ปฐมบท
เมื่อนานแสนนาน…นานมาแล้ว เซียนบนสวรรค์ได้จัดการแข่งวิ่งวิบากระยะไกลครั้งหนึ่ง แดนมนุษย์จึงมีสิบสองนักษัตรตั้งแต่นั้นมา ผู้คนใช้ชื่อของสัตว์มาแบ่งแยกปีต่างๆ ทว่าหลังการแข่งขันวิ่งระยะไกลเสร็จสิ้นลง บรรดาสิบสองนักษัตรได้บังเกิดพลังวิเศษ ท่านเซียนเจ้าภาพจึงส่งสิบสองนักษัตรสลับสับเปลี่ยนกันไปอยู่แดนมนุษย์ทุกๆ สิบสองปีต่อหนึ่งตน
เซียนเจ้าภาพได้สร้างสวนสัตว์แห่งหนึ่งขึ้นในแดนเซียนเพื่อให้เป็นที่พำนักของสิบสองนักษัตร ที่เรียกที่แห่งนี้ว่าสวนสัตว์ นั่นเป็นเพราะว่าต้องทำการขอวงเงินก่อสร้างถึงได้เรียกมันเช่นนั้น ไหนเลยจะอยากทำให้ผู้คนเห็นเป็นเรื่องขบขัน อีกทั้งยังทำให้สิบสองนักษัตรหลายตนไม่พอใจ ทั้งที่ทุกตนที่อยู่ที่นี่ล้วนอยู่ดีกินดีกันทั้งนั้น
เนื่องจากเหล่าสิบสองนักษัตรต้องรอถึงสิบสองปีกว่าจะได้ลงไปทำงานสักครั้ง ช่วงที่ว่างพวกเขาจึงชอบสร้างปัญหาและหาเรื่องสนุกทำไปทั่ว สิบสองนักษัตรบ้างหลอกเอาเงิน บ้างก็เห็นทหารสวรรค์เป็นกระสอบทราย บางตนยิ่งร้าย ถึงขนาดหัดทำตัวเป็นลิงแสบขโมยผลท้อผานเถา อาละวาดตำหนักสวรรค์ ก่อกวนอวี้หวงต้าตี้ จนมีผมหงอกขึ้นมาหลายเส้น
อวี้หวงต้าตี้จึงเรียกเซียนหลายตนมาหารือและสรุปได้ว่าสิบสองนักษัตรเหล่านี้ ‘ว่าง-มาก-ไป’ เพราะต้องรอถึงสิบสองปีกว่าจะได้ทำงานกันสักครั้งจึงเบื่อหน่ายยิ่ง ควรจะหาอะไรให้พวกเขาทำบ้าง เซียนทั้งหลายจึงเสนอให้แต่งตั้งตำแหน่งงานให้สิบสองนักษัตร เทพเฒ่าจันทราจึงกล่าวว่า ‘การมีครอบครัวทำให้สร้างตัวได้’
เทพเฒ่าจันทราใช้ประสบการณ์ชี้แจงให้สหายผู้ร่วมงานเก่าแก่ทั้งหลายฟังว่าถ้าหากเหล่าสิบสองนักษัตรหาคู่มาอยู่เป็นเพื่อนได้ก็จะไม่สร้างเรื่องวุ่นวายอีก เมื่อเหล่าเซียนฟังก็พลันฉุกคิดถึงวาจายอดนิยมในแดนมนุษย์ขึ้นมาได้ว่า ‘ปุจฉาโลกรักนั้นคือฉันใด สอนให้รู้คู่เคียงจวบวายปราณ’ จึงพากันเห็นดีด้วย เพียงแต่พวกเขารู้นิสัยของเหล่าสิบสองนักษัตรดีว่าถ้าบอกไปตรงๆ เช่นนี้จะต้องถูกต่อต้านแน่นอน ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนวิธีพูดเสียใหม่เป็น…อีกหลายปีต่อจากนี้แดนเซียนจะจัดการแข่งขันวิ่งผลัดระยะไกลขึ้นอีกครั้ง
โดยบอกเหล่าสิบสองนักษัตรว่าในการแข่งขันวิ่งผลัดครั้งนี้ พวกเขาจะต้องหาคู่ร่วมแข่งขันมาช่วยด้วย แต่ห้ามไปที่แดนมนุษย์ เพราะจะเป็นการทำให้วิถีธรรมชาติวุ่นวาย (ควรกล่าวว่าเทพเฒ่าจันทราชอบสร้างเรื่องทำให้วิถีธรรมชาติวุ่นวาย ครั้งนี้จึงถูกปรามให้สร้างเรื่องน้อยหน่อยจะดีกว่า) พวกหนังสือในห้องหนังสือของแดนเซียนล้วนมีพลังวิเศษ และบรรดาตัวละครในหนังสือเหล่านั้นก็ล้วนมีพลังวิเศษแบบเดียวกัน ท่านเซียนเจ้าภาพจึงให้สิบสองนักษัตรเข้าไปเลือกหาคู่จากโลกในหนังสือเหล่านั้น
แน่นอนว่าการเลือกหาคู่จะใช้วิธีลากตัวคนมาที่แดนเซียนเลยไม่ได้ แต่จะต้องเพาะบ่มความรู้สึกที่ดีและสร้างเสริมวาสนาร่วมกัน คอยให้คนคนนั้นสิ้นอายุขัย (ในหนังสือก็มีอายุขัยเหมือนกัน) แล้วยินดีมาทำหน้าที่เป็นคู่ร่วมแข่งขันด้วยความเต็มใจ พวกเขาจึงจะสามารถพาคนผู้นั้นกลับมาที่แดนเซียนได้
พอได้ยินคำพูดของท่านเซียนเจ้าภาพแล้ว บรรดาสิบสองนักษัตรที่ไม่พอใจอันดับของตนเองในตอนนี้ หรือที่อยากจะปกป้องตำแหน่งของตนจึงตัดสินใจทุ่มสุดความสามารถเพื่อทำให้ ‘คู่ร่วมแข่งขันในอนาคต’ มีใจเสน่หาต่อตนและเชื่อฟังทำตามทุกอย่าง จนกระทั่งยอมให้พาตัวมาแดนเซียนได้ จะไม่ทำให้เสียเวลาเปล่าแน่นอน
เพื่อความยุติธรรมสิบสองนักษัตรทุกตนตัดสินใจใช้หนังสือแบบเดียวกันเป็นเครื่องตัดสินชี้ขาด หลังจากเลือกไปเลือกมาแล้ว พวกเขาต่างต้องตาหนังสือหมวด ‘นิทานโบราณ’ เพราะเจ้าหนูที่มีนิสัยแปลกประหลาดบอกว่า ‘ช่วงนี้พวกมนุษย์ชอบทะลุมิติกัน และทุกครั้งที่ย้อนไปก็จะไปโกงความตายในยุคโบราณทำให้ได้รับการเคารพยกย่องจากคนในยุคนั้น ดังนั้นพวกเราก็ไปหลอกล่อหาคู่ร่วมแข่งขันสักคนกลับมาจากยุคโบราณกันเถอะ!’
บรรดาสิบสองนักษัตรเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง จึงพากันมุดเข้าไปในหนังสือนิทานกันทีละตน โดยหารู้ไม่ว่าแผนการนั้นไม่อาจรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้ทัน
เปลี่ยนที่หนึ่ง…การทะลุมิติ พวกเขาไม่อาจเลือกบทบาทได้ ดังนั้นหนทางอันแสนยากลำบากจึงเพิ่งจะเริ่ม!
เปลี่ยนที่สอง…พวกเขาไปผิดหมวด เพราะเรื่องที่พวกเขามุดเข้าไปไม่ใช่นิทานต้นฉบับ แต่เป็น ‘นิทานฉบับดัดแปลง’ ที่เหล่าเซียนรวบรวมเอาไว้ตอนแข่งเขียนความเรียงกันเมื่อก่อนหน้านี้!
สรุปคือเรื่องราวการทะลุมิติแบบฉบับไม่ดั้งเดิมที่แสนสนุก หวานชื่น ไร้สาระ และน่าประทับใจได้เปิดฉากขึ้นแล้ว…
บทที่ 1
‘หญิงงามแง้มม่านมุก นั่งไม่ลุกขมวดคิ้วสวย เพียงเห็นน้ำตารินรวย ไม่รู้ว่าใจแค้นใคร’
แค้นใคร
แค้นสวรรค์อย่างไรเล่า
แค้นพวกที่แอบแกล้งนาง อย่าให้รู้เชียวนะว่าใครเป็นคนทำ ไม่เช่นนั้นรับรองว่านางจะต้องกลืนมันลงท้องไปทีเดียวทั้งตัวแน่นอน!
เพราะถ้าหากไม่มีใครแอบแกล้งนางแล้ว วันนี้นางจะมานั่งทุกข์ตรม น้ำตารินเป็นสายเช่นนี้หรือ
“คุณ…คุณชายรอง…” เสียงกระเส่าดังมาจากนอกหน้าต่างไม่ขาดสาย
สงสารนางที่ถูกบังคับให้ต้องมาดูการเริงรมย์…ใจคอจะไม่ให้เหลือทางรอดกันเลยใช่หรือไม่
ปีนี้นางเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง ขอร้องล่ะ! ร่างเล็กกระจ้อยร่อยนี้เพิ่งจะสิบขวบกว่าเท่านั้น เจ้าโง่สองคนที่ใจร้อนอยากเร่งสมสู่กันข้างนอกนั่นไม่รู้จักไสหัวไปให้ไกลๆ หน่อยหรือไร
นางไม่ได้อยากแอบมองพวกเขาหรอกนะ…แต่นางหิวมาก หิวมากๆๆๆ!
นึกว่าที่นางตลบม้วนม่านลูกปัดขึ้นเพราะอยากเห็นพวกเขาสองคนมาทำอะไรเช่นนี้หรือ เปล่าเลย! นางแค่หิวเลยอยากจะดูว่าเสวี่ยเยี่ยนเอาอาหารกลับมาแล้วหรือยัง เหตุใดจึงให้นางคอยนานนัก แต่ยังไม่ทันจะได้เห็นเสวี่ยเยี่ยนก็ได้ยินเสียงคนสองคนที่มาสมสู่กันที่ใต้หน้าต่างเสียก่อน…
นางช่างน่าสงสารนัก น่าสงสารจริงๆ…
ตอนแรกจุดประสงค์ของนางที่เข้ามาในเรื่อง ‘ความฝันในหอแดง’ คือสุราอาหารเลิศรสของคฤหาสน์สกุลจย่า แต่ผู้ใดจะรู้ว่าตัวนางลิขิตมิสู้ผู้อื่นลิขิตให้ เพราะมีใครบางคนแอบเล่นงานนาง ซ้ำยังทำอย่างไร้มนุษยธรรม น่ารังเกียจเป็นที่สุด เหมือนเคยมีความแค้นกับนางมาหลายชั่วโคตร เสียดายที่จำนวนคนที่นางเคยล่วงเกินมีมากเกินไป จำเป็นต้องใช้นิ้วมือสิบนิ้วนับกันหลายร้อยรอบ ทำให้นางคาดเดาไม่ถูกว่าตกลงเป็นผู้ใดที่มีความเป็นไปได้ที่จะเล่นตลกเช่นนี้…เพราะทุกคนล้วนมีสิทธิ์กันทั้งสิ้น!
ฮือๆ…นางทำผิดกฎสวรรค์ข้อใดกัน แค่ตะกละนิดหน่อย นั่นก็กิน นี่ก็กินแค่นี้ มันผิดถึงขนาดต้องเอาชีวิตนางเลยหรือ!
นางเป็นใคร นางเป็นเทพปีมะเส็งเชียวนะ!
เซียนบนสวรรค์บอกว่าในการแข่งขันวิ่งผลัดระยะไกล พวกนางทั้งสิบสองนักษัตรจะต้องเข้ามาหาคู่ร่วมแข่งขันจากหนังสือหมวดนิทานโบราณ รอให้คู่แข่งขันหมดสิ้นอายุขัยแล้วค่อยพากลับไปที่แดนเซียน นางจึงเลือกเรื่องความฝันในหอแดงอย่างไม่พูดมากและตัดสินใจว่าจะเป็นเซวียเป่าไชเพราะอยากอยู่ดีกินอร่อย
แต่สวรรค์กลับทำร้ายนาง!
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องผิดพลาดอะไรขึ้นถึงทำให้นางไม่ได้เป็นเซวียเป่าไช แต่กลับเป็นหลินไต้อวี้แทน!
ฮือๆ…จะให้เป็นใครก็ได้ แต่นางกลับต้องเป็นผีเจ้าน้ำตาที่ตนเองไม่ได้อยากจะเป็นเลยสักนิด ทำให้นางต้องกระหน่ำร้องไห้เป็นพายุทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ร้องจนตัวนางเองรู้สึกเหนื่อย
แต่เมื่อเรื่องมันกลายเป็นอย่างนี้แล้วยังจะทำอะไรได้อีก ทว่าความหายนะที่สุดคงไม่หยุดอยู่แค่นี้และไม่รู้ด้วยว่าจะมีเรื่องวินาศสันตะโรอะไรตามมา
นางทะลุมิติมาตอนหลินไต้อวี้เริ่มเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าตอนอายุเจ็ดขวบ ในใจคิดว่าจะมากจะน้อยนางคงได้อยู่ดีกินอร่อยบ้างเพราะมีฮูหยินผู้เฒ่าจย่าผู้เป็นยายคอยคุ้มศีรษะ ผู้ใดจะรู้ว่าทันทีที่ร่างอันเปราะบางของหลินไต้อวี้เข้ามาอยู่ในสกุลจย่าก็เกิดล้มป่วย ทำให้นางต้องเริ่มต้นกลืนยาทั้งที่ยังไม่ทันได้กินอย่างอื่น วันทั้งวันหลินไต้อวี้ต้องกินแต่ของขมๆ ที่นางเกลียดที่สุด ทั้งที่นางไม่กินรสขมแต่กลับถูกบังคับให้ต้องกินยารอบแล้วรอบเล่า
พักฟื้นมากว่าครึ่งปีแต่กลับยังมีสภาพเหมือนตายเพราะได้แต่นอนป่วยเช่นนี้ทำให้หลินไต้อวี้เริ่มเอะใจว่าต่อให้ร่างนี้จะเปราะบางมากเพียงใดก็ไม่น่าที่จะยิ่งกินยาแล้วยิ่งแย่ นางจึงหยุดกินยาทั้งหมดและให้สาวใช้ประจำตัว เสวี่ยเยี่ยนไปเอายาลูกกลอนที่ว่ากันว่านางกินมาตั้งแต่เล็กจนโตมาแทน หึ ไม่ถึงสามวันนางก็ลงจากเตียงได้แล้ว
เช่นนี้พอจะเข้าใจแล้วหรือยังว่ามันหมายความว่าอะไร
เข้าใจสิ ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดเลยด้วยซ้ำ ในคฤหาสน์หลังใหญ่นี้จะต้องมีผีอยู่แน่ๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฮูหยินผู้เฒ่าจย่าที่บอกว่ารักถนอมหลินไต้อวี้เป็นที่สุดไม่เคยมาเยี่ยมนางเลย เรื่องนี้สิที่ผิดปกติอย่างจริงจัง! และนั่นกลับทำให้นางต้องนึกย้อนไปถึงเรื่องความฝันในหอแดงอย่างละเอียดแล้วพบว่าเนื้อหาของมันไม่ได้เป็นเช่นนี้
แต่สรุปคือเวลานี้นางอาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านผู้อื่นย่อมต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ก่อน
ถ้าอยากอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าที่เต็มไปด้วยมรสุมอย่างอยู่ดีกินอร่อย นางจำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนเล็กน้อย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นการคารวะผู้ใหญ่ตอนเช้าและตอนเย็นที่เรียบง่ายที่สุด นางต้องทำเป็นเวียนศีรษะและเดินไปคารวะด้วยอาการโซซัดโซเซพร้อมสังเกตดูท่าทีของทุกคนจนสรุปได้ว่านางไม่เป็นที่ต้อนรับ
ต้องบอกก่อนว่าสะใภ้สองคนของท่านยายซึ่งก็คือท่านป้าทั้งสองคนของนางไม่ชอบนาง เรื่องนี้หลินไต้อวี้ไม่รู้สึกแปลก แต่ขนาดท่านยายยังไม่อยากเห็นหน้านางนี่สิ…
มันประหลาดเกินไปแล้ว! เพราะเหตุใดหลินไต้อวี้ถึงไม่เป็นที่ต้อนรับได้ถึงเพียงนี้ทั้งที่มารดาของนางเป็นบุตรสาวที่ท่านยายรักที่สุด หลังจากที่มารดาของนางเสียชีวิตไม่นาน นางก็เข้ามาอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าตามคำสั่งของท่านยาย แล้วเหตุใดท่านยายจึงไม่รักนาง
บางทีนางอาจจะมาเจอกับเนื้อเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอย่างสมควรตายเข้าแล้ว ทั้งนี้และทั้งนั้นคือถ้าอยากพลิกสถานการณ์ นางต้องยอมจ่ายค่าตอบแทนเล็กน้อย เป็นต้นว่านอกจากการสวมเสื้อหลากสีทำให้บุพการีเพลิดเพลิน แล้วนางยังสอบถามเสวี่ยเยี่ยนว่ามารดาผู้วายชนม์ของนางมีอุปนิสัยอย่างไรเพื่อทำให้ท่านยายหันมาสนใจตัวนางที่น่าสงสาร
ต้องบอกให้รู้ก่อนว่าในคฤหาสน์สกุลจย่านี้ ท่านยายเป็นใหญ่ที่สุดและมีอำนาจอยู่เหนือทุกคน ต่อให้ตีบ่าวไพร่ในบ้านตายแล้วยัดข้อหาให้ลูกหลานสักคนจนเสียชีวิต แม้แต่จักรพรรดิยังสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวไม่ได้
หากล่วงเกินท่านยายแล้ว หลินไต้อวี้ยังจะมีวันดีๆ ให้ผ่านอีกหรือไร
สามปีผ่านไป ในที่สุดก็เป็นผลบ้างแล้ว แม้ท่านยายจะไม่ค่อยสนิทสนมกับนาง แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้มองค้อนนางเหมือนท่านป้าสองคน ทำให้หลินไต้อวี้เริ่มจะจับทางได้ว่าจะต้องมีคนไปคอยเป่าหู แม้ท่านยายจะอายุเยอะแล้วแต่กลับเชื่อคนง่ายอย่างน่าประหลาด หลินไต้อวี้จึงต้องคอยเข้าไปเสนอหน้าทุกวันเพื่อให้ตนได้รับความโปรดปราน เช่นนี้นางจึงจะมีวันดีๆ ให้ผ่าน
ทว่าพูดกันตามความจริง ขนาดใช้ความพยายามถึงสามปีเต็ม แต่ผลลัพธ์กลับยังไม่ค่อยดี เพราะสถานภาพของนางในคฤหาสน์สกุลจย่ากระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อย น้อยจนนางนึกอยากจะกลับบ้านเต็มแก่
อยู่ที่นี่นางไม่มีอำนาจอะไรเลย ยากที่จะกินอิ่มสวมอุ่น และที่น่ารังเกียจมากที่สุดคือทุกสองวันสามวันนางเป็นต้องไม่สบาย ยิ่งพอเข้าหน้าหนาวนางถึงกับต้องไปวนเวียนอยู่แถวหน้าประตูผีหลายครั้ง…ก่อนจะกลับมามีชีวิตน่าสงสารอย่างที่ต้องกินยาอย่างต่อเนื่อง ต้องสวมเสื้อหลากสีทำให้บุพการีเพลิดเพลินและต้องทำเป็นหูหนวกตาบอดต่อฉากเริงรมย์ที่สามวันมีให้ดูฉากเล็ก ห้าวันมีให้ดูฉากใหญ่
สวรรค์! นางขอกระโดดลงบ่อน้ำเพื่อสละสิทธิ์นี้แล้วกลับแดนเซียนเลยได้หรือไม่
“คุณหนู”
ห่างออกไปไม่ไกลนัก เสียงเรียกเบาๆ ของเสวี่ยเยี่ยนเรียกสติของหลินไต้อวี้ให้กลับคืนมาและทำให้ฉากเริงรมย์ที่นางเจอที่ใต้หน้าต่างหยุดชะงักฉับพลัน เฮ้อ นางควรบอกท่านยายให้สร้างเพิงง่ายๆ ไว้ใช้ในเวลากลางคืน จะได้ไม่ต้องมาทำอะไรๆ กันที่ใต้หน้าต่างของนาง หรือเวลาไปเดินเล่นในสวนจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงครางกระเส่าเหล่านั้นอีก
แต่หลินไต้อวี้คิดว่าถ้านางพูดแบบนั้นออกไปจริง นางคงถูกไล่กลับหยางโจวไปเดี๋ยวนั้น แม้การกลับหยางโจวจะไม่ใช่ปัญหาเพราะได้ยินว่าบิดาของหลินไต้อวี้รักนางมาก แต่ปัญหาคือสุขภาพร่างกายของนางในเวลานี้เปราะบางอย่างที่สุด นางไม่กลัวที่จะต้องหลับตาทั้งสองข้าง แต่กลัวมากว่าถ้าไม่ยอมหลับตาในเวลาที่ควรหลับแล้ว ระหว่างทางกลับบ้านที่แสนจะยาวไกลนางจะต้องถูกบังคับให้กินอาหารแห้งคู่กับยาขมๆ นี่ต่างหากที่เป็นความทุกข์ระทมอย่างที่สุดในชีวิต นางไม่ขอย้อนกลับไปมีคืนวันที่แสนน่ากลัวถึงครึ่งปีเหมือนเมื่อตอนที่เพิ่งเข้ามาอยู่คฤหาสน์สกุลจย่าอีกเป็นอันขาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้นางได้กลิ่นอาหาร ทำให้ยิ่งไม่อยากจะไปที่ใด
ดมสิๆ กลิ่นแรกในดินแดนแห่งนี้เป็นกลิ่นหอมที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย เป็นรสชาติที่หากินไม่ได้ในแดนเซียน
แต่…
“พี่สะใภ้รอง” นางเห็นแวบๆ ว่ามีคนเดินตามหลังเสวี่ยเยี่ยนมาจึงรีบลุกขึ้น
“น้องสาวไม่ต้องมากพิธี ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าให้เรียกพี่เฟิ่งก็พอแล้ว” ผู้มาเยือนยิ้มจนดวงตาเรียวงามยิบหยี อากัปกิริยาสวยสง่า โดยเฉพาะปิ่นทองเต็มศีรษะนั้นเปล่งประกายจนแทบทำให้คนตาบอดได้
คนผู้นี้ชื่อว่าหวังซีเฟิ่ง เป็นสะใภ้ของท่านลุงใหญ่จย่าเซ่อและเป็นฮูหยินของพี่รองเหลียน บ่าวไพร่ในบ้านเรียกนางว่า ‘สะใภ้รองเฟิ่ง’
สาเหตุที่เรียกว่าสะใภ้รองเป็นเพราะท่านยายของนางมีลูกชายสองคน ท่านลุงใหญ่จย่าเซ่อได้รับแต่งตั้งเป็นหรงกั๋วกง แต่กลับไม่ได้พักอยู่ที่เรือนหลัก เพราะผู้ที่พักอยู่เรือนหลักคือท่านลุงรองของนางที่รับราชการตำแหน่งขุนนางที่ปรึกษาของกรมโยธา ภรรยาของท่านลุงรองแซ่เดิมว่าหวังเป็นน้องสาวของผู้ตรวจการทัพเมืองหลวง ดังนั้นเมื่อท่านยายอายุมากขึ้นจึงต้องให้สองสะใภ้รับหน้าที่ดูแลบ้าน แต่คนดูแลเรื่องเงินรายเดือนของบ่าวไพร่ทั้งหมดกลับเป็นสะใภ้รองหวังซีเฟิ่งผู้นี้
หลินไต้อวี้เดาว่าอาจเพราะหวังซีเฟิ่งเป็นหลานสาวของป้าสะใภ้รองหวังฮูหยิน ป้าสะใภ้รองจึงยกสิทธิ์ในการดูแลให้แก่นาง หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งคือถ้าอยากจะอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าเฉกเช่นมนุษย์ผู้หนึ่ง หลินไต้อวี้ปฏิบัติต่อท่านยายอย่างไรก็ต้องปฏิบัติต่อหวังซีเฟิ่งอย่างนั้น
“วันนี้เป็นวันเกิดท่านยาย ข้าจะให้พี่สะใภ้ต้องมาดูได้อย่างไร” ระหว่างที่พูดหลินไต้อวี้ปรายตามองไปที่ด้านข้างคล้ายอยากจะถลึงตาใส่เสวี่ยเยี่ยนสักทีเพราะเคืองที่อีกฝ่ายไม่รู้จักกาลเทศะ แต่กลับเหลือบไปเห็นก่อนว่าในกล่องอาหารนั้นใส่อะไรมาด้วย สวรรค์ นางหิวจนกลืนวัวได้ทั้งตัวแล้ว นี่เรื่องจริงนะ!
“นายหญิงผู้เฒ่าให้ข้ามาเยี่ยมเจ้า” หวังซีเฟิ่งดึงตัวหลินไต้อวี้ไปนั่งที่เตียงอย่างสนิทสนมพลางพิจารณาดูนางอย่างละเอียดแล้วยิ้มอย่างใจดียิ่ง “สีหน้าดูดีกว่าเมื่อวานเยอะแล้ว แต่เหมือนจะยังแตะต้องของมันกับของคาวไม่ได้ ข้าให้คนทำอาหารง่ายๆ มานิดหน่อยกับต้มยาแล้ว อีกเดี๋ยวอย่าลืมกินด้วยล่ะ”
“ขอบคุณพี่สะใภ้มาก” นางยิ้ม ใจจริงอยากจะบอกว่าขอบคุณเพราะถ้าหากไม่มีท่าน ข้าคงไม่เหลือสีสันของความมีชีวิตอยู่อีกแล้ว
“ไม่เป็นไร เราเป็นครอบครัวเดียวกัน” หวังซีเฟิ่งให้สาวใช้ที่ตามนางมาช่วยเสวี่ยเยี่ยนนำกล่องอาหารไปวางบนโต๊ะเล็กแล้วอยู่คุยกับหลินไต้อวี้สองสามประโยค ก่อนจะพาพวกสาวใช้จากไป
ยิ่งคนเดินห่างออกไปไกลเท่าไร รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินไต้อวี้ก็ยิ่งเย็นชาและจางลง
ดูเอาเถอะ ขนาดเทพเซียนบนสวรรค์ไปที่ใดมาที่ใดยังไม่แห่เป็นขบวนหรือประดับเงินทองเหมือนอย่างอีกฝ่ายเลย ทำเหมือนกลัวคนจะไม่รู้ว่าเป็นสะใภ้คนโตของจวนหรงกั๋วกงผู้ถือครองอำนาจและสิทธิ์ในการดูแลบ้าน
“คุณหนู กินอาหารเถิดเจ้าค่ะ” เสวี่ยเยี่ยนเปิดกล่องอาหารทีละชั้นๆ แล้วหยิบ…โจ๊กหนึ่งชามกับยาหนึ่งชามออกมา
หางตาของหลินไต้อวี้กระตุกอยู่สองครั้ง แต่ ‘ตามบท’ นางต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย นั่งลงที่ข้างโต๊ะแล้วดื่มโจ๊ก…หรือจะเรียกว่าน้ำเลยก็ได้ เพราะตะเกียบของนางคนเม็ดข้าวขึ้นมาได้ไม่ถึงสองเม็ด
เสวี่ยเยี่ยนประคองชามยาขึ้นมา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนนอกแล้ว นางก็รีบเทยาออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักไม่แสดงความรู้สึกขณะเอ่ยว่า “คุณหนู ต้นกล้วยข้างนอกใกล้จะตายอยู่แล้ว พวกเราคงต้องเปลี่ยนที่เทยาทิ้งแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
“ข้าบอกแล้วว่าอย่ารักสบาย แจกจ่ายฝนให้โปรยทั่วฟ้า เจ้านี่จริงๆ เลย” ต้นไม้ดอกไม้ข้างนอกมีตั้งเยอะตั้งแยะ หนึ่งวันมียาตั้งสามชาม ค่อยๆ เวียนไปเทก็ได้ หาไม่ ต้นไม้ตายเร็วเช่นนี้ ผีเจ้าเล่ห์อย่างหวังซีเฟิ่งจะไม่สังเกตเห็นหรือ
จะว่าไป หลินไต้อวี้ไม่แน่ใจว่าตนคิดมากเกินไปหรือไม่ แต่พอเวลาผ่านไปหลินไต้อวี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าแม้จะยืนยันชัดไม่ได้ว่านี่เป็นเจตนาของหวังซีเฟิ่งเองหรือมีคนสั่งการอยู่เบื้องหลัง แต่ก็เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่านางไม่เป็นที่ต้อนรับของที่นี่
“คุณหนู เรารีบเขียนจดหมายไปหานายท่าน ให้นายท่านส่งคนมารับพวกเรากลับหยางโจวกันดีกว่าเจ้าค่ะ” เสวี่ยเยี่ยนอ้อนวอนเป็นครั้งที่ร้อยแปดแล้ว
“เจ้านึกว่าข้าไม่อยากกลับหรือ” นางดื่มโจ๊กรวดเดียวหมดแล้วรู้สึกได้ว่าท้องกำลังร้องไห้อย่างทุกข์ทรมาน
“เช่นนั้นก็ไปกันสิเจ้าคะ” เสวี่ยเยี่ยนพูดอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องลำบาก
หลินไต้อวี้ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด “เจ้าพูดง่ายนัก” นี่ยังเห็นนางตกอยู่ในสภาพน่าอนาถ จะตายมิตายแหล่ไม่พออีกหรือ
“ง่ายออกนี่เจ้าคะ พวกเราใช่ว่าจะไร้ที่ไป เหตุใดจึงต้องรั้งอยู่ที่นี่ให้ได้ด้วย”
หลินไต้อวี้เม้มปากไม่ตอบคำ สิ่งที่เสวี่ยเยี่ยนพูดมาไม่ผิด เพราะนางไม่มีความจำเป็นต้องทรมานตนเองอยู่ที่นี่จริงๆ หากทำใจแข็งสักหน่อย ยอมทนลำบากสักสองสามเดือนให้ผ่านๆ ไปก็ใช่ว่าจะมีอุปสรรคที่ผ่านไม่ได้ แต่…นางยังไม่ได้กินหนังขาหมูนึ่ง ยำหัวไช้เท้าขิงหั่นฝอย อกห่านแต้มชาด กุ้งหมักเต้าหู้ยี้ ขาหมูตุ๋น…
นึกถึงตอนแรกที่นางอ่านหนังสือไปพลาง น้ำลายไหลไปพลาง เพราะอาหารเลิศรสที่ชวนให้เฝ้าคิดคำนึงถึงไม่วาย จนถึงตอนนี้นางทนทุกข์มาร่วมสามปีแล้ว แต่กลับไม่เคยพบเห็นแม้แต่เงาของอาหารพวกนั้นสักครึ่งและไม่เคยได้กลิ่นเลยสักนิด แล้วจะให้นางตัดใจจากไปได้อย่างไร!
สามปี…นางดิ้นรนต่อสู้อย่างทรมานอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่ามาสามปี ยังไม่ทันได้ลิ้มของอร่อยก็จะให้จากไปหรือ ไม่มีทาง! สาเหตุที่นางฝืนปักหลักอยู่ที่นี่ไม่ไปที่ใด ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้หรือ หาไม่ นางคงกระโดดลงบ่อน้ำเพื่อสละสิทธิ์และกลับแดนเซียนไปแล้ว!
“คุณหนูทำเพื่อของกินใช่หรือไม่เจ้าคะ” เสวี่ยเยี่ยนหรี่นัยน์ตาประดุจเมล็ดซิ่ง ลง
แววตาเพ้อฝันของหลินไต้อวี้แลดูผิดปกติ แต่ลองว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับแล้ว นางจะทำอะไรได้
“เฮ้อ พอคุณหนูเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าแล้วก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เอาแต่ถามถึงเรื่องอาหารในจวนอยู่นั่น ขนาดไม่สบายยังเพ้อหาขาหมูตุ๋นอีก” เสวี่ยเยี่ยนติดตามคุณหนูมาตั้งแต่เด็ก แม้ไม่กล้าพูดว่าสนิทสนมกันดุจพี่น้อง แต่นิสัยของคุณหนูเป็นอย่างไรนางรู้ดีที่สุด
“ข้าละเมอจริงหรือ” หลินไต้อวี้ถามอย่างแปลกใจแล้วเห็นเสวี่ยเยี่ยนพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง ทำให้นางต้องเม้มริมฝีปาก
น่าชังนัก ขาหมูตุ๋น แม้แต่กลิ่นนางก็ยังไม่เคยได้สัมผัส แล้วจะให้นางตัดใจจากไปได้อย่างไร
คฤหาสน์สกุลจย่าเป็นสถานที่น่ารังเกียจ มั่วกามราคะเหมือนในหนังสือที่นางอ่าน แต่กลับไม่รู้ว่าใครกำหนดสถานภาพของผู้ใหญ่กับผู้น้อยให้ต่างกันปานฟ้ากับเหว ต่อให้นางไม่ป่วยแล้วอยากกินของดีๆ ก็ยังไม่ได้! ขนาดพวกสาวใช้และบ่าวหญิงอาวุโสที่อยู่ข้างกายท่านยายต่างมองไม่เห็นหัว ทำให้นางรู้ว่า…
“น้องหลิน”
เสียงใสกังวานดังมาจากทางประตูพร้อมกลิ่นหอมของโจ๊ก ชั่วขณะที่หลินไต้อวี้หันหน้าไปเห็นรอยยิ้มที่ทำให้ดวงจันทร์ต้องสิ้นสีสัน นัยน์ตาแวววาวพลันจับนิ่งอยู่ที่กล่องอาหารในมือจย่าอิ๋งชุน ทำให้ต้องออกแรงกลืนน้ำลายที่เริ่มสอออกมาให้กลับลงคอแล้วเอ่ยเรียกอีกฝ่าย
“พี่อิ๋งชุน ทั่นชุน น้องซีชุน!” หลินไต้อวี้เหมือนนกขมิ้นที่หลุดพ้นจากกรง ร้องรับผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานนุ่มนวลอย่างที่สุดโดยไม่ได้หันไปมองเสวี่ยเยี่ยนที่แอบถอนหายใจแรงๆ เลย
“ไม่ต้องๆ เจ้ายังต้องพักฟื้น จะลงจากเตียงได้อย่างไร” จย่าทั่นชุนรีบเข้ามาดึงตัวนางไว้และบังคับให้หลินไต้อวี้นั่งลงบนเตียง
จย่าซีชุนที่อายุน้อยที่สุดเข้าไปช่วยเสวี่ยเยี่ยนยกโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งขึ้นไปวางบนเตียงโดยไม่ต้องมีใครบอก เพื่อให้จย่าอิ๋งชุนวางถาดอาหารได้สะดวก
“กินอาหารเย็นแล้วหรือยัง” จย่าอิ๋งชุนมีใบหน้างดงามดุจหยกและมีรอยยิ้มอ่อนโยนน้อยๆ ดูใจดีเหมือนพี่สาวที่มีความหนักแน่น พึ่งพาได้
ก่อนที่เสวี่ยเยี่ยนจะได้เอ่ยปาก หลินไต้อวี้ชิงพูดก่อนว่า “ยังเลย ข้าหิวจะแย่” นางไม่ได้พูดปดนะ ตอนดื่มโจ๊กเมื่อครู่เหมือนดื่มน้ำไม่มีผิด จะให้หลอกท้องไส้คงทำได้ยาก
“พี่อิ๋งชุนบอกว่าเจ้าต้องหิวแน่เลยตั้งใจลงครัวทำโจ๊กรวมมิตรง่ายๆ มาให้” จย่าทั่นชุนมีใบหน้างดงามประดุจบุปผา หว่างคิ้วแฝงความเฉลียวฉลาด อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลินไต้อวี้ แต่ตัวเตี้ยกว่านางมาก
“ทั้งหมดนี่ให้ข้าหรือ” หลินไต้อวี้มองโจ๊กรวมมิตรที่ดูแล้วน่าจะพอให้คนสักสามถึงห้าคนกินแล้วรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
จย่าซีชุนเป็นคนพูดน้อยจึงไปนั่งอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของโต๊ะเตี้ย นัยน์ตาคู่งามจ้องเป๋งไปทางเสวี่ยเยี่ยนคล้ายคอยให้นางเข้ามาปรนนิบัติ เนื่องจากพวกนางสามคนไม่ได้พาสาวใช้มาด้วย
เสวี่ยเยี่ยนลูบจมูกแล้วเข้าไปตักโจ๊กรวมมิตรวางลงตรงหน้าทุกคนคนละชาม นางเห็นว่านัยน์ตาของคุณหนูฉายแววผิดหวังอยู่รางๆ ห่อเหี่ยวเหมือนต้นกล้วยน้ำว้าด้านนอก ทำให้หางตานางต้องกระตุก ก่อนที่เสวี่ยเยี่ยนจะถอยหลังไปอยู่ข้างกายคุณหนูอย่างช้าๆ
เท่าที่เสวี่ยเยี่ยนเห็น หลินไต้อวี้ดูปวดใจเหมือนจะตาย
เพราะนางเข้าใจว่าโจ๊กรวมมิตรทั้งหม้อเป็นของนางคนเดียว แต่สุดท้ายนางกลับได้โจ๊กรวมมิตรมาแค่ชามเดียว…แต่จะตำหนิพวกพี่น้องชุนทั้งสามก็ไม่ได้ เพราะพวกนางคงยังไม่ได้กินอาหารมาเหมือนกัน
จย่าอิ๋งชุนเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาของท่านลุงใหญ่ จย่าทั่นชุนเป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาของท่านลุงรอง แม้แต่จย่าซีชุนก็เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยาของท่านลุงแห่งจวนหนิงกั๋วกง มารดาของนางเสียไปตั้งแต่นางยังเด็กมาก ท่านยายจึงรับจย่าซีชุนเข้ามาดูแลในคฤหาสน์สกุลจย่า แต่ในงานเลี้ยงกลับไม่มีที่นั่งสำหรับพวกนางสามคน
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือหลินไต้อวี้ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคเช่นเดียวกันกับพี่น้องชุนทั้งสามและพวกนางก็ไม่มีสิทธิ์ในความมั่งคั่งของสกุลจย่าเช่นกัน
ส่วนเรื่องที่ว่าหลินไต้อวี้ทำอย่างไรถึงได้มาสนิทกับพี่น้องชุนทั้งสาม เรื่องมันเป็นเช่นนี้…
ตอนที่นางมาถึงคฤหาสน์สกุลจย่าใหม่ๆ กว่าจะรักษาตัวให้หายจากอาการป่วยได้ก็ไม่ง่ายเลย ด้วยวันหนึ่งอยากออกไปเดินเล่นที่สวน ผลคือไม่ระวังไปเจอฉากเริงรมย์เข้า หลินไต้อวี้ตกใจจนตัวแข็งทื่อ แต่เรื่องนี้ไม่อาจตำหนินาง เพราะเรื่องพรรค์นี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปและนางยังไม่เคยพบเจอมันมาก่อนก็ย่อมต้องตกใจเป็นธรรมดา
จังหวะนั้นบังเอิญจย่าซีชุนผ่านมาพอดีจึงเดินเข้ามาเห็น แล้วดึงตัวหลินไต้อวี้จากไปเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น จย่าซีชุนไม่รู้เลยว่าหลินไต้อวี้รู้สึกนับถือนางมากที่สามารถทำตัวนิ่งสงบได้เช่นนั้นทั้งๆ ที่นางเพิ่งจะอายุแค่หกขวบ ภายหลังเมื่อหลินไต้อวี้ถาม จย่าซีชุนเพียงตอบเสียงเรียบว่า ‘เห็นจนชินแล้ว’
เวลานั้นถ้าไม่ใช่เพราะสุขภาพของนางเปราะบางมาก หลินไต้อวี้ต้องกลับไปฆ่าคนสองคนที่ทำให้นางจิตหลุดแน่ๆ จวนหรงกั๋วกงช่างเป็นแหล่งอบายมุข ถึงได้ทำให้เด็กอายุหกขวบเห็นเรื่องต่ำทรามจนชินชาได้!
ทว่าหลังจากนั้นไม่นานหลินไต้อวี้ก็ได้เห็นภาพพวกนี้จนชินชาเหมือนกัน…บ่าวไพร่ของสกุลจย่าช่างร้ายกาจ เพราะต้องรู้กันก่อนว่าบ่าวไพร่ของที่นี่มีจำนวนมาก การที่เจ้านายไม่เคารพกฎบ้านและลักลอบได้เสียกันจนเป็นเรื่องสามัญอาจพูดได้อีกอย่างหนึ่งคือเป็นแม่แบบให้พวกบ่าวทำตาม สมดังคำว่า ‘เมื่อคานบนไม่ตรง คานล่างย่อมคด’ อย่างแท้จริง
ต่อมาพวกนางสองคนไปมาหาสู่กันบ่อยขึ้น ในช่วงที่หลินไต้อวี้หายป่วยแล้วไม่มีอะไรทำ จย่าซีชุนก็พานางไปหาจย่าทั่นชุนเพื่อวาดภาพเล่นกัน…นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กอายุแค่นี้จะมีฝีมือวาดภาพมากเพียงนี้ แต่คนที่หลินไต้อวี้รู้สึกนับถือมากที่สุดกลับเป็นจย่าซีชุนที่เชี่ยวชาญการวาดภาพอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งของอร่อยในตำนานของสกุลจย่า จย่าซีชุนก็สามารถวาดออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวายิ่ง หลินไต้อวี้เห็นแล้วสองตาแดงก่ำและนึกอยากกลืนภาพวาดลงท้องไปให้รู้แล้วรู้รอด
ด้วยเหตุนี้ภาพวาดของจย่าซีชุนจึงกลายมาเป็นของแก้ความอยากให้หลินไต้อวี้และกลายมาเป็นกิจกรรมเล็กๆ ฆ่าเวลาของนาง
ส่วนจย่าทั่นชุนผู้ใจกล้าจับกระรอกบินในจวนได้สองตัวแล้วมอบให้จย่าอิ๋งชุนนำไปปรุงอาหาร ทำให้หัวใจของหลินไต้อวี้มีอาการดิ้นพล่านเล็กๆ
หากนางต้องพาใครสักคนกลับแดนเซียนจริงๆ ในบรรดาพี่น้องชุนทั้งสามนี้นางจะพาใครไปดีนะ
จย่าซีชุนเก่งวาดภาพ จย่าทั่นชุนเก่งล่าสัตว์ จย่าอิ๋งชุนเก่งทำอาหาร…นางขอเหมาทั้งสามคนเลยแล้วกัน!
สวรรค์รู้ดีว่าสาเหตุที่คืนวันแสนทรมานนี้ไม่อาจกดดันนางให้กระโดดบ่อน้ำและสละสิทธิ์เป็นเพราะนอกจากนางยังไม่ได้ลิ้มรสอาหารสมใจแล้ว ยังมีเรื่องของพี่น้องชุนทั้งสามนี้ด้วย!
ลองชิมดูสิ โจ๊กรวมมิตรที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่ น้ำแกงมีกลิ่นอายทะเลที่ช่วยดึงเอากลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของข้าวมรกตออกมาเสริมรสให้เนื้อปลา เนื้อสัตว์ และผักสดหลายๆ อย่าง อร่อยจนนางแทบจะกลืนลิ้นตนเอง
“ถูกปากน้องสาวหรือไม่” จย่าอิ๋งชุนลองชิมคำหนึ่งแล้วช้อนตาขึ้นถาม ดวงหน้างดงามน่าตะลึงลานทำให้จย่าทั่นชุนกับจย่าซีชุนต้องช้อนตาขึ้นมองตาม
“ร้องไห้ด้วยเหตุใดหรือ” จย่าทั่นชุนอดย่นหัวคิ้วไม่ได้ ในขณะที่จย่าซีชุนเพียงกินโจ๊กรวมมิตรต่อเงียบๆ
“อร่อยเหลือเกิน…” ฮือๆ ไม่รู้ว่านางหิวจนตาลายหรือความชื่นชอบในการกินต่ำลง นางถึงได้รู้สึกว่าโจ๊กรวมมิตรนี่อร่อยกว่าอาหารราคาแพงทั้งหลาย และไม่แน่ว่าอาหารหลายอย่างที่อยู่ในหนังสือยังสู้โจ๊กที่จย่าอิ๋งชุนตั้งใจทำมาไม่ได้ด้วยซ้ำ
จย่าอิ๋งชุนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำตาให้นางพลางหัวเราะ “เด็กโง่ ถ้าเจ้าชอบ พรุ่งนี้ข้ากับบ่าวหญิงจะทำอะไรเบาๆ มาให้เจ้าอีก ไม่ต้องร้องไห้”
“พี่สาว” ฮือๆ เป็นพี่สาววันเดียวเท่ากับเป็นพี่สาวชั่วชีวิต…
เสวี่ยเยี่ยนเห็นคุณหนูโผเข้าไปในอ้อมแขนของจย่าอิ๋งชุนก็เป็นต้องรีบหลับตาลง ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หลังจากที่คุณหนูเข้ามาอยู่ในบ้านแล้วล้มป่วย นิสัยของนางก็ประหลาดมากขึ้นทุกวันจนเสวี่ยเยี่ยนเริ่มชิน
จย่าอิ๋งชุนถูกอีกฝ่ายเย้าจนหัวเราะร่วน ในใจรู้สึกเวทนาหลินไต้อวี้ที่ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในบ้านก็ไม่เคยได้กินอาหารเป็นจริงเป็นจังเลย
“เป็นอะไรไป ไยน้องหลินร้องไห้ล่ะ”
น้ำเสียงนิ่มๆ ที่ดังมาจากนอกประตูทำให้พี่น้องชุนทั้งสามต้องรีบจับหลินไต้อวี้นั่งตัวตรงและลุกขึ้นเพื่อต้อนรับสะใภ้ใหญ่ของบ้านรอง หลี่หวัน
“พี่สะใภ้ใหญ่” หลินไต้อวี้เรียกเสียงสะอื้น ยิ่งเห็นกล่องอาหารลายทองที่หลี่หวันถืออยู่ในมือ น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูเหมือนทำนบพังทลายอย่างไม่อาจห้ามได้อีกครั้ง
“เป็นอะไรไป” หลี่หวันจูงบุตรชายด้วยมือข้างหนึ่งแล้วใช้มืออีกข้างหิ้วกล่องอาหาร นางส่งกล่องอาหารไปให้จย่าอิ๋งชุนก่อนยื่นมือมาดึงให้หลินไต้อวี้นั่งลง
“ข้าแค่เห็นหน้าพี่สะใภ้แล้วดีใจน่ะเจ้าค่ะ” นางตอบตามความจริง
ดูเอาเถอะ ใครต่อใครต่างเอากล่องอาหารมาให้ แล้วจะไม่ให้หลินไต้อวี้เบิกบานใจได้อย่างไร นางดีใจจนเผลอน้ำตาไหลแล้ว
“ช่างปากหวานจริงๆ” หลี่หวันดึงมือของหลินไต้อวี้ไว้และให้บุตรชาย จย่าหลันทักทายทุกคน ไหนเลยจะรู้ว่ามือข้างหนึ่งของบุตรชายจะถือหนังสืออยู่เหมือนยังไม่รู้ตัวว่าตนถูกพามาที่ใด “เด็กผู้นี้ช่าง…”
“ไม่เป็นไร เสี่ยวหลันชอบอ่านหนังสือก็ดีแล้ว”
จย่าหลันที่ถูกเรียกว่า ‘เสี่ยวหลัน’ ช้อนสายตาขึ้นและเรียกนางว่า “ท่านอา อย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวหลันอีกนะ”
“หลันเอ๋อร์?” หรือเรียกเช่นนี้จะดีกว่า
“ท่านอา ข้าสอบได้เป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงแล้ว การที่ท่านจะเรียกข้าเช่นนี้มันไม่เหมาะ” จย่าหลันแก้คำนางด้วยท่าทีเหมือนเป็นผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง
“บัณฑิตในสำนักศึกษาหลวง?!” นางตกตะลึง
ที่ตกตะลึงเพราะ…เด็กชายอายุแปดขวบคนหนึ่งสอบได้เป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงแล้ว ตามหลักควรเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง แต่เพราะเหตุใดนางจึงไม่เคยได้ยินว่ามีงานฉลองเรื่องนี้มาก่อน ทั้งที่ภายในบ้านมีงานเลี้ยงกันเป็นประจำ นอกจากงานเลี้ยงวันเกิดของท่านยายที่มีการฉลองกันต่อเนื่องหลายสิบวัน ยังมีวันเกิดของใครต่อใคร และงานเลี้ยงชมดอกไม้ก็มีอีกไม่น้อย
เมื่อปีที่แล้วตอนน้องสาวของหวังฮูหยิน น้าเซวียพาบุตรชายหญิงมาเยี่ยม ทันทีที่เข้าคฤหาสน์สกุลจย่ามา เซวียเป่าไชก็ได้รับการดูแลประดุจคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ไหนจะเหมือนพวกหลินไต้อวี้ที่อยู่กันอย่างลูกกำพร้าเช่นนี้
ในทางกลับกันจย่าหลันเป็นบุตรชายคนเดียวของพี่ใหญ่บ้านรองผู้วายชนม์ เท่ากับเป็นหลานชายคนโตสายตรงของท่านลุงรองและเป็นเหลนของท่านยาย มาวันนี้เมื่อเขาประสบความสำเร็จ เหตุใดภายในบ้านถึงเงียบเชียบเช่นนี้
หลี่หวันเพียงยิ้มเงียบๆ และหาเรื่องคุย “อิ๋งชุน ช่วยเอาขนมในกล่องออกมาหน่อยเถิด วันนี้เป็นวันเกิดของนายหญิงผู้เฒ่า พวกเจ้าไม่ได้ไปร่วมงาน ข้าเลยเอาส่วนของพวกเจ้าทุกคนมาให้”
จย่าอิ๋งชุนจึงเปิดกล่องอาหารที่ซ้อนกันหลายชั้นพบว่าด้านในมีขนมทั้งหมดสี่ชุดจึงอดตาแดงเรื่อไม่ได้ นางรีบหยิบขนมออกมา
“ได้ยินว่าสาลี่หิมะตุ๋นลูกเดือยนี้ช่วยรักษาโรคไอได้ชะงัดนัก เจ้าลองชิมดูนะ ยังมีเหอเถา คลุกน้ำตาล แล้วค่อยปิดท้ายด้วยพุทราแดงเชื่อมดอกกุ้ย”
หลินไต้อวี้ได้ยินแล้วน้ำตาพลันทะลักออกมาอีกรอบ
ขนมคฤหาสน์สกุลจย่า ขนมที่เคยได้แต่อ่าน ทว่าบัดนี้มาอยู่ตรงหน้าแล้ว!
นางยกชามขึ้นมาตักสาลี่หิมะตุ๋นลูกเดือย สัมผัสชุ่มชื่นลื่นคอ เนื้อเนียนละเอียดทำให้หลินไต้อวี้น้ำตาไหลเต็มหน้า ในปากอบอวลไปด้วยสมุนไพรกับกลิ่นหอมของผลไม้ทำให้นางไม่อาจหยุดน้ำตาของตนเองอย่างสิ้นเชิง
สวรรค์ นี่สิคือสาลี่หิมะตุ๋นลูกเดือย! น้ำเชื่อมหวานเข้มข้นแต่ไม่เลี่ยน พอสาลี่หิมะเข้าปากก็ละลาย อร่อยจนนางแทบจะกลืนลิ้นตนเองลงไปด้วยแล้ว!
ช้อนตาขึ้นมอง เห็นพี่น้องชุนทั้งสามค่อยๆ ละเลียดกันคำเล็กๆ ด้วยสีหน้าตื้นตัน แสดงให้เห็นว่าขนมในงานเลี้ยงพวกนี้เป็นอาหารเลิศรสที่หากินได้ยากสำหรับพวกนางเหมือนกัน ทำให้หลินไต้อวี้อดรู้สึกปวดใจแทนพวกนางไม่ได้
ในสายตาของนางการที่พี่น้องชุนทั้งสามเข้ามาใกล้ชิดอย่างกะทันหันเช่นนี้ไม่ใช่เพราะหลินไต้อวี้น่ารักน่าเอ็นดูอย่างเดียว แต่เพราะพวกนางมองเห็นข้อดีที่แอบแฝงอยู่ทางเบื้องหลังของนาง
เป็นต้นว่า…
“อ้าว พวกพี่สาว น้องสาว มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
น้ำเสียงใสกังวานประดุจไข่มุกกระทบหยกดังมาจากทางด้านหลังของหลินไต้อวี้ ทำให้รอยยิ้มของนางหุบฉับลงทันที
เจ้านกยูงสมควรตาย!
ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายนางเปราะบางเช่นนี้ นางคงฟาดฝ่ามือใส่เขาให้ลอยไกลไปถึงสุดขอบฟ้ามหาสมุทรแล้ว ไหนเลยจะปล่อยให้เขาแวบไปแวบมาอยู่รอบตัวทุกสามวันห้าวันเช่นนี้
“เป่าอวี้ มานี่สิ” หลี่หวันเรียกเสียงนุ่ม
“พี่สะใภ้ใหญ่”
หลินไต้อวี้หลุบตาลงแต่ยังไม่วายเหลือบไปเห็นจย่าเป่าอวี้ที่ประโคมเครื่องประดับเต็มตัว สวมชุดคลุมตัวนอกผ้าดิ้นสีแดงแบบปิดคอขลิบริมทองทับด้วยเสื้อแขนสั้นผ้าไหมเนื้อบางปักลายหรูอี้* สีถั่วแดง ศีรษะสวมรัดเกล้าหยกทอง บนคอมีสร้อยจี้ทองคำฝังหยก ไข่มุกและเครื่องประดับทองกับหยกแปลกๆ จำนวนมาก เปล่งประกายจนนางรู้สึกแสบตา
ใบหน้าของเขาขาวผ่องดุจหยก หล่อเหลาประดุจเทพเซียน แม้จะอายุยังน้อยแต่กลับเป็นดั่งต้นดอกท้อเดินได้ เพียงปรายตามองก็สามารถทำให้พวกสาวใช้หลงเสน่ห์จนล้มลงไปกองแทบเท้าเขากันระเนระนาด
‘ความงามสง่าโดยธรรมชาติอยู่ที่ปลายคิ้ว อารมณ์หลากหลายรู้ได้ด้วยหางตา’
คำบรรยายนี้เขียนได้ตรงมากๆ รูปร่างหน้าตาเช่นนี้มันน่าซัดจริงๆ แต่หลินไต้อวี้ก็ต้องอดทนสะกดใจเอาไว้หลายครั้งเพราะไม่มีเรี่ยวแรง หาไม่ นางคงเตะเขาให้ลงไปกินมูลที่พื้นนานแล้ว
พวกขายหน้าตาเช่นนี้ที่แดนเซียนมีเป็นกองพะเนิน และนางก็ไม่ใช่สาวใช้ไร้เดียงสา จะหูตามืดบอดเพราะเจ้าหนุ่มผู้หนึ่งได้หรือ ทว่าอึดใจต่อมาหลินไต้อวี้กลับรู้สึกว่าความหล่อเหลาไร้ที่เปรียบของจย่าเป่าอวี้สามารถนำไปแข่งกับเทพสวรรค์ได้
เนื่องจากหลินไต้อวี้กำลังจ้องซาลาเปาในตะกร้าที่เขาถืออยู่
เพราะซาลาเปาพวกนั้นทำให้หลินไต้อวี้เปลี่ยนท่าทีจากหินผามาเป็นหยกงามที่เปล่งรัศมีเรืองรอง แล้วจ้องมองความหล่ออย่างไร้ผู้เปรียบปานของจย่าเป่าอวี้ได้ชนิดตาไม่กะพริบ
“ผินผิน ข้าเอาซาลาเปาอายุยืนมาให้ อยากได้หรือไม่” อาจเพราะไม่เคยถูกนางมองด้วยแววตาเปิดเผยเช่นนี้มาก่อน ทำให้จย่าเป่าอวี้ต้องเอ่ยถามด้วยความรู้สึกดีใจว่าในที่สุดสายตาของสตรีนางนี้ก็มีแววเหมือนคนทั่วไปแล้ว
จะว่าไป ตัวเขาผู้เป็นบุรุษหยกชั้นเลิศ หล่อเหลาไร้ที่เปรียบ ใครเห็นใครรัก เพียงปรายตามองสาวใช้สักแวบก็ทำให้พวกนางหน้าแดง และพอมองซ้ำอีกครั้งแต่ละคนก็หน้ามืดเป็นลม บางคนถึงกับอ่านหนังสือเล่มเดิมสามรอบด้วยสีหน้าเลื่อนลอยคล้ายไม่อาจดึงสติกลับมา
แต่ลูกผู้น้องของเขานางนี้กลับแปลกประหลาด เพราะนับตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันก็ดูเหมือนหลินไต้อวี้จะไม่เคยเหลียวแลเขาเลย หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นนางทำหน้าเศร้าแล้วตั้งชื่อรองให้นางว่า ‘ผินผิน’ นางคงไม่เหลือบแลเขาแม้แต่แวบเดียว แต่นั่นมันก็แค่ครั้งเดียว เพราะหลังจากนั้นสายตาที่หลินไต้อวี้มองเขาก็ดูพิกลอย่างมาก เขาไม่เคยเจอใครที่มองเขาด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อนและไม่รู้ด้วยว่าตกลงแล้วมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ทว่าเมื่อนางกลับมาเป็นปกติเรียบร้อย เขาก็ยินดีให้อภัยแก่ความไม่รู้ในอดีตของนาง เมื่อคนเราอายุยังน้อยย่อมไม่รู้ประสีประสา ไม่จำเป็นต้องถือสาหาความ
ผินบ้านเจ้าสิ! หลินไต้อวี้บริภาษในใจ แต่ปากกลับพูดว่า “เอา” อย่างไม่ต้องหยุดคิด
เหลวไหล! นางยังต้องคิดทบทวนอะไรอีก นั่นมันซาลาเปาอายุยืน ซาลาเปาอายุยืนเชียวนะ! เป็นอาหารเลิศรสอีกอย่างที่นางเคยอ่านเจอและอยากกินมาก! แม้นางจะอยากตีคนผู้นี้มากเพียงใด แต่นางจะหยุดความคิดนี้เอาไว้ก่อน
“ได้สิ เหลืออยู่หนึ่งลูกพอดี ให้เจ้า” จย่าเป่าอวี้ส่งซาลาเปาให้นางอย่างใจกว้าง
หลินไต้อวี้กล่าวขอบคุณตามมารยาท แต่พอจะอ้าปากงับ หางตาพลันเหลือบไปเห็นนัยน์ตากลมโตเหมือนแมวของจย่าซีชุนซึ่งจ้องมาที่ตน…น่าชังนัก ต้องใช้สายตาเช่นนี้มามองนางเชียวหรือ นางแค่อยากจะกลืนให้หมดในทีเดียวเลยเท่านั้น!
กลืนให้หมดในทีเดียวถือเป็นเรื่องธรรมชาติ การแบ่งให้ผู้อื่นต่างหากที่สมองมีปัญหา ทั้งที่อีกฝ่ายอายุน้อยแค่นี้ยังสามารถวาดภาพของอร่อยออกมาแบ่งให้นางได้ แล้วนางจะลืมคุณคนได้อย่างไร
หลินไต้อวี้จึงต้องบิแบ่งซาลาเปาอย่างไม่ใคร่เต็มใจทำให้ไส้ด้านในทะลักออกมา นางไม่สนใจแล้วว่าซาลาเปาที่แบ่งมีขนาดเท่ากันหรือไม่ รีบส่งซาลาเปาครึ่งหนึ่งไปให้ซีชุน แล้วอ้าปากกว้างยัดซาลาเปาใส่ปากรวดเดียวหมด
อา…ในแผ่นเต้าหู้มีเห็ดหูหนู เห็ดหอม ผักหลงไช่ เมล็ดโก่วฉี่ และผักสดชนิดต่างๆ ทันทีที่เข้าปากจะได้รสสดใหม่อบอวลทั่วปาก แผ่นเต้าหู้ลื่นคอแทบขาดใจ เห็ดหอมนึ่งจนสุกเปื่อย ช่วงที่กลืนลงท้องนางรู้สึกว่าการที่ความทุกข์ทรมานในช่วงสามปีนี้สามารถแลกซาลาเปาอายุยืนครึ่งลูกมาได้ ช่างคุ้มค่าเหลือเกิน!
อาหารรสเลิศทำให้คนรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ช่างคุ้มค่า…หึ คิดว่านางจะบอกว่าถึงตายก็ไม่เสียดายใช่หรือไม่ ผิดแล้ว! ของอร่อยเช่นนี้มีแต่จะทำให้นางยิ่งอยากมีชีวิตอยู่มากขึ้นและกระตุ้นความอยากอาหารที่สูญสิ้นไปในชีวิตให้กลับคืนมา นางจะขอมีชีวิตอยู่เพื่อของอร่อย!
ครั้งหน้านางจะกินร้อยลูก!
ไม่สิ…มันน้อยเกินไป ต่อให้เอามาสักสองร้อยลูกก็ไม่เป็นปัญหา!
หลินไต้อวี้คิดในใจโดยไม่รู้เลยว่าท่าทางดื่มด่ำในรสอร่อยของนางดึงดูดสายตาของทุกคนที่อยู่ในที่นั้น เมื่อดวงตาที่มีม่านน้ำตาคลอเริ่มมีประกายสว่างไสวฉายชัดอยู่บนดวงหน้าน้อยๆ ที่ดูอมโรคดุจต้นอ่อนที่เริ่มงอกราก ละม้ายบุปผาที่เริ่มแย้มบาน ทำให้คนมองถึงกับเหม่อ ยิ่งตอนนางดูดนิ้ว สีหน้าน่ารักน่าสงสารเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงหิมะซัดกระหน่ำช่วงฤดูเหมันต์ที่หนาวจัดทำให้ใครต่อกันรู้สึกเวทนาจับใจ
“ผินผิน…เจ้าหิวหรือ” จย่าเป่าอวี้เอ่ยถามเสียงเบา
เขาเป็นคนแรกที่ดึงสติคืนมาสำเร็จ เพราะอยากเห็นลักยิ้มที่เต็มไปด้วยความอิ่มเอมเปรมใจของนางอีกครั้ง แม้ใต้หล้าจะมีสตรีงามมากมายและบรรดาสาวใช้ในบ้านล้วนสวยสดโดดเด่น แต่สตรีที่สามารถขโมยหัวใจคนได้ด้วยรอยยิ้มเดียวเหมือนหลินไต้อวี้กลับไม่มีให้เห็นมากนัก เพราะชั่วขณะที่นางยิ้ม ห้องทั้งห้องเหมือนจะสว่างขึ้น และตัวนางคล้ายถูกอาบไล้ด้วยแสงตะวัน ดวงหน้าเปล่งประกาย เสียดายที่เป็นช่วงเวลาแค่แวบเดียว ทว่าช่วงเวลาสั้นๆ กลับทำให้หัวใจของจย่าเป่าอวี้เต้นกระหน่ำอย่างไม่ได้เตรียมใจมาก่อนและกระหายที่จะได้เห็นอีก
หลินไต้อวี้ช้อนสายตาขึ้นมองอย่างแช่มช้าและผงกศีรษะอย่างน่าสงสาร
ไม่พอสิ นี่มันเป็นแค่ไม้จิ้มฟันเท่านั้นเอง
“ท่านเอามาเพิ่มได้หรือไม่” นางรีบถาม
“ได้ ข้าจะไปเอามาให้อีกหลายๆ ลูก” ขอเพียงทำให้นางหันมาสนใจเขาได้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ย่อมไม่เป็นปัญหา “อยากได้เยอะเท่าใด”
นางเริ่มกางนิ้วแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปวดใจ “อย่างน้อยก็สักสิบสี่ลูก เผื่อพวกพี่สาวกับน้องสาวด้วย” นอกจากจย่าเป่าอวี้แล้วทุกคนต้องได้กันคนละสองลูก และถ้าหากพวกนางกินไม่หมด หึๆ ทั้งหมดย่อมต้องเป็นของนาง
“สิบสี่…ข้าจะให้พ่อครัวนึ่งให้หนึ่งหม้อเลย”
“ขอบคุณพี่เป่าอวี้เจ้าค่ะ” อีกนิดเดียวนางก็แทบจะโผเข้าไปในอ้อมกอดของเขาแล้ว
รอยยิ้มน้อยๆ ของหลินไต้อวี้ทำให้จย่าเป่าอวี้รู้สึกหน้ามืดตาลาย เขาวิ่งออกไปพร้อมรอยยิ้มโง่งม
“น้องสาว สั่งทีเดียวเยอะถึงเพียงนั้น ไม่มีทางกินหมดหรอกนะ” หลี่หวันหัวเราะเบาๆ
“กินหมดอยู่แล้วเจ้าค่ะ” เชื่อนางเถอะ นางทำได้จริงๆ
“น้องสาว ขอบใจเจ้า” จย่าอิ๋งชุนบีบมือหลินไต้อวี้เบาๆ
“ขอบคุณพี่เป่าอวี้ดีกว่าเจ้าค่ะ จะขอบคุณข้าด้วยเหตุใด”
ความจริงสาเหตุที่พวกพี่น้องมาชุมนุมกันที่เรือนของนาง นอกจากจะพูดคุยกันเพื่อคลายเหงาแล้วก็เป็นเพราะเจ้าปีศาจในแดนมนุษย์นั่นชอบหาเรื่องยุ่งมาให้นางประจำ เนื่องจากเขาบอกว่าชอบนาง หากผู้อื่นมาได้จังหวะก็จะได้รับส่วนแบ่งผลกำไรไปด้วย
ต้องบอกให้รู้กันก่อนว่าคนผู้นี้เป็นแก้วตาดวงใจของสกุลจย่า เป็นแก้วตาของท่านยายและเป็นดวงใจของท่านป้าสะใภ้รอง ขอเพียงเขาทำดีต่อใคร พวกผู้ใหญ่ก็จะเผื่อแผ่ความเมตตามาให้ เหมือนรักใครแล้วย่อมต้องรักไปถึงอีกาบ้านเขาเพื่อเป็นการเอาใจจย่าเป่าอวี้
แต่ถ้าใครคิดจะแย่งชิงความโดดเด่นไปจากเขา คนผู้นั้นอาจได้รับเคราะห์ ยกตัวอย่างเช่นจย่าหลันที่นางเดาว่าจย่าหลันคงเฉลียวฉลาดมากเกินไปถึงสอบเข้าเป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงได้โดยไม่ต้องให้สินบน เท่ากับเป็นตบหน้าท่านอารองเป่าอย่างแรง มิน่าท่านยายถึงไม่พอใจ และท่านป้าสะใภ้รองก็ไม่ชอบ
เรือนลึกของบ้านหลังนี้อยู่ได้ไม่ง่ายจริงๆ จะว่าไป…ไฉนตอนแรกนางถึงไม่คิดจะเอาใจคนผู้นี้บ้างนะ
ถ้าทำดีกับเขาสักหน่อย นางย่อมมีวันดีๆ ให้ผ่าน แต่…พอเห็นหน้าตาโง่งั่งนั่นแล้วมันขัดลูกหูลูกตา หลินไต้อวี้เคยเห็นเขาวางท่าเป็นคุณชายตอนไม่พอใจแล้วสั่งโบยคน ทำให้รู้สึกว่าน่าขยะแขยง
แต่ถ้าอยากกินของอร่อย…ก็ทนๆ เอาหน่อยเถอะ
โปรดติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments