X
    Categories: ทดลองอ่านภรรยาเปรียบดังของหวานมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ภรรยาเปรียบดังของหวาน บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 12

บทที่หนึ่ง

ยามราตรีอันมืดมิด เรือขนาดใหญ่สามชั้นลำหนึ่งเคลื่อนตัวไปบนผืนน้ำอย่างช้าๆ

ฝูอ๋องกับเสนาบดีเฉวียนที่อยู่บนเรือโหลวฉวน ลำนี้ได้รับพระราชโองการจากจักรพรรดิให้ออกเดินทางในฐานะทูต ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้เบ่งบาน เส้นทางน้ำครั้งนี้จะต้องผ่านตั้งแต่ลำคลองของเมืองหลวงลงสู่แม่น้ำและออกไปยังผืนสมุทรกว้างใหญ่ จุดหมายปลายทางก็คือแคว้นหนีตันซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นฉงหนิง ซึ่งคาดการณ์ว่าต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือน แต่ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบันแล้วเป็นไปได้มากว่าจะต้องเสียเวลานานกว่านั้น

เจ้านายคนที่หนึ่งอย่างเสนาบดีเฉวียนกำลังดื่มด่ำกับการเดินทางอย่างยิ่ง เขาตัดสินใจเลือกเดินทางในเส้นทางน้ำที่ค่อนข้างสบายตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ทั้งยังนำอนุ บ่าวรับใช้ รวมไปถึงคนครัวที่ตนเองชื่นชอบมาด้วยทั้งหมด ใช้การเดินทางไปทำงานให้เป็นการท่องเที่ยว

เจ้านายคนที่สองอย่างฝูอ๋องเว่ยหลันโจวก็เป็นเจ้านายที่รักสนุกมั่วโลกีย์เช่นเดียวกัน ในฐานะลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดิหนุ่ม ในการเดินทางครั้งนี้แม้เขาจะประดับสถานะเป็นรองหัวหน้าคณะราชทูตพิเศษเอาไว้ แต่ทุกคนภายในเมืองหลวงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าบุคคลที่มีชื่อเสียงเลวร้ายเช่นเขาจะสามารถกระทำเรื่องจริงจังอะไรออกมาได้ เขาเองก็ร้องขอต่อจักรพรรดิหนุ่มอย่างไม่เหนือความคาดหมายของทุกคนว่าเรือลำนี้จะต้องใหญ่โตและสะดวกสบาย ต้องมีอาหารเลิศรส มีความรื่นเริง ถึงขั้นหากอาศัยอยู่บนเรือจนเบื่อหน่ายแล้ว ก็สามารถขอเทียบฝั่งขึ้นไปเที่ยวเล่นสักหลายวันได้

โดยรวมคือเขามีข้อเรียกร้องมากมาย จักรพรรดิเองก็เอ่ยปากอนุญาตแล้ว ขุนนางทุกคนในราชสำนักต่างไม่คาดหวังอะไรมากมายกับฝูอ๋อง ขอเพียงเสนาบดีเฉวียนสามารถจัดการเรื่องทางการทูตครั้งนี้ได้เป็นอย่างดีก็พอ

แคว้นฉงหนิงเป็นแคว้นขนาดใหญ่ เรือที่คณะทูตเดินทางมาลำนี้ถือเป็นตัวแทนหน้าตาของแคว้น เมื่อรวมเข้ากับข้อเรียกร้องของฝูอ๋อง ความหรูหราโอ่อ่าบนเรือจึงนับได้ว่าไม่เป็นรองผู้ใด ชั้นบนสุดมีห้องโถง ห้องนอน ห้องประชุม ชั้นกลางมีห้องรื่นเริงเพื่อการพักผ่อน ห้องชา ห้องเดินหมาก ห้องครัว ส่วนชั้นล่างสุดมีไว้สำหรับเป็นที่พักอาศัยของบ่าวรับใช้รวมไปถึงห้องเก็บความเย็นเอาไว้จัดเก็บสุราและอาหาร

เรือออกเดินทางมาได้เกือบครึ่งเดือนแล้ว

 

ยามนี้ ภายในห้องครัวซึ่งครอบครองพื้นที่ของชั้นกลางไปไม่น้อย มือเล็กข้างหนึ่งวางตะเกียงน้ำมันลงบนฝั่งขวาบนของเตาที่ก่อขึ้นจากอิฐ แสงจากตะเกียงนี้ถือเป็นที่มาของแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้

บนเตาวางหม้อเหล็กใบใหญ่เอาไว้ มีเงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งนั่งยองๆ อยู่ด้านหน้าเตา สายตามองไปยังใต้เตาอย่างตั้งใจ นางใช้ไม้เขี่ยไฟทำความสะอาดคราบเขม่าบริเวณหัวเตาอยู่ทุกวัน เพื่อที่จะได้ปรับความแรงของไฟได้อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการเรียงลำดับของฟืนใหม่ที่อยู่ใต้เตาก็ถือเป็นจุดสำคัญ

เมื่อเห็นเปลวเพลิงค่อยๆ ลุกโชนขึ้นมา นางถึงได้ผ่อนลมหายใจยาว

การเป็นคนยุคโบราณถือว่าลำบากมากจริงๆ โดยเฉพาะสำหรับคนทำขนมตะวันตกที่ถนัดทำขนมหวานฝรั่งเศส หรือนางที่ถนัดทำขนมแบบจีนผสมตะวันตกแล้ว การไม่มีเตาอบที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ก็คือปัญหาที่ใหญ่ที่สุด นางจึงได้แต่อาศัยการเพิ่มลดฟืนมาควบคุมความร้อนแทน

นางลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังตู้ไม้ที่อยู่ข้างๆ ภายในนั้นวางซีอิ๊วปรุงรสและผงแป้งชนิดต่างๆ เอาไว้ไม่น้อย

นางหยิบแป้งออกมาชามหนึ่ง ใส่น้ำลงไปช้าๆ หลังคนเบาๆ จนกลายเป็นก้อนแป้งแล้วก็หยิบเครื่องเทศขวดหนึ่งในนั้นออกมาใส่ลงไป แล้วบีบนวดอีกสักพัก

เครื่องเทศเหล่านี้ถือเป็นผลงานชั้นเลิศของนาง ตอนวันหยุดนางเคยออกไปตามหาเมล็ดพวกนี้มาจากตลาดในเมือง แล้วนำมาลองปลูกในพื้นที่เล็กๆ ด้านหลังเรือนบ่าวของจวนเสนาบดี เลียนแบบความกระตือรือร้นของเสินหนง ที่ลองชิมสมุนไพรนับร้อยชนิด ในที่สุดนางก็ตามหาเครื่องเทศที่คล้ายคลึงกับยุคปัจจุบันได้อย่างยากเย็น ทำให้เนื้อแป้งมีรสชาติมากกว่าเดิมได้

นางจำได้ว่าอิตาลีมีขนมปังชนิดหนึ่งที่ใช้น้ำต้ม ตอนนี้จึงอยากลองทำดู นางเดินไปยังถังเก็บความเย็นในตู้ไม้ขนาดใหญ่อีกตู้หนึ่งซึ่งเก็บวัตถุดิบทะเลสดใหม่เอาไว้ โดยหยิบปลาสดที่ทำเรียบร้อยแล้วออกมาชิ้นหนึ่ง หลังสับจนละเอียดก็ใส่เกลือกับสุราลงไป ก่อนจะนำไปใส่ในก้อนแป้งแล้วม้วนเป็นทรงกระบอก จากนั้นวางใส่ลงไปในน้ำเดือดทีละชิ้น

ขั้นตอนต่อมาก็คือรอ และรับฟังเสียงก้อนแป้งกลิ้งไปมาอยู่ในหม้ออย่างเงียบๆ

เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ยามราตรียังคงหนาวเย็นอยู่ นางนั่งชิดกับเตาพลางถูมือและซึมซับความอบอุ่น

ในที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปสมควรแล้วนางก็ลุกขึ้นยืน ชั่วพริบตาที่เปิดฝาหม้อออก ไอร้อนผสานกับกลิ่นหอมก็แผ่ออกมา ภายในห้องครัวอวลไปด้วยกลิ่นหอม นางยิ้มน้อยๆ อดใจไม่ไหวต้องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

นางหยิบขนมปังที่ราวกับเป็นปลาแหวกว่ายในหม้อขึ้นมาทีละชิ้น แล้วจัดวางลงในจานกลมอย่างสวยงาม

หลังเช็ดมือด้วยผ้าขนหนูแล้ว นางก็หยิบขนมปังขึ้นมากัดคำหนึ่ง แววตาพลันสว่างไสวขึ้นทันใด ขนมปังนี้ไม่มีกลิ่นคาว มีเพียงรสชาติของปลาสดใหม่ ทั้งยังแฝงกลิ่นหอมของสุราบางๆ ชวนให้คนได้กลิ่นแล้วต้องน้ำลายสอ นางพึงพอใจผลการทดลองครั้งนี้เป็นอย่างมาก จึงลิ้มรสขนมปังอย่างมีความสุข

เสนาบดีเฉวียนเจ้านายของนางเป็นคนตะกละที่ให้ความสำคัญกับเรื่องกินผู้หนึ่ง เขาใช้เงินมือเติบไปกับอาหารเลิศรส มองฝีมือชั้นเลิศของแม่ครัวน้อยอย่างนางเป็นสมบัติล้ำค่า ถึงกับจัดให้นางพักอาศัยอยู่ในห้องชั้นกลางคนเดียว ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับบ่าวรับใช้คนอื่นๆ

การระบายอากาศของห้องครัวบนเรือก็ทำออกมาดียิ่ง กลิ่นย่อมไม่มีทางลอยไปทางส่วนบนของเรือแน่ แต่จะพัดออกไปผ่านทางช่องระบายอากาศที่ชั้นล่างแทน

ดังนั้นต่อให้นางลอบคลำทางในความมืดมาทำอาหารว่างที่นี่ ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะถูกใครจับได้

นางนั่งอยู่หลังโต๊ะกลมพลางกัดขนมปังอ่อนนุ่มทีละคำๆ พร้อมกับชมจันทร์ผ่านบานหน้าต่างไปด้วย

ในใจก็นับเวลาที่ได้ข้ามมิติมายังยุคโบราณแห่งนี้อยู่เงียบๆ…น่าจะประมาณสามปีเจ็ดเดือนได้แล้ว

เดิมทีโลกของนางเรียบง่ายอย่างมาก นางชอบทำขนม จนสามารถสอบใบประกาศมาได้มากมาย ถึงขั้นเคยข้ามน้ำข้ามทะเลไปฝึกที่โรงเรียนสอนทำขนมหวานของฝรั่งเศสมาแล้ว

การเดินทางครั้งนั้นนางย่อมไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องขึ้น วันหนึ่งขณะที่นางไปขี่ม้าที่ป่าทางตอนใต้ของฝรั่งเศส จู่ๆ นางก็พบกับเด็กชายผู้หนึ่งโผล่พรวดออกมาบนทางภูเขาอย่างกะทันหัน เพื่อไม่ให้ม้าพุ่งชนเด็กชายผู้นั้น นางจึงเบี่ยงหัวม้าเพื่อเปลี่ยนทางอย่างรวดเร็ว นั่นจึงทำให้ม้าสูญเสียการควบคุมไป ก่อนที่นางจะพลัดตกลงไปในหุบเขาพร้อมกับม้า และข้ามมิติมานับแต่นั้น กลายเป็นสาวใช้ขั้นสามของจวนเสนาบดีเฉวียน…ฉู่ซินเถียน

โชคดีที่นางข้ามมิติมาพร้อมด้วยความสามารถเดิม วิชาทำขนมที่เรียนมามากมายจึงยังคงอยู่ทั้งหมด

แต่ภูมิหลังของเจ้าของร่างเดิมกลับคลุมเครืออย่างมาก แม้แต่ความทรงจำเองก็ยังสับสน นางที่เป็น ‘ผู้มาอยู่อาศัยคนใหม่’ ตามหาความทรงจำเรื่องบิดามารดาหรือคนในครอบครัวของเจ้าของร่างเดิมไม่พบเลยสักนิด รู้แค่เพียงว่านางไปเป็นสาวใช้ในสถานที่แล้วสถานที่เล่า สุดท้ายจึงมาเป็นสาวใช้ขั้นสามของจวนเสนาบดีเฉวียน นอกจากนี้ทุกๆ เดือนนางจะมีช่วงเวลาไม่กี่วันที่ตัวจะเย็นเฉียบไปทั้งร่าง เจ็บปวดเกินทานทน ทว่าเจ้าของร่างเดิมกลับมีความอดทนที่สูงมาก ยังคงทำงานอย่างว่าง่าย เมื่อรวมเข้ากับที่นางมีนิสัยเงียบขรึม อายุน้อย บรรดาบ่าวรับใช้คนอื่นๆ จึงไปมาหาสู่กับนางอยู่เสมอ

เมื่อสามปีกว่าก่อนหน้านั้นเอง เจ้าของร่างเดิมเผลอไปติดหวัดเย็นเข้าจนมีไข้ขึ้นสูง ต้องนอนป่วยอยู่บนเตียง ซ้ำโรคประหลาดที่ทำให้ตัวเย็นไปทั้งร่างยังกำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรงอีก ทั้งร่างราวกับแช่อยู่ในน้ำสลับกับไฟ กระทั่งยามตายก็ไม่มีผู้ใดมาอยู่เคียงข้าง วิญญาณยุคปัจจุบันอย่างนางจึงเข้ามาอยู่ในร่างที่ยังอายุไม่ครบสิบขวบที่มีรูปร่างผอมแห้งราวกับท่อนฟืนอย่างเงียบๆ เช่นนี้เอง

ความตกใจ ความสับสน ความเจ็บปวด และความเสียใจในคราแรกค่อยๆ เลือนหายไปหมดสิ้นแล้วพร้อมกับวันเวลาที่ผันผ่าน การมีชีวิตอยู่ก็คือความเมตตาครั้งใหญ่ที่สุดที่พระเจ้ามอบให้กับนางแล้ว นางจึงเปลี่ยนมุมมองความคิดและพยายามกลายเป็นคนยุคโบราณผู้หนึ่ง

ในสายตาคนอื่นฉู่ซินเถียนผู้เก็บตัวและเงียบขรึมค่อยๆ เปลี่ยนไปมีนิสัยร่าเริงและมองโลกในแง่ดีแบบที่นางเคยมีอยู่แต่เดิมในโลกที่จากมา ทั้งยังไขว่คว้าโอกาสที่จะได้ทำงานในห้องครัวมากขึ้น คอยลูกมือและมีท่าทางกระตือรือร้นอยากเรียนรู้ตลอดเวลา บางทีก็แสดงฝีมือบ้างเป็นระยะๆ ให้บรรดาพ่อครัวอาวุโสเหล่านั้นได้เห็นพรสวรรค์ด้านการทำอาหารของนาง และยอมรับนางเป็นลูกศิษย์ ให้นางได้เข้าใกล้เตา ได้แสดงฝีมือทำอาหารว่างที่แปลกใหม่ทีละนิด จนในที่สุดนางก็ได้แสดงฝีมือออกมา ได้เปิดเผยตัวต่อหน้าเสนาบดีเฉวียน สุดท้ายจึงกลายมาเป็นแม่ครัวอาหารว่าง

แน่นอนว่านางก็เคยเพ้อฝันถึงความรักอันสะเทือนเลือนลั่นอยู่บ้างเช่นกัน จากสาวใช้กลายไปเป็นนายหญิง แต่ความเพ้อฝันสุดท้ายก็ยังเป็นแค่ความเพ้อฝัน

เสนาบดีเฉวียนคือบุรุษอายุสามสิบกว่าปีผู้หนึ่ง เขาเป็นคนหน้าตาดีที่มีภรรยากับอนุเป็นโขยง นางไม่มีความสนใจคิดอยากเข้าร่วมด้วยแม้แต่น้อย พอดีกับที่เสนาบดีเฉวียนเองก็ค่อนข้างรักในฝีมือของนางมากกว่า ยินยอมให้นางที่นับได้ว่าหน้าตาอ่อนหวานอยู่ในห้องครัวอันแสนร้อนอบอ้าวนี้

ฉู่ซินเถียนไม่รู้สึกเศร้าใจแม้แต่น้อย เนื่องจากชื่อเสียงของเสนาบดีเฉวียนในหมู่คนภายนอกไม่ได้ดีอะไรเลย เขาเป็นคนสนิทของอัครเสนาบดีคนปัจจุบัน เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ที่ได้รับคำสั่งมาให้จัดการมีหลายเรื่องที่อำมหิตเสียจนเปิดเผยไม่ได้ ขุนนางในราชสำนักที่หวาดกลัวเขาก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย

แต่โชคดีที่ยามอยู่ในจวน เสนาบดีเฉวียนยังนับว่าเป็นเจ้านายที่แยกแยะถูกผิดชัดเจน สามารถดูแลจวนได้อย่างเป็นระเบียบผู้หนึ่ง

ดังนั้นการเดินทางไปยังแคว้นหนีตันหนนี้ เมื่อนางได้รับเลือกให้ขึ้นเรือมาด้วยกัน ในใจนางจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่ยอมรับอย่างว่าง่าย

แต่ผู้ที่นั่งเรือสำราญแล้วไม่เคยเมาเรือเช่นนาง กลับต้องมาสิ้นสภาพบนเรือโบราณที่ทั้งใหญ่โตหรูหราและหนักอึ้งลำนี้เสียแล้ว!

หลายวันที่ผ่านมานี้นางวิงเวียนศีรษะ ความอยากอาหารไม่มี เวลากินอาหารก็กินได้น้อย เมื่อครู่ท้องร้องขึ้นมา นางจึงได้แต่คลำทางมาหาอะไรกินแก้หิวที่ห้องครัวนี้

ฉู่ซินเถียนปากกินขนมปัง ส่วนสายตาก็มองออกไปนอกหน้าต่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าเรือเคลื่อนไปนานเท่าใด ยามนี้จึงมองไม่เห็นแสงจันทร์อีกต่อไปแล้ว

นางขมวดคิ้วครุ่นคิด เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้นางก็บิขนมปังออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้ววางลงบนจานอีกครั้ง…อีกครั้ง…และอีกครั้ง รวมแล้วบิออกมาได้สามสิบชิ้นเล็กๆ ซึ่งแทนเงินที่นางเก็บสะสมมาได้จนถึงตอนนี้ ระยะห่างจากวันที่นางจะได้เป็นอิสระยังคงอีกยาวไกลนัก

“ว้าว! หอมชะมัดเลย นี่คืออะไรกัน”

ภายใต้แสงสลัวของตะเกียงน้ำมัน ใบหน้าคมคายไร้ตำหนิใบหน้าหนึ่งพลันประชิดเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน

ฉู่ซินเถียนสะดุ้งตกใจ ขนมปังหลุดออกจากมือหล่นไปบนจาน นางถลึงตาใส่ใบหน้าที่อยู่ระดับเดียวกับสายตาตนเองก่อนจะต้องนิ่งอึ้งไป

บุรุษที่บุกเข้ามากลับมีท่าทางที่เป็นธรรมชาติยิ่ง ดวงตาดอกท้อที่ค่อนข้างเรียวยาวกวาดมองผ่านใบหน้ากลมที่ดูอ่อนวัยของนางอย่างรวดเร็ว ผิวของนางขาวมาก ดวงตากลมโตคู่หนึ่ง จมูกรั้นขึ้นน้อยๆ ริมฝีปากอิงเถา แดงชุ่มชื้น อายุน่าจะประมาณสิบสองสิบสามปี กลิ่นอายความเป็นเด็กยังไม่จางหายไปทั้งหมด เป็นใบหน้าที่ชวนให้ผู้คนเอ็นดูใบหน้าหนึ่ง

เขายิ้ม ก่อนที่สายตาจะกลับไปจรดนิ่งอยู่บนจานอีกครั้ง “ตกลงนี่คืออะไรกันแน่”

ฉู่ซินเถียนถึงได้สติกลับมา นางกลืนน้ำลายลงคอ “เจ้าเป็นผู้ใดกัน”

“แล้วเจ้าเล่าเป็นใครกัน สิ่งนี้ดูน่ากินไม่น้อย” เขากล่าวพร้อมยื่นมือขวาไปยังจาน

นางยื่นมือออกไปปกป้องขนมปังที่อยู่บนจานโดยไม่ต้องคิด “ข้าเป็นคนทำเอง”

เขามองไปยังห้องครัวที่มืดสลัวรอบด้าน ก่อนเดินไปทางขวา ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งเดินกลับมาวางแล้วนั่งลงตรงหน้านางเสียเลย พร้อมกับยิ้มแย้มมองนาง “ของสิ่งนี้น่าจะเป็นของที่เจ้า ‘แอบ’ ทำเสียมากกว่า ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้กลับมีหนูตัวใหญ่อย่างเจ้าเสียได้” เขาจงใจเน้นเสียงหนักคำว่า ‘แอบ’ เป็นอย่างมาก

ใบหน้าอมชมพูของฉู่ซินเถียนแดงระเรื่อขึ้นน้อยๆ กระนั้นนางก็ยังไม่ยอมรับว่าเขาพูดได้ถูกต้อง “ข้า…ข้าเป็นแม่ครัว เดิมทีก็สามารถเข้าออกและใช้วัตถุดิบของที่นี่ได้อย่างอิสระอยู่แล้ว”

เขาแสร้งแสดงสีหน้าสงสัยออกมา “ข้าเองก็ทำงานอยู่บนเรือเช่นกัน ทำไมถึงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าแม่ครัวสามารถเข้าออกที่นี่ได้ดึกดื่นเพียงนี้ เข้าใจแล้ว รอพรุ่งนี้เช้าข้าจะไปถามหัวหน้าดู”

นางกัดริมฝีปาก แม้เสนาบดีเฉวียนจะเป็นผู้ที่ชอบกินเพียงใด แต่พูดในอีกทางแล้ว เขาเองก็เป็นคนที่ใจแคบยิ่งนัก ต่อให้นางสามารถใช้วัตถุดิบได้ตามใจเพียงไร แต่ผู้ที่กินก็ไม่อาจเป็นนางได้อยู่ดี

“คือว่า…เจ้าอยากลองกินดูหรือไม่” นางพลันยิ้มกว้างออกมา ทั้งยังขยับเลื่อนจานกลมไปทางเขาเบาๆ

เขาเลิกคิ้วขึ้นมองนางโดยไม่กล่าววาจา

“อร่อยมากจริงๆ นะ” รอยยิ้มของข้าดูไม่กระตือรือร้นมากพอหรือ ฉู่ซินเถียนพยายามทำให้ตนเองยิ้มยิงฟันออกมา

เขายังคงไม่ขยับ เอาแต่มองนางตาไม่กะพริบ

คนผู้นี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่ไม่ให้กิน เขาก็เอื้อมมือออกมาต้องการจะหยิบ ยามนี้ให้กินแล้ว เขากลับไม่หยิบไปเสียอย่างนั้น ฉู่ซินเถียนต่อว่าอยู่ในใจ กระนั้นบนใบหน้าก็ยังไม่ลืมคงแววตาเป็นประกายเอาไว้ และมุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มกว้างอย่างสดใส

เขาเองก็ยิ้มแล้ว แต่ยังคงไม่ขยับมือ

นางยิ้มจนเกือบจะแข็งค้างอยู่แล้ว ช่างเถอะ! ไม่กินก็ช่างแล้ว!

ฉู่ซินเถียนหยิบขนมปังชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งโยนใส่ปากตนเองเสียเลย

“นี่เป็นค่าปิดปากหรือ” เขาหยิบขนมปังชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งขึ้นมาโยนใส่ปากเลียนแบบนาง

“พรูด…แค่กๆ…” เศษขนมปังพลันติดคอจนนางสำลักไอขึ้นมา ใบหน้าอมชมพูแดงก่ำไปทั้งหน้า นางได้แต่ถลึงตามองเขาอย่างไม่พอใจ ทว่าไม่อาจหยุดอาการไอนี้ลงได้

เขากวาดตามองไปรอบๆ เมื่อเห็นกาน้ำชาวางอยู่บนเตาอีกตัวหนึ่งจึงเดินไปหาแก้วน้ำแล้วเทน้ำกลับมาให้นาง

ฉู่ซินเถียนรับมาดื่มลงไปสามอึกเล็กๆ นางจึงหยุดไอได้เสียที

ทว่าระยะเวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ เขาก็ยังสามารถกวาดทุกอย่างในจานกลมลงกระเพาะประดุจลมคิมหันต์พัดใบไม้ร่วงอย่างไรอย่างนั้น

“ขอบคุณสำหรับอาหาร”

เขาลูบศีรษะนางอย่างเป็นกันเองโดยไม่สนใจดวงตาที่เบิกกว้างคู่นั้น ก่อนหันกายเดินออกจากห้องครัว และหายไปจากสายตาของนางทั้งอย่างนี้

รอบด้านพลันเงียบสงัดลง ฉู่ซินเถียนกะพริบตาปริบๆ มองดูจานกลมที่ว่างเปล่าตรงหน้า นี่ถือเป็นการยืนยันได้ว่าเมื่อครู่นี้มีคนโผล่มาจริงๆ ทั้งยังกินขนมปังของนางไปจนหมด มิใช่นางคิดไปเอง!

บุรุษผู้นั้นหน้าตาดีจริงๆ ทว่านางกลับไม่เคยเห็นชุดสีเข้มตลอดทั้งร่างที่เขาสวมใส่นั้นมาก่อน แม้ชุดนั้นจะไม่ได้ดูมีราคาอะไร แต่ก็ไม่ใช่ชุดที่บ่าวรับใช้ผู้ติดตามบนเรือจะสวมใส่กันแน่นอน

เป็นผู้ใดกันนะ นางทำความสะอาดเตาไปพลางครุ่นคิดไปพลาง

หลังจัดการห้องครัวเสร็จเรียบร้อยและล้างปากง่ายๆ แล้ว นางถึงได้เดินถือตะเกียงน้ำมันกลับไปยังห้องนอนของตนเอง ภายในห้องมีเตียงเล็กๆ หลังหนึ่ง ตู้ลิ้นชัก แล้วก็มีโต๊ะเก้าอี้ชุดหนึ่ง นางตรวจดูซ้ำๆ ว่าประตูลงกลอนดีแน่แล้วจริงๆ นางก็เดินไปดูหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งซึ่งมีไม้แท่งหนึ่งดันเอาไว้ จวบจนแน่ใจว่าหน้าต่างไม่อาจเปิดออกกว้างกว่านี้ได้อีก นางจึงเดินไปยังเตียง

ฉู่ซินเถียนถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก นางก็เป่าไฟในตะเกียงน้ำมันให้ดับ หลังนอนบนเตียงแล้ว นางก็ตะแคงร่างไปทางหน้าต่างแล้วมองดวงดาวที่เห็นได้จากข้างนอก

จากอายุของเจ้าของร่างเดิม ตอนนี้นางก็มีอายุได้สิบสามปีกว่าๆ แล้ว จากใบหน้าของเด็กน้อยก็เริ่มจะเต็มอิ่มนวลเนียนขึ้น การเจริญเติบโตทางร่างกายก็ดีมากเช่นกัน บางทีอาจจะเป็นความงามที่มีมาตั้งแต่เกิด หรือไม่ก็อาจเกิดจากสามปีมานี้ที่นางข้ามมิติมา ด้วยของหวานที่ลองทำและกินเข้าไปก็มีอยู่ไม่น้อย

ฉู่ซินเถียนก้มหน้ามองหน้าอกที่แม้แต่ตอนนอนราบก็ยังมองเห็นส่วนที่นูนขึ้นมาได้ ก่อนจะทอดถอนใจ

คนที่อยู่บนเรือลำนี้มีจำนวนไม่น้อยเลยที่ให้ความสนใจกับนาง ไม่ว่าจะแววตาหื่นกระหายคู่นั้นของหัวหน้าพ่อครัวที่คอยมองตามนางอยู่เสมอ หรือจะรองหัวหน้าพ่อครัวที่ชอบมาใกล้ชิดนางเป็นประจำ ทั้งยังมีหัวหน้าพ่อบ้านตู้ที่ทุกครั้งที่เจอนางมักจะมีท่าทีกลืนน้ำลายอย่างกระหายอยากตลอดเวลา ชวนให้คนเห็นแล้วอยากจะอาเจียนจริงๆ ด้วยอายุของเขาก็ปาเข้าไปเกือบหกสิบปี สามารถเป็นปู่ของนางได้อยู่แล้ว

คนโบราณอายุสิบสี่สิบห้าก็แต่งงานมีลูกกันแล้ว แม้ดวงวิญญาณของนางจะอายุยี่สิบกว่าปี ทว่ายามที่ถูกผู้คนจับจ้องเรือนร่างนุ่มนิ่มที่มีส่วนเว้าโค้งร่างนี้ตลอดเวลาก็ทำให้นางรู้สึกแย่มากจริงๆ

โชคดีที่เป็นสามแย่งหนึ่ง อย่างน้อยคนพวกนั้นก็ยังมีความหวาดเกรงกันเอง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่กล้าลงมือหนัก แต่พวกเขาจะรักษาระยะห่างเช่นนี้ต่อไปได้อีกนานเพียงใดนั้น…นางไม่รู้เลยจริงๆ

การเดินเรืออันแสนน่าเบื่อใกล้จะมาถึงครึ่งเดือนแล้ว นางกลัวเหลือเกินว่าจะมีสักวันที่ใครบางคนทนไม่ไหวชิงลงมือจู่โจมนางเข้าจริงๆ ไม่ว่านางจะเป็นคนยอมรับโชคชะตามากเพียงใด แต่ก็ยังรู้สึกอกสั่นขวัญผวาทุกวันอยู่ดี

เมื่อหลับตาลงนอนหลับไปหนึ่งตื่น…วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

 

แสงสีทองของยามเช้าค่อยๆ เรื่อเรืองขึ้นบนผืนราตรีอันไร้ขอบเขตอย่างตามใจชอบ ฉู่ซินเถียนยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัวที่มีความร้อน กลิ่น รวมถึงเสียงอันคุ้นเคยสภาพราวกับเป็นฉากการแสดงคุกกิ้งนันทา* อันโด่งดังของเกาหลี เสียงถ้วยชามกระทบกัน เสียงตะโกนโหวกเหวก เสียงสับเนื้อ เสียงน้ำไหลซู่ซ่า นี่ก็คือชีวิตประจำวันบนเรือของทุกคนในครัว

แม้จะคุ้นชินกับการที่รอบด้านไม่มีอุปกรณ์ทำครัวอันแสนสะดวกสบายและประณีตงดงาม ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ล้วนมีแต่บุรุษสตรีที่แต่งกายด้วยชุดโบราณ แต่บางทีนางก็ยังมีความรู้สึกขัดแย้งเรื่องห้วงเวลาอยู่ นั่นอาจจะเป็นความคาดหวังอย่างหนึ่งของนาง คาดหวังว่าจะมีสักวันที่นางตื่นขึ้นมาแล้วได้กลับไปอยู่ในยุคปัจจุบันอีกครั้ง ทั้งสถานที่กับบุคคลที่อยู่ตรงหน้านี้ก็เป็นแค่ละครในโทรทัศน์เท่านั้น…

ท่ามกลางความคิดที่ไหลผ่านไปนั้น จู่ๆ ก้นของนางก็ถูกคนลอบจับกะทันหัน ดึงสติของนางให้กลับมาในปัจจุบัน

มือที่นวดก้อนแป้งของฉู่ซินเถียนพลันชะงัก หลังสูดลมหายใจเข้าลึกๆ นางก็เหลือบมองไปยังทัพพีใหญ่คันหนึ่งที่เสียบอยู่ในหม้อน้ำแกงเดือดซึ่งอยู่ห่างจากนางไปสามก้าว โดยไม่มีความลังเลใดทั้งนั้น นางหยิบผ้าขนหนูที่อยู่ด้านข้างมาเช็ดมือส่งๆ ก่อนเดินก้าวยาวๆ ไปจับทัพพีใหญ่ที่ยังมีควันลอยออกมา แล้วเดินกลับมากล่าวข่มขู่รองหัวหน้าพ่อครัวที่เมื่อครู่เพิ่งยื่นมือมาลวนลามนาง “หากท่านทำอีกหน ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”

ทว่าน้ำเสียงเล็กๆ เมื่อรวมกับใบหน้าขาวกระจ่างอ่อนวัยแล้ว ความน่ากลัวก็ไม่มีเหลือเลยสักนิด กลับกันยังชวนให้รู้สึกน่ารักน่าเอ็นดู ทำให้รองหัวหน้าพ่อครัวยิ้มออกมา “เป็นอะไรไปเล่า ทำไมโฉมงามตัวน้อยถึงได้โมโหเพียงนี้”

รองหัวหน้าพ่อครัวมีอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี เขาเป็นชายหนุ่มบ้ากามผู้หนึ่ง เขาชอบหยอกเย้าสาวใช้บนเรือลำนี้อย่างไรบ้างนั้นไม่พูดถึง เพราะต่อให้รู้ว่าฉู่ซินเถียนที่ตัวขาวนุ่มจะแตะต้องไม่ได้ ด้วยมีผู้ที่ตำแหน่งสูงกว่าเขาอีกสองคนคิดครอบครองอยู่ แต่ตัวเขาก็ยังคันหัวใจยุบยิบยากทานทนอยู่ดี เอาแต่คิดอยากแตะต้องนางอยู่เสมอ

มองดูรอบข้างแล้วเห็นว่าหัวหน้าพ่อครัวไม่อยู่ ทุกคนเองก็ต่างยุ่งวุ่นวายจนไม่ว่างมาสนใจทางนี้ เขาจึงไล่ต้อนนางไปตรงมุมที่ปลอดคนอย่างเหิมเกริม

ฉู่ซินเถียนจำต้องก้าวถอยหลัง เดิมทีนางถือทัพพีเอาไว้เช่นนี้ก็ไม่ได้คิดอยากลวกใส่คนจริงๆ เสียหน่อย แต่ยามนี้นางถูกไล่ต้อนจนมาอยู่แนบชิดกำแพงแล้ว หากไม่ใช้ป้องกันตัวก็คงไม่ได้

เห็นได้ชัดว่าสภาพทะเลของวันนี้ไม่ค่อยดีนัก ในทะเลมีคลื่นลูกใหญ่ ตัวเรือเองก็โคลงเคลง ทำให้กระเพาะของนางพลอยโยกคลอนตามไปด้วย ใบหน้าหื่นกามตรงหน้านี้ก็มาแกว่งไกวไปมาตรงหน้านางอีก นางข่มกลั้นความรู้สึกไม่ดีของกระเพาะอาหาร ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ถอยไป!”

“สาวน้อย ละครแสร้งจับเพื่อปล่อยยังต้องแสดงต่อไปอีกนานแค่ไหน”

รองหัวหน้าพ่อครัวยื่นมือออกไปด้วยท่าทีที่หื่นกระหาย เขาต้องการจับหน้าอกของนาง ทว่าพริบตาต่อมา เขาก็เจ็บจนต้องร้องออกมา พร้อมกับหดมือกลับไปอย่างรวดเร็ว หลังมองดูหลังมือซ้ายที่ร้อนลวกจนมีตุ่มน้ำขึ้นมาแล้วก็เงยหน้าขึ้น ถลึงตาใส่นางอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“โทษข้าไม่ได้หรอกนะ เป็นท่านเข้ามาใกล้ข้าเอง” นางกำทัพพีแน่นพร้อมถลึงตาใส่เขา คนผู้นี้หลงคิดว่านางจะเหมือนสาวใช้คนอื่นๆ ที่ปล่อยให้เขาลวนลามได้โดยไม่กล้าส่งเสียงหรือไร

มือขวาของรองหัวหน้าพ่อครัวจับข้อมือข้างที่กุมทัพพีของฉู่ซินเถียนอย่างหยาบคาย “หากไม่โทษเจ้าแล้วจะให้โทษข้าหรือ หลังมือของข้ามีตุ่มน้ำขึ้นมาแล้ว ข้าจะทำงานได้อย่างไร!”

นางถลึงตาใส่เขา “ท่านยังจับมือของข้าได้อยู่นี่ ไฉนจะทำงานไม่ได้เล่า ท่านเองก็ควรจะจดจำบทเรียนนี้ไว้ ดูแลมือตัวเองให้ดีๆ เถอะ!”

ภายในห้องครัวอันกว้างใหญ่ บ่าวรับใช้มากมายต่างเดินผ่านไปมาอย่างวุ่นวาย มีคนสะบัดทัพพี มีคนดูแลไฟ มีคนล้างถ้วยชาม แม้การเคลื่อนไหวและเสียงของทั้งสองจะดึงดูดสายตาพวกเขาได้ แต่พวกเขาก็ล้วนมองว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง เมื่อรวมเข้ากับที่รองหัวหน้าพ่อครัวเป็นเจ้านายคนที่สองของห้องครัวด้วยแล้ว พวกเขาก็ยิ่งไม่มีทางช่วยฉู่ซินเถียนเรียกร้องความยุติธรรมเป็นอันขาด เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เรียกหายนะมาใส่ตัว

อาการตอบสนองของคนเหล่านี้ทำให้ฉู่ซินเถียนรู้สึกหนาวเหน็บ แต่นางก็โทษพวกเขาไม่ได้ ในเมื่อกลุ่มคนเหล่านี้มีอยู่หลายคนที่ไม่เคยทำงานอยู่ภายในจวนเสนาบดีมาก่อน รวมไปถึงรองหัวหน้าพ่อครัวที่กัดฟันกรอดจ้องหน้านางอยู่ในยามนี้ด้วย

อีกทั้งเสนาบดีเฉวียนก็เป็นคนที่รักหน้าตาตนเอง บรรดาแม่บ้านหรือลูกจ้างที่สูงอายุหน่อยเขาล้วนไม่พามาด้วย จงใจเลือกเฟ้นแต่พวกที่อายุน้อยและหน้าตาดีหน่อยมา พวกเขากับฉู่ซินเถียนย่อมไม่สนิทสนมกัน ทั้งยังกระจ่างดีว่าหัวหน้าพ่อครัว รองหัวหน้าพ่อครัว หรือแม้แต่หัวหน้าพ่อบ้านตู้ต่างก็สนใจนาง กลุ่มคนเหล่านี้จึงมีทั้งผู้ที่อิจฉา แล้วก็มีที่จงใจห่างเหินไปเพราะไม่อยากมีปัญหาจากการข้องแวะกับนาง ด้วยเหตุนี้หลังออกเรือมาได้ไม่นาน นางก็กลายเป็นตัวคนเดียวเสียอย่างนั้น

รองหัวหน้าพ่อครัวเองก็มองจุดนี้ออกนานแล้ว ความกล้าจึงยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เขาจับมือนางแน่นพลางยิ้มเย็นกล่าว “สาวน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าทำอาหารว่างเก่งมาก แต่ถ้าเจ้าลงมือกับข้าก่อน ข้าเองก็ทำให้มือเจ้าพิการได้เช่นกัน แล้วดูซิว่าท่านเสนาบดีเฉวียนจะยังคิดอยากกินอาหารว่างที่เจ้า…”

คนผู้นี้มองเรื่องราวต่างๆ ได้ไม่กระจ่างแจ้งนัก ถึงยามนั้นยังไม่รู้เลยว่าผู้ที่ตายจะเป็นผู้ใดกันแน่ นางอยากพูดข่มขู่ แต่ตัวเรือที่โคลงเคลงน้อยๆ อยู่ตลอดเวลาทำให้นางยิ่งคลื่นเหียนมากขึ้นทุกที

“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่!”

ที่ประตูพลันมีเสียงไม่สบอารมณ์ของหัวหน้าพ่อบ้านตู้ดังขึ้น

ทั้งสองคนหันไปมองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะได้เห็นหัวหน้าพ่อบ้านตู้ที่จอนผมทั้งสองข้างล้วนหงอกขาวกับหัวหน้าพ่อครัวร่างสูงผิวคล้ำเดินเข้ามาหาพร้อมกัน

รองหัวหน้าพ่อครัวต้องปล่อยมือฉู่ซินเถียนอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ลืมกัดฟันกล่าวอีกประโยค “พอถึงแคว้นหนีตัน ข้าจะขอตัวเจ้าจากท่านเสนาบดีเฉวียนทันที”

“โอ้ก!” เสียงดังขึ้นคราหนึ่ง นางทนไม่ไหวอ้าปากอาเจียนใส่รองหัวหน้าพ่อครัว…

สกปรกจะตายอยู่แล้ว! รองหัวหน้าพ่อครัวรีบเช็ดเศษอาหารและคราบน้ำเหนียวๆ บนใบหน้าออกด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ

ฉู่ซินเถียนผลักเขาออกไปนานแล้ว นางโยนทัพพีในมือทิ้งไป แล้วรีบหยิบหม้อใบเล็กขึ้นมาพลางซุกหน้าลงไปอาเจียนทันที

ขณะที่หัวหน้าพ่อบ้านยังนิ่งอึ้งอยู่ หัวหน้าพ่อครัวก็รีบเดินผ่านเขา หลังหยิบผ้าสะอาดผืนหนึ่งมาชุบน้ำแล้ว เขาก็เดินมาอยู่ข้างกายฉู่ซินเถียนพลางยื่นผ้าให้นาง “ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

นางรับผ้ามา ทว่าตอนที่กำลังจะกล่าว ‘ขอบคุณ’ นางก็สังเกตเห็นดวงตาของหัวหน้าพ่อครัวกำลังจับจ้องมายังหน้าอกที่ ‘มากล้นเกินไป’ ของนาง มือขนดกข้างหนึ่งโอบรอบเอวนาง ทำทีเป็นช่วยพยุง แต่มือกลับลอบยื่นขึ้นไปข้างบน ขณะที่ปากกล่าวคำพูดจริงจังกับรองหัวหน้าพ่อครัวที่กำลังเช็ดหน้าว่า “นับจากวันนี้ไป เจ้าก็อยู่ให้ห่างจากสาวใช้แซ่ฉู่หน่อย หากยังทำตัวไม่ดีอีก ระวังข้าจะแจ้งเรื่องเจ้าไปยังท่านเสนาบดี”

รองหัวหน้าพ่อครัวไม่กล้าพูดจาอีก สีหน้าดูไม่ได้เลยสักนิด

หัวหน้าพ่อครัวมองไปยังหัวหน้าพ่อบ้านตู้ ก่อนมองบุคคลที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างเป็นกังวลอีกครั้ง “ตั้งแต่สาวใช้แซ่ฉู่ขึ้นเรือมาก็เมาเรือมาโดยตลอด ข้าจะพยุงนางกลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อน ประเดี๋ยวค่อยไปหาหัวหน้าพ่อบ้านเพื่อพูดคุยเรื่องที่ท่านฝูอ๋องไม่พอใจในอาหารด้วยกัน”

“ไม่จำเป็น ข้าพยุงนางไปเอง เจ้าควรเตรียมอาหารเช้าของบรรดาเจ้านายไม่ใช่หรอกหรือ” มือหนึ่งของหัวหน้าพ่อบ้านตู้จับข้อมือฉู่ซินเถียนเอาไว้ ต้องการจะดึงตัวนางมา

“ข้าไม่มีทางทำให้เวลากินอาหารเช้าของเจ้านายทั้งสองต้องล่าช้าแน่” หัวหน้าพ่อครัวไม่คิดอยากปล่อยมือแต่อย่างใด ในใจก็คิดว่า ตาเฒ่าลามกนี่อายุปาไปเท่าไรแล้ว เป็นคางคกแล้วยังคิดอยากกินเนื้อห่านฟ้าอีก

เมื่อเห็นพวกเขากำลังจะทะเลาะกันแล้ว ฉู่ซินเถียนก็สลัดร่างหลุดออกจากการเหนี่ยวรั้งของทั้งสองคน “ข้ากลับห้องเองได้เจ้าค่ะ ทั้งสองท่านจัดการธุระของตนเองไปเถิด”

นางเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่เดินผ่านประตูก็ยังได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์เล็กๆ น้อยๆ จากคนอื่นๆ

“เหอะ เสแสร้งเก่งนักนะ”

“ใช่แล้ว ในห้องครัวไม่ได้มีนางเป็นสาวใช้อยู่ผู้เดียวเสียหน่อย เจ้านายต้องตาในฝีมือทำอาหารของนาง นางก็เลยไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แม้แต่กับหัวหน้าพ่อครัว กับหัวหน้าพ่อบ้านตู้ก็ยังคิดดูถูก!”

ภายในห้องครัวก็มีการต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันอยู่ ฉู่ซินเถียนคร้านจะให้ความสนใจแล้ว แต่หากมีผู้ใดกล้าเอาเปรียบนางล่ะก็ นางไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน!

 

ฉู่ซินเถียนกลับไปที่ห้องพักด้วยจิตใจอันว้าวุ่น คาดไม่ถึงว่ายังไม่ทันปิดประตู ก็มีเงาร่างหนึ่งผลุบเข้ามาในห้องอย่างไม่คาดฝันแล้ว

ยามนี้แสงแดดลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาแล้ว นางมองไปยังหัวหน้าพ่อบ้านตู้ที่เข้ามาในห้องอย่างประหลาดใจ เมื่อเห็นเขาลงกลอนประตูต่อ สีหน้านางก็เปลี่ยนไปทันควัน “หัวหน้าพ่อบ้านตู้มีธุระอะไรหรือ พวกเราออกไปคุยกันข้างนอกเถอะเจ้าค่ะ”

เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามาใกล้ นางก็รีบร้อนหลบไปยังฝั่งขวาของประตู ฝืนใช้โต๊ะเก้าอี้ชุดเล็กมาขวางกั้นระหว่างทั้งสองคนเอาไว้ อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย “ออกไปนะ! ไม่อย่างนั้นข้าจะตะโกนเรียกคนแล้ว”

“ไม่ต้องตะโกนไปหรอก สาวใช้แซ่ฉู่ ข้าจะเอ็นดูเจ้าเป็นอย่างดี การเดินทางไปแคว้นหนีตันยังเหลืออีกหนึ่งเดือนกว่า คาดว่าเสนาบดีเฉวียนยังต้องใช้เวลาอยู่ในแคว้นหนีตันอีกอย่างน้อยสองถึงสามเดือน วันเวลายาวนานเพียงนี้ ไม่ต้องพูดถึงหัวหน้าหรือรองหัวหน้าพ่อครัวเลย ยังมีบ่าวรับใช้อีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ที่สนใจเจ้าอยู่ แต่ขอเพียงเจ้ากลายเป็นคนของข้า ผู้ใดยังจะกล้าแตะต้องเจ้าอีก ใช่หรือไม่” เขายิ้มจนตาหยี พลางเดินวนอ้อมโต๊ะตัวเล็กกับนาง

ฉู่ซินเถียนไร้วาจาเอื้อนเอ่ย นางพูดได้เพียงว่าชีวิตประจำวันบนเรือช่างแห้งแล้งยิ่ง บรรดาเจ้านายยังมีความรื่นเริงหลากหลายแบบ แต่หลังจากที่บ่าวรับใช้ทำงานเสร็จแล้วยังจะทำสิ่งใดได้อีก บุรุษย่อมมีอารมณ์ทางเพศพลุ่งพล่าน ส่วนสตรีก็ทำตัวให้ง่ายสักหน่อย ทว่านางไม่คิดอยากจะเป็นหนึ่งในนั้นจริงๆ

ฉู่ซินเถียนเดินไปกล่าวไป “หัวหน้าพ่อบ้านตู้มีภรรยากับอนุในจวนอยู่ห้าคนจริงหรือไม่ นี่ยังเป็นแค่สิ่งที่ภายนอกรับรู้ หนนี้ที่ติดตามท่านมาด้วยดูคล้ายกับมีอยู่ผู้เดียว แต่เบื้องหลังนั้น คาดว่าในบรรดาสาวใช้ก็ต้องมีคนของท่านอย่างน้อยสามคน” ความจริงแล้วที่นางคิดอยากพูดคือ ท่านแก่แล้วยังบ้ากาม เช่นนี้ยังไม่เพียงพอให้เพลิดเพลินอีกหรือ!

“แล้วอย่างไรเล่า ข้าเป็นคนช่วยจัดการธุระแทนใต้เท้า ข้างกายมีสตรีคอยปรนนิบัติเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว นอกจากนี้ หากข้าต้องการขอแม่ครัวผู้หนึ่งจากใต้เท้า ใต้เท้าเองก็ไม่มีทางไม่มอบให้ข้าแน่” เขาเริ่มรู้สึกว่าโต๊ะเก้าอี้ชุดเล็กตรงหน้าช่างขวางมือขวางเท้าเสียจริง เขาจึงยืนอยู่เฉยๆ โดยไม่ขยับ “ข้ารู้ว่าเจ้าเก็บเงินเพื่อไถ่ตัวเองอยู่ แต่เจ้าอย่าได้ใสซื่อเกินไปเลย ในปีนั้น ใต้เท้าซื้อเจ้าเข้ามาก็ใช้เงินแค่ห้าตำลึงเท่านั้น แต่นี่ใต้เท้ากลับต้องการให้เจ้าเก็บเงินถึงห้าสิบตำลึงเพื่อจะไถ่ตัวเอง รอเจ้าเก็บเงินได้ครบห้าสิบตำลึงแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่าจะหลุดพ้นจากสถานะบ่าวได้จริงๆ”

เมื่อศัตรูไม่ขยับ นางก็ไม่เดินต่อแล้ว “ใต้เท้ารับปากข้าแล้ว”

“เจ้าคิดว่าใต้เท้าเป็นคนเช่นไรกัน คนดี? คนดีที่ถูกเขาฆ่าตายไปนั้นกลับมีอยู่ไม่น้อย” แววตาหื่นกามของเขายังคงจับจ้องไปที่หน้าอกของฉู่ซินเถียนที่กระเพื่อมขึ้นลงน้อยๆ เพราะอาการหอบหายใจ “แน่นอนว่าในเรือลำนี้ยังมีเจ้านายอยู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งก็คือฝูอ๋อง ทว่าข้างกายเขาก็มีโฉมงามที่พระพันปีทรงส่งมาให้ติดตามอีกหลายคนเช่นกัน เขาไม่มีทางเห็นเจ้าอยู่ในสายตาแน่”

“ไม่เห็นอยู่ในสายตาเป็นเรื่องของเขา ไม่รบกวนให้หัวหน้าพ่อบ้านตู้ต้องเปลืองแรงใจแล้วเจ้าค่ะ” นางอดทนที่จะไม่ยกมือขึ้นมาปิดบังหน้าอก

ทว่าหัวหน้าพ่อบ้านตู้กลับมองเสียจนหัวใจคันคะเยอแล้ว เขาเลียริมฝีปากอย่างอดไม่ได้ “ข้ากำลังเตือนเจ้าเชียวนะว่าอย่าได้มีความคิดจะโบยบินเป็นหงส์เลย เดินเรือมาได้ไม่กี่วันก็มีสาวใช้ไม่น้อยคอยหาโอกาสไปเดินวนเวียนอยู่รอบตัวฝูอ๋อง มีหลายคนที่ได้ปรนนิบัติตอนนอน แต่เช้าวันต่อมาก็ถูกโบกมือไล่ออกมาแล้ว ไม่ได้รับประโยชน์ใดเลยสักนิด” กล่าวจบ เขาพลันยื่นมือยาวมาจะจับตัวนาง

ฉู่ซินเถียนกลับเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่า นางกระโดดขึ้นไปบนเตียงอย่างว่องไว พร้อมยื่นมือไปหยิบกรรไกรจากกล่องเข็มกับด้ายที่อยู่ใต้เตียงขึ้นมา ปลายแหลมจ่ออยู่ที่ฝ่ามือตนเอง “หากหัวหน้าพ่อบ้านยังไม่ยอมออกไป ข้าจะแทงมือตนเอง แต่ข้าจะบอกใต้เท้าว่าท่านเป็นคนแทงข้า”

แม้น้ำเสียงของนางจะยังหวานนุ่ม แต่ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นกลับทอประกายเย็นเยียบอย่างที่ไม่เข้ากับอายุ หัวหน้าพ่อบ้านตู้มองออกว่านางจะต้องทำตามที่พูดแน่นอน

“ข้าออกไปก็พอแล้ว เจ้าพักผ่อนดีๆ เถอะ” สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเขียวคล้ำ ตระหนักดีว่าเสนาบดีเฉวียนชื่นชอบฝีมือของฉู่ซินเถียนมากเพียงใด ระยะเวลาเดินเรือยังอีกยาวนาน เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะกำราบนางไม่ได้!

ทันทีที่เขาเปิดประตูเดินออกไป นางก็พุ่งเข้าไปปิดประตูลงกลอนทันควัน ก่อนหันหลังแนบกับกำแพงแล้วผ่อนลมหายใจยาวออกมา

ฉู่ซินเถียนไม่ใช่คนที่จะใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายได้ หลังพักผ่อนไปได้ครึ่งชั่วยาม นางก็ต้องกลับไปยุ่งวุ่นวายที่ห้องครัวอย่างเหน็ดเหนื่อยอีกครั้ง

เรื่องก่อนหน้านี้คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสียงกระซิบกระซาบในมุมต่างๆ กลายเป็นเรื่องของฝูอ๋องไปแล้ว คนผู้นี้ยังถือเป็นหัวข้อที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ถึงมากที่สุดนับตั้งแต่พวกเขาขึ้นเรือมา

เขาวิตถารสำส่อน เอ้อระเหยลอยชาย ทะเลาะวิวาทเล่นพนัน ชื่อเสียงเลวร้ายจนเป็นที่ประจักษ์ชัด เป็นคนสำคัญที่นักเล่านิทานทั่วเมืองหลวงนำมาเล่าขานกันมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ ขอแค่เป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีผู้ใดเลยที่จะไม่รู้เรื่องชีวิตและความเหลวไหลของเขา

บิดาของเขาฝูอ๋องคนก่อนเป็นพระอนุชาที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนรักถนอมมากที่สุด ก่อนที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนจะจากไป ฝูอ๋องคนก่อนก็ได้รับความไว้วางใจให้คอยช่วยเหลือจักรพรรดิคนใหม่จนกลายเป็นเซ่อเจิ้งอ๋อง

อย่างไรก็ตาม ตำแหน่งของจักรพรรดิออกจะน่าดึงดูดจนเกินไป เขาจึงก่อกบฏแย่งชิงบัลลังก์ สุดท้ายก็ถูกสังหาร

เป็นเพราะได้รับบารมีมาจากตอนที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ เคยมีพระราชโองการที่จะไม่ยกเลิกและริบบรรดาศักดิ์คืน จักรพรรดิที่สืบทอดตำแหน่งต่อมานั้นจึงให้บุตรชายเพียงคนเดียวของเขาเว่ยหลันโจวรับสืบทอดตำแหน่งบรรดาศักดิ์ต่อมา ได้ดื่มด่ำกับชีวิตสูงศักดิ์ของชนชั้นอ๋อง

แต่เว่ยหลันโจวในฐานะทายาทของขุนนางกบฏกลับไม่รู้สำนึกเลยสักนิดเดียว เขายังคงกินดื่ม เที่ยว เล่นพนัน ทำทุกสิ่งอย่าง โฉมงามในจวนหากไม่เกินพันก็เกินร้อย

การออกเดินทางไปยังแคว้นหนีตันครานี้ พอได้รู้ว่าเขาก็เป็นหนึ่งในคณะทูตด้วย ก็มีสาวใช้อ่อนเยาว์หลายคนบนเรือที่ใจเต้นระรัว พวกนางเคยได้ยินมาว่าคุณชายเจ้าสำราญอย่างเขาหน้าตาดีมาก ถือเป็นบุรุษรูปงามที่หาได้ยากยิ่งบนโลกนี้ ทั้งได้ยินมาว่าเขาจะใจกว้างกับโฉมงามเป็นอย่างยิ่ง มักมอบเงินทองและเครื่องประดับให้ชุดใหญ่อยู่เสมอ

ฉู่ซินเถียนไม่คิดอยากสร้างความสัมพันธ์อันใดกับบุรุษประเภทนี้อยู่แล้ว นางเพียงอยากรีบเก็บเงินเพื่อให้ตนเองได้รับอิสระอีกครั้ง

นางทำอาหารว่างแบบจีนชนิดหนึ่งเสร็จอย่างรวดเร็ว ก่อนให้บ่าวชายที่รับหน้าที่ส่งอาหารยกออกไป แต่ก็มักจะมีสาวใช้ใสซื่อที่คิดอยากเข้าไปอยู่ในสายตาของผู้สูงศักดิ์โผล่มาให้เห็นอยู่เสมอ นางจึงได้เห็นสาวใช้ผู้หนึ่งเดินเข้าไปยัดเศษเงินใส่ในมือของบ่าวชาย

บ่าวชายผงกศีรษะยิ้มรับ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกจากห้องครัวไปด้วยกัน

ตามหลักแล้ว บ่าวรับใช้ที่อยู่ในชั้นนี้ไม่สามารถไปเดินอยู่ในชั้นที่เจ้านายทั้งสองพักอยู่ได้ แต่หากมีคนคอยช่วยเหลือก็ยังสามารถเข้าไปสัมผัสใกล้ๆ ได้เช่นกัน แต่เป้าหมายนี้ใช้ได้เฉพาะกับฝูอ๋องผู้ไร้กฎระเบียบเท่านั้น กับเสนาบดีเฉวียนจะทำเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด

และที่บ่าวชายผงกศีรษะก็เป็นการบอกว่าฝูอ๋องไม่ได้กินอาหารพร้อมกับเสนาบดีเฉวียน สาวใช้ผู้นั้นจึงมีโอกาสให้ไขว่คว้าได้

อย่างไรก็ตามผ่านไปเพียงไม่นาน สาวใช้ผู้นั้นก็เดินคอตกกลับมาอย่างหดหู่ เห็นได้ชัดว่าฝูอ๋องไม่ถูกใจนาง จึงไม่ได้รั้งนางไว้ปรนนิบัติ ภายในห้องครัวพลันมีเสียงหัวเราะเย้ยหยันเบาๆ ดังมา

ฉู่ซินเถียนเพียงแค่ซุกตัวอยู่ในพื้นที่ทำงานของตนเองเงียบๆ นางเตรียมอาหารว่างยามบ่ายกับยามเย็น ทั้งยังต้องศึกษาค้นคว้าอาหารว่างชนิดใหม่ๆ ตลอดทั้งวันนางล้วนอยู่แต่ในห้องครัว

ทว่าเมื่อเทียบกันแล้ว งานของนางกลับค่อนข้างผ่อนคลายกว่าผู้อื่น การเตรียมและปรุงอาหารบนเรือเป็นงานที่หนักหนามากจริงๆ อาหารของบรรดาเจ้านายต้องทำอย่างประณีตยิ่ง กับข้าวและน้ำแกงหลายอย่างล้วนกำหนดมาก่อนแล้วอย่างชัดเจน หลังพวกเขาทำเสร็จมื้อหนึ่งก็แทบจะต้องเริ่มเตรียมอาหารมื้อถัดไปทันที

บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนรู้สึกขัดหูขัดตาฉู่ซินเถียนเป็นได้ ด้วยนางมีหน้าที่รับผิดชอบอาหารว่างของพวกเจ้านายเท่านั้น ขณะที่บ่าวรับใช้กลับไม่จำเป็นต้องกินอาหารว่าง เมื่อรวมเข้ากับที่นางมักจะมีท่าทีผ่อนคลาย บนโต๊ะเบื้องหน้าไม่ต้องเจอความมัน จึงทำให้คนอื่นๆ เกิดความรู้สึกคิดไปเองว่านางมีเวลาว่างมากก็เป็นได้

แต่ไม่ว่าจะพบเจอแววตาอิจฉาริษยา หรือแววตาหื่นกระหายของหัวหน้าพ่อครัวกับรองหัวหน้าพ่อครัว ฉู่ซินเถียนก็ล้วนไม่ใส่ใจทั้งสิ้น เนื่องจากยามนี้นางต้องผจญอยู่กับอาการเมาเรือซึ่งรบกวนชีวิตนางอย่างร้ายกาจ หลายครั้งที่มีกลิ่นน้ำแกงต่างๆ หรือกลิ่นอาหารอบนึ่งลอยแผ่กระจายไปทั่วห้อง มักจะทำให้นางคลื่นไส้อยู่เสมอ นางพยายามอดกลั้นแล้วอดกลั้นอีกจนสุดความสามารถ ก่อนจะอดทนมาถึงตอนเย็นได้ในที่สุด

หลังเตรียมอาหารว่างเสร็จ นางก็ยกถังน้ำอุ่นมาด้วยถังหนึ่งพลางลากร่างอันเหนื่อยล้ากลับไปที่ห้อง ชำระกายเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นอนหลับไป

ระหว่างนั้นประตูห้องของนางก็ถูกเคาะอยู่หลายครั้ง แม้แต่ที่หน้าต่างก็ยังปรากฏเงาดำ มีคนเคาะเบาๆ แล้วผลัก แต่นางกลับทำเป็นไม่ได้ยิน ในที่สุดเสียงเหล่านั้นก็สงบลงเสียที ให้นางได้นอนหลับสนิท

เป็นเพราะทั้งวันยังไม่ได้กินอะไร กลางดึก นางจึงถูกเสียงครวญครางของกระเพาะปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง

โครกครากๆ

นางถอนหายใจยาวพลางลืมตาขึ้น แล้วหยิบตะเกียงน้ำมันแอบเดินไปยังห้องครัวอีกครั้ง หลังยุ่งวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง ขนมแป้งอบผิงกั่ว* เค็มสดใหม่เรียบง่ายถาดหนึ่งก็เป็นอันเสร็จสิ้น ในตอนที่นางนั่งลงกินนั้น…

น้ำเสียงกลั้วหัวเราะก็ดังขึ้น “หนูตัวใหญ่อย่างเจ้าตรงเวลาน่าดูเลยนี่”

นางกัดลงไปคำหนึ่ง แล้วก็ต้องสำลักอีกครั้ง “พรูด แค่กๆๆ…”

บุรุษที่โผล่มาโดยไร้สุ้มเสียงช่วยตบหลังให้นางหลายหน “จริงๆ เลย ทุกครั้งที่สาวๆ เห็นข้ามักจะมีท่าทีลุ่มหลงเหม่อลอย มีแค่เจ้านี่แหละที่มักจะไอสำลัก”

จากนั้นเขาก็รินน้ำชาให้นางเหมือนเดิม ก่อนจะสะบัดชุดคลุมยาวนั่งลงอย่างสบายใจ ยื่นมือไปย้ายจานมาไว้ตรงหน้าเขา จากนั้นก็จู่โจมขนมแป้งอบผิงกั่วเค็ม กัดไปหนึ่งคำ ดวงตาเขาก็สว่างวาบขึ้นทันใด

“นั่น…แค่ก เป็น…ของข้า แค่กๆๆ” นางยื่นมือออกไปหมายปกป้องอาหารมื้อดึกของตนเองอย่างอารมณ์เสีย แต่จนใจที่แขนนางยาวไม่พอ

บุรุษผู้นั้นถือเป็นนักกินผู้หนึ่ง เขากินไปผงกศีรษะไป ทั้งยังไม่ลืมกล่าวขอบคุณ “อืม อาหารชนิดนี้พิเศษมากจริงๆ ให้รสเปรี้ยวหวานของผลไม้ เข้ากับความเค็มได้อย่างพอเหมาะ กินแล้วสดชื่นไม่เลี่ยนเลย กินเวลานี้กำลังดีทีเดียว”

เพียงไม่นานเขาก็กินขนมแป้งอบผิงกั่วหมดโดยไม่เหลือสักชิ้น สภาพตอนกินของคนผู้นี้ก็ยังสง่างามอย่างมาก ฉู่ซินเถียนถึงกับมองเพลินจนลืมเรียกให้เขาหยุดกินได้แล้ว สุดท้ายตรงหน้าก็เหลือเพียงจานเปล่าอีกครั้ง

สองมือนางกำเป็นหมัดแน่นพร้อมถลึงตาใส่เขา นางกดข่มอารมณ์โกรธเอาไว้แล้วกล่าวออกไป “ไม่เกินไปหน่อยหรือ นี่เป็นของที่ข้าทำขึ้นอย่างยากลำบาก”

เขาผงกศีรษะอย่างสบายใจและผ่อนคลาย พร้อมยื่นมือออกไปหยิบผ้าเช็ดมือที่ดูสะอาดผืนหนึ่งมาเช็ด “อืม ลำบากเจ้าแล้ว”

นางเบิกตากว้าง “แค่นี้?!”

เขายกผ้าเช็ดมือขึ้นมาเช็ดปาก ก่อนโน้มตัวไปข้างหน้ากะทันหัน ดวงตาดอกท้อ เรียวยาวภายใต้แสงไฟคู่นั้นสะท้อนใบหน้าของนาง เขาถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเปี่ยมเสน่ห์ “เจ้าต้องการอะไรเล่า ข้าจะตอบรับทุกสิ่งอย่างโดยไม่มีเงื่อนไขใด”

นางกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว คนผู้นี้กำลังเกี้ยวสาวอยู่รึนี่ สมควรตาย! กำลังยั่วยวนข้าอยู่หรือไร ดูจากใบหน้าของเขาแล้วน่าจะอายุสักยี่สิบได้กระมัง เฮ้อ อายุของคนสมัยโบราณ ข้ามองไม่ค่อยออกจริงๆ

ทว่าบุรุษผู้นี้ยังคงโน้มเข้ามาใกล้ฉู่ซินเถียนมากขึ้นเรื่อยๆ จวบจนตอนนี้เขาถึงขั้นปีน…ปีนขึ้นโต๊ะแล้ว! เมื่อมองเห็นใบหน้าคมคายจวนจะแนบชิดกับใบหน้านางอยู่แล้วนั้น โดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด ฉู่ซินเถียนพลันเอนร่างไปข้างหลังทันใด ทว่านางกลับลืมไปว่าเก้าอี้ที่นั่งอยู่นี้ไม่มีพนักพิง ทันทีที่ไม่มีอะไรมารองรับหลัง นางก็เอนล้มลงไปทันที เสียงโครมดังขึ้น ทั้งคนทั้งเก้าอี้ลงไปกองอยู่กับพื้นพร้อมกัน

“โอ๊ย!” นางร้องออกมาอย่างเจ็บปวด

“เสียงอะไรกัน”

ข้างนอกห้องครัวพลันมีเสียงดังตามมา ตอนที่นางผุดลุกขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ แสงตะเกียงในห้องครัวก็ดับวูบลง ภายในห้องครัวตกอยู่ในความมืดกะทันหัน

ข้างนอกห้องครัวมีเสียงฝีเท้าดังมา แสงตะเกียงดวงหนึ่งก็พลอยขยับไหวไปด้วย

แย่แล้ว! หากถูกเจอตัวก็แย่แล้ว! นางตัวแข็งอยู่ที่เดิม มือพลันถูกคนคว้าจับ นางถูกดึงตัวไปอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคน นางถลึงตาใส่คนในความมืดที่มองเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดแต่แรกแล้วอย่างลนลาน “ผู้ใดกัน”

“นอกจากข้าแล้วจะยังเป็นผู้ใดได้อีก” น้ำเสียงทุ้มต่ำของบุรุษที่คุ้นเคยแฝงไปด้วยอาการกลั้วหัวเราะ

นางยังอยากจะพูดอะไรต่ออีก แต่ฝ่ามืออุ่นร้อนของเขากลับปิดปากนางทันที แล้วตระกองกอดนางพาเดินไปหยุดอยู่อีกมุมห้องครัว

ชั่วขณะต่อมาก็มีองครักษ์สองคนถือตะเกียงน้ำมันส่องเข้ามาข้างใน พวกเขาเพียงมองสำรวจอย่างส่งๆ ก่อนจากไป

รอบด้านตกลงสู่ความมืดอีกครั้ง ฉู่ซินเถียนผ่อนลมหายใจออกมา นางอยากจะผลักบุรุษที่กอดตนเองออกไป แต่เขากลับกอดนางแน่นขึ้นเสียอย่างนั้น พร้อมกล่าวเสียงเบา “ยังไปไม่ไกล”

“อ้อ” นางได้แต่อยู่นิ่งๆ อย่างว่าง่าย

เมื่อร่างกายอยู่ในความมืด สัมผัสทั้งหมดล้วนเปลี่ยนเป็นเฉียบคมยิ่ง นางสามารถสัมผัสได้ถึงจังหวะหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอภายใต้แผ่นอกกว้าง รวมไปถึงท่อนแขนกำยำของเขาที่โอบกอดนางอยู่

เขากระจ่างมาโดยตลอดว่าถึงแม้นางจะอายุยังน้อยแต่ร่างกายกลับเจริญเติบโตได้ดีมาก กระนั้นเขาก็คิดไม่ถึงว่าความรู้สึกตอนกอดนางเอาไว้จะดีเพียงนี้ ตัวคนนุ่มนิ่มราวกับซาลาเปาเนื้อลูกเล็กที่เพิ่งนึ่งเสร็จ บนร่างเองก็มีกลิ่นแป้งจางๆ ตอนที่นางหายใจเข้าออกถี่กระชั้นด้วยความเป็นกังวล ความอวบอิ่มของเด็กสาวที่คอยกดแนบกับหน้าอกเขาเป็นระยะๆ ยิ่งเป็นรสชาติที่งดงามมาก

“ยังเดินไปไม่ไกลอีกหรือ นานมากแล้วนะ” ฉู่ซินเถียนใช้นิ้วจิ้มเขาอย่างอดไม่อยู่พลางเอ่ยถามเสียงเบา

มุมปากเขาหยักยกขึ้น ลมหายใจอุ่นร้อนอยู่ข้างหูนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ความจริงเดินไปไกลมากแล้ว แต่เหมือนเจ้าจะหลับไป ข้าถึงได้ไม่กล้าขยับ”

ฉู่ซินเถียนพลันนิ่งอึ้งไป ก่อนจะผลักเขาออกอย่างแรงด้วยความโมโห เจ้าคนหื่นกามนี่ ในสถานการณ์เช่นนี้ข้ายังจะหลับลงอีกหรือ!

ชั่วขณะต่อมา เสียงก๊องแก๊งๆ ก็ดังขึ้นกะทันหัน คล้ายเป็นเสียงหม้อหล่นลงพื้น เป็นเพราะการผลักของข้าหรือเปล่า

สวรรค์! องครักษ์สองคนนั้นจะย้อนกลับมาอีกหรือไม่ นางตกใจจนไม่กล้าขยับ

บุรุษผู้นั้นก็นิ่งเงียบ แต่เขาที่มองเห็นในความมืดได้นั้นกลับสามารถมองเห็นความหงุดหงิดและความไม่สบายใจในดวงตาคู่กลมคู่นั้นของนางได้อย่างชัดเจน เขาข่มกลั้นเสียงหัวเราะไว้โดยไม่พูดอะไร

รอบด้านนิ่งเงียบอยู่อีกครู่ใหญ่ ไม่มีผู้ใดมาอีกเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าบรรดาเวรตรวจตรายามกลางคืนเหล่านั้นเดินไปถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้ว

ดวงตาของฉู่ซินเถียนเองก็คุ้นชินกับความมืดแล้ว นางสามารถมองเห็นตำแหน่งที่บุรุษผู้นั้นอยู่ได้แล้ว ซึ่งอยู่ห่างจากนางเพียงสามก้าวเท่านั้น “น่าจะไม่เป็นอะไรแล้วกระมัง”

เขาผงกศีรษะ

ฉู่ซินเถียนถึงได้คลำความมืดเดินไปจนถึงหน้าเตาไฟ และนำตะเกียงน้ำมันที่นางวางไว้ข้างบนมาจุดสว่าง ทว่ากลับพบว่าหม้อและฝาหม้อที่หล่นเสียงดังก๊องแก๊งเมื่อครู่นี้อยู่ห่างจากพวกเขาไปช่วงหนึ่ง จากระยะห่างและความสูงของตำแหน่งที่บุรุษผู้นั้นยืนอยู่ในตอนนี้ ไม่มีทางสัมผัสโดนได้แน่

ดวงตานางมีโทสะผุดวาบขึ้น “เจ้าจงใจไปชนมัน!” นางเดินไปทางหม้อและฝาหม้ออย่างโมโห แล้วนั่งยองๆ เพื่อเก็บของที่อยู่บนพื้นมาจัดวางให้เรียบร้อยอีกครั้ง

เขาเองก็เดินตามมาด้วย “เจ้ากล่าวหากันเกินไปแล้ว ยามนั้นมืดเพียงนี้ ใครจะรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหลังบ้าง นอกจากนี้ ข้าเองก็นึกไม่ถึงว่าเรี่ยวแรงเจ้าจะมากเพียงนี้ ข้าถูกผลักไปไกลเพียงนั้น โซเซไปตั้งหลายก้าว เป็นเพราะข้ายั้งตัวเองเอาไว้หรอกถึงได้โดนของพวกนี้เข้าให้ ก่อนจะสะดุ้งเดินกลับมาข้างหน้าอีกหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว ที่นี่มืดสนิทเช่นนี้ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าต้องเดินไปทางไหน” บนใบหน้าคมคายแสดงสีหน้าตัดพ้อที่ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม

ก็จริง ยามนั้นมืดเพียงนั้น อีกทั้งแรงของข้าก็ไม่น้อยจริงๆ

“ขอโทษด้วย ข้าใส่ร้ายเจ้าเกินไป” นางกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน

ขอโทษง่ายดายเพียงนี้เชียว? บุรุษผู้นั้นนิ่งอึ้งไป ก่อนยิ้มออกมา “ไม่เป็นไร พวกเราเก็บข้าวของกันเถิด พรุ่งนี้เช้ายังต้องทำงานอีก”

“ตกลง” นางผงกศีรษะ

ทั้งสองคนช่วยกันทำให้ห้องครัวกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ ฉู่ซินเถียนมองดูเขาคิดอยากจะพูดอะไร ทว่าเขากลับยิ้มกล่าวขึ้นมาก่อน “คืนพรุ่งนี้เจอกัน”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 พ.ย. 62

หน้าที่แล้ว1 of 12

Comments

comments

No tags for this post.
sangdow Marcom: