บทที่หนึ่ง
หลายเดือนมานี้ ไม่ว่าในเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ต่างๆ ในหมู่ราษฎร กระทั่งในหมู่ชาวยุทธ์ ต่างพากันโจษจันเป็นที่เอิกเกริกอยู่สามเรื่องใหญ่
เรื่องที่หนึ่ง ขุนนางใหญ่หลายสิบคนทางเจียงหนานถูกค้นบ้านและยึดทรัพย์
การตรวจค้นในครั้งนี้พบทองคำหนึ่งร้อยหมื่นตำลึง อู่ซีฮ่องเต้ทรงชิงชังขุนนางที่ทุจริตต่อหน้าที่เป็นที่สุด ทรงมีรับสั่งให้ค้นบ้านและยึดทรัพย์ขุนนางที่กินสินบาทคาดสินบนทุจริตต่อหน้าที่ ปลุกเร้าให้ราษฎรในเจียงหนานมีกำลังใจฮึกเหิม เหล่าอาณาประชาราษฎร์ต่างสดุดีสรรเสริญคุณูปการและคุณธรรมของฮ่องเต้ เลื่องลือไปพันลี้
เรื่องที่สอง โจษจันกันว่าฮ่องเต้จะทรงรับพระธิดาบุญธรรมคนหนึ่ง
ว่ากันว่าเด็กสาวผู้นั้นรูปโฉมงดงามดุจบุปผา ฮ่องเต้ไม่เพียงจะทรงรับเป็นพระธิดาบุญธรรม ยังจะทรงแต่งตั้งนางเป็นองค์หญิงอีกด้วย
ทุกยุคทุกสมัยทุกราชวงศ์ ที่ไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือขุนนางที่ทุจริตต่อหน้าที่และผู้กระทำความผิด ราชวงศ์ใดบ้างไม่มีขุนนางที่ทุจริตต่อหน้าที่ การค้นบ้านยึดทรัพย์จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ส่วนเรื่องที่ฮ่องเต้จะทรงรับพระธิดาบุญธรรมก็ไม่นับเป็นเรื่องผิดปกติอันใด แต่ที่แปลกประหลาดก็คือกล่าวกันว่าสตรีผู้นั้นเป็นคนในยุทธภพ อีกทั้งยังมาจากหุบเขาหมื่นบุปผา เรื่องนี้ทำให้คนแปลกใจอย่างมาก
ทุกคนต่างรู้ดี หุบเขาหมื่นบุปผาถูกมองว่าเป็นพรรคมาร และสตรีในหุบเขาหมื่นบุปผาก็ถูกมองว่าเป็นนางมาร ไม่รู้ว่านางเป็นนางมารคนใด ชื่อเรียงเสียงใด เพราะไม่รู้จักนามของคนผู้นี้ และไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน จึงทำให้ผู้คนไม่รู้จะวิพากษ์วิจารณ์อย่างไร
เนื่องจากฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งว่าหุบเขาหมื่นบุปผายอมสวามิภักดิ์และจงรักภักดีต่อราชสำนักแล้ว ดังนั้นไม่ว่าสำนักหรือพรรคใดก็ห้ามทำร้ายคนของหุบเขาหมื่นบุปผา ทันทีที่มีพระบัญชาลงมา ผู้คนจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าฮ่องเต้จะทรงรับพระธิดาบุญธรรมจริง หรือถูกสตรีในหุบเขาหมื่นบุปผาทำให้ลุ่มหลงกันแน่ แต่ก็หามีผู้ใดกล้าซุบซิบนินทาในเรื่องนี้ นอกเสียจากจะไม่ต้องการศีรษะแล้ว ด้วยเหตุนี้ความสนใจของผู้คนและหัวข้อสนทนายามว่างขณะดื่มน้ำชาหลังอาหารจึงเปลี่ยนมาเป็นเรื่องใหญ่เรื่องที่สามทั้งหมด
เรื่องที่สาม จับกุมผู้กระทำผิดคนสำคัญของราชสำนัก
จากตะวันออกถึงตะวันตก จากเหนือจรดใต้ ฮ่องเต้ทรงมีพระบัญชาให้ออกประกาศจับผู้กระทำผิดผู้หนึ่ง
ที่อื่นยังไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแค่กระดานติดประกาศจับในเมืองหลวง ทุกวันจะต้องมีชาวบ้านกลุ่มใหญ่ยืนอยู่หน้าภาพวาด วิพากษ์วิจารณ์คนในภาพต่างๆ นานา เพราะผู้กระทำผิดที่ถูกประกาศจับเป็นสตรีผู้หนึ่ง ทั้งยังเป็นสตรีที่รูปโฉมงดงามยิ่ง
ภาพวาดสาวงามผู้ใดบ้างไม่อยากดู หัวข้อสนทนาของชาวบ้านจึงวนอยู่กับเรื่องสาวงามผู้กระทำผิด ที่แปลกก็คือบนกระดานติดประกาศจับไม่ได้บอกว่าสาวงามกระทำความผิดเรื่องใด
การคาดเดาต่างๆ เป็นไปอย่างเกรียวกราว ยิ่งเป็นการเพิ่มความลึกลับให้กับสาวงามผู้กระทำผิดผู้นี้อีกชั้นหนึ่ง
อีกด้าน ในคฤหาสน์ของผู้มีอำนาจราชศักดิ์แห่งหนึ่งแถบชานเมืองหลวง บุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ในห้อง แสงอาทิตย์จากนอกหน้าต่างส่องกระทบร่างของเขา อาบย้อมเงาร่างสูงตระหง่านล่ำสันแข็งแรงของเขาให้มีประกายสีทองเคลือบอยู่ชั้นหนึ่ง
เขายืนอยู่ข้างผนัง หยุดนิ่งเป็นเวลานานเพียงเพราะบนผนังมีภาพหญิงงามภาพหนึ่งแขวนอยู่ นักวาดวาดภาพนี้ตอนหญิงงามเพิ่งอายุสิบห้า เป็นภาพในพิธีปักปิ่น ของนาง
ฝีมือของนักวาดยอดเยี่ยมลึกล้ำดุจเทพเซียน วาดใบหน้าและลักษณะท่าทางอันมีเสน่ห์ชวนพิสมัยของหญิงงามออกมาราวกับมีชีวิต มุมปากสวยงามหยักโค้งเป็นรอยยิ้มงดงามชวนลุ่มหลง เพิ่งจะอายุสิบห้าปีก็มีรูปโฉมดุจเทพธิดา งามล่มบ้านล่มเมืองแล้ว
นัยน์ตาดำสนิทมองไม่เห็นก้นบึ้งของบุรุษผู้นี้ปกติจะมีประกายเยียบเย็นคมกริบทำให้คนเคารพยำเกรง แต่ยามมองสตรีในภาพวาด แววตากลับทอประกายลึกล้ำอ่อนโยนยากที่ผู้ใดจะสังเกตเห็น ในสายตาของผู้ที่มองมาจะเห็นเพียงว่าเขามองหญิงสาวในภาพ แต่ความจริงแล้วเขากำลังมองเงาของหญิงสาวอีกคนหนึ่งผ่านหน้าตาและลักษณะท่าทางของหญิงงามในภาพวาดต่างหาก
สายตาของเขาจดจ่อเช่นนั้น คล้ายจะสลักภาพวาดหญิงงามลงไปในสมอง เวลาคล้ายหยุดนิ่งอยู่กับที่ กระทั่งมีคนมาทำลายความเงียบ
“ฝ่าบาท พาคนมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนเจี๋ยปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังดุจเงา พลางรายงานเสียงต่ำต่อผู้เป็นนายด้วยความนอบน้อม
ในที่สุดไป่หลี่ซีก็เบนสายตาจากคนในภาพวาด ยามที่หันมามองหยวนเจี๋ย แสงอาทิตย์ก็ส่องกระทบใบหน้าหล่อเหลาเหนือผู้คนของเขา อู่ซีฮ่องเต้ในวัยสามสิบหก ทั่วร่างมีกลิ่นอายของบุรุษที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ท่วงทีสุภาพเยือกเย็น หนักแน่นสุขุมเก็บงำความรู้สึก รวมทั้งมีพลังอำนาจของผู้เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ที่จารึกอยู่ในกระดูก
ยามนี้ในดวงตาดำสนิทมีประกายเจิดจ้าระริกไหว น้ำเสียงก็คล้ายมีความพยายามกดข่มความตื่นเต้นดีใจเจืออยู่จางๆ
“คนเล่า?”
“จัดให้อยู่ที่เรือนซีจู๋ ให้คนดูแลปรนนิบัติรับใช้ ไม่กล้าละเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ในดวงตาของไป่หลี่ซีพลันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เส้นสายบนใบหน้าที่ดูแข็งกระด้างเย็นชาก็ผ่อนคลายลง มุมปากหยักโค้งเป็นรอยยิ้มจางๆ รอยยิ้มนั้นอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า ประกายอ่อนโยนละมุนละไมในดวงตาคล้ายสามารถแบกรับความมืดมิดในโลกนี้ได้
หยวนเจี๋ยที่ติดตามอยู่ข้างกายอีกฝ่ายมานานปีอดทอดถอนใจอยู่ในใจไม่ได้ เขาไม่ได้เห็นผู้เป็นนายดีใจเช่นนี้มานานแสนนานแล้ว
กี่ปีมาแล้ว นับแต่สตรีผู้นั้นหายตัวไป ฝ่าบาทก็ทรงไม่เคยมีความสุขอย่างแท้จริง
“หยวนเจี๋ย”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“ปีนี้นางอายุเท่าไรแล้ว”
“สิบเจ็ดพ่ะย่ะค่ะ”
“สิบเจ็ดแล้วหรือ…” ไป่หลี่ซีถอนใจเบาๆ ด้วยความปลื้มปีติ จากนั้นก็เอ่ยเบาๆ คล้ายพูดกับตนเอง “สิบเจ็ดปีแล้ว นางช่างเหี้ยม…”
ในน้ำเสียงที่ทอดถอนใจ นอกจากมีความสุขแล้วยังมีความเจ็บปวดชอกช้ำและไม่ยินยอม รวมทั้งความแค้นใจที่พูดไม่ออก
หยวนเจี๋ยรีบก้มหน้าลง ไม่กล้ามีความคิดเห็นต่อ ‘นาง’ ที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาแม้แต่น้อย หลายปีมานี้ ในโลกนี้ก็มีเพียงสตรีผู้นั้นที่ทำให้ผู้เป็นนายของเขาเฝ้าคิดถึงไม่ลืมเลือน แม้ผ่านไปหลายปีก็ยังคงฝังลึกอยู่ในใจราวใช้มีดสลักไว้ ไม่สามารถลบออก และไม่สมัครใจจะลบ
แต่ก็ไม่น่าแปลก สตรีผู้นั้น…พิเศษอย่างแท้จริง ดูเหมือนมีรักลึกซึ้งแต่กลับไร้ปรานี บอกไร้ใจแต่กลับมีใจ ตอนนั้นที่นางจากไปเป็นเพราะเห็นแก่ส่วนรวม คิดเพื่อฝ่าบาทอย่างแท้จริง เพียงแต่ในใจของฝ่าบาทไม่อาจปล่อยวางได้เท่านั้น เมื่อวันเวลาผ่านไปนานเข้าก็กลายเป็นปมในใจ และเป็นเคราะห์กรรมของพระองค์เอง
หยวนเจี๋ยติดตามผู้เป็นนายมาแต่ครั้งอีกฝ่ายยังเป็นรัชทายาท ตั้งแต่เป็นองครักษ์เล็กๆ ที่ไม่สำคัญ ไต่เต้าขึ้นมาจนมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการใหญ่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ ได้เห็นผู้เป็นนายย่ำผ่านกองโลหิตขึ้นมาทีละก้าวๆ กระทั่งได้นั่งบนบัลลังก์มังกรที่อยู่สูงสุดเหนือผู้คนด้วยตาตนเอง
แต่ไรมาผู้เป็นนายทำสิ่งใดก็จะตัดสินใจดำเนินการอย่างฉับพลัน ไม่โยกโย้พิรี้พิไร มีความเด็ดขาดและวิธีการของผู้เป็นกษัตริย์ เป็นความเปรื่องปราดที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ยามอยู่ต่อหน้าสตรีผู้นั้น กลับเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน บางครั้งเขาเองก็ยังสงสัยว่าผู้เป็นนายใช่ถูกวางยาด้วยหนอนพิษหรือไม่ หาไม่เวลาผ่านไปนานปีเพียงนี้ เหตุใดถึงยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจอีก
เพื่อจะเอาตัวนางกลับมา ฝ่าบาทได้ทำทุกวิถีทาง กระทั่งไม่เลือกวิธีการ ทรงบัญชาให้ติดป้ายประกาศจับไปทั่วแคว้น เรื่องนี้ก็แล้วไปเถิด เวลานี้ยังจับลูกศิษย์ของผู้อื่นมาอีก ทั้งปล่อยข่าวออกไปว่าจะรับเป็นพระธิดาบุญธรรม และแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง!
ข่าวปล่อยออกไปแล้ว ถัดจากนี้ก็ต้องดูว่าสตรีผู้นั้นจะเล่นด้วยหรือไม่ ในความคิดของหยวนเจี๋ย สตรีผู้นั้นใจดำอำมหิตมากพอ ไม่แน่ยังอาจตัดสินใจเด็ดขาดหลบซ่อนตัวไม่ออกมา ความมุ่งหวังของฝ่าบาทก็คงต้องคว้าน้ำเหลว
ทว่าคำพูดเหล่านี้หยวนเจี๋ยกล้าคิดอยู่เพียงในใจเท่านั้น ไม่กล้าเอ่ยออกจากปาก นั่นเป็นปมในใจของฝ่าบาท เป็นสิ่งต้องห้ามของผู้เป็นกษัตริย์ที่แตะต้องไม่ได้เด็ดขาด
ไป่หลี่ซีกล่าวกับหยวนเจี๋ยเบาๆ “ไปเถิด เราอยากจะไปดูนางให้เต็มตา”
“พ่ะย่ะค่ะ” หยวนเจี๋ยถอยไปอยู่ด้านหนึ่ง รอผู้เป็นนายเดินผ่านไปแล้วจึงตามหลังไปอย่างเงียบๆ
สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในเวลานี้คือคฤหาสน์ชานเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงสิบลี้ เพื่อหลบเลี่ยงหูตาของคนในวัง หลังจากพวกเขาจับตัวลูกศิษย์ของสตรีผู้นั้นได้ก็คุ้มกันและส่งตัวมายังเมืองหลวง จากนั้นก็จัดให้อยู่ที่นี่อย่างลับๆ
ระหว่างทางจากเรือนหลักไปที่เรือนซีจู๋ ไป่หลี่ซีก้าวย่างอย่างสุขุมมั่นคง ไม่รีบไม่ร้อน เฉกเช่นปกติ แต่หยวนเจี๋ยรับรู้ได้ถึงฝีเท้าที่เบาและรวดเร็วของผู้เป็นนาย
“หยวนเจี๋ย”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าว่า…นางรูปร่างหน้าตาเหมือนคนในภาพหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท แม่นางผู้นี้ดูสดใสมีชีวิตชีวากว่าคนในภาพพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ” มุมปากของไป่หลี่ซีหยักโค้งมากขึ้น จากนั้นก็ถามอย่างออกจะเป็นกังวล “ที่เราจับกุมนางมา นางโกรธหรือไม่”
หยวนเจี๋ยบ่นอุบอิบในใจ จับตัวผู้อื่นมายังจะกลัวผู้อื่นโกรธอีกหรือ ไม่ผิดจากที่คาด พอฝ่าบาทเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสตรีผู้นั้นก็เปลี่ยนเป็นไม่ปกติแล้ว แต่ปากของเขาไม่กล้าพูดออกไปเช่นนี้ จึงรีบตอบคำ “แม่นางผู้นี้ควบคุมอารมณ์ได้ดียิ่ง ไม่เอะอะไม่โวยวาย”
“อ้อ” ไป่หลี่ซีค่อนข้างคาดคิดไม่ถึง หันไปมองหยวนเจี๋ย “นางไม่เอะอะไม่โวยวาย แล้วไม่หวาดกลัวหรือ”
“แม่นางผู้นี้แม้อายุยังน้อย อุปนิสัยกลับสุขุมหนักแน่น มีท่วงท่าของการเป็นผู้นำ” ลูบตามขน ของผู้เป็นนายย่อมไม่ผิดแน่
ไป่หลี่ซีฟังแล้วดวงตาเปล่งประกายวาว รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้น ไม่พูดอะไรอีก หมุนตัวเดินไปข้างหน้าต่อ
หยวนเจี๋ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็เดินตามหลังผู้เป็นนายไป
มาถึงเรือนซีจู๋ สี่ด้านล้วนมีผู้รักษาการณ์ พวกเขาเป็นยอดฝีมือของราชสำนักที่รับบัญชาจากไป่หลี่ซีมาเฝ้าพิทักษ์คนที่เขาอยากพบ ส่วนคนที่อยู่ในห้องก็คือแม่นางน้อยที่เขาตั้งใจให้คนไปจับตัวมา
ถึงไป่หลี่ซีจะอยู่ในราชสำนักเรียกลมเรียกฝนมานานปี พบเจออุปสรรคมากมาย แต่ทุกครั้งก็สามารถรับมือได้โดยไม่สะทกสะท้าน มาบัดนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหญิงสาวที่อยู่ในห้อง เขากลับตื่นเต้นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
เขาหยุดฝีเท้าอยู่ที่หน้าประตู ภายนอกยังคงดูสงบนิ่งสุขุม แต่หยวนเจี๋ยกลับมองออก มือที่กำแน่นของผู้เป็นนายบ่งบอกให้รู้ถึงความตื่นเต้นและกังวลในใจ ผู้เป็นกษัตริย์มักเก็บซ่อนความรู้สึกไว้ภายในใจจนลึก ไม่เผยด้านที่อ่อนแอออกมาให้เห็นง่ายๆ ดังนั้นหยวนเจี๋ยจึงได้แต่แสร้งทำเป็นไม่เห็น ยืนนอบน้อมอยู่ด้านหลัง ส่วนไป่หลี่ซีลังเลอยู่เพียงชั่วขณะก็ผลักประตูเข้าไปเหมือนไม่มีอะไร
หญิงสาวที่อยู่ภายในห้องเมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวนอกประตูก็หมุนตัวมา มองประสานสายตากับเขา
วินาทีที่สายตาสบประสานกัน ไป่หลี่ซีพลันอึ้งตะลึงไป ภาพวาดจะอย่างไรก็คือภาพวาด ต่อให้วาดได้ราวกับถอดชีวิตจิตใจออกมาก็เทียบไม่ได้กับตัวจริง
ห้วงเวลานี้แม้เขาจะเตรียมตัวเตรียมใจอยู่ก่อน แต่ยังคงไม่อาจสะกดกลั้นคลื่นอารมณ์ที่ซัดสาดขึ้นมาในใจเอาไว้ได้ มีความตื่นเต้นดีใจ ความตื้นตันใจ ความคิดถึง และความเศร้าใจอย่างลึกซึ้ง หลากหลายอารมณ์ความรู้สึกผสมปนเปถาโถมเข้ามาในใจของเขา
เขาจ้องมองนาง นางก็จ้องมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น ดวงตางามแวววาวใสกระจ่างดุจน้ำในทะเลสาบ ใสบริสุทธิ์ดุจนัยน์ตาของกวางน้อย มีความประหลาดใจ ความพิศวงสงสัย ที่มากกว่านั้นก็คือความอยากรู้
อูอีเสวี่ยรู้จักเขา เพราะในห้องเก็บภาพวาดของประมุขหุบเขาหมื่นบุปผามีภาพวาดของคนผู้นี้แขวนอยู่ นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าคนที่จับตนมาจะเป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน…อู่ซีฮ่องเต้
อู่ซีฮ่องเต้เป็นฮ่องเต้ที่ดี เขาทุ่มเทกำลังบริหารราชกิจ รักอาณาประชาราษฎร์ ลงโทษขุนนางที่ทุจริตต่อหน้าที่และฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างเด็ดขาด ภายใต้การปกครองของเขา อาณาประชาราษฎร์ล้วนอยู่เย็นเป็นสุข ชนต่างเผ่าไม่กล้ารุกราน
“นางหนูเสวี่ย” ไป่หลี่ซีเรียกนางเบาๆ
อูอีเสวี่ยตกตะลึง ในโลกนี้คนที่เรียกนางว่า ‘นางหนูเสวี่ย’ นอกจากอาจารย์ที่ถึงแก่กรรมไปแล้ว ก็มีแต่สิงฟู่อวี่คนรักของนางเท่านั้น ทว่าเวลานี้ฮ่องเต้ที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันก็เรียกนางแบบนี้เช่นกัน ความสนิทสนมและความรักใคร่เอ็นดูที่อยู่ในน้ำเสียงปรากฏออกมาจนหมดสิ้น ทำให้นางยิ่งงุนงงสงสัย
แม้นางจะถูกจับตัวมาแต่ก็หาได้หวาดกลัวแม้แต่น้อย เพราะคนที่จับตัวนางมาเหล่านี้ล้วนเคารพนบนอบและมีมารยาทต่อนางมาตั้งแต่เริ่มต้น ไม่กล้าทำร้ายนางแม้แต่เส้นผม กระทั่งปกป้องคุ้มครองนางอย่างที่สุด ราวกับถ้านางถูกกระแทกกระทั้นแม้น้อยนิดก็จะทำให้พวกเขาศีรษะหลุดจากบ่าเช่นนั้น
นางไม่กลัวฮ่องเต้ เพราะนางสัมผัสถึงแรงปรารถนาชั่วร้ายใดๆ จากรอบกายฮ่องเต้ไม่ได้ ฮ่องเต้จับนางมาหาใช่เพื่อเรื่องชู้สาว อีกทั้งความรู้สึกที่นางมีต่อฮ่องเต้…เป็นความรู้สึกสนิทสนมใกล้ชิดที่แปลกประหลาดและบอกไม่ถูก
ไป่หลี่ซีก้าวไปข้างหน้าช้าๆ แต่ก็กลัวจะทำให้นางตกใจ ดังนั้นจึงรักษาระยะห่างไว้หลายก้าว ปลอบขวัญนางอย่างอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัว อยู่ที่นี่เจ้าจะปลอดภัยทุกอย่าง ไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้า”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนอย่างที่สุด ที่มากกว่านั้นคือความจริงใจและห่วงใย หัวใจของนางได้รับการปลอบบำรุงขวัญอย่างประหลาด ทำให้นางมีความกล้าที่จะมองจ้องเขามากขึ้น นางกวาดตาขึ้นลงมองประเมินเขา นัยน์ตาดุจกวางน้อยของนางเบิกจนกลมโต สาดประกายแวววาวด้วยความอยากรู้
“เพราะเหตุใดท่านจึงจับตัวข้ามา” นางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ให้เจ้าทาย” เขาหัวเราะ ในน้ำเสียงมีความรักใคร่เอ็นดู
“เอ่อ…ข้าทายไม่ถูก” นางสั่นศีรษะเบาๆ
“เจ้ามองดูข้า ไม่รู้สึกว่าหน้าตาของเราสองคนมีส่วนคล้ายกันหรือ”
อูอีเสวี่ยเบิกตากว้าง คล้ายตระหนักรู้ขึ้นมาในฉับพลัน มิน่านางเห็นเขาแล้วถึงได้รู้สึกสนิทสนมใกล้ชิด ใช่แล้ว นางกับเขาหน้าตาคล้ายกันอยู่บ้าง
ฮ่องเต้แม้จะเป็นบุรุษ แต่องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าของเขาก็ประณีตละเอียดอ่อน เพียงเพราะเขามีความองอาจห้าวหาญของผู้เป็นจอมทัพ รวมทั้งความสุขุมลุ่มลึกและความมีสง่าน่าเกรงขามที่เกิดจากการหล่อหลอมมานานปี จึงทำให้คนมองข้ามเส้นสายอันประณีตละเอียดอ่อนบนใบหน้าของเขาไป เมื่อพิจารณาดูอย่างละเอียด ความจริงแล้วเขาดูสุขุมลุ่มลึกสุภาพเรียบร้อย โดยเฉพาะยามคลี่ยิ้มยิ่งดูหล่อเหลา
จุดที่เหมือนกันระหว่างเขากับนางคือดวงตา แต่ขนคิ้วของเขาค่อนข้างหยาบ ถ้าละเอียดกว่านี้สักหน่อยล่ะก็ นางพบว่าใบหน้าช่วงบนของเขาเหมือนตนอย่างมาก
“ท่านเป็นอะไรกับข้า”
นางแน่ใจ บุรุษผู้นี้จะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับนางแน่นอน นางเป็นเด็กกำพร้าที่อาจารย์เก็บมาเลี้ยง ไม่มีบิดามารดา มีเพียงอาจารย์กับศิษย์พี่ศิษย์น้องที่หุบเขาหมื่นบุปผาอยู่กับนาง นางมักคิดอยู่เสมอ ไม่แน่ว่านางอาจจะมีคนในครอบครัวกับเขาเช่นกัน เพียงแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงได้ทอดทิ้งนางที่ยังเป็นทารก เวลานี้นางพลันมีความคิดที่อาจหาญขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง บางทีอาจไม่ใช่ทอดทิ้ง หากแต่ไม่ระวังทำหายไป
ไป่หลี่ซีพึงพอใจในการพูดจาตรงๆ ไม่อ้อมค้อมของนางอย่างมาก เพียงเห็นหน้าครั้งแรกเขาก็ชอบเด็กคนนี้แล้ว
“คิ้วและดวงตาของเจ้าคล้ายข้า ขนตาคล้ายข้า เจ้าว่ามีส่วนที่คล้ายกันมากเช่นนี้ ข้าน่าจะเป็นอะไรกับเจ้า”
นางชะงักอึ้ง จากนั้นก็คาดเดาอย่างไม่ค่อยแน่ใจ “พี่ชาย”
“พรืด…” หยวนเจี๋ยที่อยู่นอกประตูได้ยินแล้วแทบจะหลุดหัวเราะออกมา ตกใจจนต้องรีบเอามืออุดปาก นี่ไม่อาจตำหนิที่เขากลั้นไม่อยู่ได้ เพราะมันน่าขันเกินไปจริงๆ
เด็กสาวอายุสิบเจ็ดเรียกฝ่าบาทที่พระชันษาสามสิบหกว่าพี่ชาย ทั้งที่พระชนมายุของฝ่าบาทมากพอที่จะเป็นบิดาของนางได้ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจหรอก ฝ่าบาทของพวกเขาบำรุงรักษาร่างกายได้ดี ดูแล้วยังหนุ่มแน่นหล่อเหลา มีเพียงอย่างเดียวที่แตกต่างจากเดิม นั่นคือลักษณะท่าทางอันเคร่งขรึมน่าเกรงขามที่เพิ่มเข้ามาเนื่องจากประสบการณ์ชีวิตอันยาวนาน
ไป่หลี่ซีอึ้งไปแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ พร้อมกันนั้นก็ถลึงตาไปทางนอกประตูทีหนึ่ง เพื่อไม่ให้นางหนูเสวี่ยหวาดกลัวดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้คนปิดประตู แต่ให้องครักษ์คนอื่นล่าถอยออกไป เหลือเพียงหยวนเจี๋ยเฝ้าอยู่หน้าประตูคนเดียว
หยวนเจี๋ยถูกผู้เป็นนายขึงตาใส่ ตกใจจนต้องกลั้นลมหายใจ ยืนตัวตรงแน่ว
ไป่หลี่ซีหันหน้ากลับมา หัวเราะแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ให้นาง “เด็กเอ๋ย ข้าอายุไม่น้อยแล้ว”
แม้เขาจะอยู่ในวัยฉกรรจ์ยังหนุ่มแน่น แต่เปรียบกับนางก็นับว่าแก่แล้ว
อูอีเสวี่ยคาดเดาต่อ “เป็นอา? เป็นน้า? หรือลุง?”
ไป่หลี่ซีชอบท่าทีการพูดที่ใสซื่อบริสุทธิ์เพราะความอยากรู้และไม่มีความหวาดกลัวเขาของนางอย่างมาก ในที่สุดก็ห้ามใจไม่อยู่ยื่นมือไปลูบไล้ดวงหน้าน้อยๆ ของนางด้วยความรักและสงสาร
“ลูกเอ๋ย ข้าเป็นพ่อของเจ้า”
อูอีเสวี่ยตะลึงงัน ไม่ว่าอย่างไรนางก็นึกไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้
หยวนเจี๋ยที่อยู่หน้าประตูก็ตื่นตะลึง ราวกับเป็นหินแกะสลักไปแล้ว ทว่าไป่หลี่ซีไม่มีเวลาจะไปสนใจเขา หากแต่มองจ้องอูอีเสวี่ยนิ่ง
“ไม่ผิด ข้าเป็นพ่อของเจ้า ส่วนแม่ของเจ้าก็คืออาจารย์ของเจ้า อูมู่ฉิน”
อูอีเสวี่ยปากอ้าตาค้าง พูดอะไรไม่ออกเป็นนานสองนาน แต่นางรู้คนผู้นี้ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกนาง เพราะเขาเป็นฮ่องเต้ เขาไม่จำเป็นต้องทำทุกวิถีทางจับนางมาเพียงเพื่อจะโกหกนางว่าเขาเป็นพ่อของนาง
“…พ่อ”
“ใช่ นางหนูเสวี่ย เจ้าเป็นลูกของข้ากับฉินเอ๋อร์ เป็นลูกสาวของข้าไป่หลี่ซี” นัยน์ตาของเขาเปียกชุ่ม แม้จะพยายามข่มกลั้น แต่ขอบตาก็ยังคงแดงเรื่อ บุรุษไม่หลั่งน้ำตาง่ายๆ นับประสาอะไรกับบุรุษที่เป็นฮ่องเต้ น้ำตาของผู้เป็นกษัตริย์ล้ำค่ามากยิ่งนัก
สำหรับอูอีเสวี่ย นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตระหนกตกใจเกินไปแล้ว นางไม่รู้ควรรับมืออย่างไร ฮ่องเต้เป็นบิดาของนาง เรื่องนี้ก็น่าตื่นตระหนกมากพอแล้ว แต่เทียบไม่ได้เลยกับความตื่นตระหนกตกใจที่นางมีต่ออีกเรื่องหนึ่ง
อาจารย์เป็นมารดาของนาง!
“จะเป็นไปได้อย่างไร อาจารย์นาง…นางไม่เคย…” อูอีเสวี่ยพูดขึ้นช้าๆ แต่เป็นนานก็พูดออกมาไม่จบประโยค
“นางหนูเสวี่ย อย่าตำหนินาง เป็นความผิดของพ่อเอง ที่นางไม่บอกเจ้าเพราะต้องการปกป้องเจ้า หากไม่ทำเช่นนั้น เจ้าคงไม่อาจใช้ชีวิตอย่างมีอิสระไร้สิ่งผูกมัดเช่นนี้ได้ เวลานี้ได้เห็นเจ้าด้วยตาตนเอง พ่อไม่อาจไม่ยอมรับ การตัดสินใจของนางในตอนนั้น…ถูกต้องแล้ว…” ทว่าก็โหดเหี้ยมไร้เยื่อใย ถึงกับปิดบังเขามานานเพียงนี้ ไม่ให้เขาได้รู้เลยว่าตนเองมีบุตรสาวที่น่ารักอยู่คนหนึ่ง กระทั่งเพื่อจะตัดขาดเบาะแสทั้งหมด แม้แต่บุตรสาวนางก็ปิดบัง ใช้ฐานะของอาจารย์มาดูแลบุตรสาว ความรู้สึกของเขาที่มีต่อสตรีผู้นั้นคือทั้งรัก ทั้งโกรธ ทั้งแค้นใจ
อูอีเสวี่ยก็ขอบตาแดงแล้วเช่นกัน หยาดน้ำตาเม็ดโตร่วงเผาะๆ ลงมา นางจับมือไป่หลี่ซี ร้องไห้ระบายความน้อยเนื้อต่ำใจ
“อาจารย์เป็นแม่ของข้า นี่มันเรื่องอะไรกัน เพราะเหตุใดนางจึงไม่บอกข้า ข้าอยู่กับนางมาหลายปีเพียงนี้ นางรักข้า เอ็นดูข้า แต่เพราะเหตุใดจึงปิดบังข้ามาโดยตลอด กระทั่งตายก็ไม่ยอมบอกข้า”
ไป่หลี่ซีรั้งตัวนางเข้ามากอดไว้ เช็ดน้ำตาให้นางด้วยความปวดใจ เขามีความคับแค้นใจมากพอกับบุตรสาว หญิงเจ้าเล่ห์ผู้นั้นไม่เพียงโกหกเขา ยังโกหกบุตรสาว ตอนนี้นับว่าดียิ่ง มีบุตรสาวโกรธนางร่วมกันกับเขา แต่เห็นบุตรสาวเสียใจเขาก็อดสงสารไม่ได้
“เจ้าไม่ต้องเสียใจ แม่ของเจ้ายังไม่ตาย”
เสียงร้องไห้พลันหยุดชะงัก อูอีเสวี่ยตื่นตระหนกตกใจอีกครั้ง ดวงตาชุ่มน้ำตากะพริบปริบๆ ถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “นางยังไม่ตาย?!”
“ใช่ พ่อหาตัวเจ้ามาก็เพื่อล่อนางให้ปรากฏตัวออกมา มีเพียงต้องทำเช่นนี้ พ่อจึงจะ…” เขาคิดจะบอกว่า ‘จึงจะจับตัวนางได้’ แต่รู้สึกว่าคำพูดนี้พูดต่อหน้าบุตรสาวดูจะไม่เหมาะสม ครั้นแล้วจึงเปลี่ยนคำพูด “พ่อจึงจะได้พบนาง”
ใช่แล้ว เขาต้องการพบนาง นางเข้าใจว่าแสร้งตายก็หลอกเขาได้เช่นนั้นหรือ เขาไป่หลี่ซีไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายดาย ตอนรู้ว่านางอาจไม่ได้ตายเขาโกรธมาก
หญิงผู้นั้นถึงกับแกล้งตาย นางรู้หรือไม่ ตอนได้รับข่าวว่านางตายเขาเสียใจมากเพียงใด
รักมากเพียงใด หัวใจก็เจ็บปวดมากเพียงนั้น ความเสียใจของเขาแปรเปลี่ยนเป็นความแค้น เขาแค้นนาง เขาจะต้องจับตัวนางมาให้ได้ การจับตัวนางได้กลายเป็นความมุ่งมั่นของเขาไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาไม่เพียงจับตัวบุตรสาวมา ยังออกประกาศจับไปทั่วทั้งใต้หล้า
ไม่ว่านางซุกซ่อนตัวอยู่ที่ใด ต่อให้ขึ้นสวรรค์ลงนรก เขาก็จะต้องหาตัวนางให้พบให้ได้!
เพลิงโทสะทั่วร่างของเขา แม้แต่อูอีเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมแขนก็สัมผัสได้ นางกะพริบตาที่มีหยาดน้ำตาคลอขังมองสีหน้าของบิดา อย่าเห็นว่านางดูทึ่มทื่อ นางเป็นหญิงสาวที่งดงามฉลาดเฉียบแหลมผู้หนึ่ง
ฮ่องเต้เป็นบิดาของนาง อาจารย์เป็นมารดาของนาง คนในราชวงศ์กับคนในยุทธภพให้กำเนิดนาง แค่คิดก็รู้ว่าเบื้องหลังจะต้องมีเรื่องราวที่มีสีสันน่าสนใจแน่นอน อีกทั้งท่านแม่ยังแกล้งตาย ที่ทำไปหากไม่ใช่เพราะต้องการจะซุกซ่อนตัวจากท่านพ่อแล้วจะเป็นเรื่องใดได้
หัวสมองของอูอีเสวี่ยหมุนอย่างรวดเร็ว ที่ท่านพ่อฮ่องเต้ของนางจับตัวนางมาต้องทำไปเพื่อท่านแม่อาจารย์แน่นอน และเพราะเหตุใดท่านแม่อาจารย์จึงยอมแสร้งตาย ไม่ยอมพบหน้าท่านพ่อฮ่องเต้ เรื่องนี้จะต้องมีสาเหตุมากมายซ่อนแฝงอยู่ นางจะต้องรู้ให้แน่ชัด ครั้นแล้วนางก็คว้าชายเสื้อท่านพ่อฮ่องเต้ พร้อมเรียกออกมาคำหนึ่ง
“ท่านพ่อ”
สีหน้าที่หม่นขรึมของไป่หลี่ซีพลันตื่นจากภวังค์เพราะคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ความเฉียบขาดดุดันในดวงตาก็เปลี่ยนเป็นใสกระจ่างเพราะน้ำเสียงนุ่มนวลละมุนละไมของบุตรสาว
“นางหนูเสวี่ย” เขาเรียกนางด้วยเสียงอ่อนโยน
“ท่านพ่อ ท่านโปรดเล่าให้ข้าฟังจะได้หรือไม่ ตอนนั้นท่านกับท่านแม่พบกันได้อย่างไร ข้าอยากฟังเรื่องราวของท่านพ่อท่านแม่ อยากเข้าใจพวกท่าน ข้าดีใจมากที่มีคนในครอบครัวแล้ว”
เมื่อใดที่อูอีเสวี่ยประจบออดอ้อนขึ้นมา ในหุบเขาหมื่นบุปผาไม่มีผู้ใดต้านทานได้ นอกจากนางจะมีความงามล่มบ้านล่มเมืองแล้ว อุปนิสัยก็ยิ่งทำให้คนรักและเอ็นดู เป็นหญิงสาวที่ชวนลุ่มหลง คนเห็นคนรัก ผีเห็นผีห่วงใย นางเป็นฝ่ายทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับไป่หลี่ซี แม้ไป่หลี่ซีจะเป็นกษัตริย์ผู้สูงศักดิ์ แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้านางก็เปลี่ยนเป็นบิดาที่ใจอ่อนเปี่ยมไปด้วยรักและเมตตา
เขาถอนหายใจยาว ดึงมือบุตรสาวมานั่งลง ขณะจะเล่าเรื่องในอดีตให้นางฟังอย่างละเอียดอยู่นั้นพลันหยุดชะงัก หันหน้ามองไป แล้วก็เห็นหยวนเจี๋ยเงี่ยหูรอฟัง สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นขรึมลงทันที
หยวนเจี๋ยถูกผู้เป็นนายถลึงตาใส่ก็ตกใจได้สติกลับคืนมา รีบเหยียดตัวยืนตรง
“หยวนเจี๋ย ปิดประตู สั่งการลงไปให้ทุกคนล่าถอยออกไปที่ลานด้านนอก ไม่มีคำสั่งจากเรา ห้ามเข้ามาใกล้เป็นอันขาด”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
หยวนเจี๋ยรีบปิดประตู แม้เขาจะอยากฟังมาก แต่เขาอยากจะรักษาศีรษะของตนไว้มากกว่า
อูอีเสวี่ยถึงกับเป็นพระธิดาของฝ่าบาท! ความลับนี้ยิ่งใหญ่นัก มิน่าฝ่าบาทจึงมีพระบัญชา ถ้านางบาดเจ็บแม้ผมสักเส้น ก็ให้พวกเขาบั่นศีรษะตนเองมาขอรับผิด นั่นคือองค์หญิงเชียวนะ
ดูจากท่าทางทะนุถนอมดุจของล้ำค่าหายากของฝ่าบาท ยังไม่เคยเห็นทรงปฏิบัติต่อองค์ชาย องค์หญิงองค์ใดในวังมาก่อน เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าในพระทัยของฝ่าบาท ตั้งแต่ต้นจนจบก็มีสตรีที่ชื่ออูมู่ฉินเพียงผู้เดียวเท่านั้น
แม้ดูภายนอกฝ่าบาทจะแค้นสตรีผู้นั้น แต่กับบุตรสาวที่นางเป็นผู้ให้กำเนิดกลับทรงทะนุถนอมยิ่ง มีเพียงต้องรักสตรีผู้นั้นอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะรักและทะนุถนอมลูกที่ทั้งสองให้กำเนิดมา ฝ่าบาทกำลังหลอกตนเองและหลอกผู้อื่น
หยวนเจี๋ยส่ายหน้า เขาสั่งทุกคนให้ล่าถอยออกไปข้างนอก มอบเรือนด้านในให้สองพ่อลูกได้พูดคุยกันอย่างใกล้ชิด เขามีลางสังหรณ์ องค์หญิงผู้นี้เป็นคนเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม การปรากฏตัวของนางเป็นการเปลี่ยนพลิกสถานการณ์ จะต้องคลี่คลายปมที่อัดแน่นอยู่ในใจของฝ่าบาทมานานปี และทำให้สตรีผู้นั้นไม่ดื้อรั้นต่อไปอีกได้แน่นอน
ในห้องเหลือเพียงพวกเขาสองพ่อลูก ในที่สุดไป่หลี่ซีก็สามารถพูดคุยกับนางหนูเสวี่ยของเขาได้เต็มที่แล้ว
ในดวงตาของบุตรสาววาววับไปด้วยหยาดน้ำตา กำลังมองเขาอย่างเฝ้ารอคอย ทำให้หัวใจของเขาอ่อนยวบ ประหนึ่งมีน้ำอุ่นในฤดูใบไม้ผลิมารินรดหลอมละลายหัวใจที่ปิดแน่นเกาะตัวเป็นน้ำแข็งของเขา
“นางหนูเสวี่ย”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
ไป่หลี่ซีถูกคำว่า ‘ท่านพ่อ’ ที่นางเรียกทำให้รอยยิ้มกว้างไปถึงหัวคิ้ว ทั่วทั้งร่างโอนอ่อนผ่อนตามจนไม่มีท่าทีน่าเกรงขามหลงเหลือแม้แต่น้อย มีแต่ความรักและเอ็นดูเต็มเปี่ยม
“เรื่องนี้ต้องเริ่มจากเมื่อสิบแปดปีก่อน…”
ความทรงจำของไป่หลี่ซีล่องลอยไปยังเรื่องราวเมื่อสิบแปดปีก่อน ณ หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างไกลแห่งนั้น แม้จะไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์และบ้านเรือนที่งามหรูหรา ทั้งไม่มีอาหารเลิศรส ยิ่งไม่มีเหล่าขุนนางหมอบกราบอยู่กับพื้น แต่ช่วงเวลานั้นกลับเป็นช่วงเวลาที่เขามีอิสระไร้สิ่งผูกมัดและเรียบง่ายดีงามที่สุดในชีวิต
นางกับเขาในเวลานั้นไม่มีฐานะและตำแหน่งมาผูกมัด ไม่มีอำนาจอิทธิพลและผลประโยชน์มาพัวพัน เป็นเพียงสามีภรรยาคู่หนึ่งในหมู่บ้านชนบท
เรื่องราวเริ่มขึ้นจากตอนที่เขาได้พบกับนาง เขากับนางเดิมทีเป็นไปไม่ได้ที่จะได้พบเจอกัน ทั้งหมดเป็นเพราะสวรรค์ล้อเล่นกับคน…
โปรดติดตามตอนต่อไป…..
Comments
comments