บทที่ 1
บ้านจิรภาคินทร์
ป่านนี้สุมหัวนินทาเราแล้วแน่ๆ
ปฏิภาณเลี้ยวรถเข้าสู่อาณาจักรของคฤหาสน์จิรภาคินทร์ซึ่งเป็นบ้านของเขานั่นเอง เพราะหลังจากทะเลาะกับอรรัมภา เขาก็ไม่มีอารมณ์จะไปปาร์ตี้ที่ไหนจึงตัดสินใจกลับบ้านแทบจะทันที
วันนี้…เป็นวันที่สมาชิกในครอบครัวเขาจะมารวมตัวกันที่นี่
ทายาททั้งห้าของตระกูลจิรภาคินทร์นั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘เสือ’ ในธุรกิจห้าสาขา นอกจากนี้พวกเขายังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงที่น่าจับตามองที่สุดด้วย
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือพวกเขาห้าคนยังเป็นพี่น้องกันอีกต่างหาก!
ปัจจุบันปฏิภาณเป็นเจ้าของบริษัทโฆษณาและผู้กำกับโฆษณาที่มี ‘ชื่อเสียง’ ในด้านการทำงานไม่แพ้ ‘ชื่อเสีย’ ในเรื่องความเจ้าชู้และเพลย์บอย ใครๆ ก็รู้กันว่าเขาเปลี่ยนนางแบบควงเสมอ แถมยังมีพริตตี้หรือนางแบบโนเนมที่ผ่านเข้ามาไม่ขาด แต่มันก็ช่วยไม่ได้…ในเมื่อเขามีพร้อมทั้งความสามารถ รูปร่าง และหน้าตาหล่อเหลาไม่แพ้ใคร มิหนำซ้ำเขายังมีพื้นฐานครอบครัวดีมาก
เป็นธรรมดาที่จะมีผู้หญิงเข้าหาไม่เว้นแต่ละวันจนทำให้เขาได้รับฉายา ‘คาสโนว่า’ แต่ระยะหลังๆ เขาก็ ‘ลด ละ เลิก’ เรื่องความเจ้าชู้ลงมามากแล้วเพราะคบกับอรรัมภาอย่างจริงจัง
นอกจากปฏิภาณแล้วเสือคนอื่นๆ ก็ได้แก่…
‘เพลิงพล’ หรือ ‘เพลิง’ อายุสามสิบสี่ปี เขาบริหารธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดของครอบครัวจิรภาคินทร์ นั่นคือโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศและมีศูนย์กลางบริหารอยู่ที่กรุงเทพฯ ซึ่งจัดว่าเป็นงานหนักมาก แต่ชายหนุ่มได้รับการเทรนงานจากผู้เป็นบิดามาตั้งแต่สมัยเริ่มเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เพลิงพลจึงสามารถขึ้นแท่นผู้บริหารได้ดีจนใครๆ ต่างออกปากชื่นชม
แน่นอนว่าด้วยทั้งความสามารถ รูปร่าง และหน้าตาจึงทำให้ชายหนุ่มเป็นอีกหนึ่งคนที่ใครๆ ก็ให้ความสนใจ ไม่เพียงเท่านั้น…ไรเคราอ่อนๆ บนใบหน้าหล่อเหลา บวกกับมาดนักธุรกิจหนุ่มหล่อที่ติดจะนิ่งและเหี้ยมโหดจนเหมือนพวกมาเฟียยิ่งทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ใครต่อใครจึงให้ฉายา ‘มาเฟียทางธุรกิจ’ แก่เขา
เพลิงพลได้แต่งงานกับ ‘การะบุหนิง’ หญิงสาวที่เคยมีอดีตร่วมกันเมื่อหลายปีก่อนและมีทายาทตัวน้อยวัยสามขวบอย่าง ‘ดาหลัน’ จนเรียกได้ว่าเป็นการดับฝันของผู้หญิงหลายคน
‘ปฏิรัฐ’ หรือ ‘พรีม’ อายุสามสิบสามปี เป็นเจ้าของบริษัทรับออกแบบและตกแต่งภายในที่กำลังมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก…เขาเป็นคนที่มีรูปร่างสมบูรณ์แบบราวกับรูปปั้นกรีก และด้วยความที่เป็นคนสุภาพ พูดน้อย และดูสุขุมนุ่มลึก ชายหนุ่มจึงเป็นเหมือน ‘คุณชาย’ ในฝันของผู้หญิงก็ว่าได้
ทว่าปฏิรัฐเองก็แต่งงานกับ ‘คณานางค์’ จนไม่ต่างอะไรกับการดับฝันของสาวๆ เช่นกัน
‘ปฏิพรรธณ์’ หรือ ‘พรรธณ์’ คนรักของอดีตดาราสาวชื่อดังอย่าง ‘ขวัญชีวา’ เป็นหนุ่มหล่ออายุสามสิบสองปีที่มีภาพลักษณ์ดีกว่าใคร เขาดูเอาใจใส่คนรอบข้าง ถนอมน้ำใจผู้อื่น อาจพูดน้อยจนดูเข้าถึงยาก แต่ความจริงแล้วเขาเพียงแต่มีโลกส่วนตัวสูง ซ่อนความร้ายกาจไว้แนบเนียน ชอบคิดและชอบทำมากกว่าพูดเท่านั้นเอง ด้วยความเพียบพร้อมเช่นนี้เขาจึงเป็นเสมือน ‘เทพบุตร’ ของสาวๆ เลยก็ว่าได้
ส่วนใหญ่ปฏิพรรธณ์จะอยู่ใน ‘ไร่ระเบียงรัก’ ณ จังหวัดนครราชสีมา และกลับมาค้างที่บ้านในกรุงเทพฯ แค่วันเสาร์กับวันอาทิตย์…ปัจจุบันไร่ระเบียงรักมีพื้นที่มากกว่าพันไร่ ถูกปรับให้เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัด เป็นรีสอร์ต และยังเป็นผู้ส่งออกผลผลิตรายใหญ่แห่งหนึ่ง
แน่นอนว่าผู้บริหารก็คือปฏิพรรธณ์นั่นเอง
ส่วน ‘พิชญะ’ หรือ ‘พิชญ์’ หนุ่มเซอร์นิดๆ โหดหน่อยๆ เป็นน้องชายคนรองสุดท้าย อายุสามสิบเอ็ดปี…เจ้าของบริษัทเครื่องดื่มที่กำลังมีชื่อเสียงและกินพื้นที่ส่วนแบ่งการตลาดไปเกินครึ่ง โดยเฉพาะเครื่องดื่มประเภทไวน์ที่ผลิตในประเทศไทย รวมทั้งเครื่องดื่มจากองุ่น ตอนนี้ยังไม่มีบริษัทใดมีชื่อเสียงเทียบกับบริษัทเขาได้ นอกจากนี้เขายังไม่เคยปรานีกับคนที่ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์หรืออยู่ฝ่ายตรงข้ามเขา
จนหลายคนคิดว่าเขานั้นเป็นเหมือน ‘ซาตาน’ ไม่มีผิด
นอกจากนี้องุ่นซึ่งถูกส่งเข้าโรงบ่มไวน์ของพิชญะก็ยังเป็นผลผลิตจากไร่ระเบียงรักด้วย เขากับปฏิพรรธณ์จึงสนิทสนมและต้องทำธุรกิจใกล้ชิดกันมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ
อย่างไรก็ตามไวน์เมกเกอร์หนุ่มในดวงใจของสาวๆ คนนี้ก็ได้ดับฝันของสาวๆ ตามพี่ชายทั้งหลายไปติดๆ เพราะเมื่อไม่นานมานี้เขาเพิ่งตัดสินใจสละโสดแล้วปักหลักอยู่ที่ไร่ระเบียงรัก เนื่องจากถูกนักวาดรูปสาวสุดเปรี้ยวอย่าง ‘ปลายเทียน’ ปล้นหัวใจไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เพราะได้สติอีกทีก็หลงรักเธออย่างหัวปักหัวปำเสียแล้ว
และตอนนี้บรรดาพี่น้องคนอื่นๆ ก็กำลังออกอาการ ‘เหม็นความรัก’ อย่างที่สุดด้วย แน่ล่ะ! ในเมื่อพิชญะน่ะขยัน ‘อวดเมีย’ กับพี่ๆ น้องๆ ทุกครั้งที่มีโอกาสเลย
พวกเขาทั้งห้าคนไม่เคยมีปัญหาในเรื่องการแบ่งผลประโยชน์ใดๆ แต่ละคนต่างไว้เนื้อเชื่อใจเพราะถูก ‘ประวันวิทย์’ ผู้เป็นบิดา ‘พัชรินทร์’ ผู้เป็นมารดา รวมทั้ง ‘กัลยา’ ผู้เป็นย่า…อบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็กว่าให้รักและสามัคคีกัน พวกเขาภูมิใจในครอบครัวเป็นอย่างมาก และใครต่อใครต่างพูดกันว่าพวกเขามีกำแพงความรักอันแน่นหนาจน ‘ศัตรูทางธุรกิจ’ ไม่อาจรุกเข้ามาระรานหรือต่อกรได้เลย
ที่สำคัญพวกเขายังมีธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว นั่นคือสมาชิกในบ้านจิรภาคินทร์จะต้องมาทานอาหารร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาในทุกเย็นวันศุกร์ด้วย
แม้ว่าลูกชายทั้งห้าคนของบ้านนี้จะทำงานกันตัวเป็นเกลียวและหาเวลาว่างตรงกันแทบไม่ได้ แต่ในทุกวันศุกร์จะถือเป็นวันแห่ง ‘ครอบครัว’ ดังนั้น…ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องมา
ไม่อย่างนั้นคนที่ขาดหายไปคงถูกพี่น้องคนอื่นๆ ร่วมใจกัน ‘เผา’ บนโต๊ะอาหารให้ผู้เป็นบิดา มารดา และคุณย่าอันเป็นที่รักฟังจนถึงขั้นจามไม่หยุดเป็นแน่ และอีกอย่างพวกเขาทั้งห้าคนก็ไม่อยากให้พวกท่านทั้งสามคนรู้สึกว่าลูกๆ หลานๆ ไม่ให้ความสนใจหรือให้ความสำคัญกับงานจนลืมครอบครัว
สายตาคนภายนอกจะมองตระกูลซึ่งยึดพื้นที่ส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจต่างๆ อย่างตระกูลจิรภาคินทร์อย่างไรนั้นพวกเขาไม่สนใจ พวกเขาสนแค่ว่าครอบครัวของพวกเขาเป็นครอบครัวที่อบอุ่นเสมอ
ทั้งประวันวิทย์ พัชรินทร์ และกัลยาเองต่างก็ภาคภูมิใจในตัวพวกเขามาก แม้ว่าบางคนอาจจะเกเร เพลย์บอย หรือมีข้อเสียไปบ้าง แต่พวกเขาก็รักครอบครัวและตั้งใจทำงานจนกิจการโรงแรมที่ท่านสร้างมากับมือยังคงยืนหยัดได้อย่างมั่นคง แถมยังนำเงินจากธุรกิจหลักของครอบครัวไปดำเนินกิจการในธุรกิจด้านอื่นๆ จนประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามอีกด้วย
วันครอบครัวทั้งทีก็ขอใช้สิทธิ์น้องเล็กงอแงกับพี่ชายหน่อยเถอะ
ปฏิภาณคิดว่าบางทีการได้กลับบ้านมาเจอพี่ๆ อาจทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นบ้างก็ได้
“นั่นไง! ไอ้ตัวดีมันเดินหน้างอมาโน่นแล้ว”
เพลิงพลทักเมื่อหันมาเจอปฏิภาณกำลังเดินเข้ามาในห้องอาหาร ประโยคนั้นทำให้ทุกคนมองเขาเป็นตาเดียวและต่างแปลกใจที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึง ชายหนุ่มจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ว่างอยู่แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เวลาอยู่กับครอบครัวเขาจะทำตัวเป็นเด็กลงอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์
ถึงพี่ชายปากหมาทั้งหลายจะกัดเจ็บไปบ้าง แต่ก็ยังให้เขาได้ใช้สิทธิ์ความเป็นน้องเล็กเสมอ
“ไปมีเรื่องอะไรกับใครมาหรือเปล่า ทำไมหน้างอขนาดนี้ ฮึ?” กัลยาถามหลานชายคนเล็กด้วยความรักและเอ็นดูก่อนจะพยักหน้าบอกให้แม่บ้านตักข้าวให้ปฏิภาณไปด้วย “ตอนแรกย่านึกว่าเราจะกลับมาไม่ทันทานข้าวด้วยกันแล้วนะ พี่ๆ เขาเริ่มตั้งวงนินทาเราแล้ว”
“ว่าและ! ผมจามตั้งแต่ขับรถกลับมา ใครเริ่มก่อน พูด!”
ชายหนุ่มหันไปจ้องหน้าพี่ชายทีละคน พอหนุ่มๆ เริ่มเลิ่กลั่กหนีความผิดทุกคนบนโต๊ะอาหารก็หัวเราะครื้นเครง ไม่เว้นแม้แต่ลูกสะใภ้ทั้งสี่และหลานตัวน้อยอย่าง ‘ดาหลัน’ กับ ‘คณานับ’ ที่มองเขาตาใสแป๋ว
แม้คณานับจะเป็นลูกติดของคณานางค์ แต่สมาชิกทุกคนในบ้านจิรภาคินทร์ก็รักและเอ็นดูเด็กชายไม่ต่างจากหลานแท้ๆ เลยแม้แต่น้อย
“จะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่พี่ชายใหญ่สุดที่รักของแก” พิชญะโบ้ยความผิดไปให้เพลิงพลทันที
“ไม่ต้องเลยๆ แกนั่นแหละชวนเม้าท์ก่อนใคร” เพลิงพลจ้องหน้าน้องชายคนรองสุดท้อง
“หยุดเถียงกันเป็นเด็กๆ เลยนะ ไม่อายหลานบ้างหรือไง ฮึ?”
พัชรินทร์ปรามลูกชายทั้งห้าคนที่กำลังตั้งวงกัดกันราวกับเด็กประถมต่อให้อายุจะขึ้นเลขสามกันทุกคนแล้ว ทว่าใบหน้าท่านกลับเปื้อนรอยยิ้มเพราะรู้ว่าถึงจะกัดกันแต่ลูกๆ ก็รักกันดี
“แล้วสรุปว่าจะบอกพวกเราได้หรือยังว่าพีคไปมีเรื่องกับใครมาถึงได้เดินหน้าบูดอย่างนี้” ท่านพูดต่อ
“ถ้าให้ผมเดา…ผมว่าทะเลาะกับแฟนมาแน่ๆ” ปฏิรัฐวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล น้ำเสียงนุ่มหู และสีหน้าจริงจังเล็กน้อยทำให้เจ้าของเรื่องไม่กล้าด่าเมื่อเขาเดาถูกต้อง
“เห็นด้วย” ปฏิพรรธณ์เห็นสีหน้าของปฏิภาณก็รีบออกความเห็นราวกับจะไล่ต้อนให้น้องชายจนมุมแล้วรีบเล่าเรื่องให้ทุกคนฟัง “เงียบแบบนี้แสดงว่าชัวร์เลย”
“ทำไมช่วงหลังๆ ถึงได้ทะเลาะกันบ่อยนักล่ะตาพีค”
ประวันวิทย์ถามอย่างเป็นห่วง ท่านรู้ว่าเมื่อก่อนปฏิภาณเปลี่ยนคู่ควงบ่อยๆ แต่กับอรรัมภานั้นแตกต่างออกไป เพราะลูกชายท่านคิดจะจริงจังและลงหลักปักฐานด้วย
“หรือว่าจะเป็นเพราะข่าวซุบซิบเกี่ยวกับหนูภาและไฮโซคนนั้น”
“นี่พ่อเห็นข่าวด้วยเหรอครับ”
“พ่อเราน่ะหูไวตาไวอย่างกับอะไร อย่าลืมว่าพ่อเราเป็นนักธุรกิจมือทองมาก่อนจะไม่เช็กข่าวได้ยังไง” กัลยาว่า “ทะเลาะกันเรื่องข่าวจริงเหรอ ตาพีคก็คลุกคลีกับพวกดารามาเยอะ น่าจะรู้ดีนะว่าบางทีนักข่าวก็เขียนข่าวใส่สีตีไข่ไปอย่างนั้นเอง คนอย่างหนูภาไม่น่าจะทำตัวแบบนั้นหรอก”
“ไม่ใช่เรื่องข่าวหรอกครับคุณย่า แค่ข่าวซุบซิบผมไม่คิดอะไรอยู่แล้ว”
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ ทีแรกก็คบกันดีๆ อยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ช่วงแรกมันก็ดีหมดแหละครับคุณย่า” พอนั่งฟังอยู่นานพิชญะก็แสดงความคิดเห็นอย่างรู้นิสัยน้องชายตัวดี “แต่ช่วงหลังๆ สงสัยมันออกลายเจ้าชู้อีก ภาเขาก็เลยโกรธเอา”
“ผมไม่ใช่พี่นะ จะได้เจ้าชู้ไม่เลิก!” ปฏิภาณตอกหน้าพี่ชายกลับไปบ้าง
“ฉันไม่เจ้าชู้แล้วโว้ย” พิชญะรีบออกตัวก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้กับภรรยาที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างประจบเอาใจ “ฉันรักเมียคนเดียว อย่ามาทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกนะไอ้พีค”
“แล้วสรุปมันเรื่องอะไรล่ะ” ประวันวิทย์วกเข้าเรื่อง
“เรื่องเดิมๆ แหละครับ ภางอแงว่าผมไม่มีเวลาให้ แล้วก็พูดถึงเรื่องแต่งงาน”
ปฏิภาณยอมเล่าความจริงให้ทุกคนฟังอย่างปรึกษาเพราะรู้ว่าไม่มีใครเอาเรื่องไปนินทาให้คนนอกบ้านฟังแน่นอน ที่สำคัญถึงแม้บรรดาพี่ๆ จะพูดจาจิกกัดเขา แต่ก็ห่วงใยเขาเช่นกัน
“แต่งงาน!” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกันด้วยความแปลกใจ
“ครับ ภาอยากให้ผมเข้าไปคุยเรื่องแต่งงานกับคุณพ่อเธอ แต่ผมยังไม่พร้อม” ปฏิภาณเล่าต่อ “ผมรู้สึกว่ามันเร็วเกินไป อาทิตย์หน้าผมก็เพิ่งจะอายุสามสิบ จะให้รีบแต่งงานไปไหน”
“แต่จริงๆ พีคเริ่มคิดเรื่องแต่งงานก็ดีนะลูก พี่ๆ เราเขาก็แต่งงานกันหมดแล้ว”
กัลยาอยากให้หลานเป็นฝั่งเป็นฝาอยู่แล้วก็เริ่มเห็นดีเห็นงามกับอรรัมภา ที่จริงฝ่ายหญิงออกปากอยากแต่งงานก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เวลาไปเจรจาสู่ขอก็จะเจรจาได้ง่ายขึ้น
“อีกไม่กี่วันเราก็จะอายุสามสิบปีแล้วนะ” ท่านพูดต่อ
“โห! ก็แค่สามสิบปีเองครับคุณย่า” ชายหนุ่มโอดครวญเมื่อคุณย่าไม่เข้าข้าง “เดี๋ยวนี้ผู้ชายแต่งงานตอนอายุสี่สิบยังได้เลย ดูแลตัวเองดีๆ หน่อยก็ยังหล่อเฟี้ยวอยู่นะครับ”
“แล้วผู้หญิงที่ไหนเขาจะรอนาย” ปฏิพรรธณ์ย้อนถามแทนทุกคน
“เออ! แต่งเหอะ แล้วแกจะรู้ว่าชีวิตหลังแต่งงานมันวิเศษขนาดไหน”
เพลิงพลไม่อยากวุ่นวายกับเรื่องส่วนตัวของน้องชาย แต่ก็ไม่อยากเห็นอีกฝ่ายเอ้อระเหยลอยชาย อรรัมภาเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกัน คบหากันมาประมาณสองปีแล้ว หากลงเอยกันได้ก็คงจะดี
“ค่ะ!”
ปฏิภาณรับคำอย่างประชดประชันเมื่อแอบเห็นพี่ชายส่งสายตาให้ภรรยาอย่างรักใคร่ย้ำประโยคที่ว่า ‘ชีวิตหลังแต่งงานมันวิเศษขนาดไหน’ เพลิงพลไม่เหลือภาพลักษณ์มาเฟียเลยเมื่ออยู่กับเมีย
“ไอ้พี่เพลิงพูดก็ถูกนะ เมื่อก่อนฉันก็เป็นเหมือนแกที่ไม่อยากแต่งงาน แต่ตอนนี้แต่งแล้วก็รู้เลยว่าชีวิตหลังแต่งงานนี่มันเกินบรรยายจริงๆ…ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว” พิชญะว่า
“ชีวิตดีๆ ที่เมียปล่อยให้พี่อารมณ์ค้างในคืนเข้าหอทั้งคืนอ่านะ” ปฏิภาณแซวอย่างอดปากไม่ไหว เพราะทุกคนในครอบครัวรับรู้เรื่องนี้จนเอามากัดพิชญะได้อย่างเจ็บแสบที่สุด
ปลายเทียนเห็นใบหน้าสามีแดงก่ำด้วยความโกรธก็หัวเราะคิกคักอย่างถูกใจ
“ไอ้พีค! นั่นมันเพราะไอ้พี่เพลิงมันเลว มันวางแผนแกล้งฉันโว้ย”
พิชญะชี้หน้าเพลิงพลและพยายามอธิบายว่าเสือผู้หญิงอย่างเขาไม่ได้ถูกภรรยาลูบคมเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ก็เห็นกันอยู่ว่าหลังแต่งงานเขาได้แปลงร่างจากเสือกลายเป็นแมวเชื่องๆ ของเธอแล้ว
“แต่คุณเทียนก็เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะต้องการสั่งสอนคนเจ้าชู้อย่างแกไม่ใช่เหรอ” เพลิงพลพยักหน้ากับปลายเทียนอย่างมีพรรคพวก เรื่องนี้จะโทษเขาคนเดียวไม่ได้จริงๆ
“ไม่ต้องไปโทษเมียผมเลยนะ เมียผมเป็นคนดี สวย น่ารัก และ…”
“พอเลย! เลิกอวดเมียเดี๋ยวนี้!”
พี่น้องทั้งสี่คนพูดพร้อมกันเมื่อพิชญะอวดเมียอาการหนักขึ้นทุกวัน นี่ขนาดอยู่ต่อหน้าทุกคนบนโต๊ะอาหารก็ยังไม่เว้นเลยสักนิด มันน่าหมั่นไส้เสียจริงๆ พวกคนเห่อเมีย
“นายพีคคงกลัวว่าถ้าแต่งงานแล้วจะไปเจ้าชู้ที่ไหนไม่ได้อีก” ปฏิรัฐวกเข้าประเด็นสำคัญหลังจากที่พวกเขากัดกันจนเหนื่อยแล้ว “นี่นายยังไม่เบื่ออีกเหรอ”
“มันก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ที่จริงตั้งแต่คบกับภา ผมก็ไม่ได้เจ้าชู้แล้วนะ”
น้ำเสียงของปฏิภาณจริงจังขึ้น เขาพยายามทบทวนความรู้สึกที่มีต่ออรรัมภา แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าอยากจะแต่งงานกับเธอ ยิ่งพอถูกเธอกดดันและครอบครัวทั้งสองฝ่ายวาดหวังว่าเขาจะลงเอยกับเธอในเร็ววันนี้…ลึกๆ ในใจเขายิ่งต่อต้านจนเขาเองก็รู้สึกผิดกับเธอและไม่ชอบที่ตนเองรู้สึกเช่นนี้
ทว่า…เขาปฏิเสธความจริงนี้ไม่ได้เลย
“แล้วทำไมถึงยังไม่อยากแต่งงาน พีคก็คบกับภามาเกือบสองปีแล้วไม่ใช่เหรอ” กัลยาถามอย่างจริงจัง ไม่ใช่ว่าอยากกดดันหลาน แต่ท่านอยากรู้เหตุผลที่แท้จริง
“ผมรู้นะครับว่าตอนนี้ผมมีพร้อมทุกอย่างแล้ว แต่…ใจผมมันยังไม่อยากแต่งงาน”
คราวนี้ทุกคนบนโต๊ะอาหารมองหน้ากันและนึกเป็นห่วงคนที่ไม่อยากแต่งงานจนบอกไม่ถูก เพราะรับรู้มาว่าในอดีตปฏิภาณเคยผิดหวังเรื่องความรักจนอาจทำให้เขาไม่เชื่อในความรักสักเท่าไหร่
หรือไม่…ก็อาจเป็นเพราะเขาไม่ได้รักอรรัมภามากจนถึงขั้นอยากใช้ชีวิตร่วมกัน
บริษัท ‘Talent Film’ ภายใต้การบริหารของปฏิภาณเป็นบริษัทโฆษณาขนาดกลาง แต่มีชื่อเสียงและมีผลงานออกมาสู่สายตาประชาชนไม่เคยขาด โดยเฉพาะโฆษณาเกี่ยวกับความงามของผู้หญิงถือเป็นผลงานสร้างชื่อเลยทีเดียว ที่นี่อ่านจุดขายและสื่อสารออกมาได้กินขาดจนทำให้ประเทศใกล้เคียงอย่างมาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ หรือแม้กระทั่งเกาหลีใต้ยังเคยว่าจ้างให้บริษัทนี้ผลิตโฆษณาให้
บริษัท Talent Film ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ แต่ตัวบริษัทกลับเป็นบ้านเรือนไทยหลังใหญ่สองชั้นและขนาบข้างด้วยหลังเล็กอีกหนึ่งหลังซึ่งเรือนเล็กนี้เป็นเรือนไม้ชั้นเดียว ไม่มีใต้ถุน
ขณะที่เรือนหลังใหญ่นั้นชั้นบนถูกใช้ทำเป็นห้องตัดต่อ ห้องประชุมต่างๆ ห้องทำงานของแต่ละฝ่าย ส่วนด้านล่างที่เคยเป็นใต้ถุนโล่งมีการตกแต่งบางส่วนเป็นห้องรับแขก ห้องครัว และห้องของฝ่ายแคสติ้งได้อย่างลงตัว บริเวณโดยรอบตกแต่งตัวด้วยไม้ดอก ไม้ประดับ และต้นไม้น้อยใหญ่อย่างสวยงามร่มรื่น
ที่นี่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและน่าอยู่เหมือน ‘บ้าน’ ที่ทำงานกันแบบคนในครอบครัว ทั้งๆ ที่งานในบริษัทโฆษณาและธุรกิจด้านนี้มีการแข่งขันสูงจนอาจต้องทำงานอย่างเคร่งเครียด
ด้วยความที่บริษัท Talent Film ไม่ได้อยู่ในใจกลางเมือง จึงมีพื้นที่กว้างขวางพอสมควร ภายนอกเป็นหมู่เรือนไทย แต่ภายในมีการตกแต่งแบบผสมผสานให้เข้ากับยุคสมัย และยังมีเครื่องอำนวยความสะดวกสำหรับสายงานอย่างครบครันทำให้ที่นี่มีความเป็นไทยและนำสมัยในเวลาเดียวกัน
แม้บริษัทของปฏิภาณจะไม่ใช่บริษัทใหญ่ แต่ก็มีเป้าหมายคือมุ่งเน้นการทำงานที่เปี่ยมคุณภาพ พนักงานทำงานกันแบบครอบครัว และมีการพูดคุยกันในภาพรวมก่อนที่จะให้แต่ละฝ่ายรับผิดชอบหรือดำเนินการตามหน้าที่ของตนโดยมีเขาเป็นคนดูแลทั้งหมดอีกที
เย็นวันนี้เพิ่งปิดกล้องโฆษณาตัวล่าสุดซึ่งเป็นครีมบำรุงผิวแบรนด์ระดับโลกที่จะใช้ออนแอร์ในประเทศสิงคโปร์ ‘รุ่งรัตน์’ เลขาฯ ของปฏิภาณเห็นว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันคล้ายวันครบรอบวันเกิดของชายหนุ่มจึงเสนอกับเขาว่าให้ฉลองปิดกล้องงานใหญ่รวบกับวันคล้ายวันเกิดควบคู่กันไปเลย เจ้าของวันเกิดเห็นว่าพนักงานไม่ได้ปาร์ตี้ร่วมกันนานแล้ว และเขาอยากให้ทุกคนได้ผ่อนคลายจึงตอบตกลงตามนั้น
พนักงานทุกคนมารวมตัวกันที่บริษัท คืนนี้อากาศดีมาก อีกทั้งยังมีลมพัดผ่านสบายๆ ยิ่งในบริเวณรอบๆ บริษัท Talent Film ปลูกต้นไม้อย่างร่มรื่น ยิ่งทำให้ลมเย็นๆ นั้นไม่มีไอร้อนปะปนมาเลย ปฏิภาณจึงชวนพนักงานออกมาปาร์ตี้กันตรงชานบ้านเรือนไทยเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“สาวเสิร์ฟน่ารักจังเลยครับ”
‘กนกพล’ ครีเอทีฟวัยยี่สิบเจ็ดปีส่งเสียงแซว ‘เหมือนไหม’ รุ่นน้องขวัญใจหนุ่มๆ ในบริษัทอย่างปากกล้าเมื่อเหล้าได้เข้าปาก แต่คนถูกแซวไม่ได้ตอบอะไรนอกจากยิ้มให้เพราะรู้ว่าเขาแค่แซวสนุกๆ ไม่ได้คิดจีบเธอจริงจัง และทั้งสองคนเคยร่วมงานกันมาตั้งแต่เธอฝึกงานที่นี่แล้ว
หญิงสาวทำงานเป็นเออี* ที่นี่มาประมาณสามปีหลังจากเรียนจบ เธอเป็นรุ่นน้องในคณะของปฏิภาณ แถมยังเป็นสายรหัสเดียวกันอีกต่างหาก ที่สำคัญกว่านั้นคือเธอเป็นเด็กดีมาก นิสัยน่ารัก เข้ากับคนอื่นได้ง่าย ชื่นชมปฏิภาณราวกับเขาเป็นฮีโร่ และรักบริษัท Talent Film มากจนเป็นที่รู้กัน
เหมือนไหมจัดได้ว่าเป็นสาวที่มีเสน่ห์น่ามองคนหนึ่ง แถมยังมีทักษะในการทำงานอยู่ในเกณฑ์ดีมากทีเดียว แม้ช่วงแรกเป็นมือใหม่ทำให้ทำงานติดขัดไปบ้าง แต่ถ้าเทียบพัฒนาการในด้านการทำงานกับชั่วโมงบินแล้วถือว่าเธอพัฒนาได้เร็วมากจนใช้เวลาไม่นานก็สามารถทำงานได้โดยไม่มีพี่เลี้ยง
ยิ่งเจอหน้าใสๆ ดวงตากลมโตคู่สวย และรอยยิ้มหวานๆ ของสาวน้อยคนนี้แล้วยิ่งไม่มีลูกค้าคนไหนใจแข็งกับเธอได้นานราวกับว่าเธอมีสาลิกาลิ้นทอง ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าผู้หญิงหรือผู้ชาย ทุกคนรู้ดีว่ามีปัญหาเมื่อไหร่ให้ส่งเหมือนไหมไปเคลียร์แล้วทุกอย่างจะราบรื่น!
“แซวใครให้มันรู้บ้าง ไม่เห็นเหรอคุณพีคนั่งตาเขียวอยู่โน่น”
‘แต้ว’ สาวปากร้ายซึ่งเป็นรุ่นพี่ของเหมือนไหมปรามหนุ่มๆ ไม่ให้ลามปามจนเกินไป เธอเป็นหัวหน้าฝ่ายแคสติ้ง แม้จะมีผู้ช่วยอยู่หนึ่งคน แต่บางครั้งงานก็หนักจนเกินรับมือเพราะเป็นฝ่ายที่ต้องจัดหานักแสดงทั้งในวงการ จากโมเดลลิ่ง หรือคนนอกวงการมาให้ลูกค้ากับฝ่ายผู้กำกับเลือก เวลาออกกองถ่ายก็ต้องคอยดูแลนักแสดงทุกคนทำให้หลายครั้งเหมือนไหมต้องไปช่วยงานเธอ
นานวันเข้าทั้งสองคนก็สนิทสนมกันไปโดยปริยาย…
“โห! ผมก็แค่แซวขำๆ เองเจ้”
กนกพลโอดครวญเมื่อหันไปอีกฟากหนึ่งแล้วเห็นว่าปฏิภาณกำลังมองเขาตาเขียวอยู่จริงๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าถ้าเขายังใจกล้าแซวน้องในสายรหัสของปฏิภาณอีกประโยคเดียว เขาจะต้องถูกด่าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะใครๆ ก็รู้กันทั้งบริษัทว่าปฏิภาณ ‘ห่วง’ เหมือนไหมมากแค่ไหน ใครมีทีท่าว่าจะจีบเธอ แซวเธอ หรือทำหมาหยอกไก่กับเธอล่ะก็…เป็นจะต้องถูกเตือนหรือไม่ก็ถูกด่าเสียทุกรายไป
ตอนนี้แทบไม่มีหนุ่มๆ ในบริษัทกล้าจีบเหมือนไหม บางคนถึงกับแซวว่าหากเหมือนไหมจะมีแฟนคงต้องเป็นคนที่ปฏิภาณไม่รู้จัก ไม่อย่างนั้นเขาคง ‘สแกนละเอียด’ จนคนที่มาจีบต้องเผ่นหนี
“ถ้าไม่อยากโดนคุณพีคด่าก็เปลี่ยนจากแซวน้องไหมมาแซวเจ้แต้วแทนสิ” ‘สายสุดา’ ผู้ช่วยของแต้วออกปาก “แต่แซวเจ้แต้วอาจไม่ถูกคุณพีคด่า แต่จะถูกเจ้แต้วด่าแทน”
ทุกคนต่างหัวเราะเมื่อเห็นกนกพลหน้าเจื่อน…เหมือนไหมท่าทางไม่มีพิษมีภัยและน่ารักน่ารังแกก็จริง แต่ไม่มีใครกล้าแตะเธอเพราะองครักษ์ล้วนแล้วแต่น่ากลัวและเบอร์ใหญ่ทั้งสิ้น
แค่ปฏิภาณก็ว่าหนักแล้วนี่ยังมีสาวฝีปากกล้าอย่างแต้วอีกคน!
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 22 มีนาคม)
Comments
comments