บทที่ห้า
ภายใต้แสงจันทร์พราวระยับ สถานที่จัดงานเลี้ยงของสวีซั่นอยู่ที่ข้างนอก ข้างหน้ามีสะพานข้ามร่องน้ำอยู่กลางสวนดอกไม้ ด้านหลังมีภูเขาจำลองธารน้ำไหล ตรงกลางมีศาลาขนาดใหญ่สลักลวดลายประณีต สวนรอบด้านจุดโคมสว่างไสว ทั้งยังผูกแถบผ้าที่พลิ้วไหวไปตามลม
บ่าวรับใช้ภายในจวนยืนอยู่ด้านหลังสวีซั่น และต้อนรับการมาถึงของเว่ยหลันโจวอย่างนอบน้อม
รอจนเว่ยหลันโจวนั่งลงเรียบร้อย เด็กรับใช้ทั้งสามกับฉู่ซินเถียนก็ไปยืนอยู่ด้านหลังเขา พวกเขาเห็นสวีซั่นยิ้มแย้มก่อนจะนั่งลง บ่าวรับใช้ด้านหลังรีบเดินมารินสุราใส่จอกให้กับเว่ยหลันโจวกับสวีซั่นทันที ก่อนถอยกลับไปยืนนิ่งอีกครั้ง
สวีซั่นถึงกับใช้ของที่ดีสุดมารับรองท่านอ๋องเจ้าสำราญผู้รู้จักกินดื่มผู้นี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารเลิศรสที่มีควันร้อนกรุ่นบนโต๊ะตรงหน้า จานกระเบื้องเคลือบที่ใส่อาหาร หรือชามถ้วยตะเกียบต่างก็วิจิตรล้ำค่า
เพื่อรอให้แขกสูงศักดิ์ผู้นี้มานั่งโต๊ะ สวีซั่นก็รอจนหิวโหยไปนานแล้ว ทว่าแขกสูงศักดิ์กลับไม่ลงมือยกตะเกียบเสียที เริ่มแรกชื่นชมทิวทัศน์ยามราตรีซึ่งประดับประดาไปด้วยโคมไฟอันงดงามของสวนแห่งนี้ก่อน จากนั้นจึงมองดูนักดนตรีและนักระบำที่รอรับคำสั่งอยู่ด้านข้างอีกที เขายิ้มแย้มต้องการให้พวกเขาบรรเลงบทเพลงหนึ่งก่อนแล้วค่อยเต้นระบำอีกหนึ่งบทเพลง
“ท่านอ๋อง ชมไปกินไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ” สวีซั่นยิ้มแย้มพลางยกตะเกียบขึ้น
“ใต้เท้าสวี ข้าครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วก็เห็นว่าโจรสลัดที่ซุ่มโจมตีข้านั้น จะต้องได้รับข่าวมาก่อนแน่นอน อีกทั้งเป้าหมายก็เพื่อสังหารข้า…”
สวีซั่นสีหน้าเปลี่ยนไป “เหตุใดท่านอ๋องจึงคิดเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าสวีคงไม่ทราบ ลูกน้องของข้าที่รอดชีวิตได้ยินโจรสลัดพูดออกมาหนึ่งประโยคว่า ‘ห้ามปล่อยให้ฝูอ๋องรอดไปได้’ แต่ข้ามีสวรรค์คอยคุ้มครอง ถึงได้มีชีวิตรอดปลอดภัย” เขาตบๆ หน้าอกตนเอง ทั้งยังผายมือไปทางท้องฟ้า ก่อนจะมองสวีซั่นอีกครั้ง “แต่หลายสิบชีวิตบนเรือลำนี้ก็ต้องตายไป ใต้เท้าสวีจะต้องคิดหาวิธีตามหาโจรสลัดกลุ่มนั้นออกมาให้ได้ ทำลายรังโจรของพวกมันเสีย เช่นนี้จึงจะรับรองได้ว่าราษฎรของพวกเราจะปลอดภัยในการสัญจรผ่านแม่น้ำนี้”
“พ่ะย่ะค่ะๆ ท่านอ๋องกล่าวได้ถูกต้องแล้ว” สวีซั่นได้แต่ผงกศีรษะอย่างกระอักกระอ่วนใจ
ดวงตาดอกท้อมีเสน่ห์ของเว่ยหลันโจวคู่นี้กวาดมองไปทั่วศาลาที่ประดับตกแต่งอย่างหรูหรา ก่อนจะเปิดเผยประกายละโมบออกมา นิ้วที่ยกจอกสุราเคาะเบาๆ ลงบนตัวจอก
“พูดไปแล้วของที่อยู่บนเรือข้าล้วนถูกโจรสลัดรื้อค้นไปหมดสิ้นแล้ว ตั๋วเงินหนึ่งกล่องกับทองคำอันตรธานไปสิ้น ทว่าการออกเดินทางไปแคว้นอื่นครั้งนี้ยังมีเรื่องราวมากมายให้ต้องจัดการ” เว่ยหลันโจวยิ้มแย้มพลางมองดูสวีซั่นที่หน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง “พูดไปแล้วนี่ก็เป็นการทำเพื่อฝ่าบาท ถือเป็นการทุ่มเทแรงใจให้กับราชสำนัก เป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง รอข้ากลับมาจากการเดินทางเมื่อไรจะต้องทูลฝ่าบาทอย่างชัดแจ้งแน่นอนว่าผู้ใดเป็นคนช่วยแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท”
ประโยคนี้แม้จะกล่าวอย่างเปิดเผย แต่ความหมายนั้นกลับสื่อได้อย่างหนึ่งก็คือหากสวีซั่นไม่ควักเงินออกมา เว่ยหลันโจวก็จะทูลจักรพรรดิว่าเขาไม่ยินยอมช่วยแบ่งเบาความกังวลของพระองค์ ฉู่ซินเถียนรู้สึกว่าคนตรงหน้านี้ชั่วร้ายมากจริงๆ
สวีซั่นยิ้มฝืดฝืนยิ่ง “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะต้องเตรียมไว้ให้อย่างแน่นอน”
เว่ยหลันโจวฟังแล้วถึงได้ยกจอกสุราขึ้นมาดื่มลงไปหมดจอกอย่างสง่าผ่าเผย ยามที่บ่าวรับใช้ด้านหลังสวีซั่นจะขึ้นมาเติมสุราให้นั้น เขาก็โบกมือห้าม พลางใช้หางตาเหลือบมองไปยังฉู่ซินเถียนที่อยู่ด้านหลัง
ฉู่ซินเถียนเดินเข้าไปหาเว่ยหลันโจวอย่างยอมรับชะตากรรม หลังรินสุราลงไปในจอกที่ว่างเปล่าของเขาจนเต็มแล้วถึงได้ถอยกลับมาอยู่ที่เดิม ทั้งยังแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาประหลาดใจที่มองมาที่นางจากรอบทิศ โดยเฉพาะสายตาของสวีซั่น
“ใต้เท้าสวี สำหรับการออกเดินทางในครั้งนี้ เสนาบดีเฉวียนได้พาอนุร่วมเดินทางมาด้วยไม่น้อย ทว่าข้าที่เห็นถึงความสำคัญของการออกเดินทาง เมื่อรวมกับกลัวว่าจะควบคุมอนุนับร้อยในจวนไม่ได้ ข้าจึงไม่ได้พามาด้วยสักคน” เว่ยหลันโจวโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วกะพริบตามองสวีซั่น “ใช่ว่าสตรีที่อยู่ข้างนอกจะมีน้อยเสียเมื่อไหร่ ฮ่าๆๆ”
“ฮ่าๆๆ” สวีซั่นเองก็ได้แต่หัวเราะตาม ทว่าในใจลอบมีโทสะแล้ว
“ข้าก็ไม่ได้ชอบสตรีเรียบร้อยอะไร โฉมงามที่มีประสบการณ์สิถึงจะสนุก ใต้เท้าเป็นบุรุษเหมือนกัน น่าจะเข้าใจกระมัง” เขาเลิกคิ้วอย่างเจ้าเล่ห์
“พ่ะย่ะค่ะๆ กระหม่อมจะต้องจัดการให้เรียบร้อยอย่างแน่นอน” แม้เบื้องหน้าสวีซั่นจะแสดงออกอย่างสุภาพ และยิ้มอย่างเป็นมิตรก็จริง ทว่าในใจกลับคิดเพียงอยากฉีกเว่ยหลันโจวออกเป็นชิ้นๆ แล้ว ต้องการทั้งเงินทั้งสตรี ไหนจะต้องเติมบ่าวรับใช้ขึ้นไปบนเรืออีก นี่เจ้าหลงคิดว่าข้าเปิดโรงทานหรือไร
ฉู่ซินเถียนพลันไร้วาจาเอื้อนเอ่ย…ไม่นึกเลยว่าเว่ยหลันโจวจะขอสตรีมาปรนนิบัติจากสวีซั่นอย่างเปิดเผยเพียงนี้ ที่ผ่านมานางมองดูเขาในแง่ดีเกินไปจริงๆ ทั้งยังเห็นเขาเป็นสหายผู้หนึ่ง ถึงขั้นเตรียมอาหารมื้อดึกให้ทุกคืน วันนี้มองดูแล้ว เขาก็คงเป็นคนชั่วที่ทั้งหื่นกามและละโมบมา ทั้งยังสามารถฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตาตั้งแต่แรกแล้ว
ฉู่ซินเถียนที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อยว่าเสียงดนตรีหยุดลงไปแล้ว กระทั่งระบำก็ไม่เต้น ยิ่งไม่ทันสังเกตว่าตนเองได้กลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคน คนบางคนร้องเรียกนางอยู่หลายหน ทว่านางกลับไม่ได้ยินแต่อย่างใด
ฉับพลันจือจื่อก็กระตุกแขนเสื้อฉู่ซินเถียนหนหนึ่ง นางกะพริบตาปริบๆ มองดูใบหน้ากลมๆ ของเด็กชายที่พยักพเยิดศีรษะไปข้างหน้า นางเองก็หันตามไป ดวงตาจึงสบกับเว่ยหลันโจวที่ไม่รู้หันมาถลึงตาใส่นางตั้งแต่เมื่อใด
“สาวใช้อย่างเจ้าเหม่อลอยอะไรกัน เจ้าเป็นแม่ครัวอาหารว่างของข้า ยังไม่รีบไปทำงานอีก!”
ฉู่ซินเถียนกะพริบตาปริบๆ นางถูกเรียกชื่อแล้วอย่างนั้นหรือ ทว่าอาหารเต็มโต๊ะเหล่านี้ยังไม่เพียงพอให้เขากินหรือไร เขาไม่แม้แต่จะแตะต้องด้วยซ้ำ!
สวีซั่นเองก็กวาดตามองอาหารเลิศรสจานใหญ่อย่าง กุ้ยช่ายขาวผัดกุ้ง หมูสามชั้นพะโล้ ปลาสามรส ปลาไหลผัดน้ำแดง ขาหมู นกพิราบตุ๋นบ๊วยห้ารส ปลาไหลผัดน้ำแดง และเปาะเปี๊ยะทอดบนโต๊ะ สีหน้าของเขามีแต่ความไม่เข้าใจ แม้จะเคยได้ยินมานานแล้วว่าเว่ยหลันโจวใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยไร้ขีดจำกัด แต่อาหารทั้งโต๊ะนี้ที่เขาจัดเตรียมมาก็จัดเตรียมอย่างเต็มที่
สวีซั่นจำต้องลุกขึ้นยืนประสานมือถามอย่างช่วยไม่ได้ “กระหม่อมคาดว่าอาหารบนโต๊ะเหล่านี้คงไม่ถูกปากท่านอ๋องใช่หรือไม่” น่าจะพูดว่าไม่เข้าตามองเสียมากกว่า เพราะกระทั่งตะเกียบก็ไม่ได้ขยับเลยตั้งแต่แรก!
เว่ยหลันโจวโบกมือเป็นการบอกให้สวีซั่นนั่งลง “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกใต้เท้าสวี เป็นเพราะข้าได้รับความตกใจไม่น้อยถึงไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไรนัก ยิ่งข้าได้เห็นเนื้อพะโล้มันเลี่ยนจานนี้ก็คิดไปถึงเศษซากเนื้อที่กระจัดกระจายอยู่บนดาดฟ้าเรือ นอกจากนี้ เจ้าดูสิ น้ำของปลาสามรสกับปลาไหลผัดน้ำแดงสองจานนี้เป็นสีแดงสดเชียว ราวกับโลหิตที่ไหลรินจากศพอาบย้อมเป็นแอ่งใหญ่ๆ บนพื้นเรือพวกนั้น…โอ้ก!” กล่าวมาถึงตอนท้าย เว่ยหลันโจวถึงกับอาเจียนแห้งออกมาหนหนึ่ง พร้อมรีบร้อนโบกมือ “เอาออกไปๆ!”
สวีซั่นเองก็เคยเห็นภาพคาวโลหิตเหล่านั้นเช่นกัน เมื่อได้ยินกระเพาะของเขาเองก็เริ่มบิดมวนขึ้นมา จึงได้แต่สั่งให้บ่าวรับใช้รีบนำอาหารทั้งโต๊ะยกออกไปให้หมดด้วยใบหน้าซีดขาว
เพียงชั่วพริบตา นอกจากสุราบนโต๊ะก็ไม่เหลืออะไรอีกทั้งสิ้น
ช่างสิ้นเปลืองทรัพยากรเสียจริง ทั้งๆ ที่เป็นอาหารราคาแพงโต๊ะใหญ่ที่ทำให้ผู้คนน้ำลายสอได้แท้ๆ ทว่าเขากลับใช้เพียงไม่กี่ประโยคทำให้ผู้คนคิดเชื่อมโยงไปถึงภาพน่าสะอิดสะเอียนเหล่านั้นเสียได้ แม้แต่กระเพาะของนางก็เริ่มไม่สบายขึ้นมาแล้ว
ยามนี้เว่ยหลันโจวจึงมองไปที่ฉู่ซินเถียนอีกครั้ง นางถึงได้มีอาการตอบสนอง รีบค้อมกายลงเอ่ย “ไม่ทราบว่าห้องครัวอยู่ที่ใดเจ้าคะ”
สวีซั่นเรียกให้หัวหน้าพ่อบ้านเดินมาก่อนเอ่ยสั่งการ หลังจากนั้นนางก็เดินจากไปภายใต้การนำทางของหัวหน้าพ่อบ้าน
ถึงตอนนี้เว่ยหลันโจวก็ลุกขึ้นยืนตาม ก่อนจะเดินไปข้างหลังสวีซั่น “ข้าอยากจะอาบน้ำ แน่นอนว่าหากใต้เท้าสามารถหาโฉมงามจำนวนหนึ่งมาปรนนิบัติได้ อาการไม่ค่อยดีของข้าก็น่าจะดีขึ้นไม่น้อย” เขายิ้มพลางตบบ่าสวีซั่น แล้วเดินไปทางเรือนของตนเอง เด็กรับใช้ทั้งสามหลังคารวะให้สวีซั่นแล้วก็ติดตามผู้เป็นนายไปเช่นกัน
สวีซั่นเม้มปากแน่น มองดูแผ่นหลังที่จากไปของคนทั้งกลุ่มแล้ว สองมือของเขาก็กำเป็นหมัดอยู่ในแขนเสื้อ ฝูอ๋องผู้นี้เจ้าสำราญเสเพลเหมือนในคำเล่าลือจริงๆ แต่ขณะเดียวกันก็ดูไม่คล้ายเสียทีเดียว…เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ เขาเขียนเล่าอย่างละเอียดลงในจดหมายพร้อมกับส่งม้าเร็วกลับไปยังเมืองหลวงตั้งแต่แรกแล้ว ถึงตอนนั้นก็ได้แต่รอให้พระพันปีไม่ก็อัครเสนาบดีเนี่ยมีคำสั่งลงมาแล้ว
สวีซั่นสูดลมหายใจเข้าลึก “ใครก็ได้มานี่ ส่งคนไปหาเด็กสาวจากหอวั่นฮวามาจำนวนหนึ่งซิ”
“ขอรับ”
ฉู่ซินเถียนกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัว หลังเพิ่มหมูรมควันบดลงในหูฉลามแล้ว นางก็นวดแป้งเพื่อทำเป็นซาลาเปาไส้น้ำแกงหูฉลามใส่ลงไปในหม้อนึ่ง ทั้งยังนำผงแป้งกับไข่มานวดเป็นก้อนแป้งแล้วกดทับเป็นแผ่นบางๆ สาดเกลือกับเครื่องเทศลงไป ตัดแบ่งเป็นสามเหลี่ยม แล้วทอดในน้ำมันร้อนๆ เพียงครู่หนึ่งแผ่นแป้งไข่ทอดกรอบสีเหลืองทองก็ค่อยๆ เสร็จตามมาทีละแผ่น ผ่านไปอีกสักพักซาลาเปาไส้น้ำแกงก็นึ่งเสร็จ กลิ่นของมันหอมกระจายไปทั่ว
ภายในห้องครัวเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้กับพ่อครัวที่แอบมองดูการกระทำของฉู่ซินเถียน ซึ่งยามนี้นางกำลังนำอาหารทั้งสองอย่างวางลงบนถาดเคลือบเงาสี่เหลี่ยม พร้อมจัดวางชามตะเกียบและผ้าเช็ดมือ ก่อนจะยกออกไป ทุกคนมองไม่วางตา เกิดอาการน้ำลายสอกันถ้วนทั่ว
ทุกคนต่างรู้ว่าสตรีผู้นี้เป็นแม่ครัวทำของว่างของผู้สูงศักดิ์ที่อยู่เบื้องนอก อีกทั้งคนผู้นั้นก็กำลังรอกินอาหารอยู่ ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ต้นจนจบจึงไม่มีใครกล้าพูดคุยกับฉู่ซินเถียนสักประโยคเดียว ได้แต่มองนางส่งยิ้มน้อยๆ ให้พวกเขา ก่อนเดินหายไปจากสายตาพร้อมกับหัวหน้าพ่อบ้าน
ยามที่ทั้งสองคนกลับไปที่ศาลาก็ไม่พบทั้งผู้เป็นนายและแขกเหรื่อคนอื่นๆ แล้ว มีเพียงบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งบอกว่าฝูอ๋องกลับเรือนไปแล้ว หัวหน้าพ่อบ้านจึงเดินไปส่งฉู่ซินเถียนที่เรือนของฝูอ๋อง ก่อนขอตัวจากไป
ฉู่ซินเถียนต่อว่าเว่ยหลันโจวอยู่ในใจไปหนหนึ่ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าข้าอยู่ในห้องครัวแท้ๆ จะส่งคนมาบอกกันสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ ต้องให้นางเดินถือถาดวนรอบจวนแห่งนี้ไปรอบหนึ่งก่อนให้ได้ทำไม
ฉู่ซินเถียนเดินเข้าไปในห้องโถง เหลือบมองเห็นหนึ่งในองครักษ์ลับทั้งสี่ยืนอยู่ด้านข้าง เขากล่าวกับนางว่า “ท่านอ๋องอยู่ในห้อง เจ้ายกเข้าไปได้เลย”
คนผู้นี้ช่างอวดเบ่งเสียจริง! ไม่ได้ เขาเป็นนาย ข้าเป็นบ่าว จะโกรธไม่ได้
นางข่มกลั้นความหงุดหงิด ก่อนเดินตรงเข้าไปถึงห้องนอน เมื่อเข้ามาในห้องนอนอันงดงามหรูหราแล้ว นางก็ได้เห็นเหลียนจื่อกับเด็กรับใช้ที่เหลือยืนอยู่ตรงระเบียงหลังห้องนอน และด้านหลังระเบียงห้องก็คือสระน้ำแบบเปิดแห่งหนึ่ง
เด็กรับใช้ทั้งสามได้กลิ่นหอมของอาหารก่อนจะมองเห็นฉู่ซินเถียนเสียอีก เฮอจื่อโบกมือให้นาง ทว่าสายตากลับมองแต่อาหารบนถาดเคลือบเงาที่นางปิดฝาเอาไว้
รอจนนางเข้ามาใกล้ การเคลื่อนไหวเฮอจื่อกลับไวยิ่งกว่า สองมือซ้ายขวาหยิบฝาครอบทั้งสองอันขึ้นมา เมื่อเห็นซาลาเปาไส้น้ำแกงที่ผิวใสจนมองเห็นเนื้อใน กับแป้งไข่ทอดกรอบแต่ละแผ่นมีสีเหลืองทองสวยงามแล้ว ดวงตาก็สว่างไสวออกมาทันที
“ในสระมีแม่นางสามคนกำลังปรนนิบัติท่านอ๋องอยู่ เจ้าเอามาให้พวกเราก็พอแล้ว” เฮอจื่อวางแผนอย่างดี หากให้เขาเป็นคนยกเข้าไป ขอแค่ท่านอ๋องประทานอาหารให้สักชิ้นสองชิ้นก็ดีมากแล้ว เรื่องนี้แม้แต่เหลียนจื่อกับจือจื่อก็ยังอดผงกศีรษะไม่ได้
“ให้นางเอาเข้ามา” น้ำเสียงเกียจคร้านของเว่ยหลันโจวดังออกมาจากข้างในกะทันหัน
บ่าวรับใช้ทั้งสามได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ มองดูฉู่ซินเถียนยกอาหารเลิศรสเดินผ่านข้างกายพวกเขาไปตาปริบๆ
ภายในสระน้ำร้อน ถึงกับมีกลีบดอกกุหลาบสีแดงสดลอยล่องอยู่ด้วย!
เว่ยหลันโจวเปลือยท่อนบนอันแข็งแรงกำยำ เอนร่างพิงอยู่กับกำแพงสระด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย สองแขนของเขากางออก และยังมีโฉมงามเปี่ยมเสน่ห์ซึ่งสวมเพียงเสื้อบังทรงตัวเดียวอีกสามนาง โดยสองคนแช่อยู่ในสระ หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาช่วยนวดแขนให้เขา ส่วนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างหลังช่วยบีบนวดบ่าให้เขา
ภาพตรงหน้านี้ค่อนข้างจะ…
กระนั้นฉู่ซินเถียนที่เป็นคนยุคปัจจุบันกลับสามารถรักษาสีหน้าที่เป็นธรรมชาติได้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนางเรียนอยู่ต่างประเทศก็เคยถูกเพื่อนลากไปอาบแดดเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกันแล้ว ภาพตรงหน้านี้ยังนับว่าเด็กน้อย
ความนิ่งเฉยไม่ตกใจของฉู่ซินเถียนทำให้เว่ยหลันโจวรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ต่อมาเขาก็คิดว่าสตรีที่ไม่ตื่นตกใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จึงจะน่าเอ็นดู เขาจึงยิ้มกว้างมองนาง
นึกไม่ถึงว่าจะยังหว่านเสน่ห์ใส่ข้าอีก! ฉู่ซินเถียนย่อกายคารวะน้อยๆ มองดูรอบด้านแล้วก็เตรียมวางถาดเคลือบเงาในมือลงบนโต๊ะหินด้านข้าง
“เอามาให้ข้าตรงนี้” เว่ยหลันโจวกล่าวขึ้นอีกครั้ง
ฉู่ซินเถียนหยุดฝีเท้าพลางหันกายเดินกลับไปทางเขาอย่างยอมรับชะตากรรม เมื่อมาถึงข้างสระ นางก็นั่งยองๆ พร้อมกับยื่นถาดเคลือบเงาให้โฉมงามที่นั่งอยู่ข้างสระ ผู้ที่มีหน้าอกกระเพื่อมใหญ่โตยิ่งกว่านางเสียอีก
“ป้อนข้า” เว่ยหลันโจวกล่าวอีกครั้ง
โฉมงามอ้อนแอ้นที่นั่งอยู่ยิ้มแย้มแล้วยื่นมือออกมาจะหยิบถาดเคลือบเงาในมือของฉู่ซินเถียนไป
“เสี่ยวฉู่ฉู่ป้อน” เขาหันหน้ากลับมายิ้มกล่าว
โฉมงามผู้นั้นนิ่งอึ้ง โฉมงามอีกสองนางที่อยู่ในสระเองก็อึ้งไปพร้อมกัน พวกนางไม่มีใครชื่อนี้ แววตาสงสัยสามคู่ทยอยกันหันมามองโฉมงามนุ่มนิ่มที่ยังคงรักษาท่าทางนั่งยองๆ โดยสองมือประคองถาดเคลือบเงาอยู่
เมื่อถูกพวกนางมองมา ฉู่ซินเถียนเองก็อึ้งงันไปทันใด นางหันไปมองเว่ยหลันโจวโดยไม่รู้ตัว
ดวงตาดอกท้อคู่นั้นโค้งเป็นรอยยิ้ม “ฉู่ซินเถียน เจ้าโง่เกินเยียวยาแล้วจริงๆ ทุกคนต่างกำลังมองเจ้า เจ้ายังคิดว่าผู้ใดเป็น ‘เสี่ยวฉู่ฉู่’ อีกรึ”
“หม่อมฉัน?” ดวงตารูปเมล็ดซิ่งของฉู่ซินเถียนพลันเบิกกว้าง เจ้าอยากทำให้ผู้ใดคลื่นไส้ตายใช่หรือไม่ ข้าขนลุกไปทั้งตัวแล้ว
“เจ้านั่นแหละเสี่ยวฉู่ฉู่” เขาโบกมือให้กับโฉมงามทั้งสาม “พอได้แล้ว พวกเจ้าออกไปก่อนเถอะ”
ต่อให้โฉมงามทั้งสามไม่เต็มใจมากกว่านี้ก็ได้แต่ฉีกยิ้มลุกขึ้นยืน เตรียมเดินออกไปจากสระน้ำ
ฉู่ซินเถียนรีบยกถาดเคลือบเงาเดินมาข้างหน้า ขวางทางพวกนางเอาไว้ แล้วหันหน้าไปมองเว่ยหลันโจวอีกครั้ง “ท่านอ๋อง อย่าทำเช่นนี้สิเพคะ พวกนางต้องรู้จักปรนนิบัติท่านอ๋องมากกว่าหม่อมฉันอย่างแน่นอน ให้พวกนาง…” คำพูดกล่าวไปได้ครึ่งหนึ่ง ฉู่ซินเถียนก็ไม่กล้าพูดต่อแล้ว สีหน้าของเว่ยหลันโจวเปลี่ยนเป็นเย็นชาในชั่วพริบตา มิต่างจากแววตาที่นางเคยเห็นบนดาดฟ้าเรือ
เมื่อโฉมงามทั้งสามเห็นเช่นนั้นก็ไม่กล้าอยู่ต่อแม้แต่ชั่วขณะเดียว ต่างก็รีบร้อนถอยออกไปในทันที
เว่ยหลันโจวสั่งให้ฉู่ซินเถียนวางถาดเคลือบเงาในมือลงข้างสระอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นนางปฏิบัติตามอย่างระมัดระวัง ทั้งยังคุกเข่าลงด้านหลังเขาอย่างเจียมตัวยิ่ง เขาถึงได้เปิดปากกล่าวขึ้นมาช้าๆ “เจ้าอยากตายนักหรือ”
ฉู่ซินเถียนที่นั่งอย่างเรียบร้อยมีสีหน้าเปลี่ยนไปยิ่งยวด นางตอบออกมาโดยไม่ต้องคิด “แน่นอนว่าไม่เพคะ แต่ไม่ว่าผู้ใดป้อนก็เหมือนกันมิใช่หรือ พวกนางปรนนิบัติท่านอ๋องได้อย่างดียิ่ง ท่านอ๋องไม่มีความสุขเลยหรือ”
เว่ยหลันโจวเลิกคิ้วเข้มขึ้น “ความกล้าของเจ้ามีไม่น้อยจริงๆ วาจาก็กล้าพูดขึ้นมากนัก”
“หม่อมฉันไม่ได้มีเจตนาร้ายนี่เพคะ วาจาก็ไม่ใช่ไม่น่าฟังเสียหน่อย ท่านอ๋องจะกล่าวว่าวาจาของหม่อมฉันผิดไม่ได้” ไม่ใช่ว่าฉู่ซินเถียนขวัญกล้าเทียมฟ้า แต่นางรู้ว่าบางเรื่องหากพลาดโอกาสกล่าวออกไปแล้ว ความรับผิดชอบบางอย่างก็จะตกอยู่บนร่างตนเอง สลัดอย่างไรก็ไม่พ้น ยิ่งไปกว่านั้น จิตใต้สำนึกของฉู่ซินเถียนก็รู้สึกว่าเขาไม่มีวันทำร้ายนางแน่
เว่ยหลันโจวเอ่ยด้วยท่าทางครุ่นคิด “พวกนางคือพวกนาง เจ้าต่างหากถึงจะเป็นคนที่วันหน้าต้องคอยปรนนิบัติข้าบนเรือ”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็สามารถสลับเวรกันได้มิใช่หรือ ในเวลาที่มีพวกนาง หม่อมฉันก็พักผ่อน ตั้งใจศึกษาการทำอาหารว่างไม่ดีหรือเพคะ” ฉู่ซินเถียนพึมพำตอบ ทว่ายามที่เห็นคนบางคนเลิกคิ้วเข้มขึ้นอีกครั้ง นางก็อยากกัดปากตนเองยิ่งนัก นางจะกล่าวตรงไปอย่างสัตย์ซื่อเพียงทำไมกัน ชอบลืมอยู่เรื่อยว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้าหาใช่บุคคลนิรนามที่มาแย่งของกิน
เดิมยังคิดว่าเว่ยหลันโจวจะกรุ่นโกรธ นึกไม่ถึงว่าเขาจะหัวเราะออกมาแทนเสียได้
“ไม่รู้ว่ามีสตรีมากเพียงใดแย่งกันมาปรนนิบัติข้า พอข้ามอบโอกาสให้เจ้า เจ้ากลับไม่รู้จักไขว่คว้าเช่นนี้” ประโยคนี้ของเว่ยหลันโจวไม่ได้โกหกเลยสักนิด
“ไขว่คว้าอะไรกันเพคะ ในจวนของท่านอ๋องไม่ใช่มีสนมเกินร้อยแล้วหรือ” ฉู่ซินเถียนบ่นออกมา ก่อนขมวดคิ้วแล้วตบศีรษะตนเองเบาๆ ปากมากนัก หากข้าไม่กล่าวตอบจะตายหรือไร
เว่ยหลันโจวถูกการกระทำของฉู่ซินเถียนทำให้ขบขันแล้ว “เจ้าไม่เข้าใจ นับแต่โบราณมาวีรบุรุษค่อนข้างโดดเดี่ยว หากไม่มีสตรีโฉมงามอยู่ข้างกาย ชีวิตมนุษย์จะไปมีความรื่นเริงอันใดอีก พอเสียที ข้าหิวแล้ว”
ฉู่ซินเถียนปิดปากพลางผงกศีรษะ นางหยิบตะเกียบขึ้นมา ถือเสียว่าป้อนอาหารเด็กน้อยแล้วกัน คิดเช่นนี้แล้วหัวใจที่แกว่งไกวของนางก็สามารถสงบลงได้บ้าง นางคีบแป้งไข่ทอดกรอบชิ้นเล็กขึ้นมาชิ้นหนึ่ง “อ้าปาก อ้า…”
เขาเลิกคิ้วมองนาง “ประโยคต่อไปของเจ้าจะพูดว่า ‘เด็กดี’?”
นางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ฮ่าๆ แน่นอนว่าไม่ใช่เพคะ”
เว่ยหลันโจวอ้าปากกินลงไป ดวงตาเขาพลันสว่างไสว หลังเคี้ยวอย่างมีความสุขแล้ว ยามที่บอกให้นางคีบขึ้นมาอีกชิ้น เสียงท้องร้อง ‘โครกคราก’ ก็ดังขึ้น
ใบหน้าฉู่ซินเถียนแดงก่ำ นางคิดเพียงอยากหาหลุมแล้วกระโดดลงไป
สำหรับการขายขี้หน้าของฉู่ซินเถียนนี้ เว่ยหลันโจวถึงขั้นตบตักหัวเราะเสียงดัง กระทั่งหยดน้ำยังสาดกระเซ็นออกมาส่วนหนึ่ง “ฮ่าๆๆ…เสี่ยวฉู่ฉู่ ชีวิตของข้านับตั้งแต่มีเจ้าแล้วก็มีความสุขมากจริงๆ มาเถอะ มีให้ก็ย่อมมีรับ ข้าป้อนซาลาเปาไส้น้ำแกงให้เจ้ากินลูกหนึ่ง ถือเสียว่าให้รางวัลเจ้า” เขาหยิบตะเกียบในมือนางมาด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้วคีบซาลาเปาไส้น้ำแกงลูกหนึ่งขึ้นมารอที่ข้างริมฝีปากนาง
“หม่อมฉันก็มีมือเพคะ” ฉู่ซินเถียนโพล่งปากพูดออกมา
ดวงตาของเขาหรี่ลงทันควัน “เมื่อครู่ในใจเจ้าเอาแต่ตำหนิข้าว่าไม่มีมือ กินเองไม่ได้ใช่หรือไม่”
ฉู่ซินเถียนส่ายศีรษะอย่างร้อนรน “ไม่ใช่ เปล่านะเพคะ ไม่ใช่จริงๆ”
“ได้ เช่นนั้นก็อ้าปาก” ตะเกียบในมือเว่ยหลันโจวประชิดใกล้ริมฝีปากนางอีกครั้ง
ฉู่ซินเถียนได้แต่อ้าปากอย่างยอมรับชะตากรรม
เขายิ้มหวาน “อ้า…อ้าให้กว้างกว่านี้หน่อย” เขาเคลื่อนตะเกียบขึ้นไปเหนือริมฝีปากที่อ้าออกของนาง
นางสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วอ้ากว้างกว่าเดิมเล็กน้อย…
ทว่าเสี้ยวเวลาต่อมา เขาถึงกับหัวไหล่สั่นระริก โยนตะเกียบกับซาลาเปาไส้น้ำแกงกลับลงไปในจานกระเบื้องเคลือบ แล้วกุมท้องหัวเราะเสียงดังออกมาอีกครั้ง “ฮ่าๆๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสตรีอ้าปากกว้างเพียงนั้นต่อหน้าข้า แทบจะมองเห็นลำคออยู่แล้ว ฮ่าๆๆ ปวดท้องยิ่งนัก ข้าหัวเราะจนปวดไปหมดแล้ว”
ฉู่ซินเถียนใบหน้าดำทะมึน นางโกรธจนกัดฟันกรอด ทำเกินไปแล้วจริงๆ!
นางยกถาดแล้วลุกขึ้นยืนประดุจฟ้าผ่า พลางถลึงตาใส่เว่ยหลันโจวที่หัวเราะจนแทบนอนราบไปในสระแล้ว เหตุใดจึงไม่จมน้ำตายไปเสียเลยเล่า! ฉู่ซินเถียนกล่าวด้วยความโมโห “ในเมื่อเสี่ยวฉู่ฉู่ให้ความรื่นเริงแก่ท่านอ๋องแล้ว จึงบังอาจขออาหารถาดนี้เป็นรางวัลจากท่านอ๋องเสียเลยแล้วกัน ถึงอย่างไรท่านอ๋องก็หัวเราะจนปวดท้อง จะยังกินอาหารลงไปอีกได้อย่างไร”
กล่าวจบก็ไม่สนใจว่าเว่ยหลันโจวจะอนุญาตหรือไม่ ฉู่ซินเถียนหันตัวเตรียมจากไปทันที
แต่ไม่รู้ว่าจู่ๆ ขานางเกิดอ่อนแรง ลื่น หรือว่าด้านหลังมีแรงดึงบางอย่างเพิ่มขึ้นมากันแน่ ร่างกายของนางจึงเอนไปข้างหลังอย่างหาเหตุผลไม่ได้ ต่อมาเสียงตู้มก็ดังขึ้น ทั้งร่างพลันตกลงไปในสระกลีบดอกกุหลาบ ของทุกอย่างตั้งแต่ถาดเคลือบเงา ซาลาเปาไส้น้ำแกง ตะเกียบ แม้แต่ผ้าเช็ดมือต่างก็ลอยอยู่บนผิวน้ำ
“พรูด แค่ก…พรูด แค่กๆๆ” ฉู่ซินเถียนยังโชคร้ายสำลักน้ำอีก เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเว่ยหลันโจวยืนอยู่บนขอบสระแล้ว ทั้งยังเปลือยไปทั้งตัว!
ฉู่ซินเถียนรีบเช็ดน้ำบนใบหน้าออก ก่อนกะพริบตาอีกครั้ง สายตากลับมามองเห็นได้ชัดเจน แต่เขากลับหันหลังให้นางได้ชื่นชมกล้ามเนื้อหลัง ก้น และต้นขาอันไร้ที่ติประดุจรูปสลักเทพเจ้าอะพอลโลของเขา…
หัวใจฉู่ซินเถียนเต้นระรัวอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาไม่แม้แต่จะตัดใจกะพริบได้ลง
ติดตามต่อไปในเล่ม
Comments
comments
No tags for this post.