บทนำ
หวงความโสด
เพียงจุมพิตเดียวของเขา
แผดเผาทำลายทุกอย่างในชีวิตเธอ…
ภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง ‘ปฏิภาณ จิรภาคินทร์’ ก้าวเข้าไปด้วยความรีบร้อนก่อนจะกวาดสายตามองหาสาวสวยที่นัดเขาเอาไว้อย่าง ‘อรรัมภา’ เพราะเขามาสายไปเกือบครึ่งชั่วโมง แม้ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มจะส่งข้อความบอกเธอแล้วว่าจะมาช้า แต่เขาก็ยังไม่วายเป็นห่วงความรู้สึกเธออยู่ดี
เพราะอรรัมภา…คือคนรักของเขาเอง
ฟุ่บ!
เมื่อเห็นเป้าหมายนั่งอยู่บนโซฟาของโต๊ะวีไอพี ปฏิภาณก็ก้าวเข้าไปหาก่อนชะลอฝีเท้าลงเพื่อย่องไปทางด้านหลังอย่างเงียบๆ แล้วโน้มตัวไปหอมแก้มนวลอย่างที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว
“เอ๊ะ!”
อรรัมภาตวัดสายตาเฉี่ยวคมมาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่พอใจ เพราะตอนแรกเธอคิดว่ามีผู้ชายมาฉวยโอกาสลวนลามจึงตั้งใจว่าจะด่าให้เจ็บแสบและเอาเรื่องให้ถึงที่สุด
แต่เมื่อเห็นว่าเป็นคนรักก็ทำหน้าบึ้งตึงใส่ก่อนจะรีบหันหน้าหนี
งอนจริงๆ ด้วย…
“ผมขอโทษที่มาช้า”
ปฏิภาณอธิบายอย่างใจเย็นก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกันแล้วโอบไหล่บอบบางอย่างเอาใจ…คนรักของเขาเป็นคนสวย เธอมีใบหน้ารูปไข่งดงาม ดวงตาเฉี่ยวคมเซ็กซี่ จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูปสวย องค์ประกอบบนใบหน้าหมดจดลงตัว อีกทั้งยังเป็นคนรูปร่างดีไม่แพ้นางแบบ
เมื่อบวกกับมาดสง่างามแล้วจึงไม่แปลกที่จะมีนิตยสารมาขอให้อรรัมภาไปเป็นนางแบบและยังขอสัมภาษณ์เธอมากมาย เพราะเธอก็ถือเป็นคนดังในแวดวงสังคมคนหนึ่ง
“นัดกับผมนี่ทำหน้างอใส่ทุกที”
ปฏิภาณกระเซ้าเมื่อคนรักยังอารมณ์ไม่ดีและทำหน้าบึ้งตึงไม่เลิก
“ทำไมไปออกงานคนเดียวถึงได้ยิ้มมีความสุขนัก เบื่อผมแล้วเหรอครับ ฮึ?”
“นี่คุณพูดเรื่องอะไร”
“ผมเห็นข่าวงานเลี้ยงเมื่อสามวันก่อน…”
ชายหนุ่มพูดถึงข่าวซุบซิบที่เห็นผ่านหูผ่านตามาเมื่อไม่นาน อันที่จริงเขาก็ไม่ได้สนใจหรือใส่ใจข่าวพวกนี้นักหรอก แต่พอดีพนักงานที่บริษัทเห็นเข้าก็เลยมาถามเขาว่าเรื่องจริงเป็นยังไง
ปฏิภาณถึงได้รู้ว่ามีคนถ่ายรูปอรรัมภาตอนที่เธอไปงานเลี้ยงกับบิดาแล้วพบกับไฮโซหนุ่มที่กำลังเนื้อหอมอย่าง ‘นพนันท์’ เข้า แล้วนักข่าวก็เขียนแซวว่าท่าทางทั้งคู่ดูสนิทสนมกันเป็นพิเศษ หากเธอไม่ได้คบอยู่กับเขา คนคงเข้าใจผิดว่าทั้งสองคนกำลังศึกษาดูใจกันเพราะดูเหมาะสมกันมาก
นพนันท์เป็นหนุ่มหล่อ ดีกรีนักเรียนนอก เพราะไปร่ำเรียนปริญญาโทถึงประเทศอังกฤษและกลับมาบริหารร้านเครื่องเพชรชื่อดังแทนมารดาได้สามปีแล้ว นอกจากนี้ยังเพิ่งเลิกรากับด็อกเตอร์สาวซึ่งเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยมาได้ไม่นาน ใครต่อใครจึงจับตามองเขาเป็นพิเศษ
ปฏิภาณไม่ใช่คนคิดมากโดยเฉพาะกับข่าวซุบซิบ แต่ก่อนหน้านี้ก็มีคนเม้าท์ว่าเห็นอรรัมภาไปดินเนอร์กับนพนันท์ พอเห็นข่าวออกงานและมีภาพร่วมเฟรมกัน เขาจึงอดกระเซ้าเธอเล่นไม่ได้
เขารู้…คนอย่างอรรัมภารักศักดิ์ศรีมากพอ เธอไม่มีทางคบซ้อนหรอก
“อย่าบอกนะคะว่าคุณเชื่อข่าวซุบซิบด้วย ไร้สาระจะตาย” หญิงสาวทำหน้าเซ็งแล้วจ้องเขาตาเขม็ง “นักข่าวนี่ก็น่าฟ้องซะให้เข็ด เขียนข่าวแบบนี้ภาเสียหายแย่ ขนาดคุณยังพูดแบบนี้เลย”
“เพราะผมไม่เชื่อไง ผมถึงไม่เคยถามภา”
ปฏิภาณลูบไหล่คนรักเพื่อให้เธอใจเย็นและหายหงุดหงิดสักที ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในร้าน เขายังไม่เห็นเธอยิ้มเลย ไม่ได้เจอเธอมาตั้งหลายวันเขาก็อยากมีความสุขกับเธอมากกว่ามานั่งทะเลาะกัน
“แล้วพูดทำไมล่ะคะ หรือว่าตอนนี้ไม่เชื่อใจภาแล้ว”
“เปล่า” ชายหนุ่มยิ้มขำเพื่อไม่ให้เธอเครียดเกินไป “เมื่อกี้ผมแค่พูดเล่น อย่าโกรธเลยนะครับ ผมขอโทษจริงๆ ที่มาช้า แต่งานมันยังไม่เสร็จ ผมทิ้งงานออกมาไม่ได้ คุณก็น่าจะรู้ดีนี่ครับ”
ชายหนุ่มอธิบายอย่างใจเย็นเพราะรู้ตัวว่าผิดและเขาไม่อยากมีปัญหากับเธอ
“คุณก็เป็นแบบนี้ทุกที ดีแต่พูดขอโทษแล้วบอกให้ภาเข้าใจ แต่คุณก็ไม่เคยคิดจะปรับตัว นี่เราคบกันมาสองปีแล้วนะคะ คุณไม่สนใจภาเลย คุณรักภาจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย”
อรรัมภาไม่ฟังชายหนุ่มอธิบาย ยิ่งได้ฟังคำแก้ตัว เธอก็ยิ่งหงุดหงิดราวกับว่าได้ยินมาจนรำคาญ
“ผมสนใจคุณมากที่สุดแล้วภา…คุณน่าจะรู้จักผมดี”
ปฏิภาณบอกอย่างจริงจัง เขาเป็นเจ้าของบริษัทโฆษณาควบตำแหน่งผู้กำกับ เวลาออกกองถ่ายเขาก็ต้องทำงานให้เสร็จสิ้นตามแพลนที่วางเอาไว้และจนกว่าลูกค้าจะพอใจ เพราะวงการโฆษณามีการลงทุนสูง เม็ดเงินไหลเวียนเป็นหลักสิบล้านแลกกับโฆษณาที่มีความยาวเพียงครึ่งนาทีก็มี
ทุกอย่างมันถูกเซ็ตไว้อย่างเข้มงวด ค่าเช่าสตูดิโอแต่ละวันไม่ใช่ถูกๆ ไหนจะคิวดาราที่มีให้อย่างจำกัด นี่ยังไม่รวมปากท้องของทีมงานฝ่ายต่างๆ อีกไม่ต่ำกว่ายี่สิบชีวิตอีกต่างหาก
ฉะนั้น…เขาไม่สามารถทิ้งงานมาหาเธอได้อยู่แล้ว
ที่ผ่านมาปฏิภาณคบกับผู้หญิงคนไหนก็ไม่เคยให้เวลาพวกเธอมาเบียดเบียนงาน เขาไม่เคยอ่อนข้อให้ใครขนาดนี้ด้วย แต่อรรัมภาเป็นคนที่เขาคิดจะจริงจังด้วยมากที่สุด หลายครั้งเขาก็ยอมซิกแซ็กเวลางานมาหาเธอ เพราะตอนนี้เขาก็อายุใกล้จะสามสิบปีแล้ว อีกทั้งพี่ชายทั้งสี่คนก็แต่งงานแต่งการกันไปหมด ทั้งพ่อ แม่ และคุณย่าจึงหันมากดดันเขาบ้างว่าเมื่อไหร่จะเป็นฝั่งเป็นฝาเหมือนพี่ชายสักที
อรรัมภาเพียบพร้อมทั้งฐานะ การศึกษา รูปร่างหน้าตา และฐานะทางสังคม…เธอมาจากตระกูลผู้ดีเก่าที่ร่ำรวย เป็นเจ้าของที่ดินในย่านธุรกิจจนไม่ต้องทำงานทำการก็สามารถเก็บค่าเช่าที่กินได้แบบสบายๆ
ถึงกระนั้นเธอก็ยังรับงานเป็นที่ปรึกษาให้กับห้องเสื้อและนิตยสารชื่อดังหัวหนึ่งเพื่อไม่ให้คนนอกมองว่าเธอว่างงาน แต่…ในความเป็นจริงนั้นเธอก็ไม่ได้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่หรอก
ใครต่อใครต่างพูดว่าทั้งคู่เหมาะสมกันราวกับ ‘กิ่งทองใบหยก’ และผู้ใหญ่ของปฏิภาณก็เห็นดีเห็นงามด้วย เพราะพวกท่านถือคติว่าลูกหลานรักใคร พวกท่านก็จะรักด้วย
แต่ลึกๆ ลงไปในใจ…ปฏิภาณรู้สึกว่าเขายังไม่มีความปรารถนาต่ออรรัมภาอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นอยากแต่งงานหรือชีวิตนี้ขาดเธอไม่ได้ มันเหมือนกับว่าเขารักเธอเพราะความเหมาะสมเท่านั้น
“เพราะภารู้จักคุณดีน่ะสิคะ ภาถึงได้โกรธ”
หญิงสาวจ้องเขาอย่างจริงจังและไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย
“นี่เราคบกันมาสองปีแล้วนะคะพีค แต่คุณก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไร” เธอย้ำจุดบกพร่องของเขาอีกรอบ “คุณบ้างานเหมือนเดิม สำหรับคุณ…ครอบครัวและงานยังมาก่อนภาเสมอ”
“แต่วันนี้ผมก็รับนัดภาทั้งๆ ที่มันเป็นวันครอบครัวของผมนะ”
ชายหนุ่มแย้งเสียงแข็ง… ‘วันครอบครัว’ ที่ปฏิภาณพูดถึงคือวันศุกร์ของทุกสัปดาห์ที่สมาชิกในครอบครัวเขาจะมาทานอาหารเย็นร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
ทว่า…วันนี้อรรัมภาโทรนัดเขาออกมาเจอกัน ชายหนุ่มเห็นว่าไม่ได้เจอเธอมาเกือบสองสัปดาห์แล้ว อีกทั้งยังเคยปฏิเสธนัดเธอไปครั้งหนึ่งแล้วด้วย เขาจึงรีบนัดเธอในวันนี้ แต่ตั้งใจว่าจะรีบกลับไปให้ถึงคฤหาสน์จิรภาคินทร์ไม่เกินสามทุ่มครึ่ง…อย่างน้อยๆ กลับไปทันตอนที่ทุกคนคุยกันหลังอาหารก็ยังดี เพราะปกติในวันครอบครัว…พี่ชายเขาแต่ละคนจะคุยกันเพลินแทบลืมเวลาอยู่แล้ว
“แต่คุณก็จะรีบกลับไปอยู่กับครอบครัวของคุณอยู่แล้ว” อรรัมภาพูดอย่างรู้ทัน
“ผมก็เคยชวนภาไปทานข้าวกับครอบครัวผมแล้วนี่นา”
“ถ้านานๆ ไปทีก็คงได้อยู่หรอกค่ะ แต่ถ้าไปทุกอาทิตย์ภาคงไม่ไหว ครอบครัวคุณเป็นครอบครัวใหญ่ คนเยอะแยะเต็มไปหมด ภาเป็นลูกคนเดียว เวลาเจอคนเยอะๆ แล้วภาอึดอัด”
ชายหนุ่มได้ฟังแล้วรู้สึกไม่พอใจอยู่ลึกๆ ที่อรรัมภาพูดเหมือนไม่ชอบครอบครัวเขาและไม่คิดจะปรับตัวเข้าหา แต่ปฏิภาณก็พยายามทำความเข้าใจว่าครอบครัวเธออยู่กันมาแบบครอบครัวเดี่ยว เธอเป็นลูกสาวคนเดียว และเธอคงยังปรับตัวไม่ได้จริงๆ
“แล้วการที่ผมให้เวลากับครอบครัวมันไม่ดีตรงไหนล่ะภา”
ปฏิภาณพูดกลั้วหัวเราะ แต่เขาชักจะเริ่มไม่ขำเท่าไหร่แล้ว
“คุณอยากให้ผมทิ้งครอบครัวมาอยู่แต่กับคุณ คุณอยากให้ผมทิ้งงานและทำตัวเป็นคนไร้ความรับผิดชอบแล้วเอาแต่อยู่กับแฟนเหรอ คุณชอบผู้ชายอย่างนั้นหรือไง!”
ปฏิภาณคิดว่าความรักแบบ ‘โลกนี้มีเพียงสองเรา’ ไม่สนใจทำงาน และไม่ต้องแยแสครอบครัวมันเป็นความรักแบบ ‘เด็กน้อย’ เกินไป ความจริงแล้วทั้งสองควรจะปรับตัวเข้าหากันเพราะมันไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยให้เวลาเธอเลย และเขาคิดว่าทั้งความรัก ครอบครัว และงานมันสามารถเดินไปพร้อมๆ กัน
มันไม่ใช่ว่าเขาต้องทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งเสียหน่อย!
ปฏิภาณก็อยากให้อรรัมภาเข้าใจเขา รับฟังเขา สนับสนุนเขา และให้กำลังใจเขาในการทำงานบ้าง…ไม่ใช่พอเขาพูดเรื่องงานหรือบอกว่าติดงานทีไรก็เอาแต่ทำหน้าเซ็งใส่
“ภาก็ไม่ได้บอกให้คุณทิ้งงานหรือทิ้งครอบครัวมาอยู่กับภา แต่คุณไม่ต้องไปคุมงานทุกวันหรือไปดูแลตลอดเวลาก็ได้นี่คะ คุณเป็นเจ้าของบริษัท คุณจ้างคนมาทำแทนก็ได้”
“เราเคยพูดเรื่องนี้กันแล้วนะ”
ปฏิภาณบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ สีหน้าดูจริงจังราวกับจะบอกว่าอย่าก้าวก่ายเรื่องงานของเขาจนเกินไป…บริษัทของเขามีชื่อเสียง มีงานไม่ขาด และทำรายได้ให้อย่างน่าพอใจก็จริง แต่ตอนนี้ก็ยังเป็นเพียงบริษัทขนาดกลางๆ ที่อยู่กันแบบครอบครัว ไม่ใช่บริษัทใหญ่อะไร และเขาสร้างมันมาด้วยตัวเอง
แรกเริ่มมันเป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ด้วยซ้ำ เขามีพนักงานเพียงไม่กี่คน ตัวเขาเองก็ทำหลายหน้าที่ และหน้าที่สำคัญคือผู้กำกับซึ่งเป็นงานที่เขารักและสร้างชื่อเสียงให้กับเขาจนบริษัทขยับขยายมาเรื่อยๆ
จริงอยู่ว่าครอบครัวจิรภาคินทร์ร่ำรวยจนปฏิภาณไม่ต้องทำงานก็อยู่อย่างสุขสบาย แต่เขาก็ยังอยากทำงานเพราะงานทำให้เขารู้จักคุณค่าของชีวิต พ่อกับแม่และคุณย่าของเขาก็ยังเห็นดีเห็นงามที่เขาพยายามสร้างบริษัทด้วยตนเองโดยเริ่มจากการนับหนึ่งแล้วค่อยๆ เติบโตอย่างมั่นคง
ปฏิภาณอาจมี ‘ชื่อเสีย’ เรื่องผู้หญิง การเรียนที่อาจไม่ดีเท่าพี่ชาย แต่เรื่องงานเป็นเรื่องที่ใครก็ตำหนิไม่ได้จนทุกคนในครอบครัวเขาภาคภูมิใจ พ่อกับแม่และคุณย่าที่รักยังไม่เคยห้ามไม่ให้เขาทำงาน ตัวเขาเองก็ไม่เคยห้ามหากอรรัมภาจะทำงาน ฉะนั้นเขาคิดว่าเธอไม่ควรก้าวก่ายเขาในเรื่องนี้
อันที่จริงอรรัมภาก็ควรจะภูมิใจในตัวเขาด้วยซ้ำ
แต่นี่…เธอกลับบอกให้เขาเลิกทำอย่างนั้นหรือ
“ภาแค่อยากให้คุณใส่ใจภาและคิดถึงเรื่องอนาคตของเราบ้าง”
อรรัมภามีน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม เขาจึงยกแก้วน้ำเปล่าที่พนักงานเพิ่งนำมาเสิร์ฟขึ้นดื่มเหมือนยังไม่อยากคุยกับเธอ…หญิงสาวถอนหายใจ แต่เธอยังไม่หยุดพูด
“คุณพ่อถามภาหลายครั้งแล้วนะคะว่าเมื่อไหร่คุณจะเข้าไปคุยเรื่องแต่งงาน”
“ภาล้อเล่นอีกแล้วเหรอ”
ปฏิภาณแกล้งถามทีเล่นทีจริงเหมือนอารมณ์ดีเพราะเขาไม่อยากทะเลาะกับคนรัก แม้จะจำได้ว่าเธอเคยพูดเรื่องนี้หลายครั้งและเขารู้ว่าเธอจริงจัง
“อาทิตย์หน้าผมก็จะอายุสามสิบเองนะ ภาเองก็เพิ่งจะยี่สิบแปดเท่านั้นเอง ผมว่าเราไม่เห็นต้องรีบแต่งงานเลย คบกันอย่างนี้ไปก่อนก็ดีอยู่แล้ว ไว้ให้พร้อมค่อยแต่งงานกัน”
“ผู้หญิงอายุยี่สิบแปดก็ไม่น้อยแล้วนะคะ เพื่อนในกลุ่มภาก็แต่งงานกันไปทุกคนแล้ว แถมพวกนั้นเอาแต่ถามว่าเมื่อไหร่ภาจะแต่งงานกับคุณสักที ขนาดยายพิ้งค์ที่มีแฟนทีหลังภาก็ยังแต่งงานไปแล้วเลย”
อรรัมภาอธิบายเหตุผลและยกตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มมาพูดให้เขาฟัง หญิงสาวอยากแต่งงานและมีครอบครัวเพราะเบื่อที่เพื่อนในกลุ่มเอาแต่ทับถมเธอ แถมยังคุยโอ้อวดว่าสามีเอาอกเอาใจอย่างดีแค่ไหน บางคนยังพูดด้วยว่าปฏิภาณอาจไม่ได้คบเธอจริงจังเพราะเขาเคยเจ้าชู้มาก่อน
ฉะนั้น…หากเธอได้แต่งงานกับเขาก็จะเป็นการตบหน้าพวกนั้นอย่างเจ็บแสบที่สุด
ที่สำคัญคืออรรัมภาไม่อยากแต่งงานตอนแก่ ปฏิภาณกับเธอมีพร้อมทุกอย่าง เงินทองก็เหลือกินเหลือใช้ และผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นดีเห็นงามด้วย…เขายังจะต้องรออะไรอีก
“ช่างเขาสิ เราแต่งตอนที่เราพร้อมแล้วไม่ดีกว่าเหรอ”
“ภาพร้อมนานแล้วค่ะ คุณนั่นแหละ…เมื่อไหร่จะพร้อม”
อรรัมภาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
“พีคคะ เรามีทุกอย่างแล้วนะ งานคุณก็ประสบความสำเร็จ เงินทองก็มากมายเหลือเฟือ แล้วเราก็คบกันมาสองปีแล้ว คุณยังจะรออะไร หรือว่าคุณไม่ได้รักภา”
“มันไม่ใช่แบบนั้นนะภา”
“แล้วมันแบบไหนล่ะ ภาเบื่อที่จะรอคุณเต็มทนแล้วนะ!”
อรรัมภาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาราวกับจะยื่นคำขาดว่าหากปฏิภาณยังไม่คิดเรื่องแต่งงานอย่างจริงจัง เธอก็จะไม่คุยกับเขาอีกแล้ว ชายหนุ่มถึงกับงุนงงว่าวันนี้พายุเข้าหรืออย่างไร ทำไมอรรัมภาดึงทุกเรื่องเข้าดราม่าจนคนที่เพิ่งเครียดเรื่องงานมาอย่างเขาต้องเครียดจัดเป็นสองเท่า
“คุยกันดีๆ ก็ได้ ภาใจเย็นๆ ก่อนได้มั้ย”
“ภาพูดจริงๆ นะคะ พีคเก็บเรื่องแต่งงานไปคิดได้แล้ว อย่ามัวแต่ทำเป็นล้อเล่นอย่างนี้”
หญิงสาวลุกขึ้นก่อนจะคว้ากระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงขึ้นมาเหมือนจะกลับแล้ว ปฏิภาณถึงกับขมวดคิ้วด้วยความงุนงง แต่เธอก็ไม่เปลี่ยนใจ ซ้ำยังจ้องหน้าเขาอย่างจริงจังเพื่อย้ำคำพูด
“แล้วคุณก็ไม่ต้องตามมาง้อภานะคะ คุณพร้อมจะคุยเรื่องแต่งงานเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกัน”
“ภา!”
ปฏิภาณพยายามฉุดรั้งคนรักเอาไว้ แต่เธอกลับสลัดมือเขาทิ้งแล้วเดินออกไป ชายหนุ่มสบถอย่างหัวเสียอยู่เพียงลำพังก่อนจะถอนหายใจ เขารู้สึกว่ายิ่งคบกันนานเท่าไหร่ เขากับคนรักก็ยิ่งมีแต่ทะเลาะกัน แล้วแบบนี้เขาจะมั่นใจได้ยังไงว่าหากแต่งงานกันไปแล้วชีวิตคู่จะราบรื่น
บ้าเอ๊ย…พูดเรื่องแต่งงานทีไรทะเลาะกันทุกที!
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 20 มีนาคม)
Comments
comments