บทที่เจ็ด
อูมู่ฉินกลัดกลุ้มยิ่งนัก ตันไหวชิงไม่ยอมปล่อยนางไป เขาจับตาดูนางอยู่ตลอดเวลา เห็นนางเป็นนักโทษที่ต้องคุมตัวไปส่ง สีหน้าท่าทางบ่งบอกว่า ‘เจ้ากล้าบุ่มบ่ามหุนหัน ข้าก็จะสังหารเจ้าเสีย’
ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป อย่าว่าแต่กลับหุบเขาหมื่นบุปผา ไม่ว่าที่ไหนนางก็ไปไม่ได้
ไม่ได้การ นางจะต้องคิดหาวิธีเกลี้ยกล่อมเขา
“เราปล่อยซือถูหรานไปแล้วจริงๆ ถ้าท่านไม่เชื่อ ไยไม่ไปตรวจสอบดู”
ตันไหวชิงมองนางวาบหนึ่ง พลันหยักยกรอยยิ้ม “ข้าเชื่อ”
นางชะงักอึ้ง จากนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ในเมื่อเชื่อ เพราะเหตุใดถึงยังไม่ปล่อยข้าไป”
“บอกความเป็นมาของเจ้ามา สำนักไหนพรรคใด ข้าฟังแล้วเห็นว่าไม่มีปัญหาย่อมจะปล่อยเจ้าไป”
อูมู่ฉินฟังแล้วในที่สุดก็เข้าใจ คนผู้นี้ต้องการจะตรวจสอบภูมิหลังของนาง ก่อนหน้านี้นางได้แต่แปลกใจ เพราะไม่ว่านางจะอธิบายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมปล่อยคน ที่แท้ก็เพราะนางไม่ยอมเปิดเผยความเป็นมาของตน ดังนั้นเขาจึงไม่ตายใจ
“ข้ามีความเป็นมาอย่างไรสำคัญด้วยหรือ เราต่างมีน้ำใจผดุงคุณธรรมช่วยแม่ทัพซือถู นี่แสดงให้เห็นแล้วว่าข้าไม่ใช่คนเลว ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ควรฟังเหตุผลบ้าง”
“ถ้าไม่ใช่กลัวคนอื่นจะรู้ความจริง เหตุใดต้องปิดบังความเป็นมาด้วย เว้นเสียแต่จะมีเรื่องที่ไม่อาจให้ผู้อื่นรู้เห็น เจ้าไม่บอก ผู้แซ่ตันย่อมไม่อาจแน่ใจได้ว่าเจตนาในการช่วยคนของพวกเจ้าดีหรือไม่ดี”
อูมู่ฉินถลึงตาใส่เขา เห็นชัดว่าคนผู้นี้ดื้อรั้นยิ่ง นางไม่ยอมพูด เขาก็ไม่ปล่อยคน ดูท่าทางคนผู้นี้เมื่อใดที่ตัดสินใจแล้วก็จะไม่ยอมประนีประนอมง่ายๆ
นางไม่สมัครใจจะบอกและไม่อาจบอก เพราะหุบเขาหมื่นบุปผาถูกมองว่าเป็นพรรคมาร ประมุขหุบเขาก็ถูกมองว่าเป็นนางมาร
คนของหุบเขาหมื่นบุปผาความจริงแล้วไม่ใช่คนเลว เพียงแต่ทำอะไรตามใจชอบจนชินแล้ว ทั้งไม่ใส่ใจประเพณีนิยมและกฎเกณฑ์มารยาทต่างๆ เห็นว่าถูกต้องก็ทำ กับเรื่องที่ผู้คนทั่วไปเข้าใจผิดก็ไม่เคยชี้แจงอะไรมาก จนกระทั่งบัดนี้จึงไม่มีผู้ใดเข้าใจหุบเขาหมื่นบุปผา และคนในหุบเขาเวลาออกไปข้างนอกก็ไม่เคยบอกว่าตนมาจากหุบเขาหมื่นบุปผา ประการแรกไม่ต้องการเปิดเผยตัว ประการที่สองหลบเลี่ยงอันตราย ด้วยเหตุนี้สำหรับคนในยุทธภพแล้ว หุบเขาหมื่นบุปผาจึงเป็นสำนักที่ลึกลับและประหลาด
ถ้านางบอกความเป็นมาของตนออกไป ไม่เพียงเปิดเผยพฤติการณ์ซ่อนเร้นของตน แต่ตันไหวชิงก็ไม่แน่ว่าจะปล่อยนางไปด้วย
เรื่องนี้ก็ชะงักอยู่เพียงแค่นี้ นางไม่คิดจะขอร้องเขาอีก อย่างน้อยนางก็แน่ใจแล้วเรื่องหนึ่ง ตันไหวชิงหาได้คิดจะส่งตัวนางไปให้กรมอาญา เขาก็แค่อยากจะรู้ถึงที่มาของนางให้ชัดเจนเท่านั้น
ในเมื่อเขาดื้อรั้นเช่นนี้ นางก็จะดื้อแพ่งไปกับเขาด้วย และดูว่าใครจะอดทนกว่ากัน
ระหว่างทางทั้งสองไร้คำพูด เขาบอกให้ไปทางไหน นางก็ไปทางนั้น เขาบอกให้หยุด นางก็หยุด
อูมู่ฉินแต่ไรมาก็ไม่กลัวลำบาก การอบรมสั่งสอนผู้เป็นประมุขของหุบเขาหมื่นบุปผาค่อนข้างพิเศษมาก ปฐมาจารย์ต้องการให้หัวใจของศิษย์ทั้งหลายสามารถทานทนต่อการเคี่ยวกรำจากนิสัยอันน่าหวาดกลัวและอันตรายของมนุษย์ เพราะไม่ว่าวรยุทธ์จะสูงส่งแข็งแกร่งเพียงใด หากหัวใจไม่เข้มแข็งพอก็เปล่าประโยชน์ ไม่เพียงถลำเข้าไปในแนวทางที่ผิดได้ง่าย ยังจะนำวรยุทธ์ไปใช้ในทางที่ผิดอีกด้วย
ดังนั้นอย่าเห็นเพียงว่ารูปโฉมภายนอกของอูมู่ฉินดูนิ่มนวลบอบบาง นางเป็นคนภายนอกบอบบางภายในเข้มแข็งอย่างแท้จริง ความจริงในบรรดาประมุขหุบเขาผู้เลอโฉมในแต่ละยุคในอดีต ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ถูกเลี้ยงดูมาดั่งบุปผาที่บอบบาง หากแต่เติบโตขึ้นมาโดยผ่านการทดสอบเคี่ยวกรำหล่อหลอมจิตใจมาครั้งแล้วครั้งเล่า
ตั้งแต่เล็กนิทานข้างเตียงที่นางได้ยินมากที่สุดคือนิทานเกี่ยวกับหญิงงามสิ้นชาติกับกษัตริย์ทรราชที่ทำให้บ้านเมืองล่มสลาย
ปฐมาจารย์บอกรูปโฉมงดงามไม่ใช่เรื่องผิด ที่ผิดก็คือหญิงสาวที่งดงามไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากรูปโฉม ความงามคืออาวุธ ต้องพิจารณาดูว่าจะใช้อาวุธนี้ในที่ใด จิตใจดีงามก็เป็นพระ จิตใจชั่วร้ายก็เป็นมาร
ปฐมาจารย์ยังบอกว่าในโลกนี้ต่อให้เป็นหญิงที่งามเพริศพริ้งเพียงใดก็อาจพบกับคนที่ไม่ถูกความงามทำให้ลุ่มหลงมัวเมาได้ เพราะในใจคนผู้นั้นเต็มไปด้วยสัจธรรมอันน่าเกรงขามและน่าเลื่อมใส ดวงตาทั้งสองสามารถมองทะลุรูปโฉมจอมปลอมภายนอกได้ กระบี่คมในมือเปรียบประดุจคันฉ่องส่องมาร จะแทงทะลุหัวใจที่อยู่ภายใต้ผิวหนังดวงนั้นอย่างไม่ยั้งมือไว้ไมตรี เปิดโปงความอัปลักษณ์ชั่วร้ายของจิตใจมนุษย์ ถ้าเจอคนประเภทนี้จะต้องให้ความเคารพและยำเกรง
ตันไหวชิงดูเหมือนจะเป็นคนประเภทนี้ เพื่อแม่ทัพซือถูที่ถูกใส่ความถูกจับคุมขัง ไม่คำนึงว่าจะต้องห้อตะบึงมาไกลนับพันลี้ ดังนั้นในใจของนางจึงเคารพเลื่อมใสเขาอยู่หลายส่วน
คนผู้นี้ถ้าเป็นสหายของหุบเขาหมื่นบุปผาจะต้องเป็นผู้ช่วยเหลือที่ดีแน่
เส้นทางเล็กในป่าขรุขระพวกเขาเดินเท้ามาโดยตลอด หลังออกจากป่า ไม่มีที่บังแดดแล้ว แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่องอยู่เหนือศีรษะไม่สบายอย่างมาก นางก็ไม่บ่น กลางคืนค้างคืนกลางแจ้ง เขาปูพื้นนั่งสมาธิ นางก็หาต้นไม้นั่งพิงสัปหงก
ทันใดนั้นเสียงฟ้าในฤดูใบไม้ผลิร้องคำราม พริบตาเดียวฝนก็กระหน่ำลงมา พวกเขารีบไปหาถ้ำหลบฝนได้ทันเวลา ทว่าร่างยังคงถูกฝนซัดเปียก
ตันไหวชิงพลังวัตรกล้าแข็ง สามารถใช้พลังวัตรขับไล่ความหนาวเย็นได้ ไม่นานเสื้อผ้าก็แห้ง แต่อูมู่ฉินในเวลานี้วรยุทธ์ถูกปิดกั้น ไม่อาจโคจรพลังวัตรได้ จำต้องสวมเสื้อผ้าเปียกๆ แต่นางกลับไม่ปริปาก วิธีทำให้เสื้อผ้าแห้งมีมากมาย นางหมุนตัวมองไปรอบๆ พบว่าในถ้ำแห่งนี้มีกิ่งไม้แห้งหญ้าแห้ง ดวงตาพลันสว่างวาบ ในใจคิดว่าคนในหมู่บ้านจะต้องผ่านมาทางนี้บ่อยๆ หรือมีนายพรานเคยมาค้างแรมที่นี่ เพื่อจะก่อไฟถึงได้เก็บกิ่งไม้แห้งหญ้าแห้งมากองไว้ที่นี่ และคงจะใช้ไม่หมดจึงทิ้งไว้
นางรีบย้ายกิ่งไม้แห้งหญ้าแห้งมาไว้ใกล้ๆ ปากถ้ำ เอากิ่งไม้แห้งก่อขึ้นมา จากนั้นก็ปลดห่อสัมภาระบนหลังลง หยิบกลักไฟออกมาแล้วจุดไฟขึ้นที่กิ่งไม้
อากาศรอบด้านอุ่นขึ้นมาทันที นางนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกองไฟ จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมออกมาจากห่อสัมภาระและห่อหุ้มร่างของตนเอาไว้ หลังจากเคลื่อนไหวอยู่พักหนึ่งนางก็ดึงเสื้อตัวนอกออกมาจากในเสื้อคลุมก่อนจะเอาเสื้อตัวนอกผึ่งไว้เหนือกองไฟ
ตันไหวชิงอยู่ด้านข้างมองนางอย่างปากอ้าตาค้าง ตอนนางทำเรื่องเหล่านี้ดูเป็นธรรมชาติมาก และจิตใจจดจ่อยิ่ง ราวกับข้างกายไม่มีคนอยู่ ร่างของนางมีเสื้อคลุมห่อหุ้มอยู่ ดังนั้นต่อให้ถอดเสื้อตัวนอกออกมา นางก็ไม่ได้เผยอะไรให้ผู้ใดเห็น แต่เขาก็ยังคงเบนหน้าหนีอย่างไม่สบายใจพลางกำมือแน่น รู้ทั้งรู้ว่าที่นางทำสิ่งเหล่านี้เพียงเพื่อจะผึ่งเสื้อให้แห้ง หาได้ต้องการยั่วยวนเขา แต่เขากลับไม่อาจมองข้ามพฤติกรรมของนาง หัวใจที่แต่ไรมาสงบเยือกเย็นพลันร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างประหลาด
เขาหลับตาลง กดความร้อนรุ่มในใจขุมนั้นลงไป ลำบากไม่น้อยกว่าจะกลับคืนสู่ความสงบเยือกเย็น ผ่านไปไม่นาน กลิ่นหอมขุมหนึ่งค่อยๆ โชยมา ทำให้เขาลืมตาขึ้นมาด้วยความแปลกใจอีกครั้ง
นางกำลังย่างแผ่นแป้ง!
หลังจากอูมู่ฉินเอาเสื้อตัวนอกผึ่งแห้งและสวมกลับลงบนร่างแล้วก็พับเสื้อคลุมไว้เรียบร้อย วางไว้ใต้ร่างแล้วนั่งลง จากนั้นก็หยิบแผ่นแป้งออกมาย่าง ดูท่าทางแล้วฝนคงไม่หยุดง่ายๆ ในชั่วครู่ชั่วยาม อย่างไรเสียก็อยู่ว่างๆ ย่างของกินมากินแก้หิวดีกว่า
หลายวันมานี้กินแต่อาหารแห้ง ยากนักจะมีโอกาสได้ก่อไฟ นางจึงเอาแผ่นแป้งที่ตนทำไว้ออกมาย่างได้พอดี แป้งแผ่นนี้มีเนื้อสับ ในเนื้อสับมีเครื่องเทศที่นางคิดค้นขึ้นมาเองคลุกเคล้าอยู่ด้วยกัน กินเย็นก็ได้ แต่ถ้าเอามาย่างแล้วกินก็จะยิ่งหอมอร่อย
กลิ่นอาหารหอมเกินไปแล้ว ทำให้ตันไหวชิงไม่อาจสงบใจได้ เขาย่นหัวคิ้วเล็กน้อย ต่อให้ฝึกฝนวรยุทธ์สูงกว่านี้ คนก็ยังต้องกินธัญพืชทั้งห้า ยังต้องถูกยั่วยวนด้วยกลิ่นสี กลิ่นหอมของอาหารนั่นจึงปลุกเร้าหนอนในกระเพาะจนก่อกวนเขาไม่หยุด
ยามนั้นเอง จู่ๆ นางก็หันหน้ามาถาม “จะลองชิมแผ่นแป้งที่ข้าย่างหรือไม่” นางใช้กระดาษน้ำมันห่อมาชิ้นหนึ่งและยื่นส่งให้เขา
“ไม่ต้อง” เขาหลับตาพักผ่อน เลือกที่จะไม่มองเสียก็หมดเรื่อง
อูมู่ฉินถูกปฏิเสธซึ่งหน้าก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะรู้แต่แรกแล้วว่าเขาต้องไม่รับ นางก็แค่ถามไปอย่างนั้น อย่างน้อยนางก็เลือกแสดงความเป็นมิตรแล้ว นางกินเองทั้งหมดก็แล้วกัน
หลังจากนางหันหน้ากลับไป ตันไหวชิงก็ลืมตาจ้องมองนางอีกครั้ง เห็นนางกำลังเคี้ยวแผ่นแป้งอย่างละเอียดแล้วค่อยๆ กลืน กลิ่นหอมนั่นก่อกวนกระเพาะของเขาอยู่ตลอด ทำให้เขากำหมัดแน่นอีกครั้ง
สตรีผู้นี้ช่าง…
ด้วยฝนยังคงตกไม่หยุดกระทั่งย่างเข้ายามราตรี ดูท่าคืนนี้คงต้องนอนค้างแรมในถ้ำแห่งนี้แน่แล้ว อูมู่ฉินจึงเติมกิ่งไม้ลงไปจำนวนหนึ่งให้กองไฟลุกไหม้นานขึ้นอีกหน่อย จากนั้นนางก็เปิดห่อสัมภาระ หยิบขวดเล็กๆ ออกมาขวดหนึ่ง ในเวลานี้เองกระบี่เล่มหนึ่งก็พาดมาที่ลำคอของนาง
นางชะงักอึ้ง หันไปมองสบตาคมกริบเย็นยะเยียบของตันไหวชิง
“นั่นคืออะไร” เขาถามเสียงหนัก
“ไล่ยุง ทาไว้บนร่างกายแล้วไม่ต้องกลัวยุงกัด” นางตอบสบายๆ ไม่กลัวการข่มขู่ของเขาแม้แต่น้อย ทั้งยังเอาน้ำยาในขวดเทไปที่หลังมือและใบหน้า “ข้าจะทาลำคอ รบกวนหลบหน่อย” นางชี้ไปที่กระบี่ของเขาซึ่งยังพาดขวางลำคอนางอยู่
ตันไหวชิงดึงกระบี่กลับ นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นยังคงจับจ้องนาง เห็นนางยุ่งอยู่กับการทาถูไปตามใบหน้า ลำคอและใบหูของตน ถ้าของสิ่งนี้มีปัญหา นางคงไม่ทาไปบนผิวหนังของตนเอง คิดได้ดังนั้นแล้วจึงได้เลิกหวาดระแวง
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าปลอดโปร่งแล้ว ทว่าสีหน้าของตันไหวชิงกลับเหมือนมีเมฆดำลอยอยู่เหนือศีรษะ เพราะเขาถูกยุงกัดทั้งคืนจนนอนไม่หลับ เขาลอบมองอูมู่ฉิน เห็นนางยังหน้าตาสดชื่นแจ่มใสคล้ายหลับสบายมาทั้งคืนก็รู้แน่ชัดแล้วว่าสิ่งที่นางทาเนื้อทาตัวเมื่อคืนใช้ป้องกันยุงจริงๆ จึงมีเพียงเขาที่ใบหน้าถูกยุงกัดเป็นซาลาเปาสองลูก ตอนนางเห็นเข้า ท่าทางกลั้นหัวเราะของนางก็ทำให้เขายิ่งเสียหน้า
เขาย่อมไม่รู้ อูมู่ฉินอยู่ในป่าเขาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ นอกจากสัตว์ป่าและนกแล้ว ที่มีมากยิ่งกว่าก็คือหนอนแมลงต่างๆ ด้วยเหตุนี้ในหุบเขาจึงปลูกสมุนไพรนานาชนิดไว้มากมาย โดยเฉพาะสมุนไพรไล่แมลงป้องกันงูยิ่งมีไม่น้อย หาไม่นางจะหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาโดยไม่ถูกแมลงกัดต่อยได้อย่างไร
ทั้งสองเดินทางต่อไป ระหว่างทางยังคงไร้คำพูด ตันไหวชิงภายนอกดูเย็นชา แต่ยามที่นางไม่ได้สนใจ สายตาของเขากลับเบนมาที่ร่างของนางโดยไม่เผยร่องรอย
สตรีผู้นี้มองภูเขามองสายน้ำมาตลอดทาง ท่าทางชื่นมื่นสบายอกสบายใจยิ่ง บางครั้งยังเด็ดผลไม้ป่าที่ข้างทาง เอามาเช็ดกับแขนเสื้อไม่กี่ทีก็กินแล้ว เดินเหินนั่งนอนล้วนชื่นมื่นสง่างามแบบหญิงชายชาวยุทธ์ที่ไม่ถือเคร่งในกฎใดๆ
นางเป็นผู้ใดกันแน่…
ยิ่งนางไม่ยอมบอก เขาก็ยิ่งอยากรู้ เขาจะต้องรู้ความเป็นมาของนางให้จงได้
เป็นครั้งแรกที่เขามีความคิดเช่นนี้ และรู้ตัวว่าเขาเกิดความสนใจในตัวนางขึ้นมาแล้ว
นางยิ่งทำตัวลึกลับ เขาก็ยิ่งไม่คิดจะปล่อยนางไป เขามักรู้สึกว่าเมื่อใดที่ปล่อยนางไป ต่อไปภายหน้าก็อาจไม่มีวันได้พบนางอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงจงใจสร้างเหตุผลขึ้นมาเพื่อจะไม่ปล่อยนาง
แต่เขามีความหยิ่งทะนง ดังนั้นเขาจึงไม่ให้นางล่วงรู้ถึงความคิดของตน และไม่ให้นางพบว่าจำนวนครั้งที่ตนแอบมองนางนับวันยิ่งมากขึ้นทุกที
วันนี้ก่อนพลบค่ำพวกเขาเดินทางมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง โรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงทางแยกระหว่างเส้นทางสองเส้นทางพอดี เปิดมาเพื่อให้คนเดินทางเข้าพักโดยเฉพาะ
“ขอห้องพักหนึ่งห้อง”
ตันไหวชิงวางเงินแท่งหนึ่งลงตรงหน้าหลงจู๊โรงเตี๊ยม หลงจู๊เก็บเงินไว้ อดไม่ได้ที่จะมองหญิงสาวที่อยู่ด้านหลังลูกค้าผู้นี้
ตันไหวชิงย่นหัวคิ้ว รีบขยับตัวบังสายตาของหลงจู๊เอาไว้ นัยน์ตาคมกริบดุจใบมีดมองจ้องจนหลงจู๊ขนหัวลุกชัน รีบค้อมตัวขออภัยไม่หยุด
“ข้าน้อยจะให้คนพานายท่านเข้าไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” หลงจู๊ไม่กล้ามองส่งเดชอีก รีบเรียกลูกน้องมาพาแขกขึ้นไปชั้นบน ปากยังบ่นพึมพำ “กระทั่งมองก็ไม่ได้ ขี้หึงเสียจริง”
“เจ้าว่าอะไร” ตันไหวชิงหันหน้ามาเอ่ยเตือนเสียงเยียบเย็น
“ไม่มีอะไรๆ” หลงจู๊รีบโบกไม้โบกมือ ไม่กล้าพูดมากอีกแม้แต่คำเดียว
อูมู่ฉินไม่ได้ยินว่าพวกเขาพูดอะไร นางเดินตามเสี่ยวเอ้อร์ขึ้นไปชั้นบน ตันไหวชิงเช่าห้องพักเพียงห้องเดียว แสดงว่าแม้แต่ตอนกลางคืนเขาก็ยังจะคุมนาง นางนึกขำอยู่ในใจ วรยุทธ์ของนางถูกปิดกั้น เขายังจะกลัวนางหนีอีกหรือไร
นางไม่ประท้วงคนแซ่ตันเรื่องต้องพักอยู่ในห้องเดียวกัน เพราะหากทำเช่นนั้นคนแซ่ตันคงเพียงหัวเราะนางว่ามองตนเองสูงส่งเกินไป ในสายตาของเขา นางก็แค่โจรหญิงผู้หนึ่งเท่านั้น
หลังจากเดินเข้าไปในห้อง ตันไหวชิงเอ่ยสั่งเสี่ยวเอ้อร์ “ไปเตรียมน้ำอาบมา”
อูมู่ฉินเข้าใจว่าเขาต้องการจะอาบน้ำ ผู้ใดจะรู้หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ยกน้ำมา เขาก็ออกคำสั่งกับนาง “รีบอาบน้ำให้สะอาด ข้าจะรออยู่ข้างนอก อย่าเล่นลวดลาย” และไม่รอให้นางทันได้โต้ตอบเขาก็หมุนตัวก้าวยาวๆ จากไป
นางรู้สึกเหนือความคาดหมาย ที่แท้น้ำสำหรับอาบนี้เขาให้เสี่ยวเอ้อร์เตรียมมาให้นาง ไม่แน่ผู้อื่นอาจรังเกียจว่านางเหม็น กลัวตอนกลางคืนจะรมกลิ่นเขา ดังนั้นจึงให้นางอาบน้ำให้สะอาดกระมัง
ในเมื่อมีน้ำให้อาบอูมู่ฉินย่อมไม่ปฏิเสธ นางถอดเสื้อผ้าด้วยความเบิกบานใจ ขัดสีฉวีวรรณตนเองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าจนสะอาดเอี่ยม แล้วหยิบเสื้อผ้าจากในห่อสัมภาระออกมาผลัดเปลี่ยน จากนั้นก็นับว่ากลับคืนสู่ความสดชื่นเย็นสบายแล้ว
ตันไหวชิงเองก็อาบน้ำเช่นกัน ตอนเข้ามาในห้องเขาหันมามองนางแวบหนึ่ง เห็นนางจัดการกับตนเองจนสะอาดเอี่ยมแล้ว ในใจลอบรู้สึกพอใจยิ่ง จึงสั่งให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอ่างอาบน้ำออกไป แล้วสั่งอาหารสองสามอย่างมากินในห้องพัก
ตอนกินอาหารทั้งสองก็ยังคงเงียบกริบ ทว่าเมื่อถึงเวลาเข้านอน ปัญหาของนางก็ปรากฏออกมา ในห้องนี้มีเตียงนอนหลังเดียว ให้เขานอนหรือให้นางนอนกันแน่เล่า
ไม่จำเป็นต้องให้นางถาม ไม่นานก็รู้คำตอบ ตันไหวชิงเป็นฝ่ายไปนั่งยังตั่งที่นั่งแล้วหลับตาพักผ่อน นี่หมายความว่ามอบเตียงหลังนั้นให้นางนอนแล้ว
คนผู้นี้นิสัยใช้ได้!
นางลอบยิ้มในใจ เมื่อเป่าเทียนดับก็เดินไปถึงข้างเตียง ปล่อยม่านมุ้งลงและล้มตัวลงนอน ไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไรที่ในห้องมีบุรุษเพิ่มมาคนหนึ่ง
หลังจากนางปล่อยม่านมุ้งและทิ้งตัวลงนอน ตันไหวชิงก็ลืมตาขึ้นทันที เขาหันมองไปทางเตียงเงียบๆ แววตาก็ไม่เยียบเย็นเช่นยามกลางวัน
ไม่อาจปฏิเสธ นางงดงามยิ่ง แต่ที่ดึงดูดใจเขาคืออุปนิสัยของนาง เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ถ้านางไม่บอกว่านางชื่ออะไร เขาก็จะไม่ปล่อยนางไป นอกจากนี้ต่อให้นางไม่พูด สหายของนางย่อมต้องมาตามหานาง
เขามีความอดทนสูง ย่อมมีวิธีสืบข่าวออกมาจนได้
ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงหายใจสม่ำเสมออย่างคนหลับสนิทจึงอดเม้มปากไม่ได้
หญิงผู้นี้ไม่คิดอะไรมาก เพียงครู่เดียวก็หลับไปแล้ว ไม่ต่างจากหลายวันที่ผ่านมา ไม่ว่านอนกลางแจ้ง ในป่าหรือนอนในถ้ำ อยู่ต่อหน้าเขานางก็หลับได้อย่างสบาย ทว่านิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ของนางเป็นลักษณะนิสัยแบบที่เขาชอบ
อูมู่ฉินไม่คิดมากเหมือนเขา มีจอมยุทธ์ตันที่วรยุทธ์กล้าแข็งรับหน้าที่เฝ้ายามให้นาง นางย่อมหลับอย่างสบายใจ ทว่ายังมีสาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่ง…
ตลอดเส้นทางนางได้ทิ้งสัญญาณลับที่มีแต่คนของหุบเขาหมื่นบุปผาเท่านั้นที่เห็นแล้วเข้าใจ นางเพียงอดทนรอผู้คุมกฎทั้งสี่มาช่วยนางก็พอแล้ว
เสียดายเรื่องราวในโลกยากแก่การคาดเดา ต่อให้อูมู่ฉินคำนวณได้แม่นยำเพียงใดก็คงลืมไปว่าคนคำนวณไม่สู้ฟ้าลิขิต นางยังไม่ทันรอให้สี่ผู้คุมกฎมาหานาง กลับพบคนร้ายกลุ่มหนึ่งเข้าเสียก่อน
ขณะหลับฝันนางสัมผัสได้ถึงความผิดปกติที่ทำให้อกสั่นขวัญหายขุมหนึ่ง เมื่อรีบลืมตาขึ้นมาพลันพบว่าใบหน้าของตันไหวชิงอยู่ใกล้ชั่วลัดนิ้วเดียว ดวงตาแวววาวคู่นั้นจับจ้องมองนาง ฝ่ามือของเขาปิดปากนางไว้ทันที ป้องกันไม่ให้นางกรีดร้องออกมา
นางไม่ได้ลนลาน เพียงตะลึงงันไปชั่วขณะ เขาจ้องมองนางนิ่ง จากนั้นฝ่ามือก็เคลื่อนไปที่ข้างลำคอนาง กุมเส้นชีพจรของนางไว้
นางพลันเข้าใจแล้ว มีคนซุ่มซ่อนตัวอยู่รอบๆ ห้อง อีกทั้งไม่ใช่เพียงคนเดียว ประมาณการดูอย่างน้อยน่าจะสิบคนขึ้นไป นางรู้เขากำลังคิดอะไรจึงรีบทำมือทำไม้บอกเขา
“พวกที่อยู่ข้างนอกนั่นไม่ใช่คนของข้า ท่านไม่ต้องเกรงใจ อยากสังหารก็สังหาร!”
ตันไหวชิงมองท่าทางไม่สะทกสะท้านของนาง ตอนสังเกตเห็นความผิดปกติที่อยู่รอบบริเวณ เขาไม่แม้แต่จะคิดก็กระโดดขึ้นมาบนเตียงที่ข้างกายนาง เขาเข้าใจว่าคนเหล่านั้นมาเพื่อจะช่วยนาง แต่คิดไม่ถึงว่านางจะปฏิเสธทันที ทั้งยังบอกอย่างใจกว้างให้เขาไม่ต้องเกรงใจไปสังหารคนเหล่านั้นได้เลย
หรือว่าคนเหล่านั้นไม่ได้มาเพื่อช่วยนางจริงๆ
ในเวลานี้เองมีกระบอกไม้ไผ่แท่งหนึ่งยื่นเข้ามาที่ช่องประตูแล้วเป่าลมขุมหนึ่งเข้ามาในห้อง อาจจะเป็นยาสลบ หรืออาจจะเป็นผงกระดูกอ่อน
ตันไหวชิงรีบใช้วิชาปิดกั้นลมหายใจ ส่วนอูมู่ฉินก็หยิบขวดเล็กๆ ขวดหนึ่งออกมาจากตัวเสื้อด้านหน้า เทยาไม่รู้ชื่อเม็ดหนึ่งใส่มือแล้วโยนเข้าปาก
เขาย่นหัวคิ้ว คว้าข้อมือข้างที่ถือขวดของนางไว้ คล้ายจะถามว่า “นี่คืออะไร”
“ยาขจัดพิษ จะกินสักเม็ดหรือไม่” นางทำมือทำไม้
ครั้งนี้เขากลับไม่เกรงใจนาง หยิบยามาเม็ดหนึ่งแล้วโยนเข้าปากตนเองทันที
นางเบิกตาโตมองเขา คงเพราะคิดไม่ถึงว่าเขาจะกินกระมัง เขายกริมฝีปากยิ้ม เพราะท่าทางอึ้งตะลึงของนางทำให้เขาอารมณ์ดี
ทั้งสองหลบอยู่บนเตียงเฝ้าสังเกตการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ นางนอนอยู่ ส่วนเขาอยู่ข้างๆ นาง ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันเพียงนี้ ใกล้จนเขาสามารถได้กลิ่นของนาง นางไม่ได้ทาชาดหรือแป้ง บนตัวมีเพียงกลิ่นหอมจรุงใจที่เป็นธรรมชาติ แต่ไรมาเขาไม่ชอบใกล้ชิดอิสตรี และไม่ชอบให้อิสตรีมาใกล้ชิดเขา แต่เขากลับไม่รังเกียจที่จะอยู่ใกล้ชิดกับนางเช่นนี้
ในทางตรงข้ามเขากลับรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่หัวใจของสตรีผู้นี้เต้นเป็นปกติสม่ำเสมอ นางไม่รู้สึกเก้อเขินขวยอายกับการอยู่ใกล้ชิดกับเขา เพียงจับจ้องไปที่นอกห้องด้วยจิตใจจดจ่อ
นางสงบนิ่งเกินไปแล้ว ทำให้เขาไม่ชอบใจ แต่ก็ชื่นชมอย่างมาก
เวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ ในที่สุดก็มีการเคลื่อนไหวแล้ว ดาบใหญ่คมกริบเล่มหนึ่งสอดเข้ามาที่ช่องประตู ค่อยๆ เขี่ยดาลประตูให้หลุดออก จากนั้นเงาร่างสีดำหลายสายก็เดินเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินมาทางพวกเขาเงียบๆ
ฉับพลันนั้น ดาบใหญ่หลายเล่มก็ฟันลงไปบนเตียงพร้อมกัน แรงที่ฟาดฟันลงมาเห็นชัดว่าต้องการเล่นงานคนถึงตาย หลังจากฟาดฟันส่งเดชอยู่พักหนึ่ง คนชุดดำคนหนึ่งก็สั่งคนอื่นๆ ให้หยุดมือ จากนั้นก็จุดเทียนให้สว่าง กลับพบว่าบนเตียงไม่มีคนอยู่ มีเพียงผ้าห่มที่ถูกพวกเขาฟันจนขาด
พริบตาถัดมา พลังรุนแรงก็จู่โจมลงมาเหนือศีรษะ เหล่าคนชุดดำถูกกระแทกจนถอยออกไปข้างนอก มีสามคนกระอักโลหิตออกมา
ที่แท้ตอนคนเหล่านี้เข้าประตูมา ตันไหวชิงได้อุ้มอูมู่ฉินกระโดดขึ้นไปบนขื่อคานด้วยความรวดเร็วโดยไม่มีผู้ใดรู้ หลังจากจัดการให้นางอยู่บนขื่อคานแล้ว เขาก็ปรับพลังลมปราณที่จุดตันเถียน โคจรพลังมาไว้ที่ฝ่ามือ รอพวกเขาเข้ามาใกล้ แล้วซัดฝ่ามือใส่พวกเขากระเด็นไป
เขากระโดดลงสู่พื้น พลังฝ่ามือดุจกระบี่เหมาะที่จะต่อสู้กับศัตรูในพื้นที่เล็กแคบ ขณะที่พลังฝ่ามือฟาดกวาดดุจดั่งมือถือกระบี่คมกริบปะทะกับพลังดาบของศัตรู ถึงกับเกิดเสียงดังของอาวุธกระทบกัน
เปลวเทียนที่สั่นไหวในห้องส่องสะท้อนเงาร่างของทุกคนจนดูแปลกประหลาด คนชุดดำโอบล้อมตันไหวชิงไว้ทั้งสี่ด้าน ดาบใหญ่ฟาดฟันลงมา เขากลับยืนตระหง่านดุจต้นสนต้นหนึ่ง เพียงซัดพลังฝ่ามือต่างๆ ออกไป การเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวประดุจเมฆที่ล่องลอยสายน้ำที่ไหลริน เผยให้เห็นถึงความสง่างามมีอิสระไม่ถูกผูกมัด
อูมู่ฉินอยู่ข้างบนมองตาไม่กะพริบ ในใจรู้สึกแปลกใจ แต่ไรมานางได้ยินว่าวิชาพลังฝ่ามือของบ้านสกุลตันยอดเยี่ยม รูปแบบท่วงทำนองเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหัศจรรย์ ดุจลมดุจฝน ดุจดาบดุจกระบี่ นิ้วมือสามารถแทงทะลุไม้ ฝ่ามือสามารถสะบั้นสายลม ตอนนี้มาเห็นด้วยตาตนเองแล้ว ขณะที่รู้สึกเลื่อมใสก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นที่ลำคอด้วยพร้อมกัน
นางอดลูบๆ ลำคอของตนไม่ได้ เมื่อครู่ถูกเขากุมลำคอก็ไม่ต่างอะไรกับถูกมีดจ่ออยู่ โชคดีที่เขายั้งมือไว้ไมตรี หาไม่ศีรษะนางคงไม่มีแล้ว
ยามนั้นเองประตูหน้าต่างแตกกระจุย คนชุดดำจำนวนมากขึ้นพุ่งชนเข้ามา อูมู่ฉินพลันรู้สึกที่ด้านหลังมีอะไรผิดปกติ นางหันหน้าไปแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นคนชุดดำคนหนึ่งทิ้งตัวลงมาจากบนขื่อ นัยน์ตาคมจับนิ่งไปที่ตันไหวชิงที่อยู่ด้านล่าง
จุดที่นางซ่อนตัวบังเอิญถูกเสาคานบังอยู่มิดชิดยิ่ง ด้วยเหตุนี้คนชุดดำผู้นี้จึงไม่สังเกตเห็นนาง นางเพียงอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหวส่งเดชก็จะปลอดภัยไร้เรื่องราว แต่เมื่อนางเห็นหนอนสีดำที่ขยุกขยิกอยู่ในมือคนชุดดำ หัวคิ้วนางก็ขมวดแน่น
หนอนแทะหัวใจ?!
แย่แล้ว ต่อให้วรยุทธ์สูงเพียงใด ถ้าถูกหนอนแทะหัวใจเข้าสู่ร่างกายก็จะถูกกัดกินหัวใจจนตาย
“ระวังข้างบน!” นางร้องตะโกน
คนชุดดำบนขื่อกับตันไหวชิงที่อยู่ด้านล่างมองมาที่นางพร้อมกัน บนใบหน้าที่ถูกปิดอยู่ของคนชุดดำเผยให้เห็นดวงตาชั่วร้ายแปลกประหลาดคู่หนึ่ง พริบตาถัดมาเขาก็ซัดอาวุธลับในมือไปที่ตันไหวชิง ตันไหวชิงรับอาวุธรับไว้ได้ อาวุธลับนี้พอสัมผัสถูกมือของเขาก็ละลายกลายเป็นน้ำสีดำทันที
เขาย่นหัวคิ้ว น้ำสีดำบนฝ่ามือซึมแทรกเข้าไปในผิวหนังและถึงกับหายไปไม่เหลือร่องรอย เขาลอบร้องแย่แล้ว รีบโคจรพลังจะรีดน้ำพิษออกมา แต่ทันทีที่โคจรพลัง แขนพลันเจ็บปวดแสนสาหัส ขณะที่เขากำลังตื่นตระหนกอยู่ในใจก็มีคนพุ่งเข้ามาโจมตี เขาซัดฝ่ามือใส่คนสองคนกระเด็น ก่อนจะหมุนตัวถอยไปข้างหลัง ฉวยจังหวะนี้ดึงแขนเสื้อขึ้นสูง แล้วก็ต้องตกใจที่เห็นบนท่อนแขนมีเส้นสีม่วงดำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น และกำลังค่อยๆ ทอดยาวไปตามเส้นชีพจร
อูมู่ฉินเปิดเผยตัวออกมาแล้ว ตอนดาบใหญ่ในมือคนชุดดำฟาดฟันมาที่นาง นางก็กระโดดลงมาทันที คมดาบที่อยู่ด้านล่างก็หันขึ้นมา รอจะสับนางเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ตันไหวชิงไม่แม้แต่จะคิดก็กระโดดขึ้นไปในอากาศและรับนางไว้ในอ้อมแขน ก่อนจะพานางกระโดดทะลุหน้าต่างออกไป
เขาอุ้มนางไว้ เมื่อทั้งสองลงถึงพื้น นางรีบหยิบมีดสั้นออกมาจากหน้าอก ดวงตาตันไหวชิงพลันสาดประกายจิตสังหาร แต่เขากลับเห็นนางใช้มีดสั้นกรีดไปที่ฝ่ามือของตนเองทีหนึ่ง เขาตะลึงงันยิ่ง นางฉวยโอกาสตอนที่เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาก็กรีดไปที่ฝ่ามือเขาแผลหนึ่ง จากนั้นก็ประกบฝ่ามือทั้งสองเข้าหากัน ทันใดนั้นเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น…
เส้นสีม่วงดำบนแขนราวกับมีชีวิต หลังจากได้กลิ่นโลหิตที่สดอร่อยยิ่งกว่าก็หดตัวลง ความรู้สึกเจ็บปวดรุนแรงนั่นก็หายไปด้วย แต่พริบตาถัดมา ร่างของนางพลันโงนเงน คล้ายยืนไม่อยู่
ตันไหวชิงรีบโอบเอวนาง ตอนคนชุดดำในห้องพุ่งตามมา ประกายเหี้ยมโหดเฉียบขาดในดวงตาของเขาพลันเจิดจ้า ลงมือเข่นฆ่าสังหาร เมื่อฝ่ามือกวาดออก ศีรษะคนสามคนก็ตกสู่พื้น
คนชุดดำที่เหลือเห็นสภาพการณ์นี้ก็อึ้งตะลึงไปทันที ไม่มีผู้ใดกล้าก้าวเข้ามาอีก เพื่อจะหลบพลังฝ่ามือของเขา จึงรักษาระยะห่างเอาไว้ แต่ก็ไม่ยอมจากไป โอบล้อมพวกเขาสองคนเอาไว้ชั่วคราว
แม้ตันไหวชิงจะมีวรยุทธ์สูง แต่ฝ่ายตรงข้ามได้เปรียบที่คนมาก และเขายังต้องแบ่งสมาธิมาปกป้องนางอีกด้วย
ทว่าในเวลานี้เองสถานการณ์พลันพลิกผัน…
มีคนชุดเทาปิดหน้าอีกกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาที่ด้านหลังคนชุดดำ จากนั้นคนชุดเทากับคนชุดดำต่อสู้กันชุลมุน ทำให้ตันไหวชิงมีเวลาไปตรวจดูอาการของนาง
ตันไหวชิงหันหน้ามามองนาง พบว่าหน้าผากมีเหงื่อเย็นซึมออกมาเล็กน้อยคล้ายคนกำลังข่มกลั้นความเจ็บปวด และมือขวาของนางกำลังกุมแขนซ้ายอยู่คล้ายว่าความเจ็บปวดที่แขนทำให้นางไม่สบายอย่างมาก
ตันไหวชิงไม่มัวมาคำนึงถึงเรื่องชายหญิงอะไรอีก เขารีบกุมมือซ้ายของนาง เลิกแขนเสื้อขึ้นสูง แล้วก็ต้องตกใจที่เห็นบนท่อนแขนของนางมีเส้นสีม่วงดำเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น และกำลังค่อยๆ ทอดยาวไปตามเส้นชีพจรเหมือนกับเขาเมื่อครู่ก่อน แต่เส้นสีม่วงดำของนางยาวกว่ามาก
เขาสีหน้าเคร่งเครียด ถามเสียงต่ำ “นี่คืออะไร”
ในเมื่อนางรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะถ่ายเทของสิ่งนี้มาที่ร่างของนางได้ นางย่อมต้องรู้ว่าของประหลาดสิ่งนี้คืออะไร
อูมู่ฉินก็ไม่ปิดบังเขา เอ่ยบอกอย่างไม่สบอารมณ์นัก “หนอนแทะหัวใจ โอ๊ย…เจ็บจะตายแล้ว!”
ตันไหวชิงได้ยินแล้วก็ประหลาดใจใหญ่หลวง หนอนพิษเป็นวิชามารอย่างหนึ่ง สืบทอดมาจากคนต่างเผ่า มีคนบอกว่านี่เป็นวิชาของพ่อมดหมอผีและเป็นวิชามาร เขาเคยได้ยิน แต่เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก และเพื่อจะช่วยเขานางถึงกับเอาหนอนพิษถ่ายไปที่ร่างตนเอง!
“เพราะเหตุใดจึงช่วยข้า” เขาจับตามองนางนิ่ง
“ถ้าท่านถูกหนอนพิษ วรยุทธ์ของข้าก็ถูกปิดกั้นไว้ เราสองคนย่อมต้องตายแน่นอน ไม่สู้ถ่ายหนอนมาไว้ที่มือข้า ถึงจะยังพอมีหนทางรอด”
เช่นนั้นหรือ เขาเม้มปากแน่น ในใจรู้สึกผิดหวังต่อเหตุผลนี้
นางไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีผิดปกติของเขา เพียงนวดแขนข้างที่เจ็บปวดแล้วว่า “โชคดีคนของท่านมาเร็ว หาไม่ศัตรูมากเช่นนี้คงรับมือยากแล้ว”
เขางงงันและย้อนถาม “พวกเขาไม่ใช่คนของเจ้าหรือ”
นางก็ชะงักอึ้ง “ย่อมไม่ใช่ หรือว่าก็ไม่ใช่คนของท่าน”
ทั้งสองต่างอึ้งตะลึง ถ้าคนชุดเทาล้วนไม่ใช่กองกำลังของทั้งสองคน เช่นนั้นคนเหล่านี้คือผู้ใด เพราะเหตุใดจึงมาช่วยพวกเขา
คนชุดดำถูกคนชุดเทาล้อมโจมตีจึงพบว่าฝ่ายตรงข้ามมีการเตรียมการมาอย่างดี รับมือได้ยากกว่าที่คิด
หนอนแทะหัวใจเมื่อครู่ใช้ไปแล้ว สถานการณ์ที่ได้เปรียบก็ผ่านไปแล้ว หนึ่งในคนชุดดำจึงเป่าสัญญาณให้ล่าถอย
หลังจากคนชุดดำล่าถอยไป คนชุดเทาก็ไม่ได้ไล่ตาม หลังจากพวกเขาหยุดพักครู่หนึ่งก็ตั้งแถวเป็นสองแถว ล้อมอยู่สองฟากข้างของตันไหวชิงและอูมู่ฉิน
ตันไหวชิงจับตามองคนเหล่านี้อย่างระมัดระวัง ปกป้องนางไว้ในอ้อมแขน ยังคงโคจรพลังไปที่ฝ่ามือ แม้คนเหล่านี้จะช่วยเขาออกจากวงล้อมศัตรู ทว่าฐานะไม่ชัดแจ้ง เขาไม่อาจประมาทได้
ท่ามกลางแสงสว่างจากเปลวไฟ พวกเขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินจากที่ไกลๆ บุรุษที่อยู่ตรงกลางผู้นั้นถูกคนอื่นๆ ห้อมล้อมไว้ เห็นชัดว่าเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้
คนผู้นั้นเดินใกล้เข้ามาทุกที ภายใต้แสงไฟสาดส่อง ในที่สุดใบหน้าที่อยู่ท่ามกลางแสงวับๆ แวมๆ ก็เห็นชัดเจนขึ้น
นั่นเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาคมเข้มราวกับแกะสลัก คิ้วเข้มดกดำ ดวงตาแวววาวมีชีวิตชีวา รูปร่างสูงตระหง่านล่ำสันแข็งแรง มีพลังอานุภาพน่าครั่นคร้ามคล้ายติดตัวมาแต่กำเนิด
ตอนเห็นใบหน้าเขาชัดถนัดตา อูมู่ฉินถึงกับตะลึงงัน สายตาของนางไม่อาจเบนออกจากร่างบุรุษผู้นั้นได้ ไม่ใช่เพราะเขารูปงามชวนมอง หากแต่ดูคุ้นเคยยิ่ง
นางรู้สึกว่าใบหน้าของคนผู้นี้คุ้นตา ดวงตาคู่นั้นคล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
บุรุษผู้นั้นมาถึงเบื้องหน้าพวกเขา ตันไหวชิงจ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยแววตาเยียบเย็น มือข้างหนึ่งโอบนางไว้แน่น จิตใจที่คิดจะคุ้มครองป้องกันเห็นได้อย่างชัดเจน
ไป่หลี่ซีเลิกคิ้วยิ้มบาง มองตันไหวชิงตรงๆ “จอมยุทธ์ตัน เราได้พบกันอีกแล้ว”
เสียงนี้…
อูมู่ฉินเบิกตากว้างมากขึ้น เสียงของคนผู้นี้เหตุใดจึงเหมือนเสียงสามีของนางไม่มีผิด
โปรดติดตามต่อได้ในเล่ม…บัญชาปราบโฉมงาม
Comments
comments