บทที่ 3
ลลิตาเพิ่งจะเข้าใจนิรุจอย่างแจ่มแจ้งก็ตอนนี้เอง
เพื่อนของเธอพูดอยู่หลายต่อหลายครั้งว่าภีมมีลักษณะนิสัยไม่ค่อยจะอ่อนโยนนัก ไหนจะยังเย็นชา เข้าใจยาก เริ่มแรกลลิตาเพียงรับฟังอย่างไม่เห็นจริงจังอะไร ความจริงแล้วบางครามนุษย์เราก็มีมุมที่ยากจะอธิบายกันทั้งนั้นหากจะว่าไป และอาจเพราะบางขณะยังติดค้างอยู่ในความรู้สึกแปลกประหลาดซึ่งเอาแต่ผลักดันริ้วรางกระเพื่อมไหวในอก กระทั่งได้มาเริ่มทำงานใกล้ชิดชายหนุ่มยามนี้คำกล่าวของนิรุจจึงค่อยๆ กระจ่างขึ้นมา ตอกย้ำให้เธอรู้แล้วว่ามันไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อย…
ดวงตากลมโตกวาดมองพื้นที่ราบเรียบท่ามกลางอ้อมกอดของหุบเขาสงบเงียบกับมีแต่เสียงป่าวิเวกแว่วจากไกลๆ กอหญ้าหางกระรอกลู่ไหวตามพระพายพัดพา เจือกลิ่นอ่อนจางจากดอกไม้ที่เธอไม่รู้จัก และเยื้องกันนั้นร่างสูงราวสลักสร้างของภีม ภานุวรรธน์ ณ อยุธยาก็กำลังกวาดแขนบรรยายพลางรับฟังชายชราท่าทางน่าเกรงขามอย่างขะมักเขม้น ถ้อยคำของเขาเว้นจังหวะชัดเจนน่าฟังจนลลิตาต้องกำเครื่องอัดเสียงในมือขณะค่อยๆ ขยับใกล้เพื่อให้แน่ใจว่าบันทึกบทสนทนาได้ชัดเจนครบถ้วน พลางนึกย้อนไปยังเหตุการณ์เมื่อวานนี้เพียงลำพัง…
เช้าตรู่วันแรกของการทำงาน ไม่มีคำทักทาย ไม่มีการปราศรัยเกริ่นนำ ภีมเดินเข้ามาเอ่ยกับหญิงสาวซึ่งเพิ่งจะมาถึงโต๊ะทำงานหน้าห้องของเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
‘จองตั๋วเครื่องบินไปเชียงรายให้ผมด้วยสองใบ’
‘ค่ะ ให้ลงชื่อว่าใครบ้างคะ’ ลลิตาเตรียมสมุดจดทันที กระตือรือร้นอย่างคนเป็นเด็กใหม่ไฟแรง
‘คุณกับผม’
‘คะ?’
ดวงตากลมโตตวัดขึ้นสบคนพูดด้วยความงงงวยขณะที่อีกฝ่ายมองเธอกลับอย่างเงียบเชียบครู่ขณะหนึ่ง ราวกับเขาเองก็กำลังเรียบเรียงวิธีการปฏิสัมพันธ์กับคนที่ยังก้ำกึ่งระหว่างรู้จักกับแปลกหน้า ก่อนชี้แจงราบเรียบ
‘ผมจะขึ้นไปบรีฟงานกับลูกค้าที่นั่น…ก็พอดีว่าจะแวะขึ้นไปเยี่ยมด้วย’
ลลิตาโคลงหัว รับคำอย่างว่าง่ายแม้จะไม่ค่อยเข้าใจประโยคหลังพลางถามต่อ ‘เดินทางวันไหนคะ’
‘พรุ่งนี้’
‘คะ?’ คนจดโน้ตเผลออุทานอีกครั้ง
‘ใช่ พรุ่งนี้ ปุบปับไปหน่อยหวังว่าคุณจะเข้าใจ เรื่องที่พักไม่ต้องห่วง จัดการแค่ตั๋วเครื่องบินก็พอ’ เอ่ยพลางพยักหน้าเป็นอันว่าให้เธอตกลงตามนี้ก่อนเดินเข้าห้องทำงานไป ทิ้งไว้แต่เพียงร่างระหงที่ยังคงยืนกะพริบตาปริบๆ ท่ามกลางความเงียบใบ้ของบรรยากาศ ภีม ภานุวรรธน์ ณ อยุธยาต้อนรับเลขาฯ ของเขาด้วยฉากเปิดเช่นนี้เอง
แล้วหลังจากนั้นเป็นอย่างไรน่ะหรือ เลขาฯ มือใหม่อย่างเธอก็ต้องกระวีกระวาดจองตั๋วเครื่องบิน เพื่อจะติดสอยห้อยตามคนเป็นเจ้านายทั้งๆ ที่ยังไม่ทันได้เรียนรู้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันทันน่ะสิ…
ลลิตากระหวัดสติกลับคืนยังปัจจุบันพลางเหลือบมองความว่างเปล่าเบื้องหน้าตนก่อนลอบระบายลมหายใจ เพราะบริษัทนี้เพิ่งจะเปิด เธอเองก็เป็นเลขาฯ คนแรกของเขาจึงไม่อาจเรียนรู้งานกับใครได้นอกจากก้าวตามเจ้าของร่างสูงสง่าคนนั้นเพื่อสังเกตรายละเอียดต่างๆ ด้วยตัวเอง เอาเถอะ กระนั้นก็ใช่ว่าลลิตาจะสามารถอิดออดต่อสิ่งใดได้ โชคดีแค่ไหนแล้วที่เขารับเธอเข้าทำงาน
“สรุปแล้วคุณปู่อยากเปลี่ยนพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นเรือนกระจกกลางสวนดอกไม้ใช่มั้ยครับ”
“ใช่…เป็นของขวัญครบรอบวันแต่งงาน” ชายชราระบายยิ้ม ดวงตาซึ่งผ่านโลกมาเนิ่นนานทอดมองพื้นที่โล่งกว้างด้วยประกายเปี่ยมสุข
ลลิตาลอบกวาดสายตาออกไปยังริ้วพวงของหญ้าหางกระรอกเบื้องหน้าอีกครั้ง สดับฟังพลิ้วพร่างของเรื่องราวความรักที่กำลังจะสยายปีกคลุม ก่อนได้ให้ระบายยิ้มโดยไม่รู้ตัว…ลูกค้าของคุณภีมรายนี้ถูกชายหนุ่มเรียกอย่างสนิทสนมว่า ‘คุณปู่เหนือ’ เขาคือมหาเศรษฐีเจ้าของไร่ชา ปางไม้ และอีกมากมายมหาศาลอันเกิดจากผืนดินกว้างใหญ่ในครอบครอง ยิ่งกว่านั้นก็ยังเป็นคู่สมรสของ ‘คุณย่าตุ่น’ น้องสาวแท้ๆ ของหม่อมราชวงศ์กฤษสุวรรณ ภานุวรรธน์ ผู้เป็นปู่ของคุณภีมอีกด้วย กับเหตุผลประการนี้นี่เองที่อธิบายคำพูดก่อนหน้านี้ของชายหนุ่มได้ชัดเจน
ภีมมาทำงานและเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ของเขาในคราวเดียว
“คุณย่าต้องชอบมากแน่ๆ ครับ” เจ้าของร่างสูงพินิจแบบร่างคร่าวๆ ในมือสลับกับพื้นที่เบื้องหน้า คะเน ประเมินมอง แต่งเติมภาพที่ไม่อาจมีใครมองเห็นด้วยได้ในความคิด
“รายนั้นถ้าเป็นต้นไม้ใบหญ้าหรือสิงสาราสัตว์เค้าก็ชอบหมดแหละ”
พ่อเลี้ยงแห่งผืนดินกว้างเอ่ยกลั้วหัวเราะก่อนจะบังเอิญหันมาทางลลิตา พวงแก้มของหญิงสาวเริ่มเป็นสีแดงระเรื่อจากแดดเผา กระนั้นหล่อนก็ยังใช้ดวงตาสุกใสกวาดมองตามบทสนทนาเพื่อจับความตามทุกประโยค จดบันทึกอย่างกระตือรือร้นทั้งยังกำเครื่องบันทึกเสียงไว้แน่น ชวนให้รู้สึกเอ็นดูจึงได้เอ่ยต่อ
“ใกล้จะเที่ยงแล้ว กลับเข้าบ้านกันก่อนดีกว่า”
ลลิตายังคงก้มหน้าอยู่กับการเขียนที่ยังคั่งค้าง ปากกาแทบจรดปลายจมูกและไม่ทันได้จับสังเกตใดๆ สักนิดว่าตนจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับถ้อยคำเมื่อครู่ กลับเป็นชายหนุ่มซึ่งยืนใกล้กันที่กวาดสายตาคล้ายจะมองเพียงผาดเผินยังปรางแก้มสีอ่อน ก่อนจะยกนาฬิกาขึ้นมองพร้อมกล่าวด้วยเสียงดังอีกระดับ กึ่งๆ ว่าจะให้ได้ยินไปทั่วบริเวณทั้งที่มีเพียงสามคน
“จริงด้วย ผมรับปากไว้ว่าจะกลับไปกินอาหารฝีมือคุณย่าฮะ”
คุณปู่เหนือชะงักเล็กน้อยพลางยิ้มขบขัน ไม่ทราบว่าเพราะการแสดงออกอันไม่แนบเนียนนั้นหรือจากคำที่เขาเอ่ยกันแน่ “อาหารฝีมือคุณย่าตุ่นเหรอ…เอ้า ปู่จะเอาใจช่วยนะภีม”
ลลิตาเงยหน้าขึ้นจากการบันทึกที่เพิ่งเสร็จสิ้นพอดีตอนที่ชายชราออกเดินนำ และจนถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทสนทนาเมื่อครู่อยู่ดี หญิงสาวกดปิดเครื่องบันทึกเสียง หอบกอดอุปกรณ์ต่างๆ ไว้ในแขน การออกนอกสนามครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี…
ท้ายที่สุดนั้นตอนที่สายลมระลอกสุดท้ายสัมผัสผ่านชายหนุ่มแล้วเลยไปทักทายคนข้างหลัง ภีมก็เงยหน้าขึ้นมองไอแดดแผดพร่าก่อนจะชำเลืองไปยังร่างระหงเยื้องกันอีกครั้ง คิ้วเข้มขมวดเบาๆ เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่ได้ยกสมุดบันทึกในมือขึ้นมาบังใบหน้าอย่างที่ควรจะทำ และในความเงียบงันนั้นก็คงจะมีแต่ผืนดินกับท้องฟ้าที่มองเห็นว่าชายหนุ่มค่อยๆ ขยับใกล้อีกฝ่ายในองศาซึ่งมุมเงาของเขาบังแสงให้เธอพอดิบพอดี ก่อนจะผินหน้าออกไปยังวงล้อมของขุนเขาตระหง่าน ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเผลอหยักยกริมฝีปากขึ้นจางราง…
ท่ามกลางพื้นที่มากมายมหาศาลในอ้อมกอดของหุบเขารายล้อม บ้านของคุณปู่เหนือเป็นเรือนไม้หลังใหญ่ตระหง่าน โดดเด่นและมั่นคงอยู่กึ่งกลางเนินกว้างที่แตกเส้นทางเพื่อเชื่อมต่อกับทั้งไร่ชา ปางไม้ ไร่ผลไม้เมืองหนาว และไร่กล้วยไม้อันเป็นกิจการของครอบครัวซึ่งถูกแบ่งสันดูแลอย่างเท่าเทียมโดยบุตรทั้งสี่ น่าเสียดายที่ช่วงเวลาขณะภีมและลลิตามาเยือนมีเพียงชายชราและภรรยาด้วยภาระงานของลูกหลานที่ต้องเดินทางติดต่อธุรกิจ กระนั้นยามนี้ก็เป็นฤดูกาลที่ดอกไม้กำลังสะพรั่งบานทั่วขุนเขา ระรินกลิ่นอ่อน อวลหวานตามสายลม สีสันกระจายอยู่ในแมกไม้สดเขียวดุจพู่กันแต้มสุดสายตา และเบื้องหน้าเรือนใหญ่ไม่ไกลกันนั้นเอง ‘คุณย่าตุ่น’ ก็กำลังยืนระบายยิ้มเป็นวงโค้งอย่างใจดีรอพวกเขาอยู่
คุณย่าตุ่นหรืออดีตหม่อมราชวงศ์พรรณรวี ภานุวรรธน์เป็นสุภาพสตรีสูงวัยร่างเล็กผู้ให้ความรู้สึกราวดอกทานตะวันเจิดจ้า กับบรรยากาศซึ่งคล้ายว่ามีความสดใสโรยผ่านทุกการเคลื่อนไหวตลอดเวลา ไม่ใช่คนงามจับตาหากจะว่าไป ทว่าอะไรบางอย่างทีละเล็กละน้อยรายรอบกลับประกอบกันเป็นเสน่ห์ชวนพิศได้ไม่มีเบื่อ
“แหม นึกว่าจะต้องรอเก้อเสียแล้ว” หญิงชราว่าพลางหัวเราะคิกเมื่อภีมเข้าไปจูบแก้มทั้งสองข้าง เรียวมือซึ่งผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานตบเบาๆ ที่ใบหน้าของชายหนุ่มพลางเพ่งพินิจ “ดูซิ ยิ่งโตยิ่งรูปหล่อนะเรา เอ…คล้ายใครกันนะ จะว่าท่านพ่อหรือก็มีเค้า เหมือนใครสักคนที่ย่าเคยเห็นหน้า แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก…”
คุณย่าตุ่นบ่นอุบอย่างไม่เห็นจริงจัง ถอดใจย้อนความจำอย่างง่ายดายก่อนจะหันมายิ้มกว้างให้ลลิตาแทน ขณะที่คนถูกมองพลันได้ให้ยกมือไหว้อย่างรวดเร็วขณะที่ภีมเป็นฝ่ายช่วยเอ่ยแนะนำเธอ
“นี่ลลิตาครับ เลขาฯ ของผม”
“หืม…เลขาฯ หรอกเหรอ…”
หญิงชรากล่าวราวรำพึงกับตนเอง แต่คิดเห็นเป็นสิ่งใดกลับไม่ถูกเอ่ยขยายความ ดวงตาซึ่งโค้งยิ้มเป็นรอยเสี้ยวสลับมองระหว่างหลานห่างๆ ผู้เติบโตขึ้นเป็นชายหนุ่มสูงสง่ากับเจ้าของร่างระหงที่ยืนเรียบร้อยชวนนึกเอ็นดู จดจ้องริ้วเส้นสีน้ำตาลจางๆ ในดวงตากลมโตคู่นั้นพลางกระซิบ
“เอ…นี่ก็หน้าคุ้นๆ เคยเห็นที่ไหนนะ ดวงตาแบบนี้…”
“เห็นใครก็บอกคุ้นหน้าเค้าไปหมด” คุณปู่เหนือเอ่ยทำลายความเงียบแปลกประหลาดซึ่งเริ่มโรยตัวลงมาพร้อมหัวเราะเสียงทุ้มในลำคอ “คนแก่ก็แบบนี้แหละภีม”
“แหม ใจฉันยังสาวอยู่นะคะ”
ผู้เป็นภรรยาหันมาแก้ต่างให้จิตใจไม่ยอมแก่เฒ่าของตนทันที และทั้งๆ ที่ดูจะมีเรื่องให้ทุ่มเถียงกันและกันไม่ลดละ ทว่าเรียวมือเล็กๆ นั้นกลับคล้องแขนคุณปู่เหนือเอาไว้อย่างมั่นคงด้วยความเคยชินขณะเดินเข้าบ้าน ทิ้งไว้เพียงเสียงกระซิบคุยเย้าหยอกผ่านแววไอของความรักและผูกพันอันเนิ่นนานโดยมีภีมกับลลิตาก้าวตามหลัง
โดยไม่มีใครรู้เลยว่าใต้เชยลมหอมกลิ่นกุหลาบจากซุ้มโค้งนั้น ดวงตาคู่คมกลับกำลังแอบชำเลืองหญิงสาวเสี้ยวสั้นๆ ความจริงก็มองตั้งแต่ถ้อยคำประหลาดจากคุณย่าตุ่นถูกเปล่งทัก ก่อนลอบเก็บงำประกายครุ่นคิดซึ่งคล้ายจะสั่นกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา ด้วยคำว่า ‘คุ้นเคย’ นั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับหญิงชราเป็นคนแรก…แต่กับเขาเองก็เช่นกัน
คุ้นเคยอย่างไร้ที่มากับหญิงสาวผู้เพิ่งจะพบกันแทบนับครั้งได้ ราวคนที่พลัดหลงกันแสนไกลก่อนกลับมาพบกันอีกครั้ง…
เริ่มแรกแม้จะยังพอสังเกตเห็น แต่ลลิตาก็ไม่เข้าใจท่าทีกระอักกระอ่วนของคุณปู่เหนือเมื่อภีมเอ่ยถึงสัญญามื้ออาหารของคุณย่าตุ่น ไหนจะคำพูดให้กำลังใจชวนฉงนนั่นอีก กระทั่งแกงจืดถ้วยใหญ่ถูกยกวางตรงหน้าและชายหนุ่มเริ่มชิมนั่นเอง ท่าทางชะงักค้างปนๆ กับตกตะลึงกับบางอย่างก็พลันส่งผลให้เธอระแวดระวังขึ้นมาบ้าง หญิงสาวถึงกับพยายามช้อนตาขึ้นสบมองอีกฝ่ายเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยสั่งสิ่งใดกับคนเป็นเลขาฯ อย่างเธอ
แม้ภีมในมุมมองของลลิตาจะเหมือนสลักเสลาจากน้ำแข็งทั้งรูปลักษณ์และอุปนิสัย แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้นก็ยังเป็นหลานชายผู้ถูกความรักรายล้อมอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นยังไงบ้างภีม แกงจืดสูตรใหม่ของย่าเชียวนะ” ผู้มากวัยส่งเสียงถามอย่างกระตือรือร้นจากอีกฝั่งของโต๊ะ
“ฮะ…อ้อ เอ่อ…”
เก้กังยังไม่ทันได้เอ่ยตอบสิ่งใด คุณย่าตุ่นก็กล่าวกลั้วหัวเราะต่อ
“เค้าว่าแก่แล้วไม่ควรกินเค็ม ครั้นจะต้มธรรมดาก็กลัวจะไม่มีรสชาติ ย่าเลยใส่น้ำผึ้งลงไปแทน สีสวยเลยใช่ไหม” ว่าพลางหันไปคะยั้นคะยอผู้เป็นสามีบ้าง “ฉันว่าสูตรนี้เข้าทีดีนะคะคุณ ดูสิ ตาภีมไม่เห็นว่าอะไรเลย คุณก็ลองชิมดูสิคะ”
คุณปู่เหนือผู้มากด้วยประสบการณ์ด้านอาหารดัดแปลงส่งสายตาเห็นใจมายังชายหนุ่มก่อนหันไปแบ่งรับแบ่งสู้กับภรรยา หลีกเลี่ยงได้ลื่นไหลแทบตามไม่ทัน
คุณย่าตุ่นมีบุคลิกบางอย่างที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ ความเบิกบานของท่านเปรียบราวละอองไอวูบไหวรอบกาย ใสกระจ่างเสียจนยากจะหักหาญน้ำใจ ดังนั้นแม้รสชาติของแกงจืดจะชวนเข็ดขยาดเพียงใดภีมก็ยังรับประทานต่อด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปล่อยเพียงความซีดเซียวออกมาจางราง ขณะที่ลลิตาซึ่งลอบสังเกตคนตรงหน้าเงียบงันก็พลอยให้คั่งค้างอยู่กับการตัดสินใจครู่หนึ่งก่อนลองตักมาชิมบ้าง กับเพียงคำเดียวเท่านั้น รสหวานแหลมพร้อมกลิ่นหมูสับกับขึ้นฉ่ายหืนๆ ก็ขึ้นจมูกให้ได้ตกตะลึงแทบนิ่งงัน มองไปก็เห็นดวงตาคมมองจ้องคล้ายจะห้ามไว้ กระนั้นเธอก็ยังฝืนกลืนลงคอก่อนตักคำใหม่
‘ทำบ้าอะไรของเธอ’
สายตาของภีมตะโกนท่ามกลางความเงียบใบ้นั้น ไม่แน่ใจนักแต่ก็พอจะเดาได้
ลลิตาแย้มเยื้อนผ่านดวงตาเป็นคำตอบ เขาอาจจะเข้าใจหรือกังขาก็สุดแล้วแต่การตีความ เธอเพียงต้องการช่วยอีกฝ่ายด้วยความจริงใจเท่านั้น มื้ออาหารฝีมือคุณย่าตุ่นอาจจะแปลก หากก็เกิดจากความตั้งใจจนยากจะปฏิเสธได้ ท่ามกลางรสชาติปะแล่มกระเดียดเลี่ยนลิ้นก็ใช่ว่าจะกล้ำกลืนไม่ลงไปเสียทีเดียว
คราวนี้ความประหลาดใจพลันผุดวาบ ชายหนุ่มนิ่งค้างอยู่ชั่วครู่ก่อนที่ลลิตาจะได้ยินเสียงลอบระบายลมหายใจแผ่วเบา ภีมผละสายตาออกไปโดยไม่หันกลับมาอีก และหญิงสาวก็ไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้วเขาก็เพียงรำพึงอยู่ข้างในซ้ำๆ ไปมา ด้วยถ้อยคำซึ่งลอบปรากฏทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้กัน…ยายผู้หญิงประหลาด
มื้อเที่ยงฝีมือคุณย่าตุ่นจบลงด้วยดี แต่งานที่คั่งค้างกลับยังไม่เสร็จสิ้น
เริ่มแรก คุณปู่เหนือลอบขยิบตาให้ภีมในทำนองว่าอย่าเพิ่งกระโตกกระตากจนเป็นที่ผิดสังเกต เพราะเรือนกระจกนั่นคือของขวัญเซอร์ไพรส์ครบรอบวันแต่งงาน และเพราะความสามารถซ่อนเร้นสีหน้าเฉยชาของชายหนุ่มเอง ทั้งสองจึงหลบเร้นสายตาของหญิงสูงวัยได้อย่างแนบเนียน แต่ลลิตาไม่ได้เป็นเช่นนั้น เธออาจเป็นคนเก็บงำความรู้สึกเก่ง ทว่าในกรณีของการแสร้งแสดงกลับถือว่าเป็นนักแสดงที่แย่…ยอดแย่อย่างมาก
หญิงสาวหอบอุปกรณ์ทำงาน เก้กังรีบสาวเท้าตามคนเป็นเจ้านาย ก่อนได้ให้ชะงักค้างราวถูกสาปเมื่อถูกเสียงทักจากด้านหลังรั้งไว้
“จะไปไหนกันจ๊ะ แดดตอนบ่ายร้อนอย่างกับอะไรดี”
คุณย่าตุ่นท้วงถามอย่างชวนคุยมากกว่าจะสังเกตเห็นความผิดปกติใดๆ ได้ทัน แต่กลับเป็นลลิตาต่างหากที่ร้อนรนเกินการจนแทบทำสมุดโน้ตหลุดมือ ก่อนจะมีใครคนหนึ่งช่วยคว้าไว้ทันพร้อมคำตอบราบเรียบแนบเนียน
“ไปเดินดูไร่ครับ”
“วุ้ย กับแดดแบบนี้เนี่ยนะ หนูลิตาคงได้ร้อนแย่”
“ลิตาไม่เป็นไรค่ะ แดดออกแบบนี้ก็สว่างดีนะคะ”
หญิงสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ แววร้อนรนปนประหม่านั้นถูกคนตัวสูงกว่าช่วยกำบังได้ระดับหนึ่ง แม้คิ้วเข้มจะลอบขมวดมุ่นกับคำแก้ตัวประดักประเดิดนั้นอยู่สักหน่อย กระนั้นก็ดูเหมือนว่าผู้มากวัยกว่าจะไม่ทันได้สังเกตเห็นซ้ำยังไพล่ไปเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น
“พวกผู้ชายนี่บ้าพลัง มาทำลูกชุบกับย่าดีกว่า ร้อนขนาดนี้เดี๋ยวจะไม่สบาย”
“คุณเหงาเหรอ” พ่อเลี้ยงใหญ่แห่งขุนเขาพลันก้าวเข้ามาในวงสนทนาด้วยการเย้าภรรยา
“เอ๊ะ” คนถูกจับได้แสร้งโวยวายแก้ต่างเสียงเขียว “ฉันแค่ถูกชะตา อยากนั่งคุยกับหนูลิตาก็เท่านั้น”
ลลิตาไม่อยากปฏิเสธความเอ็นดูที่คุณย่าตุ่นมีให้ กระนั้นเธอก็ยังลอบมองเจ้านายอย่างอดจะขอโทษขอโพยกึ่งๆ จนใจไม่ได้ และก็ดูเหมือนว่าภีมเองก็มีเหตุผลพอที่จะเข้าใจว่าหากเธอยังทู่ซี้จะติดตามไปให้ได้ก็คงเป็นพิรุธ เขาคงประจักษ์แล้วว่าหญิงสาวเก็บซ่อนอารมณ์เก่งก็จริง แต่โกหกไม่เนียนแม้แต่น้อย
“คุณอยู่นี่แหละ”
“แต่ว่างาน…” คนเป็นเลขาฯ ละล้าละลังกระซิบถามแล้วพลันชะงักค้าง เมื่อเจ้าของร่างสูงเพียงพยักหน้าหนึ่งครั้งพร้อมถ้อยคำสั่งซึ่งแผ่วเบาไม่ต่างกัน
“ผมถือว่าการปั้นลูกชุบกับคุณย่าตุ่นก็เป็นงานเหมือนกัน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 พ.ค. 62
Comments
comments