X
    Categories: Jamsaiทดลองอ่านล่ารักเกมอันตราย ชุด Red Eye

ทดลองอ่าน ล่ารักเกมอันตราย ตอนที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 4

 

ฟ้าสางแล้ว

เห็นหน้าต่างที่ค่อยๆ สว่างขึ้น เสี่ยวหม่านก็ลุกจากเตียงเองและปิดนาฬิกาปลุกดิจิตอลที่ยังไม่ทันได้ปลุก เดินเข้าห้องน้ำตาปรือท่ามกลางความสลัว

แม้จะจำได้ว่าวันนี้เป็นวันอาทิตย์ ไม่ต้องรีบไปทำงาน แต่นาฬิกาชีวภาพในตัวเธอปรับให้เข้ากับเวลาชีวิตที่อังกฤษมาได้สองเดือนแล้ว เลยมักจะตื่นในเวลานี้

เนื่องจากยังไม่ตื่นเต็มตา เธอจึงแปรงฟันอย่างเชื่องช้า แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนเธอซักผ้าเช็ดตัวทิ้งไว้ในเครื่องปั่นยังไม่ได้เอาออกมาตาก

เธอเดินแปรงฟันออกมาจากห้องน้ำ เปิดประตูออกจากห้องนอนมาที่ห้องซักผ้าเล็กๆ ในสวนหลังบ้าน เก็บผ้าที่ปั่นจนแห้งออกมาไว้ในตะกร้า จากนั้นหอบตะกร้าไว้ด้วยมือข้างเดียวขณะเดินแปรงฟันกลับห้อง พอเดินผ่านห้องรับแขก หางตากวาดเห็นก้อนหน้าตาประหลาดบนโซฟา

เธอคิดว่าตาฝาดไปเลยไม่ได้หยุดฝีเท้า ในมือถือแปรงสีฟันเดินไปแปรงฟันไป แต่ยังอดหันศีรษะกลับไปมองไม่ได้

ไม่มองก็แล้วไป แต่พอมองแล้วก็ตื่นขึ้นเต็มตาทันที

ตายแล้ว! คนใช่มั้ยนั่น!

เสี่ยวหม่านตกใจอยากกรีดร้อง แต่ขณะตกใจกลับสำลักฟองยาสีฟันเพราะเผลอสูดหายใจเข้า

ก้อนที่อยู่บนโซฟาผุดลุกขึ้นมา เสี่ยวหม่านเผ่นแนบไปข้างหลังทั้งที่ยังสำลักไม่หาย ขาสองข้างพันกันอีกแล้วล้มหงายลง ตะกร้าผ้าในมือซ้ายร่วงลงสาดเสื้อผ้ากระจายไปทั่วพื้น เธอชูแปรงสีฟันในมือขวาขึ้นขณะที่ค่อยๆ ตระหนักได้อย่างเชื่องช้าว่าก้อนบนโซฟานั้นเป็นชายคนหนึ่ง แถมยังเป็นชายที่เธอรู้จักเสียด้วย

เกิ่งเนี่ยนถัง

แต่ว่าครั้งนี้เขาอยู่อีกฟากของห้องรับแขกจึงไม่น่าจะช่วยเธอได้ทัน

เธอหลับตาปี๋ กัดฟันเตรียมใจกับแรงปะทะและความเจ็บที่จะตามมา แต่พอโลกหยุดหมุนแล้ว แรงปะทะกลับไม่ได้มาจากด้านหลัง แต่เป็นด้านหน้า

เธอตาเบิกโพลงสำลัก เห็นว่าตัวเองไม่ได้ล้มออกไปทางระเบียง แต่ล้มเข้ามาในห้องรับแขก ไม่รู้ว่าชายตรงหน้ามาถึงตัวเธอทันได้อย่างไร เขาฉุดเธอเข้ามาในห้องรับแขกให้เธอล้มลงบนตัวเขา

“ไม่มีใครเคยบอกรึไงว่าอย่าเดินไปแปรงฟันไป”

เดิมเธอปิดปากสำลักอยู่ พอได้ยินดังนั้นก็เลยพ่นฟองยาสีฟันใส่เขาทันที

“ไม่มีใคร…แค่ก…สอนคุณว่า…แค่ก…ไม่ควร…บุกรุกที่อยู่คนอื่นโดยพลการหรือไง”

แย่มาก ไอไปพูดไปภาพลักษณ์ดูไม่ดีเลยสักนิด

เธอมองเขาเคืองๆ จับเสื้อยืดเขาขึ้นมามาเช็ดปากอย่างเอาเรื่อง

“ก็มี แต่ผมคิดว่าคุณคงไม่ว่าอะไรถ้าผมจะยืมโซฟาคุณนอนสักหน่อย” เขามองเธอที่ขยุ้มเสื้อยืดเขาอย่างอารมณ์เสียด้วยสีหน้าแบบผู้บริสุทธิ์ “ตอนผมมาถึงที่นี่ก็ดึกมากแล้ว แถบนี้เตร่ไปมาหลังเที่ยงคืนออกจะมีพิรุธ คุณเองก็ดูเหมือนจะเข้านอนแล้ว ผมเลยเปิดประตูเข้ามานอนในห้องรับแขกเอง”

เธอสงบอารมณ์ไว้ ยืดตัวขึ้นแล้วถาม “คุณมาทำอะไรที่นี่หลังเที่ยงคืน”

“คืนหนังสือคุณไง”

คำตอบตรงไปตรงมาของเขาทำเอาเธอจนคำพูด

เกิ่งเนี่ยนถังชันศอกดันตัวขึ้นมาช้าๆ มองดูหญิงร่างบางที่นั่งอยู่บนตัวเขา พูดหน้าตาเฉย “สายการบินที่ผมนั่งมากว่าจะลงจอดก็ดึกมากแล้ว ผมดูเวลาแล้วคิดว่าแทนที่จะไปค้างโรงแรมแค่สองชั่วโมง ผมขับรถมาเลย ฟ้าก็คงจะสว่างพอดี ตอนแรกผมก็ว่าจะนอนในรถ แต่พอออกมาข้างนอกก็เห็นบนถนนมีติดตั้งกล้องวงจรปิด ผมเพิ่งเดินทางมาจากอเมริกาใต้ นั่งเครื่องบินมาสิบกว่าชั่วโมง ไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย”

“คนเราเวลามาหาเพื่อนก็เคาะประตูกดกริ่งตามปกติ คุณไม่คิดที่จะโทรเข้ามาก่อนหรือกดกริ่ง…” เธอพยายามลุกขึ้นมาจากตัวเขา เมื่อมือเล็กกดลงบนตัวเขา เขาก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บ เธอตกใจรีบดึงมือกลับ

“เป็นอะไร คุณร้องทำไม”

เขาฝืนยิ้มพูดกับเธอว่า “ไม่มีอะไร แค่กระดูกซี่โครงหัก”

“ว่าไงนะ ได้ยังไงกัน ฉันทำงั้นหรือ คุณโอเคมั้ย มือถือฉันอยู่ไหน ที่อังกฤษโทรเรียกรถพยาบาลเบอร์ 911 ก็ได้ใช่มั้ย” เธอตกอกตกใจรีบเด้งขึ้นมาจนเกือบจะล้มลงบนตัวเขาอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้เธอทรงตัวได้ทัน

“ไม่ใช่เพราะคุณ เป็นเพราะจระเข้” เห็นสีหน้าร้อนใจของเธอ เขาก็รีบเอ่ย “มันพยายามจะกัดผมแต่ไม่สำเร็จ ถึงอย่างนั้นเจ้านั่นก็ยังสร้างปัญหาให้ผมนิดหน่อย หมอช่วยจัดการแผลถลอกกับดามกระดูกให้เข้าที่แล้ว แค่อุบัติเหตุเมื่อกี้เหมือนจะทำแผลปริเฉยๆ”

“จระเข้?” เธอจ้องเขาตาค้าง

“จระเข้น่ะ” เขาพยักหน้าพลางยิ้มน้อยๆ “ตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลย”

เขาพูดพลางค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งอย่างระมัดระวัง ใบหน้าที่หล่อหมดจดนิ่วเล็กน้อยจากการขยับ

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเผลอล้มทับเขาอีก เสี่ยวหม่านคืบคลานออกไปทางด้านข้าง แต่ก็ยังอดพึมพำไม่ได้ “คุณบาดเจ็บแล้วยังเอาตัวมารับฉันอีกทำไม”

“คุณน่าจะรู้ว่าถ้าคุณเกิดหกล้มหัวกระแทก ผมจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยไปโดยปริยาย”

เธอโพล่งขึ้นอีกครั้งอย่างโมโห “ถ้าคุณไม่มาบุกรุกที่อยู่ชาวบ้านเขาโดยพลการและโทรมาหาฉันก่อน เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”

“ผมไม่อยากกวนคุณนอนหลับ”

เหตุผลนี้เรียบง่ายมาก การกระทำของเขาทำเธอจนคำพูด รู้สึกโกรธและขำระคนกัน

“คุณบ้าไปแล้ว”

แล้วเขาก็เลิกเสื้อขึ้นมา สภาพแผลด้านล่างผ้าพันแผลของเขาทำให้เธอต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ

“โอ! พระเจ้า…”

ช่วงตัวเขาพันด้วยผ้าพันแผลสีขาว ส่วนที่ไม่ได้พันเอาไว้มีแต่รอยฟกช้ำดำเขียว บางที่ก็ช้ำเป็นจ้ำใหญ่

“ทำไมคุณปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้”

“ผมเปล่านะ จระเข้ต่างหาก” เขาย้ำกับเธอขำๆ พร้อมกับดึงเสื้อลงอย่างระมัดระวัง

เนื่องจากสภาพของชายตรงหน้าดูย่ำแย่เหลือทน เธอเลยไม่ห้ามเขาดึงเสื้อลงมาปิด แค่ลุกไปเปิดไฟ

หลังจากเปิดไฟสว่างแล้วเขายิ่งดูย่ำแย่กว่าเดิมอีก สภาพแผลเหล่านั้นทำให้เธอแทบจะกรีดร้อง

“คุณต้องไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” เธอประกาศด้วยความเป็นห่วงเป็นใยและวิ่งไปหยิบกุญแจรถที่ข้างประตู

“ผมหาหมอมาแล้ว” เขาตรวจผ้าพันแผลบนตัวและบอกเธอว่า “วางใจเถอะ ผมไม่เป็นไร เหมือนจะไม่มีเลือดออกแล้ว”

“พระเจ้า! คุณพันตัวจนจะเป็นมัมมี่อยู่แล้ว ต่อให้มีเลือดออกก็ไม่มีทางรู้!” เธอมองเขาอย่างเหลือเชื่อ “ที่กระทบกระเทือนไปเมื่อกี้อาจทำให้กระดูกคุณแตกไปทั้งชิ้นแล้วก็ได้!”

“ไม่ต้องเป็นห่วง กระดูกผมไม่ได้แตก” เขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ พูดยิ้มๆ “ถ้าหากว่าแตก ผมต้องรู้สึก ระดับความเจ็บมันไม่เหมือนกัน”

เขาพูดเหมือนกับว่ามีประสบการณ์มาก…

เธอรีบเดินมาหาเขาด้วยความเป็นห่วง พยายามจะช่วยพยุง ต่อมาก็เห็นเขาลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยความระมัดระวังแต่ก็มีท่าทีสบายๆ

เหมือนเขาจะมีประสบการณ์มากจริงด้วย!

“คุณไม่เห็นต้องแตกตื่นขนาดนั้นเลย” เขามองเธอ “ผมสบายดี หมอจ่ายยาให้ผมแล้ว ถ้าหากว่าอาการผมเลวร้ายจริง คุณว่าสายการบินจะยอมให้ผมนั่งเครื่องมามั้ยล่ะ ผมแค่ต้องหาโรงแรมนอนค้างสักสองสามวันก็จะดีขึ้นเอง”

เขาชี้ไปที่ห่อเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะห้องรับแขก “หนังสือคุณ”

พูดพลางก้มลงหยิบกุญแจรถที่อีกด้าน เห็นท่าทางเขาเหมือนจะออกไปข้างนอก เธอก็รีบพุ่งมาขวางเขา

“โรงแรม? ค้างสักสองสามวัน? คุณแน่ใจหรือว่าสารรูปอย่างคุณตอนนี้โรงแรมจะให้คุณพัก”

ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าทำไมเขาถึงไม่ไปหาโรงแรมค้าง เขาเองก็คงรู้อยู่เหมือนกันว่าเขาดูน่ากลัวออกอย่างนี้ แม้จะมีโรงแรมยอมให้เข้าพักจริงก็ต้องเปลืองแรงพูดอยู่ไม่ใช่น้อย

แถมเขาจะตายในห้องพักเมื่อไรก็ได้ ใครจะไปรู้

มองดูใบหน้าของเขาที่เหนื่อยล้า สองตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ต่อให้เธอเป็นคนใจจืดใจดำกว่านี้ก็คงไม่ปล่อยให้เขาออกไปแน่นอน ถ้าหากเขาเป็นอะไรไปขึ้นมาจะทำอย่างไร

“ถ้าคุณคิดว่าฉันจะปล่อยให้คุณออกไปในสภาพอย่างนี้ละก็ คุณมันปัญญาอ่อนมาก!” เธอจ้องเขาอย่างโกรธเคือง “คุณจะไม่ไปโรงพยาบาลก็ได้ แต่รีบไสหัวไปนอนที่เตียงเดี๋ยวนี้”

“คุณไม่มีเตียงสำรองนี่” ไม่อย่างนั้นเขาคงไปนอนบนนั้นแล้ว

“ฉันนอนพอแล้ว!” เธอชี้ไปที่ห้องและแหวใส่เขา “ไปสิ!”

เขาดูออกว่าเธอเริ่มจะประสาทเสีย จากการโตในบ้านที่ผู้หญิงเป็นใหญ่มาตั้งแต่เล็ก เขารู้ดีว่าไม่ควรขัดขืนคำสั่งพวกเธอในเวลาแบบนี้ โดยเฉพาะในเวลาที่เขาเองก็อยากจะนอนหลับให้เต็มตื่นมากจริงๆ

เพราะงั้นพอเธอมาขยี้เท้าร้องโวยวายกับเขา เขาก็ยกมือยอมจำนน

“โอเคๆ คุณไม่ต้องลนขนาดนี้ก็ได้”

หน้าผากเธอมีเส้นเลือดปูดโปน เขากลั้นความรู้สึกชวนหัวเอาไว้ รีบหันหลังเดินไปที่ห้องที่เปิดประตูคาไว้ของเธอ ป้องกันไม่ให้เธอโจมตีเขาด้วยกุญแจรถในมือ

ตอนที่เกิ่งเนี่ยนถังเข้าไปในห้องนอนที่เป็นระเบียบเรียบร้อยก็ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือพอจะสังเกตการตกแต่งห้อง แต่เขาก็เห็นว่าเธอแขวนแผ่นดินเหนียวโบราณคู่หนึ่งไว้ที่ประตู

แผ่นดินเหนียวที่แกะสลักนั้นดูแล้วคุ้นตา เขานึกออกว่านั่นเป็นของที่เธอหวงแหนมากตอนอยู่ที่อิรัก

ลามาซอะไรสักอย่างเนี่ยแหละ

เธอตามเขาเข้ามาในห้อง มาเอากุญแจรถจากเขาเพื่อไปเอากระเป๋าเดินทางกับยาที่อยู่ในรถที่จอดอยู่ด้านนอกมาให้เขา

เขาถอดรองเท้าและถุงเท้าเหม็นๆ ออก ขณะหนึ่งก็รู้สึกเกรงใจกลิ่นเท้าเน่าเหม็นของตัวเองจึงไปล้างเท้าในห้องน้ำ เห็นที่อ่างล้างมือมีต้นกระบองเพชรเล็กๆ วางอยู่

หน้าเขาในกระจกมีหนวดเครารกรุงรัง ตาขวาฟกช้ำ ยากจะโทษที่เธอหวาดผวามากขนาดนั้น แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นแค่การบาดเจ็บเล็กน้อย เพียงแต่ดูผิวเผินแล้วน่าหวาดหวั่นเท่านั้น เขาทำหน้าล้อเลียนใส่ตัวเอง แล้วนั่งล้างเท้าที่ขอบอ่างน้ำ

ห้องน้ำของเธอสะอาดมาก มีผ้าเช็ดตัวสีขาวผืนหนึ่งแขวนไว้อย่างดี ในตู้กระจกมีกล่องใส่คอนแทคเลนส์กับแว่นตาไร้กรอบวางอยู่ ตอนที่เขาเปิดมาเห็นก็เลิกคิ้วขึ้น

แสดงว่าผู้หญิงคนนี้สายตาสั้นสินะ

บางทีเขาไม่ควรแปลกใจเพราะอย่างไรเธอก็เป็นพวกหนอนหนังสือ เขารู้ว่าหนอนหนังสือส่วนใหญ่มักจะสายตาสั้น

สามร้อยกว่า…ก็ไม่ได้มัวมาก แต่ก็ไม่ได้ชัดเท่าไร

เขาวางกล่องที่ระบุค่าสายตากลับคืนที่เดิม แกะแปรงสีฟันสำรองที่เธอเก็บไว้หลังกระจกออกมาแปรง

ผ่านไปสักพักพอเขาออกจากห้องน้ำ เธอก็เอายามาให้พร้อมกับน้ำเปล่าแก้วหนึ่ง

เธอเดินเข้าออกไปมา บ่นพึมพำว่าเขาบ้าไปแล้ว เก็บผ้านวมบนเตียงไปแล้วเอาผ้านวมอีกผืนมาให้

เขากลืนยาที่เธอเตรียมไว้แล้วล้มตัวลงบนเตียง

ได้นอนดีๆ บนเตียงเรียบๆ เป็นอะไรที่สุดยอดเสียจนเขาต้องถอนใจออกมา

บนหมอนนุ่มมีกลิ่นหอมจางๆ ของมะนาว

ขณะที่กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น เขาเห็นเธอยืนอ่านฉลากยาปฏิชีวนะกับยาบรรเทาอาการเจ็บของเขาอยู่ข้างหน้าต่าง จากนั้นก็รูดปิดม่านเดินย่องมาที่ข้างเตียง ถือเอารองเท้าและถุงเท้าที่เสียบอยู่เดินออกไป

ได้ยินเสียงเธอเดินไปเดินมา เขาก็ถอนใจอีกครั้งด้วยความผ่อนคลาย

เมื่อเสี่ยวหม่านกลับเข้ามาในห้องอีกที ชายที่นอนอย่างสงบอยู่บนเตียงก็นอนนิ่งไม่ไหวติงแล้ว

ชั่วขณะหนึ่งเธอกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป แต่อกเขากระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อยแสดงว่ายังมีชีวิตอยู่

เธอถอนใจโล่งอก แต่ยังคงรู้สึกเหมือนเพิ่งทำเรื่องโง่เง่าลงไป

เขาอาจจะมีเลือดออกภายในก็ได้ เธอต้องบ้าไปแล้วที่ยอมให้เขาอยู่ที่นี่ เธอควรจะบังคับให้เขาไปโรงพยาบาล แต่ว่าเขาจะยอมไปรึเปล่านี่สิ

เป็นไปได้ว่าเขาไปโรงพยาบาลไม่ได้ เนื่องจากการไปโรงพยาบาลอาจเป็นเหตุให้เขาเสี่ยงอันตราย แต่ว่าให้เขาอยู่ที่นี่อาจกลายเป็นว่าเธอเองที่จะเป็นต้นเหตุทำให้เขามีอันเป็นไป

บ้าจริง นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย

เสี่ยวหม่านกลอกตา ย่องไปเปิดตู้หยิบเสื้อผ้าสะอาดออกมา เข้าห้องน้ำเปลี่ยนชุดนอนออก แล้วบ้วนปากเอายาสีฟันที่ตกค้างอยู่ออกให้หมด แม้ว่าปกติแล้วเธอจะชอบกลิ่นเปปเปอร์มิ้นต์ แต่ ณ ตอนนี้เวลานี้ดูเหมือนว่าเธอกำลังมีลมหายใจที่สะอาดสดชื่นที่สุดในโลก

เธอทำหน้าล้อเลียนใส่ตัวเองในกระจกแล้วถือชุดนอนออกจากห้องน้ำ

ก่อนจะออกจากห้องนอน เธอแอบมองชายที่นอนอยู่บนเตียง

เขายังคงหายใจอยู่ ทั้งยังห่มผ้านวมเป็นอย่างดี

เยี่ยม

เธอคว้าลูกบิดปิดประตูอย่างเบามือ

 

มือเล็กบางทาบลงบนหน้าผากเขาอย่างแผ่วเบา

เขารู้สึกถึงมือที่เอื้อมมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผากและนำความเย็นมาให้ ทำให้เขาต้องถอนใจด้วยความสบาย

เจ้าของมือเล็กบางคู่นั้นพึมพำเสียงเบาก่อนจากไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับผ้าเย็นวางลงบนหน้าผากเขา

ทุกหนึ่งชั่วโมงเธอจะเข้ามาดูอาการเขา ทุกสี่ชั่วโมงจะปลุกเขาให้ลุกขึ้นมากินอาหารดื่มน้ำและกินยา เอาปรอทวัดไข้จากไหนไม่รู้มาวัดอุณหภูมิให้เขา

เขามีไข้อ่อนๆ ดีว่าร่างกายที่ร้อนเล็กน้อยไม่ได้มีไข้เพิ่มขึ้น

เขายังสบายดีอยู่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้รับบาดเจ็บ เขารู้สภาพร่างกายของตนดี แต่ก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเป็นห่วงมากขนาดนี้ ดังนั้นเมื่อเธอสั่งให้เขาทำอะไร เขาก็ทำตามโดยดีไม่มีบ่ายเบี่ยง

เขาตื่นขึ้นมาอีกทีในยามโพล้เพล้ เห็นเธอลากเก้าอี้ใหญ่มาขดตัวนอนฟุบ ตักที่งอเข้าหาตัวมีหนังสือวางกางไว้อยู่เล่มหนึ่ง ในมือกำผ้าขนหนูไว้หลวมๆ

ผ้าขนหนูผืนนี้มีไว้ให้เขา เธอเฝ้าเช็ดเหงื่อให้เขามาตลอด

เขานอนมองเธอจากบนเตียง ที่จริงเธอจะทำเป็นไม่สนใจก็ได้ แม้ว่าเขาจะเคยช่วยเธอไว้ แต่ใช่ว่าทุกคนบนโลกนี้จะรู้จักตอบแทนบุญคุณ คนส่วนใหญ่เพื่อความอยู่รอดแล้วมักเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หลีกเลี่ยงเขาด้วยความหวาดกลัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอเองก็อยู่ที่นี่ตัวคนเดียว

หนังสือที่กางอยู่บนตักเธอคือบันทึกการเดินทางเล่มที่เขานำมาให้ หน้ากระดาษเหลืองกรอบของบันทึกเก่าเล่มนั้นทำให้เขานึกถึงข้อความที่เธอส่งมาวันนั้น

‘ขอให้ปลอดภัย’

แค่คำที่แสนจะธรรมดาเรียบง่ายสี่คำ ปราศจากถ้อยคำทักทายมากความ ไม่มีคำสนทนาปราศรัยที่เยิ่นเย้อ ไม่มีการย้ำให้ตอบกลับ ไม่มีแม้แต่คำลงท้ายตามมารยาท จะมีก็เพียงคำอวยพรธรรมดาที่พิมพ์เป็นภาษาจีน

ตอนนั้นที่ลอนดอนเป็นเวลาตีสาม

เพราะคำเพียงสี่คำนั้น เขาถึงได้พกบันทึกการเดินทางติดมือไปไหนต่อไหน เพราะว่าคิดถึงเธอ เขาถึงได้เก็บบันทึกการเดินทางเล่มนั้นไว้กับตัว เลยไม่โดนจระเข้ตัวนั้นงับไส้ทะลุไป

บันทึกการเดินทางของเธอช่วยชีวิตเขาเอาไว้และได้เยินเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปนานแล้ว เล่มที่อยู่บนตักเธอนั้นเป็นหนังสือมือสองที่เขาสั่งซื้อทางออนไลน์ตอนอยู่ที่อเมริกา

แต่เขาคิดว่าเธอคงจะไม่ว่าอะไร

เธอเป็นคนดีคนหนึ่ง

เขายิ้มขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว

แสงอาทิตย์ตกดินส่องกระทบบานหน้าต่าง ลมอ่อนๆ โชยเข้ามาพัดผมที่ถูกแสงแดดย้อมเป็นสีบลอนด์แดงของเธอ ทำให้นิ้วสีชมพูอ่อนที่จับคั่นหนังสืออยู่ของเธอโดนแดดและเปล่งแสงขึ้นมา

โดยไม่อาจห้ามใจ…เขายื่นมือไปแตะนิ้วของเธอ

เพราะว่าไม่ได้นอนมาหนึ่งวันเต็ม เธอจึงเหนื่อยถึงขั้นไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย

เขาดึงนิ้วของเธอเข้ามากำไว้ในมือ นิ้วนั้นทั้งเล็กบางทั้งอ่อนนุ่ม แม้แต่ตอนที่มาอยู่ในมือเขาก็ยังดูราวกับส่องแสงได้

ความรู้สึกสงบสุขบางประการแผ่ซ่านเข้ามาในใจ

ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด เธอเป็นคนอ่อนกีฬา เดิมก็ไม่น่าจะปกป้องเขาให้ปลอดภัยได้เลย แต่ความรู้สึกสงบสุขนั้นยังไม่จางหาย ราวกับแสงสว่างจากปลายนิ้วเธอได้ส่องลงบนฝ่ามือเขา

ขอให้ปลอดภัย…

เขาวางมือเธอลงเบาๆ ให้ปลายนิ้วนุ่มนิ่มของเธอวางลงบนหน้ากระดาษเหลืองกรอบของหนังสือ

เขาดึงมือกลับมาพลางมองใบหน้าต้องแดดยามสายัณห์ของเธอ จากนั้นก็หลับตาลง คิดในใจ

ขอให้ปลอดภัย

ตกเย็น อุณหภูมิร่างกายเขากลับคืนเป็นปกติดังเดิม เธอไม่ได้มาตรวจอาการเขาอีก

เดิมเขาคิดจะคืนเตียงให้เธอ แต่เธอยืนกรานว่าเขายังไม่หายดี ท่าทางหัวฟัดหัวเหวี่ยงราวกับสัตว์ประหลาดน้อยตัวหนึ่ง เขาเลยต้องยึดครองเตียงของเธอต่อไป

เช้าวันถัดมา เธอปลุกเขาเพื่อบอกว่าวางน้ำและอาหารไว้ให้ตรงหัวเตียง ส่วนเธอต้องไปทำงานแล้ว

“ฉันลางานได้นะ” เธอยืนอยู่ข้างเตียง ก้มลงพูดกับเขา

“ไม่ต้องหรอก ผมสบายมาก” เขาบอกเธอ

“ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีก็โทรมาหาฉันนะ”

“ได้” เขาพยักหน้ารับปาก

เธอยัดโทรศัพท์มือถือให้เขา กำชับเป็นครั้งที่ร้อย “ฉันชาร์จแบตให้เต็มแล้ว ถ้าคุณรู้สึกไม่สบายต้องโทรมาหาฉันนะคะ ไม่ก็โทรเบอร์ 999”

“ตกลงว่าที่อังกฤษไม่ใช่เบอร์ 911 สินะ” เขาถามพลางยิ้ม

“ไม่ใช่” เธอไปหามาแล้ว “เบอร์ 999”

“ได้ 999”

เธอหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าทางยังไม่หายกลัดกลุ้ม “ฉันว่าฉันลาหยุดดีกว่า”

“ไม่ต้อง” เขาหัวเราะ “ผมสบายดี คุณต้องทำอะไรก็ไปทำเถอะ พอคุณกลับมาผมก็ยังอยู่ที่นี่”

เธอเบะปาก สูดหายใจเข้าลึกๆ ยืดตัวตรงกล่าวเตือนเขา

“คุณควรจะอยู่ ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งความ”

หลังจากยื่นคำขาดแล้วเธอก็รีบเดินออกไป

เขานิ่งอึ้งไปสักพัก ก่อนที่จะหัวเราะอย่างอดไม่ได้

แผ่นดินเหนียวรูปสัตว์ประหลาดที่กำลังกางปีกทั้งสองตัวบนผนังจ้องมาที่เขา แล้วเขาก็นึกชื่อของพวกมันออกทันที

ลามาซูกับอัปซาซู

แต่ว่าพวกมันไม่ใช่สัตว์ประหลาด พวกมันคือสัตว์เทพคุ้มครอง

เมื่อเธอปิดประตูลง เขาลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำแล้วเดินกลับมา มองดูอาหารบนโต๊ะเธอที่ทิ้งไว้ให้เขา มันไม่ได้มีเพียงขนมปังเท่านั้น แต่ยังมีซุปร้อนๆ กับผลไม้

เขากินขนมปัง ซดน้ำซุปและผลไม้ แล้วก็กินยาแต่โดยดีก่อนจะนอนลงบนเตียงอีกรอบ ทีนี้ไม่มีใครมาก่อกวน เขากลับรู้สึกตื่นตัวนอนหลับไม่สนิทเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบจนเกินไป

ในห้วงแห่งความสลึมสลือ ภาพทุกอย่างหมุนวนอยู่ภายใต้เปลือกตา

สัตว์ประหลาดที่กางปีก เสียงร้องคำรามจากสัตว์ยุคบรรพกาล ปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมของจระเข้ เถาไม้เลื้อยในป่าดิบชื้นสีเขียวแก่ ลูกกระสุนจากการลั่นไก เปลวไฟที่โลมเลีย ทุกอย่างผสมปนเปกันในภาพเดียวทำให้เขาสะดุ้งตื่นขึ้นมาเป็นพักๆ

โทรศัพท์มือถือดังขึ้นในตอนเที่ยง

เขาที่นอนอยู่บนเตียงใหญ่หนานุ่มยื่นมือออกไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ข้างๆ มองดูหมายเลขที่โทรเข้า เป็นเบอร์ของเจ้าสัตว์ประหลาดน้อยผู้ยังไม่หมดห่วง

เขายิ้มมุมปากขึ้นโดยไม่ตั้งใจ กดรับสาย

“ฮัลโหล”

“ทำอะไรอยู่”

“นอน” เขาเอ่ยปากตอบ ได้ยินน้ำเสียงที่ขึ้นจมูกและงัวเงียของตัวเอง

หญิงสาวที่อยู่ในสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นว่า “กินอะไรรึยัง”

“กินแล้ว”

“แล้วยาล่ะ”

เขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็ยังตอบคำแต่โดยดี “กินแล้ว”

“คุณคิดว่าฉันโง่เง่ารึเปล่า”

“ไม่เลยสักนิด”

“คุณไม่ต้องไปโรงพยาบาลจริงๆ ใช่มั้ย”

“ไม่ต้อง”

เธอเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะพึมพำอะไรสักอย่างที่ฟังไม่ได้ศัพท์

“คุณว่าอะไรนะ”

“คุณห้ามตายบนเตียงฉันนะ” ทีนี้เธอเพิ่มระดับเสียง

เขาหัวเราะออกมา เขาฟังออกว่าเธอโมโห เป็นห่วงและกังวล

“เว่ยเสี่ยวหม่าน”

“ว่าไง”

“ขอบคุณนะ”

เธอวางสายไป แต่เขาพอจะนึกภาพเธอที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงออก ทำให้เขาหัวเราะมีความสุขถึงขีดสุด

ผู้หญิงคนนี้ออกจะน่ารักเกินไปแล้ว

น่ารักเกินไปแล้ว

เขาลุกขึ้นมา ไปที่ห้องน้ำคลายผ้าพันแผลออกตรวจดูปากแผล เมื่อแน่ใจว่าแผลไม่ได้เลวร้ายลงก็เช็ดตัวแล้วหยิบผ้าพันแผลออกมาจากกระเป๋าเดินทาง

โทรศัพท์มือถือสั่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาเดินออกจากห้องน้ำ เห็นเบอร์ไม่แสดงหมายเลขแต่ก็ยังรับสาย

“ฮัลโหล?”

“ไม่ใช่ว่านายจะมาที่นี่รึไง” เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังขึ้น

“อะไรกัน คิดถึงฉันเหรอ รู้งี้เมื่อคืนพอเครื่องจอดแล้วฉันดิ่งไปหานายก่อนเลยก็ดี” เขาถือโทรศัพท์ออกจากห้องของเธอเดินไปทางห้องครัว

“ไปตายซะ” ชายคนนั้นสะบัดเสียงอย่างไม่สบอารมณ์ “เสี่ยวเฝยโทรมา เธอคิดว่านายอยู่กับฉัน”

“ทีแรกฉันก็ว่าจะไปหานาย แต่ว่าโดนเจ้าสัตว์ประหลาดน้อยรั้งตัวไว้” เขาพูดพลางเปิดตู้เย็นของเธอ ในนั้นมีของน้อยจนน่าเวทนา หลักๆ ก็มีวัตถุดิบไว้ทำแซนด์วิช เขาเปิดลำโพงวางมือถือลงบนโต๊ะ นำของในตู้เย็นออกมาทำแซนด์วิชให้ตัวเองอย่างไม่มีการเกรงอกเกรงใจใดๆ

“สัตว์ประหลาดน้อยตัวนั้นตัวใหญ่มากมั้ย” ชายคนนั้นเย้ยเสียงเย็น

“ให้ตายเถอะอาวั่น นายนี่มัน…”

ชายคนนั้นไม่พูดพร่ำมากความก็ตัดสายทิ้งไป

เขาโทรกลับ แต่ฝั่งนั้นไม่รับสาย พอเข้าสู่บริการรับฝากข้อความเขาก็ไม่ถือสาใดๆ แค่ทิ้งข้อความตลกชวนหัวไว้ให้

“อาวั่นที่รัก ฉันต้องการของบางอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสัตว์ประหลาดน้อยรังแก รบกวนนายช่วยส่งมาให้หน่อยได้มั้ย”

ตามด้วยรายการสิ่งของยาวเฟื้อยกับที่อยู่ที่นี่ จากนั้นก็วางสาย กินแซนด์วิช

กินแซนด์วิชยังไม่ทันเสร็จโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีกครั้ง

เพียงแต่ครั้งนี้เป็นข้อความ

เขาเปิดดู ชายคนนั้นส่งข้อความภาพมาให้ เป็นภาพที่ไม่มีอะไรมากไปกว่านิ้วกลางข้างขวาที่ชี้เหยียดขึ้นฟ้าสูงเป็นพิเศษ

เขาหัวเราะออกมาดังลั่นจนกระเทือนถูกบาดแผล เสียงหัวเราะเปลี่ยนไปทันที เขาเกาะโต๊ะอาหารไว้ค่อยคืบคลานกลับไปนอนที่เตียง

หนึ่งชั่วโมงให้หลังเขาได้ยินเสียงก็ลุกจากเตียง เลิกม่านหน้าต่างมองเห็นคนร่างบางคนหนึ่งขี่มอเตอร์ไซด์มาจอดถึงหน้าบ้าน

คนขี่มอเตอร์ไซค์สวมชุดหนังสีดำ เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอจอดรถอย่างเป็นระเบียบก่อนจะลงมาจากรถ

เขารู้ว่าไม่ใช่สัตว์ประหลาดน้อย

เว่ยเสี่ยวหม่านแม้แต่เดินยังสะดุดล้ม ดีไม่ดีแค่ปีนขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซค์คันนั้นยังล้มหน้าฟาดได้ด้วยซ้ำ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องขี่เลย

ผู้หญิงคนนั้นถอดหมวกกันน็อกออกเผยให้เห็นสีหน้าที่เย็นชา

อ้อ เธอนี่เอง

ไม่ได้มาลอนดอนตั้งนาน ลืมไปเลยว่าอาวั่นให้ผู้หญิงคนนี้มาอยู่ด้วย

ดูท่าเจ้าหมอนั่นอารมณ์เสียก็ส่วนอารมณ์เสีย แต่ก็ไม่ได้ไม่เหลียวแลทอดทิ้งเขา ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ

หญิงใบหน้าไร้อารมณ์ถือของบางอย่างเดินมากดกริ่งที่ประตู

เขาออกจากห้องไปเปิดประตูให้เธอ

เธอคนนั้นเห็นเขาแล้วก็ไม่ตื่นตกใจ แต่ก็ไม่ได้ชวนเขาคุยเรื่องสัพเพเหระใดๆ ทั้งสิ้น ดวงตาดำขลับไร้วี่แววความรู้สึก เธอเพียงถือถุงหนักส่งให้เขาทั้งอย่างนี้แล้วยื่นมือมา

เขารับถุงไป นึกว่าเธอยื่นมือมาเพื่อจับมือทักทาย เขากำลังจะยื่นมือออกไปตามมารยาทแล้วชวนคุยสักหน่อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากว่า

“สามพัน”

“อะไรนะ”

“ทั้งหมดนี้สามพันปอนด์” เธอพูดหน้าตาเฉย

เขาอึ้ง โพล่งออกมาอย่างตกใจ “อาวั่นให้คุณมาเก็บเงินกับผม?”

“สามพัน” เธอยังคงยื่นมือเล็กบางนั้นออกมา มองเขานิ่งเพื่อเป็นการยืนยัน

แม้ว่ามือตรงหน้าจะทั้งเล็กทั้งขาว แต่เขารู้ดีว่าผู้หญิงตรงหน้าที่สูงไม่ถึงคางของเขานี้สามารถใช้มือข้างนี้ทำอะไรได้บ้าง เธออาจดูไม่สะดุดตา แต่กลับมีฝีมือต่อสู้ดีเลิศจนน่าตกใจ ก่อนหน้าที่เธอจะมาทำบัญชีให้อาวั่น เธอเคยส่งลูกค้าคนหนึ่งเข้าโรงพยาบาลมาก่อน ลูกค้ารายนั้นเป็นถึงหัวหน้าแก๊งใหญ่ยโสโอหังและยังพกอาวุธปืนด้วย

“ผมไม่ได้พกเงินติดตัวมากขนาดนั้น” เขามองเธออย่างขบขัน

“เขาบอกว่ายืมเขาก่อนก็ได้” เธอยังคงยื่นมือค้างไว้ขณะที่ถ่ายทอดข้อความของเขาคนนั้น “นี่คือธุรกิจ”

ช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ

เกิ่งเนี่ยนถังหน้าชาไปชั่วครู่ ขบเขี้ยวฝืนยิ้มพลางกล่าว

“โอเค ยืมก็ยืม” เขาถือถุงเข้าไปวางบนโต๊ะ หยิบปากกากับกระดาษเขียนใบยืมให้ พอเขียนมาถึงช่องจำนวนเงินเขาก็ส่งยิ้มที่คิดว่าหล่อเหลา ไร้เดียงสา น่ารักน่าชังที่สุดให้เธอ บอกว่า “ข้าวของแค่นี้ สามพันออกจะแพงไปหน่อย โก่งราคาผมรึเปล่า ลดให้หน่อยได้มั้ย”

เธอสบตาเขาตรงๆ ไม่หวั่นไหวให้รอยยิ้มของเขา พูดออกมาสองคำ

“ไม่ได้”

ให้ตายสิ อาวั่นเจ้างั่งเอ๊ย เรื่องอื่นไม่รู้จักเอาอย่าง ดันมาเอาอย่างนิสัยขี้เหนียวจากพี่อู่

เขาจำใจยื่นใบยืมส่งให้เธอ

ฝ่ายหญิงก้มหน้าตรวจสอบตัวหนังสือให้แน่ใจว่าจำนวนเงินถูกต้อง พอเห็นว่าชายคนนี้เซ็นชื่อเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเก็บใบยืมเงินที่เขียนด้วยลายมือใส่กระเป๋าเสื้อ

เห็นเธอจัดการเสร็จตั้งท่าจะจากไป เขาก็อดเรียกไว้ไม่ได้

“ฮั่วเซียง”

เธอหยุดฝีก้าวหันกลับมา

“คุณว่าอาวั่นกับผมใครหล่อกว่ากัน”

“อะไรคือหล่อ” เธอถามกลับหน้าไม่เปลี่ยนสี

เขานิ่งค้างไป ตามด้วยหัวเราะดังๆ โบกไม้โบกมือ

“ฮ่าๆๆๆ…ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก คุณไปเถอะ…”

เธอก็ไม่ถามซักไซ้ต่อ เดินไปที่มอเตอร์ไซค์สวมหมวกกันน็อกพลางคร่อมลงบนนั้น แล้วบิดคันเร่งจากไปทันที

การหัวเราะดังๆ ทำให้กระเทือนถูกแผลอีกแล้ว แต่ว่าเขาหยุดไม่ได้ ทำได้แค่เอามือกุมอกไปด้วยระหว่างปิดประตู

ถ้าเป็นอย่างที่พี่อู่ว่าไว้จริงละก็ อาวั่นได้เจอกับดาวพิฆาตอย่างเธอก็เป็นชะตาของหมอนั่นแล้ว ตอนนี้เขาชักรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนสนิทที่เขารักดั่งพี่น้องแขนขาแล้ว

เขายิ้มแล้วเดินกลับไปที่ห้องรับแขก เปิดถุงหยิบของบางอย่างออกมาจากในนั้น สำรวจไปรอบๆ บ้านก่อนจะกลับเข้าไปในห้องของเธอ

สัตว์ประหลาดบนประตูจ้องมองเขา

“จริงๆ นะ เป็นถึงสัตว์เทพเฝ้าประตู พวกแกควรจะทำหน้าที่สักหน่อย”

เขาหยิบแผ่นดินเหนียวสองแผ่นนั้นขึ้นมา ติดของบางอย่างไว้ด้านหลังก่อนจะแขวนคืนที่เดิม แล้วก็ถอยออกมามอง

พวกมันดูปกติดี น่าเกรงขามขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีพิรุธอะไร

เขานั่งลงบนเตียงอย่างอารมณ์ดี กินยาดื่มน้ำแล้วเอนตัวลงอีกครั้ง

เมื่อเสี่ยวหม่านเลิกงานกลับบ้าน ทั้งบ้านมืดสนิท

เพราะว่าตอนกลางวันโทรมากวนเขาตื่น เธอเลยไม่โทรมาอีกตลอดบ่าย เพียงแค่ส่งข้อความมาตอนเลิกงาน

แล้วเขาก็ไม่ตอบ

เธอเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะมีปัญหาอะไร หรือเขาอาจจะแค่หลับไป

และเพราะกลัวว่าเขาจะหิว เธอเลยไปซื้อของกินมาให้เขาเป็นพิเศษ

แม้ช่วงนี้กว่าฟ้าจะมืดก็ตอนสองทุ่ม แต่นี่ก็เย็นย่ำมากแล้ว ถ้าเขาตื่นอยู่ก็น่าจะเปิดไฟสิน่า

นอกจากว่าเขาจะมีไข้สูงไม่ได้สติ แค่คิดว่าเขากำลังนอนรอความช่วยเหลืออยู่บนเตียงเธอก็ก้าวยาวขึ้นเป็นสามเท่าไปถึงหน้าประตู รีบเอากุญแจออกมาไข

ที่จริงแล้วเธอก็ไม่ได้กะว่าจะกลับค่ำขนาดนี้ แต่เวลาที่เธอกำลังตั้งใจมักจะลืมอย่างอื่นรอบข้างไปสิ้น กว่าเธอจะเรียกสติคืนมาจากหัวเรื่องที่วิจัยได้ก็เลยเวลาเลิกงานแล้ว

เธอรีบเข้าไปในบ้าน เปิดไฟ หอบเอาอาหารถุงเล็กถุงใหญ่เข้าไปด้วย วางของลงได้ก็วิ่งไปที่ห้อง เปิดประตูเข้าไปโดยอัตโนมัติ

ชายที่อยู่บนเตียงนอนกางแขนขาออกเต็มที่ มือข้างหนึ่งกอดหมอนที่หนุนไว้ แต่ที่ทำให้เธอตื่นตกใจก็คือเขาที่อยู่ตรงหน้าเธอแม้จะกำลังหลับ แต่ก็ไม่รู้ว่าถอดกางเกงออกตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั่วทั้งตัวนอกจากผ้าพันแผลบนช่วงตัวแล้วก็ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าชิ้นใดอีก ผ้านวมที่อยู่บนตัวเขาก็ร่วงลงมากองบนพื้น

“กรี๊ด!”

เพราะไม่คิดว่าจะมาเห็นเขาในสภาพเปลือยเปล่า เธอจึงตกใจกรีดร้องออกมา

เขาสะดุ้งเพราะเสียงร้องของเธอ ลุกขึ้นมามองหาต้นตอ แต่ด้านหลังเธอไม่มีคน ด้านข้างเธอก็ไม่มีคน ไม่มีใครถือปืนจ่อหัวเธอเลยสักคน เธอเองก็ไม่ได้ตกใจสะดุดล้ม

อย่างน้อยก็ไม่ใช่ครั้งนี้

ทว่าพอเขาลุกขึ้นมา เธอก็ร้องอีกครั้งหันหนีไปอย่างรวดเร็ว

“อะไร เกิดอะไรขึ้น” เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเธอตื่นตกใจอะไร

“คุณไม่ได้ใส่!” เธอหันหลังให้เขา หน้าแดงจรดใบหูร้องเบาๆ ว่า “ทำไมคุณไม่ใส่…กางเกงของคุณ”

ได้ยินแบบนี้เขาก็ชะงักไป พอก้มมองดูตัวเองก็เข้าใจขึ้นมาทันที สิ่งที่ทำให้เธอตื่นตกใจขนาดนี้ที่แท้ก็คือน้องชายน้อยๆ ของเขานั่นเอง

เขาคลายความตื่นตัว ขยับผ้าพันแผลที่เปิดขึ้นมาอย่างขบขัน นั่งกลับลงไปบนเตียง “สวรรค์ ที่ผมไม่ใส่อะไรเลยเพราะว่าผมร้อน”

“ร้อน?” เธอลดสายตาก้มลงไปเก็บผ้านวมบนพื้นขึ้นมายื่นให้ทั้งที่ยังหันหลัง “คุณมีไข้อีกรึเปล่า”

“ไข้หรือ ไม่มีนี่” เขาจับผ้านวมผืนใหญ่ยาวพันรอบร่างกายท่อนล่างไว้ เห็นเธอยังไม่กล้ามองมาก็พูดยิ้มๆ “ผมนุ่งไว้เรียบร้อยแล้ว”

เธอค่อยหันกลับมามองเขาด้วยใบหน้าแดงซ่าน พูดอย่างอารมณ์บูดว่า “คุณแน่ใจนะว่าไม่ได้มีไข้”

“ผมแน่ใจ” เขาหาวแล้วมองออกไปที่หน้าต่าง “ฟ้ามืดแล้วหรือ”

เธอไม่เชื่อเขา กลัวว่าเขาจะมีไข้อีกจึงเอาปรอทวัดไข้มาวัดอุณหภูมิให้

“ผมไม่เป็นไรจริงๆ คุณกังวลเกินไปแล้ว สัตว์ประ…” เขาคว้าผ้าพันแผลที่อยู่บนอกพูดเสียงแหบแห้ง พูดไปครึ่งทางก็รู้ตัว รีบหยุดปากไว้

“คุณว่าอะไรนะ” เธอได้ยินไม่ชัด เงยหน้าขึ้นมา

“ผมจะบอกว่าเป็นผมไม่ดีเอง” เขาส่งยิ้มให้เธอ รีบเปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย “ผมไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณเป็นตากุ้งยิงนะ ขอบคุณที่สละเตียงให้ผม”

โดยไม่สงสัยอะไร เสี่ยวหม่านหน้าแดง ก้มหน้าอ่านค่าบนปรอทวัดไข้ดิจิตอล “ก็แค่ชั่วคราว คุณไม่ต้องคิดมาก”

ค่าตัวเลขบนปรอทวัดไข้ทำให้เธอยิ้มออกมา อุณหภูมิร่างกายเขาลดลงแล้ว

เธอถอนใจโล่งอก

“ฉันซื้อของกินมาให้” เธอมองเขา “คุณลุกจากเตียงมาห้องรับแขกได้ใช่มั้ย”

“แน่นอน” เขายิ้มมองเธอ “ในเมื่อผมข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาได้อย่างราบรื่นปลอดภัย ผมว่าแค่ระยะทางสั้นๆ จากนี่ถึงห้องรับแขกถือว่าสบายมาก”

เธอวางปรอทวัดไข้ลง มองเขาด้วยความโมโหระคนขบขัน

“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ก็ใส่เสื้อผ้า แล้วย้ายร่างออกมากินข้าวซะ”

 

อาการเขาตอนนี้ดีขึ้นจริงๆ

หลังจากมองดูชายตรงหน้าใช้ท่าทีราวกับลมพายุกวาดใบไม้สวาปามของกินต่างๆ ที่เธอซื้อเข้ามา เสี่ยวหม่านก็ต้องตะลึง ขณะที่เธอเริ่มกังวลว่าของที่ซื้อเข้ามาจะไม่พอให้เขากิน เขาก็หันมาดื่มชาเปปเปอร์มิ้นต์ที่เธอชงให้ในที่สุดและหยุดกินอย่างตะกละตะกลามสักที

“แผ่นดินเหนียวในห้องของคุณใช่ที่เอามาจากอิรักในตอนนั้นหรือเปล่านะ”

“ใช่ค่ะ” เธอพยักหน้า

“ผมคิดว่าคุณได้มาแค่อันเดียวซะอีก” เขากินไปถามไปอย่างสงสัยใคร่รู้ “อีกอย่างหน้าตามันก็ไม่ค่อยเหมือนเดิมด้วย ผมจำได้ว่าตอนเจอที่ถนนมันไม่ได้หน้าตาแบบนี้”

เธอชะงัก ไม่คิดว่าเขาจะสังเกตเห็น

“จำไม่เห็นได้ว่าเจ้าตัวนั้นมีหน้าอกด้วย”

เธอได้ยินดังนั้นก็นิ่งงัน ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างขบขัน “ฉันได้มาแค่ตัวเดียว ก่อนหน้านั้นฉันมีอีกตัวอยู่แล้ว อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนให้ ฉันชอบลามาซูตัวนั้นมาก พอมาเจอคู่ของมันอีกตัวขายอยู่ข้างทางฉันก็ดีใจมากเลย ตอนนั้นคิดว่าตัวนี้ก็เป็นลามาซูเหมือนกัน แต่พอกลับถึงโรงแรมมาดูดีๆ ถึงพบว่ามันเป็นอัปซาซู”

พูดไปสองตาเธอก็เป็นประกายสดใสมีชีวิตชีวา “ก่อนหน้านี้มีคนเอามันมาปิดปูนทับอีกชั้นหนึ่ง จงใจปิดบังลักษณะของเพศหญิงกับกรงเล็บสิงโตของมัน พอฉันกลับมาบ้านก็เอามันมาเทียบกับลามาซูที่มีอยู่แล้ว ถึงพบว่าเท้าที่เป็นกีบเท้าวัวของลามาซูตัวนี้ก็ถูกปิดทับขึ้นมาใหม่เหมือนกัน พอจัดการแกะออกมาพบว่าลามาซูตัวนี้ก็มีกรงเล็บสิงโต พวกมันเป็นคู่เดียวกันจริงๆ ด้วย! คุณรู้มั้ย สัตว์เทพที่มีเท้าเป็นกีบจะคอยปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง ส่วนสัตว์เทพที่มีเท้าเป็นกรงเล็บจะเป็นนักรบ แสดงว่าดินแดนแถบนั้นต้องเคยมีนักรบหญิงที่มีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย!”

เขาเลิกคิ้วกล่าว “ผมเคยได้ยินว่าหลายที่ในโลกมีสังคมที่เพศหญิงเป็นใหญ่”

“ถูกต้อง เพียงแต่ว่ายุคสมัยได้เปลี่ยนไป พอผู้ชายขึ้นมามีอำนาจก็ได้ทำลายหลักฐานเหล่านี้ทิ้งไป”

“ผมเชื่อเรื่องนี้ ที่บ้านผมก็มีแม่เสืออยู่หลายคน” เขาทำหน้าล้อเลียน หัวเราะแลบลิ้น “พี่สาวคนโตผมนี่น่ากลัวที่สุด”

เธอนิ่งไป ยังไม่ทันตอบคำเขาก็พูดกับเธอยิ้มๆ “พูดถึงศาสตราจารย์ ศาสตราจารย์คนนั้นได้มาหาเรื่องคุณอีกรึเปล่า”

“ไม่แล้ว” เธอส่ายหน้าแล้วหุบยิ้ม “ฉันมาอยู่ตั้งไกล ทำงานในองค์กรเอกชน เขาคิดจะหาเรื่องฉันคงยุ่งยากหน่อยละ”

“ก็จริง” เขาหัวเราะพลางหยิบขนมปังปาดซอสเกรวี่ในจานแล้วยัดเข้าปาก

เธอขำที่เขากินได้จานสะอาดมาก ถามออกมาว่า “คุณบอกว่าคุณจะส่งหนังสือมาให้ฉัน ฉันก็คิดว่าคุณจะส่งมาทางไปรษณีย์”

“ตอนที่ได้รับข้อความของคุณ ผมกำลังจะออกมาพอดีเลยติดหนังสือมาด้วย” เขาจิบชาเปปเปอร์มิ้นต์ร้อนๆ พลางเอ่ย “ทีแรกว่าจะส่งทางไปรษณีย์ แต่ก็ไม่ว่างสักที เสร็จธุระแล้วมาเห็นหนังสือเล่มนั้นก็คิดว่าไหนๆ ก็ต้องผ่านมา แวะเอามาให้เลยดีกว่า”

“ฉันส่งข้อความให้นั่นมันตั้งแต่สองเดือนที่แล้วนะ”

“ผมรู้ แต่ว่าที่ที่ผมไปมันไม่มีสัญญาณ” เขาพูดพาซื่อ “ในป่าอะเมซอนมีสถานีสัญญาณน้อยมาก”

“อะเมซอน…ตกลงว่าคุณทำอะไรที่ไหนกันแน่”

“มีเครื่องบินของมหาเศรษฐีคนหนึ่งตกลงในป่าดงดิบ แต่ว่าที่นั่นทุรกันดารเกินไปไม่ต่างอะไรจากงมเข็มในมหาสมุทร รัฐบาลท้องถิ่นกับหน่วยกู้ภัยก็หาเขาไม่เจอเลยได้แต่ยอมรามือ ครอบครัวของเขาก็เลยมาขอให้ผมช่วยหาคน” เขายักไหล่ ยิ้มพลางกล่าว “ผมก็เลยไปที่นั่นมา”

ชั่วพริบตาเขาก็กวาดของที่เหลือบนโต๊ะจนหมดเกลี้ยง เสี่ยวหม่านจึงลุกไปหยิบมัฟฟินที่เดิมกะว่าจะกินพรุ่งนี้มาจากห้องรับแขก พอกลับมาที่ห้องกินข้าวก็เห็นเขาเก็บจานที่วางอยู่บนโต๊ะอาหารไปแช่ในอ่าง

เขาไม่โง่อยู่ล้างจานต่อ เธอรู้ว่าเวลาก้มเขาจะเจ็บแผลที่เอว

เธอยื่นมัฟฟินให้เขา เขารับขนมเดินถือไปกินที่โต๊ะทันทีด้วยความพออกพอใจอย่างมาก

“กระเพาะคุณเป็นหลุมดำรึไง” เธอถามอย่างขบขัน

“ก็ไม่นะ” เขาพูดพลางยิ้ม “แต่คุณก็น่าจะรู้ว่าการกลับมาอยู่ในโลกที่ศิวิไลซ์มันดีแค่ไหน”

เธอหักห้ามความรู้สึกที่อยากจะถามเอาไว้แล้วเดินไปล้างจาน แต่ก็ได้ยินเสียงชายคนนั้นกินไปเล่าไปมาจากข้างหลัง “คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าผมขลุกอยู่ในป่าดงดิบเป็นเวลาสองเดือน กินทั้งเนื้องู เนื้อจระเข้ เนื้อกระรอก พอผมพาเศรษฐีคนนั้นออกมาจากชนเผ่าพื้นเมืองได้ มาถึงสนามบินได้ขึ้นเครื่อง ผมกินอะไรก็ถูกปากไปหมดเลย”

เสี่ยวหม่านตะลึง “เศรษฐีคนนั้นยังมีชีวิตอยู่อีกหรือ”

“ใช่แล้ว เขายังมีชีวิตอยู่” เกิ่งเนี่ยนถังกลอกตามองบน “เครื่องบินตกนั่นไม่ใช่อุบัติเหตุ เขามีแม่กับภรรยาที่เอาแต่กดดันเขา บังเกิดเป็นความเครียดสั่งสม เขาเลยกุเรื่องอุบัติเหตุเครื่องบินตกขึ้น แต่ความจริงเขาโดดร่มลงมาก่อนแล้ว เจ้าทึ่มนั่นคิดว่าขอแค่ตกถึงพื้น พกแค่ปืนหนึ่งกระบอกกับกระสุนไม่กี่นัดก็สามารถออกมาได้ แล้วนำเงินที่เขาซ่อนไว้ที่หมู่เกาะเคย์แมนไปใช้เป็นทุนตั้งต้นชีวิตใหม่โดยไม่ให้ใครรู้ ผลก็คือเขาโดดร่มลงมาติดอยู่บนต้นไม้ พอหาทางลงมาได้ก็ถูกงูพิษกัด สุดท้ายถูกชนเผ่าพื้นเมืองจับตัวไป”

เธอฟังแล้วสองตาก็เบิกกว้าง “เรื่องจริงหรือนี่”

“จริงสิ” เขาหยิบมัฟฟินออกมาจากถุงกระดาษอีกชิ้น ยิ้มพลางกล่าว “นับว่าเขายังโชคดี ที่กัดเขาเป็นงูพิษน่ะ ตอนที่เขาไม่ได้สติก็มีชนพื้นเมืองช่วยเขาไว้ทำให้รอดชีวิตมาได้ คนที่ช่วยเป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่าและเกิดตกหลุมรักเขาขึ้นมา หลังจากนั้นเจ้าคนดวงกุดก็เลยถูกบังคับให้แต่งงานอีกรอบ”

เธอได้ยินดังนั้นก็ปล่อยก๊ากออกมา

“คุณไปหาเขาเจอได้ยังไง”

“ผมสอบถามมา ผมรู้ว่าถิ่นนั้นมีหมู่บ้านชนเผ่าพื้นเมืองอยู่สองสามแห่ง แต่พวกนั้นไม่ค่อยไว้ใจคนนอก ก็เลยไม่ค่อยบอกอะไรให้คนนอกรู้ ผมต้องใช้เวลาสักพักให้พวกเขาคุ้นเคยกับผม นายพรานในเผ่าแห่งหนึ่งถึงได้ยอมเล่าให้ผมฟังว่าเห็นเครื่องบินตกลงมาจากท้องฟ้า”

เธอฟังเขาไปล้างจานไป

เขาเล่าต่อมาจากทางด้านหลังว่า “ผมเจอเครื่องบินและเจอร่มชูชีพ แต่ในนั้นไม่มีศพ สายร่มชูชีพถูกตัดขาด บนพื้นก็มีรอยเท้า และยังมีห่ออาหารแห้งที่ถูกแกะกินเกลี้ยง ผมเลยแน่ใจว่าถ้าเขาไม่โดนจระเข้งาบหรือไม่ก็จมน้ำตาย เขาน่าจะยังมีชีวิตอยู่ ผมเดินตามรอยเท้าบนพื้น ค้นพบรอยเท้าคนอื่นนอกจากรอยเท้าของเขา แต่ว่าคนพวกนั้นรู้ดีว่าควรเคลื่อนไหวอย่างไรในป่าดงดิบเพื่อปกปิดร่องรอยของตน ผมเลยเสียเวลาไปมากกว่าจะหาเผ่านั้นเจอ แต่ผมจนปัญญาจะเข้าใกล้เขา คนในเผ่าแห่งนั้นก็เหมือนกับเผ่าแรกที่ผมได้พบ หวาดระแวงคนนอกมากเช่นกัน อีกอย่างภรรยาใหม่ของเขาก็คอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลา”

ฟังมาถึงตอนนี้เธอก็อดขำไม่ได้

“ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เจ้าหมอนั่นก็ไม่ได้หน้าตาหล่อเหลาอะไร แต่ภรรยาทั้งสองของเขาต่างก็ขาดเขาไม่ได้ แถมยังเป็นพวกแม่เสือกันทั้งคู่ น่ากลัวมาก ผมพูดจริงๆ นะ กว่าผมจะพาเขาออกมาได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ภรรยาคนที่สองของเขานำกองกำลังขี่ม้ากลุ่มใหญ่ไล่ตามมาเป็นหลายร้อยกิโล ติดหนึบเป็นตังเมสลัดยังไงก็ไม่หลุด น่าสะพรึงสุดๆ”

คำพูดเขาทั้งเกินจริงทั้งติดตลก เธอหันมาเก็บจานชามที่เช็ดแห้งแล้วกลับเข้าตู้ เห็นเขาทำท่าลูบอก

“ขนาดนั้นเลยหรือ”

“ขนาดนั้นเลยแหละ” เขาเลิกคิ้วมองเธอ เมื่อนึกย้อนเหตุการณ์ตอนนั้นก็นิ่วหน้ากล่าว “คุณว่าใครเป็นคนปล่อยจระเข้มากัดผมล่ะ พวกผมถูกไล่ตามทัน ปกติมีแต่คนเขาปล่อยหมามากัด แต่ผู้หญิงคนนั้นเล่นปล่อยจระเข้! ถ้าไม่เพราะผมดวงแข็งละก็ คงกลายเป็นอาหารของมันไปนานแล้ว”

ชายคนนี้เล่าเรื่องได้ออกรสออกชาติ ฝอยซะเป็นคุ้งเป็นแควพร้อมกับทำท่าประกอบ

รู้ดีว่าเขาอาจจะแค่แต่งเรื่องขึ้น แต่เธอก็ยังขำไม่หยุด

“แสดงว่าตลอดทางที่คุณสู้กับจระเข้และช่วยเศรษฐีคนนั้นออกมา คุณพกหนังสือเล่มนั้นไว้”

“ถูกต้อง” เขายิ้มตอบคำหน้าไม่เปลี่ยนสี

“ขี้โม้” เธอพยายามปั้นหน้า แต่สุดท้ายก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

sangdow Marcom: