่ดีเหมือนกู่ฉินที่สามารถดมอะไรก็แยกแยะออกมาได้ แต่ว่านางเชื่อคำพูดของกู่ฉินจนหมดใจ เมื่อครู่ที่ไม่พูดเพราะว่านางตกใจ ต่อให้ฝันก็คิดไม่ถึงว่าตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยที่นางเฝ้าค้นหาอย่างยากลำบากมาหลายปีจะตกไปอยู่ในมือมู่หวั่นชิวเสียได้!

ใช่แล้ว ต้องอยู่ในมือนางแน่นอน

ไม่เช่นนั้นเวลาสั้นๆ เพียงสองปีนางไม่มีทางประสบความสำเร็จจนน่าตกใจเช่นนี้ได้แน่!

เมื่อดึงสติคืนมาแล้ว หลิ่วเฟิ่งจึงกุมมือหลิ่วอู่เต๋อ “พี่พูดถูก ตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยอยู่ในมือนางแน่นอน นางก็คือลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่…มู่หวั่นชิว!” หลิ่วเฟิ่งเสียงสั่น ในดวงตาส่องประกายวาววับราวกับภูตผียามค่ำคืน “อาเฟิ่งเคยได้ยินพี่สามพูดว่าไป๋ชิวเริ่มแรกปรากฏตัวที่เมืองผิงเฉิง ตอนนั้นนางยังเป็นแค่เด็กสาวเสื้อผ้าเก่าขาดอยู่เลย!”

เมืองผิงเฉิงอยู่ใกล้กับเขาไหวอินที่ลือกันว่ามู่หวั่นชิวหายตัวไปมากที่สุด นางคงหลบหนีมู่จงไปที่นั่นคนเดียวอย่างแน่นอน!

“อาเฟิ่งพูดไม่ผิด!” หลิ่วอู่เต๋อพยักหน้า “น้อยครั้งนักที่นางจะออกมาพบหน้าผู้คน และนางก็จะคลุมหน้าด้วยผ้าดำผืนบางอยู่ตลอด คงเป็นเพราะกลัวคนอื่นจะจำได้ว่านางคือลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่!”

“ข้าจะไปบอกพี่สาม!” หลิ่วเฟิ่งก้าวเท้าเดินออกไปทันที

จินตนาการถึงตอนที่หร่วนอวี้รู้ว่ามู่หวั่นชิวเป็นลูกสาวของศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว เขาจะต้องฆ่านางด้วยตนเองอย่างแน่นอน หลิ่วเฟิ่งพลันรู้สึกว่าเลือดในกายเดือดพล่าน

นางเกลียดแค้นมู่หวั่นชิวมาก

ไม่เพียงเพราะอีกฝ่ายแย่งชิงคนในใจนางไป ยิ่งไปกว่านั้นในฐานะสองสะคราญแห่งวงการปรุงเครื่องหอม มู่หวั่นชิวอยู่เหนือกว่านางทุกอย่าง ที่ที่มีมู่หวั่นชิว นางหลิ่วเฟิ่งก็มักจะอับแสง เป็นได้เพียงตัวประกอบไปตลอดกาล!

“อาเฟิ่งช้าก่อน” หลิ่วอู่เต๋อดึงตัวนางไว้

“ท่านพ่อ…”

เห็นดวงตาบวมแดงของนางคู่นั้นแล้ว หลิ่วอู่เต๋อก็ถอนหายใจ “อาเฟิ่งไม่ต้องใจร้อนเช่นนี้ ช้าไปอีกหนึ่งวันไป๋ชิวก็หนีไม่รอดเช่นกัน พวกเราต้องคิดวางแผนระยะยาวเสียก่อน” ในเมื่อรู้ความลับยิ่งใหญ่นี้แล้ว เขาก็ต้องเตรียมแผนให้ดี เพื่อเป็นการรับรองว่าจะโจมตีเข้าเป้าในครั้งเดียว

คิดแล้วก็ถูก หลิ่วเฟิ่งจึงพยักหน้า

สองแก้มแดงเรื่อราวดอกมั่นถัวหลัวเบ่งบาน นางทั้งสดใสและงดงาม

มีฐานะเป็นลูกสาวขุนนางต้องโทษยังกล้าประมาทเช่นนี้อีก คราวนี้มู่หวั่นชิวจะต้องตายแน่นอน!

 

หร่วนอวี้เดินกลับจวนผู้บัญชาการด้วยสภาพมิต่างจากศพตายซาก เขายังไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้ยินมาเมื่อครู่

เป็นไปได้อย่างไร…

คนที่เขาเห็นเป็นบิดาบังเกิดเกล้ามาสิบกว่าปีกลับเป็นคนร้ายตัวจริงที่ทำให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาด สิบกว่าปีมานี้เขากลับนับถือโจรเป็นพ่อ!

สิ่งนี้จะให้เขารับได้อย่างไร

เพียงคิดว่าต้องฆ่าหลิ่วอู่เต๋อและหลิ่วเฟิ่งกับมือ หัวใจหร่วนอวี้ก็เจ็บราวถูกมีดกรีด ความสัมพันธ์ในการเลี้ยงดูมาสิบกว่าปีทำให้รู้สึกกับพวกเขามิต่างจากครอบครัวจริงๆ ของตนเอง พวกเขาสำคัญมิต่างจากเลือดในกาย แล้วจะให้เขาลงมือได้อย่างไร

แต่หากไม่แก้แค้นให้บิดาแล้วจะให้เขาไปพบท่านพ่อท่านแม่ในปรโลกได้อย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้นหลิ่วอู่เต๋อก็คิดจะลงมือกับเขาแล้ว

“ใต้เท้าเป็นอะไรหรือขอรับ” เห็นหร่วนอวี้สีหน้าซีดขาว องครักษ์เฝ้าประตูจึงถามอย่างไม่สบายใจ

“ถ้ามีคนมาพบข้า บอกว่าข้าไม่อยู่ในจวน” พูดจบหร่วนอวี้ก็วิ่งตรงไปที่เรือนด้านหลัง

“เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องจริง ล้วนไม่ใช่เรื่องจริง…” ปากพูดพึมพำ ขณะที่หร่วนอวี้นอนนิ่งอยู่บนเตียง “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นความฝัน พรุ่งนี้พอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็คงกลับสู่สภาพเดิม”

หร่วนอวี้บังคับตนเองให้หลับตาลง เขาสะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าเข้าสู่ห้วงแห่งความฝันตั้งแต่เมื่อใด

 

ในคืนนี้เขาฝันมากมาย

เดี๋ยวมองเห็นเขาอีกคนหนึ่งเป็นแม่ทัพกุยเต๋อ มีประกายเจิดจรัส ดูน่าเกรงขามอย่างมาก

เดี๋ยวก็เห็นมู่หวั่นชิวมีเหงื่อผุดเต็มร่าง ‘ซานหลาง…ซานหลาง…’ นางเรียกเขาไม่หยุด กำลังกอดรัดอยู่กับเขาอีกคนหนึ่งในฝัน ในดวงตานั้นเต็มไปด้วยความรักลึกซึ้ง ภาพของนางทำให้หร่วนอวี้ปวดใจ แต่ว่าเขาอีกคนหนึ่งกลับจ้องนางอย่างเย็นชา ท่าทางหยาบคาย ไร้ความรู้สึก

หลังจากร่วมรักกันมู่หวั่นชิวก็นอนหลับสนิท เขาอีกคนหนึ่งกลับตื่นขึ้นมา มองดูสาวงามที่หลับสนิทอยู่ข้างกายด้วยสายตาดุร้าย ทันใดนั้นเขาอีกคนหนึ่งก็ยื่นมือไปชักกระบี่ลงมาจากหัวเตียง

‘อย่า…’ มองดูเขาอีกคนหนึ่งตวัดกระบี่จะแทงคอมู่หวั่นชิวแล้ว หร่วนอวี้ก็ร้องเสียงหลง เขากระโจนเข้าไปจึงพบว่าระหว่างพวกเขาถูกกั้นด้วยกำแพงที่ไร้รูป ไม่ว่าเขาจะตะโกนเรียกอย่างไร เขาอีกคนก็มองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน

‘ขอร้องเจ้าล่ะ อย่าทำเช่นนี้กับอาชิว!’ เขาได้แต่พูดพึมพำ หลับตาลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงลืมตาขึ้นช้าๆ เห็นกระบี่เล่มนั้นหยุดอยู่ที่คอมู่หวั่นชิวมาพักใหญ่ เขาอีกคนหนึ่งจึงเก็บกระบี่อย่างช้าๆ ถอนหายใจยาวแล้วลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อย ก่อนจะผลักประตูเดินออกไป

หร่วนอวี้ก้าวเท้าไล่ตามออกไปขวางตรงหน้าเขาแล้วตะโกนว่า ‘อาชิวมีความรักลึกซึ้งต่อเจ้า เหตุใดเจ้าจึงทำเช่นนี้กับนาง!’

ราวกับมองไม่เห็นเขา เขาอีกคนหนึ่งจึงเดินหน้าเครียดมาหา แล้วทะลุผ่านตัวหร่วนอวี้ไปอย่างช้าๆ ก้าวทีละก้าวออกจากเรือนไป

หร่วนอวี้ยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นก็หมุนตัวกลับ ยื่นมือคว้าไปข้างหน้า แต่เบื้องหน้ากลับว่างเปล่า เขาเหมือนรู้สึกตัวขึ้นมา ‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น’ หร่วนอวี้พูดพึมพำกับตนเอง คิดถึงมู่หวั่นชิวที่อยู่ในห้องเขาก็หมุนตัวเดินกลับเข้าไปอีกครั้ง

มู่หวั่นชิวในความฝันยังคงพอใจอยู่ในห้วงอารมณ์อันแสนหวาน

‘อาชิว!’ เห็นมู่หวั่นชิวลืมตาขึ้น หร่วนอวี้จึงเรียกนางอย่างตกใจ ‘เจ้าตื่นแล้วหรือ’ แล้วยื่นมือไปช้าๆ

แต่ไม่ว่าเขาจะเรียกอย่างไร มู่หวั่นชิวก็ดูเหมือนจะมองไม่เห็นเขา นางยื่นมือลูบคลำข้างกาย

‘ซานหลาง!’ เพียงพบว่าข้างกายว่างเปล่า นางก็เรียกอย่างตกใจกลัวอีกครั้ง

หาไปทั่วทุกห้องแล้วก็ไม่เห็นเงาของเขาอีกคนหนึ่ง มู่หวั่นชิวคุกเข่าลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง สองมือปิดหน้าแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ‘ซานหลาง อาชิวทำผิดอะไรอีกแล้ว เหตุใดท่านจึงจากไปโดยไม่พูดอะไรเลย’

มองดูร่างที่สั่นเทานั้นแล้วหร่วนอวี้ก็รู้สึกเหมือนเลือดหยดอยู่ในหัวใจ เขาตะโกนไปทางมู่หวั่นชิวรอบแล้วรอบเล่า ‘อาชิว! เจ้าไม่ผิดอะไร เขามันเป็นเดรัจฉาน!’

หร่วนอวี้ยังคงอยู่ในห้องเดิม แต่ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง

ภายใต้สายตาของทุกคน มู่หวั่นชิวถือกระบี่มองดูเขาอีกคนหนึ่งที่สาวใช้เพิ่งแต่งตัวให้อย่างเรียบร้อยด้วยสายตาที่สิ้นหวัง ‘อาชิวรู้ว่าไม่คู่ควรกับท่านแม่ทัพ ซึ่งอาชิวก็ไม่กล้าขอฐานะ ไม่กล้าขอความร่ำรวย ไม่กล้าขออะไรเลย หวังเพียงสามารถเฝ้าอยู่ข้างท่านแม่ทัพอย่างเงียบๆ หวังว่าตอนที่ท่านว่างจะคิดถึงบ้าง มาหาอาชิวบ้างก็พอ หัวใจรักนี้สวรรค์เป็นพยานได้ เหตุใดท่านแม่ทัพจึงใจร้ายเช่นนี้!’

ฟังคำถามที่เศร้าสลดและสิ้นหวังนี้แล้ว หร่วนอวี้ก็เบือนหน้าหนี เห็นเพียงเขาอีกคนหนึ่งพูดเสียงเย็นชา ‘ลูกสาวอัครเสนาบดีเลว นางโลมในหอคณิกา คู่ควรแล้วหรือ!’

จากนั้นหร่วนอวี้ก็ได้ยินมู่หวั่นชิวหัวเราะเสียงประหลาดราวปีศาจ ‘ชาตินี้ รักนี้ อาชิวรักจนมิอาจรักได้แล้ว หากมีชาติหน้า อาชิวจะไม่ขอรักใครอีก!’

“อาชิว อย่า!” เห็นเลือดแดงพุ่งออกจากลำคอของมู่หวั่นชิว หร่วนอวี้ก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาหยุดเต้นไปด้วย เขาลุกพรวดขึ้นนั่ง ก่อนจะพบว่าท้องฟ้าสว่างแล้ว เขานอนฝันตลอดทั้งคืน ร่างเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ

นั่งอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็ยังมีความรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริง “เป็นไปได้อย่างไร” เขาหยิกตนเองอย่างแรงทีหนึ่ง ความเจ็บส่งผ่านมาทางแขนทำให้เขารู้ชัดว่าตนเองตื่นแล้ว เขาส่ายหน้าอย่างแรง “ในเมื่อเป็นความฝัน เหตุใดข้าจึงจำได้ชัดเจนเช่นนี้” เขาถึงขั้นยังจำได้ถึงชั่วเวลาที่นางปาดคอตนเอง และความเจ็บปวดในดวงตาของเขาอีกคนในฝัน

“ข้าคนนั้นเหตุใดจึงโหดร้ายเช่นนั้น เหตุใดจึงทำกับอาชิวที่ยึดมั่นในรักเช่นนี้”

กำลังคิดจนเหม่อ เสียงเคาะประตูก็ดังลอยมา

หร่วนอวี้ตะโกนพูด “เข้ามา”

สาวใช้คนหนึ่งเข้ามาแจ้งว่า “แม่นางหลิ่วมาแล้วเจ้าค่ะ”

อาเฟิ่ง?

หร่วนอวี้ตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกถึงคำพูดที่แอบได้ยินมาเมื่อวาน เขาจึงเอ่ยปากพูดว่า “บอกว่าข้าไม่อยู่”

สาวใช้รับคำ กำลังจะออกไปก็ถูกหร่วนอวี้เรียกรั้งเอาไว้ “ช้าก่อน…” เขาคิดสักครู่ “ให้นางรอสักครู่” แล้วลุกขึ้นกระโดดลงพื้น

“พี่สาม” เห็นหร่วนอวี้สวมเสื้อเนื้อบางออกมาต้อนรับ หลิ่วเฟิ่งก็รู้สึกตกใจ หน้านางขึ้นสีแดงเรื่อ

หร่วนอวี้เป็นคนที่สำรวมมาแต่ไหนแต่ไร แม้จะอยู่ในห้องพักก็น้อยครั้งนักที่เขาจะสวมเสื้อเนื้อบางมาพบแขก เขาสวมชุดไม่เรียบร้อยออกมาเช่นนี้คงจะเพราะเพิ่งตื่นนอนจึงไม่ทันสวมเสื้อผ้า และคิดถึงนางเป็นพิเศษจึงรีบร้อนออกมาแน่นอน

อย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่ได้พบหน้ากันหลายวัน

นางมาพบเขาเอง เชื่อว่าเขาคงจะตื่นเต้นมากแน่

“อาเฟิ่งมาแล้วหรือ…” หร่วนอวี้พูดด้วยเสียงอ่อนหวานที่น้อยนักจะได้ยิน “เมื่อคืนนอนดึก ข้าเลยเพิ่งตื่น ทำให้อาเฟิ่งต้องรอแล้ว” พูดพลางเขาก็เห็นหลิ่วเฟิ่งสวมเสื้อกั๊กสีแดงลายโบตั๋น นอกจากทรงผมบนศีรษะที่ไม่ใช่เป็นแบบหญิงที่แต่งงานแล้ว นอกนั้นแทบจะเหมือนกับนางที่อยู่ในฝันทุกอย่าง

พอคิดถึงในฝันที่นางกับตัวเขาอีกคนบีบให้มู่หวั่นชิวต้องตายแล้ว หัวใจหร่วนอวี้ก็เกิดความรังเกียจขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับดูอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น

เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนนี้ แล้วคิดถึงท่านพ่อที่บีบบังคับให้ไปจากเขา หลิ่วเฟิ่งก็รู้สึกปวดใจ นางฝืนยิ้ม “พี่สามยุ่งอะไรอยู่หรือ ดึกดื่นถึงไม่ยอมนอน”

ในความทรงจำหร่วนอวี้เป็นคนที่เข้มงวดคนหนึ่ง ไม่ว่ากลางคืนจะนอนดึกเพียงใดเขาก็จะตื่นมาตามเวลาเสมอ

“คิดถึงอาเฟิ่งของข้า” หร่วนอวี้มองนางด้วยรอยยิ้ม

หลิ่วเฟิ่งหน้าแดงก่ำ “พี่สามแกล้งเย้าอาเฟิ่งหรือ เดี๋ยวอาเฟิ่งก็ไม่มาหาพี่อีกแล้วหรอก” นางพูดพลางร้องถามอย่างสงสัย “เช้าๆ อย่างนี้พี่สามใช้เครื่องหอมอะไรหรือ เหตุใดจึงหอมเช่นนี้”

หร่วนอวี้สีหน้าเปลี่ยนไป เขาไม่ได้ตอบคำถาม แต่เปลี่ยนมาถามว่า “อาเฟิ่งมาเช้าเช่นนี้มีธุระหรือ”

นึกถึงสาเหตุที่มาได้เช่นกัน หลิ่วเฟิ่งจึงพยักหน้า “อาเฟิ่งสืบเจอที่อยู่ของตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยแล้ว”

“อะไรนะ!” หร่วนอวี้ดีดตัวขึ้นมานั่งตัวตรงทันที

“ตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยตกมาอยู่ในมือปรมาจารย์ไป๋ นางก็คือลูกสาวของอัครเสนาบดีมู่ที่ลือกันว่าตายไปนานแล้ว…มู่หวั่นชิว” หลิ่วเฟิ่งเล่าการใคร่ครวญของกู่ฉินออกมาหนึ่งรอบ ก่อนจะมองหร่วนอวี้ด้วยท่าทางสดใส “นางคือลูกสาวศัตรูของพี่สาม…” เสียงนั้นชะงักไป หลิ่วเฟิ่งมองหร่วนอวี้ไม่วางตา

นางเชื่อว่าคำพูดด้านหลังไม่ต้องให้นางพูด หร่วนอวี้ก็จะช่วยนางฆ่ามู่หวั่นชิวแน่นอน

อาชิวเป็นลูกสาวอัครเสนาบดีมู่ที่หายตัวไปหรือ

‘ลูกสาวอัครเสนาบดีเลว นางโลมในหอคณิกา คู่ควรแล้วหรือ!’

เพียงพริบตาหร่วนอวี้ก็นึกถึงภาพฝันที่เขาผู้ไร้หัวใจคนนั้นด่ามู่หวั่นชิวว่าเป็นลูกสาวอัครเสนาบดีเลว หรือนั่นจะมิใช่ความฝัน…

แล้วเหตุใดข้าคนนั้นจึงพูดว่านางเป็นนางโลมในหอคณิกา

ทันใดนั้นหร่วนอวี้ก็นึกถึงครั้งแรกที่ได้พบมู่หวั่นชิวตรงถนนในปีนั้น แม้เขาจะไม่เห็นใบหน้าของนาง แต่ความแค้นล้นฟ้านั่นก็ทำให้เขาหันหน้ากลับไปในทันที ก่อนจะเห็นเงาร่างนั้นหายลับไปในฝูงชน…

หร่วนอวี้หน้าซีดขาวขึ้นมาอย่างช้าๆ

“พี่สามเป็นอะไรไป” เห็นหร่วนอวี้หน้าซีดขาวอยู่นานโดยไม่พูดจา หลิ่วเฟิ่งจึงยื่นมือไปกุมมือเขาเอาไว้

แม้หร่วนอวี้อยากจะสะบัดออกเพียงใด ทว่าสมองที่ตื่นตัวชัดเจนขึ้นนั้นทำให้เขาเปลี่ยนมากุมมือของหลิ่วเฟิ่งไว้ แล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด “อาเฟิ่งพูดเช่นนี้ข้าก็นึกขึ้นได้พอดี ตอนที่ปรมาจารย์ไป๋ปรากฏตัวครั้งแรกที่เมืองผิงเฉิงนางสวมเสื้อผ้าเก่าขาด ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบที่เมืองผิงเฉิง เผื่อว่าจะสามารถตรวจสอบได้ว่านางร่อนเร่มาจากที่ใดก่อนจะเข้ามาในเมืองผิงเฉิง”

“เรื่องนี้ยังต้องตรวจสอบอีกหรือ” หลิ่วเฟิ่งพยักหน้าอย่างมั่นใจ “นางก็คือลูกสาวอัครเสนาบดีมู่! ตำราวิชาปรุงเครื่องหอมตระกูลเว่ยต้องอยู่ในมือนางแน่นอน! พี่รองเคยบอกว่าก่อนอัครเสนาบดีมู่จะได้รับโทษนั้นใต้เท้าจั่วก็เคยไปที่จวนอัครเสนาบดีมู่บ่อยครั้งมิใช่หรือ เขาต้องรู้จักนางแน่ พี่สามลองไปพบใต้เท้าจั่วดู ให้เขาช่วยยืนยัน ท่านกับใต้เท้าจั่วจะได้ไปจับตัวนางพร้อมกันเสียเลย” เห็นหร่วนอวี้หน้าซีดลงทุกที หลิ่วเฟิ่งก็เกิดความอิจฉาขึ้นมาอย่างมาก “พี่สามฆ่านางไม่ลงใช่หรือไม่” แล้วพูดอย่างเศร้าสลดว่า “ถูกความงามของนางทำให้หลงใหล แม้แต่หนี้แค้นพี่สามก็จะไม่เอาคืนแล้วหรือ!”

แม้แต่หนี้แค้นพี่สามก็จะไม่เอาคืนแล้วหรือ!

เสียงแหลมเล็กราวกับผีร้ายดังสะท้อนอยู่ในหูหร่วนอวี้รอบแล้วรอบเล่า ทำให้เขาจำได้อย่างชัดเจนถึงคำพูดนี้ของหลิ่วเฟิ่งในความฝันเมื่อคืนที่บีบให้เขาอีกคนทำร้ายมู่หวั่นชิว มีชั่วขณะหนึ่งที่เขาอยากจะซัดหลิ่วเฟิ่งในฝ่ามือเดียว

โคจรพลังอยู่หลายรอบ กว่าที่หร่วนอวี้จะสะกดความฉุนเฉียวในใจนั้นเอาไว้ได้

เขากอดหลิ่วเฟิ่งไว้แน่นทำให้ร่างนั้นสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่ ก่อนจะโน้มตัวลงแล้วพึมพำข้างหูนาง “หลายปีมาแล้ว ข้ากลับไม่รู้เลยว่านางเป็นลูกสาวศัตรูของข้า เพื่อนางแล้วข้าถึงกับเย็นชาต่ออาเฟิ่ง ข้าสมควรตายนัก ทำให้อาเฟิ่งต้องเจ็บช้ำน้ำใจแล้ว”

มู่หวั่นชิวมาเมืองต้าเยี่ยแค่สองปี นานหลายปีเสียที่ใด

แต่เพราะถูกคำพูดประโยคหลังทำให้ยินดี หลิ่วเฟิ่งจึงไม่สังเกตเห็นคำพูดผิดปกติของหร่วนอวี้ หลายปีมานี้ทุกครั้งที่พูดถึงความแค้นของวงศ์ตระกูล นางก็จะเห็นความมุ่งมั่นอันบ้าคลั่งในดวงตาหร่วนอวี้ ในใจก็แอบคิดว่าที่แท้เขาถูกฐานะของนางปีศาจนั่นทำให้ตกใจ ข้าคิดว่าเขาไม่เชื่อข้า คิดว่าข้าใส่ร้ายนางเสียอีก หลิ่วเฟิ่งดมกลิ่นหอมภายในห้อง กอปรกับลมหายใจอุ่นชื้นของหร่วนอวี้ที่รดผ่านต้นคอ นางรู้สึกร้อนไปทั่วตัว บิดตัว แล้วส่งเสียงพึมพำ “ขอเพียงพี่สามชอบก็พอ อาเฟิ่งจะเจ็บช้ำน้ำใจได้อย่างไร น่าเสียดาย พี่สามมีความรักลึกซึ้งต่อนาง แต่นางกลับ…”

“อาเฟิ่ง…” ไม่รอให้หลิ่วเฟิ่งพูดจนจบ หร่วนอวี้พลันเรียกนางเสียงเบา แล้วจุมพิตต้นคอขาวนวลของนาง

หลิ่วเฟิ่งชาไปทั้งร่าง ส่งเสียงครางออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลืมคำพูดยุยงที่วนอยู่ตรงปลายลิ้นซึ่งจะให้หร่วนอวี้ฆ่ามู่หวั่นชิวไปเลย “พี่สาม…” นางครางชื่อแล้วโถมตัวเข้าหา

หร่วนอวี้คำรามเสียงเข้ม กระชากเสื้อของหลิ่วเฟิ่งออก เผยให้เห็นผิวขาวนวล เนินอกทั้งคู่ปรากฏแก่สายตา ภายใต้การหยอกเย้าของหร่วนอวี้ ตุ่มไตสีแดงเข้มบนยอดเนินก็ชูชันขึ้น ก่อนจะถูกหร่วนอวี้ใช้ปากครอบครองแล้วดูดดึงอย่างแรง

ความเร่าร้อนอันน่าหลงใหลนี้ทำให้เลือดลมพลุ่งพล่านผสานด้วยเสียงครางของหลิ่วเฟิ่งกระจายไปทั่วห้อง

“พี่สาม…อย่า…” รับรู้ว่ามือของหร่วนอวี้สำรวจไปยังส่วนที่อยู่กลางลำตัวของนาง หลิ่วเฟิ่งก็สะดุ้ง เอ่ยปากเรียกทันที นางเองก็ได้สติมากขึ้นแล้ว

เมื่อก่อนก็เคยคลอเคลียกับหร่วนอวี้เช่นกัน แต่หร่วนอวี้ไม่เคยแตะต้องส่วนนั้นของนางมาก่อน

กายช่วงล่างเกิดความร้อนรุ่มและว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หลิ่วเฟิ่งอยากได้มากกว่านี้ แต่ด้วยสติอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ทำให้นางคิดถึงเรื่องที่ตนเองรับปากท่านพ่ออย่างชัดเจนว่า…จะแต่งงานกับพี่รองหลิงเทา

เมื่อคิดว่าจะต้องแยกจากเขา กระทั่งกลายเป็นคนแปลกหน้ากันนับจากนี้ เพียงชั่วครู่น้ำตาของหลิ่วเฟิ่งก็ไหลพรากลงมา นางผลักตัวหร่วนอวี้ออกอย่างไร้เรี่ยวแรง “พี่สาม อย่า…”

ต่อให้หลิงเทาจะชอบนางเพียงใด อีกฝ่ายก็คงไม่ยอมที่นางไม่บริสุทธิ์ก่อนแต่งงานแน่นอน

ที่ผ่านมาพอเห็นน้ำตาของหลิ่วเฟิ่งแล้วหร่วนอวี้จะใจอ่อน ทว่าครั้งนี้เขากลับไม่เป็นเช่นนั้น มือหนึ่งหยอกเย้าส่วนที่อยู่กลางลำตัวของนาง ใบหน้าก็ก้มลงจูบแก้มนาง ครั้นจูบน้ำตาบนแก้มนางจนแห้งแล้ว ปากก็พูดว่า “อาเฟิ่ง ก่อนหน้านี้ข้าเป็นคนผิด ข้าจะไปขอร้องกับพ่อบุญธรรม พวกเราแต่งงานกันเถอะ ภายหน้าข้าจะทำดีต่ออาเฟิ่งแน่นอน”

พูดถึงเรื่องการแต่งงาน หลิ่วเฟิ่งก็ตัวสั่นเทา

นับจากถูกจั่วเฟิงทำงานแต่งงานพังลงไปนั้น หร่วนอวี้ก็ไม่ได้พูดถึงการแต่งงานอีกเลย เพราะความเคืองขุ่นหลิ่วอู่เต๋อจึงไม่เคยพูดถึงอีกเช่นกัน หลังจากที่ใจคิดจะทอดทิ้งหร่วนอวี้ด้วยแล้ว หลิ่วอู่เต๋อก็ยิ่งไม่พูดอะไร ทำให้หลิ่วเฟิ่งเป็นทุกข์หนัก นางไม่ได้แอบส่งสัญญาณให้ท่านพ่อพูดถึงการแต่งงานใหม่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทั้งยังรีบหารือจัดการแต่งงานใหม่กับหร่วนอวี้ด้วย แต่ว่าทุกครั้งที่พูดถึงล้วนถูกเขาพูดบ่ายเบี่ยงหลบเลี่ยงไป หลิ่วเฟิ่งจึงรู้สึกขึ้นมารางๆ ว่าหร่วนอวี้ไม่ต้องการการแต่งงานครั้งนี้

ในใจเขาคิดถึงแต่ชื่อเสียงและความสามารถมากกว่านางกับมู่หวั่นชิว

ตอนนี้กลับได้ยินว่าเขาคิดจะแต่งงานกับนางในทันที อย่างไรก็เป็นความปรารถนาของนางมาตั้งนานแล้ว ความตื่นเต้นของหลิ่วเฟิ่งแค่คิดก็รู้ได้ หากเป็นก่อนหน้านี้นางคงโผเข้าไปทั้งขบและกัดอย่างยินดี แต่พอคิดถึงว่าได้รับปากท่านพ่อแต่งกับพี่รองหลิงเทาไปแล้ว ในตอนนี้นางรู้สึกเพียงว่าหัวใจถูกทิ่มแทงจนเจ็บปวด ราวกับถูกแทงด้วยลูกธนูนับหมื่นดอก

“พี่สาม…” หลิ่วเฟิ่งทนไม่ไหว น้ำตาไหลราวสายฝน

“อาเฟิ่งอย่าร้องไห้ ก่อนหน้านี้ข้าถูกอาชิวปิดบังตาจนทำให้หมางเมินกับอาเฟิ่ง ต่อไปข้าจะดีต่ออาเฟิ่ง” ราวกับไม่เห็นความผิดปกติของนาง หร่วนอวี้เพียงพูดกล่อมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

หลิ่วเฟิ่งคิดว่าการหมดอำนาจของอิงอ๋องทำให้หร่วนอวี้รู้ตัว นางเข้าใจสถานการณ์ของเขาเป็นอย่างดี และรู้ว่าเขานึกเสียใจแล้วจริงๆ แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนางได้ตัดสินใจแต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว ฟังคำพูดคำจาแสนอ่อนหวานของเขาหลิ่วเฟิ่งก็ปวดใจ

“พี่สาม…” นางโผเข้าไปในอ้อมอกของหร่วนอวี้ “พี่สามอย่าพูดอีกเลย พี่สามจำไว้เพียงว่าคนที่อาเฟิ่งชอบคือพี่สาม คนที่อาเฟิ่งชอบที่สุดในชาตินี้ก็คือพี่สาม!”

“อาเฟิ่ง…” หร่วนอวี้พึมพำ ไม่สนใจการขัดขืนของหลิ่วเฟิ่งอีก เขากระชากกระดุมเสื้อของนาง เพียงไม่กี่ทีก็กระชากเสื้อของนางออกจนหมด แล้วก้มหน้าลงพรมจูบไปทีละนิด มือหนึ่งยึดเอวนางเอาไว้ อีกมือหนึ่งใช้สองนิ้วสอดเข้าไปในกลีบอันเร้นลับแล้วชักเข้าออกอย่างแรง

เมื่อร่างไร้สิ่งใดปกปิด หลิ่วเฟิ่งก็รับรู้ถึงลมเย็นใต้ร่างในทันใด นางร้องออกมาอย่างตกใจ “พี่สาม อย่า…” นางออกแรงขัดขืน แต่เพียงชั่วพริบตานางก็ถูกจุมพิตแนบแน่นของหร่วนอวี้สะกิดอารมณ์ให้หวั่นไหว หลิ่วเฟิ่งรู้สึกเพียงว่านางหายใจไม่ออก ทั้งไม่อาจใคร่ครวญอะไรได้ ในสมองพลันว่างเปล่า

“อย่า…อย่า…” หลิ่วเฟิ่งพูดพึมพำซ้ำๆ ไปอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งนางเองก็ไม่รู้ว่าตนเองปฏิเสธอะไร ขณะที่ร่างกายส่วนล่างกลับบิดเร่าไม่หยุดทั้งแอ่นรับนิ้วมือหร่วนอวี้ที่ชักเข้าออกเร็วขึ้นทุกที ทรวงอกนุ่มเสียดสีกับร่างของหร่วนอวี้ สองขาที่หนีบแน่นเปิดออกโดยไม่รู้ตัว ทำท่าทางราวกับปล่อยให้ท่านชื่นชมได้ตามใจ…

เห็นนางร่างระทวยไร้เรี่ยวแรง ทั้งเกิดอารมณ์หวั่นไหวเช่นนี้ หร่วนอวี้จึงอุ้มนางเดินไปที่เตียง

ใช้มือแยกสองขาขาวนวลของนาง มองดูกลางกลีบดอกสีชมพูนุ่มชื้นที่ถูกตนเองหยอกเย้าแล้วหร่วนอวี้ก็ลังเลใจ ความรู้สึกที่ถูกบ่มเพาะจากการเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กจนโตทำให้เขาทำไม่ลง แต่แล้วก็คิดถึงแผนของสองพ่อลูกที่มีต่อเขา คิดถึงเรื่องที่บิดาของนางเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ เขาก็หลับตาลงทันที กายท่อนล่างออกแรงส่งแท่งร้อนของตนเองเข้าไปโดยไม่ลังเล…

ท่ามกลางเสียงร้องสุขสมปนเจ็บปวดของหลิ่วเฟิ่ง หร่วนอวี้ก็พลิกมือดับกำยานลุ่มหลงในเตากำยานที่จุดไปได้ครึ่งหนึ่ง ม่านมุ้งขยับโยก เสียงหายใจหอบดังไปทั่วห้อง เป็นเสียงครางของหลิ่วเฟิ่งที่ดังขึ้นทุกที…

เสียงหายใจหอบค่อยๆ หยุดลง ความรู้สึกล่องลอยราวกับวิญญาณค่อยๆ สลายลงไปทีละนิด

หลิ่วเฟิ่งได้สติคืนมาอย่างช้าๆ พบว่าตนเองกับหร่วนอวี้เปลือยกายกอดกันอยู่ คิดถึงการร่วมรักเมื่อครู่ นางก็รู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่ความจริง “พี่สาม…” หลิ่วเฟิ่งเรียกเสียงเบา น้ำตาไหลลงมาอย่างห้ามไม่อยู่

เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กนางย่อมปรารถนาในตัวเขามาตลอด แต่พอต้องมามอบร่างกายให้เขาไปเช่นนี้ หลิ่วเฟิ่งกลับรู้สึกผิดหวังอย่างมาก ราวกับขาดอะไรไป นางมิใคร่จะพอใจนัก

แม้จะมีความชอบอยู่บ้าง แต่ที่มากกว่าคือความเจ็บปวด

ได้ยินเสียงร้องไห้ของหลิ่วเฟิ่งดังข้างหู หร่วนอวี้ก็เกิดความรำคาญใจขึ้นทันใด เขาลืมตาขึ้นช้าๆ มองไปตรงยอดม่านเตียงด้วยสายตาเย็นชาว่างเปล่า ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็พลิกตัว สายตาเย็นเยือกเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เขาเช็ดน้ำตาให้หลิ่วเฟิ่งอย่างอดทน “อาเฟิ่งไม่ต้องกลัว ข้าจะไปขอร้องพ่อบุญธรรมให้พวกเราแต่งงานกันทันที”

เขาแอบหวังอยู่รางๆ ในใจว่าอย่าให้หลิ่วเฟิ่งใจร้ายเหมือนบิดาเลย ความรักที่มีมานานหลายปี แม้จะเป็นลูกสาวของศัตรู เขาก็ยังทนไม่ได้ที่จะลงมือฆ่านาง

ใครจะรู้ว่าพอได้ยินคำว่า ‘แต่งงาน’ ความเจ็บปวดแทบขาดใจก็จู่โจมเข้ามาในหัวใจหลิ่วเฟิ่งทันที นางร้องไห้โฮออกมา

หร่วนอวี้ตัวเกร็งไป เขาดีดตัวลุกขึ้นนั่งแล้วถอนหายใจอย่างแรง ก่อนช้อนตัวหลิ่วเฟิ่งขึ้นมากอดอีกครั้งพลางพูดปลอบเสียงเบา “หลายปีมานี้เพื่อรออาเฟิ่ง ข้าไม่ได้ให้อนุที่เรือนหลังตั้งครรภ์เลย อายุข้าเองก็ไม่น้อยแล้ว ที่จริงข้าก็ควรจะมีลูกได้แล้ว ท่านพ่อที่อยู่ในปรโลกหากได้รู้ว่าตระกูลหร่วนมีคนสืบสกุลแล้วก็คงวางใจได้เสียที”

พูดถึงลูก ตรงหน้าหร่วนอวี้ก็ปรากฏใบหน้าน่ารักของมู่หวั่นชิว หากกำหนดให้เขาต้องตายไปพร้อมอิงอ๋องจริง สิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดคือให้มู่หวั่นชิวมีลูกให้เขาสักคน ให้ตระกูลหร่วนได้มีผู้สืบสกุลต่อไป

หากคนผู้นั้นไม่ใช่นาง เขายอมให้ตระกูลหร่วนขาดผู้สืบสกุลเสียยังดีกว่า แต่จะไม่ให้ลูกของหญิงอื่นได้ใช้แซ่หร่วนร่วมกับเขา

แต่ว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร

เขาทำให้นางถูกฆ่าล้างตระกูล เขาทำให้นางกลายเป็นหญิงกำพร้าเร่ร่อน เขาเป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับนางได้!

คิดถึงดวงตาลึกล้ำที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นคู่นั้น คิดถึงตนเองที่นับถือโจรเป็นพ่อมาหลายปี ถูกคนชุบเลี้ยงให้เป็นเช่นสุนัข ความเจ็บปวดก็วาดผ่านหัวใจของหร่วนอวี้ หลังมือที่กุมมือหลิ่วเฟิ่งเอาไว้มีเส้นเลือดเขียวปูดโปนขึ้นมา เขาต้องบังคับตนเองอย่างสุดกำลังถึงจะกดข่มเอาความแค้นเต็มอกนี้ลงไปได้และไม่ซัดฝ่ามือใส่ตัวหญิงสาวที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมอกขณะนี้

ได้ยินคำว่า ‘ลูก’ เสียงร้องไห้ของหลิ่วเฟิ่งก็หยุดลง ทันใดนั้นนางก็สะบัดตัวหลุดจากหร่วนอวี้แล้วพูดอย่างจริงจัง “ขอพี่สามต้มยาห้ามครรภ์ให้ข้าสักถ้วย”

เขาถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องตาย ขณะที่นางยังมีกิจการตระกูลหลิ่วให้รับช่วงต่อ นางจะตายไปกับอิงอ๋องพร้อมเขาไม่ได้ เสียความบริสุทธิ์ให้เขาแล้ว แต่นางจะตั้งครรภ์ลูกของเขาไม่ได้เด็ดขาด!

คำพูดนี้ออกไป บรรยากาศในห้องก็เย็นเยือกทันที

“พี่สาม ข้า…” รู้สึกถึงกลิ่นอายน่ากลัวปะทะเข้ามา หลิ่วเฟิ่งก็ตัวสั่น

“อาเฟิ่งไม่อยากแต่งกับข้าแล้วหรือ” หร่วนอวี้พูดเสียงเย็นชา

หลิ่วเฟิ่งส่ายหน้าอย่างแรงแล้วร้องไห้โฮขึ้นมา

ทันใดนั้นหร่วนอวี้ก็กระโดดลงพื้น “เปลี่ยนชุด!”

สิ้นเสียงพูดก็มีสาวใช้ยกน้ำเข้ามาเช็ดตัวและเปลี่ยนชุดให้หร่วนอวี้

หลิ่วเฟิ่งตกใจจึงรีบแทรกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม

นางฝันก็คิดไม่ถึงว่าหร่วนอวี้จะเรียกคนเข้ามาปรนนิบัติในตอนนี้ ให้ร่างเปลือยเปล่าของนางปรากฏต่อหน้าบ่าว นางเป็นสตรีที่ยังไม่แต่งงาน หากเรื่องนี้ถูกลือออกไป นางจะมองหน้าใครได้ แล้วจะแต่งงานกับใครได้

นางไม่เหมือนกับคนอื่น ในเมืองต้าเยี่ยนางเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นางจะปล่อยให้ข่าวฉาวเรื่องการขึ้นเตียงกับผู้อื่นทั้งที่ยังไม่แต่งงานเช่นนี้ลือออกไปได้อย่างไร

เห็นสาวใช้สองคนปรนนิบัติหร่วนอวี้โดยไม่เสมองและไม่ได้มองมาทางเตียงแม้แต่น้อย หลิ่วเฟิ่งก็สบายใจขึ้นมาได้บ้าง

ปล่อยให้สาวใช้แต่งตัวให้ตนเองเรียบร้อยแล้ว หร่วนอวี้ก็ไม่ได้หันหน้ามา เพียงก้าวเท้าเดินออกไป “ยกยามา” ก่อนออกจากประตู เขาก็สั่งการเสียงเรียบ เสียงพูดเย็นเยือก ไม่อบอุ่นแม้แต่น้อย

หลิ่วเฟิ่งมองดูท่าทีเชื่องช้าของเขาไม่วางตา เห็นเขาก้าวข้ามธรณีประตูไปอย่างช้าๆ แต่ไม่ลังเล ทันใดนั้นนางก็ลงจากเตียง “พี่สาม!” นางตะโกนเรียกเขาใจแทบขาด “อาเฟิ่งไม่ใช่ไม่อยากแต่งงานกับพี่สามเลยนะ พี่สามอย่าไป อาเฟิ่งไม่ได้อยากจะทำร้ายพี่เช่นนี้!”

ฝีก้าวที่ไร้ซึ่งเยื่อใยนอกหน้าต่างค่อยๆ เดินไกลออกไป เพียงชั่วครู่ก็มีบ่าวรับใช้อาวุโสยกยาน้ำสีดำถ้วยหนึ่งออกมา ก่อนจะยื่นมาตรงหน้าหลิ่วเฟิ่งที่กำลังร่ำไห้ “เชิญแม่นางหลิ่วดื่มยา”

หร่วนอวี้เดินไปจนถึงลานบ้านจึงหายใจได้สะดวก

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลิ่วเฟิ่งจะใจร้ายเช่นนี้

เสียตัวให้เขาแล้วนางก็ยังคิดจะแต่งงานกับหลิงเทาอีก ก่อนจะคิดถึงเรื่องที่นางกับบิดาหวังจะเหยียบไปบนศพของเขาเพื่อปีนขึ้นเรือขององค์รัชทายาทลำนั้น!

ในวันเวลานับไม่ถ้วนที่ตนถูกความแค้นทรมานจนแทบบ้านั้น เขาเคยมีหลิ่วเฟิ่งคอยช่วยอยู่ข้างกาย หยอกเย้าให้เขาสบายใจ ร้องไห้ร่วมไปกับเขา ทว่าการปรากฏตัวของมู่หวั่นชิวทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ตนเองรู้สึกต่อหลิ่วเฟิ่งมิใช่ความรัก เขาเห็นนางเป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่ง ที่เขามีต่อนางคือความสนิทสนมอย่างสายเลือดพี่น้อง แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่เคยคิดจะทำผิดต่อนาง และไม่เคยคิดว่าหลังจากแต่งงานกับมู่หวั่นชิวแล้วจะให้อีกฝ่ายปีนขึ้นบนหัวของนางได้

แม้ว่าเขาจะรู้ว่านางเป็นลูกสาวศัตรู แต่นอกจากความปวดใจแล้ว เขาก็ไม่เคยคิดจะทำเหมือนที่หลิ่วอู่เต๋อพูดที่ว่าเขาจะทำร้ายนาง เขาคิดเพียงว่าหลังจากได้ความบริสุทธิ์ของนางแล้วก็จะเลี้ยงนางไว้ในเรือนหลังเหมือนกับอนุคนอื่น ให้นางมีกินมีใช้โดยไม่ต้องกังวลไปชั่วชีวิต

แต่นางกลับใจร้ายเช่นนี้!

‘ขอพี่สามต้มยาห้ามครรภ์ให้ข้าสักถ้วย’

คำพูดอย่างเด็ดขาดของหลิ่วเฟิ่งดังก้องที่ข้างหูรอบแล้วรอบเล่า สะเทือนก้องอยู่ในหูหร่วนอวี้ เขาทรงตัวไม่อยู่จนต้องเกาะต้นไม้เพื่อประคองตนเองให้ยืนมั่น หน้าเขาซีดขาวเหม่อมองดูเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ภาพตรงหน้าดูสับสน

แม้แต่คนที่เคยเลี้ยงดูมาสิบกว่าปี หรือความรักที่มีมาแต่เด็กยังเปลี่ยนแปลงไปในพริบตา แล้วบนโลกนี้ยังจะมีอะไรที่เป็นเรื่องจริงไม่เปลี่ยนแปลงอีกบ้าง

เพียงชั่วครู่เขาก็เกิดความเบื่อหน่ายโลกนี้ขึ้นมา

บนโลกนี้มีแต่ความหลอกลวง สกปรกโสมม สู้ถอยเข้าสู่ทางธรรมเสียดีกว่า

“ใต้เท้า…” กำลังคิดจนเหม่อลอย องครักษ์เฝ้าประตูก็เข้ามารายงาน “ลือกันว่าปรมาจารย์ไป๋เป็นลูกสาวของมู่ซีอัครเสนาบดีกังฉิน ใต้เท้าจั่วจับนางเข้าคุกแล้วขอรับ!”

อะไรนะ

หร่วนอวี้ตัวสั่น “แม่นางไป๋ถูกจับแล้วหรือ”

“ขอรับ เพิ่งจะถูกจับ” องครักษ์พยักหน้า

ดีเหลือเกินนะหลิ่วอู่เต๋อ!

หร่วนอวี้สีหน้าโกรธเกรี้ยว ใช้ให้หลิ่วเฟิ่งมาแจ้งข่าวก่อน ขณะเดียวกันหลิ่วอู่เต๋อก็ยังกลัวว่าเขาจะใจไม่แข็งพอจะฆ่ามู่หวั่นชิว จึงได้ส่งคนไปสร้างข่าวลือและแจ้งเรื่องกับจั่วเฟิง!

ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจแผนร้ายของหลิ่วอู่เต๋อ หร่วนอวี้หัวเราะเสียงเย็น แอบคิดในใจว่าพ่อบุญธรรม ท่านคิดว่าอาชิวตายแล้วตระกูลหลิ่วก็จะอาศัยกู่ฉินมาคุมวงการปรุงเครื่องหอมได้แล้วหรือ ในดวงตาเขาฉายความเหี้ยมโหด ข้าไม่ให้ท่านทำสำเร็จหรอก!

“ใต้เท้าจะไปที่ใดขอรับ” เห็นหร่วนอวี้ก้าวเท้าไปโดยไม่พูดอะไร องครักษ์จึงเดินตามไปถาม

“แจ้งจางจวิ้น นำกำลังทหารไปล้อมคุกจวนเจ้าเมือง”

จางจวิ้นเป็นผู้บัญชาการทหารท้องที่ของเมืองต้าเยี่ย ทั้งยังเป็นทหารกำลังสำคัญของหร่วนอวี้

เคลื่อนกำลังทหารไปล้อมคุกหรือ

ใต้เท้าของข้าจะทำอะไร

องครักษ์ตกตะลึง กำลังจะถามอย่างละเอียดหร่วนอวี้ก็ก้าวยาวออกไปแล้ว

 

(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 23 มีนาคม)

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: