X
    Categories: ทดลองอ่านบัญชาปราบโฉมงาม ชุดข่าวลือในยุทธภพมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บัญชาปราบโฉมงาม บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ห้า

อูมู่ฉินคาดคิดไม่ถึงว่าหม่าเฉวียนที่เป็นคนซื่อๆ จะใช้อำนาจบาตรใหญ่จูบนางเช่นนี้ นางคิดมาโดยตลอดว่าเขาไม่กล้า อย่างมากก็จุมพิตนางอย่างขวยเขิน จากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ดี

ทว่าเขาไม่เพียงจุมพิตอย่างอุกอาจ ยังแข็งกร้าวยิ่ง ฝ่ามือใหญ่โอบรั้งท้ายทอยของนาง ทำให้จูบนี้ยิ่งลึกซึ้งดูดดื่ม

ปลายลิ้นร้อนผ่าวดุจมังกรรุกล้ำเข้าไปในปากของนาง ข่มเหงระรานลิ้นน้อยๆ ของนาง ก่อกวนหัวใจของนาง ทำให้จิตใจของนางว้าวุ่นไปหมด ทำเอานางอดดิ้นรนไม่ได้ ผู้ใดจะรู้การเคลื่อนไหวนี้กลับปลุกเร้าเขาให้จุมพิตลึกซึ้งขึ้น หนักหน่วงขึ้น และอุกอาจเอาแต่ใจมากขึ้น

จุมพิตของเขาคล้ายจะพัดม้วนนางเข้าไปในวังน้ำวน ทำให้หัวใจของนางสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่ นางชอบการจุมพิตเช่นนี้ มันทำให้ร้อนรุ่มไปทั้งตัว

ไป่หลี่ซีผละออกไปเล็กน้อยแล้วจ้องมองนาง เห็นกลีบปากของนางภายใต้การประทับตราของเขามีสีแดงสวยสดงดงามดุจดอกอิงฮวา ดวงตาใสกระจ่างของนางก็มีแววเลื่อนลอยทำอะไรไม่ถูกเพิ่มเข้ามา

นางชื่นชอบ?!

นัยน์ตาดำของเขาเปลี่ยนเป็นล้ำลึกขึ้น ลึกลงไปในดวงตาราวกับมีเปลวไฟไหวระริก เขาทาบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง หากบอกว่าจุมพิตเมื่อครู่คล้ายลมพายุฝนที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรง ครั้งนี้ก็เป็นสายลมในฤดูใบไม้ผลิโลมไล้ต้นหลิว ค่อยเป็นค่อยไปอย่างนุ่มนวล

เขาไม่อยากทำให้หญิงสาวที่ใสบริสุทธิ์ต้องตื่นตระหนกเสียขวัญ เพียงอยากให้นางเคลิบเคลิ้มอยู่ภายในห้วงพิศวาส

อูมู่ฉินถูกเขาจุมพิตจนเริ่มเกิดอารมณ์ปฏิพัทธ์ จุมพิตนุ่มนวลอ่อนโยนของเขามีเสน่ห์ดึงดูดใจให้เคลิบเคลิ้มลุ่มหลง ทำให้คนไม่อาจถอนตัวและอยากจะได้มากขึ้นกว่านี้

จิตใจของสาวน้อยถูกปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกของความเป็นหญิงออกมาเพียงเพราะเขามอบจุมพิตร้อนแรงให้กับนาง จุมพิตนี้สั่นสะเทือนไปถึงจุดซ่อนเร้นอ่อนไหวนุ่มนวลของนาง

ไป่หลี่ซีพลันอุ้มนางขึ้นมา ก้าวยาวๆ เข้าไปในห้อง วางร่างนางลงบนเตียง ฝ่ามือใหญ่ทาบทับไปที่หน้าอกของนาง ความร้อนลวกผิวโดยมีเสื้อผ้ากั้นขวางอยู่ทำให้นางอดสั่นสะท้านไม่ได้ และดวงตาเจิดจ้าแวววาวของเขาก็จ้องมองนางนิ่ง สิ่งที่ปรากฏชัดอยู่ในดวงตาคือไฟปรารถนาอันร้อนแรง

“ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็จะหยุดแต่เพียงเท่านี้” เสียงแหบพร่าของเขาคล้ายมีเสน่ห์รัดรึงใจอย่างหนึ่ง

นางมองเขา กวางน้อยในใจวิ่งวุ่น ชั่วขณะนี้เวลานี้คนทั้งสองแนบชิดติดกันเช่นนี้ นางถึงพบว่าที่แท้เขามีดวงตาที่ชวนลุ่มหลงคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นี้ลึกล้ำมองไม่เห็นก้นบึ้ง ลูกนัยน์ตาดุจหยกดำเนื้อดี และดวงหน้าที่แดงระเรื่อด้วยความขวยอายของนางก็ฝังอยู่ในหยกดำ

นางรู้ถัดจากนี้จะเกิดเรื่องใดขึ้น ตอนนางมีระดูครั้งแรก อาจารย์ก็สอนนางแล้ว และนางเองก็อ่านหนังสือเล่มเล็กเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาไม่น้อย

นางหน้าแดงราวกับหยดโลหิต แต่นางไม่ได้ถอยหนี เพราะนางไม่อยากหยุด นางก็อยากจะกินเขายิ่งนัก…

“ข้า…ข้ากลัวเจ็บ…”

ไป่หลี่ซีฟังแล้วประสาทที่ตึงเครียดอยู่ในที่สุดก็ผ่อนคลายลง เขากลัวนางจะปฏิเสธ แต่นางไม่ได้บอกไม่เต็มใจ หากแต่บอกว่ากลัวเจ็บ ลูกนัยน์ตาดุจหยกดำของเขาพลันมีรอยยิ้มผุดขึ้น

“คงเจ็บบ้าง แต่ข้าจะพยายามเบามือที่สุด” มือข้างหนึ่งของเขาค่อยๆ ปลดสายผูกเสื้อของนาง ประหนึ่งกำลังแกะห่อของกำนัลชั้นเลิศ

พร้อมๆ กับการเคลื่อนไหวของเขา หัวใจของนางก็เต้นรัวแรงขึ้นทุกขณะ

“แต่ข้าก็ยังกลัว…”

“ไม่ต้องกลัว ทุกเรื่องล้วนมีข้าอยู่” เสียงของเขายิ่งเบาลง มือแกะสายผูกเสื้อเส้นสุดท้ายออก ก่อนจะเปิดเสื้อออกช้าๆ เผยให้เห็นเอี๊ยมสีชมพูที่อยู่ด้านใน

“ที่กลัวก็คือท่าน” เสียงนางเจือการไม่ได้รับความเป็นธรรม กลีบปากที่เจ่อบวมเป็นหลักฐานยืนยันหลังถูกเขาย่ำยี

รอยยิ้มของเขากว้างขึ้น เอ่ยเสียงต่ำพร่า “ตอนนี้เพิ่งมากลัวข้า สายไปแล้ว” ฝ่ามือใหญ่แทรกเข้าไปในเอี๊ยม ลวกผิวนุ่มนิ่มที่เย็นเฉียบของนาง

ไป่หลี่ซีก็คาดคิดไม่ถึง เขาไม่เคยแตะถูกร่างกายของนาง ไม่รู้ว่าผิวหนังของนางจะเย็นชุ่มชื่นเช่นนี้ ในวันที่อากาศร้อนมาก ร่างของนางดุจหยกน้ำแข็งชั้นเลิศ ความรู้สึกยามสัมผัสดียิ่ง นุ่มเนียนเกลี้ยงเกลา

“ผิวของเจ้า…สบายยิ่งนัก…” เขาถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ยชม

แก้มของนางคล้ายเมฆแดงเรื่อด้วยแสงเงินแสงทองยามสายัณห์ ไม่รู้เป็นเพราะคำชมของเขาหรือเพราะการลูบไล้กันแน่

“ข้ายังไม่ได้รับปากจะให้ท่านเลย” นางกดมือที่ลูบคลำเข้ามาของเขา แสร้งทำเป็นไม่อนุญาตให้เขารุกล้ำมากไปกว่านี้

“แต่เจ้าก็ไม่ได้บอกไม่ให้” เขาจุมพิตนางอย่างไม่ฟังเหตุผล ปิดการทักท้วงของนางเสีย เพียงได้ยินเสียงครางอู้อี้ของนาง ฝ่ามือใหญ่ของเขากอบกุมหน้าอกข้างซ้ายของนางไว้ทั้งหมด ไม่มีเสื้อผ้ากั้นขวางอีก หากแต่ใช้ความร้อนในร่างกายของเขาลวกช่อดอกตูมเย็นชุ่มชื่นของนาง

เอาเถิด นางยอมแพ้แล้ว เพราะ…นางก็ปรารถนาในตัวเขาเช่นกัน

ประมุขหุบเขาหมื่นบุปผาทุกยุคทุกสมัยล้วนต้องฝึกวิชาลับเฉพาะของสำนัก เรียกว่าวิชาบุปผาบิดเกลียว นี่เป็นวิชาที่ปฐมาจารย์ผู้ก่อตั้งสำนักเป็นผู้คิดค้นขึ้น เหมาะสำหรับอิสตรีฝึกฝนที่สุด มีประสิทธิภาพในการหยุดใบหน้าเอาไว้ ความงามไม่เสื่อมถอย

ไม่ต่างจากสำนักอื่นๆ ในยุทธภพ ก่อนจะถ่ายทอดวรยุทธ์นี้ให้ก็ต้องเลือกศิษย์ที่มีโครงกระดูกและพื้นฐานร่างกายที่ดีมารับการถ่ายทอด วิชาบุปผาบิดเกลียวก็เช่นกัน

เค้าโครงและพื้นฐานร่างกาย รวมทั้งผิวพรรณของอูมู่ฉินล้วนเหมาะสมที่จะฝึกวิชาบุปผาบิดเกลียว วิชานี้ไม่เพียงสามารถรักษาความงามในวัยสาว ยังทำให้เรือนร่างของสตรีผู้นั้นอ่อนนุ่ม ผิวพรรณนวลเนียนเกลี้ยงเกลาดุจแพรไหม ทำให้บุรุษลุ่มหลง

ไป่หลี่ซีไม่รู้ถึงสาเหตุ ตื่นตะลึงที่ร่างกายของนางนุ่มนิ่มยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ เพียงรู้สึกว่าร่างกายของนางนวลเนียนดุจหยก แทบจะทำให้ดวงวิญญาณของเขาหลุดลอยจากร่าง และเขาที่ครอบครองหยกงามอยู่ในอ้อมแขนก็เพียงอยากจะหลงระเริงอยู่ในความสุขนี้

เขาถอดเสื้อผ้านางออกหมด เดิมตั้งใจจะปฏิบัติต่อนางด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยน ทะนุถนอมระมัดระวัง แต่ไฟปรารถนาที่พุ่งสูงกลับทำให้เขาแข็งขึงไปทั้งร่าง ทุกอณูผิวหนังของคนที่อยู่ใต้ร่างปลุกเร้าความรู้สึกของเขาขึ้นมามากกว่าที่คาดคิด หน้าอกของนางอวบอิ่มนุ่มนิ่ม เรือนร่างอรชรอ้อนแอ้นชวนหลงใหล ทำให้โลหิตของเขาสูบฉีดรุนแรง ไฟปรารถนาที่ข่มกลั้นมานานดุจสัตว์ป่าที่สั่งสมพลังพร้อมจะเข้าโจมตี เพียงคิดจะย่ำยีคนที่อยู่ใต้ร่างให้สาสมใจ

เสียงครวญครางของสาวบริสุทธิ์ประหนึ่งท่วงทำนองเพลงกระชากวิญญาณ ทำให้เขาบุกโจมตีเมืองยึดพื้นที่ เพียงคิดจะพิชิตให้ราบคาบ กระทั่งลมพายุฝนผ่านไป เขาจึงรู้ตัวว่าตนโถมเข้าไปในอารมณ์พิศวาสมากเกินไป ถึงกับลืมว่าต้องนุ่มนวล ส่วนนางที่อยู่ใต้ร่างหลังจากถูกลมพายุฝนกระหน่ำอย่างรุนแรงก็มีท่าทีระทดระทวยอ่อนแรงแบบหญิงที่เพิ่งผ่านประสบการณ์ครั้งแรก ท่าทางระทดระทวยนี้กลับทำให้นางดูงามรัดรึงใจมากยิ่งขึ้น ดูอ่อนหวานบอบบางทำให้คนเห็นแล้วเวทนาสงสาร เขารู้สึกกระทั่งว่าแม้แต่เหงื่อที่ซึมออกมาจากร่างของนางก็ยังหอมหวน

“ขอโทษ ข้าหยาบคายเกินไปแล้ว”

นางทุบเขา “หน้าของท่านกำลังยิ้ม ไม่มีความจริงใจ”

เขาหัวเราะในลำคอ เพราะนางกล่าวไม่ผิด เขาไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย กลับชื่นมื่นในความสำเร็จเพราะได้เสพสุขอันมหาศาล

เขาชอบรังแกนางและร่างกายของนาง เขาคล้ายได้สิ่งล้ำค่ามาอย่างหนึ่ง ยังคงจุมพิตขบเม้มเนื้อตัวของนางด้วยความลุ่มหลง ประหนึ่งเพิ่งจะลิ้มรสชาติอันเอร็ดอร่อยของสัตว์ที่ล่ามาได้จนหมด แต่ยังคงไม่สาสมใจแทะกระดูกที่เหลือต่อ

เรือนผมยาวของอูมู่ฉินแผ่กระจายอยู่บนเตียง บนใบหน้ามีแววเหนื่อยล้าที่บอกไม่ถูกขุมหนึ่ง

นางหอบหายใจเบาๆ ในลมหายใจยังคงหลงเหลือกลิ่นอายอันมีเสน่ห์หลังผ่านอารมณ์ร้อนแรง คิดไม่ถึงว่าบุรุษท่าทางซื่อๆ ผู้นี้ เมื่อถอดเสื้อผ้าออกแล้ววิญญาณสัตว์ป่าจะกำเริบขึ้น แทบจะถลกหนังนางออกมาชั้นหนึ่ง

เห็นหัวคิ้วงามของนางขมวดมุ่น คล้ายเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก ในที่สุดเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมา

“เจ็บมากหรือ”

นางบอกอย่างกระฟัดกระเฟียด “ปวดเอว ปวดกระดูก ปวดไปทั้งตัว”

เขาหัวเราะเสียงต่ำ จุมพิตไปที่ใบหน้าของนาง คลอเคลียใบหน้ากับนางราวกับสัตว์ป่าที่ได้กินอิ่มและไม่ดุร้ายตัวหนึ่ง คิดจะประจบเอาใจสตรีของเขา

“ท่านถอยไป หนักจะตายแล้ว” นางผลักเขา ช่วงล่างของร่างกายรู้สึกไม่สบายจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อครู่ ทำให้นางทนไม่ไหวแสดงอารมณ์ออกมาเล็กน้อย หากรู้แต่แรกว่าเจ็บเพียงนี้ก็จะไม่โอนอ่อนตามเขามากนัก

ไป่หลี่ซีประหลาดใจ ที่แท้เด็กสาวโง่งมผู้นี้ก็มีโมโหกับเขาเหมือนกัน เขาเหมือนได้ค้นพบของล้ำค่าใหม่เช่นนั้น ไม่เพียงไม่เห็นว่าเป็นการกระทำที่ไม่เคารพ กลับชอบใจ ประหนึ่งแมวน้อยแสนเชื่องในอ้อมแขน บางครั้งบางคราวก็ยื่นกรงเล็บออกมาข่วนคนบ้าง ไม่เจ็บ กลับน่ารักน่าเอ็นดู

“รีบถอยไป” นางออกแรงผลักเขา อยากขยับออกจากใต้ร่างเขา ทั้งร่างมีแต่เหงื่อ นางอยากอาบน้ำ

เขาไม่ใช่คนที่ละโมบในกามารมณ์ และควบคุมความต้องการในด้านนี้ได้ดี แต่หลังจากได้แตะต้องนางแล้ว เขากลับเหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งมีประสบการณ์เป็นครั้งแรก กอปรกับกระบี่แห่งความปรารถนาของเขายังอยู่ในร่างของนาง ไม่อาจตัดใจออกมา ยามนี้พอนางขยับเนื้อตัว ไม่ระวังไปเสียดสีกระบี่ของเขาเข้า ทำให้เปลวไฟในใจเขาลุกโชนขึ้นมา ชูกระบี่แสดงพลานุภาพขึ้นอีกครั้ง

อูมู่ฉินชะงักค้าง นางรู้สึกถึงการขยายตัวที่ช่วงล่างของร่างกาย เมื่อช้อนตาขึ้นมองก็เห็นไฟปรารถนาในส่วนลึกของดวงตาเขา จึงแอบร้องแย่แล้ว คิดจะรีบผละออก ทว่าหัวไหล่ทั้งสองพลันถูกเขากุมไว้แน่น เขาหยัดเอวขึ้น กระบี่คมแทงลึกเข้าไปในร่างของนางอีกครั้ง

“อ๊า!” นางกรีดร้อง ส่งเสียงประท้วง “ไม่เอา ข้าเจ็บ!”

“ไม่ต้องกลัว ครั้งนี้ข้าจะนุ่มนวลขึ้น เด็กดี…” เขาทั้งโกหกทั้งหลอกล่อปลอบขวัญนาง ใช้ริมฝีปากร้อนผ่าวปิดปากนางไว้ คลื่นลมพัดกระพือโหมอีกครั้ง

 

แม้คนซื่อยามอยู่บนเตียงจะไม่ซื่อ แต่ด้านการปฏิบัติตัวจะอย่างไรก็ยังซื่อ

หลังจากได้นางแล้ว หม่าเฉวียนก็แสดงความรับผิดชอบบอกจะแต่งนางเป็นภรรยา แน่นอนนางเองก็เต็มใจจะแต่งงานกับเขา ทุกคนในหุบเขาหมื่นบุปผาล้วนสามารถเลือกคนที่ตนชอบแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ขอเพียงทั้งสองฝ่ายผูกสมัครรักใคร่กัน และนางในฐานะประมุขหุบเขาย่อมมีสิทธิ์ที่จะเลือกบุรุษที่ตนชอบมาเป็นสามีของนาง

นางไม่คิดจะบอกหม่าเฉวียนถึงฐานะของตนชั่วคราว และไม่คิดจะพาเขากลับไปหุบเขาหมื่นบุปผาในเวลานี้ด้วยกลัวเขาจะตกใจ ยามนี้เป็นช่วงหวานชื่นของคนทั้งสอง นางอยากจะเสพสุขจากช่วงเวลาที่อยู่กันสองคนให้เต็มที่ก่อน

ส่วนไป่หลี่ซีก็ยังคงปิดบังนางต่อไป ยังไม่ให้นางรู้ว่าตนเป็นรัชทายาทของราชวงศ์ปัจจุบันชั่วคราว ประการแรกไม่อยากทำให้นางตกใจ ประการที่สองก็เพราะหวังดีต่อนาง นางใสซื่อเกินไป วิธีนี้สำหรับนางจึงดีที่สุดแล้ว

ไม่มีสามแม่สื่อหกพิธีพวกเขาสาบานต่อฟ้าดิน ให้ดวงตะวันจันทราเป็นแม่สื่อ ร่วมผูกสัมพันธ์เป็นสามีภรรยากัน

นางทำอาหารรสเลิศโต๊ะหนึ่ง เขาไปซื้อสุราอย่างดีมา นางสวมชุดแดงที่หญิงชาวบ้านในครอบครัวชาวนาสวมใส่ ปักดอกไม้แดงดอกหนึ่งบนมวยผม ส่วนเขาก็เปลี่ยนมาสวมชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้าน ยังคงดูเป็นคนหยาบๆ ซื่อๆ แต่ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาว ท่าทางโง่งมเวลายิ้มทำให้นางเห็นแล้วไม่อาจละสายตา หัวใจราวกับจะหลอมละลายเต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นอ่อนหวาน

ทั้งสองชูจอกร่วมดื่ม นางตักข้าวให้เขา เขาคีบกับข้าวให้นาง สองคนดื่มสุรามงคลของพวกตน แย้มยิ้มมองสบตากันและกัน ความรักดื่มด่ำโดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมา

ที่ผ่านมากระท่อมมุงหญ้าคาแห่งนี้มีเขาอยู่อาศัยเพียงคนเดียว บุรุษไม่กลัวถูกคนเห็นร่างกายเปล่าเปลือย ดังนั้นห้องอาบน้ำจึงสร้างอย่างง่ายๆ หยาบๆ เพียงเอาไม้กระดานไม่กี่แผ่นปิดบังไว้ แต่เวลานี้เพื่อนางแล้วเขาจึงสร้างห้องอาบน้ำใหม่ ก่อนอื่นก็ไปตัดไม้จากบนภูเขากลับมา เอามีดเอาขวานผ่าออก สร้างกำแพงไม้ขึ้นที่ลานด้านหลัง กั้นเป็นพื้นที่มิดชิดขึ้นมา

เขายังเอาเงินเหรียญสำริดที่ได้จากการขายหนังสัตว์มาใช้กับนางทั้งหมด ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้นาง อีกทั้งหวีเครื่องแต่งตัวต่างๆ ที่อิสตรีต้องใช้ คนผู้นี้ปากไม่รู้จักพูดจาให้น่าฟัง แต่สิ่งใดที่ผู้เป็นสามีควรทำ เขาก็จะเป็นฝ่ายจัดเตรียมให้นางจนหมดสิ้น

อูมู่ฉินเคยได้ยินอาจารย์พูดไว้ บุรุษเพื่อจะให้ได้มาซึ่งร่างกายของอิสตรีก็จะพูดจาไพเราะหวานหู พึงระวังให้จงดี แต่นางรู้หม่าเฉวียนไม่เหมือนกัน เขาปากแข็งใจอ่อน ยามค่ำคืนอากาศหนาวเย็นก็รู้จักห่มผ้าให้นาง

เขาออกจากหมู่บ้านเข้าเมืองอยู่เสมอ บางครั้งบางคราวก็จะเดินทางไปไกลบ้าง ไม่อยู่บ้านสามวันห้าวัน ซึ่งนางก็จะฉวยโอกาสนั้นออกไปสำรวจข้างนอก ตันไหวชิงยังคงตามจับตัวนางอยู่ ค่ายกลที่จัดวางอยู่รอบภูเขายังคงอยู่ ความจริงนางสามารถปลอมแปลงโฉมแล้วหนีไป และสามารถติดต่อผู้คุมกฎทั้งสี่ให้มารับนาง แต่นางหลงรักหม่าเฉวียนแล้ว อยากใช้ชีวิตหวานชื่นที่มีเพียงนางกับเขาสองคนสักระยะหนึ่ง ดังนั้นครั้งนี้นางจึงฉวยโอกาสช่วงที่หม่าเฉวียนไม่อยู่ ถ่ายทอดคำสั่งลับกลับไปหุบเขาหมื่นบุปผา

ในยุทธภพการถ่ายทอดข่าวสารจะใช้นกพิราบส่งข่าว แต่นกพิราบส่งข่าวบินอยู่บนท้องฟ้า เป็นการบอกให้ผู้อื่นรู้ว่ามันเป็นพิราบส่งข่าว ไม่น่าวางใจแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้นางกับผู้คุมกฎทั้งสี่จึงใช้วิธีพิเศษอีกวิธีหนึ่งในการติดต่อกัน นางหยิบขลุ่ยนกที่ทำขึ้นพิเศษออกมา แล้วเป่าเป็นเสียงนกร้องขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากนั้นราวสองเค่อ ได้ นกแร้งตัวหนึ่งก็บินลงมา เบิกนัยน์ตาที่กลอกไปมาอย่างรวดเร็วจ้องมองนาง

บนเทือกเขาหุบปีศาจมีนกแร้งเกาะอยู่จำนวนมาก นกแร้งกินซากศพโดยเฉพาะ ถูกมองว่าเป็นนกที่ไม่เป็นมงคล ผู้คนไม่ชอบ ดังนั้นจึงพยายามอยู่ให้ห่างมัน ด้วยเหตุนี้ใช้นกแร้งถ่ายทอดข่าวสารจึงดีกว่าใช้พิราบส่งข่าวมากนัก

นกแร้งบนเทือกเขาหุบปีศาจถูกพวกนางฝึกฝนจนเพียงได้ยินเสียงขลุ่ยนกก็รู้ว่ามีของกิน

นางเอาข่าวสารที่จะส่งผูกไว้ที่ขานกแร้ง จากนั้นก็เอาเนื้อสดให้มันชิ้นหนึ่ง นกแร้งกลืนเนื้อสดไปในคำเดียว หลังกินเสร็จก็บินจากไป มันจะบินกลับหุบเขาหมื่นบุปผาและเอาข่าวของนางกลับไปด้วย

อูมู่ฉินนับวันดู คาดว่าวันนี้หม่าเฉวียนน่าจะกลับมาแล้ว ดังนั้นนางจึงไปรอเขาอยู่ในกระท่อมอย่างว่านอนสอนง่าย คล้ายว่านางไม่เคยออกไปไหน พอพลบค่ำหม่าเฉวียนก็กลับมาจริงๆ ทั้งยังมีของฝากกลับมาให้นางด้วย

ตั้งแต่หวี ผ้าเช็ดหน้า ปิ่นไม้ สิ่งของที่หญิงสาวต้องการเขาซื้อมาให้นางทุกอย่าง แต่กลับไม่เคยซื้ออะไรให้ตนเอง

เขาที่เป็นเช่นนี้ทำให้อูมู่ฉินรู้สึกอบอุ่นในหัวใจยิ่ง แม้บุรุษผู้นี้จะหล่อเหลาสู้ศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางไม่ได้ หน้าตามีแต่หนวดเคราไม่ชวนให้คนชื่นชอบ ทั้งยังเป็นคนในหมู่บ้านชนบท แต่นางก็รักในความเรียบง่ายของเขา ในสายตาของนาง เขาหน้าตาชวนมองกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องที่หล่อเหลาเหล่านั้นเสียอีก

ทว่าหลังจากแต่งงานเป็นสามีภรรยากับเขา นางจึงได้รู้ว่าตอนนั้นตนมองพลาดไปหลายอย่าง เขาเป็นคนซื่อๆ แค่ตอนกลางวันเท่านั้น พอตกกลางคืนก็เหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคน ปฏิบัติต่อนางตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่สำรวมเลย

กลางวันทะนุถนอมนางราวสมบัติล้ำค่า กลางคืนรักใคร่นางเพียงคิดจะกินให้อิ่ม!

“ท่านพี่ ท่านกินมากไปแล้ว” นางใช้เท้ายันแผ่นอกเขาไว้ ไม่อนุญาตให้เขากินอย่างตะกละตะกลาม

“น้องหญิงรสชาติเยี่ยมยอด ข้ากินเท่าไรก็ไม่อิ่ม”

“สามครั้งแล้ว ยังไม่พออีกหรือ!” นางทนไม่ไหวโมโหขึ้นมา ร่างกายนี้ไม่ใช่ให้เขามาทรมาทรกรรมเช่นนี้ แม้นางเองก็เสพสุขอย่างมาก แต่สุดท้ายที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ายังคงเป็นนาง!

“น้องหญิงเหนื่อยแล้วหรือ”

นางรีบบอกด้วยท่าทางน่าสงสาร “เหนื่อยมาก”

“เอาเถิด” เขาทอดถอนใจ นางได้ยินแล้วดีใจ ทว่าเพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกก็ได้ยินเขาเอ่ยขึ้น “เจ้านอนเถิด ข้าจะทำเอง เจ้าไม่ต้องสนใจข้า”

หา? บอกให้นางนอน เขาจะทำเอง เช่นนั้นยังมิใช่ไม่มีอะไรแตกต่างกันหรอกหรือ! เขากินนางเช่นนี้ นางทำตัวเป็นปลาตายได้ก็แปลกแล้วกระมัง

“ไม่ได้!” นางชักสีหน้าแล้ว ถึงตายก็ไม่ยอมแพ้

“น้องหญิงดูกระฉับกระเฉงเช่นนี้ ไม่คล้ายเหนื่อยมาก” เขาหัวเราะเสียงต่ำ รังแกนางอย่างไม่ฟังเหตุผล ขบเม้มริมฝีปากของนาง รบเร้าเซ้าซี้นางไม่ยอมเลิกรา

ภายใต้การคลุกเคล้าพันพัวกันไปมา นางก็ถูกปลุกเร้าแรงปรารถนาในร่างกายขึ้นมาอีก ส่วนใดบนร่างนางที่ไวต่อความรู้สึก บริเวณใดที่เป็นจุดอ่อนเขารู้ดี ดูเถิดคนผู้นี้ช่างเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยิ่งนัก!

นางเลิกดิ้นรนหลบหนีและโอบกอดเขาอย่างยากจะอดใจไว้ได้ พลางคิดในใจว่าช่างเถิด ถลำลึกตามเขาไปก็แล้วกัน

วันรุ่งขึ้น นกแร้งตัวหนึ่งบินลงมาใกล้ลานด้านหลังและหยุดอยู่บนต้นไม้ใหญ่

นกแร้งที่ผ่านการฝึกฝนจะแสนรู้ เมื่อเห็นว่านอกจากนางละแวกใกล้เคียงยังมีคนแปลกหน้าอยู่ด้วย ดังนั้นจึงเกาะอยู่บนต้นไม้สังเกตการณ์

อูมู่ฉินรู้ว่านกแร้งหลบหม่าเฉวียนที่กำลังจัดการหญ้าคาตากใหม่อยู่ที่ลานด้านหน้า นางจึงฉวยจังหวะที่เขากำลังยุ่งลอบใช้วิชาตัวเบาทะยานออกจากลานด้านหลัง และหลบไปอยู่ตรงสถานที่มิดชิดแห่งหนึ่ง

นกแร้งบินตามนางมา พอนางยกมือขึ้น นกแร้งก็บินลงมาอย่างว่าง่าย

อูมู่ฉินเดินเข้าไปแกะผ้าชิ้นหนึ่งออกจากขานกแร้งและคลี่ออกดู ในนั้นเขียนตัวอักษรไม่กี่ตัว

 

‘อินทรีตัวเมียตามก้นอินทรีตัวผู้ ไปหาไข่มังกร’

 

ตัวอักษรไม่กี่ตัว คนที่ไม่รู้เรื่องภายในอ่านแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเขียนอะไร แต่อูมู่ฉินกับผู้คุมกฎทั้งสี่เล่นด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต มีสัญญาอันเป็นที่รู้กันเหนือกว่าคนทั่วไป นางรู้ผู้คุมกฎเสือดาวเป็นคนเขียน เพียงครุ่นคิดเล็กน้อยก็เข้าใจแล้ว จึงอดหัวเราะพรืดออกมาไม่ได้

อูหวั่นเซียงเป็นผู้คุมกฎอินทรี ดังนั้นอินทรีตัวเมียจึงหมายถึงนาง ส่วนอินทรีตัวผู้ย่อมเป็นซือถูหราน ส่วนไข่มังกรนั้น…มังกรเป็นตัวแทนของโอรสสวรรค์ ไข่มังกรคือลูกชายของเขา ย่อมหมายถึงรัชทายาท ความหมายก็คือซือถูหรานเร่งรุดไปรับใช้รัชทายาท ส่วนศิษย์พี่หวั่นเซียงก็ไล่ตามก้นเขาไปแล้ว

ที่แท้รัชทายาทหาได้หายตัวไป หากแต่จงใจหายตัวไป ดูท่าจะมีแผนการใหญ่ซุกซ่อนอยู่ภายใน

การต่อสู้ในราชสำนักแต่ไรมาก็ไม่เกี่ยวกับพวกนางคนในยุทธภพ นางก็ไม่ว่างจะไปสนใจเรื่องของรัชทายาทผู้นั้น นางเพียงต้องการยืนยันให้แน่ใจหลังจากช่วยแม่ทัพซือถูแล้วว่าผู้คุมกฎทั้งสี่กับลูกน้องคนอื่นๆ ปลอดภัยดี

อูมู่ฉินกลับเข้าไปในบ้าน เมื่อออกมาอีกครั้ง ก็เอาผ้าผืนใหม่ไปผูกที่ข้อขานกแร้ง ส่งข่าวกลับไปหุบเขาหมื่นบุปผา จากนั้นก็โยนเนื้อกระต่ายให้มันชิ้นหนึ่ง นกแร้งได้กินเนื้อเป็นรางวัลแล้วก็กางปีกบินกลับไปทางหุบเขาหมื่นบุปผา ส่วนนางก็กลับไปที่ลานด้านหลังโดยไม่มีคนรู้เห็น ตากเสื้อผ้าของนางต่อไป

สองสามีภรรยาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่แก่งแย่งชิงดีทะเลาะเบาะแว้งกับผู้ใด ชายทำนาหญิงทอผ้า ยามเขาไปเพาะปลูกในนาหรือขึ้นเขาไปล่าสัตว์ นางก็อยู่ที่กระท่อมเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ หุงหาอาหารทำกับข้าว

เมื่อถึงยามค่ำคืน ทั้งสองก็นั่งอยู่ใต้แสงจันทร์ มีอาหารจานเล็กจานน้อยโต๊ะหนึ่งกับสุรา ชูจอกร่วมดื่ม เขาใช้ปากป้อนสุราให้นางอย่างซุกซน กรอกสุรานางจนสองแก้มแดงปลั่ง นางถลึงตาใส่เขาด้วยความขุ่นเคือง ทั้งยังกัดเขาคำหนึ่ง ดวงตาที่มองจ้องมาของนางหยาดเยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ยิ่ง ทำให้เขาไม่อาจเบนสายตาหนีไปได้ แรงปรารถนาของเขาถูกปลุกเร้าขึ้น คว้าตัวนางมาได้ก็บดขยี้ด้วยการจูบเคล้าคลออยู่พักใหญ่

เขายังทำกระดานหมากและตัวหมากด้วยไม้แล้วสอนนางเดินหมาก นางเดินหมากเป็น แต่กลับแสร้งว่าเดินไม่เป็น หลังจากแพ้ไปหลายกระดาน นางก็เริ่มเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้านๆ จะให้เขายอมอ่อนข้อให้นางให้ได้ เอาเบี้ยสามตัวเรือม้าปืนใหญ่ออก นางจึงจะยอมเล่นต่อไป เขารับปากแล้ว แต่กลับตั้งเงื่อนไข แพ้ครั้งหนึ่งก็ต้องถอดเสื้อผ้าออกชิ้นหนึ่ง

นางแสร้งทำเป็นกล้อมแกล้มรับปาก ในใจกลับลิงโลด เขาขาดเรือม้าปืนใหญ่ไป นางไม่จัดการเขาจนดิ้นไม่หลุดก็แปลกแล้ว ผลที่ออกมาไม่ต้องบอกก็รู้ เขาพ่ายแพ้ยับเยินต้องถอดเสื้อถอดกางเกง สุดท้ายเหลือเพียงผ้าปิดคลุมส่วนล่างของร่างกายผืนเดียว นางกลับบอกไม่เล่นแล้ว

เขารู้ตนเองหลงกลนาง บอกว่านางโง่งม ในยามนี้กลับเฉลียวฉลาดยิ่ง ถึงกับล้อเขาเล่น เขาจึงจับตัวนางแบกขึ้นบ่าพาเดินเข้าไปในห้อง ถอดผ้าปิดคลุมส่วนล่างของร่างกายออก แล้วเล่นงานนางบนเตียงอย่างสาสม

วันเวลาผ่านไปอย่างมีความสุข ทั้งสองรักใคร่ดูดดื่มคลอเคลียกันไม่ห่าง แม้จะไม่มีบ้านหลังใหญ่ เสื้อผ้างามหรูหรา ทว่ากลับมีความสุขยิ่งกว่าเทพเซียนบนสวรรค์

สองเดือนผ่านไป เช้าตรู่วันนี้ท้องฟ้าเพิ่งสว่าง ไป่หลี่ซีนอนกอดภรรยาอยู่บนเตียง เพราะได้ยินเสียงแมลงร้องเรียกจากนอกหน้าต่างจึงลืมตาตื่นขึ้นมาทันที เสียงแมลงร้องเรียกคือสัญญาณลับในการติดต่อ เขาดวงตาสาดประกายคมกริบ ค่อยๆ ลุกขึ้น มองภรรยาที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง เมื่อเห็นนางยังหลับสบายจึงจัดผ้าห่มให้นางเบาๆ

เขาลงจากเตียงเดินออกไปนอกประตู อ้อมไปที่ลานด้านหลัง สายตากวาดมองไปรอบด้าน จากนั้นก็เดินเข้าไปในป่าที่อยู่แถบนั้น

หลังจากเขาเดินเข้ามาในป่าก็เหลียวหลังด้วยความระมัดระวังไปตลอดทาง พอแน่ใจแล้วว่ารอบด้านไม่มีคนจึงผลุบร่างเข้าไปในถ้ำลึกลับแห่งหนึ่ง

“รัชทายาท” หยวนเจี๋ยกับบุรุษอีกผู้หนึ่งที่รออยู่ในถ้ำคุกเข่าลงข้างหนึ่งให้กับเขาพร้อมกัน

ไป่หลี่ซีผงกศีรษะให้พวกเขาลุกขึ้น หยวนเจี๋ยเป็นคนสนิทของเขา แต่อีกผู้หนึ่งกลับเป็นคนแปลกหน้า

“เขาคือ?”

บุรุษแปลกหน้ารีบค้อมตัวประสานมือ “รัชทายาท กระหม่อมคือซือถูหราน”

ไป่หลี่ซีแววตาสั่นไหว เลิกคิ้วอย่างตระหนักรับรู้ ยิ้มแล้วตบบ่าเขา “เจ้าแต่งตัวเช่นนี้ ข้าจำเจ้าไม่ได้เลย”

“หยวนเจี๋ยบอกพระองค์เคยมีรับสั่งให้แต่งตัวเป็นชาวบ้านเข้าออกหมู่บ้าน จึงจะไม่มีคนระแวงสงสัย” เพื่อจะหลบหูตาผู้คน ซือถูหรานได้ปลอมแปลงโฉม แต่งตัวเป็นชาวบ้าน ตามหยวนเจี๋ยปะปนเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อมาพบรัชทายาท

ซือถูหรานมาด้วยตนเองย่อมต้องมีเรื่องสำคัญมารายงาน ไป่หลี่ซีสั่งหยวนเจี๋ยไปเฝ้าที่ปากถ้ำไว้ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวรอบด้าน ส่วนเขากับซือถูหรานกลับเดินลึกเข้าไปในถ้ำ

“ทูลรัชทายาท ในเมืองหลวงส่งข่าวมา ผู้บัญชาการทหารเก้าประตู ถูกเปลี่ยนตัว มีกองกำลังลับปะปนเข้าไปในเมืองหลวง เกรงว่าโต้วฮองเฮาจะรอไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ซือถูหรานลดเสียงลงต่ำ

ไป่หลี่ซียิ้มหยัน “สตรีผู้นี้ส่งคนมาสังหารข้าหลายครั้งไม่สำเร็จ ทั้งหาตัวข้าไม่พบ นางไม่อาจเอาตราบัญชาการทัพมาได้ ถึงกับคิดจะใช้กองกำลังทหารของผู้บัญชาการทหารเก้าประตูแล้ว ถ้านางกล้าปลงพระชนม์ ข้าสาบานจะสังหารสกุลโต้วของนางเก้าชั่วโคตรจนหมดสิ้น ยังมีขุนนางสุนัขกลุ่มนั้นด้วย!” จิตสังหารน่าหวั่นหวาดแผ่ออกมาทั่วร่างของเขา

“รัชทายาท กระหม่อมเป็นห่วงฝ่าบาท เวลานี้ฝ่าบาทประชวรหนัก เกิดนาง…”

ไป่หลี่ซีมองเขาแวบหนึ่งพลางกล่าวยิ้มๆ “เกิดนางเล่นลูกไม้ ทำให้เสด็จพ่อออกเดินทางเร็วขึ้นเช่นนั้นหรือ” เขาพยักหน้าน้อยๆ “เป็นไปได้มาก”

ซือถูหรานกำหมัดแน่น ความเคียดแค้นแน่นอก เขาซือถูหรานชั่วชีวิตนี้จงรักภักดีต่อฝ่าบาท ตอบแทนคุณแผ่นดิน หลังจากถูกใส่ความว่าทรยศต่อบ้านเมือง ถูกจับขังคุก คนในครอบครัวของเขาก็ถูกโต้วฮองเฮาสังหาร ทำให้เขาเคียดแค้นอย่างที่สุด

“รัชทายาท ขอเพียงพระองค์มีพระบัญชาออกมาคำเดียว กระหม่อมจะออกหน้า นำกองกำลังทหารบุกโจมตีเข้าเมืองหลวง เปิดโปงแผนชั่วของสตรีผู้นั้น!”

ซือถูหรานกับเขาเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต จงรักภักดีต่อเขาอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ซือถูหรานถูกจับขังคุกเป็นเพราะเขาทำให้พลอยเดือดร้อน ถึงได้ถูกคนเลวทำร้าย

ไป่หลี่ซีตบบ่าของอีกฝ่าย ทอดถอนใจแล้วว่า “ข้าทำให้เจ้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

“รัชทายาทตรัสหนักไปแล้ว พวกกระหม่อมยอมห่อศพด้วยหนังม้า**  เพื่อพระองค์ แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต!”

ไป่หลี่ซีกำหมัดชกไปที่หน้าอกเขาไม่หนักไม่เบาทีหนึ่ง “พูดเรื่องตายอะไร มีข้าอยู่ จะไม่ยอมให้คนของข้าต้องตายอย่างไม่เป็นธรรมเด็ดขาด เจ้าเป็นแขนสำคัญของข้า ไม่มีคำอนุญาตจากข้า ห้ามตาย!”

ซือถูหรานประสานมือ “กระหม่อมน้อมรับพระบัญชา รัชทายาททรงทราบเรื่องราวที่แท้จริงและเห็นเหตุการณ์อย่างถ่องแท้ หลังจากกระหม่อมถูกจับขัง รัชทายาทก็ทรงหายตัวไปทันที เรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวง เพราะเหตุนี้พวกโต้วฮองเฮาจึงไม่กล้าสังหารกระหม่อม” พูดมาถึงตรงนี้ ซือถูหรานสีหน้าพลันเคร่งขรึม “รัชทายาท กลัวก็แต่สกุลโต้วจะทำร้ายฝ่าบาท ตบตาขุนนางในราชสำนัก เราจำต้องคิดหาวิธีการ ไม่อาจปล่อยให้นางชิงฉกฉวยโอกาสไปได้ก่อน!”

ไป่หลี่ซีฟังแล้วกลับหัวเราะ “ข้ายังกลัวนางจะไม่ลงมือ ทำให้เราไม่มีข้ออ้างจะเคลื่อนกำลังพล”

ซือถูหรานงงงัน “ความหมายของพระองค์คือ?”

“จันกงกงกับหมอหลวงหม่าเป็นคนของข้า มีพวกเขาอยู่ อาการประชวรหนักของเสด็จพ่อเป็นเพียงเรื่องชั่วคราวเท่านั้น ทว่าถ้านางฉวยโอกาสนี้ปลอมแปลงราชโองการ ลอบซ่องสุมผู้คน เรียกกองกำลังทหารเข้าเมือง ก็คือก่อกบฏแล้ว ข้าต้องการให้เสด็จพ่อได้ทรงเห็นว่าสตรีที่ทรงโปรดปรานมีความทะเยอทะยานมากเพียงใด ถึงตอนนั้นต่อให้เสด็จพ่อทรงละเว้นโทษตายให้นาง ก็ไม่มีทางให้นางอยู่ข้างพระวรกาย และไม่ปล่อยสกุลโต้วไว้”

ซือถูหรานตะลึงงัน จากนั้นก็ตระหนักรู้ขึ้นมาในทันที ที่แท้เรื่องทั้งหมดอยู่ในความคาดการณ์ขององค์รัชทายาทอยู่แล้ว นี่เป็นหมากที่ทรงวางไว้!

ไป่หลี่ซีเห็นนัยน์ตาทั้งสองของเขาเป็นประกาย สีหน้าปลาบปลื้มดีใจ ก็ยิ้มแล้วตบบ่าเขา “ตอนนี้เจ้าวางใจแล้วหรือยัง”

“รัชทายาททรงมีพระปรีชาสามารถ กระหม่อมเลื่อมใสยิ่งนัก” ซือถูหรานโล่งอกขึ้นจริงๆ “รัชทายาท พระองค์มิทรงรู้ ตอนได้ยินว่าฝ่าบาทประชวรหนัก หัวใจของกระหม่อมเหมือนถูกย่างอยู่บนกองไฟ สุดจะทนไหว”

“ข้าหาตัวเจ้ามาก็ด้วยตัดสินใจจะลงมือแล้ว โต้วฮองเฮามีกองกำลังทหารของผู้บัญชาการทหารเก้าประตู แต่ข้ามีเจ้า เจ้าเตรียมพร้อมแล้วกระมัง”

ซือถูหรานสองตาเปล่งประกายเจิดจ้า รีบคุกเข่าลงกับพื้นข้างหนึ่ง “รัชทายาทโปรดมีพระบัญชา”

ไป่หลี่ซีผงกศีรษะ พยุงเขาลุกขึ้นแล้วกระซิบสั่งการเบาๆ ที่ข้างหูเขา หลังจากทั้งสองปรึกษาหารือกันอีกครู่หนึ่ง ซือถูหรานกับหยวนเจี๋ยก็จากไป

เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว ไป่หลี่ซีก็ออกจากถ้ำ เดินไปทางกระท่อม ตอนกลับมาถึงห้องด้านใน ภรรยาตัวน้อยของเขายังหลับอยู่ เขาหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า ลงนั่งที่ข้างเตียงมองใบหน้าหลับฝันหวานของภรรยา คงเพราะเมื่อคืนทรมานนางหนักไปหน่อย ทำให้จนถึงตอนนี้นางก็ยังลุกไม่ไหว

เขาโน้มตัวลงจุมพิตหัวไหล่มนที่โผล่อยู่นอกผ้าห่มของนาง ตรงนั้นยังมีรอยขบย้ำให้เห็น ล้วนเป็นผลงานชิ้นเอกของเขา

“ท่านพี่…เจ็บ…” อูมู่ฉินพึมพำแผ่วเบา

เขาหัวเราะ นางชอบบอกว่านางเจ็บ ความจริงนางไม่เจ็บมาตั้งนานแล้ว เขารู้นางเพียงชอบออดอ้อน

“ยั่วยวนสามีแต่เช้าตรู่”

ในที่สุดภรรยาก็ลืมตาขึ้น มองจ้องเขาอย่างเหนื่อยหน่าย “ใส่ความข้า”

“เจ้าเองก็มิใช่ชอบยัดเยียดข้อหาให้ข้าหรอกหรือ ชอบบอกว่าข้าทำให้เจ้าเจ็บ” เขากระซิบเบาๆ เคล้าคลอเคลียกับนาง หยอกล้อนางเล่น

อูมู่ฉินสัมผัสได้ถึงความเบิกบานใจของเขา จึงอดแปลกใจไม่ได้ “ดูเหมือนวันนี้ท่านจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ”

“เช่นนั้นหรือ”

“มีเรื่องมงคลหรือไร”

ไม่ใช่เรื่องมงคล แต่เปรียบกับเรื่องมงคลแล้วยังทำให้คนปลื้มปีติยินดียิ่งกว่า เพราะแผนการใหญ่ของเขารุกคืบไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งแล้ว ซ่อนตัวอยู่ในชนบทห่างไกลนานเพียงนี้ ที่เขารอก็คือโอกาสนี้

“มู่เอ๋อร์ เจ้าชอบข้าหรือไม่” เขาไม่ตอบกลับย้อนถาม

“ท่านเขลาหรือ ไม่ชอบจะแต่งงานกับท่านได้อย่างไร ท่านเห็นข้าเป็นคนที่ปล่อยให้ผู้อื่นกินดื่มเปล่าๆ หรือไร”

ไป่หลี่ซีหัวเราะจนเนื้อตัวสั่นไหวไปทั้งร่าง ภรรยาตัวน้อยของเขาใสซื่อทึ่มทื่อ แต่ยามพูดจากลับชวนให้ตลกขบขันยิ่ง ตอนนั้นเขารับตัวนางไว้ ให้นางกินเปล่าดื่มเปล่า ตอนนี้นางก็เอาคำพูดนี้กลับมากล่าวหาเขา จะไม่ให้เขาหัวเราะได้อย่างไร

อยู่กับนาง เขาสามารถผ่อนคลาย อะไรก็ไม่ต้องคิด ไม่มีการต่อสู้ในราชสำนัก ไม่มีความน่าหวาดกลัวและอันตรายในยุทธภพ เขาทะนุถนอมวันเวลาเช่นนี้ยิ่งนัก

เพียงเสียดายวันเวลาเช่นนี้ไม่ยาวนานแล้ว เขาเป็นรัชทายาท จะต้องขึ้นสืบบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ เขามีความทะเยอทะยาน มีความมุ่งมาดปรารถนาอันแรงกล้า เขาต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ แบกรับชีวิตของทหารหาญและขุนนางที่จงรักภักดีหลายร้อยชีวิตไว้บนบ่า ขุนนางเหล่านั้นล้วนฝากความหวังไว้ที่ตัวเขา เขาจะไม่ทำให้คนเหล่านั้นต้องผิดหวัง ถ้ามีคนมาขวางเขาเอาไว้ เขาก็จะย่ำเหยียบโลหิตของฝ่ายตรงข้ามเดินไปสู่บัลลังก์ฮ่องเต้

เพื่อจะบรรลุเป้าหมาย ชั่วชีวิตนี้ของเขาย่อมไม่ใช่จะมีมู่เอ๋อร์เป็นภรรยาเพียงคนเดียว เพื่อจะควบคุมอำนาจไว้ในมือ เขาย่อมเป็นเหมือนอดีตฮ่องเต้ทั้งหลายที่มีสตรีจำนวนมากอยู่ในครอบครอง เขาจะได้ใช้ประโยชน์จากอำนาจและวงศ์สกุลที่อยู่เบื้องหลังสตรีเหล่านั้น

มู่เอ๋อร์เป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่ใสซื่อผู้หนึ่ง เขาเชื่อว่านางจะเข้าใจ อีกทั้งเขาก็จะไม่ผิดต่อนาง เขาจะจัดการทุกอย่างให้นางอย่างเรียบร้อย ภายใต้การปกป้องคุ้มครองของเขา นางจะสุขสบายไปชั่วชีวิต

“อยากอยู่กับข้าไปตลอดชีวิตหรือไม่” เขาถามเบาๆ คำพูดนี้นุ่มนวลละมุนละไมยิ่งกว่าที่ผ่านๆ มา

อูมู่ฉินย่อมอยาก ทว่าเมื่อนึกถึงว่ายังไม่ได้บอกฐานะที่แท้จริงของตนกับเขา นางก็ออกจะใจฝ่อ กล่าวสำหรับคนในยุทธภพแล้ว หุบเขาหมื่นบุปผาถูกมองว่าเป็นพรรคมาร หญิงสาวในหุบเขาหมื่นบุปผาเนื่องจากคงความสาวยาวนานไม่แก่ จึงถูกมองว่าเป็นนางมาร นางกังวลกลัวว่าหลังจากสามีรู้แล้วจะโกรธนาง ดังนั้นนางจึงย้อนถามเขา…

“ก็ต้องดูว่าท่านพี่ยินดีจะอยู่กับข้าไปตลอดชีวิตหรือไม่”

“สามีย่อมต้องดูแลภรรยาไปชั่วชีวิต”

นางฟังแล้วอุ่นวาบในใจ รู้สึกว่าตนเองโชคดีมากที่ได้พบสามีที่ดีเช่นนี้ นางอดใจไม่ไหวยื่นมือไปโอบกอดเขาแน่น

“ขอเพียงท่านไม่ไปจากข้าไม่ทอดทิ้งข้า ข้าก็จะไม่ไปจากท่าน” เพียงมุ่งหวังเมื่อบอกความจริงให้เขารู้แล้ว เขาจะไม่ตื่นตระหนกตกใจในฐานะของนางมากนัก นางเชื่อว่าสามีจะต้องยอมรับได้ เขาจะต้องเข้าใจว่าคำเล่าลือเชื่อถือไม่ได้ นางหาใช่นางมารแห่งยุทธภพไม่

เสียงนุ่มนิ่มอ่อนหวานของภรรยาก่อกวนจนไป่หลี่ซีใบหูร้อนผ่าว กลีบปากของเขาคลอเคลียอยู่ข้างหูนาง

“เจ้าวางใจ ข้าพูดได้ก็ทำได้ ชั่วชีวิตนี้ของข้าจะไม่ทอดทิ้งเจ้า ไม่มีวันปล่อยมือจากกัน” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจ คำพูดประโยคนี้คล้ายดั่งคำสาบาน

นางเชื่อเขา ขณะเดียวกันก็รู้สึกซาบซึ้งใจ ครั้นแล้วนางก็เป็นฝ่ายมอบริมฝีปากหอมหวานให้เขา เรียวลิ้นน้อยนุ่มนิ่มดุจดอกติงเซียง ยั่วเย้าเบาๆ ปลุกเร้าไฟปรารถนาของเขาได้สำเร็จ

นี่เป็นครั้งแรกที่นางเป็นฝ่ายยั่วยวนเขา ไป่หลี่ซีร่างแข็งขึง แววตาเปลี่ยนเป็นลึกล้ำ ควานหาริมฝีปากของนาง แล้วบดเคล้าอย่างดูดดื่มโดยไม่ลังเลใดๆ

ทุกครั้งเขามักบอกกับตนเองว่าอย่าฮึกเหิมรุนแรงกับนางมากเกินไป ต้องนุ่มนวลอ่อนโยนหน่อย แต่จะว่าไปก็แปลก มู่เอ๋อร์คล้ายขุมสมบัติที่ขุดเท่าไรก็ไม่หมด ยิ่งโอบกอดนางก็ยิ่งปรารถนาในตัวนางมากขึ้น เขามักได้ลิ้มรสความสุขจนวิญญาณแทบหลุดลอยออกจากร่างชนิดที่ตนเองก็คาดคิดไม่ถึงจากตัวนางอยู่เสมอ

“มู่เอ๋อร์ เจ้าช่างเหมือนปีศาจตัวน้อย” ลมหายใจร้อนผะผ่าวของเขาเป่ารดข้างหู จากนั้นก็ค่อยๆ ร้อนแรงบ้าคลั่ง

อูมู่ฉินลอบคิดในใจ หวังว่านางปีศาจน้อยตัวนี้จะไม่ทำให้เขาโมโหจนหนวดกระดิกในเวลาที่รู้ความจริง…

 

( ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 เม. 62 )

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: