X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 4 บทที่ 3

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 3

เซียวจวิ้นหมดสติไปอีกหนึ่งวันก็ยังไม่ฟื้น อี๋เหนียงทั้งหลายมาปรนนิบัติแต่เช้า หลี่เมิ่งซีเห็นชุ่ยอี๋เหนียงกับจางอี๋เหนียงร้องไห้ฟูมฟายอยู่ด้านข้าง เห็นแล้วชวนกลุ้มใจจึงไล่พวกนางออกไปโดยไม่สนใจสีหน้าโกรธแค้นของทั้งสอง เหลือไว้เพียงหวังอี๋เหนียงกับหงอวี้เท่านั้น

เห็นสะใภ้รองฝังเข็มรอบหัวเข่าของคุณชายรอง หวังอี๋เหนียงจึงถามด้วยความฉงน “สะใภ้รอง ทำเช่นนี้ได้ผลแน่หรือเจ้าคะ”

“หลายวันก่อนข้าอ่านมาจากตำรา น่าจะได้ผลอยู่บ้าง”

“สะใภ้รอง…”

หลี่เมิ่งซีรออยู่นานไม่เห็นหวังอี๋เหนียงพูดต่อ เงยหน้ามองนางก็เห็นหวังอี๋เหนียงมองตนอย่างลังเล จึงรู้ว่านางมีเรื่องจะพูด กวาดตามองในห้องเห็นหงอวี้ หงจู หงซิ่งยืนอยู่ด้านข้าง หลี่เมิ่งซีจึงพูดกับหงอวี้ “หงอวี้ ที่นี่ไม่ต้องการคนมากมายถึงเพียงนี้ เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ!”

หงอวี้รับคำพลางเหลือบมองหงจู หงซิ่งที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะเดินออกไปอย่างเศร้าหมอง

นาง หงจู หงซิ่ง ยังมีหงซานที่ยั่วยวนคุณชายรองจนถูกไล่ออกจากคฤหาสน์ไป ตลอดจนเซียวซย่า เซียวเหิงติดตามคุณชายรองมาตั้งแต่เล็ก ทุกคนสนิทสนมกันเป็นที่สุด ตอนนั้นพูดคุยเสียงดังกันทุกวัน มีความสุขมากจริงๆ คุณชายรองเองก็ยิ้มแย้มกับพวกนาง แม้พวกนางจะรังแกคนของเรือนอื่น คุณชายรองก็ยังปกป้องพวกนาง แต่ตอนนี้คนเหล่านี้กับนางราวกับมีเส้นแบ่งที่มองไม่เห็น ทำให้นางรู้สึกอ้างว้างเป็นพิเศษ

สองปีก่อนตอนถูกรับเป็นสาวใช้ห้องข้างและมีเรือนเป็นของตนเอง ในที่สุดก็ได้อยู่กับผู้ที่เป็นเหมือนเทพเจ้าในใจนาง ได้อยู่เหนือกว่าหงจู ตอนนั้นหงอวี้รู้สึกว่าโลกทั้งใบสว่างไสว ทว่าวันเวลาหลังจากนั้นทำให้นางเข้าใจว่านางไม่ได้เหนือกว่าหงจูแต่อย่างใด นางกลายเป็นคนตายที่ยังมีชีวิตอยู่ ด้านข้าวของเครื่องใช้คุณชายรองไม่เคยไม่ดูแลนาง ทั้งยังไม่เคยชักสีหน้ากับนางต่อหน้าบ่าว ยิ่งไม่เคยให้นางไปทำสิ่งที่บ่าวควรทำ แต่กลับไม่ให้นางปรนนิบัติใกล้ชิดอีกต่อไป ทั้งไม่เหลือบแลนางอีก ยิ่งไม่เคยเป็นฝ่ายพูดคุยกับนางสักคำ

เห็นหงจูยังคงยุ่งง่วนทุกวัน ยามอยู่ต่อหน้าสาวใช้พูดหนึ่งไม่เป็นสอง นางเสียใจภายหลังจริงๆ อยากย้อนกลับไปในอดีต อยากเป็นเพียงสาวใช้ที่มีความสุข หงอวี้เดินออกจากห้องมาด้วยความหนักใจ ไม่ทันระวังธรณีประตูข้างล่างจึงสะดุดและถูกเซียวซย่าที่ถูกสั่งให้ยืนรออยู่ข้างนอกประคองไว้พอดี

เห็นสีหน้าหม่นหมองของหงอวี้แล้ว เซียวซย่าพลันร่างกายแข็งทื่อ ร้องเรียกโดยไม่รู้ตัว “อวี้เอ๋อร์…”

หงอวี้ยืนอย่างมั่นคง มองเซียวซย่าที่เติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เล็ก ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกแสบจมูก หัวใจว้าวุ่น นางย่อกายให้เขาและก้าวเดินออกไปด้วยฝีเท้าที่สับสน

หงอวี้ออกไปแล้ว หวังอี๋เหนียงจึงหาเรื่องใช้งานหงจูกับหงซิ่งเพื่อกันพวกนางออกไป

เห็นหลี่เมิ่งซีรับผ้าที่มีไอร้อนจากจือซย่านำมาเปลี่ยนกับผ้าที่เย็นแล้วบนขาเซียวจวิ้นอย่างระมัดระวัง เอาแต่ทำงานของตนโดยไม่พูดอะไร ไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปากขึ้นมาก่อน หวังอี๋เหนียงจึงอดพูดไม่ได้ “ความรู้สึกที่คุณชายรองมีต่อสะใภ้รองอนุเห็นอยู่เต็มตา ตามหลักแล้วคำพูดนี้อนุไม่ควรพูด…”

หวังอี๋เหนียงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดและมองหลี่เมิ่งซี เห็นนางยังคงทำงานในมืออย่างไม่เร็วไม่ช้า ทั้งไม่เงยหน้า ยิ่งไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไร นางจึงพูดต่อว่า “สะใภ้รองเป็นคนจิตใจดี สองปีมานี้อนุเห็นมาตลอดจึงหวังว่าท่านกับคุณชายรองจะลงเอยกันด้วยดี ช่วงก่อนหน้านี้เห็นคุณชายรองตามใจท่านทุกอย่าง อนุก็ดีใจแทน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าสะใภ้รองจะเป็น เป็น…อนุเกรงว่าต่อให้คุณชายรองรักใคร่ท่านเพียงใดก็ขัดเหล่าไท่จวินไม่ได้อยู่ดี ฉะนั้นสะใภ้รองควรรีบตัดสินใจเถอะเจ้าค่ะ”

หลี่เมิ่งซีเงยหน้าในที่สุด นางมองหวังอี๋เหนียง

หวังอี๋เหนียงพูดต่อ “อนุเข้าคฤหาสน์มาก่อนสะใภ้รองย่อมรู้อะไรมากกว่า สะใภ้รองอาจไม่รู้ว่าสมัยเป็นหนุ่มนายท่านใหญ่กับจางอี๋ไท่เป็นเพื่อนเล่นวัยเยาว์ที่รักกันมาแต่เด็ก ภายหลังเพราะคำสอนของบรรพบุรุษ จางอี๋ไท่จึงไม่อาจเป็นภรรยาเอกได้ นายท่านใหญ่เคยอาละวาดจะเป็นจะตายมาก่อน ได้ยินว่ายังหนีออกจากคฤหาสน์ไปนานถึงครึ่งปี ถูกเหล่าไท่จวินตัดความช่วยเหลือด้านการเงิน สุดท้ายจึงซมซานกลับมา ยอมทำตามคำสั่งของเหล่าไท่จวินด้วยการแต่งนายหญิงใหญ่ จางอี๋ไท่ทั้งที่มีชาติสกุลและภูมิหลังเช่นนั้น แต่เพื่อให้ได้อยู่กับนายท่านใหญ่แล้วถึงกับต้องลดศักดิ์ศรีของตนเองมาเป็นอนุ เกรงว่าด้วยภูมิหลังของสะใภ้รองคงยิ่งมิอาจเอาชนะคำสอนของบรรพบุรุษได้”

หวังอี๋เหนียงเกรงว่าหลี่เมิ่งซีจะหลงเชื่อคำพูดของเหล่าไท่จวิน นึกว่าตนเองโชคดีไม่ถูกหย่าแล้ว แต่สุดท้ายอาจถูกเหล่าไท่จวินจู่โจมโดยตั้งตัวไม่ทันก็ได้ นางจึงเตือนด้วยความหวังดี ทั้งยังเล่าถึงอดีตของนายท่านใหญ่ นางเอาแต่เล่าโดยไม่ทันสังเกตว่าตอนที่หลี่เมิ่งซีได้ยินนางบอกว่าจางอี๋ไท่เป็นเพื่อนเล่นวัยเยาว์ของนายท่านใหญ่ มือที่กำลังถอนเข็มก็สั่นไปครู่หนึ่ง

เรื่องนี้ทำให้หลี่เมิ่งซีคิดถึงเหตุการณ์ที่เซียวจวิ้นถูกวางยาพิษเมื่อสองปีก่อน นางแน่ใจนานแล้วว่าเป็นฝีมือของจางอี๋ไท่ แต่เพราะนางไม่เคยคิดว่าตนเองเป็นคนสกุลเซียว ดังนั้นสองปีมานี้จึงไม่คิดจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้เซียวจวิ้นมาก่อน จางอี๋ไท่ก็ระแวดระวังนาง ทั้งสองปะทะกันทั้งต่อหน้าและลับหลังหลายครั้ง จนกระทั่งจางอี๋ไท่หวาดกลัวถึงได้เลิกราไป

บัดนี้ได้ยินว่านางเป็นเพื่อนเล่นวัยเยาว์ของนายท่านใหญ่ มองสองคนที่เคยรักกันจะเป็นจะตายในอดีต คิดถึงความรักของพวกเขาที่ขอเพียงได้ครองคู่ก็ไม่สนใจฐานะใด แต่สุดท้ายกลับถูกวันเวลาที่ไม่ปรานีและชีวิตในคฤหาสน์หลังใหญ่อันโหดร้ายกลืนกินจนจิตใจบิดเบี้ยว สุดท้ายถึงขั้นปองร้ายลูกของคนที่ตนรักด้วยมือตนเอง! ทำให้หลี่เมิ่งซีอดรู้สึกสลดใจไม่ได้

คฤหาสน์ของสกุลสูงศักดิ์เช่นนี้ สิ่งที่ไม่ควรมีมากที่สุดก็คือ ‘รักแท้’ นางเงยหน้ามองเซียวจวิ้นที่ยังหมดสติอยู่ ทั้งที่รู้ดีว่านี่เป็นวาสนาที่ไม่พึงมี แต่เขากลับมอบรักแท้ให้นาง หลี่เมิ่งซีใจลอยไปชั่วขณะ

“สะใภ้รอง…”

เสียงของหวังอี๋เหนียงเหมือนลอยมาจากที่ไกลๆ ดึงความคิดอันล่องลอยของหลี่เมิ่งซีกลับคืนมา นางแอบชำเลืองมองหวังอี๋เหนียงแวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายยังพูดไม่หยุดจึงตั้งสติอีกครั้ง นางถอนเข็มเงินออกมาอย่างมั่นคงพลางฟังหวังอี๋เหนียงพูด

“…สะใภ้รอง อนุรู้ว่าปกติเหล่าไท่จวินเอ็นดูท่านมากที่สุด ตามหลักแล้วก็ไม่ควรพูดเช่นนี้ เพียงแต่อนุไม่อยากเห็นท่านลำบากจริงๆ อนุอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้มานานกว่าท่าน บางเรื่องก็ปลงได้แล้ว สะใภ้รองท่านอย่าเห็นว่าปกติเหล่าไท่จวินเป็นคนเมตตาอารีเป็นอันขาด เวลาที่จัดการเรื่องใดขึ้นมาจริงๆ ไม่เคยเลอะเลือนแม้แต่น้อย ความเฉียบขาดของเหล่าไท่จวินนั้น ในคฤหาสน์สกุลเซียวแห่งนี้ไม่มีใครเทียบได้แล้ว”

หวังอี๋เหนียงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดมองหลี่เมิ่งซี เห็นอีกฝ่ายยังคงจดจ่อกับงานในมือเหมือนไม่เข้าใจความหมายของตนอย่างไรอย่างนั้น นางถอนหายใจทีหนึ่ง สุดท้ายราวกับตัดสินใจครั้งใหญ่ได้ มองสะใภ้รองแล้วเอ่ยว่า “สะใภ้รองแต่งเข้ามาสองปีแล้ว อนุยังไม่เคยเห็นคนจากบ้านเดิมของท่านมาเยี่ยมเลยสักครั้ง คิดว่าสะใภ้รองอยู่บ้านเดิมคงไม่เป็นที่ต้อนรับสักเท่าไร บิดากับพี่ชายของอนุเป็นขุนนางตำแหน่งเล็กๆ ในชิงโจว มารดาเป็นคนเมตตาอารีคนหนึ่ง หากสะใภ้รองเกิดเรื่อง อนุจะเขียนจดหมายถึงมารดา พวกเขาต้องดูแลท่านได้แน่นอน เพียงแต่สะใภ้รองอย่าได้รังเกียจที่บ้านมารดาของอนุอัตคัดคับแคบไปเลย”

คำพูดนี้ของหวังอี๋เหนียงจริงใจอย่างยิ่ง ตั้งแต่ครั้งก่อนที่หลี่เมิ่งซีช่วยชีวิตลูกสาวทั้งสองของนางไว้ หวังอี๋เหนียงก็เอาใจใส่หลี่เมิ่งซีมาตลอด ช่วงที่อยู่ที่นี่หลี่เมิ่งซีเองก็เห็นนางเป็นคนใกล้ชิด ไม่เคยเห็นนางเป็นบ่าวมาก่อนและไม่เคยรังแกนางด้วย สองคนที่เดิมทีเป็นศัตรูหัวใจ เพราะหมดใจกับบุรุษผู้นั้นแล้วจึงก่อเกิดเป็นมิตรภาพระหว่างพี่น้องอันลึกซึ้ง

วันนี้เห็นหลี่เมิ่งซีลำบาก แม้หวังอี๋เหนียงจะรู้ว่าทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมมารยาท แต่นางรู้ดีว่าในยุคสมัยนี้หากสตรีคนหนึ่งขาดความรักใคร่จากบ้านสามีและบ้านเดิมของตนเองไป จุดจบจะอ้างว้างเพียงใด นางกลัวเหลือเกินว่าสะใภ้รองที่หยิ่งทะนงผู้นี้ เพื่อเอาชนะให้ได้แล้ว สุดท้ายจะต้องหนาวตายอยู่บนถนน

แม้วันนั้นเหล่าไท่จวินจะประกาศต่อหน้าทุกคนว่าหลี่เมิ่งซียังคงเป็นสะใภ้สกุลเซียว แต่นางมองเห็นความเฉียบขาดในดวงตาของเหล่าไท่จวิน การหย่าสะใภ้รองเป็นเรื่องช้าเร็วเท่านั้น ไตร่ตรองอยู่สองคืนสุดท้ายก็มิอาจต้านทานความกังวลต่อโชคชะตาในอนาคตของสะใภ้รองได้ นางจึงยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

คำพูดของหวังอี๋เหนียง หากคนไม่ประสงค์ดีมาได้ยินเข้าและแพร่ไปถึงหูนายหญิงใหญ่ ไม่รู้จะเกิดเรื่องวุ่นวายมากน้อยเพียงใด ฟังคำพูดจริงใจเหล่านั้นแล้วหลี่เมิ่งซีอดรู้สึกแสบจมูกไม่ได้ น้ำตาเกือบจะไหลออกมา นางสะกดความตื้นตันในใจ ฝืนตอบอย่างเป็นธรรมชาติ “คำพูดบางอย่างพูดแล้วก็ถือว่าได้พูดแล้ว วันหน้าอย่าได้พูดถึงอีก หวังอี๋เหนียงเข้ามาในคฤหาสน์นานที่สุด ย่อมรู้ว่าคฤหาสน์หลังนี้มีกฎธรรมเนียมมากมาย จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย ต่อไปหวังอี๋เหนียงปล่อยให้คำพูดเหล่านี้บูดอยู่ในท้องเถอะ อย่าได้พูดออกมาอีกเลย”

หวังอี๋เหนียงฟังแล้วก็รู้ว่าสะใภ้รองหวังดีต่อนาง ไม่อยากให้นางพลอยเดือดร้อนไปด้วย พอคิดว่าสะใภ้รองเองยังยากจะปกป้องตนเอง แต่กลับคิดเผื่อนางก็รู้สึกแสบจมูก น้ำตาร้อนผ่าวสองสายไหลออกมา นางพูดเสียงสะอื้นเล็กน้อย “สะใภ้รอง…”

“ปีนี้ชุนเอ๋อร์เจ็ดขวบแล้ว แม้ภาษิตว่าสตรีไร้ความสามารถเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง แต่สกุลอย่างพวกเรา งานเย็บปักถักร้อยต้องเรียนรู้ หนังสือตำราก็ต้องเรียนรู้ไว้บ้างถึงจะดี วันหน้าจะได้มีความสามารถในการตั้งตัว แต่งเข้าบ้านสามีก็จะไม่ถูกดูแคลน แต่ก่อนข้าเป็นคนสอนนาง เห็นที่นางติดน้องสาวจึงตามใจไม่ส่งนางไปสำนักศึกษา วันหน้าหวังอี๋เหนียงส่งนางไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาเถอะ ถึงอย่างไรย่อมดีกว่าเรียนอยู่กับข้า หากไม่ได้จริงๆ หวังอี๋เหนียงค่อยขอร้องคุณชายรองให้หาอาจารย์หญิงกลับมาสอนหนังสือแม่นางทั้งสองก็ยังดี”

หลี่เมิ่งซีเห็นหวังอี๋เหนียงจะพูดต่อจึงรีบเอ่ยปากขัดคำพูดนาง พูดถึงเรื่องของบุตรสาวแล้ว นี่เป็นเรื่องเดียวที่นางห่วงหากต้องออกจากคฤหาสน์ บุตรสาวทั้งสามของเซียวจวิ้นสนิทสนมกับนาง โดยเฉพาะชุนเอ๋อร์กับเฟิ่งเอ๋อร์ ทั้งสองมักมาฟังนางเล่านิทานที่เรือนปีกตะวันออกเสมอ จากนั้นก็จะนอนอยู่บนเตียงของนาง ทำให้หลี่เมิ่งซีที่ยังไม่เคยเป็นแม่จริงๆ เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในหัวใจ อยากพูดเรื่องนี้กับหวังอี๋เหนียงนานแล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีจึงพูดออกมา

หวังอี๋เหนียงฟังแล้วก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับดวงตาพลางพูดว่า “สองวันนี้อนุก็ใคร่ครวญเรื่องนี้อยู่เช่นกันเจ้าค่ะ วันนี้ได้ยินสะใภ้รองพูดถึง อนุจะจัดการตามที่ท่านบอกนะเจ้าคะ”

มองหวังอี๋เหนียงที่เห็นตนเป็นเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของตนเองแล้ว หลี่เมิ่งซีก็ถอนใจ “หวังอี๋เหนียงอายุยังน้อย อย่าปล่อยวางเรื่องต่างๆ ถึงเพียงนี้สิ สิ่งที่ควรแย่งชิงก็ต้องแย่งชิงไว้บ้าง หวังอี๋เหนียงมีลูกสาวสองคน นี่เป็นสิ่งที่ใครก็แย่งไปไม่ได้ คุณชายรองเย็นชาไปหน่อยก็จริง แต่นิสัยเขาไม่เลวเลย หวังอี๋เหนียงคอยปรนนิบัติให้ดี วันหน้าคุณชายรองต้องไม่ผิดต่อพวกเจ้าแม่ลูกแน่”

“สะใภ้รองกล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ เพียงแต่คนเราเมื่อหัวใจตายไปแล้ว ย่อมไม่มีความปรารถนาใดๆ อีก ชุนเอ๋อร์กับเฟิ่งเอ๋อร์ประสบเคราะห์กรรมมากมายตั้งแต่เล็ก หากไม่มีสะใภ้รอง ป่านนี้เด็กทั้งสองคงจะตายไปนานแล้ว อนุเองก็คงเป็นเหมือนเฉินอี๋เหนียง จากไปเช่นนั้น”

หวังอี๋เหนียงพูดถึงตรงนี้และหยุดครู่หนึ่ง เงยหน้ามองหลี่เมิ่งซีก่อนจะพูดต่อ “ตั้งแต่เกิดเรื่องกับลูกสาวสองคนครั้งนั้น เพื่อขอพรให้ลูกสาว อนุจึงไหว้พระทำบุญอยู่บ่อยๆ ช่วงหลังมานี้ถึงตระหนักได้ว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์สกุลเซียวที่หรูหราเกินใคร หรือผู้คนมากมายหลากหลายในคฤหาสน์ เดิมทีล้วนเกิดจากการปรุงแต่งทั้งนั้น หากจะกล่าวถึงต้นกำเนิด ล้วนเป็นความว่างเปล่า แต่เพราะมนุษย์บนโลกมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาจึงเกิดรูปและสีสัน ทำให้มนุษย์ลุ่มหลงและลืมรากเหง้าเดิมของตนเอง หากไม่เพราะมีลูกสาวทั้งสองที่ยังห่วงอยู่ อนุก็อยากตัดความว้าวุ่นกลุ้มใจทั้งหมดและเข้าสู่ประตูธรรมเสียเหลือเกิน จะได้สั่งสมกุศลบารมีให้ชุนเอ๋อร์กับเฟิ่งเอ๋อร์มากยิ่งขึ้น บรรเทาบาปให้ลดน้อยลงได้”

ฟังคำพูดของหวังอี๋เหนียงแล้ว หลี่เมิ่งซีอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ นางอึกอักครู่หนึ่งแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา คนปกติคนหนึ่งกลับบังเกิดความคิดเช่นนี้ หวังอี๋เหนียงอายุแค่ยี่สิบสี่เท่านั้น หากเป็นเมื่อชาติก่อนของนาง ย่อมเป็นวัยที่กำลังงดงามและแสวงหาความสุข

แต่เมื่อเกิดในยุคโบราณที่บุรุษเป็นใหญ่สตรีต่ำต้อยแล้ว นางต้องมาเป็นอนุที่ต่ำต้อยและสูญเสียความรักจากสามีไปตั้งแต่ยังสาว แม้อยากโน้มน้าวนางให้คิดใหม่ แต่ตนจะทำอะไรได้เล่า ถึงอย่างไรชีวิตนี้ของหวังอี๋เหนียงก็หนีความเงียบเหงาในช่วงชีวิตที่เหลือไม่พ้นอยู่ดี คิดเช่นนี้หลี่เมิ่งซีจึงไม่โน้มน้าวนางอีก เพียงถอนเข็มเงินออกมาทีละเล่มและเรียงไว้ในกล่อง

บรรยากาศในห้องพลันหนักอึ้งอย่างแปลกประหลาด จือซย่าปิดปากแน่นสนิทยืนอยู่ด้านข้าง มองหวังอี๋เหนียงด้วยความเห็นใจ

เนิ่นนานผ่านไป เสียงของหวังอี๋เหนียงราวกับลอยมาจากถ้ำอันว่างเปล่า ฟังแล้วไม่เหมือนจริงอย่างยิ่ง “ข้าตัดลูกสาวไม่ได้ ตัดสะใภ้รองไม่ได้ ตัดเรื่องทางโลกไม่ได้ ตัดความว้าวุ่นใจเหล่านี้ไม่ได้ จึงก้าวข้ามธรณีประตูนั้นไปไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นได้เพียงปุถุชนทั่วไปคนหนึ่ง…” ทอดถอนใจพักหนึ่ง หวังอี๋เหนียงจึงลุกขึ้นขอตัว

หลี่เมิ่งซีเรียกหงจูเข้ามา ช่วยกันกับจือซย่าป้อนยาให้เซียวจวิ้น วันนั้นหมอสั่งยาให้ก็จริง แต่หลี่เมิ่งซีเหลือบมองเพียงแวบเดียวและวางไว้ด้านข้าง ตั้งแต่เมื่อวานก็ใช้ยาของนางเองตลอด ให้หงจูกับจือซย่าคอยป้อนทุกวันโดยไม่ให้สาวใช้คนอื่นๆ เห็น หงจูเห็นว่ายานี้ได้ผลจึงตามใจนาง

เห็นทั้งสองป้อนยาเสร็จ เก็บของเรียบร้อย หลี่เมิ่งซีก็เปิดผ้าพันแผลที่มือขวาของเซียวจวิ้นเพื่อตรวจดูบาดแผลของเขา บริเวณเนื้อเน่าเริ่มมีสีแดงเหมือนกำลังจะเกิดเนื้อใหม่ขึ้น มีแนวโน้มว่าแผลจะค่อยๆ สมาน นางทำความสะอาดอีกครั้ง ใส่ยาและพันแผลให้เรียบร้อย

มองใบหน้าของเซียวจวิ้น รอยฟกช้ำจากการถูกตียังไม่หายไปทั้งหมด แต่ใบหน้ากลับเป็นปกติแล้ว เช้าวันนี้ไม่มีไข้ ฟังลมหายใจมั่นคงสม่ำเสมอของเซียวจวิ้นพลางคิดว่าเขาน่าจะฟื้นได้แล้ว

คิดเช่นนี้จึงเรียกหงจูมากำชับยาที่ต้องกินและใช้ในสองวันนี้อย่างละเอียด สุดท้ายจึงเอ่ยว่า “คุณชายรองไข้ลดแล้ว ประเดี๋ยวน่าจะได้สติ ไปเรียนเหล่าไท่จวินว่าข้ากลับเรือนปีกตะวันออกก่อน มีเรื่องอะไรค่อยส่งสาวใช้ไปแจ้งที่เรือนปีกตะวันออกแล้วกัน”

หงจูได้ยินว่าสะใภ้รองจะกลับเรือนปีกตะวันออกก็ตะลึงงัน ตลอดสองวันนี้คนที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องต่างรู้ว่าตอนคุณชายรองไม่ได้สติมักจะเพ้ออยู่ตลอด และเอาแต่เรียกชื่อสะใภ้รอง ทำเอานางตกใจจนไม่กล้าให้สาวใช้เข้ามา มีเพียงนางกับหงซิ่งคอยปรนนิบัติอยู่ในห้องเท่านั้น

ใช้หัวเข่าคิดก็รู้ได้ว่าคุณชายรองฟื้นขึ้นมาแล้วคนแรกที่เขาอยากเห็นมากที่สุดก็คือสะใภ้รอง ทว่าสะใภ้รองที่ไม่สำรวมผู้นี้หลังจากปรนนิบัติดูแลคุณชายรองอยู่สองวันโดยมิได้พักผ่อน ถึงเวลาเอาหน้ากลับจะหนีหน้าไปเสียอย่างนั้น นางไม่อยากสร้างความทรงจำดีๆ ต่อหน้าคุณชายรองแม้แต่น้อยนิดเลยหรือ อย่างน้อยคุณชายรองจะได้ช่วยต่อสู้เพื่อนาง บางทีอาจเอาชนะเหล่าไท่จวินได้จริงๆ ก็ได้

ตั้งแต่เรื่องที่สะใภ้รองเป็นลูกอนุถูกเปิดเผย สาวใช้และบ่าวหญิงทั้งหลายในเรือนเซียวเซียงต่างก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเรื่องนี้ ปรนนิบัติรับใช้อย่างระมัดระวัง เกรงว่าจะพลั้งปากทำผิดพลาดไป แม้แต่หงจูเองเวลาคุยกับสะใภ้รองยังไม่เป็นธรรมชาติเหมือนแต่ก่อน นางคาดเดาความคิดในใจสะใภ้รองไม่ออก แน่นอนว่าย่อมไม่กล้าพูดจาส่งเดช ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกัน ครั้นเห็นสะใภ้รองจะจากไปจึงรวบรวมความกล้าเอ่ยว่า “สะใภ้รองเหนื่อยแล้ว บ่าวปรนนิบัติท่านพักผ่อนสักครู่เถอะเจ้าค่ะ คุณชายรองใกล้จะฟื้นแล้ว บ่าวคิดว่าคุณชายรองฟื้นขึ้นมาแล้วคนแรกที่อยากเห็นจะต้องเป็น…”

หงจูที่กำลังพูดพอเห็นสายตาที่น่าเกรงขามของหลี่เมิ่งซีกวาดมองมาแล้ว นางตกใจจนกลืนคำพูดที่เหลือกลับลงไป อึกอักครู่หนึ่งก็ไม่ได้เปล่งเสียงออกมาอีก เพียงมองหลี่เมิ่งซีอย่างประหม่า

เห็นหงจูไม่พูดอะไรแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงถอนสายตากลับมา ชี้ยาขวดสุดท้ายแล้วเอ่ยว่า “ยาขวดนี้เพิ่งซื้อกลับมาจากร้านยาอี๋ชุน เห็นว่าช่วยสร้างกล้ามเนื้อและทำให้โลหิตไหลเวียนดีขึ้น ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ อย่าลืมเปลี่ยนยาที่แผลบนมือของคุณชายรองตามเวลาด้วย” หลี่เมิ่งซีพูดจบก็ไม่สนใจหงจูอีก นางให้จือซย่าประคองเดินออกไป

“บ่าวจะทำตามคำสั่งของสะใภ้รองอย่างเคร่งครัด บ่าวน้อมส่งสะใภ้รองเจ้าค่ะ” 

เซียวจวิ้นลืมตา รู้สึกงุนงงไม่รู้ตนเองอยู่ที่ใด เขาจำได้ว่าเพราะล่วงเกินท่านย่ากับบิดาจึงถูกบิดาลงโทษให้คุกเข่า หันมองไปรอบด้านก็พบว่าเป็นห้องนอนของตนเอง คิดว่าเขาคงเป็นลมและถูกส่งกลับมา จำได้ว่าก่อนเป็นลมเขาคิดถึงซีเอ๋อร์ เขาพลันนึกอะไรขึ้นได้ ยื่นมือไปลูบคลำที่หน้าอก ว่างเปล่าไม่มีอะไรทั้งนั้น เขาตกใจก่อนดิ้นรนลุกขึ้นนั่ง

พอออกแรงถึงได้รู้ว่าร่างกายไม่มีแรงแม้แต่น้อย จึงเปิดปากตะโกน “หงจู หงจู!”

หงจูที่งีบหลับอยู่บนตั่งนุ่มได้ยินเสียงคุณชายรองก็ลืมตาทันใด เห็นคุณชายรองกำลังมองนางจึงผุดลุกขึ้นทันที ปราดไปข้างเตียงแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “ในที่สุดคุณชายรองก็ฟื้นแล้ว บ่าวเผลอหลับไป คุณชายรองหมดสติไปสองวัน ในที่สุดก็ฟื้นเสียที คุณชายรองจะทำอะไรเจ้าคะ”

ในที่สุดก็รอจนหงจูที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดหุบปากลงได้เสียที เซียวจวิ้นเอ่ยถาม “ข้าหลับไปสองวัน เสื้อผ้าที่ข้าสวมใส่วันนั้นเล่า”

ฟังคำพูดไม่มีหัวไม่มีท้ายของเซียวจวิ้นแล้ว หงจูงุนงงอยู่นานจึงได้สติ รีบตอบว่า “เสื้อผ้าที่คุณชายรองสวมใส่วันนั้นสกปรก บ่าวส่งไปซักแล้วเจ้าค่ะ สองวันนี้น่าจะส่งกลับมาแล้ว คุณชายรองจะสวมหรือเจ้าคะ”

เซียวจวิ้นได้ยินว่าเสื้อผ้าถูกส่งไปซักสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ “ของที่อยู่ในเสื้อผ้าได้เอาออกมาหรือไม่”

เรื่องนี้ยังต้องถามด้วยหรือ! หรือคุณชายรองเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ ได้ยินเซียวจวิ้นถามเช่นนี้ หงจูก็มองเขาอย่างเป็นกังวลและตอบอย่างระมัดระวัง “เอาออกมาหมดแล้วเจ้าค่ะ คุณชายรองจะหาอะไรเจ้าคะ บ่าวจะไปหยิบมาให้”

“เอามาให้หมด”

หงจูหันหลังไปหยิบถาดใบหนึ่งออกมาจากใต้ตู้ บนนั้นมีหยกประดับ เซียว ตั๋วแลกเงิน และของใช้ติดตัวอื่นๆ ของเซียวจวิ้น นางยกไปตรงหน้าผู้เป็นนาย

เซียวจวิ้นกวาดตามองรอบหนึ่งก็ไม่พบว่ามีของที่เขาต้องการ ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย จ้องถาดใบนั้นอย่างเหม่อลอย

หงจูประคองถาดยืนอยู่ตรงนั้น เห็นเซียวจวิ้นไม่พูดไม่จา ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไรจึงเอ่ยถาม “คุณชายรองต้องการอะไรเจ้าคะ”

“มีแค่นี้หรือ ไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว?”

หงจูฟังแล้วอึ้งไป พลันนึกถึงของอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ รีบตอบว่า “คุณชายรองโปรดรอสักครู่!”

หงจูพูดจบก็หมุนตัวไปวางถาดลง แล้วค้นดูในตู้ข้างเตียงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบห่อของขนาดเล็กที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าออกมา เปิดออกดูแล้วเป็นปอยผมที่หลี่เมิ่งซีตัดออกมา ถูกล้างจนสะอาด เปล่งประกายเงางาม นางยื่นให้เซียวจวิ้นด้วยสองมือ “คุณชายรองต้องการหาสิ่งนี้หรือเจ้าคะ เมื่อวานบ่าวรู้สึกว่าของสิ่งนี้…ไม่ควรให้บ่าวคนอื่นเห็น จึงแยกเก็บไว้ต่างหากเจ้าค่ะ”

เห็นปอยผมนั้นแล้ว ดวงตาเซียวจวิ้นก็เปล่งประกายต่างออกไป เขายื่นมือซ้ายออกไปและห่อเก็บไว้อย่างเงอะงะ แล้วนำมาเก็บไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง ก่อนจะพรูลมหายใจยาวออกมา

ดวงตากวาดมองหาไปทั่วห้องอีกครั้ง มองอยู่นาน ใบหน้าพลันปรากฏแววตื่นตระหนก เซียวจวิ้นถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “สะใภ้รองเล่า ยังอยู่ในคฤหาสน์หรือไม่!”

เห็นคุณชายรองเก็บผมของสะใภ้รองราวกับเป็นของล้ำค่า แต่เมื่อคิดถึงฐานะลูกอนุของสะใภ้รองแล้ว หงจูลอบรู้สึกเสียดายแทนสะใภ้รองจริงๆ ได้ยินเสียงร้อนรนของคุณชายรองก็รู้ว่าคุณชายรองกังวลอะไร นางจึงรีบตอบ “คุณชายรองวางใจเถอะเจ้าค่ะ สะใภ้รองยังอยู่ในคฤหาสน์ตลอด ปรนนิบัติดูแลท่านโดยไม่ได้พักผ่อนเลยตลอดสองวัน เมื่อครู่เห็นท่านไม่มีไข้แล้วจึงกลับเรือนปีกตะวันออกไปเจ้าค่ะ”

หงจูพูดจบ เห็นเซียวจวิ้นไม่พูดอะไรนางจึงพูดต่อ “คุณชายรองหมดสติไปสองวัน ป่านนี้คงหิวแล้ว เมื่อครู่สะใภ้รองสั่งให้หงซิ่งทำโจ๊กเปล่า บ่าวจะสั่งให้คนยกเข้ามานะเจ้าคะ คุณชายรองกินโจ๊กก่อน เมื่อครู่นี้เหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่เพิ่งส่งคนมาสอบถามอาการของท่าน บ่าวจะส่งคนไปรายงานเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

หงจูพูดจบ เห็นเซียวจวิ้นพยักหน้า นางจึงหันหลังเดินออกไป

เพิ่งถึงหน้าประตูก็ถูกเรียกกลับมา ได้ยินเซียวจวิ้นเอ่ยว่า “ประเดี๋ยวค่อยไปรายงานที่เรือนโซ่วสี่ เจ้าไปเรือนปีกตะวันออกตามสะใภ้รองมาก่อน”

ได้ยินคำสั่งของเซียวจวิ้นแล้วหงจูลังเลครู่หนึ่ง สุดท้ายก็รับคำเดินออกไป

พอรู้ว่าหลี่เมิ่งซีดูแลเขาอยู่ข้างเตียงตลอดสองวันที่ผ่านมา เซียวจวิ้นก็เผยรอยยิ้มมีความสุข หัวใจพลันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยน นึกอยากพบนางทันที เห็นหงจูจะไปรายงานเหล่าไท่จวินเขาพลันนึกขึ้นได้ว่าวันที่ฐานะลูกอนุของหลี่เมิ่งซีถูกเปิดเผย หลังจากถูกตามตัวกลับมาจากข้างนอกอย่างเร่งด่วน เขาก็ถูกพาไปเรือนโซ่วสี่ทันที ตั้งแต่ตอนนั้นยังไม่ได้พูดคุยกับหลี่เมิ่งซีเป็นการส่วนตัวเลย

ชาติกำเนิดของหลี่เมิ่งซีขัดต่อคำสอนของบรรพบุรุษ นี่เป็นเรื่องใหญ่เกินไป แม้เขาสาบานว่าจะไม่เป็นประมุขสกุล ท่านย่ากับบิดามารดาก็ไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่ เขาต้องทำความตกลงร่วมกับหลี่เมิ่งซีก่อนที่จะพบกับเหล่าไท่จวินเสียก่อน ยามนี้เขานึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เขาน่าจะคุยกับหลี่เมิ่งซี การจะต่อต้านคำสอนของบรรพบุรุษสกุลเซียวกำลังเขาเพียงคนเดียวนั้นน้อยเกินไป พวกเขาต้องร่วมแรงร่วมใจกันถึงจะสำเร็จ ขอเพียงนางยืนอยู่ข้างหลังเขา มองเขาด้วยสายตาเชื่อมั่น เขาก็จะมีพลังอย่างเต็มเปี่ยม สามารถยืนหยัดเพื่อความสุขของนางกับเขาได้จนถึงที่สุด ไม่ละความพยายามเด็ดขาด ยิ่งไม่ปล่อยให้นางถูกรังแกในสกุลเซียว!

เฝ้ามองประตูอย่างคาดหวัง ไม่นานประตูก็ถูกเปิดออก เซียวจวิ้นตาเป็นประกายก่อนจะดับวูบลง ที่แท้เป็นหงซิ่งถือถาดเงินเดินเข้ามา

เห็นเซียวจวิ้นมองมา หงซิ่งก็วางถาดเงินลงบนโต๊ะพลางพูด “นี่เป็นโจ๊กเปล่าที่สะใภ้รองกำชับให้บ่าวทำเป็นพิเศษ คุณชายรองรีบกินตอนร้อนๆ เถอะเจ้าค่ะ”

เห็นหงซิ่งยกโจ๊กเข้ามา เซียวจวิ้นก็รู้สึกหิวขึ้นมาจริงๆ แต่ด้วยคิดว่าหลี่เมิ่งซีกำลังจะมา เขาจึงพูดกับหงซิ่งว่า “วางไว้ก่อนเถอะ รินน้ำให้ข้าถ้วยหนึ่ง”

หงซิ่งรับคำ รีบหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินน้ำ นางเดินเข้ามาประคองเซียวจวิ้นลุกขึ้นนั่งพลางใช้หมอนหนุนไว้ข้างหลังและปรนนิบัติเขาดื่มน้ำ

ระหว่างยุ่งง่วนก็เห็นหงจูผลักประตูเข้ามาอย่างหมดอาลัยตายอยาก เซียวจวิ้นเห็นเข้าจึงพูดกับหงซิ่ง “เจ้าออกไปเถอะ มีหงจูอยู่ก็พอแล้ว”

หงซิ่งรับคำและหมุนตัวเดินออกไป

เห็นหงซิ่งออกไปแล้ว เซียวจวิ้นจึงเอ่ยถาม “สะใภ้รองทำอะไรอยู่ นางว่าอย่างไรบ้าง”

มองคุณชายรองแล้ว หงจูสีหน้าหม่นหมอง ขยับปากครู่หนึ่งหันไปเหลือบเห็นโจ๊กบนโต๊ะจึงพูดกับเขา “บ่าวปรนนิบัติคุณชายรองกินโจ๊กก่อนดีกว่า ประเดี๋ยวเย็นแล้วจะไม่อร่อยนะเจ้าคะ”

“สะใภ้รองว่าอย่างไร!” เห็นหงจูเป็นเช่นนี้ ร่างกายของเซียวจวิ้นก็สะท้านเฮือก เขาเสียงแข็งขึ้นโดยไม่รู้ตัว

หงจูหน้าซีดเมื่อเห็นคุณชายรองร้อนใจ เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าตอบ “สะใภ้รองบอกว่า…บอกว่านางกับคุณชายรองตัดขาดกันแล้ว แค่รอให้คุณชายรองฟื้นขึ้นมาเขียนหนังสือหย่าให้นาง แล้วนางก็จะไปจากคฤหาสน์สกุลเซียว ไม่สะดวกจะพบคุณชายรองตามลำพังอีก สั่งให้บ่าวปรนนิบัติท่านให้ดีเจ้าค่ะ”

ฟังคำพูดไร้เยื่อใยเช่นนี้แล้ว เซียวจวิ้นร่างกายสั่นสะท้าน เขาถามว่า “เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ถือโอกาสตอนที่ข้าไม่ได้สติบีบคั้นสะใภ้รองหรือ”

“เรียนคุณชายรอง เหล่าไท่จวินแค่สั่งให้สะใภ้รองเคร่งครัดในกฎธรรมเนียม ปรนนิบัติท่านให้ดี ทุกอย่างรอให้ท่านฟื้นแล้วค่อยว่ากัน บ่าวเดาว่าสะใภ้รองคงกลัวว่าท่านจะฝ่าฝืนคำสอนของบรรพบุรุษเพื่อนางอีก ทำให้เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่โมโหจนต้องขึ้นชื่อว่าอกตัญญู มิสู้ไม่พบจะดีกว่า ตัดความคิดเพ้อฝันของท่านเสียแต่ตอนนี้ บ่าวขอร้องคุณชายรองโปรดปล่อยวางเถอะเจ้าค่ะ คำสอนของบรรพบุรุษยากจะฝ่าฝืน สะใภ้รองทำเช่นนี้ก็ด้วยหวังดีต่อท่าน ถึงอย่างไรเจ็บยาวย่อมมิสู้เจ็บสั้น”

ฟังคำพูดหงจูแล้ว เซียวจวิ้นเอนกายลงบนเตียงและหลับตาลง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 14 พ.ค. 62

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

Jamsai Editor: