X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน โฉมงามสองหน้า บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่สอง

อูอีเสวี่ยลืมตาขึ้นช้าๆ มองใบไม้หนาทึบด้านบน ครู่ใหญ่นางจึงแน่ใจว่าตนไม่ได้ฝันไป อา…นางยังไม่ตาย อาจารย์ไม่ได้โกหกนาง กระโดดลงมาจากที่สูงเพียงนั้น ไม่ตายจริงๆ ด้วย

ใต้หน้าผาแห่งนี้มีทะเลต้นไม้หนาทึบผืนใหญ่อยู่จริง ต้นไม้เหล่านี้เติบโตสูงใหญ่ ใบไม้กองซ้อนกันหนาเป็นชั้นๆ ประหนึ่งพรมที่อ่อนนุ่ม ลดแรงกระแทกที่นางร่วงตกลงมา ด้านล่างของทะเลต้นไม้ยังมีเถาวัลย์ที่พันเกี่ยวกันไปมา นางในเวลานี้ก็กำลังนอนอยู่บนตาข่ายที่เกิดจากเถาวัลย์เกี่ยวพันกัน บนร่างก็มีเถาวัลย์หลายเส้นพันอยู่ เถาวัลย์มีความยืดหยุ่น ไม่เพียงไม่ก่อให้เกิดอันตราย ยังช่วยยึดร่างนางไว้ ช่วยปกป้องนางได้

นางอดนึกถึงครั้งแรกตอนได้ยินจากปากอาจารย์ถึงความลับของหุบเหวแห่งนี้ไม่ได้

‘อาจารย์เคยตกลงมาจากหน้าผามัจจุราชหรือ’ นัยน์ตาสุกใสแวววาวดุจลูกกวางน้อยของอูอีเสวี่ยพลันเบิกกว้าง จ้องมองอาจารย์ด้วยความประหลาดใจ

อูมู่ฉินบีบพวงแก้มนุ่มนิ่มของลูกศิษย์พลางบอกอย่างภาคภูมิใจ ‘ใช่แล้ว อาจารย์ของเจ้าไม่เพียงดวงแข็งไม่ตาย ยังค้นพบความลับของหุบเหวอีกด้วย หุบเหวแห่งนี้เป็นสถานที่แปลกมหัศจรรย์ ด้านล่างมีลมหุบเขาพัดอยู่ ลมนี้จะช่วยยกร่างคนขึ้น ความเร็วในการร่วงหล่นลงไปก็จะช้าลง ทะเลต้นไม้ด้านล่างหนาทึบนุ่มนิ่ม เพียงพอที่จะช้อนร่างคนไว้ไม่ถึงกับตกลงไปตาย ศิษย์เอ๋ย สิ่งนี้มีส่วนช่วยเรื่องชื่อเสียงบารมีของหุบเขาหมื่นบุปผาเราอย่างมากทีเดียว’

อูอีเสวี่ยสีหน้าเต็มไปด้วยความงงงวย ‘อาจารย์ ตกลงไปในหุบเหวเป็นเรื่องน่าอาย เหตุใดจึงมีส่วนช่วยเรื่องชื่อเสียงบารมีเล่า’

‘นางหนูเสวี่ย ในฐานะประมุขหุบเขา สิ่งสำคัญที่สุดคือรักษาความลึกล้ำยากหยั่งถึงในยุทธภพเอาไว้ มีความรู้สึกลึกลับจึงจะมีชื่อเสียงบารมี จึงจะทำให้คนหวาดกลัว เจ้าลองคิดดู คนที่มีวิชาตัวเบาสูงเพียงใดก็ไม่โง่งมขนาดยอมกระโดดหุบเหวลึกหมื่นจั้ง แต่มาพูดในทางกลับกัน ถ้ามีคนกระโดดลงไปในหุบเหวแล้วไม่ตาย เรื่องนี้เล่าลือออกไปจะทำให้สั่นสะเทือนมากเพียงใด คนทั่วไปย่อมเข้าใจว่าวรยุทธ์ของหุบเขาหมื่นบุปผาเราลึกล้ำยากหยั่งถึง และยิ่งเคารพยำเกรงเรามากขึ้น ชื่อเสียงก็ยิ่งโด่งดัง เข้าใจหรือยัง’ อูมู่ฉินพูดจบยังยิ้มด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ

อูอีเสวี่ยอดอับอายอยู่ในใจจนเหงื่อตกไม่ได้ ‘อาจารย์ แบบนี้เรียกว่าหลอกลวงกระมัง’

‘เด็กโง่ นี่เรียกว่ากลยุทธ์ ยุทธภพน่าหวาดกลัวและอันตราย บางครั้งอำนาจและอิทธิพลต้องอาศัยคนสร้างขึ้นมา บนโลกนี้จริงจริงเท็จเท็จ เท็จเท็จจริงจริง จริงเท็จไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญก็คือชื่อเสียงบารมีของเรายิ่งสูงก็จะยิ่งสามารถปกป้องผู้คนในหุบเขาหมื่นบุปผาไว้ได้ เข้าใจหรือไม่’

เรื่องในอดีตปรากฏขึ้นมาตรงหน้าอย่างชัดเจน อูอีเสวี่ยดึงจิตใจจากความคิดคำนึงกลับมาสู่ปัจจุบัน ปากก็พึมพำขึ้น

“อาจารย์วางใจ ศิษย์เข้าใจ…”

นับว่านางไม่ผิดต่อคำสั่งเสียของอาจารย์ ก่อนหุบเขาหมื่นบุปผาจะถูกโจมตีก็ได้แบ่งกลุ่มผู้คนในหุบเขาให้ทุกคนแยกย้ายกันหนีไปก่อนแล้ว ลดการบาดเจ็บล้มตายลง จากนั้นก็ให้ผู้คุมกฎทั้งสี่ฝ่าวงล้อมออกไป ท้ายที่สุดก็ใช้แผนไม่ระวังร่วงตกลงมาในหุบเหวยุติเรื่องทั้งหมด

เวลานี้คนในยุทธภพคงเข้าใจว่านางตกลงมาร่างแหลกละเอียด มีเพียงต้องให้ทุกคนเห็นว่านางตายแล้วจึงจะไม่ไล่ตามสังหารนางไม่จบไม่สิ้น

ความตึงเครียดติดต่อกันมาหลายวันคลี่คลายลงแล้ว กระทั่งถึงตอนนี้นางจึงรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก เบาสบายไปทั้งตัว ราวกับเพียงลมพัดมาก็จะลอยไปเช่นนั้น แม้แต่เสียงนกร้องจ้อกแจ้กในละแวกใกล้เคียงก็ไพเราะราวกับเสียงจากสรวงสวรรค์

นางหัวเราะออกมาด้วยความสบายใจ เสพสุขจากความสงบเงียบ กระทั่งเห็นเสื้อผ้าที่ถูกลมพัดปลิวขึ้นมา ดูเหมือนจะใหญ่เกินไปสักหน่อย ครั้นแล้วจึงเริ่มรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เสื้อผ้าของนางขาดแล้วหรือ หาไม่เหตุใดจึงหลวมโพรกเพรก

เอ๋? แขนเสื้อของนางเหตุใดจึงยาวเช่นนี้…เดี๋ยวก่อน มือของนางเหตุใดจึงเล็กเช่นนี้ อูอีเสวี่ยอึ้งตะลึง นางจ้องมองมือน้อยๆ ของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ไม่ใช่แขนเสื้อเปลี่ยนเป็นยาวขึ้น หากแต่มือของนางเปลี่ยนเป็นเล็กลง!

หลังอาการตกตะลึงพรึงเพริด ความตื่นตระหนกจนตัวเย็นเฉียบก็จู่โจมเข้ามาทันที นางเป็นอะไรไป เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของนาง!

นางลนลานจะแกะเถาวัลย์ที่พันตัวออก จากนั้นก็ไปหาสระน้ำสักแห่งส่องดูร่างของตน ที่แท้แล้วเปลี่ยนเป็นเช่นใด ใครจะรู้เพิ่งจะออกแรงกลับพบว่าตนถึงกับใช้พลังวัตรออกมาไม่ได้ ขณะที่นางกำลังตื่นตระหนกตกใจอยู่นั้น เถาวัลย์พลันคลายออก ร่างของนางร่วงหล่นลงไปทันที

“อ๊า!” นางส่งเสียงร้องอุทานจึงพบว่ากระทั่งเสียงก็เปลี่ยนไปด้วย

นางร่วงหล่นลงสู่พื้น ความเจ็บปวดที่คาดเดาไว้ล่วงหน้าไม่ได้จู่โจมมา รอจนนางได้สติกลับคืนมาจึงพบว่าที่ใต้ก้นมีใบไม้กองหนาอยู่ชั้นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่เจ็บ นางรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้น ร้อนใจอยากจะดูว่าแท้แล้วเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตน มองไปก็เห็นที่ด้านหน้าไม่ไกลมีแอ่งน้ำอยู่แห่งหนึ่ง นางวิ่งตึกตักไปที่แอ่งน้ำ ภาพที่สะท้อนให้เห็นบนผิวน้ำเป็นดวงหน้าน้อยๆ นุ่มนิ่มไร้เดียงสาดวงหนึ่ง

นางตกใจอึ้งตะลึงไปอีกครั้ง นางจำดวงหน้านี้ได้ ตอนนางอายุหกขวบก็รูปร่างหน้าตาเช่นนี้!

สวรรค์! ถึงกับกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหรือ!

อูอีเสวี่ยตื่นตระหนกตกใจอย่างใหญ่หลวง นางนั่งตะลึงทึ่มทื่ออยู่ที่ริมน้ำ มองจ้องเงาสะท้อนในน้ำ นางมองแล้วมองอีก ยังลูบๆ ใบหน้าของตน สงสัยว่าตนเองใช่กำลังฝันไปหรือไม่

นางหยิกตนเองแรงๆ และเจ็บจนน้ำตาเอ่อ!

“นี่จะเป็นไปได้อย่างไร เหตุใดข้าจึงกลายเป็นเด็กไปได้” นางพูดกับตนเองด้วยความหวาดหวั่น แม้แต่เสียงก็เป็นเสียงนุ่มนิ่มไร้เดียงสาของเด็ก จากนั้นก็มองมือเล็กๆ เท้าเล็กๆ ร่างกายเล็กๆ ของตน

แล้วหน้าอกเล่า…แบนราบ!

นางสีหน้าซีดเผือด คิดในใจว่าจบกัน สวรรค์ล้อเล่นกับนางครั้งใหญ่ กลายเป็นแบบนี้ยังจะให้คนมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่เล่า!

บนโลกที่สับสนวุ่นวายนี้ นางเด็กผู้หญิงไร้ที่พึ่งพาคนหนึ่ง อย่าว่าแต่สัตว์ดุร้ายในป่า ต่อให้ไม่ถูกจับกิน ออกจากป่าไปก็ต้องถูกคนเลวจับตัวไปขาย!

“สงบใจ ข้าต้องสงบใจ…” อูอีเสวี่ยปลอบใจตนเองไม่หยุด คล้ายว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้นางก็จะไม่อาจสงบใจลงได้

ในเวลาเช่นนี้สับสนว้าวุ่นไม่ใช่หนทางที่ดี นางจะต้องสงบเยือกเย็นขบคิดให้ดี

ประมุขหุบเขาหมื่นบุปผาทุกยุคทุกสมัยล้วนต้องฝึกวิชาลับเฉพาะของสำนัก ‘วิชาบุปผาบิดเกลียว’ อาจารย์บอกวรยุทธ์นี้ปฐมาจารย์เป็นผู้คิดค้นขึ้น เหมาะให้สตรีฝึกฝนเป็นที่สุด มีประสิทธิภาพในการหยุดความชรา ช่วยให้ความงามของสตรีไม่เสื่อมถอย แต่วรยุทธ์นี้ขัดต่อหลักธรรมแห่งสวรรค์ จำเป็นต้องระมัดระวังไม่อาจให้ธาตุไฟเข้าแทรก ถ้าธาตุไฟเข้าแทรกก็จะเกิดการสวนทางย้อนกลับ…ช้าก่อน! สวนทางย้อนกลับหรือ

ความหมายของการสวนทางย้อนกลับก็คือจะกลับกลายเป็นเด็กหรือ นี่นางถูกธาตุไฟเข้าแทรกหรือไร

อูอีเสวี่ยนึกได้ว่าตอนอยู่บนต้นไม้เมื่อครู่ก่อน นางก็พบว่าจุดตันเถียนของตนว่างเปล่า ไม่อาจใช้พลังวัตรออกมาได้ นางรีบลงนั่งขัดสมาธิ ปิดกั้นลมหายใจโคจรลมปราณ กลับพบว่าหาแก่นพลังในร่างไม่พบ นางไม่ยอมแพ้ หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ครั้งหนึ่งก็ฝืนโคจรลมปราณไปที่จุดตันเถียน หลังจากทำติดต่อกันอยู่หลายครั้งนางไม่เพียงรวบรวมพลังวัตรไม่ได้ ยังเหนื่อยจนเหงื่อเย็นซึมออกมา ฉับพลันนั้นเองในลำคอมีกลิ่นคาวเค็มทะลักขึ้นมา นางกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง

อูอีเสวี่ยหอบหายใจแรง ครานี้แม้แต่ความหวังสุดท้ายก็ไม่เหลือแล้ว พลังวัตรของนางสูญสิ้น ยังได้รับบาดเจ็บภายใน หวนนึกถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนหน้าผา พลังวัตรของนางจะต้องถูกสิงฟู่อวี่ดูดเอาไปเป็นแน่ กอปรกับเพื่อจะรักษาชีวิต นางได้ทุ่มเทพลังต่อสู้ถึงได้ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนทำให้เกิดการสวนทางย้อนกลับ

อูอีเสวี่ยเวลานี้นับว่าอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาอย่างแท้จริง คนในยุทธภพต่างบอกว่าวรยุทธ์หุบเขาหมื่นบุปผาของพวกนางเป็นวรยุทธ์มาร เวลานี้คิดดูแล้วก็มีเหตุผลอยู่มาก มิน่าปรมาจารย์ทั้งหลายจึงมักถูกกล่าวหาว่าเป็นนางมาร เพราะไม่แก่เฒ่า ส่วนนางก็เป็นนางมารที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่

อูอีเสวี่ยจิตใจห่อเหี่ยวยิ่ง กำลังคิดจะร้องไห้ให้สาสมใจสักครั้ง ทว่าในเวลานี้เองก็มีเสียงสุนัขป่าคำรามดังมาจากที่ไกล ทำให้นางตัวสั่นสะท้าน รีบเอามืออุดปากตนเองไว้

นางไม่อาจร้องไห้ เสียงร้องไห้จะชักนำให้สุนัขป่ามา มีแต่จะยิ่งย่ำแย่!

นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเสียใจ คิดไปในทางที่ดี รูปร่างนางเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ในยุทธภพยังจะมีใครจำนางได้ สิ่งสำคัญเร่งด่วนในตอนนี้คือคิดหาวิธีไปเมืองชิงหูที่อยู่ทางตะวันออก ผู้คุมกฎทั้งสี่ยังรอนางอยู่ ส่วนที่ว่าจะคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างไร นางจะหาโอกาสกลับไปในหุบเขาตรวจหาในคัมภีร์โบราณ ไม่แน่อาจตรวจพบวิธีคืนสู่สภาพเดิมได้

นางเช็ดโลหิตที่มุมปาก ลุกขึ้นยืน มองดูเสื้อผ้าที่หลวมโพรกไปทั้งร่าง รีบคลำตัวเสื้อด้านใน แล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีแผนที่ยังอยู่

แผนที่ฉบับนี้อาจารย์มอบให้นางเก็บรักษาไว้ ในเมื่ออาจารย์เตรียมทางรอดให้นางด้วยการกระโดดหน้าผาย่อมต้องเตรียมการด้านอื่นไว้พร้อมสรรพ หลังจากนางกระโดดหน้าผาลงมาแล้ว อาจารย์บอกให้นางไปหาถ้ำศิลาตามที่แผนที่ชี้บอกไว้

เมื่อมีเรื่องให้ทำ จิตใจก็ดูจะสับสนวุ่นวายน้อยลง นางตรวจสอบข้าวของที่พกติดตัว พบว่ากระเป๋าเงินกับป้ายหยกม่วงที่พกออกมาจากหุบเขาหล่นหายไปแล้ว เหลือเพียงกระบี่อ่อนที่เอวกับมีดสั้นที่พกติดตัว นางหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง ป้ายหยกม่วงแผ่นนั้นเป็นตราประทับที่เป็นสัญลักษณ์ยืนยันความเป็นประมุขหุบเขาหมื่นบุปผา บนแผ่นหยกแกะลวดลายไว้ ไม่มีป้ายหยกม่วงนางก็ไม่อาจใช้พิราบส่งข่าวติดต่อกับผู้คุมกฎทั้งสี่ได้

จะต้องทำหล่นหายตอนร่วงลงมาในหุบเหวเป็นแน่ นางรีบไปหาดูทั่วๆ หารู้ไม่ว่าระหว่างที่นางกำลังเที่ยวมองหาเหอเปา ที่ใส่หลักฐานยืนยันอยู่นั้น มีนกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งได้คาบเหอเปาที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ กางปีกบินขึ้นสูงไปแล้ว

ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์สามารถมองเห็นสิ่งของในที่มืด แต่อูอีเสวี่ยสูญเสียพลังวัตรไปหมดสิ้น ถ้าไม่มีแสงสว่าง พอตกกลางคืนก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด นางจำต้องล้มเลิกการหาหลักฐานยืนยันและกระเป๋าเงินชั่วคราว รีบไปหาถ้ำศิลาให้พบก่อนท้องฟ้าจะมืดสนิท

นางใช้มีดสั้นตัดเสื้อผ้าให้สั้นลงตามขนาดรูปร่างของตนในเวลานี้ จากนั้นก็เอาสายรัดเอวมัดให้แน่น แม้จะดูไม่เข้าท่าเข้าทางอยู่บ้าง แต่ย่อมดีกว่าเนื้อตัวเปลือยเปล่ามากนัก

ส่วนรองเท้านั้นใส่ไม่ได้แล้ว แต่จะเดินเท้าเปล่าก็ไม่ได้ ดังนั้นนางจึงใช้มีดสั้นหั่นรองเท้าให้มีขนาดเท่ากับเท้าในเวลานี้ จากนั้นก็ฉีกผ้าชิ้นหนึ่งออกมาผูกติดกับเท้าให้แน่น อย่างไรเสียแค่เดินได้ก็พอ

ด้วยกลัวจะทิ้งร่องรอยไว้ นางจึงเอาเศษผ้าที่ตัดออกมาไปฝังดิน หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยนางก็เสาะหาไปตามแผนที่ ในที่สุดก็หาถ้ำศิลาพบทันก่อนพลบค่ำ

ถ้ำศิลาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแห่งนี้อยู่ด้านในผนังผา ถ้าไม่มีแผนที่ชี้บอก อูอีเสวี่ยเชื่อว่าต่อให้นางใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงหาสถานที่แห่งนี้ไม่พบ

หลังใบไม้ที่หนาทึบมีประตูหินลับอยู่บานหนึ่ง หลังประตูเป็นทางเดินที่มืดมองไม่เห็นตะวัน นางทำตามคำชี้แนะของแผนที่ คลำหากลักจุดไฟในช่องเล็กบนผนังถ้ำ รอจนจุดเทียนสว่างเห็นหนทางข้างหน้าชัดเจนแล้วนางก็รีบเดินไปตามทางเดินเข้าไปข้างใน

ทางเดินยาวมาก อากาศกลับถ่ายเทดี นางเดินไปตามทางเดินไต่ขึ้นสูงไปตลอดทาง เดินผ่านขั้นบันไดหินนับร้อยขั้น ในที่สุดก็มาถึงห้องศิลาที่กว้างขวางราบเรียบแห่งหนึ่ง

ที่ทำให้นางแปลกใจก็คือถ้ำแห่งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงถ้ำ มีห้องศิลาอยู่สี่ห้อง ในห้องศิลายังมีหน้าต่างศิลา นางกระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้ เขย่งปลายเท้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ข้างนอกมีแสงดาวเต็มท้องฟ้า ทะเลต้นไม้ไกลโพ้นไร้ขอบเขต

ที่แท้ห้องศิลาแห่งนี้สูงกว่าทะเลต้นไม้ ดังนั้นจึงมองเห็นท้องฟ้ายามราตรีที่ดารดาษไปด้วยดวงดาวและสถานที่ไกลออกไป

นางมองดูด้วยความตื่นตาตื่นใจ กระโดดลงจากเก้าอี้ด้วยความลิงโลด แล้วไปตรวจดูสิ่งของที่อยู่ในห้องศิลาทั้งสี่

ห้องแรก ห้องศิลาที่มีเตียงและโต๊ะเก้าอี้จัดวางอยู่เป็นห้องพักผ่อน ห้องที่สองมีหีบไม้ใบใหญ่วางอยู่สามใบ นางเปิดออกมาทีละใบ แล้วก็ต้องตื่นเต้นดีใจเมื่อพบว่าในหีบไม่เพียงมีเสื้อผ้าของบุรุษสตรี ยังมีของเด็กด้วย มีครบทุกขนาด แม้แต่เครื่องประดับผม ปิ่นปักผม ต่างหูของอิสตรี รัดเกล้า ผ้าผูกมวยผมของบุรุษ รวมทั้งสายรัดเอว รองเท้าก็มีพร้อมหมดทุกอย่าง

นางรีบหาเสื้อกางเกงที่มีขนาดเหมาะกับร่างกายของตน พบว่าความกว้างยาวพอเหมาะพอดี จากนั้นก็หารองเท้าที่เหมาะสมกับเท้าเล็กๆ ของตนคู่หนึ่งมาสวม

ห้องศิลาอีกสองห้องที่เหลือ ห้องหนึ่งเป็นห้องหนังสือ มีหนังสือต่างๆ เก็บอยู่ นางดูคร่าวๆ มีบันทึกท้องถิ่น บันทึกสำนักต่างๆ บันทึกยาสมุนไพร บันทึกการรักษาโรค แน่นอนยังมีตำราวรยุทธ์ล้ำค่าที่นางไม่เคยแม้แต่จะได้ยินมาก่อน

นางพลิกๆ ดู อา…ต้องขอโทษด้วย ระดับการฝึกฝนวรยุทธ์ของนางไม่ค่อยดีนัก ต่อให้อ่านไปครึ่งวันก็มองอะไรไม่ออก ครั้นแล้วนางก็โยนหนังสือไปไว้ข้างหนึ่ง เวลานี้สายตาของนางจับนิ่ง นางสังเกตเห็นสมุดบันทึกเล่มหนึ่ง นั่นเป็นลายมือของอาจารย์ นางรีบพลิกอ่านแล้วก็ต้องดีใจใหญ่หลวง

นี่เป็นต้นร่างที่เขียนด้วยลายมือของอาจารย์ ในนั้นบันทึกข้อเสียของการฝึก ‘วิชาบุปผาบิดเกลียว’ อาจารย์บอกผู้ฝึก ‘วิชาบุปผาบิดเกลียว’ ต้องจำใส่ใจไว้ว่าอย่าให้ธาตุไฟเข้าแทรก หาไม่หากจุดตันเถียนว่างเปล่า ผู้ฝึกก็จะกลับคืนสู่ความอ่อนเยาว์จนเลยเถิดกลายเป็นทารกหญิง

อาจารย์ยังบอกวรยุทธ์นี้มีวิธีหวนกลับคืนสู่สภาพเดิม เพียงหาคนที่มีพลังวัตรลึกล้ำ แล้วดูดเอาพลังวัตรของอีกฝ่ายมา เมื่อจุดตันเถียนเต็มเปี่ยมก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้

อูอีเสวี่ยดีใจเป็นที่สุด พอรู้ว่ามีวิธีกลับคืนสู่สภาพเดิมนางก็มีความหวังขึ้นมา ไม่เสียใจมากเช่นก่อนหน้านี้อีก

นางตรวจดูสิ่งของอื่นต่อไป ในหีบมียาเม็ดล้ำค่าต่างๆ ที่ใช้ขี้ผึ้งผนึกไว้ ใต้ล่างสุดยังมีเงิน หลังจากเห็นค่าเดินทางที่มีอยู่เต็มถุง ขวัญที่กระเจิดกระเจิงไปก่อนหน้านี้ก็กลับคืนสู่ร่างทั้งหมด

หากจะผาดโผนในยุทธภพจำต้องมีสิ่งใดมากที่สุด…แน่นอนย่อมต้องเป็นเงิน ต่อให้เจ้ามีวรยุทธ์สูงเพียงใดก็ต้องดื่มกินต้องนอน เงินอีแปะเดียวบีบวีรบุรุษให้ถึงตายได้ อย่าว่าแต่นางที่กระทั่งผู้กล้าก็ยังไม่ใช่

อูอีเสวี่ยซาบซึ้งใจจนแทบร้องไห้ออกมา อาจารย์ฉลาดเฉียบแหลมยิ่ง ทิ้งค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้นางถุงหนึ่ง เมื่อมีตั๋วแลกเงินกับเศษเงิน นางก็จ้างผู้คุ้มกันและรถม้าไปเมืองชิงหูได้แล้ว นางเก็บถุงเงินอย่างดี แล้วเดินต่อไปยังห้องศิลาห้องสุดท้าย พอเข้าประตูดวงตาพลันเจิดจ้า เพียงเห็นกลางห้องศิลามีสระน้ำเล็กๆ สระหนึ่งนางก็คาดเดาได้ทันที นี่ก็คือห้องอาบน้ำ น้ำในสระน่าจะเป็นน้ำธรรมชาติบนภูเขาที่ซึมออกมาจากผนังผา

อูอีเสวี่ยดีใจมาก ถอดเสื้อผ้าบนตัวออกหมดอย่างไม่ลังเล ชำระล้างร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้า หลังจากขัดสีฉวีวรรณจนสะอาดเอี่ยมแล้วก็สวมเสื้อผ้าของเด็กหญิงแล้วกลับไปที่ห้องศิลาห้องแรก ล้มตัวลงนอนบนเตียงศิลา

นางเหน็ดเหนื่อยยิ่ง ตัดสินใจนอนให้อิ่มก่อนแล้วค่อยว่ากัน

อูอีเสวี่ยหลับสนิทและสบายใจ กระทั่งเที่ยงของวันถัดมาจึงตื่นขึ้นและพบว่าท้องหิวมาก ในถ้ำแห่งนี้แม้จะมีข้าวของมากมายแต่ไม่มีของกิน ดีที่นางยังมีอาหารแห้งติดตัวมาบ้าง จึงกินอาหารแห้งรองท้องไปก่อน กินไปพลางพลิกดูสมุดบันทึกของอาจารย์ ในนั้นบันทึกเรื่องเกี่ยวกับป่าแห่งนี้อยู่มากมาย

อาจารย์เขียนอธิบายไว้ว่าในป่าแห่งนี้ผลไม้ใดกินได้ ผลไม้ใดมีพิษ เรื่องนี้สำหรับอูอีเสวี่ยแล้วสำคัญมาก เพราะนางในเวลานี้เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ทั้งไม่มีพลังวัตร คิดจะใช้วิชาตัวเบาล่าสัตว์ป่าสักตัวมาย่างกินก็ทำไม่ได้ ดีที่ในป่าแห่งนี้ไม่มีคนอยู่อาศัย ดังนั้นบนพื้นดินจึงมีผลไม้สุกร่วงหล่นอยู่มาก เก็บขึ้นมาก็กินได้แล้ว

ทุกวันนางจะวิ่งออกไปหาของกิน ขณะเดียวกันก็ตระเวนหาหลักฐานยืนยันของนาง หลังจากหามาสี่วันสวรรค์ก็ไม่ทำให้คนตั้งใจจริงต้องผิดหวัง ในที่สุดนางก็พบเหอเปาที่ใส่ป้ายหยกม่วงห้อยอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

กล่าวสำหรับนางที่ไม่มีวิชาตัวเบา ทั้งยังกลายเป็นเด็กตัวเล็กๆ แล้ว การปีนขึ้นต้นไม้เป็นงานที่ยากเย็น ตอนนางปีนขึ้นมาถึงที่สูงด้วยความยากลำบาก เห็นสิ่งของอยู่ใกล้แค่ตรงหน้า เรื่องเศร้าก็บังเกิดขึ้นแล้ว

นกสีดำตัวโตตัวหนึ่งถึงกับคาบเหอเปาที่ใส่ป้ายหยกม่วงไปต่อหน้าต่อตานาง อูอีเสวี่ยแทบจะร้องไห้ออกมา ความจริงนางรักสัตว์เล็กสัตว์น้อยมาก แม้แต่รังนกบนต้นไม้ยังไม่อาจตัดใจไปทำลาย ทว่าในห้วงเวลานี้นางอยากจะจับเจ้านกใหญ่ตัวนั้นมาย่างกินเสียจริง!

นางอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา ได้แต่นั่งเหม่ออยู่บนต้นไม้ คราวนี้จะทำอย่างไรดี ป้ายหยกม่วงของนางถูกนกตัวโตคาบไปแล้ว เรื่องแบบนี้ถ้าแพร่ออกไป นางยังจะมีหน้าไปพบผู้คนในหุบเขาของนางหรือ

ในเวลานี้เองเสียงคนที่ด้านล่างจากไกลเข้ามาใกล้ทำให้นางตื่นจากภวังค์ นางรีบปิดกั้นลมหายใจด้วยความระแวดระวัง

“ดูจากตำแหน่งทิศทาง นางมารน่าจะตกลงมาแถวนี้จึงจะถูก”

นางจำเสียงนี้ได้ เป็นเหลยหู่ นางตึงเครียดไปทั้งร่างทันที พลางรออย่างเตรียมพร้อม

“ตกลงมาจากที่สูงปานนั้น น่ากลัวร่างคงแหลกกระจายเป็นหลายชิ้น แต่ก็แปลก เหตุใดจึงหาศพไม่พบ”

“หรือว่าถูกสัตว์ป่าคาบไปแล้ว”

พวกเขากำลังหาศพของนาง อูอีเสวี่ยลอบตื่นตระหนกในใจ คนพวกนี้เหตุใดยังไม่ตายใจ นางกระโดดหน้าผาแล้วยังต้องลงมาดูให้แน่ใจอีกหรือ

เหลยหู่แค่นเสียงเย็นชา “ต่อให้ถูกสัตว์ป่ากินก็ต้องมีรอยเลือดจึงจะถูก พวกเจ้ารีบแยกย้ายกันหา ต้องหาให้ข้าให้พบ!”

“ขอรับ!”

หลังจากลูกน้องของเหลยหู่แยกย้ายกันไปบริเวณรอบๆ เหลยหู่ยังคงอยู่ที่เดิมเดินหาไปมา อูอีเสวี่ยอดดีใจไม่ได้ ดีที่ตนปีนขึ้นมาบนต้นไม้ใหญ่ รอบตัวมีใบไม้หนาทึบ กอปรกับนางตัวเล็กไม่ถูกพบเห็นได้ง่าย ทว่าเพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด นางยังคงพยายามปิดกั้นลมหายใจด้วยกลัวจะถูกเขาสังเกตพบ

“ฮ่าๆ นางมาร ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบแล้ว!”

อูอีเสวี่ยสะดุ้งเฮือก เป็นไปได้อย่างไรที่เหลยหู่พบเห็นนาง

นางเขม้นตามอง พบว่าในมือเหลยหู่ถือเศษเสื้อผ้าที่นางตัดออกไปในวันนั้น เขากำลังพูดกับเศษผ้าเหล่านั้น

นางเอาเศษผ้าเหล่านั้นฝังดินไว้ นึกไม่ถึงว่าจะถูกเหลยหู่หาพบแล้ว

“แปลกจริง เสื้อผ้านี่เหตุใดจึงไม่มีคราบโลหิต ทั้งยังถูกตัดออกไปครึ่งหนึ่ง แม้แต่รองเท้าก็ใช่ หรือว่า…นางมารผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่”

อูอีเสวี่ยในใจแอบร้องแย่แล้ว ถ้าให้พวกเขาพบว่าตนยังไม่ตายจะต้องส่งกองกำลังจำนวนมากมาค้นหาจับกุมตัวนางแน่นอน นางย่อมตกอยู่ในฐานะลำบากมากขึ้น ในเวลานี้เองเสียงฝีเท้าอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น มีคนมาอีกแล้ว

“ผู้อาวุโสเหลย”

“จอมยุทธ์ตัน น้องชาย เจ้ามาได้จังหวะพอดี”

เป็นตันหานเลี่ย ครานี้ยิ่งย่ำแย่หนัก ดูท่ากระดาษไม่อาจห่อไฟได้ แล้ว อูอีเสวี่ยกลัดกลุ้มอยู่ในใจ

“น้องชาย เจ้าดูข้าเจออะไร นี่เป็นเสื้อผ้าของนางมาร บนเสื้อผ้าไม่มีคราบโลหิต ทั้งจงใจฝังเอาไว้ในดิน เห็นชัดว่ากลัวถูกคนพบเจอ ข้ากล้าพูดด้วยความมั่นใจ นางมารผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน!”

ตันหานเลี่ยหยิบเสื้อผ้าจากมือเหลยหู่มาพิจารณาดู เป็นของอูอีเสวี่ยจริง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอาเสื้อผ้าคืนให้เหลยหู่

“ผู้อาวุโสเหลย ในเมื่ออูอีเสวี่ยยังไม่ตาย เราก็แยกย้ายกันหา บางทีอาจจับตัวนางได้”

“ข้าก็คิดเช่นนั้น ถ้านางมารตกอยู่ในกำมือของข้า จะต้องให้นางได้น่าดูชม!”

ตันหานเลี่ยพยักหน้า พลันมองไปที่ด้านหลังเหลยหู่แล้วตวาดเสียงเฉียบขาด “ผู้ใด!”

เหลยหู่รีบหมุนตัวไปเพราะคำพูดของเขา ทว่าตันหานเลี่ยกลับฟาดฝ่ามือลงไปที่กะโหลกศีรษะของอีกฝ่าย เหลยหู่กระทั่งจะร้องให้คนช่วยก็ยังไม่ทัน ร่างอ่อนระทวยล้มลงกับพื้นทันที

เรื่องเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วและฉับพลันกะทันหันเกินไป อูอีเสวี่ยอยู่ข้างบนเห็นอย่างชัดเจน นางตื่นตระหนกตกใจจนอุดปากแน่น

เพราะเหตุใดตันหานเลี่ยต้องลอบจู่โจมเหลยหู่ นี่มันเรื่องอันใดกัน ก่อนหน้านี้เขายังพูดคุยกับเหลยหู่อย่างเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน่าเลื่อมใส รอเหลยหู่หมุนตัวไป เขากลับลอบจู่โจมอย่างไม่ลังเล ไม่มีเค้าลางใดๆ ทำให้คนไม่ทันระวังตัว

ตอนอูอีเสวี่ยได้สติกลับคืนมาอีกครั้งก็พบว่าตันหานเลี่ยหายตัวไปแล้ว ในเวลานี้รอบด้านมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ลูกน้องสิบคนของเหลยหู่กลับมาแล้ว พอพวกเขาเห็นเหลยหู่นอนอยู่กับพื้นจึงรีบเข้ามาตรวจสอบดู ชุลมุนวุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ หลังจากลูกน้องเหล่านั้นหามเหลยหู่จากไปแล้วอูอีเสวี่ยยังคงรออยู่บนต้นไม้ ไม่กล้าขยับตัว

ตันหานเลี่ยเล่า

นางกวาดตามองหาที่ด้านล่าง พลันรู้สึกเย็นวูบที่แผ่นหลัง นางหันหน้าไปช้าๆ ยามนี้ตันหานเลี่ยอยู่ข้างหลังนาง กำลังจ้องมองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง ฉับพลันนั้นเท้าพลันลื่นเสียหลัก ร่างทั้งร่างร่วงหล่นลงไปด้านล่าง นางคิดว่าตนเองจะต้องร่วงลงสู่พื้นแน่แล้ว ใครจะรู้ร่างพลันลอยขึ้นคล้ายถูกคนรับไว้ได้ นางลืมตาขึ้นมอง คนที่รับตัวนางไว้ก็คือตันหานเลี่ย นางเบิกตาโตมองเขา ไม่กล้าขยับตัวแม้เพียงน้อย

เมื่อตันหานเลี่ยเห็นชัดเจนว่าคนที่ตนรับไว้เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุหกขวบ สีหน้าที่เคร่งขรึมก็เลือนหายไป กลับคืนสู่ความมีสง่าน่าเกรงขามดังเดิม

“แม่หนูน้อย เจ้าขึ้นไปทำอะไรอยู่บนต้นไม้”

แม่หนูน้อย จริงสิ เวลานี้นางเป็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ตันหานเลี่ยจำนางไม่ได้ นางไม่จำเป็นต้องกลัวเขา นางฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ รีบใช้น้ำเสียงนุ่มนิ่มเฉพาะตัวของเด็กผู้หญิงพูดขึ้น “คนเลวมีหนวดเครา กลัวๆ”

ตันหานเลี่ยได้ยินแล้วนิ่งคิดเล็กน้อยก็เข้าใจ คนเลวมีหนวดเคราที่เด็กหญิงพูดถึงหมายถึงเหลยหู่ ไม่ผิด รูปร่างหน้าตาของเหลยหู่กล่าวสำหรับเด็กผู้หญิงแล้วดูน่ากลัวมากจริงๆ

เขาวางจิตใจที่ระแวดระวังลงก่อนยิ้มอ่อนโยน

“ไม่ต้องกลัว คนเลวถูกอาตีหนีไปแล้ว”

“จริงหรือ”

อูอีเสวี่ยแม้จะฝึกวรยุทธ์ได้ไม่ดี แต่ให้เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักไร้เดียงสาบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วนางเชี่ยวชาญมาก กอปรกับแววตาของนางใสซื่อ ขนตายาวกระพือปริบๆ ดวงตาสุกใสแวววาวสาดประกายวิบวับ ทำให้คนเห็นแล้ววางความระแวดระวังลงได้ง่าย

ต่อให้ตันหานเลี่ยช่างระแวงสงสัยก็คงไม่ถึงกับคิดสงสัยเด็กอายุหกขวบคนหนึ่ง เพียงเห็นว่านางยังเด็กไม่ประสา เรื่องที่เขาลอบจู่โจมเหลยหู่เมื่อครู่เด็กหญิงคงดูไม่เข้าใจ จึงยิ้มแล้วหลอกล่อนาง

“เป็นความจริง คนเลวถูกตีหนีไปแล้ว เจ้าอย่าได้บอกใคร เดี๋ยวคนเลวได้ยินแล้วจะกลับมาอีก”

อูอีเสวี่ยรีบพยักหน้ารับปากอย่างว่าง่าย ทั้งยังเผยรอยยิ้มน่ารักออกมา ในใจกลับกำลังคิด ตันหานเลี่ยผู้นี้ที่แท้แล้วภายนอกดูอ่อนโยนภายในกลับชั่วร้าย ต่อไปนางจะต้องอยู่ให้ห่างเขาสักหน่อย

“จริงสิ แม่หนู บ้านเจ้าอยู่ที่ใด นี่เจ้าอยู่คนเดียวหรือ”

อูอีเสวี่ยในใจรู้ดี เขากำลังหยั่งเชิงดูว่ายังมีคนอื่นอยู่ในละแวกใกล้เคียงหรือไม่ เพราะกลัวจะมีใครเห็นเรื่องที่เขาลงมือกับเหลยหู่ ครั้นแล้วนางก็แสร้งทำไร้เดียงสาต่อไป…

“พวกท่านลุงบอกให้ข้ารออยู่ที่นี่ บอกเทพแห่งขุนเขาจะมาหาข้า เอาของอร่อยมาให้ข้ากิน”

ตันหานเลี่ยได้ยินแล้วชะงักอึ้ง มีหมู่บ้านบางแห่งที่เชื่อเรื่องงมงาย ชาวบ้านจะคัดเลือกเด็กที่หน้าตางดงามมาทิ้งไว้ในป่าเขาที่รกร้างเปล่าเปลี่ยว บอกถวายให้เทพเจ้าเพื่อขอให้คุ้มครองคนในหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข

หนูน้อยผู้นี้คงถูกเห็นเป็นเครื่องเซ่นไหว้ของเทพแห่งขุนเขา ใครใช้ให้ดวงหน้าน้อยนี้งดงามน่าเอ็นดู มิน่าถึงได้ถูกเอามาทิ้งไว้ในป่า ถ้าเขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น เกรงว่าพอตกกลางคืน ต่อให้นางไม่หิวตายก็ต้องถูกสัตว์ป่ากิน

จะอย่างไรก็เป็นเด็กคนหนึ่ง ตันหานเลี่ยไม่อาจเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย จึงกล่าวกับนาง “อาจะพาเจ้าออกจากป่าเอง”

อูอีเสวี่ยพยักหน้า ปล่อยให้เขาอุ้มเดินไป นางเอาคางวางไว้ที่หัวไหล่ของเขา กลอกนัยน์ตาสุกใสวาบวับไปมา คิดในใจว่าหลอกเขาได้สำเร็จแล้ว แต่ถัดจากนี้จะหาวิธีสลัดหลุดไปได้อย่างไร

โชคดีโอกาสของนางมาถึงในไม่ช้า ตอนตันหานเลี่ยอุ้มนางเดินกลับไปก็เจอกับจางเสี่ยวเฟิงเข้า เขาจึงมอบนางให้จางเสี่ยวเฟิงพลางบอกเล่าถึงต้นสายปลายเหตุ

“คนในหมู่บ้านช่างเหี้ยมโหด ถึงกับเอาเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักเช่นนี้มาทิ้งบนภูเขา จอมยุทธ์ตันวางใจ มอบให้ข้าเถิด ข้าจะพานางกลับไปที่ปราสาทเขาปี้เจี้ยน ดีกว่ามอบให้คนในหมู่บ้านที่โง่เขลากลุ่มนั้น” จางเสี่ยวเฟิงกล่าวอย่างมีเหตุผลและเต็มไปด้วยสัจธรรม ต่อหน้าตันหานเลี่ยผู้หล่อเหลาเลิศล้ำยากจะหาใครเทียม ยากนักที่นางจะมีโอกาสได้แสดงท่าทีของตน ย่อมต้องแสดงท่วงท่าของจอมยุทธ์หญิงออกมาเต็มที่

“เช่นนั้นก็รบกวนแม่นางจางแล้ว” ตันหานเลี่ยประสานมือให้นาง แล้วหมุนตัวเดินจากไปเพื่อตามหาร่องรอยอูอีเสวี่ยต่อ

อูอีเสวี่ยเงยหน้ามองสีหน้าท่าทางของจางเสี่ยวเฟิงขณะมองส่งตันหานเลี่ย เห็นสองแก้มของนางแดงระเรื่อ สีหน้าขวยเขิน ดวงตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาก็อดลอบส่ายหน้าไม่ได้

แม่นางจาง คนเราไม่อาจมองกันที่รูปโฉมภายนอก บุรุษไม่อาจมองเพียงใบหน้า คนแซ่ตันดูเหมือนซื่อตรง ความจริงแล้วภายในชั่วร้ายยิ่ง

จางเสี่ยวเฟิงหวนนึกถึงน้ำเสียงและลักษณะท่าทางตอนตันหานเลี่ยพูดกับนางเมื่อครู่ เขาน่าจะมีความรู้สึกที่ดีต่อนางกระมัง แม้จะบอกว่าลิ่นชังโยวก็น่าหลงใหล แต่ตันหานเลี่ยที่ตลอดเวลาไม่เคยมองนางตรงๆ เลยกลับทำให้นางห้ามใจไม่อยู่อยากจะปรายตามองให้มากหน่อย

ดีที่แม่หนูน้อยผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ทำให้นางกับตันหานเลี่ยมีโอกาสได้พูดคุยกัน คิดมาถึงตรงนี้นางก็ยิ้มด้วยความปีติ หันมาจะจับจูงมือแม่หนูน้อย พลันพบว่าคนหายไปแล้ว

แม่หนูน้อยเล่า!

นางเดินหาไปทั่วบริเวณด้วยความตื่นตระหนกกลับไม่เห็นแม้แต่เงา กระทั่งแม่หนูน้อยหายตัวไปได้อย่างไรก็ยังไม่รู้

จางเสี่ยวเฟิงลนลานยิ่ง ทำเด็กหายไปเช่นนี้แล้วนางจะมองหน้าตันหานเลี่ยได้อย่างไร นอกจากนี้นางถึงกับไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย

นางรีบร้อนออกไปตามหา อูอีเสวี่ยรอนางเดินไปไกลแล้วจึงคลานออกมาจากใต้พื้นดิน ปัดๆ ใบไม้และเศษดินบนร่างออก

ความจริงแล้วนางไม่ได้ไปไหน เพียงบังเอิญเห็นที่พื้นดินมีโพรงเล็กๆ อยู่จึงแอบมุดเข้าไปในนั้น จากนั้นก็ฉวยจังหวะที่จางเสี่ยวเฟิงกำลังนึกถึงตันหานเลี่ยเอาใบไม้มาปิดกลบ นางก็ซ่อนตัวได้แล้ว

นางพบว่าร่างกายเล็กๆ ร่างนี้ความจริงแล้วก็มีข้อดี บวกกับนางตัวอ่อนสามารถหลบซ่อนตัวในที่เล็กแคบที่คนอื่นไม่แม้แต่จะนึกถึง ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คนนางไม่กล้าชักช้าโอ้เอ้อีก รีบกลับไปที่ถ้ำศิลาโดยเร็ว

หลังจากพักฟื้นอยู่ในถ้ำศิลาห้าวัน ในที่สุดอูอีเสวี่ยก็ตัดสินใจจะออกเดินทางให้เร็วที่สุด ไม่ว่าอย่างไร นางต้องรีบไปรวมตัวกับผู้คุมกฎทั้งสี่ที่เมืองชิงหูภายในเวลาหนึ่งเดือนให้ได้

หลังจากเก็บห่อสัมภาระที่จะเอาติดตัวไปเสร็จนางก็เริ่มไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนขึ้นมา

เวลานี้นางสูญเสียพลังวัตรไปจนหมดสิ้น กอปรกับป่าแห่งนี้กว้างใหญ่เกินไป เดินอยู่ในป่าตามลำพังคนเดียวคงไม่เหมาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกจางเสี่ยวเฟิงน่าจะยังตามหานางอยู่ มีเพียงวิธีเดียวคือต้องข้ามยอดเขาไป

โชคดีที่นางมีดวงวิญญาณบนสวรรค์ของอาจารย์คุ้มครอง ถ้ำศิลาแห่งนี้ยังมีความลับอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือสามารถเชื่อมถึงยอดเขาอีกด้านหนึ่ง

นางเดินลดเลี้ยวไปตามเส้นทางที่ระบุไว้ในแผนที่ ยิ่งใกล้ถึงสุดปลายทางอีกด้านหนึ่ง เสียงน้ำไหลก็ยิ่งดังชัด ที่แท้ทางออกอีกด้านหนึ่งของทางเดินซ่อนอยู่ด้านหลังน้ำตกบนภูเขา

นางมองไปข้างหน้า นอกถ้ำศิลาเหมือนโลกอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภูเขาเขียวน้ำใส นกร้องขับขานบุปผาส่งกลิ่นหอมกรุ่น ยังเห็นควันไฟจากการหุงหาอาหารลอยเป็นเกลียวอ้อยอิ่งขึ้นไปในอากาศ

ก่อนจะก้าวเท้าออกจากถ้ำ นางหยุดฝีเท้าลง มองแผนที่ในมือ นี่เป็นสิ่งล้ำค่าที่ตกทอดมา ไม่อาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือผู้อื่นเด็ดขาด

หรือจะเผาทิ้ง?!

อย่าโง่ไปหน่อยเลย ความจำของนางไม่ได้ดีเพียงนั้น ผ่านตาไม่ลืมมีแต่ในตำนานเท่านั้น ไม่มีทางเกิดขึ้นกับนางได้ คราวหน้ายังต้องใช้อีก

ครั้นแล้วนางจึงเอาแผนที่ซ่อนไว้ในโพรงเล็กๆ บนผนังถ้ำ จากนั้นก็เอาก้อนหินอุดไว้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ร่างน้อยๆ จึงก้าวย่างออกสู่ยุทธภพ เริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่

 

โปรดติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Jamsai Editor: