X
    Categories: ทดลองอ่านนิทานรักนักษัตรปีมะเส็งมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิทานรักนักษัตรปีมะเส็ง บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 5

 จี้ไหวเหมือนจะรู้ตัวว่าตนเสียกิริยาจึงรีบบอกว่า “คุณหนู เฟิ่งปาเป็นบ่าว มีสัญญาทาสอยู่กับตัว ไหนเลยจะอาจเอื้อมดอกฟ้าอย่างคุณหนูได้”

“ทิ้งสัญญาทาสไปก็ใช้ได้แล้ว” เรื่องเล็กแค่นี้นางคิดได้ตั้งนานแล้วล่ะ

“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ สกุลจี้เป็นบ่าวของสกุลหลิน เรื่องนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”

“แต่…”

“คุณหนู เรื่องนายกับบ่าวแต่งงานกันเป็นเรื่องที่ไม่มีวันเป็นไปได้ ยิ่งนายหญิงผู้เฒ่าออกปากอนุญาตเรื่องการแต่งงานของท่านแล้วยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ เพราะถึงอย่างไรท่านก็เป็นท่านยายของคุณหนูนะขอรับ”

“แต่…”

“หากคุณหนูจะล้มเลิกงานแต่ง ต่อไปเกรงว่าจะหาคู่แต่งงานไม่ได้อีก” สีหน้าของจี้ไหวเครียดหนัก

“เช่นนั้นก็ดีสิ!” ดีมากเลย นางจะได้เป็นคุณหนูของคฤหาสน์สกุลหลินตลอดไป เพราะถึงอย่างไรคฤหาสน์สกุลหลินก็เลี้ยงนางได้อยู่แล้ว

“คุณหนู สตรีเติบใหญ่ต้องแต่งงาน หรือคุณหนูจะปล่อยให้นายท่านที่อยู่ในปรภพต้องร้อนใจล่ะขอรับ”

หลินไต้อวี้เบะปาก ทำท่าน่าสงสาร

“คุณหนู การแต่งเข้าสกุลจย่าใช่ว่าจะไม่ดี เพราะถึงอย่างไรสกุลจย่าก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ยิ่งถ้าได้รับความรักใคร่จากคุณชายรองเป่าก็เท่ากับได้รับการสนับสนุนจากนายหญิงผู้เฒ่าด้วย อยู่คฤหาสน์สกุลจย่าเรียกลมย่อมได้ลม เรียกฝนย่อมได้ฝน เทียบกับการแต่งเข้าสกุลอื่นถือว่าดีกว่ากันมากนัก” จี้ไหวคุกเข่าลงตรงหน้านางพร้อมชี้แจงอย่างละเอียด “ถึงอย่างไรก็ต้องแต่ง แล้วเหตุใดจึงไม่แต่งกับคนคุ้นเคยกันล่ะขอรับ อีกอย่างคุณชายรองเป่าก็นิสัยไม่เลว ดีกว่าพวกลูกเศรษฐีคนอื่นๆ เยอะ”

“หา? เขาน่ะหรือดีกว่าพวกลูกเศรษฐีคนอื่นๆ”

“พวกลูกเศรษฐีที่เมืองหยางโจวดีแต่สร้างเรื่องทั้งวัน ทั้งกลั่นแกล้งผู้อื่น มีเรื่องกันกลางถนน ฉุดคร่าสตรี ถือเป็นเรื่องที่พบเห็นได้เป็นประจำ ที่รวมหัวกันฆ่าคนก็มีไม่น้อย”

หลินไต้อวี้เบิกตาโต นางเพิ่งเข้าใจว่าลูกเศรษฐีมีการแบ่งระดับ แล้วจย่าเป่าอวี้จัดว่าเป็นลูกเศรษฐีชั้นดีในบรรดาลูกเศรษฐีชั้นเลว เพราะเขายังทำอะไรอยู่ในร่องในรอยและมีมารยาท…นี่เรียกได้ว่านางได้รับบทเรียนแล้ว

“ข้ารู้สึกว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่เลว และถ้าคุณหนูจะแต่งเข้าสกุลจย่า ข้าก็จะส่งคนจำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยดูแลคุณหนูในคฤหาสน์ด้วย จะไม่มีทางยอมปล่อยให้คุณหนูต้องถูกรังแกในคฤหาสน์สกุลจย่าเด็ดขาด” แม้คุณหนูจะไม่ได้เล่าให้เขาฟัง แต่เสวี่ยเยี่ยนก็เล่าเรื่องทุกอย่างในสกุลจย่าให้บิดารู้อย่างไม่มีตกหล่นเลยสักคำ ทำให้จี้ไหวโกรธจนแทบจะพังโต๊ะไม้พะยูงหอมให้พังในคืนนั้น แต่ถูกภรรยาจับบิดหูเสียก่อน

“แต่หยางโจวกับจินหลิงอยู่ห่างกันมาก หากข้าคิดถึงบ้านแล้วจะทำอย่างไร” ความหมายคือถ้านางอยากหนีออกจากคฤหาสน์สกุลจย่าย่อมไม่สะดวก

“เรื่องนี้มีอะไรยาก พวกเราสามารถย้ายไปอยู่ที่เมืองจินหลิงและซื้อที่ดินเพื่อปักหลักได้อยู่แล้ว”

“ได้หรือ”

“ได้แน่นอนขอรับ แม้นายท่านจะไม่อยู่ แต่พวกเรายังคงเป็นครอบครัวฝ่ายมารดาของคุณหนู ย่อมต้องไปอยู่ข้างๆ จะได้ดูแลกันใกล้ๆ” จี้ไหวหยิบผ้าเช็ดมือออกมาเช็ดรองเท้าผ้าปักลายดอกไม้ที่เปื้อนฝุ่นให้หลินไต้อวี้ “หลายปีมานี้ข้ากับนายท่านบุกเบิกที่ดินกันเอาไว้เยอะ ที่ซูโจวเรียบร้อยแล้ว ที่หยางโจวก็ได้ที่นามาหลายร้อยหมู่ ถ้าไปจินหลิงจะได้ทำการค้าอย่างอื่นอีก”

“ไม่นะ ไม่ๆ ปลูกข้าวต่อไปนั่นแหละ ปลูกข้าวมรกตด้วย” หลินไต้อวี้เคยลิ้มรสอร่อยของข้าวมรกตที่คฤหาสน์สกุลจย่ามาแล้ว ยังคงรู้สึกคิดถึงไม่เว้น

“ข้าวมรกตเป็นข้าวบรรณาการ ถ้าจะปลูกเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ขอเพียงคุณหนูต้องการ ข้าจะต้องหาทางทำให้สำเร็จให้ได้” จี้ไหวพูดด้วยน้ำเสียงสำรวม แต่สมองกำลังวิ่งเร็วจี๋ว่าจะไปหาซื้อพันธุ์ข้าวมรกตมาจากที่ใด

หลินไต้อวี้เข้าไปกอดคอจี้ไหวอย่างดีใจจนออกนอกหน้า “ข้ารู้ว่าท่านอาจี้เก่งที่สุด”

จย่าเป่าอวี้เข้ามาเห็นภาพนี้เข้าพอดีทำให้สีหน้ามืดครึ้มของเขายิ่งดำมิดหมี

จี้ไหวรีบยืนตัวตรงพลางยิ้มอ่อนโยน “คุณหนูพักผ่อนก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะให้โรงครัวส่งอาหารมา”

“ท่านอาจี้ อย่าลืมบอกพี่จี้ด้วยนะว่าข้าอยากกินปลาราดน้ำปรุงรสที่เคยกินเมื่อวันก่อนอีก”

“ไม่มีปัญหาขอรับ” เขาหันไปโค้งให้จย่าเป่าอวี้แล้วถอยออกจากห้อง

จย่าเป่าอวี้มองตามเงาแผ่นหลังที่เดินจากไปของพ่อบ้านอย่างฉุนๆ ก่อนพูดเหน็บว่า “ว่าอย่างไร พี่จี้ของเจ้าไม่ยอม เจ้าเลยจะไม่ละเว้นพ่อของเขาด้วยหรือ”

หางตาของหลินไต้อวี้กระตุก แต่นางเลือกที่จะไม่เอาความกับเด็กเช่นนี้

“ข้าอยากพักผ่อน ถ้าคุณชายรองเป่าไม่มีธุระก็น่าจะไปพักผ่อนเหมือนกัน”

การเดินทางไปซูโจวผลาญพลังของนางไปไม่น้อย แม้จย่าเป่าอวี้จะแข็งแรงกว่านาง แต่เขาก็เหนื่อยเป็น พอคนเราเหนื่อยแล้วสีหน้าย่อมไม่ดี และนางไม่ชอบเห็นคนหน้าเหม็นด้วย

“เจ้าจะกลับจินหลิงเมื่อใด” จย่าเป่าอวี้ไม่อ้อมค้อม เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมาด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

“ข้าเคยบอกว่าจะกลับจินหลิงหรือ” หลินไต้อวี้ย้อนถามอย่างอารมณ์ดี

“ถูกมัดกลับไปมันดูไม่ดีหรอกนะ” จย่าเป่าอวี้ไม่รู้สึกแปลกใจในอาการต่อต้านของนาง หรืออาจจะพูดได้ว่าตั้งแต่แรกรู้จักกันเขาก็รู้สึกว่าหลินไต้อวี้คือคนที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อกลั่นแกล้งเขา

“เก่งนักก็ลองมาจับข้ามัดดูสิ” ถึงนางจะไม่มีบิดา แต่ยังมีบ่าวไพร่เป็นบ้านมารดาอยู่นะ

“ถ้ายกเลิกงานแต่ง ต่อไปเจ้าไม่มีทางหาคนดีๆ ได้อีกแน่”

“เช่นนั้นก็ดี” ช่างยั่วยุเก่งนัก แต่หลินไต้อวี้หวังมากว่าตนเองจะได้อยู่ที่คฤหาสน์สกุลหลินตลอดไปมากกว่า

ดวงตาดอกท้อของจย่าเป่าอวี้หรี่ลง “เจ้านึกว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้จริงหรือ”

นางอ้าปากหาวพลางยักไหล่

“ก่อนเคลื่อนย้ายป้ายวิญญาณ ข้าให้ฉูเย่านำสารกลับไปที่เมืองจินหลิงเพื่อแจ้งให้ท่านย่ารู้เรื่องการเสียชีวิตของอาเขยแล้ว ข้าจะอยู่กับเจ้าที่เมืองหยางโจวสักระยะ แต่ถ้าเจ้าถ่วงเวลานานเกินไป ไม่ยอมกลับไปกับข้า ท่านย่าจะต้องให้พี่รองเหลียนมาจับเจ้ามัดกลับไปแน่ๆ ถึงตอนนั้นทุกอย่างในบ้านเจ้าย่อมตกอยู่ในมือของท่านย่า แล้วอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”

หลินไต้อวี้หาวหวอดติดๆ กันจนกระทั่งได้ยินเขาพูดประโยคสุดท้าย นางจึงเงยหน้าขึ้นมองและยุติความลังเลใจ ช่างเถอะ ท่านยายเป็นคนที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับนางที่สุด เพราะฝ่ายบิดาไม่มีญาติเลย หากท่านยายอ้างว่าต้องการกันไม่ให้บ่าวชั่วรังแกนางแล้วบังคับพาตัวหลินไต้อวี้กลับไปที่คฤหาสน์สกุลจย่าพร้อมริบสมบัติของนางก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้…สวรรค์ ช่างเป็นเรื่องที่น่าโศกาที่สุดในโลก!

แต่จย่าเป่าอวี้อาจจะพูดขู่นางเท่านั้น ทางที่ดีนางไปปรึกษาท่านอาจี้ก่อนดีกว่า

จย่าเป่าอวี้ไม่ได้คาดหวังคำตอบจากหลินไต้อวี้ เมื่อเห็นนางย่นหัวคิ้วทำท่าครุ่นคิด เขาก็ทอดเสียงให้ฟังดูเย็นลง “หากอยากย้ายบ้านไปจินหลิง ต้องการที่ดินเยอะเท่าใดก็ให้มาบอกข้า ข้าจะให้หลี่กุ้ยช่วยดู จะได้ส่วนลดเยอะหน่อย จะชั่วจะดีอย่างไร หลี่กุ้ยก็เคยตามช่วยงานพ่อบ้าน เรื่องพวกนี้ไม่ยากสำหรับเขา เพียงแต่เจ้าต้องคิดให้ดีและคิดให้ไวหน่อยเท่านั้น”

หลินไต้อวี้เบ้ปาก เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้แอบฟังนางกับท่านอาจี้คุยกัน แม้จะไม่รู้ว่าเขาได้ยินไปเยอะมากเพียงใด แต่รับรองว่าต้องไม่พลาดประเด็นสำคัญ

พอพูดจบจย่าเป่าอวี้ก็ตบก้นจากไปโดยที่หลินไต้อวี้ก็ไม่ได้คิดที่จะรั้งเขาไว้ นางหลุบตาลงพลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่จย่าเป่าอวี้บอกเพื่อวางแผนให้เหมาะสม เมื่อนางยังไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก แต่ยังมีบ่าวไพร่และครอบครัวของท่านอาจี้ที่ต้องดูแลด้วย

ท้องฟ้าสีครามใสมีแสงอบอุ่นส่องลอดลงมาในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงอย่างหาได้ยาก ทำให้เมล็ดข้าวที่ตากอยู่หน้ายุ้งฉางเปล่งประกาย ดวงตาแวววับของหลินไต้อวี้ที่อยู่ด้านข้างแลดูสดใส

สำหรับนางนี่เป็นภาพที่งดงามที่สุดในโลก

ในท้องนาสุดลูกหูลูกตาต้นข้าวบางส่วนที่นวดเอาข้าวเปลือกออกแล้วจะถูกนำไปมัดเป็นฟ่อน บางส่วนถูกนำไปเพาะต้นอ่อนของพืชผัก หลินไต้อวี้นั่งอยู่ริมคันนาขณะนึกภาพท้องนาสีเหลืองทองยาวไกลสุดลูกหูลูกตาท่ามกลางสายลมพัดโชย เหมือนมหาสมุทรสีเหลืองทองสว่างพราว

“คุณหนูสูงศักดิ์ไม่ควรนั่งริมคันนา”

หลินไต้อวี้ได้ยินแล้วจึงช้อนสายตาขึ้นมองอย่างเกียจคร้าน แต่ผู้มาใหม่กลับทรุดตัวลงนั่งข้างกายนาง ทำให้นางอดพูดยอกย้อนกลับไปไม่ได้ว่า

“คุณชายรองเป่าแห่งสกุลจย่ายิ่งไม่ควรนั่งริมคันนามากกว่า”

“ภรรยาอยากได้อย่างไร สามีย่อมต้องให้การสนับสนุน” จย่าเป่าอวี้ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย

หลินไต้อวี้มองค้อนเขา “ยังไม่ได้เทียบดวงชะตาแปดอักษร เลย ท่านพูดเร็วเกินไปหน่อยกระมัง”

“ช้าเร็วก็ต้องเป็น จะพูดเร็วหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร”

หลินไต้อวี้กลอกตา คร้านที่จะสนใจเขา นางถามท่านอาจี้มาแล้ว ท่านอาจี้ยืนยันว่าคำพูดของจย่าเป่าอวี้มีความเป็นไปได้ว่าท่านยายอาจริบสมบัติของนางไปเป็นของตนเอง แต่ถ้าหลินไต้อวี้แต่งงานกับจย่าเป่าอวี้ สถานการณ์จะแตกต่างออกไป เพราะสมบัติพวกนี้จะกลายเป็นสินเดิมของนางแทน

พูดอีกอย่างหนึ่งคือนางจำเป็นต้องแต่งกับเขา ไม่แต่งไม่ได้ แค่คิดเพลิงโทสะของนางก็ลุกโหม ยิ่งเขามาพูดจาอย่างถืออภิสิทธิ์เช่นนี้ นางยิ่งอยากล้มเลิกการแต่งงานจริงๆ

“ระยะนี้สีหน้าเจ้าไม่เลว ดูหอบน้อยลง”

หลินไต้อวี้มองหน้าเขาแวบหนึ่ง “ขอเพียงไม่ต้องอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่า รับรองว่าร่างกายข้าต้องดีแน่นอน”

“สกุลจย่าทำร้ายเจ้าหรือ”

“เปล่าเลย พวกเขาเอ็นดูข้าอย่างยิ่งเลยล่ะ” อีกทั้งวิธีแสดงความรักก็มากมายจนนางทนรับความรักใคร่เอ็นดูแบบตั้งใจรดน้ำให้เฉาตายเช่นนั้นไม่ได้

“เจ้าพูดเป็นนัย” จย่าเป่าอวี้เฝ้าคอยอย่างไม่เร่งรัด แต่กลับเห็นนางยักไหล่อย่างไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ อันที่จริงหลินไต้อวี้ไม่อยากพูดเรื่องนี้และเขาก็ไม่อยากซักไซ้ ทั้งสองคนจึงเปลี่ยนเรื่องคุย “ต่อไปข้าจะไม่แตะต้องสินเดิมของเจ้า และจะไม่ให้ใครมีโอกาสจ้องมันด้วย”

หลินไต้อวี้เลิกคิ้วแต่คร้านจะต่อปากต่อคำกับเขา “ท่านวิ่งมาทำอะไรที่นี่ ไหนเมื่อครู่บอกว่าอยากมาเดินดูที่ดินเผื่อมีอะไรให้ช่วยไม่ใช่หรือ”

“จี้เฟิ่งปาบอกว่าจะพาพวกชาวนาไปทำความสะอาดยุ้งฉาง”

“แล้ว?”

“นั่นมันเป็นงานของบ่าว”

หลินไต้อวี้กลอกตา นี่สิความเย่อหยิ่งเช่นผู้สูงศักดิ์ตัวจริง เขาทำเหมือนทุกอย่างมันถูกต้องสมเหตุสมผลเสียจนนางไม่รู้ว่าจะว่าเขาอย่างไร

วันนี้เป็นวันเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่ ก่อนจะตากข้าวและปิดยุ้งฉาง หลินไต้อวี้ตั้งใจขอร้องท่านอาจี้ให้พานางมาดู และคุณชายรองอย่างจย่าเป่าอวี้ก็ขอตามมาช่วย แต่ผลกลับ…เป็นงานของบ่าว!

“แต่มันก็ดูน่าสนใจดี ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าพวกชาวนาเขาทำงานกันอย่างไร”

“สกุลจย่าเลี้ยงชาวนาเอาไว้เยอะเหมือนกัน” แม้จะบอกไม่ได้แน่ๆ ว่ามีจำนวนเท่าไร แต่หลินไต้อวี้เคยได้ยินพี่รองเหลียนเปรยๆ เรื่องนี้ตอนที่เขากำลังมั่วกามกับสาวใช้ที่นางไม่รู้จักชื่ออยู่ที่นอกเรือนพัก ทำให้นางได้ยินโดยบังเอิญ

“ใช่ แต่บ้านใหญ่เป็นคนดูแลทั้งหมด”

หลินไต้อวี้ชะงักก่อนนึกขึ้นมาได้ “จริง พี่สะใภ้หลี่หวันไม่เคยได้แตะเลย”

“นั่นเป็นเพราะพี่ใหญ่เสียแล้ว พี่สะใภ้ไม่มีแก่จิตแก่ใจทำอะไร ท่านแม่เลยมอบหมายเรื่องเบี้ยเลี้ยงรายเดือนของบ้านรองให้พี่สะใภ้รองเฟิ่งดูแล แล้วให้พี่รองเหลียนรับดูแลพวกชาวนาด้วย” ไกลออกไป จย่าเป่าอวี้เห็นพวกชาวนากำลังฝัดข้าวเปลือกกันอยู่ เขาจึงพูดเสียงงึมงำเหมือนกำลังพูดกับตนเองว่า “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด จวนหนิงกั๋วกงอาจต้องยกให้พี่สะใภ้รองเฟิ่งดูแล”

“เพราะเหตุใด”

การที่บ้านใหญ่รับเรื่องการจ่ายเบี้ยเลี้ยงรายเดือนของบ้านรองไปทำอาจพูดได้ว่าเป็นเพราะผู้ใหญ่สั่ง แต่การยื่นมือเข้าในจวนหนิงกั๋วกงไม่น่าจะง่ายเพียงนั้น

“เพราะเดิมคนที่ดูแลจวนหนิงกั๋วกงคือเข่อชิง แต่วันนี้เข่อชิงได้ชื่อว่าตายไปแล้ว ทั้งผู้อื่นในจวนต่างไม่สันทัดงาน ดังนั้น…”

“ประกอบกับจย่าหรงกับพี่สะใภ้รองเฟิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกัน สวรรค์…” หลินไต้อวี้ต่อคำได้เองและเผลอเบิกตามองจย่าเป่าอวี้ สมองของนางพลันมีแผนร้ายน่ากลัวอย่างที่สุดผุดขึ้นมา จังหวะนั้นนางรู้สึกตื่นตกใจอย่างมาก คล้ายเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฉินเข่อชิงจึงถูกทำร้าย แม้แต่ท่านยายและป้าสะใภ้รองก็ร่วมผสมโรงด้วย

นางเคยรู้จักกับยิ้มซ่อนดาบของป้าสะใภ้รองมาแล้ว หลินไต้อวี้จึงไม่อยากถูกพิษตายอยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่า และอันที่จริงดวงของนางก็ดีมาก หาไม่ ไม่ว่านางจะมีสักกี่ชีวิตก็คงไม่พอ

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพี่สะใภ้รองเฟิ่งกับจย่าหรงแอบลักลอบคบหากัน”

มือที่ถูกยุดไว้อย่างแรงทำให้หลินไต้อวี้สะดุ้งและช้อนสายตาขึ้นมอง เห็นจย่าเป่าอวี้มีสีหน้าตื่นตะลึงและรับไม่ได้ “คือ…ข้าไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้ว่าเรือนพักของตนเองฮวงจุ้ยดีเกินไปหรืออย่างไร ข้าเลยเคยเห็นพวกเขามาเจอกันบ่อยๆ”

พูดกันตามสัตย์จริงแล้ว คู่ของพี่รองเหลียนดูเหมือนคู่รักเทพเซียนเพราะทั้งสองคนต่างมีอำนาจหน้าที่อยู่ในคฤหาสน์สกุลจย่าจนอาจเรียกได้ว่าเป็นคู่สามีภรรยาที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดในสกุลจย่า แต่พี่รองเหลียนกลับมีคู่สวาทมากมายจนสิบนิ้วของหลินไต้อวี้ยังนับไม่ไหว และพี่สะใภ้รองเองก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะแม้แต่หลานชายนางก็ไม่ละเว้น ทำให้ญาติผู้สูงส่งต้องยอมศิโรราบแนบชายกระโปรง ซึ่งเรื่องทำนองนี้เคยทำให้คนต้องตายกันมาแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่ได้กระทำกันอย่างโจ่งแจ้ง หากหลินไต้อวี้เผลอไปเห็นเข้าเองโดยบังเอิญ

หากจะให้เล่ากันจริงๆ ก็ต้องบอกว่าดวงของนางดีมากๆ ถึงได้เห็นเรื่องลับๆ อะไรพรรค์นี้

สีหน้าของจย่าเป่าอวี้ฉายแววดุดัน “นี่คือสาเหตุที่เจ้าไม่ยอมกลับคฤหาสน์สกุลจย่าใช่หรือไม่”

“มันก็หลายอย่าง” เรื่องมั่วกามราคะในสกุลจย่าอาจเป็นเรื่องเล็กที่อาจไม่พูดถึง แต่เรื่องที่นางอดกินของอร่อยนี่สิที่เป็นเรื่องใหญ่

“ต่อไปเมื่อข้าเป็นประมุขของบ้านแล้วจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องทำนองนี้อีก”

“มีพี่สะใภ้รองอยู่ ต่อให้ท่านคิดอยากจะเป็นประมุขของบ้าน…ก็คงยาก” ใช่ว่าหลินไต้อวี้ใจร้ายถึงได้สาดน้ำเย็นใส่จย่าเป่าอวี้ แต่พี่สะใภ้รองเฟิ่งเป็นคนฉลาดอย่างน่ากลัว สามารถปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์ เพียบพร้อมในทุกสิ่ง และมีความละเอียดรอบคอบตามอย่างสตรี แต่กลับไร้น้ำใจยิ่งกว่าบุรุษ คิดจะต่อกรกับนาง…คงต้องไปฝึกมาสักหลายปีก่อนแล้วค่อยว่ากัน

“ดังนั้นข้าจึงต้องแต่งงาน”

“หา?”

“หลังแต่งงานที่ดินที่เคยให้บ้านใหญ่ช่วยดูจะต้องคืนกลับมาให้บ้านรอง รายได้เก็บเข้ากองกลางและรับเบี้ยเลี้ยงรายเดือนจากกองกลาง ไม่จำเป็นต้องดูสีหน้าบ้านใหญ่อีกต่อไป” จย่าเป่าอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น อึดใจต่อมาเขาก็พลันปรายตามามองนาง “คราวนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องดูสีหน้าพี่สะใภ้รองเฟิ่งอีก แต่ทำทุกอย่างได้ตามใจเลย”

หลินไต้อวี้มองหน้าเขาอย่างอึ้งๆ อยู่พักใหญ่อย่างพูดอะไรไม่ออก

เหตุผลนี้สามารถอธิบายได้แล้วว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องตามตื๊อนาง! พูดกันจริงๆ แล้วมันใช่ความรักเสียที่ใด นางไม่เห็นจะรู้สึกเลยสักนิด ที่แท้ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่เขาอยากได้อำนาจมาไว้ในมือต่างหาก

“คุณชายรองเป่า ใช่ว่าข้าอยากจะสาดน้ำเย็นใส่ท่าน แต่ท่านคงดีดลูกคิดเอาไว้เลิศเกินไป เพราะโลกมันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านวาดฝันเอาไว้หรอก” หลินไต้อวี้พูดเสียงหยัน “ท่านลองคิดถึงอายุของตนเองก่อน แค่พี่สะใภ้รองบอกว่า ‘เจ้าอายุยังน้อย’ นางก็ดูแลเรื่องการเงินของบ้านรองต่อไปได้แล้ว”

ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เด็กอายุแค่นี้กลับคิดเรื่องเช่นนี้ ซ้ำยังตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากเรื่องเสี่ยงตายของฉินเข่อชิงอย่างไม่ยอมให้มีอะไรเสียเปล่าด้วย

การที่จย่าเป่าอวี้อ่านสถานการณ์ได้ขาดเป็นเรื่องที่ดี แต่หลินไต้อวี้กลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะคงไม่มีใครชอบเป็นหมากให้ใคร

“ถ้าอยากจะได้อำนาจทั้งหมดกลับมาในทันทีคงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าอาศัยท่านย่าและชื่อเสียงบารมีจากบัณฑิตในสำนักศึกษาย่อมสามารถค่อยๆ ดึงอำนาจกลับมาได้” สีหน้าของจย่าเป่าอวี้เคร่งเครียดขึ้น “อย่างน้อยในช่วงที่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะต้องรีบเอาส่วนของข้ามาไว้ในมือให้ได้”

“อย่าบอกนะว่าแม้แต่ท่านยาย ท่านก็จะใช้ประโยชน์จากนางด้วย” นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว เขากลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ

“พอกันนั่นล่ะ” จย่าเป่าอวี้เอามือเท้าคางและมองออกไปไกลสุดสายตา “เรื่องของเข่อชิงทำให้ข้าตระหนักถึงความโหดเหี้ยมของพี่สะใภ้รองเฟิ่ง ข้าไม่เคยสังเกตเห็นถึงความใจร้ายใจดำของนางมาก่อน ขืนปล่อยให้นางเป็นใหญ่ คนบ้านรองก็อย่าได้คิดจะอยู่ดีมีสุขกันเลย”

ไหนๆ ก็ต้องแต่งงาน เขาย่อมอยากแต่งกับคนที่คุ้นเคยกันมากกว่าให้มารดาสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องแต่งงานของเขา จย่าเป่าอวี้จะไม่ยอมให้มารดายัดเยียดญาติของตนเองเข้ามาในจวนอีกแล้ว

หลินไต้อวี้บังเอิญเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด โดยเฉพาะภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นคนขี้กลัวแต่ความจริงแอบซ่อนเปลวไฟรุนแรงเอาไว้ หลังแต่งงานการกำราบนางคงเป็นเรื่องสร้างความบันเทิงอย่างหนึ่ง

“หึ คนเก่งจริงต้องหาเงินด้วยตัวเองสิ อาศัยสมบัติของบรรพบุรุษมันจะแน่ตรงที่ใด ต่อให้บ้านรองแย่งอำนาจกลับมาได้แล้วจะอย่างไร” ถ้าอาศัยตนเองสร้างอาชีพสักอย่างขึ้นมาแล้วยังต้องไปแย่งชิงกันอีกหรือ

“แต่เดิมสมบัติของบรรพบุรุษก็…” จย่าเป่าอวี้ชะงัก นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกคนข้างตัวห้ามไว้ ทำให้ต้องหันไปมองอย่างงงๆ

“ปล่อยพวกเขาขโมยไปเถอะ ถ้าคนเราหาเลี้ยงตัวเองได้มีหรือต้องขโมย และที่ขโมยไปก็แค่ของกินเล็กๆ น้อยๆ ถือเสียว่าทำทานให้เขาแล้วกัน” หลินไต้อวี้เห็นเด็กมาขโมยข้าวเปลือกนานแล้ว เพียงกำลังมองอยู่เงียบๆ ว่าเขาจะเอาไปมากน้อยเพียงใด

“ในความคิดของภรรยา อะไรที่เรียกว่าถ้าคนเราหาเลี้ยงตัวเองได้มีหรือต้องขโมย เห็นอยู่ว่าเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ยอมทำงานทำการ” จย่าเป่าอวี้แค่นเสียงอย่างรับไม่ได้

หลินไต้อวี้มองเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง “ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ยอมทำการทำงานหรือไม่ แต่ท่านบอกได้หรือไม่ว่าสกุลจย่าของท่านทำอะไรบ้าง”

“เจ้า!”

“ช่วยไม่ได้ ท่านเกิดมาในครอบครัวเศรษฐี ไหนเลยจะเคยลิ้มรสความอดอยากหิวโหย และยิ่งไม่มีทางเข้าใจว่ายังมีคนที่กินไม่อิ่ม สวมไม่อุ่นทำให้ต้องยอมเสี่ยง”

“เจ้าพูดเช่นนี้แสดงว่าแค่เกิดเป็นคนจนก็มีสิทธิ์ทำเรื่องชั่วร้ายโดยไร้ความผิด?” จย่าเป่าอวี้ขัดใจที่หลินไต้อวี้ชอบใช้คำพูดเหน็บแนมมาสั่งสอนเขา แต่เขากลับเถียงนางไม่ได้เลย

“ไม่ใช่แน่นอน ไม่ว่าจะจนหรือรวย ทำผิดก็คือผิด สำหรับข้าการขโมยของเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่ความผิดมหันต์ ข้าสามารถลืมตาข้างหนึ่ง หลับตาข้างหนึ่งได้” หลินไต้อวี้คล้ายจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้จึงยิ้มอย่างสดใส “เรื่องนี้ก็เหมือนสกุลจย่าเปิดยุ้งฉางแจกทาน เพียงแต่ข้าไม่ได้มือเติบอย่างสกุลจย่าที่แจกรวดเดียวหนึ่งตำลึงเงินหรือข้าวสารหนึ่งโต่ว ข้าวเปลือกที่เด็กผู้นั้นขโมยไปเมื่อครู่เกรงว่าคงไม่ถึงครึ่งโต่วด้วยซ้ำ คุณชายรองเป่าคงไม่เอาเรื่องกับของเล็กน้อยแค่นี้กระมัง”

คำค่อนใหม่มาแคะหัวใจเขาอีกครั้ง ทำให้จย่าเป่าอวี้รู้สึกอับอายแต่ทำอะไรไม่ได้

“เรื่องเกิดเป็นลูกเศรษฐีไม่ใช่ความผิดของข้า” เหตุใดถึงต้องเอาเรื่องชาติกำเนิดของเขามาเป็นประเด็นนักนะ ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นคนทำเสียหน่อย!

“นั่นก็จริง แต่มันไม่ใช่เหตุผลที่ท่านเกิดเป็นลูกเศรษฐีแล้วจะไม่เข้าใจความลำบากของคนจน นี่เป็นความผิดของท่าน”

“ไม่มีผู้ใดสอนข้านี่!” ผู้ใดจะสอนเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเขาให้เขารู้

“ไม่มีคนสอนแล้วคิดเองไม่เป็นหรือ”

“เจ้า!”

“ท่านต้องรู้สิว่าการขาดแคลนไม่ใช่เรื่องดี เพราะใจคนสามารถถูกสภาพแวดล้อมทำให้บิดเบี้ยวไปได้ง่ายๆ แต่การได้รับความรักมากเกินไปก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะบางครั้งการรักไม่ถูกทางอาจทำให้ความรักกลายเป็นทำร้าย” หลินไต้อวี้หมายถึงตัวเขากับจย่าหวน เนื่องจากพวกเขาอยู่ในสภาพแวดล้อมเหมือนกัน แม้จะได้รับการปฏิบัติแตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็นพวกไม่รู้จักกฎเกณฑ์เหมือนกัน

จย่าเป่าอวี้จ้องหน้าหลินไต้อวี้เนื่องจากไม่เคยมีใครกล้าชี้หน้าด่าเขาเช่นนี้มาก่อน แต่การที่เขารู้จักอายและโกรธย่อมแสดงให้เห็นว่าเขายังมีความรู้สึก

ช่างเป็นสตรีที่น่าชังและน่ารักในเวลาเดียวกันจริงๆ ทำให้เขาไม่อาจมองเมินนางไปได้เลย

“เจ้าบอกมาสิว่าข้าควรทำอย่างไร”

“ท่านอยากจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น แค่อย่าลากข้าลงน้ำไปด้วยก็พอ”

นั่นมันชีวิตของเขาไม่ใช่ของนาง นางแค่สนใจเรื่องของตนเองก็พอ เรื่องอะไรต้องไปยุ่งเรื่องของเขาด้วย

“จะชั่วจะดีอย่างไรข้าก็เป็นว่าที่สามีของเจ้า เจ้าไม่คิดจะให้คำแนะนำหน่อยหรือ”

“ข้าไม่มีอะไรจะแนะนำ ท่านดูแลตัวเองไปเถอะ ข้าเพียงรู้สึกว่าการสู้กับคนในบ้านเทียบไม่ได้กับการออกไปสู้กับคนนอกบ้านอย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ยิ่งถ้าโค่นล้มขุนนางโฉดชั่วได้ ต่อไปย่อมไม่มีเด็กมาขโมยข้าวเปลือกข้าอีก” หลินไต้อวี้พูดไปเรื่อยอย่างไม่คิดอะไร “เมื่อไม่มีขโมยแล้ว เราย่อมไม่ต้องขุ่นใจกันเช่นเมื่อครู่ จริงหรือไม่”

ขนตายาวเฟื้อยของจย่าเป่าอวี้หลุบลง ไม่เอ่ยคำใด ทำให้หลินไต้อวี้อดพูดไม่ได้ว่า “ท่านคงไม่ถึงขนาดคิดไม่ออกว่าต้องสู้อย่างไรถึงจะไม่มีใครกล้ามาขโมยของของท่านจนต้องมาให้ข้าสอนหรอกนะ” เขาอุตส่าห์ได้คลุกคลีตีโมงกับเหล่าปีศาจมาแล้ว เชี่ยวชาญเรื่องนอกรีตถึงเพียงนี้คงไม่ต้องให้นางชี้บอกกระมัง

จย่าเป่าอวี้ถลึงตาใส่นางอย่างฉุนๆ ก่อนจะโค้งริมฝีปากเป็นรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “ตกลงว่าเจ้ารับปากเป็นภรรยาของข้าแล้ว?”

หลินไต้อวี้ชะงัก นัยน์ตาที่เปล่งประกายสดใสหรี่ลง เจ้าปีศาจสารเลว หลอกล่อนางได้แล้วมันน่าชอบใจนักหรือ ถึงได้ยิ้มอย่างลำพองเช่นนั้น สมใจแล้วใช่หรือไม่!

รอยยิ้มของจย่าเป่าอวี้แย้มกว้าง หางตาเหลือบไปเห็นคนสองคนเดินอยู่บนคันนาอีกคันหนึ่ง เขาจึงลดเสียงเบาลง “นั่นเข่อชิงกับพี่จี้ของเจ้า”

หลินไต้อวี้จึงเบือนหน้าไปดู เห็นพวกเขาสองคนกำลังเดินเคียง พูดคุยและยิ้มให้แก่กัน ราวกับคู่สร้างที่สวรรค์เสกมา เมื่อพิศดูอย่างละเอียดแล้วจะพบว่าพวกเขามีใบหน้าที่คล้ายคลึงประดุจเป็นเนื้อคู่กันอยู่หลายส่วน

“ดูท่าบุรุษจะมีใจ สตรีเสน่หาเหมือนกับคู่เรา” จย่าเป่าอวี้กล่าวพลางโอบร่างหลินไต้อวี้เข้ามาในอ้อมแขนอย่างถือวิสาสะ

นางชะงักนิดหนึ่งก่อนผลักเขาออก “นี่! ผู้ใดอนุญาตให้ท่านกอดข้า”

เจ้าเด็กน่ารังเกียจ! เพิ่งจะอายุเท่าไรแต่กลับทำเจ้าชู้เลียนแบบผู้ใหญ่เสียแล้ว

หลินไต้อวี้ผุดลุกขึ้นอย่างโกรธๆ ใจนึกอยากเตะจย่าเป่าอวี้ให้กลิ้งลงไปในนา เสียดายที่ร่างของนางเล็กกระจ้อยร่อยเกินไปทำให้มีแรงไม่มากพอ

“ไต้อวี้”

“เข่อชิง” หลินไต้อวี้หันไปหาคนช่วย นางเข้าไปดึงตัวฉินเข่อชิงแล้วผลักจี้เฟิ่งปาออกไป “พี่จี้ คนผู้นั้นบอกว่าเขาอยากช่วยงาน ท่านรีบพาเขาไปช่วยเลยนะ อย่าปล่อยให้มีเวลาว่าง”

จี้เฟิ่งปามองหลินไต้อวี้ยิ้มๆ อย่างเอาใจแล้วพาจย่าเป่าอวี้จากไป ไม่รู้ว่าคนสองคนคุยอะไรกัน จย่าเป่าอวี้ถึงยอมเดินตามเขาไปอย่างว่าง่าย

หันมามองรอยยิ้มยั่วแหย่ที่ฉินเข่อชิงส่งมาให้ตน หลินไต้อวี้ต้องปิดเปลือกตาลงอย่างอ่อนใจ “พี่เข่อชิง ท่านอย่าคิดเหลวไหลเชียวนะ” ยิ้มแบบน่าระแวงเช่นนั้น จะให้นางเดาไม่ออกก็คงยาก

“ข้ารู้สึกว่าเจ้ากับคุณชายรองเป่าเหมาะสมกันมาก”

“เหมาะกันตรงที่ใด เขาดีดลูกคิดให้เป็นอย่างใจตนเองเก่งจะตายไป”

จากนั้น นางก็เล่าเรื่องการคาดการณ์ที่จย่าเป่าอวี้ประเมินออกมาในเบื้องต้นให้ฉินเข่อชิงฟัง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าแม้จย่าเป่าอวี้จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเด็กหนุ่มแต่แท้จริงในใจเป็นปีศาจร้าย ไหนเลยจะรู้ว่าแม้ฉินเข่อชิงจะรู้สึกเหนือคาด แต่กลับไม่เป็นอย่างที่หลินไต้อวี้คิด

“ที่แท้เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติเหมือนกัน” ฉินเข่อชิงงึมงำเสียงเครียด

“สรุปได้ว่ามือมืดที่อยู่เบื้องหลังเรื่องของท่านคือพี่สะใภ้รองเฟิ่งหรือ”

ฉินเข่อชิงยิ้มอย่างปลงอนิจจัง “ก็ไม่ทั้งหมด แต่เรื่องนี้สำหรับนางย่อมมีแต่ได้ ไม่มีเสีย”

“เช่นนั้นท่านดูเอาเถอะว่าถ้าข้าแต่งเข้าสกุลจย่าจริง ยังจะได้อยู่ดีมีสุขอีกหรือ” หลินไต้อวี้คิดอยู่เสมอว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเบื่อและอับปัญญา ช่างไม่รู้บ้างเลยว่าชีวิตหนึ่งดุจห้วงฝัน โชคมั่งคั่งคือสายหมอก กว่าสิบปีจึงแจ้งว่าลวงหลอก จะกองกอดปีติสุขได้อย่างไร ซ้ำนี่ยังเป็นการแก่งแย่งชิงดีกันระหว่างคนในครอบครัวอีกด้วย

นี่มิใช่แค่การก้าวล้ำล่วงเกินกัน ถ้าจะให้พูดชัดกว่านั้นคือการหาเรื่องมาทำให้ชีวิตของตนเองไม่เป็นสุขมากกว่า

“ไม่เหมือนกันหรอก ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นแขก ไม่มีอำนาจใดในสกุลจย่า แต่ถ้าเจ้าแต่งงานกับคุณชายรองเป่า เจ้าย่อมเป็นนายหญิงรองของบ้านรอง การยึดอำนาจของบ้านรองคืนมาอย่างที่คุณชายรองเป่าบอกย่อมเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสม หวังซีเฟิ่งย่อมหมดสิทธิ์ยื่นมือเข้ามาในบ้านรองอีก” ฉินเข่อชิงนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนเอ่ย “นอกจากนี้คุณชายรองเป่าเป็นคนอาภัพ หากเจ้าตามเขากลับไป การช่วยเขาย่อมเท่ากับช่วยชีวิตเขาด้วย”

“เขาอาภัพตรงที่ใดกัน” จย่าเป่าอวี้ถูกตามใจจนเสียคน ในคฤหาสน์สกุลจย่ายังจะมีใครโชคดีมีวาสนากว่าเขาอีก

“ไต้อวี้ สำหรับคนที่ต้องการกุมอำนาจในบ้านย่อมชิงชังสิ่งใดมากที่สุด”

“ย่อมต้องเป็นคนที่ได้รับความรักใคร่โปรดปรานมากที่สุด…” หลินไต้อวี้ชะงักอย่างกะทันหัน นางกะพริบตาปริบๆ “ความหมายของท่านคือพี่สะใภ้รองคิดจะกำจัดเป่าอวี้หรือ เป็นไปไม่ได้ นอกจากนางคิดจะเปิดศึกกับท่านยาย”

“สมมติว่าถ้าคุณชายรองเป่าตาย ผู้ที่เสียใจจนไม่อยากมีชีวิตอยู่จะเป็นใครเล่า”

“แน่นอนว่าต้องเป็นท่านยายกับป้าสะใภ้รอง…” ดวงตาของหลินไต้อวี้เบิกกว้างอย่างไม่กล้าเชื่อว่าภายในจะมีเรื่องราวน่ากลัวซุกซ่อนเอาไว้มากมายถึงเพียงนี้ มันน่ากลัวเสียจนนางตัวสั่นเทิ้ม

หากจย่าเป่าอวี้ตาย ท่านยายกับป้าสะใภ้รองจะตายตามแน่ เมื่อนั้นพี่สะใภ้รองย่อมสามารถยึดตำแหน่งนายหญิงของสกุลจย่าได้อย่างถูกต้องชอบธรรม…นี่มันมีอะไรผิดพลาดหรือไม่ เส้นเรื่องมันน่าจะดำเนินไปนานกว่านี้มิใช่หรือ แม้จะไม่มีใครบอกได้ว่าเพราะเหตุใดท่านยายถึงลำเอียงรักบ้านรองมากกว่า หรือแม้บ้านใหญ่จะได้สืบทอดบรรดาศักดิ์แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเรือนหลักกลับเป็นบ้านรอง และไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้พี่สะใภ้รองคิดการใหญ่หมายจะแย่งชิงอำนาจ แต่หลินไต้อวี้คิดว่าไม่น่าจะหลุดไปจากสาเหตุพวกนี้

ความยุ่งเหยิงในคฤหาสน์สกุลจย่าครึ่งหนึ่งเกิดจากน้ำมือของท่านยายเอง

เหตุใดนางจึงกระโดดเข้ามาในนิทานเรื่องความฝันในหอแดงภาคน่าสะพรึงนี้นะ เวลานี้หลินไต้อวี้ยังคงคิดไม่ตกว่าเพราะเหตุใดเนื้อเรื่องถึงไม่ดำเนินไปตามต้นฉบับ ทำให้นางไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย!

“ไม่ว่าอย่างไรข้ามีความรู้สึกว่าคุณชายรองเป่าเป็นคนที่เหมาะจะฝากชีวิตเอาไว้ด้วยผู้หนึ่ง”

“เรื่องนี้มิผิด แต่ข้าเกลียดที่เขาเห็นข้าเป็นหมากตัวหนึ่งของเขา” แม้จะรู้ว่าจย่าเป่าอวี้ไม่มีทางทำร้ายนาง แต่มีคนที่ต้องตกเป็นหมากคนใดบ้างจะบอกว่า ‘ยินดีให้ท่านใช้งานข้าได้อย่างเบิกบานใจ’

“ไม่ว่าแผนของเขาจะเป็นอะไร แต่เขาช่วยข้าเอาไว้ คนที่ยอมเสี่ยงเข้าไปช่วยข้าออกมาจากกองเพลิงจะย่ำแย่ถึงเพียงนั้นได้หรือ”

“ข้ารู้ เพราะอย่างนี้ข้าถึงไม่ได้รังเกียจเขา” เพียงแต่อดว่าให้เขาขุ่นใจเล่นไม่ได้เท่านั้น

“แสดงว่าเจ้าตั้งใจว่าจะออกเรือน?”

“อืม ถึงอย่างไรข้าคงไม่อาจทำลายเรื่องดีของท่านได้” ได้แต่เสียดายอัจฉริยชนอย่างพี่จี้และแอบจองตัวเขาไว้ว่าเมื่อถึงเวลานางจะพาเขากลับไปแดนเซียนด้วย

“เรื่องดีอะไรหรือ”

“เรื่องดีของท่านกับพี่จี้อย่างไรเล่า สบายใจได้ ข้าไม่มีทางทำลายบุพเพของผู้ใดหรอก” หลินไต้อวี้รู้สึกสงสารฉินเข่อชิง ดังนั้นขอแค่พี่จี้ไม่สนใจเรื่องความบริสุทธิ์และทั้งสองคนยินดีอยู่คู่เคียงกัน หลินไต้อวี้ย่อมยินดีไปกับพวกเขา

ฉินเข่อชิงนิ่งงันไป ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะเบาๆ

หลินไต้อวี้เอียงหน้าคอยให้อีกฝ่ายพูดต่อ แต่ฉินเข่อชิงเอาแต่หัวเราะอย่างเดียวจนหลินไต้อวี้มุมปากกระตุกอยู่หลายครั้ง ช่างเถอะ ในเมื่อฉินเข่อชิงไม่อยากเล่า หลินไต้อวี้ก็คร้านที่จะซัก แม้ฉินเข่อชิงจะปักปิ่นไม้สวมกระโปรงผ้าหยาบ ก็ไม่อาจบดบังรัศมีความงามสง่าที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของนาง ทำให้เวลายืนอยู่ข้างพี่จี้ ทั้งสองคนดูเหมาะสมกันเป็นที่สุด

“ข้าจะช่วยท่านจัดการเอง” หลินไต้อวี้กล่าวอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ

ผลคือฉินเข่อชิงระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น เป็นเสียงหัวเราะที่สดใสปานระฆังเงิน

จริงๆ เลย…ตกลงหัวเราะเรื่องอะไรกันแน่นะ

 

หลายวันต่อจากนั้นหลินไต้อวี้ยิ่งตกอยู่ในสถานการณ์พระพุทธรูปหนึ่งจั้งสองฉื่อ ลูบเศียรไม่ถึง

เพราะวันที่คุยกันนางกลับไปเล่าเรื่องข้อเสนอของจย่าเป่าอวี้ให้จี้ไหวฟัง จี้ไหวจึงรีบไปไหว้วานให้คนของจย่าเป่าอวี้ช่วยหาที่ดินพร้อมบ้านอีกหลายหลังที่จินหลิงให้ทันที เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะย้ายคฤหาสน์สกุลหลินที่หยางโจวไปที่จินหลิง ซึ่งหลินไต้อวี้ไม่ได้คัดค้าน

ล้อเล่นน่ะ นางจะคัดค้านไปด้วยเหตุใด การมีครอบครัวมารดาเป็นที่พึ่งเช่นนี้ ถ้าการอยู่คฤหาสน์สกุลจย่าไม่เป็นไปอย่างใจคิด การมีทางหนีอยู่ใกล้ๆ ย่อมดีกว่า

แต่จี้ไหวไม่ได้คิดจะขายคฤหาสน์สกุลหลินที่หยางโจวทิ้ง ตรงกันข้ามเขากลับทิ้งคนรับใช้จำนวนหนึ่งเอาไว้และให้ฉินเข่อชิงพักอยู่ที่นี่ ถ้ามีเวลาว่าง นางสามารถไปช่วยดูแลที่ดินได้

หลินไต้อวี้รู้สึกว่าความคิดนี้ไม่เลว แต่ที่น่าแปลกคือ “เหตุใดพี่จี้จึงจะไปจินหลิง”

จี้เฟิ่งปามองหน้านางอย่างงงๆ “คุณหนูอยู่จินหลิง ข้าย่อมต้องอยู่ที่จินหลิงด้วย เพราะท่านพ่อวางแผนให้ข้าติดตามไปดูแลคุณหนูที่คฤหาสน์สกุลจย่าขอรับ”

หลินไต้อวี้ได้ยินแล้วตาเป็นประกาย รู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ แต่…“ปัญหาคือท่านติดตามข้าไปจินหลิงแล้ว พี่เข่อชิงจะทำอย่างไร”

“นางก็อยู่ที่หยางโจวอย่างไรเล่าขอรับ” ชายหนุ่มพูดอย่างเป็นเหตุเป็นผล

“เช่นนี้พวกท่านสองคนมิต้องแยกกันอยู่หรือ” เช่นนี้นางมิเท่ากับตีกระบองแยกคู่ยวนยาง หรือ

“คุณหนูคิดไปถึงที่ใดแล้ว ข้ากับนางไม่ได้เป็นอย่างที่คุณหนูคิดนะขอรับ” จี้เฟิ่งปาเม้มปาก ท่าทางเหมือนกำลังกลั้นหัวเราะทำให้หลินไต้อวี้ยิ่งสับสน

ไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วเป็นอย่างใด

หรือทั้งหมดเป็นนางนึกวาดภาพเหลวไหลว่าพวกเขาเป็นคู่กันไปเอง แท้จริงแล้วทั้งสองคนไม่ได้มีความรู้สึกฉันชู้สาวต่อกัน เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ให้นางยืมตัวพี่จี้ ทำให้หลินไต้อวี้อับจนหนทางจนต้องตัดสินใจกลับคฤหาสน์สกุลจย่าไปเช่นนี้!

หลินไต้อวี้คิดในใจว่าถ้านางยกเลิกการแต่งงานตอนนี้จย่าเป่าอวี้จะต้องบีบคอนางตายคามือแน่ๆ แต่…ช่างเถอะ! ถึงอย่างไรนางก็ตกลงกับจย่าเป่าอวี้เอาไว้แล้ว ต่อไปเรื่องอยู่ดีกินอร่อยล้วนต้องอาศัยเขา เวลานี้ปล่อยให้เขาอวดเบ่งไปสักพักก็คงไม่เป็นอะไร

เมื่อกำหนดแผนได้แล้ว หลินไต้อวี้ก็คร้านจะคิดมากอีก ถึงอย่างไรเรื่องการซื้อขายที่ดินและบ้านล้วนมีจี้ไหวคอยจัดการ ส่วนเรื่องจุกจิกจิปาถะในบ้านล้วนมีจี้เฟิ่งปาคอยสะสาง เวลานี้หลินไต้อวี้อยากแต่จะกินของอร่อยในเมืองหยางโจว นางจึงลากเสวี่ยเยี่ยนกับฉินเข่อชิงไปตระเวนหาของอร่อยๆ กินตั้งแต่เช้าจรดค่ำ

ดูสิๆ นี่คือสามเศียรแห่งงานเลี้ยงเมืองหยางโจว…หัวปลาหม้อไฟ หัวหมูหัน กับหัวสิงโตเนื้อปู! มันปูสดใหม่อัดแน่น หัวปลาเนื้อเด้งนุ่มและเป็นมันวาวยกมาพร้อมเตาอย่างเอาใจใส่ในรายละเอียด ใช้วิธีการปรุงเฉพาะตัวให้คงรูปลักษณ์เดิมแต่กระดูกกลับเปื่อยยุ่ย ยิ่งพอน้ำปรุงรสซึมเข้าไปในเนื้อจะช่วยเพิ่มรสสดใหม่ หอมยวนใจให้มากยิ่งขึ้น การตกแต่งประณีตบอกถึงฝีมือการใช้มีดที่เฉียบขาด เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมอย่างยิ่ง!

ตอนนางมีวาสนาได้เจอกับพ่อครัวใหญ่ สองตาของหลินไต้อวี้เปล่งประกายแววชื่นชมอย่างที่สุด นางมองจนพ่อครัวใหญ่อายุเกือบครึ่งร้อยหน้าแดงก่ำทันตา

“พอแล้วน่าสะใภ้รอง” จย่าเป่าอวี้ทำหน้าตึงใส่นาง พยายามบังคับให้นางมองหน้าเขา

แต่ก็เป็นเหมือนเดิมคือไฟร้อนมอดหมด หิมะตกเกลื่อนให้ความรู้สึกวังเวงยิ่งกว่าปลายฤดูใบไม้ผลิที่ด้านนอก

“เหตุใดท่านต้องมาคอยตามข้าด้วย” หลินไต้อวี้ถามเสียงเย็น

เห็นอยู่ว่านางไม่ได้เชิญ แต่จย่าเป่าอวี้กลับทำเหมือนแผ่นกาวที่พอนางเดินไปที่ใดเป็นต้องตามไปด้วย…หน้าตานางเหมือนแม่นมหรือ

“เวลาพวกสตรีออกนอกบ้าน การตามมาดูแลเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน” สีหน้าของจย่าเป่าอวี้แลดูเยือกเย็นกว่านาง น้ำเสียงก็เย็นชากว่านาง ความเคร่งขรึมจริงจังก็อยู่ในระดับเดียวกันกับนาง

หลินไต้อวี้กลอกตา แต่เพราะอาหารเลิศรสอยู่ตรงหน้านางจึงไม่คิดอยากต่อปากต่อคำกับเขาเพื่อที่ท้องไส้จะได้ไม่ต้องพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย แต่ต่อไปพวกเขาต้องอยู่อย่างตัวติดกันอีกนาน เหตุใดเวลานี้เขาจึงไม่ให้นางเป็นอิสระสักนิด ใจคอจะไม่ให้ผู้อื่นได้มีทางรอดบ้างเชียวหรือ

ดูท่าจย่าเป่าอวี้จะไม่ปล่อยให้หลินไต้อวี้มีทางรอดจริงๆ เพราะก่อนที่นางจะกลับจินหลิง นางเป็นต้องมีเขามากินของอร่อยด้วยทุกมื้อ ทำให้หลินไต้อวี้หงุดหงิดไปตลอดการเดินทางกลับจนไม่อยากพูดคุยกับจย่าเป่าอวี้อีก

ทันทีที่ไปถึงจินหลิง คณะเดินทางไม่ได้กลับเข้าคฤหาสน์สกุลจย่าทันที แต่ไปที่บ้านที่หลี่กุ้ยจัดเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว หลินไต้อวี้เข้าอยู่ได้โดยไม่เรื่องมากและมอบหมายงานทุกอย่างให้จี้ไหวจัดการ ได้ยินว่าเขาต่อรองราคาหนักมาก และที่ดินอีกหลายแห่งก็ไม่รอดไปจากทักษะการเจรจาอย่างมีจุดยืนแน่วแน่แต่นุ่มนวลของเขา ทำให้สามารถกดราคาซื้อลงไปได้ถึงครึ่งหนึ่ง

แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่หลินไต้อวี้ให้ความสนใจ เพราะสิ่งที่นางให้ความสนใจคือ…

“ท่านยังไม่กลับคฤหาสน์สกุลจย่าอีกหรือ” คนผู้นี้ถึงบ้านแล้วไม่ยอมเข้าบ้าน ช่างเป็นลูกหลานอกตัญญูของสกุลจย่าจริงๆ

“คอยเจ้า”

“คอยข้าด้วยเหตุใด”

“กลับไปแต่งงานที่คฤหาสน์สกุลจย่า”

“ตอนนี้ข้ายังอายุไม่ถึงสิบสองด้วยซ้ำนะ!” จะรีบร้อนอะไรกันนักหนา ถึงนางบอกว่าจะแต่งแต่ก็ไม่ใช่แต่งตอนนี้ ขนาดเล่นตุ๊กตาแต่งงานยังไม่เล่นกันเช่นนี้เลย!

“ไม่เป็นไร แต่งล่วงหน้าได้”

“หา?”

นี่เขาจริงจังหรือล้อเล่นกันนี่!

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

Jamsai Editor: