X
    Categories: JamsaiPrincess Syndromeทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน Princess Syndrome ตอนที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 6

อาการที่สี่

ทัศนคติประหลาด

 

ทองมักจะส่องประกายโดยไม่จำเป็น

ฉันนอนหลับโดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้ว จนกระทั่งคุณนายจูเลียโผล่เข้ามาในห้องของฉันและปลุกโดยเขย่าตัวฉันอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงแสบแก้วหูของเธอ

“อะไร! แม่เล่นไพ่แพ้มาอีกแล้วใช่ไหม หรือว่ากระเป๋าเบอร์เบอร์รี่รุ่นลิมิเต็ดถูกคนซื้อไปแล้ว?” ฉันเปิดเปลือกตาขึ้นและถามอย่างอารมณ์ไม่ดี

“ยัยเด็กนี่ช่างมีอนาคตดีเสียจริง! ดูซิข่าวพวกนี้นี่มันอะไรกัน” เธอโยนนิตยสารก๊อสซิปเล่มหนึ่งใส่ตัวฉัน

ฉันหยิบขึ้นมาหรี่ตามอง หัวข้อข่าวเขียนว่า ‘ลูกสาวตระกูลเศรษฐีอายุสิบแปดปีเสียสติ’ เนื้อหาคร่าวๆ ประมาณว่าบันทึกรายการช็อปปิ้งของฉันในวันนั้น พร้อมกับรูปภาพพร่ามัวหลายรูป เอารูปที่มองจมูกปากไม่ออกมาประกอบเนื้อเรื่อง

อธิบายให้ละเอียดมากขึ้นก็คือสาวไฮโซบางคนที่มีชื่อภาษาอังกฤษขึ้นต้นด้วยตัว K ใช้เงินอย่างไม่กลัว ตลอดช่วงเช้าใช้เงินไปเท่าไรแล้วกับการทำผมในร้านซาลอนชั้นนำ หลังจากนั้นก็ไปช็อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าและตกเป็นเป้าสายตา กวาดเอาสินค้าชั้นดีแต่ละอย่างไปจากเคาน์เตอร์ ตลอดการซื้อของมีพนักงานคอยตามราวกับสมาชิกวีไอพีของห้างสรรพสินค้า เงินเหล่านั้นเท่ากับเงินค่าอาหารกลางวันครึ่งปีถึงหนึ่งปีของเด็กในบ้านที่มีรายได้ขั้นต่ำ ต่อมายังลงรายการที่ฉันช็อปปิ้งไป ถือโอกาสเอาชื่อแบรนด์เนมเหล่านั้นมาทำการโฆษณาอย่างแนบเนียน ตอนเย็นก็ไปวางท่าอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ดั้งเดิมชั้นเยี่ยม อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น เนื้อหายังไม่ลืมที่จะหยิบยกโคลง ‘กลิ่นสุราอาหารจากบ้านมีอันจะกิน คนจนกลับตายด้วยความหิวโหยและหนาวเหน็บข้างถนน’ มาแสดงความคิดเห็นถึงการกระทำอวดรวยของฉันและทำให้ทุกคนเกลียดคนรวย

“แค่นี้? ไม่มีต่อ?”

ฉันหรี่ตาอ่านไปมาอยู่หลายรอบ ในข่าวเขียนถึงเพียงแค่เหตุการณ์ในร้านหม้อไฟ ตอนที่ฉันด่าสาวอ่อนแอบริสุทธิ์อวี๋ยางยางนั้นไม่ได้เขียนลงไป

รวมถึงเรื่องที่ฉันถูกเจิ้งฉู่เย่าสาดน้ำใส่ เรียกเฮลโล คิตตี้มากินหม้อไฟด้วย เหตุการณ์อนาจารบนรถสาธารณะ ถูกไล่ล่าในตรอกมืด…ล้วนไม่ถูกพูดถึง

แสดงว่าตอนเฮลโล คิตตี้และเหตุการณ์ถัดมาไม่ถูกถ่ายเอาไว้ได้ ฉันพรูลมหายใจออกมา แต่คิดย้อนไล่ไปตามเวลาอย่างละเอียดแล้วฉันยังรู้สึกงุนงงอยู่บ้าง ปาปารัซซี่ตามถึงร้านหม้อไฟแล้ว ทำไมถึงไม่เขียนเรื่องที่ฉันโดนเจิ้งฉู่เย่าสาดน้ำกัน

มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือที่จริงแล้วถ่ายรูปเอาไว้ได้นั่นล่ะ แต่ถูกอำนาจชั่วร้ายบางอย่างมาหยุดเอาไว้ ความเป็นไปได้อีกอย่างก็คือปาปารัซซี่ปวดปัสสาวะอย่างเร่งด่วนจึงไปเข้าห้องน้ำ เลยไม่ได้ถ่ายฉากอันแสนคลาสสิกนั้นเอาไว้ หลังจากนั้นคงรู้สึกว่าเนื้อหาที่จะเอาไปเขียนข่าวเยอะพอแล้วจึงได้เลิกงานไป

ฉันยิ้มหยันออกมาเล็กน้อย ไม่เคยเห็นปาปารัซซี่ที่ไม่ซื่อสัตย์ต่องานอย่างนี้เลย

ฉันสางผมพร้อมกับนำนิตยสารโยนไว้บนตู้ข้างหัวเตียง หยิบรีโมตโทรทัศน์ขึ้นมากดเปลี่ยนช่องไปเรื่อย จู่ๆ ก็มีข่าวสั้นคั่นรายการดึงความสนใจเอาไว้

“ใช้ยี่ห้อสินค้าดีอย่างหลุยส์ วิตตอง อีฟส์ แซงต์ โลรองต์ และอื่นๆ มาเป็นรหัสลับของยาเสพติด ตำรวจได้บุกจู่โจมจับกลุ่มค้ายา!” บนหน้าจอปรากฏชายหนุ่มล่ำสันสามคนสวมหมวกกันน็อค ก้มหน้าระหว่างการส่งตัวของตำรวจ พอขึ้นนั่งอยู่บนรถตำรวจแล้วก็จากไป

สามคน? ทำไมมีแค่สามคน

ฉันตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

เสียงในตอนนั้นที่ฉันได้ยินคือเสียงของคนสี่คนอย่างแน่นอน ตำรวจจับได้เพียงแค่สามคน ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามีหนึ่งคนที่หนีรอดไปได้!

คุณนายจูเลียทำเสียงกุกๆ กักๆ อยู่ภายในห้องเก็บเสื้อคลุมของฉัน สักพักหนึ่งจึงโผล่หน้าออกมายิงคำถามราวกับปืนกล “โคช หลุยส์ วิตตอง ชาแนล กุชชี่ ปราด้า แอกเนส บี. มิว มิวที่ลูกซื้อมาเมื่อวันก่อนล่ะ”

ตอนที่ต้องรักษาชีวิตเอาไว้ใครจะยังสนใจแบรนด์เนมพวกนั้นกันเล่า

ดวงตาของฉันยังคงจดจ้องอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์พลางตอบแบบขอไปที “ทำหายไปแล้ว”

“หายไปแล้ว?” คุณนายจูเลียพุ่งมาตรงหน้าฉัน ถลึงตามองด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ “อะไรที่ว่าทำหายไปแล้ว บอกแม่มาให้ชัดเจนนะ!”

“รู้สึกไม่ดีเลยทิ้งตามทางตามถนน ใครอยากได้ก็เก็บไป” ฉันโบกมือเป็นเชิงไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อแล้วกดกระดิ่งที่อยู่บนหัวเตียง

ป้าแม่บ้านเดินเข้ามา มือวางไว้บนผ้ากันเปื้อนพร้อมกับเช็ดๆ เอ่ยถามด้วยความเคารพ “คุณหนูจะสั่งอะไรหรือคะ”

“ทำอะไรให้ฉันทานหน่อย”

“คุณหนูอยากทานอะไรคะ เชิญสั่งมาได้เลยค่ะ”

“ฉันเอาสเต๊กย่างเตา แซลมอนทอดจนหอม เครื่องดื่มขอเป็นน้ำผักผลไม้ปั่นสดๆ ไม่ใส่น้ำตาล”

“เอาของหวานหน่อยไหมคะ เช้านี้ลุงเต๋ออบพายแอปเปิ้ล”

“เอ่อ ได้สิ เอามาชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง” ฉันเหลือบมองคุณนายจูเลียที่นิ่งเป็นหินอยู่อีกด้านหนึ่ง “วานเอามาเผื่อคุณป้าคนนี้อีกหนึ่งชิ้น ให้เธอทานแล้วจะได้อารมณ์เย็นลง”

“หลินซิงเฉิน! ยัยเด็กฟุ่มเฟือยคนนี้!” คุณนายจูเลียโอดครวญด้วยความปวดใจเจียนตายถึงของชั้นดีเหล่านั้น “ของพวกนั้นราคาเท่าไหร่!”

“เด็กฟุ่มเฟือย” ฉันอดหัวเราะเยาะในใจเสียไม่ได้ “ฟุ่มเฟือยเงินสกุลหลิน นี่ไม่ใช่สิ่งที่แม่หวังไว้หรอกเหรอ”

‘ซิงเฉินจ๊ะ แม่เองก็อยากมีชีวิตที่สุขสบาย นี่เป็นสิ่งที่คุณพ่อติดค้างเราไว้ แล้วตอนนี้เขาก็อยากจะชดเชยให้…เราใช้เงินของเขา เขาจะได้ไม่รู้สึกผิด’

คุณนายจูเลียพลันเงียบกริบ ฉันรู้ว่าเธอเองก็กำลังนึกถึงคำพูดที่เธอเคยพูดเอาไว้เป็นแน่

สุดท้ายแล้วสิ่งที่พ่อชดเชยให้แม่ก็เป็นเพียงแค่การที่ไม่ได้ปิดบังเรื่องเงินทองเท่านั้น

ในปีนั้นตอนที่ฉันเรียนจบชั้นประถม คุณพ่อก็จากไป พิธีการคำนับอัฐิและดวงวิญญาณซึ่งแสนซับซ้อนและกินเวลานาน มีเสียงร่ำไห้ไปทั่วห้องโถงจากบรรดาญาติซึ่งฉันจำไม่ได้สักนิดว่าใครเป็นใคร ฉันคุกเข่าตรงหน้าสุด ก้มหน้าลงต่ำ ดูเหมือนว่าพอเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นดวงตาที่ไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมาของฉัน

ในตอนที่ญาติเหล่านั้นก้มลงมากอดฉันไว้ ถอนหายใจพลางกล่าวไปด้วยว่า ‘เด็กโชคร้าย’ แต่ฉันกลับเห็นดวงตาของพวกเขาก็แห้งไร้น้ำตาเช่นเดียวกัน

น่าละอาย

เมื่อเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองผ่านดวงหน้าเสแสร้งโศกเศร้าของแต่ละคน เห็นแม่เดินไปเดินมาอยู่ตรงปากประตูโถงพิธี ในขณะที่ฉันกำลังอยากจะลุกขึ้นไปรับเธอ กลับมีคนกดไหล่ฉันไว้อย่างแรง ฉันทำได้แค่เพียงมองใบหน้าขาวซีด ริมฝีปากสั่นระริกนั้นเอ่ยอ้อนวอนผู้คนขอให้ตัวเองได้เข้ามาส่งคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้ายอย่างช่วยอะไรไม่ได้

‘อย่าทำให้ตัวเองขายหน้าอีกเลย เธออยู่ในฐานะอะไร ตำแหน่งอะไร’ แม่ใหญ่กดเสียงต่ำเอ่ยปฏิเสธ โบกมือเรียกการ์ดให้ไล่แม่ไป ทำราวกับไล่สุนัขจรจัดตัวหนึ่ง

ฉันอยากใช้ชีวิตอย่างสง่างาม และไม่อยากให้แม่ผู้ให้กำเนิดต้องใช้ชีวิตอย่างเป็นความลับ…

“แม่ แม่วางใจเถอะ” ในที่สุดฉันก็ใจอ่อน ถอนหายใจออกมา “หนูจะไม่ยอมให้แม่ถูกคนอื่นรังแกเหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว”

“ซิงเฉิน…” แม่ทำเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูด แววตาที่มองฉันมีร่องรอยแห่งความรู้สึกผิดจางๆ

หลังจากทานอาหารเรียบร้อยแล้วฉันก็อาบน้ำด้วยความผ่อนคลาย เมื่อสวมชุดคลุมอาบน้ำออกมาจากห้องน้ำก็เหลือบเห็นโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยนั้นมีสายไม่ได้รับกว่าสิบสาย พอตัดสายที่ไม่รู้จักออกไป ในนั้นมีสายจากคุณนายจูเลียกว่าสิบสาย อาเมิ่งซีโทรมาสามสาย เจิ้งฉู่เย่าหนึ่งสาย สายล่าสุดจากแม่ใหญ่โทรมา

เพิ่งชโลมน้ำสกัดบำรุงเส้นผมลงไปบนผมที่เปียกไม่ทันไร โทรศัพท์ก็ราวกับมีวิญญาณเร่งดังขึ้นมาอีกครั้ง

เป็นแม่ใหญ่

กดปุ่มสปีกเกอร์โฟนและปุ่มเพิ่มเสียง ฉันเช็ดผมไปด้วยพูดไปด้วย “หนูเพิ่งอาบน้ำเสร็จ”

“อาบน้ำ? หลินซิงเฉิน เธอสับสนกลางวันกับกลางคืนแล้วเหรอ อาบน้ำตอนเช้าตรู่ทำไม”

ฉันส่งเสียงโอ้ออกไปแล้วตอบเธอกลับหนึ่งประโยค “คุณไม่รู้เหรอว่าคนต่างประเทศอาบน้ำตอนเช้ากันทั้งนั้น”

“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย” เสียงของหญิงแกร่งที่ไม่แยแสและเย็นชาดังออกมา “สินค้าใหม่ที่กลุ่มบริษัทดอลลี่จะวางขาย ฉันวางแผนวางตัวให้เธอกับเจิ้งฉู่เย่าถ่ายรูปโฆษณา”

“หนู? ถ่ายโฆษณา?” ใช้ภาพลักษณ์คุณหนูดื้อรั้นที่ใช้เงินตระกูลอย่างฟุ่มเฟือยของฉันเนี่ยนะ? ผู้หญิงคนนี้มีเงินเยอะเกินไปจนไม่มีที่จะเอาไปใช้แล้วหรือยังไง

“ฉันกับฝ่ายการตลาดหารือกันเรียบร้อยแล้ว รองเท้ายี่ห้อใหม่อย่าง ‘ซาลีร์’ มีลูกค้าเป็นกลุ่มวัยรุ่น พุ่งเป้าสามด้านใหญ่คือดึงดูดวัยรุ่นในโรงเรียน กิจกรรมนันทนาการยามว่าง ออกกำลังกระฉับกระเฉง…” น้ำเสียงของแม่ใหญ่เป็นงานเป็นการขึ้นมา “คณะกรรมการบริษัทก็ได้ประเมินแล้ว รูปร่าง อายุ จุดเด่นของพวกเธอต่างก็เหมาะสม รวมถึงวัยรุ่นปกติส่วนใหญ่จะมีความคาดหวังเกี่ยวกับชีวิตคุณหนูคุณชายของตระกูลไฮโซ การทำงานของสื่อนับว่าไม่เลวเลย ไม่เสียทีที่มีข่าวออกมา”

“หยุด! หยุด! ทำไมไม่ไปหาไอดอล คนดังบนโลกออนไลน์ล่ะคะ” ฉันแนะนำอย่างสุดกำลัง “เหมือนกับนักแสดงวัยรุ่นชายคนนั้นที่ช่วงนี้แสดงเรื่อง ‘เจ้าพ่อตลาดหุ้น’ รูปร่างแข็งแรง สดใสและยังร้องเต้นได้…” เทียบกับจอมโมโหร้ายเจิ้งฉู่เย่าที่สาดน้ำใส่ฉัน ไม่ว่าใครก็ดีกว่าเขาร้อยเท่า!

“คนนอกที่ไหนจะควบคุมได้ง่ายอย่างเด็กในบ้าน” แม่ใหญ่พูดแทรกคำพูดฉันขึ้นมา “ดาราดังบนเวทีหน้าตาท่าทางดูดี แต่ข้างล่างเวทีจะทำอะไรเราไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่าย ถ้าเกิดเป็นข่าวฉาวขึ้นมา สิ่งที่ต้องสูญเสียก็คือภาพลักษณ์สินค้าใหม่กับชื่อเสียงกลุ่มบริษัทดอลลี่!”

“ก้าวก่ายได้หรือไม่ได้เป็นเรื่องของพวกคุณ อย่าเอาสิ่งที่พิจารณาแค่ด้านเดียวมาวางไว้บนหัวหนู ยังไงหนูก็ไม่มีทางเห็นด้วย!”

“ฉันได้ถามความเห็นจากเธองั้นเหรอ” แม่ใหญ่หัวเราะเยาะ “ฉันแค่บอกเธอให้รู้ถึงเรื่องนี้”

ฉันกัดฟันกรอด “เจิ้งฉู่เย่าก็ไม่มีทางตอบตกลงแน่!”

“เขาจะตอบตกลงแน่” แม่ใหญ่เอ่ยอย่างเฉยเมย “ทางสกุลเจิ้งฉันจัดการเอง”

ฉันเงียบไปสักพัก ครุ่นคิดอย่างละเอียดถึงคำพูดนั้น ในใจเกิดความรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมา

แม่ใหญ่พูดอย่างไม่รีบร้อน ราวกับว่าในมือของเธอมีข้อมูลใช้ต่อรองเจิ้งฉู่เย่าได้

“อีกอย่าง อย่าคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องเธอที่สถานีตำรวจเมื่อคืน ฉันต้องลำบากมากมายกว่าจะปิดข่าวได้ ตอนนี้เธอก็ทำตัวดีๆ หน่อย อย่าสร้างปัญหา”

ช่างเถอะ ตัวฉันเองก็ยังไม่มีอำนาจพอที่จะปกป้องตนเองได้ แล้วจะเป็นห่วงเจิ้งฉู่เย่าไปอีกทำไม

 

เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ของคุณหนูที่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ชอบจำกลางวันกับกลางคืนสลับกัน ไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่รู้จักพัฒนา ให้เป็นสาวน้อยสดใสร่าเริง แข็งแรงมีพลัง มีการพัฒนา…พูดให้กระชับหน่อยก็คือเพื่อเฝ้าสังเกตฉัน แม่ใหญ่ได้จัดหลักสูตรฝึกฝนให้ฉันยกใหญ่

น่าเสียดาย คุณหนูคนนั้นมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเดินไปถึงจุดหมายปลายทางการเป็นเศรษฐีใหม่ที่ผลาญเงินครอบครัว เวลาเรียนมักจะไม่กระตือรือร้น ถ้าไม่ไปเฝ้าเง็กเซียนก็ทำหน้าโง่ ดวงตาเหม่อลอย หรือไม่อย่างนั้นก็แสร้งปวดหัว ปวดตา ปวดหู เจ็บปาก ปวดฟัน…คิดทุกวิถีทางเพื่อหลบหนี

มีเพียง ‘วันสังเกตและศึกษาแบรนด์’ เท่านั้นที่ตั้งใจอย่างจริงจัง เพราะสะสมประสบการณ์ความเข้าใจมากเกินไป ฉันกับกลุ่มแฟนคลับจึงเปิดบล็อกหนึ่งขึ้นมาใหม่ โพสต์พวกสไตล์แฟชั่น บทความเกี่ยวกับคุณภาพของ ล้างสมองสาวชนชั้นกลางที่ภูมิหลังครอบครัวไม่ค่อยอู้ฟู่ ซินเดอเรลล่า สาวโพสต์อิต ว่าซื้อของแบรนด์เนมอย่างไรจึงจะคุ้มค่า ของที่มีข้อด้อยไหนควรหลีกเลี่ยง ของนำเข้าอันไหนที่ห้ามพลาดเป็นอันขาด…เวลาที่อารมณ์ดียังแบ่งปันรูปภาพอาหารชั้นเยี่ยมที่เคยกิน รวมถึงปาร์ตี้และโพสต์ภาพเซ็กซี่หน้าอกโตหลายภาพให้เพื่อนในอินเตอร์เน็ตน้ำลายหก มองได้แต่กินไม่ได้…

ส่วนใหญ่เป็นทัศนคติอวดรวย อวดสวย พูดด้วยความสัตย์จริง มันดูไม่มีค่าเลยจริงๆ

บางทีแม่ใหญ่อาจพูดถูก คนธรรมดามีความคาดหวังเกี่ยวกับวิถีชีวิตของไฮโซผู้ดีไม่มากก็น้อย ตัวเลขในบัญชีกระแสรายวันของฉันดึงดูดคนจำนวนมากให้เหลือบมองดู ชั่วพริบตาจำนวนแฟนคลับก็เพิ่มอย่างก้าวกระโดด หลังจากนั้นยังได้รับคำเชิญจากนิตยสารผู้หญิงมากมายที่พยายามเชิญให้ไปสัมภาษณ์รายการพิเศษเกี่ยวกับการแต่งหน้าแต่งตัวของผู้หญิง

เรื่องจิปาถะทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย กินเวลาที่ฉันมีไปทั้งหมด จนกระทั่งพบว่าฉันไม่ได้ยินข่าวใดๆ เกี่ยวกับเจิ้งฉู่เย่าตลอดสองเดือนเต็ม

วันนั้นเจิ้งฉู่เย่าสุดหล่อลากอวี๋ยางยางเดินจากไป ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นทั้งคู่เป็นอย่างไร

และอวี๋ยางยางยังไปรับเจียงเนี่ยนอวี่ เสียงเรียก ‘เสี่ยวอวี่’ ที่อ่อนหวานยืดยานนั้นทำให้ฉันรู้สึกสนใจมาก ไม่รู้ว่าสองคนนั้นมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่

นอกจากชื่อ นอกจากเขาที่แต่งตัวเป็นเฮลโล คิตตี้ตัวนั้น ฉันก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย

เจียงเนี่ยนอวี่ เสี่ยวอวี่…ฉันกับเขาจะได้เจอหน้ากันอีกไหมนะ

ฉันเปิดตู้เครื่องประดับด้วยใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว วางแผนไว้ว่าจะเลือกสร้อยคอเข้าคู่กับชุดเดรสสีดำของซาร่า ระหว่างหาอยู่ก็ส่งเสียง ‘หือ’ ออกมา

กิ๊บติดผมรูปมงกุฎประดับคริสตัลสวารอฟสกี้ที่ฉันใส่ในงานเลี้ยงวันนั้นหายไปแล้ว!

ทำหายตอนที่ตกน้ำไป? หายในสระว่ายน้ำหรือบริเวณงานเลี้ยงกัน? มีคนเก็บไปรึยังนะ

หาอยู่สักพักฉันก็ไม่อยากหาแล้ว เกิดความรู้สึกว่าจะต้องมีสักวันที่เครื่องประดับผมชิ้นนั้นจะกลับมาหาฉันอีกครั้งขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ไม่รู้ว่าความมั่นใจนี้มาจากไหน เป็นสัญชาตญาณบางอย่างที่อธิบายไม่ได้

ใช้ชีวิตเป็นเด็กดีมานานแล้ว ช่างน่าเบื่อและไม่มีชีวิตชีวาเลย

ฉันทำตัวดีมาระยะหนึ่ง วันนี้เป็นคืนสุดสัปดาห์ แม่ใหญ่ไปร่วมงานสำคัญงานหนึ่ง พาบอดี้การ์ดส่วนใหญ่ไปด้วย ลุงเต๋อพ่อบ้านกับคุณป้าแม่บ้านก็พักผ่อนกันแล้ว…โอกาสดี!

หลังจากติดอาวุธเต็มยศ ฉันก็พอใจกับการแต่งตัวของตนเองเป็นอย่างมาก วิกผมปลอมสั้นสีชมพูเรืองแสงเข้ากันกับกระโปรงสุดสั้นสีชมพูนีออนของมอสกีโน วันนี้แต่งตัวแต่งหน้าสไตล์ EDM อย่างเห็นได้ชัด

ตอนที่ก้าวเท้าออกจากห้องพลันนึกขึ้นได้ว่าจะเหลือสลิปบัตรเครดิตเอาไว้ให้แม่ใหญ่จับได้ตอนจ่ายบิลไม่ได้ ดังนั้นจึงคว้าเงินธนบัตรใส่เต็มกระเป๋าสะพายใบเล็กมีพู่ห้อยของอีฟส์ แซงต์ โลรองต์ ถือโอกาสช่วงเวลาสั้นๆ ตอนยามหน้าประตูใหญ่เปลี่ยนกะ ค่อยๆ ลอบออกจากคฤหาสน์แล้ววิ่งสุดชีวิต โบกรถแท็กซี่คันหนึ่ง การหลบหนีสำเร็จ!

จุดหมายคือ ‘เจเนซิส’ ไนต์คลับชื่อดังในเขตตะวันออก

รองเท้าบูตสั้นส้นสูงเหยียบดังกุกกัก เดินมุ่งไปยังไนต์คลับอย่างยั่วยวน ชายร่างหนาตรงหน้าประตูยื่นแขนที่มีมัดกล้ามมาขวางฉันเอาไว้

“คุณผู้หญิงครับ บัตรประชาชน”

“ไม่ได้พกมา” ฉันดันแว่นกันแดดกุชชี่สีขาวบนสันจมูกซึ่งปกปิดใบหน้ารูปไข่เอาไว้เกือบครึ่งหน้า “ฉันพกมาแค่เงิน”

“บัตรประชาชน?”

“ฉันพกเงินมาเยอะมากเลย” ฉันสื่อเป็นนัยให้เขา

“บัตรประชาชน?” หนุ่มร่างหนายังไม่ยอมขยับ

“ฉันพกเงินมาเยอะมากๆๆ จะเหมาสถานที่!” ฉันอวดรวยและทำท่าเย่อหยิ่ง “ตามคนที่ดังที่สุดของที่นี่มาต้อนรับฉัน!”

“บัตรประชาชน!” หนุ่มร่างหนาไม่ยอมลงให้อย่างเด็ดขาด

“ฉันใช้เงินเหมาสถานที่ยังต้องตรวจบัตรประชาชนอีกเหรอ” ฉันโอดครวญ

“กฎหมายบังคับให้เข้าออกสถานบันเทิงต้องตรวจบัตรประชาชน” น้ำเสียงหนุ่มร่างหนาไม่มีอารมณ์จะมาต่อรองด้วย

แสดงบัตรประชาชน? สาวสังคมอย่างหลินซิงเฉินขอประกาศอย่างตรงไปตรงมาว่าช่างมันก็แล้วกัน!

ฉันครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมาว่าจะชื่นชมพนักงานของไนต์คลับที่ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์แล้วค่อยหมุนตัวเดินจากไปด้วยความมั่นใจดี หรือจะสอดธนบัตรปึกหนึ่งเพื่อทดสอบเขาว่าจะยอมก้มหัวให้กับเงินหรือไม่ดี ระหว่างนั้นก็เหลือบเห็นร่างดูคุ้นตาผ่านหน้าไป

เจียงเนี่ยนอวี่สวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ดสีขาวเดินผ่านตัวฉันไป เขามองฉันแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินผ่านประตูเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับว่าจำฉันไม่ได้

“ทำไมเขาไม่ต้องแสดงบัตรประชาชนล่ะ” ฉันชี้ไปยังแผ่นหลังของเขาพร้อมกับกล่าวโทษ “เลือกปฏิบัติ!”

“เขาเป็นพนักงานของเราที่นี่” หนุ่มร่างหนาหยุดพูดไปขณะหนึ่ง พูดเน้นด้วยน้ำเสียงภูมิใจ “เป็นบาร์เทนเดอร์…ที่ได้รับความนิยมที่สุดของเจเนซิส”

“อ่า ดีจริงๆ เลย เขาเป็นแฟนของฉัน ฉันกำลังจะมาหาเขาพอดี” สิ้นคำพูดนั้นฉันก็อาศัยชั่ววินาทีสั้นๆ ที่หนุ่มร่างหนากำลังนิ่งอึ้งอยู่ ลอบเดินเข้ามาในไนต์คลับ

เสียงดนตรีเบสหนักๆ ดังสะเทือนแก้วหูฉัน ฉันกะพริบตามองปริบๆ ยังไม่ทันจะปรับสายตาให้เข้ากับแสงในความมืดตรงหน้า เรียวแขนกลับถูกคนจับไว้อย่างแรง

“เธอมาที่นี่ทำไม”

“มาเที่ยวไง!” ฉันถอดแว่นกันแดดลง เอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มเผล่ “คิดไม่ถึงเลยว่าแค่แป๊บเดียวนายก็จำได้แล้ว ดูเหมือนว่าการพรางตัวของฉันจะล้มเหลวสินะ”

สายตาของเจียงเนี่ยนอวี่ย้ายมาตรงส่วนที่โผล่จากเสื้อผ้าของฉัน เขารีบคลายมือทันที ใบหน้าปรากฏริ้วแดงเล็กน้อย “นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอควรมา”

“ฉันมาไม่ได้ แล้วนายมาได้เหรอ” สองมือเท้าเอว พูดเป็นเหตุเป็นผลอย่างมั่นใจ

“ฉันทำงานที่นี่”

“เหอะๆ ฉันรู้” เห็นว่าเขาหมุนตัวกำลังจะเดินจากไป ฉันจับแขนเขาเอาไว้โดยไม่สำรวมท่าที สีหน้าอันธพาล “เฮ้ ได้ยินว่านายดังที่สุดในนี้ เอาไง จะให้ฉันเหมาทั้งคืนมั้ย”

มุมปากเขากระตุกขึ้น “ไม่ได้!”

“ทำไมไม่ได้ล่ะ” ฉันปั้นท่าเป็นสาวน้อยแสนยั่วยวนนิสัยไม่ดี เราทั้งคู่ฉุดยื้อกันไปมากำลังได้ที่ พลันได้ยินเสียงร้องกรี๊ดเล็กๆ จากบริเวณรอบๆ

“เอ๊ะ? นั่นดูเหมือนลูกสาวเศรษฐีกลุ่มบริษัทดอลลี่เลย หลินซิงเฉิน?”

บรรณาธิการเดอะเฟิร์สต์ วีกลี่อีกแล้ว! ผู้ชายคนนี้ทำไมเหมือนผีที่สลัดไม่หลุดกันนะ

“แย่แล้ว ปาปารัซซี่” ฉันหน้าถอดสี รีบดึงมือกลับทันที จากเด็กผู้หญิงจอมเกเรเด้งกลับมาเป็นเด็กดี เจียงเนี่ยนอวี่มองผ่านฉันไปข้างหลังอย่างนิ่งๆ

“จบเห่แล้ว! ฉันจะโดนถ่ายรูปตอนมาเที่ยวเตร่ในไนต์คลับ แม่ใหญ่รู้เข้าจะต้องฉีกเนื้อฉันเป็นชิ้นๆ แน่” ฉันมีท่าทีลุกลี้ลุกลนคิดอยากจะหนีแต่กลับถูกเขาดึงไว้

“อย่าขยับ” เขาออกคำสั่งด้วยเสียงทุ้มลึก

ร่างกายฉันนิ่งไม่ขยับ ถอนหายใจแรงก็ยังไม่กล้า

เจียงเนี่ยนอวี่ขยับเข้าใกล้ใบหูฉัน ลมหายใจอุ่นร้อนที่รดใบหูฉันทำเอาฉันหน้าแดง

“อย่าหันไป พวกเขากำลังเดินมาทางเรา ถ้าเธอหันไปก็จะถูกพวกเขาจับได้”

“งั้นควรทำยังไงดี” ฉันฝังใบหน้าลงไปบนบ่าของเขาพลางเอ่ยถามเสียงเบา

เจียงเนี่ยนอวี่มือหนึ่งกดหัวฉันลงเบาๆ ให้ฉันซบอยู่ในอ้อมกอดเขา “อยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง”

อยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง?

ที่นี่คือในอ้อมกอดของเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นภายในช่องอกของเขาได้อย่างชัดเจน ครั้งแล้วครั้งเล่า แข็งแรงหนักแน่น เพียงแต่…จังหวะดูเหมือนจะเร็วไปนิดหน่อย

“ขอโทษครับ ใช่คุณหลินซิงเฉินหรือเปล่าครับ ช่วยทักทายกับพวกเราหน่อยได้ไหม”

“พวกคุณจำผิดแล้ว เธอเป็นแฟนผมครับ” เจียงเนี่ยนอวี่โอบฉันแน่นขึ้น น้ำเสียงเด็ดขาด “ไม่ใช่ลูกสาวกลุ่มบริษัทอะไรหรอกครับ”

ฉันเอาหน้าซบลงกับอกเขาเข้าไปอีก อดดีใจที่ตนเองสวมวิกผมสั้นสีชมพูไม่ได้

“ถ้าไม่ใช่แล้วทำไมจะต้องหลบๆ ซ่อนๆ” ผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้จัดการง่ายๆ

“เจเนซิสไม่ใช่สถานที่ให้นักข่าวก๊อสซิปอย่างพวกคุณมาหาข่าว ช่วยมีสติกันด้วยครับ ไม่อย่างนั้นผมต้องให้บอดี้การ์ดมาเชิญพวกคุณออกไป” เจียงเนี่ยนอวี่ตอบกลับอย่างหนักแน่น

อีกฝ่ายได้ยินดังนั้นจึงยอมถอยฉากกลับไปโดยดี

“ไปรึยัง”

“อืม”

ฉันขืนตัวเล็กน้อย เจียงเนี่ยนอวี่ปล่อยแขนทั้งสองข้าง

ฉันสวมแว่นกันแดดอำพรางสายตาคนอีกครั้ง มองสีหน้าเจียงเนี่ยนอวี่ไม่ชัด ความรู้สึกกระอักกระอ่วนลดลงเล็กน้อย

“เหอะๆ นายช่วยฉันไว้อีกครั้งแล้ว”

ฉันหัวเราะอย่างเคอะเขิน สลับกับเขาที่กลอกตา ยังดีที่ฉันพอมีภูมิคุ้มกันแล้ว

เจียงเนี่ยนอวี่ดันตัวฉันออกไปทางประตูหลังของไนต์คลับ “รีบไปเถอะ คราวหน้าอย่ามาอีก”

 

ฉันที่ผมเปียกไปทั้งหัวเดินออกจากประตูห้องอาบน้ำแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงใหญ่ เมื่อหลับตาลง เสียงหัวใจเต้นอย่างแข็งแรงและหนักแน่นแต่กลับรัวเร็วเล็กน้อยนั่นยังคงดังก้องอยู่ในหู

‘อย่าหันกลับไป! ถ้ากลัวก็มองฉันไว้!’

‘ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องกลัวนะ ฉันอยู่นี่…’

‘อยู่ที่นี่สักพักหนึ่ง’

‘พวกคุณจำผิดแล้ว เธอเป็นแฟนผมครับ ไม่ใช่ลูกสาวกลุ่มบริษัทอะไรหรอกครับ’

หลินซิงเฉิน เธอนี่มันช่างไร้ประโยชน์ เพราะอ้อมกอดของคนแปลกหน้าคนหนึ่งถึงกับนอนไม่หลับเลย!

ฉันหยัดตัวลุกขึ้นด้วยความงุ่นง่าน โอบหมอนหนุนลายเฮลโล คิตตี้เอาไว้พลางออกแรงทุบอย่างบ้าคลั่งอยู่ค่อนคืน เตือนตัวเองอย่าสร้างความคิด ‘อยากเจอหน้าอีกสักครั้ง’ กับเจียงเนี่ยนอวี่เป็นอันขาด

เขากับอวี๋ยางยางเหมือนกัน ไม่ควรบุกเข้ามาในโลกของพวกเรา!

ฉันเองก็ไม่ควรเข้าไปในโลกของเขา!

ปิดเทอมฤดูร้อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เป็นวันเปิดเทอม

“คุณหนู ตื่นได้แล้วครับ ลุงเต๋อจะเปิดประตูแล้วนะครับ” หลังจากที่ลุงเต๋อเคาะประตูเบาๆ อยู่หน้าห้องก็ผลักประตูเข้ามา เมื่อเห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจไปเลย

น้อยครั้งที่เขาจะไม่เห็นฉันนอนอืดอยู่บนเตียง วันนี้ฉันแต่งหน้าสวยงามเสร็จเรียบร้อยแต่เช้า นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ใช้แขนค้ำหัวไว้…งีบหลับต่อ

“คุณหนู…”

เขาเรียกไม่กี่ครั้ง พอไม่ได้ยินเสียงตอบรับก็เข้ามาสะกิดที่ไหล่ มีเสียง ‘ตุบ’ หน้าผากฉันพุ่งตรงลงไปที่หน้าโต๊ะ เจ็บมากเลย!

“คุณหนู คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ”

ฉันดีดตัวขึ้นมา รีบร้อนเช็ดรอยน้ำลาย “กี่โมงแล้วคะ หนูสายหรือยัง อาเมิ่งซีไปรึยังคะ”

“ยังครับ ตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก” ลุงเต๋อหยิบแว่นสายตามาเช็ดๆ ดูเหมือนยังไม่อยากจะเชื่อ

“อาเมิ่งซีบอกว่าวันนี้จะไปส่งหนูที่โรงเรียน” ฉันอธิบายด้วยความเขินอาย

อาจารย์ใหญ่ ครูผู้ชายในฝัน สวนงดงามด้านหลังโรงเรียนตามเรื่องเล่า โรงเรียนมัธยมเก่าแก่ชื่อดังที่ลึกลับที่สุด…โอ๊ย ฉันจะไม่มีทางพูดเป็นอันขาดว่าฉันตื่นเต้นเสียจนนอนไม่หลับทั้งคืน!

เปลี่ยนใส่ชุดยูนิฟอร์ม ส่องกระจกทั้งตัวพลางหมุนไปรอบๆ หลายครั้ง เป็นอาเมิ่งซีที่ให้คนส่งชุดยูนิฟอร์มของเซนต์เลออนนี้มา เหมือนเขาจะรู้สัดส่วนฉันเป็นอย่างดี ชุดยูนิฟอร์มใส่ได้พอดีตัว

ชุดยูนิฟอร์มของเซนต์เลออนเป็นสไตล์ผู้ดีอังกฤษ เชิญดีไซเนอร์ชื่อดังระดับสากลมาออกแบบด้วยตนเองเป็นพิเศษ อีกทั้งร่วมกับช่างตัดเย็บมืออาชีพมาตัดเย็บด้วยมือ ชุดยูนิฟอร์มของนักเรียนทุกคนล้วนวัดตัวแล้วสั่งทำ ผู้หญิงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเข้ากับกระโปรงสั้นจีบรอบลายสก็อตสีเทาอ่อน ผู้ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวลายสก็อต เข้าคู่กับเสื้อคลุมแบบทหารสีดำ เสื้อคลุมติดกระดุมสองแถวสีเงิน

ถึงตรงนี้ต้องนับถือความคิดของดีไซเนอร์ โรงเรียนเก่าแก่ชื่อดังหลายแห่งล้วนมีชุดยูนิฟอร์มคู่กับเสื้อสูทนอก มีเพียงเซนต์เลออนเท่านั้นที่เลือกใช้เสื้อคลุมแบบทหาร แม้ไม่ได้ดูเป็นทางการเท่ากับเสื้อสูทนอก แต่กลับดูภูมิฐานอย่างเห็นได้ชัด ยึดแนวคิดชนชั้นสูงสุด ในขณะเดียวกันเสื้อคลุมแบบทหารก็เน้นถึงความเข้มงวดของเซนต์เลออนไว้จางๆ

เคยได้ยินอาเมิ่งซีพูดว่ายูนิฟอร์มของเซนต์เลออนเป็นสัญลักษณ์ศักดินาในโรงเรียนด้วย

การจะศึกษาเล่าเรียนที่เซนต์เลออน แน่นอนว่าหากมาจากครอบครัวธรรมดาจะต้องรับภาระทั้งหมดเกินตัว นอกจากค่าเทอมที่แสนแพง ค่าใช้จ่ายจิปาถะแต่ละอย่างยิ่งชวนให้ตกใจ ชุดยูนิฟอร์มทั้งชุดของเซนต์เลออนหนึ่งชุดราคาใกล้เคียงกับชุดสั่งตัดของแบรนด์เนมระดับแถวหน้า เพราะเหตุนี้นักเรียนที่ก้าวเข้ามาในประตูใหญ่ของเซนต์เลออนได้จึงมีฐานะร่ำรวยและเป็นที่น่าเคารพ

จะแบ่งแยกระดับสูงต่ำในกลุ่มคุณหนูคุณชายแสนโชคดีและน่าภูมิใจได้อย่างไรน่ะหรือ

จุดสำคัญอยู่ที่ส่วนประกอบของชุด ผู้ชายสวมเนกไทลายเทาดำ ผู้หญิงมีผ้าลายเทาดำมัดเป็นรูปโบ น้อยคนนักที่จะมีลายปักดิ้นสีทองเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ ซึ่งไม่เพียงแค่ต้องเป็นนักเรียนตัวอย่างที่เรียนดี ประพฤติดี ยังจะต้องอยู่ในชนชั้นปกครองของโรงเรียนเซนต์เลออน เฉพาะคนที่รับหน้าที่ประธานสภานักเรียน กลุ่มแกนนำหลัก และเด็กมีผลการเรียนสามอันดับแรกตลอดทั้งเทอมเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ปักดิ้นทอง เป็นการแสดงชัดถึงตำแหน่งผู้ชนะในการแข่งขันผ่านความแตกต่างของส่วนประกอบชุดยูนิฟอร์มเหล่านี้

แต่ส่วนน้อยในส่วนน้อยที่ไม่สวมเนกไท ไม่มัดโบ ติดเข็มโรงเรียนสีทองที่อกซ้าย เป็นนักเรียนที่ ‘รับเข้ากรณีพิเศษ’ พวกเขามีอำนาจถึงขั้นเข้าร่วมสภานักเรียนได้

รับเข้ากรณีพิเศษหมายถึงพวกไหนน่ะหรือ หมายถึงพวกที่มีภูมิหลังครอบครัวพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นเจิ้งฉู่เย่าและหลินซิงเฉิน

ฉันกินมื้อเช้าอย่างไม่รีบร้อน ตอนที่ยังเหลืออีกสามนาทีจึงจะถึงเวลาที่นัดไว้ ลุงเต๋อก็มารายงานว่ารถบ้านสกุลเจิ้งได้มาถึงเรียบร้อยแล้ว ฉันหนีบกระเป๋าหนังสือ ยกยิ้มที่สุดแสนจะสดใสออกมา ก้าวสามก้าวกระโดดสองครั้งเร่งไปจนถึงหน้าประตู…เมื่อเห็นรถสีดำคันนั้น อารมณ์ดีๆ ทุกอย่างพลันมลายหายไปหมด!

ฉันจ้องชายหนุ่มซึ่งกำลังนั่งพักสายตาอยู่ในรถแล้วเอ่ยถาม “ทำไมถึงเป็นนาย”

เจิ้งฉู่เย่าส่งสายตาราวกับถามว่า ‘เธอนึกว่าใครล่ะ’ มาให้ฉัน เขามองนาฬิกาข้อมือ หัวเราะเยาะแล้วกล่าวออกมา “ไปเถอะ”

การกระทำทั้งหมดของเขา ไม่บอกฉันก็รู้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมอนี่ยังเคืองใจเรื่องครั้งก่อนที่ฉันสาย!

ภาพที่เขาจูงมืออวี๋ยางยางขึ้นรถจากไปพลันแวบขึ้นมาในหัว ในฐานะคู่หมั้น ฉันควรได้รับการปฏิบัติที่ใส่ใจยิ่งกว่าจากเขา

ฉันเงียบไปไม่กี่วินาทีก็แสดงท่าทางอวดดีและเชิดคางขึ้น “จะไม่เปิดประตูรถให้ฉันหน่อยเหรอ”

จบคำพูดฉันมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะได้รับเสียงฟึดฟัดไม่พอใจจากเขา การทำให้เจิ้งฉู่เย่าหงุดหงิดนั้นเป็นจุดแข็งของฉันเสมอมา

เจิ้งฉู่เย่าขมวดหัวคิ้วเพียงชั่วพริบตาเดียว นี่เป็นสัญญาณก่อนที่เขากำลังจะโมโห

แขนทั้งสองข้างฉันกอดอก ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ในเมื่อจะเป็นสุภาพบุรุษก็ควรจะทำให้ถูกต้องทั้งหมดสิ ใช่ไหม”

พูดถึงตรงนี้ อีกทั้งรวมกับสีหน้าของเขา ฉันมั่นใจว่าคุณชายเจิ้งจะต้องเร่งคนขับรถให้ขับไป คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องประหลาดขึ้นแล้ว! ขายาวของเขาก้าวลงมาจากรถช่วยเปิดประตูให้ฉันจริงด้วย

แม้จะแสดงอาการไม่เต็มใจแต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี การเริ่มต้นที่ดีถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง หรือฉันต้องพยายามอีกครึ่งหนึ่งก็จะชนะจอมโมโหง่ายคนนี้กันนะ?

รถวิ่งเร็ว ต้นไม้ข้างนอกหน้าต่างผ่านไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว ฉันแอบมองไปทางเขา แสงแดดยามเช้าส่องลอดช่องว่างระหว่างใบไม้เข้ามาในตัวรถ ใบหน้ามุมข้างของชายหนุ่มฉาบไปด้วยแสงสีทองนวล คิ้วของเขาขมวดน้อยๆ เม้มริมฝีปากบาง ท่านั่งตรงแบบผิดปกติ สีหน้าฉุนเฉียวหงุดหงิด ไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดฉันหรือตัวเอง…สีหน้าท่าทางแบบนี้จู่ๆ ฉันก็รู้สึกว่าน่ารักดี

หรือว่าพยายามขึ้นอีกหน่อยฉันก็จะรักเขาได้นะ?

จู่ๆ เจิ้งฉู่เย่าก็หันหน้ามา แววตาของเขาสบเข้ากับสายตาฉันอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันส่งยิ้มเล็กน้อยให้เขาด้วยความประหม่าครึ่งหนึ่งเย้าแหย่ครึ่งหนึ่ง เขาใจสั่นระรัวเพียงไม่กี่วินาทีก็หันหน้าไปด้วยความอึดอัดใจทันที อีกทั้งวางสายตาไว้ที่ข้างหน้าต่าง

“มีอะไรจะพูดกับฉันเหรอ” ที่จริงฉันก็ซึนเดเระมาก “ฉันไม่ชอบให้ใครทำเหมือนจะพูดแต่ไม่พูด”

“ชุดยูนิฟอร์มของเซนต์เลออน” น้ำเสียงของเขาฟังดูราบเรียบเหมือนกับไม่มีความรู้สึกเจืออยู่ “เหมาะกับเธอมาก ใส่แล้วสวยมาก”

การเอ่ยชมที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดทำฉันลืมถือตัวไปเสียสนิท ฉันเอ่ยพึมพำออกมา “จริงเหรอ…” ฝ่ามือที่มีเหงื่อออกเล็กน้อยนั้นเผลอจิกกระโปรงพลีตบนเข่า

ในรถมีเพียงเสียงลมหายใจรัวเร็วเล็กน้อยของฉันกับเจิ้งฉู่เย่า

เงียบ

ไม่มีบรรยากาศที่ชวนตึงเครียด เราทั้งคู่มองออกไปออกหน้าต่างอย่างไม่รู้จะทำอะไร

ถ้าหากไม่ได้สวมชุดยูนิฟอร์มโรงเรียนมัธยมปลาย ฉันก็เกือบลืมไปเสียแล้วว่าฉันกับเจิ้งฉู่เย่าเพิ่งจะอายุสิบแปดปี

เด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงธรรมดาอายุสิบเจ็ดสิบแปดปียังมีความรักบริสุทธิ์ในโรงเรียนอยู่เลยสินะ บางครั้งก็เป็นกังวลเรื่องสอบ ต่างก็บ่นเรื่องเรียนไม่มีหยุด เก็บเงินได้ไม่เยอะ ซื้อของขวัญวันเกิดให้อีกฝ่าย อนาคตเป็นเรื่องหลังจากฝนบัตรเข้าห้องสอบ…ทั้งสองมีความรักกันอย่างเรียบง่าย ในสายตาของแต่ละฝ่าย ขอเพียงมีความรักซึ่งกันและกันก็เพียงพอแล้ว

แต่ฉันกับเจิ้งฉู่เย่า พวกเราพัวพันเกี่ยวข้องกับกลยุทธ์ธุรกิจของกลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่สองกลุ่ม ด้านหลังยังมีคนจ้องจับผิดอยู่อีกไม่รู้เท่าไร มีกี่คนที่ร่วมอวยพรด้วยความเต็มใจและจริงใจ? เกรงว่าจะไม่มีเลย พวกเขาเพียงแค่รอหาผลประโยชน์เท่านั้น

นี่ไม่ใช่ความรักที่คนอายุอย่างเราตอนนี้ต้องมาเผชิญ!

เราได้รับชีวิตอิสระที่อยู่ภายใต้เงาของตระกูล มีทุกอย่างมากมายแต่กลับสูญเสียไปมากยิ่งกว่า

พอคิดถึงตรงนี้ ดูเหมือนฉันจะเข้าใจว่าทำไมเจิ้งฉู่เย่าจึงได้ต่อต้านการคบกับฉันแบบนี้ นั่นเป็นการขัดขืนต่อต้านรูปแบบหนึ่ง

รถจอดติดไฟแดง ฉันเห็นนักเรียนชายนักเรียนหญิงคู่หนึ่งเดินอยู่ริมถนน พวกเขาสวมชุดยูนิฟอร์มเรียบง่ายของโรงเรียนรัฐบาล ทั้งสองเดินไปด้วยหัวเราะไปด้วย พลันเด็กผู้ชายก็หยอกล้อด้วยการดึงผมหางม้าของเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงผลักเขาโดยที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ เท้าของเด็กผู้ชายเหยียบลงไปในแอ่งน้ำบนถนน เด็กผู้หญิงเห็นเหตุการณ์ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ไม่ได้ยื่นมือให้เขาจับ กลับยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูป พูดเสียงดังว่าจะโพสต์รูปที่เขาทำตัวทึ่มนั้นลงเฟซบุ๊ก…

จู่ๆ ก็รู้สึกอิจฉาพวกเขามาก ยากมากที่ฉันกับเจิ้งฉู่เย่าจะมีช่วงเวลาแบบนั้นสินะ

อุณหภูมิในรถดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทีละน้อย เจิ้งฉู่เย่าถอดเสื้อคลุมทหารออกแล้ววางไว้บนหน้าขา ฉันเหลือบเห็นกระดุมทองที่อกซ้ายของเขา ก้มหน้ามองลง เห็นว่าตัวเองก็มีหนึ่งอัน พลันนึกขึ้นได้ว่าฉันกำลังจะใช้ฐานะ ‘คู่หมั้นของทายาทกลุ่มบริษัทรื่อเย่า’ เข้าไปในโรงเรียนที่แปลกประหลาดนี้ นั่นเป็นวิถีชีวิตในโรงเรียนของเจิ้งฉู่เย่าที่ฉันไม่เคยเห็น

ถ้าพูดว่าไม่ตื่นเต้นก็ถือว่าเป็นคนโกหกล่ะ ฉันตื่นเต้นมากและยัง…ทำตัวไม่ถูกนิดหน่อย

แบกฐานะนี้เอาไว้ ไม่รู้ว่าฉันจะได้รับการปฏิบัติตัวอย่างไร จะมีคนอยากเป็นเพื่อนกับฉันด้วยความจริงใจไหมนะ ความรู้สึกไม่แน่ใจเช่นนี้ฉันกลับแสดงออกไปไม่ได้ ฉันต้องปกป้องตัวฉันเองแม้เป็นเพียงแค่การวางมาดใหญ่โตเพื่อตบตาคนก็ตาม

ตอนที่รถเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง ฉันส่งเสียเรียกออกไป “เจิ้งฉู่เย่า”

“อืม?”

“นายชอบเธอจริงไหม” ฉันไม่ได้พูดชื่อออกไป แต่เขาจะต้องรู้ว่าฉันหมายถึงอวี๋ยางยางเป็นแน่

เจิ้งฉู่เย่าเงียบไปพักหนึ่ง ตอนนั้นมันเหมือนกับว่าฉันกำลังถูกเขาที่มีสีหน้าเคร่งเครียดบีบคอเอาไว้ หายใจไม่เป็นจังหวะ

“ช่างเถอะ ถ้านายไม่อยากพูดก็ไม่เป็นไร…”

“ฉันไม่รู้” เขาถอนหายใจ

เชอะ เป็นพวกจอมซึนเสียจริง

“เอาเถอะ งั้นนายคิดว่าเธอเป็นคนแบบไหน” ฉันเองก็ถอนหายใจตาม ไม่ได้ถามเพราะอยากรู้มากเป็นพิเศษ เพียงแค่รู้สึกสงสัยนิดหน่อย คนที่ทำให้ทายาทกลุ่มบริษัทรื่อเย่าที่แสนยโสโอหังชอบ…จะเป็นผู้หญิงแบบไหนกัน

“เธอไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพวกเรา ที่บ้านยากจนมาก แต่กลับขยันทำงานมาก ไม่เคยคิดพึ่งคนอื่น…”

ฉันไม่ได้พูดแทรกเขา เพียงแค่กระซิบอยู่ภายในใจ

ผู้หญิงแบบนี้มีเยอะแยะจะตาย! สุ่มจับเอาตามถนนไปเรื่อยก็เจอ ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นวัยรุ่นสาวขยันขันแข็งอย่างเต็มที่ หรือว่านายชอบทุกคนที่เป็นแบบนั้น?

มุมปากของเจิ้งฉู่เย่าหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง “เธอใสซื่อ เป็นธรรมชาติมาก อยากร้องไห้ก็ร้อง อยากยิ้มก็ยิ้ม อยู่ตรงหน้าเธอ ฉันไม่ต้องกังวลมากเกินไป เป็นตัวของตัวเองได้ตามใจชอบ”

เฮ้อ ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เสแสร้งจริงๆ

ฉันพูด “อ๋อ” ออกไปพลางพึมพำเบาๆ “แบบนี้นี่เอง”

แต่รอยยิ้มของเขากลับทิ่มแทงฉันอย่างไม่มีเหตุผล

ก็จริง หลินซิงเฉินคนนี้ไม่ใสซื่อ เสแสร้งที่สุด นิสัยถึงแม้จะร้ายหน่อย ยังล้างผลาญเงินครอบครัวอย่างมาก แต่ว่าอยู่ตรงหน้าฉัน นายก็ไม่ต้องกังวลอะไร นายก็เป็นเพียงแค่เจิ้งฉู่เย่าได้นะ!

คำพูดเหล่านั้นยังไม่ทันได้พูดออกไปกลับถูกคำพูดของเขาขัดจังหวะขึ้นมา

“หลินซิงเฉิน”

“อืม?”

“การถ่ายรูปโฆษณาของซาลีร์ ฉันตอบตกลงแล้วนะ”

“หา?” ฉันเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ

“คุณแม่ของเธอเสนอให้กับอาเมิ่งซี การเปิดตัวสินค้าตัวใหม่ของกลุ่มบริษัทดอลลี่ในครั้งนี้ต้องการเซ็ตรูปโฆษณา ฉันตอบตกลงไปถ่ายแล้ว” เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบาราวสายลม

ไม่คิดเลยว่าเจิ้งฉู่เย่าจะตอบตกลง แปลกเกินไปจริงๆ

“แต่ว่า…” เขาขมวดคิ้วพร้อมกับเหลือบมองฉันเล็กน้อย “เธอช่วยปล่อยอวี๋ยางยางไปเถอะ”

ฉันไม่รู้จะพูดอะไรชั่วขณะ คุณชายเจิ้งฉู่เย่า เขากำลังแสดงบทไหน ทำไมฉันไม่เข้าใจเลยสักนิด!

“นายกำลังขอร้องฉันอยู่เหรอ” ฉันมองเขาด้วยสายตาเหลือเชื่อ หยิ่งยโสแบบเขาทำไมขอร้องคนได้ง่ายๆ กัน

“ฉันกำลัง ‘ต่อรอง’ กับเธอต่างหาก ฉันตอบตกลงถ่ายรูปโฆษณา แล้วเธอก็ปล่อยอวี๋ยางยางไป”

“ต่อรอง?” ฉันรู้สึกตลก “อะไรที่เรียกว่า ‘ช่วยปล่อยอวี๋ยางยาง’ ฉันไม่เคยรังแกเธอเลยสักนิด นายจะมาต่อรองอะไรกับฉัน”

“อย่าแกล้งโง่เลย เรื่องนั้นไม่ใช่เธอทำหรอกเหรอ”

“เรื่องไหน” ฉันสับสน เมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของเขาแล้วจู่ๆ ฉันก็เข้าใจขึ้นมา ไม่ว่าฉันจะบริสุทธิ์ไม่มีความผิดอย่างไร ในสายตาของเขา ทั้งหมดเกี่ยวกับฉันล้วนเสแสร้ง

ตระหนักถึงขั้นนี้แล้วฉันก็ยิ้มหยันออกมา “เรื่องที่ฉันทำเยอะมากเลยล่ะ ไม่รู้ว่าคุณชายเจิ้งหมายถึงเรื่องไหนกัน”

“ฉันเป็นคนสาดน้ำใส่เธอ ฉันยอมรับว่าเป็นความผิดของฉัน แต่ไม่เกี่ยวอะไรกับอวี๋ยางยางเลยสักนิด เธอไม่ควรเอารูปเหล่านั้นมาสร้างปัญหา บีบบังคับให้เธอลาออกไปจากโรงแรม W บีบให้เธอลาออกจากโรงเรียน…”

ฉันบีบบังคับอวี๋ยางยางลาออกจากโรงแรม W? ยังบีบให้เธอลาออกจากโรงเรียน? ฉันดูว่างมากจนไม่มีอะไรทำขนาดนั้นเลยเหรอ

‘ทางสกุลเจิ้งฉันจัดการเอง’

ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด จู่ๆ คำพูดของแม่ใหญ่ก็แว่วขึ้นมาในหู…คุณผู้หญิงเฉินหมิงลี่จะต้องทำเรื่องไว้แน่!

ไม่รู้ว่าเธอไปได้ยินเรื่องในวันนั้นมาได้ยังไง ถึงได้เอาเรื่องเจิ้งฉู่เย่าสาดน้ำใส่ฉันและเรื่องอวี๋ยางยางมากดดัน ใช้ไม้นี้มาขู่สกุลเจิ้ง

พ่อแม่ของเจิ้งฉู่เย่าต่างก็เป็นคนรักหน้าถือตาเป็นอย่างยิ่ง หากรู้ว่าลูกชายฉุดกระชากลากถูพนักงานหญิงของโรงแรมในเครือจะต้องโมโหเลือดขึ้นหน้าแน่ เป็นไปได้สูงว่าสร้างความกดดันให้แก่ทั้งคู่ไม่น้อยเลย

จากคำกล่าวหาของเขา ฉันฟังไปฟังมาก็ไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองจะใช้ช่วงเวลาปิดเทอมฤดูร้อนไปอย่างมีความสุข ส่วนเจิ้งฉู่เย่ากับอวี๋ยางยางคู่รักคู่นี้กลับถูก ‘ฉัน’ วุ่นวายสร้างปัญหาให้

ในเมื่อฉันที่อยู่ในใจของเจิ้งฉู่เย่านั้นเป็นผู้หญิงชั่วร้ายคนหนึ่งอยู่แล้ว ฉันก็ไม่คิดจะโต้แย้ง

แต่คุณหญิงเฉินหมิงลี่ก็ช่าง ‘ใส่ใจเรื่องคนอื่น’ เสียจริง ผลจากการราดน้ำมันไปบนกองไฟก็คือการที่เจิ้งฉู่เย่านำบัญชีทั้งหมดมาคิดกับฉัน! ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ฉันจะทำลาย ‘ความหวังดี’ ของแม่ใหญ่ให้เสียเปล่าได้ยังไงกันล่ะ

ฉันยกสองมือขึ้นกอดอก เรียวขาสวยนั่งไขว่ห้าง ทำเหมือนกับเมียหลวงจับบ้านเล็กได้ หยักริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม

ในละครรักวัยรุ่นน้ำเน่า คู่หมั้นใจร้ายจะขาดบทพูดที่แสนคลาสสิกแบบนี้ไปได้ยังไง

“ได้! จะให้ฉันปล่อยเธอไปก็ขอดูความประพฤติของนายหน่อยนะ คุณ-คู่-หมั้น!”

ประตูเหล็กของโรงเรียนซึ่งสลักเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษว่า ‘St.Leon School’ ปรากฏอยู่ตรงหน้า สิงโตสีทองสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนเปล่งประกายอยู่กลางแสงแดด สนามฟุตบอลหญ้าตามมาตรฐานสากลแผ่กว้างออกไป ปลายสุดมีตึกอิฐแดงสไตล์ยุโรปเก่าแก่ตั้งตระหง่านอยู่

รถหรูของสกุลเจิ้งขับตรงเข้ามาจอดข้างน้ำพุทรงกลมซึ่งอยู่ตรงหน้าตึกเก่าแก่ เจิ้งฉู่เย่าเปิดประตูรถให้ฉัน ส่วนฉันก้าวลงจากรถด้วยท่าทางถือดีเหมือนกับนกยูงแสนหยิ่งผยอง

หนุ่มหล่อ สาวสวย รถยี่ห้อดังดึงดูดสายตานักเรียนมากมายให้หยุดชื่นชม

“อ๊ายๆๆ รีบมาดูเร็ว เป็นเจ้าชายเย่า มาโรงเรียนแล้ว!”

“หือ? ผู้หญิงที่อยู่ข้างเขาเป็นใคร หน้าตาหยิ่งยโส ไม่ได้ติดโบแล้วยังให้เจ้าชายเย่าของฉันเปิดประตูรถให้อีกด้วย”

“เธอไม่เคยได้ยินเหรอ เจิ้งฉู่เย่าเตรียมตัวจะหมั้นหมายกับลูกสาวของกลุ่มบริษัทดอลลี่ ผู้หญิงคนนั้นน่าจะใช่แล้ว…”

“อะไรนะ เจ้าชายเย่าของฉันกำลังจะหมั้นแล้วอย่างนั้นหรือ คนโกหกๆ…ฮือๆๆ…”

“หือ? งั้นอวี๋ยางยางถูกกำจัดแล้วหรือ เจ้าชายเย่าคงเล่นกับเธอจนเบื่อแล้ว ฉันพูดตั้งนานแล้วว่าพวกเขาคงคบกันได้ไม่นาน”

“นั่นหมายความว่าพวกเราจะแกล้งอวี๋ยางยางได้แล้วใช่ไหม หึๆ!”

อวี๋ยางยาง?

ทำไมถึงได้ยินชื่ออวี๋ยางยางในกลุ่มลูกเศรษฐีที่โรงเรียนมัธยมเก่าแก่ชื่อดังกัน ฉันทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีชั่วขณะ

ฉันดึงเจิ้งฉู่เย่าที่เดินนำไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ถือโอกาสคล้องกระเป๋าหนังสือไว้ที่บ่าเขา

ไม่สนแล้ว ประกาศอำนาจก่อนค่อยว่า!

“ไม่พาฉันไปเดินชมโรงเรียนหน่อยเหรอ วันนี้ฉันมาโรงเรียนเป็นวันแรก ยังไงก็แนะนำบริเวณรอบๆ ให้ฉันหน่อยสิ” ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงออดอ้อน เตือนให้เจิ้งฉู่เย่าระวัง ‘ความประพฤติ’ ของเขา

“ใกล้จะถึงคาบค้นคว้าด้วยตนเองตอนเช้าแล้ว” เขาปฏิเสธฉันด้วยเสียงเนือย ขายาวก้าวไปด้านข้าง หลบเงื้อมมือฉันไปได้อย่างแนบเนียน ขณะเดียวกันกระเป๋าหนังสือก็กลับมาอยู่บนบ่าฉัน

“ขอทางหน่อยๆ” ตรงสวนมีเด็กผู้หญิงหน้าตาสะสวยวิ่งมาแต่ไกล ในมือถือแก้วกาแฟหนึ่งแก้วเอาไว้ ผมหางม้าเป็นเอกลักษณ์สะบัดไปมาอย่างทรงพลัง…เป็นเธอจริงด้วย!

ไม่จริงน่ะ! มีตลกร้ายแบบนี้ด้วยเหรอ

‘หญิงสาวยากจนในโรงเรียนมัธยมเก่าแก่ชื่อดัง’ ฉันหาคำอธิบายมาประกอบภาพที่เห็นภายในชั่ววินาที นี่มันเรื่อง ‘รักใสใสหัวใจสี่ดวง’ นี่นา! ฉันมองตามทิศทางที่อวี๋ยางยางวิ่งไป สายตาพลันหยุดนิ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนพิงเสาหินอ่อน รูปร่างสูง สวมเสื้อยืดสีขาวลายขวาง บนหัวสวมหมวกเบสบอลโดยกดปีกหมวกลงต่ำ แว่นตากรอบดำอำพรางดวงตาสีดำคมกริบคู่นั้นเอาไว้ไม่มิด มุมปากแม้จะประดับรอยยิ้มจางๆ หากแต่ทั้งตัวกลับปล่อยความเย็นชาไม่น่าสุงสิงด้วย

จุดสำคัญคือลักยิ้มน้อยๆ นั้นคุ้นตามาก…

เจียงเนี่ยนอวี่! นายอย่านึกว่าใส่แว่นแล้วฉันจะจำนายไม่ได้!

“นี่ รุ่นพี่เสี่ยวอวี่ กาแฟเย็นของพี่ค่ะ” อวี๋ยางยางเอาหลอดดูดเสียบให้แล้วค่อยยื่นกาแฟเย็นส่งให้เจียงเนี่ยนอวี่ บริการอย่างถึงระดับประทับใจ

“ขอบคุณ” เขาเอ่ยด้วยเสียงเบา ลักยิ้มเล็กๆ ตรงแก้มเป็นรอยบุ๋มลงไปยิ่งขึ้นพร้อมกับเอ่ยชม “อร่อยมาก”

ได้ยินดังนั้นอวี๋ยางยางก็ยิ้มไปทั้งหน้า เจียงเนี่ยนอวี่ทำไมถึงมาที่เซนต์เลออน ไม่ได้ใส่ชุดยูนิฟอร์ม ดูแล้วไม่เหมือนนักเรียนที่จะมาเข้าเรียนเลย

ทักหรือไม่ทักดี?

ช่างเถอะ อย่าหาเรื่องจะดีกว่า

ฉันกำลังคิดที่จะผละไปอย่างเงียบๆ กลับพบว่าสีหน้าเจิ้งฉู่เย่าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที มือทั้งสองข้างกำหมัดแน่น ท่าทางพร้อมประจันหน้า

เป้าหมายเสียงกรี๊ดกร๊าดของหญิงสาวผู้คลั่งไคล้เปลี่ยนไปยังชายหนุ่มคนนั้น “พระเจ้า! รุ่นพี่เสี่ยวอวี่!”

“ฮือๆ…รุ่นพี่เสี่ยวอวี่หล่อมาก ชีวิตนี้ได้เจอรุ่นพี่เสี่ยวอวี่อีกครั้ง ถึงตายฉันก็ไม่เสียดายแล้ว!”

“ตำนานแห่งเซนต์เลออน เจียงเนี่ยนอวี่! หลังจากแข่งขี่ม้ารอบชิงชนะเลิศระดับโลกเมื่อปีที่แล้วเขาก็พักการเรียนไป วันนี้มาปรากฏตัวที่นี่ หรือว่ามีแผนจะกลับมาเรียนกัน?”

หลังจากที่อวี๋ยางยางเห็นเจิ้งฉู่เย่า รอยยิ้มบนใบหน้าก็ชะงักไป เจียงเนี่ยนอวี่ซึ่งอยู่ข้างเธอรับรู้ถึงความผิดปกติของเธอก็มองมาทางพวกเรา

พวกเราสี่คนมองกันไปมองกันมา

ได้เจอกับเจียงเนี่ยนอวี่อีกครั้ง รอยยิ้มของฉันก็เปลี่ยนไป ดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย

ฉัน เจิ้งฉู่เย่า อวี๋ยางยาง เจียงเนี่ยนอวี่ ทั้งสี่คนสบประสานสายตากันกลางอากาศ ปล่อยประกายไฟออกมา

วงล้อแห่งโชคชะตาค่อยๆ เคลื่อนตัว ราวกับละครวัยรุ่นน้ำเน่ากำลังแสดงสดอยู่ตรงหน้าฉัน

ฉันกลอกตามองบนราวกับได้ยินเสียงหัวเราะชั่วร้ายจากคนเขียนบทบนเมฆ

น้ำเน่า? บทห่วย? ช่วยไม่ได้ คนดูชอบดู พวกเธอก็รับชะตากรรมซะ!

เจิ้งฉู่เย่าสาวเท้าไปหาสองคนนั้น ดูออกเลยว่ากำลังควบคุมอารมณ์ฉุนเฉียวภายในใจไว้อย่างเต็มที่

เขามองอวี๋ยางยางแวบหนึ่งแล้วค่อยหยุดสายตาที่เจียงเนี่ยนอวี่ “รุ่นพี่ ไม่เจอกันนานเลย หนึ่งปีได้แล้วสินะ”

เจียงเนี่ยนอวี่ส่งเสียงอืมเบาๆ รอยยิ้มบนใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์แฝงความหมายลึกซึ้งเอาไว้ “งั้นเหรอ เกือบจะหนึ่งปีแล้วเหรอ งั้นก็ไม่ได้เจอกันนานจริงด้วย”

พูดจบก็ดูเหมือนกับว่าเขาเหลือบมองฉันแวบหนึ่ง ประโยค ‘ไม่เจอกันนาน’ นั้นรู้สึกเหมือนเขากำลังบอกฉันอยู่

เมื่อฉันรู้สึกตัวก็ดึงชายเสื้อของเจิ้งฉู่เย่าพลางครุ่นคิดว่าควรจะตอบเขาว่า ‘บังเอิญจัง เจอกันอีกแล้ว ทุกครั้งที่เจอก็อยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนตลอดเลย’ หรือว่าหุบปากไปเสียดีกว่า

“ระยะนี้รุ่นพี่สบายดีไหม” เจิ้งฉู่เย่าถาม

ฉันฟังออกว่าผู้ชายทั้งสองคนทักทายกันอย่างผิวเผินดูเหมือนจะปกติ ที่จริงแอบซ่อนเกลียวคลื่นเอาไว้

“นายคิดว่าไงล่ะ” เจียงเนี่ยนอวี่ไม่ได้ตอบแต่ย้อนถามกลับ

“คิดว่ารุ่นพี่ค่อนข้างยุ่ง หนึ่งปีมานี้ไม่ได้ข่าวคราว หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย” แววตาของเจิ้งฉู่เย่าเปลี่ยนเป็นคมกริบ สีหน้าเหมือนกำลังอดกลั้นอะไรอยู่ เขาไม่สนใจฉันแล้วมองไปที่เจียงเนี่ยนอวี่

“นั่นเป็นความผิดของฉัน” เจียงเนี่ยนอวี่สบแววตาลุกโชนนั้นอย่างใจเย็นพลันส่งยิ้มจางๆ “ไม่ว่ายังไง ได้เจอนายอีกครั้ง ฉันดีใจมากนะ”

…พูดเสร็จเขาก็ยืดแขนออกไป ท่าทางเหมือนต้องการจะดึงเจิ้งฉู่เย่าเข้าไปในอ้อมกอด เจิ้งฉู่เย่าจอมซึนก็เอะอะเสียงดัง “เกลียดอ่ะ เกลียด รุ่นพี่ ผมไม่มีทางยกโทษให้รุ่นพี่…”

ชายหนุ่มชุดขาวพูดออกมา “ที่รัก ฉันคิดถึงเธอมาก” ได้ยินแล้วเจิ้งฉู่เย่าจอมซึนก็น้ำตานองหน้า โผเข้าไปในอ้อมกอดของชายหนุ่มชุดขาว…

เหอะ! เนื้อหาข้างบนนั้นล้วนไม่ได้เกิดขึ้นเลย ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะในหัวฉันคนนี้หมกมุ่นเกินไป

กลับมาที่โลกแห่งความเป็นจริง เจิ้งฉู่เย่าปัดมือของเจียงเนี่ยนอวี่ที่ยื่นมาอย่างเป็นมิตรโดยไม่สนสายตาใคร “ฉันไม่ยินดีต้อนรับรุ่นพี่กลับมาเซนต์เลออนเลยสักนิด!”

ฉันอ้าปากค้าง ยิ่งมั่นใจเข้าไปอีกว่าความสัมพันธ์ของสามคนนี้มัน…โอ้โห!

คำพูดของเจิ้งฉู่เย่าเปลี่ยนให้ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ มือของเจียงเนี่ยนอวี่นิ่งค้างกลางอากาศด้วยความกระอักกระอ่วน

อวี๋ยางยางรีบดึงมือของเจียงเนี่ยนอวี่ พยายามคลายบรรยากาศตึงเครียดระหว่างเขากับเจิ้งฉู่เย่า ใครจะรู้ว่าการกระทำที่ดูสนิทสนมโดยไม่ตั้งใจนั้นล้มคนขี้หึงอย่างเจิ้งฉู่เย่าให้น็อคเอาต์ไป เห็นเขาเพียงกำหมัดแน่นอยู่เงียบๆ

ท่าทางแบบนี้…แสดงว่าฉากคลาสสิกของละครวัยรุ่นอย่างฉาก ‘พระเอกพระรองแลกหมัดกันแย่งสาวสวย’ กำลังจะเริ่มแสดงแล้วสินะ

แววตาของฉันพลันเปล่งประกายวิบวับ!

“รุ่นพี่ ไม่ใช่ว่ารุ่นพี่กลับมาจัดการเอกสารเรื่องกลับมาเรียนหรอกเหรอ ฉันไปกับรุ่นพี่ด้วย” อวี๋ยางยางทำปากคว่ำ “อย่าไปสนใจเขา คนคนนี้ก็ชอบทำตัวเป็นเด็กๆ ไร้มารยาทแบบนี้แหละ เราไปกันเถอะ”

หลังจากที่เธอพูดประโยคยั่วยุเจิ้งฉู่เย่าประโยคนี้ออกมา ก็เท่ากับได้เติมเชื้อเพลิงให้กับความโกรธของเขาไปโดยสมบูรณ์

ใบหน้าของเจิ้งฉู่เย่าเคร่งเครียด “อวี๋ยางยาง เธอพูดอะไร”

“พูดว่านายทำตัวเป็นเด็ก ไร้มารยาท!” อวี๋ยางยางแผดเสียงด้วยความเย็นชา แอบมองฉันแวบหนึ่งและกำลังจะลากเจียงเนี่ยนอวี่ออกไป

มือหนึ่งของเจิ้งฉู่เย่าคว้าอวี๋ยางยางเอาไว้แน่นแล้วดึงมา หญิงสาวไม่ได้เตรียมใจเลยสักนิด พลันปะทะเข้ากับอ้อมกอดเขา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งของเจิ้งฉู่เย่าวางอยู่ตรงเอวของเธอ คนทั้งคู่กอดกันอย่างแนบชิด

หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที!

ฉากงดงามถูกหยุดไว้ ในตอนนี้ส่วนลึกในใจของฉันมีเพลงประกอบดังขึ้นมาอย่างรวดเร็ว…

ฉันลองมองเจียงเนี่ยนอวี่ เขาหรี่ตาเล็กน้อย แววตาปรากฏรอยยิ้มหยอกเย้ากำลังมองมาทางฉัน ฉันกระแอมกระไอออกมา ย้ายสายตาไปที่ละครวัยรุ่นน้ำเน่าซึ่งกำลังแสดงอย่างสมจริงอยู่ที่สวนของโรงเรียน เห็นเพียงแก้มแดงของหญิงสาว ส่วนชายหนุ่มหายใจรัวเร็ว

โอเค เขาควรปล่อยมือได้แล้ว เกินสิบวินาทีจะถือว่าเป็นการล่วงเกินแล้ว!

“เจิ้งฉู่เย่า นายปล่อยมือนะ!” ในที่สุดอวี๋ยางยางก็มีปฏิกิริยา บิดตัวพยายามสลัดออกจากอ้อมกอดเขา

เธอเหลือบมองฉันด้วยความตื่นตระหนก เพราะกลัวว่าจะทำให้ฉันเข้าใจผิดจึงรีบพูดให้เข้าใจชัดเจน “หลินซิงเฉิน เธออย่าเข้าใจผิดนะ”

ฉันยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เจิ้งฉู่เย่ากลับชิงพูดตัดหน้า “รุ่นพี่ ขอโทษทีนะ ดูเหมือนอวี๋ยางยางจะมีเรื่องเข้าใจฉันผิดเล็กน้อย ฉันอยากพูดกับเธอให้เข้าใจ”

เจียงเนี่ยนอวี่ตกตะลึง แล้วจึงปรากฏรอยยิ้มบางกับลักยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์นั่น “พวกนายค่อยๆ คุยกัน ฉันไปจัดการเอกสารกลับมาเรียนต่อก่อนล่ะ” หลังจากพูดจบก็จากไปเร็วราวกับสายลม

ใบหน้าเล็กของอวี๋ยางยางมีสีหน้าผิดหวัง เธอมองไปยังแผ่นหลังของเจียงเนี่ยนอวี่ อ้าปากเหมือนจะตะโกนเรียกเขาเอาไว้ หันหน้ามาก็เห็นท่าทางภาคภูมิใจของเจิ้งฉู่เย่าเลยออกแรงสะบัดมือเขาออกแล้วรีบตามเจียงเนี่ยนอวี่ไป

เห็นหญิงที่รักหนีไปกับตา แม้แต่คำขอโทษเจิ้งฉู่เย่าก็ไม่ได้ทิ้งไว้ให้ฉัน เดินตามอวี๋ยางยางไปติดๆ

เดี๋ยวก่อน! พวกเขาบอกว่าจะไปก็ไปได้อย่างนั้นเหรอ อีกอย่างฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ!

“หยุดนะ!” ฉันรีบกางแขนทั้งสองข้างขวางหน้าเขาไว้ “เจิ้งฉู่เย่า นายลองกล้าตามไปดูสิ!” น้ำเสียงของฉันแข็งกระด้าง วางท่าทางเหมือนราชินีในวัง

คิดดูนิดหน่อยก็พอจะรู้ว่าเจิ้งฉู่เย่าจะตอบกลับคำพูดของฉันว่ายังไง ถ้าหากเขาเชื่อฟังเช่นนี้ เขาก็ลดคุณค่าตัวเองเกินไป

ดังนั้นฉันจึงถูกเมินอีกครั้ง

หลังจากทั้งสามคนไปแล้ว กลุ่มคนโดยรอบที่มาดูละครก็สลายตัวไป ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ฉันราวกับไม่มีตัวตน เหมือนกับไม่ได้เกี่ยวข้องตั้งแต่แรก!

ตอนนี้เอง เสียงออดเข้าเรียนคาบค้นคว้าด้วยตนเองตอนเช้าดังขึ้นมาตามเวลา ฉันยืนอยู่ในสวนที่ว่างเปล่า ฟังเสียงออดซึ่งดังเป็นเวลานานพร้อมกับยืนรับลม ในใจรู้สึกเหงา อ้างว้างแบบที่บรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก

ในโรงเรียนแห่งนี้เกิดเรื่องมากมายเกินไป ไม่ว่าจะเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วหรือว่าที่กำลังเกิดขึ้น แต่ฉันกลับไม่สามารถเข้าไปได้เลย ฉันสัมผัสไม่ได้แม้แต่วงนอก ความรู้สึกนี้ทำให้ฉันท้อแท้มาก

หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เตรียมจะโทรไปร้องไห้คร่ำครวญกับอาจารย์ใหญ่ จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นราวกับคนปลายสายสามารถติดต่อทางจิตกับฉันได้…เป็นแม่ใหญ่

[ชอบของขวัญวันเปิดเทอมที่ฉันส่งไปให้ไหม] น้ำเสียงของแม่ใหญ่มีแววเยาะเย้ยประชดฉัน [คู่หมั้นรับเธอไปเรียนด้วยตัวเอง รสชาติเป็นยังไง เขาเชื่อฟังดีใช่หรือเปล่า]

“คุณทำอะไรกับเจิ้งฉู่เย่าและอวี๋ยางยางกันแน่”

[ทำอะไร? หลินซิงเฉิน ระวังน้ำเสียงที่เธอพูดหน่อย เธอกำลังสอบปากคำฉันเหรอ]

“ได้ คุณผู้หญิงเฉินหมิงลี่ผู้งดงามและสูงส่ง ขอถามหน่อยว่า ‘บทลงโทษ’ อะไรที่คุณทำกับคู่หมั้นของลูกสาวคุณ” ฉันไม่ได้โมโห เพราะแม้แต่จะโมโหยังรู้สึกเหนื่อย ฉันเพียงแค่ไม่มีทางเลือก

[พูดว่าลงโทษคงจะไม่ได้! เพียงแต่เป็นการ ‘แนะนำ’ เล็กน้อยแค่นั้น…] แม่ใหญ่พูดยั่วแหย่ [ถือว่าเขาโชคดีที่นักข่าวก๊อสซิปคนนั้นกับฉันรู้จักกันเป็นการส่วนตัว รูปเหล่านั้นจึงถูกฉันสกัดเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงเป็นข่าว จุ๊ๆ…ฉันว่าพาดหัวข่าวนั้นต้องลงว่า ‘ไฮโซหนุ่มทิ้งคู่หมั้นเพื่อสาวเสิร์ฟ’ หรือ ‘พนักงานสาวยากจนจับลูกชายเศรษฐี’ แน่ๆ]

“ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้”

[แน่นอนว่าเพื่อขอร้องให้ว่าที่ลูกเขยฉันมาช่วยถ่ายรูปโฆษณาสินค้าแบรนด์ใหม่ไงล่ะ] เสียงของแม่ใหญ่ดังขึ้นอีกระดับ ปกปิดความภูมิใจที่พวกเราตกอยู่ในกำมือเธอเอาไว้ไม่มิด [ขอให้คนช่วยก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนเสียหน่อย แต่เงินเป็นสิ่งที่ฉู่เย่าไม่เคยขาดเลย ฉันคิดพิจารณารอบคอบแล้ว ดูเหมือนว่าเขาน่าจะสนใจรูปภาพเหล่านั้น…]

ฉันขบริมฝีปากล่าง “งั้นคุณก็ไม่ควรเอาอวี๋ยางยางไปข่มขู่เขา!”

[ทำไมจะไม่ได้ล่ะ ฉันก็เจ็บใจแทนลูกสาวของฉันไง ยังไม่ทันได้แต่งงาน ฝ่ายชายก็มีหญิงอื่นแล้ว นี่มันใช้ได้ที่ไหน เธอน่ะเป็นหัวแก้วหัวแหวนของสกุลหลินนะ!] น้ำเสียงของแม่ใหญ่ช่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเสียจริง [อีกอย่างเลย ฉันปรานีแล้วนะที่ไม่ได้เอาเรื่องนั้นมาทำให้เป็นเรื่องใหญ่]

“ไม่จำเป็นที่คุณจะต้องมายุ่งให้มากเรื่อง” หัวฉันปวดตุบๆ ขึ้นมา “เรื่องของเขากับผู้หญิงคนนั้น หนูจะจัดการเอง”

[มีตรงไหนที่ต้องการให้ฉันช่วย บอกได้เลยนะ เธอก็รู้ว่าสามีผู้ล่วงลับของฉันมีแค่เธอเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว]

น่าหงุดหงิดจริง

“วางล่ะนะคะ บาย” ฉันวางสายทันที ไม่นานโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาอีก ฉันรับสายอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก “ฮัลโหล? ยังมีคำสั่งเสียอะไรจะบอกอีก รีบพูดมา ฉันยุ่ง”

ปลายสายเงียบไปไม่กี่วินาทีก่อนเอ่ยว่า [ซิงเฉิน?]

ใจฉันเต้นตึกตัก มองหน้าจอโทรศัพท์ ชื่อคนที่โทรเข้ามาปรากฏเป็นคำห้าคำ ‘เมิ่งซีรีบหย่าเร็ว’ เมื่อกี้ฉันพูดออกไปว่าให้เขารีบสั่งเสีย…อ๊ายๆๆ!

“คุณอา…เมิ่งซี อืม…” ฉันเหงื่อออกเหมือนไปตากฝนมา “สวัสดีค่ะอาจารย์ใหญ่!”

[เซิงเฉิน] เสียงเขาเบามากราวกับเจือคำขอโทษ [ตอนเช้าอามีประชุมด่วนเลยให้ฉู่เย่าไปรับเธอ เธอจะไม่โทษอาว่าพูดคำไหนไม่เป็นคำนั้นใช่ไหม]

“ไม่เป็นไรค่ะ” ฉันจะไปกล้าคิดอะไรยังงั้นได้เหรอ “อาอย่าใส่ใจเลย”

[โรงเรียนเซนต์เลออนกว้างมาก ชมรมบางชมรมอยู่ค่อนข้างไกล เธออย่าเดินมั่วๆ นะ อาจะให้ฉู่เย่าพาเธอไปห้องเรียนก่อน] ให้ฉู่เย่าพาฉันไปห้องเรียน? วิ่งไปไม่เห็นแม้แต่เงาตั้งนานแล้ว พึ่งเขาสู้พึ่งตัวเองเสียดีกว่า

“อืม โอเค อาอย่าเป็นกังวลเลยค่ะ…” ฉันก้มหน้ามองดูเงาที่แสนเหงาหงอยของตัวเองพลางกัดฟันพูด “ฉู่เย่าดูแลหนูดีมาก”

ฉันอ่านประวัติโดยย่อของโรงเรียนพลางมองหาห้องเรียนของตัวเอง

โรงเรียนมัธยมเซนต์เลออนแบ่งเป็นมัธยมต้นกับมัธยมปลาย เนื่องจากเน้นระบบการเรียนการสอนชั้นเยี่ยม แม้โรงเรียนจะมีขนาดใหญ่แต่จำนวนนักเรียนกลับไม่ถือว่ามาก นักเรียนรวมกับบุคลากรทุกคนมีไม่เกินหนึ่งพันคน โรงเรียนตั้งอยู่บนเขา…ไม่สิ บอกว่าตั้งอยู่บนเขายังดูเกรงใจมากเกินไป ควรจะพูดว่ายอดเขาทั้งหมดล้วนเป็นอาณาบริเวณเซนต์เลออน

อาณาเขตเซนต์เลออนกว้างใหญ่ มีทะเลสาบธรรมชาติแห่งหนึ่ง ทะเลสาบที่สร้างขึ้นสองแห่ง น้ำพุสไตล์กรีกสามแห่ง ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ สวนขนาดพันผิง สนามหญ้ากว้างใหญ่…โรงละครกลางแจ้งทรงกลมซึ่งเทียบเท่ากับโรงละครแห่งชาติ บรรดาครูนักเรียนมักจะจัดการแสดงหรือคอนเสิร์ตต่างๆ ที่นี่

สำหรับหนุ่มๆ ไฮโซที่มีเวลาว่างทั้งวันมักออกกำลังเพื่อกล้ามซิกซ์แพ็กส์แน่นๆ และวีเชฟ ที่นี่ก็คือสวรรค์เลยล่ะ!

สถานที่สำหรับเล่นกีฬาแต่ละอย่างล้วนมีสิ่งพื้นฐานครบครัน ไม่ว่าจะสนามบาส สนามเทนนิส สนามแบดมินตัน…ที่โรงเรียนปกติควรมีก็ไม่มีขาดเลย หรูหราขึ้นมาหน่อยก็เป็นพวกสนามบอล สระว่ายน้ำที่มีลู่แข่งระดับโอลิมปิก สนามกีฬาโครเกต์ สนามขี่ม้า โรงยิม…และไฮโซสุดๆ อย่างสนามกอล์ฟ สนามแข่งรถ (นักเรียน ม.ปลาย แข่งรถได้?) แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะมีลานแฮงก์ไกลดิ้งด้วย?!

โชคดีที่ที่นี่ไม่มีหิมะตก ไม่อย่างนั้นคาดว่าแม้แต่ลานสกีก็คงมี!

นอกจากนั้น เพื่อดูแลวิถีชีวิตปกติของคุณหนูคุณชายที่มาจากตระกูลไฮโซ ถึงขนาดมีทุ่งหญ้า ไร่นา ห้องอาหารที่จัดเตรียมอาหารสดที่สุด จากธรรมชาติที่สุดให้แก่นักเรียน มีวัตถุดิบชั้นหนึ่ง และยังเชิญเชฟจากโรงแรมห้าดาวมาเป็นพิเศษ พิถีพิถันในการปรุงอาหารแต่ละจาน ดูแลการกินของเหล่าครูและนักเรียน รวมไปถึงมีนักโภชนาการ เทรนเนอร์พิเศษที่คอยวัดสัดส่วนร่างกายและทำตารางออกกำลังกายให้คุณ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าค่าเทอมต้องแพงมาก!

มีคนบอกว่าด้านหลังเขามีบ่อน้ำพุร้อนแห่งหนึ่ง สำหรับคณะครูไว้ผ่อนคลาย พักผ่อนช่วงวันหยุด หรือกิจกรรม ‘การแลกเปลี่ยนทางวิชาการ’ ทุกด้านเป็นพิเศษ (ซึ่งบนเว็บบอร์ดบอยส์เลิฟจะถูกเรียกว่า ‘สวนด้านหลัง’)

นี่โรงเรียน? ที่จริงก็คืออาณาจักรเล็กๆ ที่เป็นอิสระ

บริเวณหลักๆ ของโรงเรียนคือตึกกำแพงสีแดงปูกระเบื้องสีเขียว มองแล้วเหมือนกับปราสาทสไตล์ยุโรป ใช้ทางเดินอิฐแดงเป็นทางเชื่อม ริมระเบียงทางเดินปลูกต้นกุ้ยเต็มไปหมด กลีบดอกขาวราวหิมะห้อยย้อยลงมาจากยอดไม้ กลิ่นหอมรุนแรงฟุ้งกระจายไปทั่ว บรรยากาศงดงามอย่างยิ่งและ…ชวนหลงทางที่สุด! สำหรับคุณหนูอย่างฉันแล้วที่นี่ราวกับเขาวงกตแสนกว้างใหญ่ยังไงยังงั้น!

เดินอยู่พักหนึ่งฉันก็ยังคงหาห้องเรียนของตัวเองไม่เจอ ฉันบ่นงุ่นง่าน “โรงเรียนใหญ่ขนาดนี้ทำไมไม่สร้างบันไดเลื่อนหรือรถรับส่งหน่อยนะ…”

โดยไม่ทันคาดคิด มีผู้ชายคนหนึ่งยื่นตัวออกมาจากหน้าต่างทรงสี่เหลี่ยมพลางโบกมือมาทางฉัน

“เฮ้!” เขาส่งรอยยิ้มสดใสอย่างไม่มีใครเทียบ ผมสีชานมอ่อนประบ่า ผิวขาวสว่าง มองแล้วเครื่องหน้าคมชัดกว่าคนปกติ ริมฝีปากสีชมพูอ่อน ดวงตาเป็นสีฟ้าเหมือนตาของแมว

ที่เซนต์เลออนมีนักเรียนต่างชาติไม่น้อยเลย ดูเหมือนว่าฉันจะเจอกับ ‘ฝาหรั่ง’ เข้าแล้ว

“Heaven must be missing an angel! (สวรรค์ต้องลืมนางฟ้าเอาไว้แน่!)” เขาพูด

ต้องยอมรับว่าถูกเอ่ยชมแบบนี้รู้สึกดีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำชมนี้ออกมาจากปากของนักเรียนชายต่างชาติผู้หล่อเหลาคนหนึ่ง

“Thank you” ฉันรับคำชมจากเขาด้วยความยินดี “Nice to meet you. Bye bye! (ยินดีที่ได้รู้จักนะ บ๊ายบาย!)” ใช้ประโยคภาษาอังกฤษเบสิกครบแล้วก็เตรียมตัวจะจากไป

เขารีบหยุดฉันเอาไว้ “Wait! But you owe me a coffee. (เดี๋ยวก่อน! เธอติดกาแฟฉันแก้วหนึ่ง)”

“What? (อะไรนะ?)”

“Because when I looked at you from the window, I dropped mine. (เพราะตอนที่ฉันเห็นเธอจากหน้าต่าง ฉันถึงกับทำกาแฟของฉันตกพื้น)” เขาเอ่ยด้วยความรักใคร่

ฉันไม่เข้าใจ เพราะอะไรหนุ่มหล่อคนหนึ่งถึงได้เปลี่ยนไปหยาบคายได้ในวินาทีเดียว

ฉันกลอกตามองบนพลางเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่สนใจทันที

“อย่ารีบเดินนักสิ ฉันชื่อหยางเหวย ไม่ทราบว่าสุดสวยชื่ออะไร” เขามองกระดาษโพยเล็กๆ ในมือ พูดด้วยสำเนียงแปร่ง “บังเอิญได้พบก็คือมีชะตาต้องกัน มาเป็นเพื่อนกันดีมั้ย”

หยางเหว่ย? ยังกล้ามาจีบฉันอีกเหรอ

“นายกำลังจีบฉันอยู่เหรอ” ฉันเหลือบตามองเขาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

“แหะๆ…” ถูกฉันถามโดยไม่อ้อมค้อม เขาหัวเราะแหยๆ เล็กน้อย “ที่แท้แบบนี้เรียกว่า ‘จีบ’ เหรอ!” ฉันทำหน้าหมดอาลัย

เขาลดเสียงลง ขยิบตาส่งมาให้ฉันก่อนเอ่ย “สุดสวย คือแบบนี้นะ ที่จริงแล้วน่ะ ฉันกับเพื่อนร่วมชั้นพนันกันหนึ่งพันยูโรเพื่อขอชื่อกับเบอร์โทรศัพท์เธอ”

ไม่พนันด้วยเงินดอลลาร์ไต้หวันและก็ไม่พนันด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ ลูกชายเศรษฐีพวกนี้ต้องพนันด้วยเงินยูโรถึงจะถูกต้องแล้ว!

มองไปทางด้านหลังของเขา มีชายหนุ่มกำลังกระซิบกระซาบ หัวเราะคิกคักเบาๆ กันอยู่จริงด้วย

ครึ่งร่างของชายหนุ่มตาแมวแทบจะเกยอยู่บนกรอบหน้าต่าง โน้มตัวลงมาเอาริมฝีปากเข้าใกล้กับใบหูของฉัน “เอางี้ เรามาปรึกษาหารือกันหน่อย…”

ฉันกำหมัด อยากจะดึงปกเสื้อเขาให้ร่วงลงมาจากหน้าต่าง หลังจากที่สูดลมหายใจเข้าไม่กี่ครั้งฉันก็ควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้

“หารืออะไร”

“เธอโกหกบอกอะไรฉันมาก็ได้ตามใจเธอเลย หลังจากนั้นเราค่อยมาแบ่งเงินพันยูโรด้วยกัน”

ทีแรกฉันอยากจะบอกว่า ‘งั้นฉันจะเอาเงินพันยูโรฟาดหัวนายแล้วให้นายหายตัวไปจากตรงหน้าฉันคนนี้ซะ!’

แต่พอมองลงก็บังเอิญเหลือบเห็นเข็มสีทองที่อกซ้ายของเขา…หือ? ตานี่ก็ได้รับเข้าเรียนเป็น ‘กรณีพิเศษ’ เหมือนกันนี่! เพิ่มเพื่อนมาหนึ่งคนดีกว่ามีศัตรูเพิ่มมาหนึ่งคน ความคิดชั่วร้ายในหัวโผล่ขึ้นมาแวบเดียว ฉันยืดตัวประชิดกับเขา ส่งยิ้มที่เต็มไปด้วยความขบขัน “งั้นนายชนะแล้ว ฉันชื่อหลินซิงเฉิน เอามือถือนายมาให้ฉัน”

หนุ่มตาแมวส่งเสียงดีใจ หยิบโทรศัพท์มือถือส่งให้ด้วยความตื่นเต้น

ฉันใช้โทรศัพท์ของเขาโทรหาตัวเองแล้วค่อยส่งคืนให้เขา “เสร็จแล้ว ตอนนี้เรามีเบอร์กันแล้วนะ”

“สวัสดีคุณหลินซิงเฉิน ตอนนี้ให้ฉันแนะนำตัวเองใหม่อีกครั้งนะ” เขาวางท่าสะบัดผมสีชานมเล็กน้อย “ชื่อจีนของฉันคือหยางเหวย เหวยที่มาจากตัวอักษรเหวยของกวีจีนชื่อหวังเหวย แล้วเติมหยดน้ำสามหยดข้างหน้า…” พูดไปด้วยแล้วดึงมือฉันไปเขียนตัวอักษรคำว่า ‘เหวย’ ลงกลางฝ่ามือไปด้วย “หมอดูบอกว่าในชีวิตฉันขาดน้ำเลยเติมมันเข้าไป แต่เธอเรียกฉันว่าวิลเลี่ยมก็ได้นะ แม่ของฉันเป็นคนอังกฤษ พ่อเป็นคนสวีเดน จริงสิ ฉันพูดภาษาจีนได้ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ นั่นเป็นเพราะว่าย่าฉันเป็นคนจีนแต่ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นฉันจึงมีสายเลือดคนจีนหนึ่งในสี่ พวกเราทั้งครอบครัวต่างก็รักวัฒนธรรมจีน ดังนั้นถ้าเธอเรียกฉันว่าหยางเหวย ฉันจะดีใจมากเลย”

หยางเหวย บรรพบุรุษไม่ได้บอกเขาเหรอว่าชื่อเขามันเพี้ยนเสียงได้ง่ายขนาดไหน และผู้ชายถูกเรียกว่า ‘หยางเหว่ย’ เป็นเรื่องที่ดีใจไม่ออกน่ะ

หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที หยางเหวยยังคงพูดน้ำไหลไฟดับ “…ครอบครัวฉันทำธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านยุโรปเหนือ เธอน่าจะเดาถูก ก็บ้านตระกูลอี๋ยังไงล่ะ แต่ว่าตัวฉันน่ะค่อนข้างสนใจเรื่องออกแบบเสื้อผ้ามากกว่า จนถึงตอนนี้ก็ทำพาร์ตไทม์โดยการเป็นนายแบบแฟชั่น ฉันสนใจหลายอย่างมาก ชอบทำอาหาร อ่านหนังสือ ร้องเพลง…”

“หยางเหว่ย ตอนกลางวันเรามากินข้าวด้วยกันเถอะ แล้วนายค่อยเล่าต่อตอนนั้น” ฉันพูดแทรกคำพูดเขา “แต่ตอนนี้นายช่วยพาฉันไปหาห้องเรียนก่อนได้ไหม”

“เธอเป็นนักเรียนที่ย้ายมา?” ตอนนี้เองหยางเหวยถึงได้สังเกตเห็นเข็มสีทองที่อกซ้ายของฉันแล้วตบหน้าผากเป็นนัยว่ารู้แจ่มแจ้ง “Oh, my god!” ดวงตาคู่ใหญ่ของเขาจดจ้องมาที่ใบหน้าฉัน “เธอคือคู่หมั้นของเย่า!”

ฉันพยักหน้า มือหนึ่งของหยางเหวยเกาะขอบหน้าต่างเอาไว้ หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องเรียนอย่างว่องไว ปากก็ตะโกนไปด้วยว่า “ที่แท้พี่สะใภ้นี่เอง!”

ฉันถูกตะโกนเรียกจนขนลุกไปทั้งตัว รีบห้ามเขาอย่างไว “อย่าเรียกฉันว่าพี่สะใภ้ นายเรียกฉันซิงเฉิน ฉันก็จะเรียกนายหยางเหวย”

“งั้นฉันเรียกเธอว่าเสี่ยวซิงซิงได้มั้ย”

“ไม่ได้!” ฉันมองแรงเขาไปหนึ่งที “นอกจากว่านายจะอยากถูกฉันตี!”

ตอนที่หยางเหวยพาฉันเข้าไปในห้องเรียน นักเรียนที่อยู่ในห้องพลันเงียบกริบ สายตาแต่ละคู่มองมาที่พวกเรา

หลายครั้งที่พวกเขาใช้แววตาสงสัยหยุดลงที่เสื้อฉัน คาดเดาถึงความหมายของเข็มทองที่หน้าอกฉัน

“นักเรียนเข็มสีทองคนที่ห้าปรากฏตัวแล้ว…”

นักเรียนเข็มสีทองคนที่ห้า?

แปลว่านอกจากฉัน เจิ้งฉู่เย่า หยางเหวย ยังมีอีกสองคน?

ฉันโบกมือและยิ้มสบายๆ อย่างเป็นธรรมชาติ “อรุณสวัสดิ์เพื่อนทุกคน ฉันชื่อหลินซิงเฉินเป็นนักเรียนเพิ่งย้ายมาใหม่ ทุกคนช่วยแนะนำด้วยนะ”

หยางเหวยชี้ไปยังที่นั่งว่างในห้องซึ่งติดหน้าต่างพร้อมเอ่ยว่า “นั่นเป็นที่นั่งของเย่า ฉันนั่งข้างเขา”

“แล้วเจิ้งฉู่เย่าล่ะ” นึกถึงแผ่นหลังของเขาที่ไล่ตามอวี๋ยางยางไป ฉันลอบกัดฟัน ทว่าก็เอ่ยถามพร้อมกับสีหน้าที่ยังคงแสร้งไม่สนใจ “เขาบอกนี่นาว่าจะรีบเข้าคาบค้นคว้าด้วยตนเองตอนเช้า”

เซนต์เลออนกำหนดให้แปดโมงเช้านักเรียนต้องถึงโรงเรียน แต่ว่าเวลาเข้าเรียนอิงตามโรงเรียนมัธยมที่อังกฤษคือเก้าโมงเช้าถึงบ่ายสามโมงครึ่ง ด้วยเหตุนี้ก่อนเข้าเรียนนักเรียนสามารถใช้เวลานี้ไปออกกำลังกายหรือเข้าคาบค้นคว้าด้วยตนเองในตอนเช้าก็ได้ และหลังจากเลิกเรียนในตอนบ่ายแล้วนักเรียนก็สามารถจับกลุ่มทำกิจกรรมด้วยตนเองได้

“ไม่มีทาง!” ดวงตาแมวของหยางเหวยเบิกกว้างจนกลม สีหน้าแทบไม่อยากจะเชื่อ “แต่ไหนแต่ไรเจ้านั่นไม่เข้าคาบค้นคว้าด้วยตนเองตอนเช้าเลย”

บางที…อาจไปหาอวี๋ยางยางตลอดเลยสินะ ฉันแอบตอบอยู่ในใจ

ช่างเถอะ อนาคตอีกไกล วันนี้เพิ่งเปิดเทอมเป็นวันแรก รอให้ฉันหาความจริงจากเรื่องราวได้ก่อนแล้วค่อยมาจัดการคู่รักคู่นี้

เซนต์เลออนจัดห้องเรียนเล็กๆ หนึ่งห้องมีคนเยอะที่สุดไม่เกินสิบหกคน มองไปรอบๆ เพื่อนร่วมห้องดูเหมือนจะมากันเกือบครบแล้ว

ฉันแสร้งเอ่ยถามด้วยความกระตือรือร้น “งั้น…ฉันต้องนั่งตรงไหน”

“คริสตัล! นั่งตรงนี้! นั่งตรงนี้!” มีผู้หญิงคนหนึ่งกวักมือให้ฉันอย่างสนิทสนม ฉันจำได้ว่าเธอคือผู้หญิงคนที่เมื่อเช้าตะโกนเรียกเจิ้งฉู่เย่าว่า ‘เจ้าชายเย่าของฉัน’

ฉันจะนั่งตรงไหนเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย

ฉันมองเธอนิดหน่อยอย่างเฉยเมยแล้วมองข้ามคำเชื้อเชิญของเธอในทันที ดวงตามองกวาดไปหลายรอบ สุดท้ายสายตาตกไปอยู่ตรงที่นั่งหน้าที่นั่งของเจิ้งฉู่เย่า

เจิ้งฉู่เย่า นายมักจะหลบเลี่ยงฉันเสมอ ให้ฉันมองแผ่นหลังของนาย ทำฉันเกือบจะกลายเป็นภรรยาที่มองสามีจนสุดสายตา ดังนั้นฉันจะนั่งที่นั่งข้างหน้านาย ในคาบเรียนให้นายทำได้แค่จ้องท้ายทอยฉันอย่างเหม่อลอย! ให้นายลองลิ้มรสชาติที่ต้องมองแผ่นหลังของฉันบ้าง!

ชายหนุ่มคนหนึ่งไว้ผมสั้นเกรียน มีมัดกล้ามสีแทนครอบครองที่นั่งข้างหน้าเจิ้งฉู่เย่า ก้มหน้ากัดขนมปังพลางไถไอแพดไปด้วย ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่าที่นั่งของเขาโดนฉันหมายปองเป็นอย่างมาก

ฉันเดินเข้าไปใกล้ตัวเขา ตบๆ ลงไปบนไหล่ของเขาแล้วพูดน้ำเสียงเย็นชา “ลุก ฉันอยากได้ที่นั่งตรงนี้ของนาย!”

หยางเหวยลอบเช็ดเหงื่อเงียบๆ พลางดึงที่ชายเสื้อของฉัน “ซิงเฉิน ไม่มีใครแย่งที่นั่งกันแบบนี้”

หนุ่มผมสั้นเกรียนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาสักนิด กินขนมปังหมดไปภายในสองสามคำ ไถไอแพดอีกไม่กี่ครั้งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่รีบร้อน “เย่าบอกว่าก่อนจะจบ ม.ปลาย ฉันต้องนั่งอยู่ที่นั่งตรงนี้ ไม่อนุญาตให้ออกนอกสายตาของเขา”

ประโยคนั้นเป็นไปได้ว่ามาจากเจิ้งฉู่เย่าที่ชอบพูดอย่างไร้เหตุผล แต่ฉันฟังแล้วมุมปากกลับกระตุกน้อยๆ ดูเหมือนว่าศัตรูหัวใจของฉัน…ไม่แยกหญิงหรือชาย

“อย่าพูดมาก ยังไงฉันก็จะนั่งตรงนี้” ฉันไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด

“หือ?” หนุ่มผมสั้นลุกขึ้นทันที รูปร่างบึกบึนจู่ๆ ยืดกายขึ้นทำเอาฉันตกใจราวกับตกใจระเบิด

สะ…สูงมากเลย…แหย่ผิดคนแล้ว…ฮือ

หนุ่มผมสั้นก้มมองฉันอย่างเย้ยหยัน ความสูงของเขาวัดจากสายตาน่าจะเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบ ยืนอยู่ตรงหน้าฉันเหมือนกับภูเขาลูกย่อมๆ เขาสวมชุดยูนิฟอร์มเซนต์เลออนได้น่าเกรงขามที่สุด เสื้อเชิ้ตติดกระดุมตามอารมณ์ไม่กี่เม็ด แขนเสื้อพับขึ้นมาถึงข้อศอก คอเสื้อแหวกเผยให้เห็นกล้ามสีช็อกโกแลตดูแข็งแรง หล่อเท่มาก…ไม่คิดเลยว่าเจิ้งฉู่เย่าจะชอบแนวนี้ ว่าแต่จะไม่เข้มเกินไปหน่อยเหรอ

“อย่านึกว่านายตัวใหญ่แล้วฉันจะกลัวนะ” ฉันพยายามยืดอก แล้วเอ่ยทำนองว่าตัวเองมีกองหนุนเต็มไปหมด “ฉันเป็นคู่หมั้นที่ตระกูลเขายอมรับ ครอบครัวเขาปกป้องฉันขนาดนี้ นายยอมแพ้เถอะ! พวกนายไม่มีทางได้อยู่ด้วยกันหรอก!”

ที่ไม่ได้พูดออกไปก็คือ ‘ถ้าพวกนายรักกันจริง หากเจิ้งฉู่เย่ามาขอร้องฉัน บางทีฉันอาจจะยอมเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แล้วให้พวกนายได้แสดงความรักกันอย่างเป็นส่วนตัว’

หนุ่มผมสั้นจับฉันหมุนซ้ายทีขวาทีพลางมองตั้งแต่หัวจรดเท้า จู่ๆ คิ้วเข้มก็ขมวดพร้อมกับชูมือขึ้นสูง

ฉันนึกว่าเขาจะตีฉัน ตกใจเสียจนกล้ามเนื้อที่ขาเหมือนเป็นอัมพาต อ่อนแรงจนวิ่งไม่ออก ทำได้เพียงแค่เงยหน้าถลึงตาอย่างดุร้าย “อย่าแตะต้องฉัน! จมูกฉันเพิ่งทำมา มันยังไม่เข้าที่ ถ้านายทำฉัน ฉันไม่จบกับนายแน่!”

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปแล้วระเบิดหัวเราะทันที ฝ่ามือใหญ่แตะที่ผมฉันไม่หนักไม่เบา เขาจับกลีบดอกไม้ออกมาแล้วพูด

“เธอตลกจริงๆ ตลกกว่าอวี๋ยางยางคนนั้นเยอะเลย”

“…” ฉันจ้องเขาด้วยใจที่ยังหวาดผวาอยู่

“ไป่ฉี่ฟั่น แวน”

ตกใจอยู่ไม่กี่วินาทีฉันจึงได้สติกลับมา หนุ่มผมสั้นบอกชื่อภาษาจีนกับภาษาอังกฤษของเขา

แต่ว่า…เพื่อนของเจิ้งฉู่เย่าทำไมชื่อแปลกกันหมดเลยนะ คนหนึ่งชื่อ ‘หยางเหว่ย’ คนหนึ่งชื่อ ‘ป๋อฉี่ฝาน’

นะ…นี่…นี่คุณชายไฮโซพวกนี้ ภาษาจีนของพ่อแม่ย่ำแย่กันหมดเลยเหรอ!

ฉันตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเรียกแค่ชื่อภาษาอังกฤษของเขา “สวัสดีแวน ยินดีที่ได้รู้จัก”

“ที่ที่เธออยากนั่งฉันยกให้เธอนั่งละกัน” พูดเสร็จเขาก็หยิบไอแพดสอดเข้าไปในกระเป๋าหนังสือ จากนั้นเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นบ่าด้วยท่าทีสบายๆ แล้วก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องเรียน

“ฟั่น นายจะไปแบบนี้เลยเหรอ แล้วเย่าจะทำไง” หนุ่มหล่อตาแมวมีสีหน้าเคร่งเครียด ตะโกนเรียกเขาจากข้างหลัง “แล้วฉันจะทำยังไง!”

“พวกนายจัดการกันเองสิ”

พวกนาย จัด การ กัน เอง อ๊าก…อ๊ากๆๆ!

“ฟั่น นายจะไปไหน” หยางเหวยเอ่ยถามไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

เขาไม่แม้จะหันหน้ามา ยกมือขึ้นโบกให้แล้วพ่นออกมาสองคำ “โดดเรียน”

พอเขาไปแล้วฉันก็ทรุดลงบนเก้าอี้ทันที จับตรงหัวใจที่เต้นรัว “หยางเหว่ย รีบบอกฉันมา! นายและป๋อฉี่ฝานนั่นมีความสัมพันธ์ยังไงกับคู่หมั้นฉัน!”

ฉันต้องใจเย็น ฉันต้องการคนที่จะบอกความจริงกับฉัน ไม่อย่างนั้นหนังในจินตนาการของฉันเป็นได้ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเป็นราวอย่างรวดเร็ว เรื่องราวที่ร้ายกาจมาก รุนแรงมาก ห้ามเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีรับชม!

“พวกเรามีชะตาเดียวกัน” หยางเหวยมองแผ่นหลังของไป่ฉี่ฟั่นที่ห่างออกไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก “นั่นคือมิตรภาพลูกผู้ชาย สนิทกันแน่นแฟ้นไม่แยกจากกัน”

“เอาล่ะๆ ฉันรู้ว่าความรู้ภาษาจีนนายไม่เลวเลย แต่รบกวนช่วยใช้ภาษาพูดให้ฉันฟังเข้าใจหน่อย อย่ายกคำพูดในหนังสือมา OK?”

“ก่อนปิดเทอมหน้าร้อน อาจารย์ใหญ่ได้มอบหมายการบ้านพิเศษให้เราทั้งสามคนและให้ส่งหลังจากเปิดเทอม” หยางเหวยสูดจมูก “ฟั่นบอกว่าเขาเขียนเสร็จแล้ว ฉันยังรอจะปรึกษากับเขาอยู่”

“การบ้านปิดเทอมหน้าร้อนมีอะไรให้น่ากังวลกัน” ฉันสูดจมูกฮึดฮัด “ให้ครูส่วนตัวมาทำให้ก็เสร็จแล้ว” ฉันน่ะเรียนหนังสือมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยเขียนการบ้านอะไรด้วยตัวเองเลย

“แต่ว่ารายงานชิ้นนั้นพวกเราสามคนรวมกลุ่มครูส่วนตัวจากทุกบ้านมาก็ยังทำไม่ได้เลยนะ”

“จะเป็นไปได้ยังไง หัวข้อรายงานคืออะไร”

“การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียที่ไม่เกี่ยวข้องกับเส้นกราฟ”

การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในเอเชียที่ไม่เกี่ยวข้องกับเส้นกราฟ…อะไรกัน นี่เป็นหัวข้อรายงานเด็ก ม.ปลาย เหรอ

เมื่อเห็นหน้าตาฉันเต็มไปด้วยความมึนงง หยางเหวยก็ใช้ภาษาอังกฤษพูดอีกครั้งหนึ่ง ยังเอ่ยเสริมอีกว่า “อาจารย์ใหญ่บอกว่าต้องยกตัวอย่างจากเรื่องจริง ฉันเขียนเรื่องของประเทศจีน เย่าเขียนประเทศญี่ปุ่น ฟั่นเขียนประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างปิดเทอมหน้าร้อนแต่ละคนได้ไปปรึกษานักเศรษฐศาสตร์…วางแผนกันว่าวันนี้จะมารวมตัวปรึกษากันแล้วสรุปสักหน่อย”

ในห้องจู่ๆ ก็เงียบลง สายตาแต่ละคู่ของทุกคนหยุดรวมอยู่ที่ประตู ฉันมองตามไปก็นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นค่อยหันหน้ากลับมา

“มองอะไร!” เจิ้งฉู่เย่าโยนกระเป๋าที่อยู่ในมือลงไปบนโต๊ะ เกิดเสียงดัง ‘ปึก’ เพื่อนชายหญิงที่อยู่ใกล้ตกใจเสียจนกระเด้งตัวขึ้น

“จะเข้าเรียนแล้ว! พวกนายจะไปไหน!” สีหน้าเขาดูกดดัน เพื่อนที่ตอนแรกกระเด้งตัวยืนขึ้นมาจึงกลับลงไปนั่งที่ของตัวเองด้วยความเชื่อฟัง

ฉันมึนงงชั่วขณะ ที่แท้อยู่ในห้องเจ้านี่ก็ชอบระรานแบบนี้นี่เอง

ราวกับว่าเจิ้งฉู่เย่าคิดไว้อยู่แล้วว่าฉันจะมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ เหลือบมองฉันแวบเดียวไม่ได้พูดอะไร กอดกระเป๋าหนังสือต่างหมอนโดยไม่บอกไม่กล่าว เอาหน้าฟุบลงกับโต๊ะท่าทางโดดเดี่ยวเล็กน้อย แสร้งว่ากำลังงีบหลับ แต่ฉันรู้ว่าเป็นไปได้มากที่ศึกไล่ตามก่อนหน้านั้นเขาเป็นผู้แพ้ในเกม

“เฮ้ย เย่า” หยางเหวยไม่กลัวตาย ยื่นนิ้วเตรียมจะดีดที่ไหล่เขา “รายงานนั้นที่อาจารย์ใหญ่สั่งเป็นยังไงบ้าง”

“เขียนเสร็จแล้ว” เขาตอบอย่างเบื่อหน่าย

“จริงเหรอ” หยางเหวยดีใจ “ให้ฉันดูเร็ว”

มือเจิ้งฉู่เย่าสอดเข้าไปในกระเป๋า ควานหาไม่กี่ทีก็หยิบรายงานเย็บเป็นเล่มโยนไว้บนโต๊ะเขาแล้วทำเป็นฟุบแกล้งหลับต่อไป

หยางเหวยตะโกนชื่นชมเสียงดัง “ขอบคุณพระเจ้าที่เมตตา! ฮ่องเต้ของเราโปรดอายุยืนหมื่นๆ ปี!”

รายงานเล่มหนาดูแล้วน่าจะหนักพอควร หน้าปกทำจากกระดาษแข็งและมีตัวหนังสือสีบรอนซ์ หยางเหวยยกขึ้นมาด้วยความระมัดระวัง เปิดทีละหน้าด้วยความนับถือ ฉันสงสัยเลยคว้ามาอ่าน ในนั้นมีตัวอักษรที่ดูมีชีวิตชีวาเขียนอยู่ว่า

‘เขียน เสร็จ แล้ว โว้ย!’

 

เขียนเสร็จแล้วโว้ย แค่นี้…ไม่มีอีกแล้ว

หยิ่งเสียยิ่งกว่าจักรพรรดิคังซีเขียนว่า ‘ข้ารู้แล้ว!‘ ในบันทึกเสียอีก

หยางเหวยตัวแข็งเป็นหินไปเรียบร้อยแล้ว

ฉันกุมหน้าผาก นี่ฉันตกมาอยู่ในหลุมประหลาดอะไรกันแน่

 

ทุกคนยังจำนิทานปรัมปราเรื่องซินเดอเรลล่ากันได้ใช่ไหม ฉันรู้สึกตัวเองคล้ายกับพี่สาวใจร้ายในนิทานเรื่องนั้น

พี่สาวใจร้ายยอมตัดส้นเท้าของตัวเองเพื่อจะสวมรองเท้าแก้วแล้วจะได้เป็นเจ้าหญิง เสียสละมากขนาดนั้น เจ้าชายยังรักเดียวใจเดียวอยากจะยกรองเท้าแก้วมอบให้ซินเดอเรลล่าที่สกปรกมอมแมมอีก

แต่นิทานเปลี่ยนเป็นชีวิตจริงยิ่งไม่สวยงาม นอกจากซินเดอเรลล่าที่จ้องเจ้าชายดุจพญาเสือพร้อมตะครุบแล้ว ศัตรูที่เป็นผู้หญิงคนอื่นๆ ก็อย่าดูถูกเป็นอันขาด

“คู่หมั้นของเจ้าชายเย่าคนนั้นศัลยกรรมมารึเปล่านะ ตากับจมูกดูแล้วปลอมมาก ไม่ธรรมชาติเลย” ไม่ธรรมชาติเหรอ ฉันรีบหยิบกระจกโคชออกมาส่องดู

“ใช่แล้ว ก็เลยไม่เคยเห็นหล่อนยิ้มเลย คงกลัวว่าพอยิ้มแล้วหน้าพัง? ฮ่าๆๆ อีกอย่าง พวกเธอได้สังเกตกันบ้างมั้ยว่าหน้าอกของหล่อนเดี๋ยวเล็กเดี๋ยวใหญ่ เป็นไปได้ว่ายัดฟองน้ำมา”

ฉันก้มหน้ามองหน้าอกของตัวเอง รู้สึกเล็กลงกว่าเมื่อวานไปหนึ่งคัพจริงด้วย เมื่อเช้านอนขี้เกียจนานไปหน่อย ไม่มีเวลามายัด

“จริงด้วย พวกเธอดูสิ ด้านไม่ดีของผู้หญิงคนนั้นในข่าวเยอะมากมาย พยายามฆ่าตัวตายในสระว่ายน้ำโรงแรม W รังแกสาวเสิร์ฟในร้านหม้อไฟ ชายไม่ทราบชื่อเข้าออกบ้านส่วนตัวกลางดึกหลายครั้ง…”

ฉันนั่งบนฝาชักโครกที่แวววาวจนส่องต่างกระจกเงาได้ ก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ ผ่านไปสิบนาทีแล้ว นักเรียนหญิงข้างนอกพูดคุยจอแจเหมือนไม่มีความคิดที่จะออกไปจากห้องน้ำสักที เอาแต่นินทาสาปส่งฉันอย่างไม่ย่อท้อ

“ฮึ วางท่าสั่งนึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง ฉันว่าเป็นโรคเจ้าหญิงมากกว่า ถ้าไม่ใช่ว่าบ้านมีเงิน ฉันก็ไม่อยากสนใจหล่อนหรอก”

“นี่ ฉันเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตของหล่อนนะ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ดูเหมือนว่าหลินซิงเฉินจะเป็นลูกนอกสมรสของพ่อ ไม่ใช่เจ้าหญิงจริงๆ ของกลุ่มบริษัทดอลลี่”

“ช็อกไปเลย! ถ้าข่าวลือนี้เป็นจริง งั้นไม่ใช่ว่าเจ้าชายเย่าโดนหลอกเหรอ”

รอพวกเธอนินทาต่อไปได้สักพักฉันจึงเปิดประตูแล้วค่อยๆ ก้าวออกไป กลุ่มสาวๆ เหมือนถูกยอดฝีมือจากยุทธภพกดจุดใบ้พร้อมกัน เงียบกริบกันในชั่วพริบตาเดียว

ฉันเดินไปหน้าอ่างล้างมือ ส่องกระจกแล้วเริ่มลงมือเติมหน้า เอ่ยอย่างไม่สนใจไยดี “ดูเหมือนว่าพวกเธอจะพูดถึงฉันกันนะ ทำไมไม่พูดต่อล่ะ”

ใบหน้าที่แต่งเติมมาเสียหนาเตอะพากันก้มลง

แต่ในบรรดาพวกเธอก็มีคนที่ไม่กลัวตายแม้เจอลมโหมหรือคลื่นแรง ยกตัวอย่างเช่นแม่สาวที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งคนนี้ เธอติดโบดิ้นทอง แต่งตัวเหมือนสาวโลลิ เดินออกมาอย่างห้าวหาญ “พวกเราสงสัยเกี่ยวกับรุ่นพี่ซิงเฉินมาก เรื่องข่าวลือนั่น”

ฉันไม่ได้คิดจะมาอธิบายอะไรให้มาก กลอกตามองบนอย่างแนบเนียนพร้อมกับยอมรับทั้งหมด “อืม ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง อย่าชื่นชมฉันมากเลย”

ต้องรู้ว่าลูกสาวตระกูลดังมักจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเสมอ คนที่ทำให้ชื่อเสียงตัวเองกระฉ่อนไปในทางที่ไม่ดีเช่นนี้ หาไม่ง่ายเลยจริงๆ

ความนิ่งสงบของฉันทำเอาพวกเธอตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออก

“รุ่นพี่มีอารมณ์ขันมากเลย” รุ่นน้องสาวโลลิหัวเราะคิกคักเล็กน้อย “ทั้งที่ถูกสื่อซุบซิบนินทาวุ่นวายมาก แต่ท่าทีของรุ่นพี่ยังคงยิ้มอยู่แบบนี้ เป็นสิ่งที่พวกเรารุ่นน้องควรเอาอย่าง”

“อืม คนที่มีชื่อเสียงมากเกินไปมักจะถูกโยงไปเกี่ยวข้องกับข่าวลือทุกอย่างแบบนี้แหละ” ฉันสะบัดผมอย่างกรีดกราย “คนธรรมดาเหมือนกับพวกเธอ ตลอดชีวิตก็คงไม่อาจเข้าใจได้”

“แหะๆ…” รุ่นน้องสาวโลลิหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะหุบยิ้มลง

ก่อนจะออกไปจากห้องน้ำ “อ้อใช่ รุ่นน้อง” ฉันเอ่ยพลางยื่นมือไปจับหน้าอกใหญ่ๆ ของรุ่นน้องโลลิด้วยสีหน้าหื่น “สัมผัสอ่อนนุ่ม เป็นไขมันจากร่างกายหรือซิลิโคน?”

เธอตกใจอย่างสุดขีด ตอบอย่างอึ้งๆ “ปะ…เป็นไขมันจากร่างกาย…”

“อืม ดีมาก” ฉันชักฝ่ามือกลับด้วยความพอใจ “ฉันจะไปพิจารณาดู ทิ้งเบอร์ของคลินิกให้ฉันด้วย”

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

sangdow Marcom: