X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 4 บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 6

 อารามชิงซินเป็นสถานที่กันดารที่แม้แต่นกยังไม่บินมาอึ นอกจากคนที่มาไหว้พระเป็นครั้งคราวแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก คิดไม่ถึงว่าพอสะใภ้รองย้ายเข้ามาอยู่ ที่แห่งนี้จะคึกคักขึ้น ตอนเช้ามีคนเข้าออกอยู่หลายกลุ่ม

บ่าวหญิงแซ่เฉียนยืนอยู่นอกประตู มองดูคนกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งถูกไล่กลับไปและคนกลุ่มใหม่ที่มาเยี่ยมสะใภ้รองพลางบ่น “รับคำสั่งให้มาเฝ้าอารามชิงซินแต่เช้า เดิมทีคิดว่าเป็นงานสบายๆ คิดไม่ถึงว่าตลอดช่วงเช้านี้จะไม่ได้พักเลยแม้แต่เค่อเดียว!”

บ่าวหญิงแซ่ซุนที่อยู่ด้านข้างพูดอย่างไม่สบายใจ “ถ้าแค่ต้องเป็นกังวล เหนื่อยนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก เกรงว่าข้างในจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราย่อมหนีความรับผิดชอบไม่พ้น!”

“กลัวอะไรเล่า ถึงอย่างไรพวกเราแค่ฟังคำสั่งของนายหญิงใหญ่ เฝ้าประตูไว้ไม่ให้คนเข้าออกก็พอ ต่อให้ข้างในมีคนตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา!”

“ดีไม่ดีอาจเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริง เจ้าไม่เห็นหรือ ครั้งนี้ไม่เพียงคนเฝ้าประตู แม่ครัว บ่าวเฝ้ายามตอนกลางคืน หรือแม้แต่สาวใช้กับบ่าวหญิงข้างในยังถูกเปลี่ยนชุดใหญ่ นายหญิงใหญ่ไม่ได้พูดอย่างชัดเจนก็จริง แต่เจ้าดูเถอะ การโยกย้ายคนในคฤหาสน์ครั้งใหญ่เช่นนี้ หลายปีมานี้เกิดขึ้นสักกี่ครั้งเชียว แค่นี้เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ” บ่าวหญิงแซ่ซุนพูดพลางใช้มือทำท่าปาดคอ

บ่าวหญิงแซ่เฉียนเห็นแล้วสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย กำลังจะพูดก็เห็นแต่ไกลว่ามีรถม้าคันหนึ่งแล่นมาและจอดเมื่อเข้ามาใกล้ เห็นคุณชายสามกับหงจูลงมา ไม่เหลือบแลพวกนางก็ตรงไปที่ประตูใหญ่ทันที

ทั้งสองพอเห็นว่าเป็นคุณชายสามก็ลอบโอดครวญในใจ ก่อนจะฝืนใจเข้าไปขวางและทำความเคารพ “คารวะคุณชายสาม อารามชิงซินแห่งนี้มีแต่สตรี ไม่สะดวกจะให้คุณชายสามเข้าไป ไม่ทราบว่าคุณชายสามมีธุระอะไรเจ้าคะ บ่าวจะเข้าไปส่งข่าวให้”

เซียวอวิ้นเหลือบมองบ่าวหญิงสูงวัยสองคนและพูดเสียงเย็น “ได้ยินว่าเมื่อวานพี่สะใภ้รองถูกส่งมาอยู่ที่นี่ ข้ามาเยี่ยมนาง”

คุณชายสามเป็นเจ้านายคนหนึ่ง หาใช่บุคคลที่พวกนางจะล่วงเกินได้ แต่นายหญิงใหญ่สั่งมาแล้วว่า ระหว่างที่คุณชายรองพักฟื้นอยู่ ห้ามไม่ให้แมลงวันแม้แต่ตัวเดียวบินเข้าไปในอารามชิงซิน ยิ่งไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปเยี่ยม

ฟังคำพูดคุณชายสามแล้ว บ่าวหญิงสูงวัยสองคนก็ตกใจจนหน้าถอดสี ลอบโอดครวญในใจไม่หยุด ปั้นยิ้มตอบว่า “คุณชายสามเป็นเจ้านาย ต่อให้บ่าวบังอาจเพียงใดก็ไม่กล้าขวางท่านหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่หนึ่งคืออารามแห่งนี้มีแต่สตรีอาศัยอยู่ ไม่สะดวกให้คุณชายสามเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายสามจะพบสะใภ้รองตามลำพังย่อมไม่สมเหตุสมผล สองคือนายหญิงใหญ่มีคำสั่งให้บ่าวเฝ้าอยู่ที่นี่ ไม่ให้ใครเข้าไปทั้งนั้น หากคุณชายสามอยากเข้าไปจริงๆ ก็อย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลย ไปขออนุญาตนายหญิงใหญ่ก่อนดีหรือไม่ หากมีคำสั่งจากนายหญิงใหญ่แล้ว บ่าวต้องให้ท่านเข้าไปแน่นอนเจ้าค่ะ”

ฟังคำพูดนี้แล้ว เซียวอวิ้นก็หัวใจสะดุด เห็นทีหงจูจะพูดไม่ผิด เมื่อวานเขาไปพบเหล่าไท่จวินแล้ว นี่มิใช่ความประสงค์ของเหล่าไท่จวินแน่นอน นายหญิงใหญ่ลงทุนลงแรงเช่นนี้คิดจะทำอะไรกันแน่!

พอคิดเช่นนี้ในใจพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดี เขาตีหน้าบึ้งพลางเอ่ยเสียงเย็น “ไม่สมเหตุสมผล! วันนี้ข้าจะดูว่าใครเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์เช่นนั้น ไม่ให้ข้าไปพบพี่สะใภ้ของตนเอง!” เซียวอวิ้นพูดจบก็พยักหน้าส่งสัญญาณกับหงจู ไม่สนใจบ่าวหญิงด้านข้างอีกจะบุกเข้าไปด้วยกำลัง

บ่าวหญิงทั้งสองเห็นแล้วรีบคุกเข่าลงขวางทางคุณชายสามแล้วพูดว่า “คุณชายสาม บ่าวแค่ทำตามคำสั่ง ขอคุณชายสามโปรดอย่าทำให้บ่าวลำบากใจเลยเจ้าค่ะ!”

เซียวอวิ้นเห็นแล้วขมวดคิ้วมุ่น ไม่พูดอะไรก็ยกขาถีบนางออกไปทันที ก้าวยาวๆ ไปที่ประตูและถีบประตูออก ก้าวเดินเข้าไป

หงจูถลึงตาใส่บ่าวหญิงที่กุมหน้าอกล้มลงบนพื้นอย่างดุดัน ก่อนจะรีบเดินตามเข้าไป

ทั้งสองเข้าไปในอารามชิงซิน สืบดูแล้วพบว่าสะใภ้รองถูกจัดให้พักในห้องพักฝั่งตะวันออก ให้บ่าวหญิงคนหนึ่งนำทางไปที่นั่น พอถึงก็ให้นางเข้าไปรายงาน

หลี่เมิ่งซีอ่านหนังสืออยู่ในห้องคนเดียว เห็นบ่าวหญิงเข้ามารายงานว่าคุณชายสามมา นางก็ตกใจ หลายวันก่อนได้ยินโอวหยางตี๋บอกว่าคุณชายสามยังวนเวียนอยู่ที่สวนไป่เฉ่า ยังขอคำชี้แนะจากนางอยู่เลยว่าจะสั่งสอนเขาหน่อยดีหรือไม่ ไฉนคุณชายสามจึงมาที่นี่ได้ ชะงักไปครู่หนึ่ง นึกถึงสถานการณ์ของตนเองตอนนี้แล้ว ดวงตาพลันเปล่งประกาย ตอบว่ารีบเชิญ วางหนังสือและลุกขึ้น

เซียวอวิ้นกับหงจูเดินเข้ามา เงยหน้าเห็นพี่สะใภ้รองที่ไม่ได้พบกันครึ่งปีกว่า นางสวมชุดคลุมยาวผ้าแพรสีขาวเรียบลายดอกสุ่ยเซียน คลุมทับด้วยเสื้อผ้าโปร่งผ่าหน้าสีชมพู เกล้ามวยผมทรงไป่เหอ บนนั้นประดับปิ่นผีเสื้ออันหนึ่ง ดูสง่างามโดดเด่นยิ่งกว่าเดิม ครั้นเห็นหลี่เมิ่งซียืนยิ้มน้อยๆ มองเขาอยู่ตรงนั้น เซียวอวิ้นก็พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่งงัน

“คารวะสะใภ้รอง” เห็นคุณชายสามยืนเฉย หงจูจึงก้าวออกมาคารวะสะใภ้รอง

หลี่เมิ่งซีพยักหน้าให้หงจูลุกขึ้น นางก้าวไปข้างหน้าช้าๆ และย่อกายให้เซียวอวิ้น “คารวะคุณชายสาม”

เห็นหลี่เมิ่งซีคารวะตน เซียวอวิ้นจึงยื่นมือออกไปทำท่าประคอง “พี่สะใภ้รองไม่ต้องมากพิธี”

“ข้าได้ยินว่าคุณชายสามไปฝึกฝนตัวเองในยุทธภพ จะตามหาเซียนปรุงยามิใช่หรือ ไฉนจึงกลับมาเร็วเช่นนี้ ได้ข่าวคราวอะไรมาบ้างหรือไม่”

เซียวอวิ้นฟังแล้วใบหน้าแดงเรื่อ พัดจีบในมือคลี่ออกและหุบลง หุบลงและคลี่ออกใหม่ นานครู่ใหญ่จึงกระแอมเสียงค่อยแล้วตอบว่า “เดิมทีข้าเลื่อมใสเซียนปรุงยาที่ไม่คบหาผู้สูงศักดิ์ นับถือในความอิสรเสรีของเขาที่ท่องเที่ยวไปตามขุนเขาและสายน้ำ ไม่ถูกสิ่งใดผูกมัด ข้าจึงเดินทางไปทั่วเพื่อตามหาเขา หวังจะมีวาสนาได้ฝากตนเป็นลูกศิษย์ น่าเสียดายที่เซียนปรุงยามีหลักแหล่งไม่แน่นอน ครึ่งปีมานี้ไม่มีข่าวคราวเลย เดิมทีคิดจะตามหาต่อ แต่สิบวันก่อนพี่รองให้ม้าเร็วมาส่งข่าวข้า บอกว่าที่บ้านเกิดการเปลี่ยนแปลง ให้ข้ารีบกลับมาโดยไว ด้วยเป็นห่วงที่บ้านข้าจึงรีบรุดกลับมา ไม่คิดว่าจะช้าเกินไป พี่รองกับพี่สะใภ้…”

คำพูดต่อจากนั้นเซียวอวิ้นไม่ได้พูดออกมา เขาชะงักอยู่เช่นนั้น แต่สามคนในห้องล้วนเข้าใจความหมายของเขาดี บรรยากาศชะงักงัน ได้ยินเพียงเสียงจักจั่นร้องอยู่นอกหน้าต่าง

นานครู่ใหญ่ หลี่เมิ่งซีจึงเอ่ยว่า “คุณชายสามมาถึงที่นี่แล้วก็อย่ามัวยืนอยู่เลย มานั่งลงก่อนเถอะ ที่แห่งนี้เทียบกับเรือนซีเจ้าของคุณชายสามไม่ได้ ออกจะอัตคัดไปสักหน่อย คุณชายสามอย่าได้ถือสา”

ได้ยินคำพูดของสะใภ้รอง หงจูก็ได้สติ รีบไปยกเก้าอี้มาให้คุณชายสาม ใช้ผ้าเช็ดเก้าอี้ให้สะอาดและปรนนิบัติคุณชายสามนั่งลง

หลี่เมิ่งซีนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว บ่าวหญิงสูงวัยที่ออกไปเมื่อครู่ยกน้ำชาเข้ามาแล้ว หงจูเข้าไปรับและรินน้ำชาให้ทั้งสองคน ก่อนจะยืนอยู่ข้างกายสะใภ้รอง

หลี่เมิ่งซีรู้อยู่แล้วว่าเซียวอวิ้นออกจากคฤหาสน์ไปครึ่งปีโดยไม่ได้อะไรเลย เขาวนเวียนอยู่ที่สาขาของร้านยาอี๋ชุนกับสวนไป่เฉ่า นางรู้การเคลื่อนไหวของเขาดี มองเซียวอวิ้นที่มีนิสัยรักอิสระและเอาแต่ใจตนเองเที่ยวตามหานางไปทั่วแล้ว ในใจจึงรู้สึกขบขัน เดิมทีคิดจะหยอกล้อเขาสักหน่อย เพิ่งจะถามออกไป คิดไม่ถึงว่าเซียวอวิ้นจะวกกลับเข้าเรื่องของนางกับเซียวจวิ้นเสียแล้ว จึงไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไรดี

พอนั่งลงแล้ว เงยหน้ามองเซียวอวิ้น อยากถามว่าเขากลับมาตั้งแต่เมื่อไร พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เซียวอวิ้นบอกว่าสิบกว่าวันก่อนเซียวจวิ้นให้คนส่งจดหมายถึงเขา บอกว่าที่บ้านเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ฐานะลูกอนุของนางเพิ่งถูกเปิดเผยเมื่อสี่ห้าวันที่แล้วนี้เองมิใช่หรือ คิดถึงคำพูดที่เซียวจวิ้นฝากเซียวซย่ามาบอกนางว่า ‘ไม่ต้องหวาดกลัวอะไรทั้งนั้น เรื่องใหญ่เพียงใดก็มีเขาคอยรับหน้าอยู่’ หัวใจก็ไหวสะท้าน เซียวจวิ้นคาดเดาเหตุการณ์ในวันนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว หรือว่าเขารู้นานแล้วว่านางเป็นลูกอนุ

คิดเช่นนี้ มือที่จับถ้วยชาสั่นเล็กน้อย นางยกถ้วยขึ้นจิบชาคำหนึ่ง วางถ้วยลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยถาม “คุณชายสามมาที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ”

เห็นหลี่เมิ่งซีถามถึง เซียวอวิ้นพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ยามเผชิญหน้ากับหลี่เมิ่งซี เขากลับพูดความห่วงกังวลของตนเองไม่ออก ระหว่างลังเลอยู่นั้น หงจูก็เอ่ยว่า “เรียนสะใภ้รอง คุณชายรองสั่งบ่าวแต่เช้าให้มาดูว่าท่านอยู่ที่นี่คุ้นเคยบ้างหรือไม่ ขาดเหลืออะไรก็ให้บ่าวส่งมาให้เจ้าค่ะ คิดไม่ถึงว่าบ่าวมาหนหนึ่งแล้ว บ่าวหญิงที่เฝ้าประตูจะไม่ให้เข้ามา ขณะไม่รู้จะทำอย่างไรดี บังเอิญพบคุณชายสามที่ไปเยี่ยมคุณชายรองเข้า บ่าวจึงขอร้องให้คุณชายสามพาบ่าวมาที่นี่ เดิมทีบ่าวหญิงที่เฝ้าประตูก็ขัดขวางไม่ให้เข้า แต่คุณชายสามพาบ่าวบุกเข้ามา สะใภ้รองอยู่ที่นี่สบายดีหรือไม่เจ้าคะ”

ฟังหงจูเล่าแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงมองเซียวอวิ้นอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะตอบว่า “ทำให้คุณชายสามเป็นกังวลแล้ว ข้าเป็นคนเรียบง่าย ชอบความสงบของที่นี่เหมือนกัน ใช่แล้ว วันนี้อาการของคุณชายรองดีขึ้นบ้างหรือไม่”

“คุณชายรอง…”

“อ้อ ข้าเพิ่งไปเยี่ยมพี่รองมา อาการพี่รองดีขึ้นมากแล้ว พี่สะใภ้รองไม่ต้องกังวล” เซียวอวิ้นเห็นหงจูอึกอักจึงเป็นฝ่ายตอบแทน

หงจูมองคุณชายสามอย่างประหลาดใจ เห็นคุณชายสามมีสีหน้าผ่อนคลาย พอรู้ว่านางมองเขาอยู่ก็ตวัดสายตาเย็นชาใส่นาง หงจูจึงหุบปากอย่างรู้กาลเทศะ

“ยาสมานแผลที่ข้าทิ้งไว้ให้ หงจูอย่าลืมใส่ให้คุณชายรองตามเวลาด้วย” แผลที่มือของเซียวจวิ้นจะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงการพ้นจากความทุกข์โดยเร็วของนาง อารามชิงซินแห่งนี้รีบออกไปได้เร็วเท่าไรก็ยิ่งดี

หงจูรีบรับคำ

เซียวอวิ้นเห็นว่าเวลานี้แล้วพี่รองกับพี่สะใภ้รองยังเป็นห่วงกันและกันก็อดลอบทอดถอนใจมิได้ คู่รักที่เหมาะสมกันเช่นนี้ ทั้งที่มีใจให้กันแต่กลับยากจะครองคู่ เขารู้สึกสลดใจ น้ำเสียงทุ้มหนักขณะร้องเรียก “พี่สะใภ้รอง…”

“วันหน้าคุณชายสามเรียกข้าว่าพี่สาวเถอะ!” หลี่เมิ่งซีพูดจบ รู้สึกว่าบรรยากาศพลันหนักอึ้ง เงยหน้ามองไปเห็นเซียวอวิ้นนั่งหน้าแดงอยู่ตรงนั้น นางก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ ตนเองถูกหย่าแล้ว ที่ยังไม่ไปก็เพราะรอหนังสือหย่าอยู่เท่านั้น ยามนี้ทุกคนในคฤหาสน์สกุลเซียวต่างก็รู้ดี ให้เขาเรียกนางว่าพี่สาวก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ ไฉนจึงทำหน้าลำบากใจเช่นนั้นเล่า!

เหลือบมองเซียวอวิ้นแวบหนึ่ง นึกแล้วก็อยากจะตบหน้าผากตนเอง ให้ตายเถอะ ดูเหมือนเซียวอวิ้นจะอายุมากกว่านางหลายปี ให้เขาเรียกตนว่าพี่สาวออกจะลำบากใจไปหน่อยจริงๆ

แต่จู่ๆ จะให้นางเปลี่ยนสถานะจากผู้ใหญ่ไปเป็นเด็ก นางก็ไม่พอใจเช่นกัน อีกอย่างหากให้เขาเรียกนางว่าน้องสาวจริงๆ ออกจะพิลึกเกินไปหน่อย คิดเช่นนี้แล้ว หลี่เมิ่งซีจึงนั่งเงียบอยู่ที่เดิม

เงียบไปนานเซียวอวิ้นจึงเอ่ยว่า “ไม่ว่าเวลาใดพี่สะใภ้รองก็อย่าสิ้นหวังเล่า เรื่องในใต้หล้านี้ยากจะคาดเดา อนาคตใครจะรู้ว่าเป็นอย่างไร พี่สะใภ้รองแค่จำไว้ว่าในใจของพี่รองมีพี่สะใภ้รองอยู่ก็พอ”

จะเป็นลม นางสิ้นหวังตั้งแต่เมื่อไร มองเซียวอวิ้นที่ ‘หวังดี’ ตรงหน้าแล้ว หลี่เมิ่งซีก็พูดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง

ระหว่างที่เงียบอยู่นั้นก็เห็นจือซย่ากับจือตงผลักประตูเดินเข้ามาด้วยความโมโห จือซย่าเข้าประตูมาก็เปิดปากพูด “สะใภ้รอง เห็นทีนายหญิงใหญ่คิดจะให้พวกเราตายอยู่ที่นี่…”

พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ถึงได้เห็นคุณชายสามกับหงจูอยู่ในห้อง นางสะดุ้งโหยงรีบหุบปากทันใดและมองสะใภ้รอง

หลี่เมิ่งซีพูดคุยกับเซียวอวิ้นอยู่ที่นี่ตั้งนาน แต่ไม่ยอมพูดถึงความลำบากของตนเองก็เพราะต้องการรอสาวใช้ทั้งสองกลับมาก่อน ดูว่าพวกนางจัดการได้หรือไม่ จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเซียวอวิ้นหรือเปล่าและจะขอความช่วยเหลืออย่างไร ยามนี้เห็นท่าทีของพวกนางทั้งสองแล้วหัวใจพลันจมดิ่ง เห็นทีสถานการณ์จะเลวร้ายมาก!

แต่มีเซียวอวิ้นอยู่ที่นี่นางก็ไม่ร้อนใจแล้ว หลี่เมิ่งซีนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งก่อนพูด “ไฉนจึงไม่มีระเบียบมากขึ้นทุกวัน สั่งสอนพวกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าเจอเรื่องอะไรต้องสุขุม ยังจะเอะอะโวยวายเช่นนี้อีก ทำให้คุณชายสามหัวเราะเยาะแล้ว ยังไม่รีบขอขมาคุณชายสามอีก!” หลี่เมิ่งซีพูดจบก็ส่งสายตาให้จือซย่า

สะใภ้รองไม่เคยตำหนิพวกนางเช่นนี้มาก่อน เดิมทีจือซย่าเต็มไปด้วยความคับแค้นใจอยู่แล้ว พอได้ยินน้ำเสียงเฉียบขาดของสะใภ้รองก็ตาแดงทันใด นางมองสะใภ้รองอย่างน้อยใจ เห็นสะใภ้รองส่งสายตามาให้จึงเข้าใจทันทีว่าสะใภ้รองต้องการให้นางขอร้องคุณชายสาม น้ำตาจึงพรั่งพรูออกมา ก้าวไปข้างหน้าพร้อมจือตง ย่อกายให้เซียวอวิ้นแล้วพูด “คารวะคุณชายสาม เมื่อครู่บ่าวเสียมารยาทแล้ว ขอคุณชายสามโปรดอภัยด้วยเจ้าค่ะ”

เซียวอวิ้นพูดคุยอยู่ที่นี่ตั้งนาน เห็นหลี่เมิ่งซีมีท่าทีสุขุมเยือกเย็นอยู่ตลอด มองดูของใช้ในห้องแล้วก็มั่นใจว่าหลี่เมิ่งซีอยู่ที่นี่ไม่ได้รับความลำบากใดๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ถามนางว่าอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง ตอนนี้เห็นสองสาวใช้ทะเล่อทะล่าเข้ามา ได้ยินคำพูดของพวกนางแล้วก็ตกตะลึง นึกถึงจุดประสงค์การมาของตนเองได้ในทันที ครั้นเห็นหลี่เมิ่งซีตำหนิสองสาวใช้จนร้องไห้ เขาทนเห็นสตรีร้องไห้ไม่ได้มากที่สุดจึงรีบพูด “ช่างเถอะ ที่พวกเจ้าพูดเมื่อครู่นี้หมายความว่าอะไร”

จือซย่าเหลือบมองหลี่เมิ่งซีแวบหนึ่ง เห็นนางพยักหน้าจึงก้าวขึ้นไปคุกเข่าให้เซียวอวิ้น จือตงเห็นแล้วก็คุกเข่าตาม จือซย่าโขกศีรษะสามทีและเอ่ยปากขอร้อง “บ่าวขอร้องคุณชายสาม โปรดหาหนทางช่วยสะใภ้รองด้วยเถอะเจ้าค่ะ!”

เซียวอวิ้นตกใจจนลุกพรวดขึ้น จากนั้นจึงนั่งลงแล้วเอ่ยถาม “มีเรื่องอะไรลุกขึ้นแล้วค่อยพูด”

สองสาวใช้ไหนเลยจะยอมลุกขึ้น พวกนางยังคงคุกเข่า จือซย่าพูดว่า “เรียนคุณชายสาม เมื่อวานเหล่าไท่จวินเร่งรัดมาก ของใช้หลายอย่างของสะใภ้รองจึงไม่ได้นำมาด้วย เมื่อครู่บ่าวเตรียมตัวไปเรือนเซียวเซียงเอาของใช้มา คิดไม่ถึงว่าบ่าวหญิงที่ประตูกลับขวางไว้ไม่ให้ออกไป บ่าวคิดว่าแค่ไม่ให้บ่าวกับสะใภ้รองออกจากที่นี่เท่านั้น ถึงอย่างไรก็แค่ไปเอาของ หาใช่เรื่องใหญ่อะไร บ่าวจึงขอร้องคนอื่นในเรือนให้ช่วยไปเอามาให้ คิดไม่ถึงว่าขอร้องคนหลายคนแล้ว พวกนางล้วนกลับมาบอกว่าคนเฝ้าประตูไม่ให้ออกไป ทุกคนบอกให้บ่าวไปหาหลิวหมัวมัวผู้ดูแลโถงสวดมนต์ บอกว่านางฐานะสูงหน่อย ทั้งยังเป็นคนมีน้ำใจ จะต้องช่วยเหลือให้ออกไปได้แน่ บ่าวจึงไปขอร้อง คิดไม่ถึงว่ากลับมาแล้วนางจะส่ายหน้าเล่าให้ฟังว่าบ่าวหญิงที่เฝ้าประตูบอกว่ามิใช่ไม่ให้หน้านาง แต่นายหญิงใหญ่สั่งให้พวกนางเฝ้าประตูอารามชิงซินให้ดี แม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็ห้ามบินออกไป หาไม่แล้วจะเอาชีวิตพวกนาง หลิวหมัวมัวยังบอกว่า…”

จือซย่าพูดถึงตรงนี้ก็หยุด เหลือบมองหลี่เมิ่งซี ลังเลว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเซียวอวิ้นถาม “ยังบอกว่าอะไร”

หลี่เมิ่งซีฟังคำพูดจือซย่าแล้ว หน้าผากมีเหงื่อเย็นซึมออกมา ลอบคิดว่าถึงอย่างไรตนก็ยังเด็ก ประมาทเกินไปแล้ว ประเมินความร้ายกาจของนายหญิงใหญ่ต่ำเกินไป หากไม่เพราะเซียวอวิ้นมาที่นี่ เกรงว่าครั้งนี้นางคงต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ เห็นจือซย่ายังคงลังเล นางจึงถามเร่งไปว่า “นางยังบอกว่าอะไรอีก”

“หลิวหมัวมัวยังบอกว่าตอนนางไปถึงที่ประตูใหญ่ บังเอิญเจอกับหวังอี๋เหนียงที่มาเยี่ยมสะใภ้รอง แต่ถูกขวางอยู่นอกประตู ครั้นเห็นหลิวหมัวมัวบอกว่ามาเอาของแทนสะใภ้รอง หวังอี๋เหนียงจึงขอร้องหลิวหมัวมัวให้นำของที่นางเอามาเข้าไป พอหวังอี๋เหนียงยื่นของมาให้ หลิวหมัวมัวยังไม่ทันได้ยื่นมือไปรับก็ถูกบ่าวหญิงที่เฝ้าประตูโยนของทิ้งไปไกลแล้ว ทั้งยังตวาดหวังอี๋เหนียงอย่างดุดันว่าล้มเลิกความคิดเสียเถอะ นายหญิงใหญ่สั่งไว้ว่าแม้แต่กระดาษชิ้นเดียวก็ห้ามเล็ดลอดออกจากประตูบานนี้ไป!”

“แม้แต่กระดาษชิ้นเดียวก็ห้ามส่งออกไปอย่างนั้นหรือ นายหญิงใหญ่กลัวอะไรกันแน่”

“บ่าวก็ไม่ทราบว่านายหญิงใหญ่กลัวอะไร ตามหลักแล้วสะใภ้รองเป็นหญิงอ่อนแอคนหนึ่ง บ้านเดิมไม่ได้มีอำนาจอะไร ยังจะส่งข่าวอะไรออกไปทำร้ายสกุลเซียวได้ ไหนเลยจะต้องใช้กำลังมากมายควบคุมเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็อยู่ที่นี่แค่ไม่กี่วันเท่านั้น เดิมทีบ่าวก็ไม่กลัว แต่คิดอีกทีส่งข่าวออกไปข้างนอกไม่ได้เช่นนี้ หากสะใภ้รองอยู่ในนี้กินของไม่สะอาดเข้าไปแล้วเกิดล้มป่วย คิดจะหาคนส่งข่าวไปเชิญหมอมาตรวจรักษาก็ยังทำไม่ได้เลย สะใภ้รองร่างกายอ่อนแอมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าหาก ถ้าหาก…ว่าไม่มีใครรู้ ดังนั้นบ่าวจึงบังอาจขอร้องคุณชายสาม ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาหนทางขอร้องเหล่าไท่จวิน ละเว้นสะใภ้รองด้วยเถอะเจ้าค่ะ!” จือซย่าพูดจบก็โขกศีรษะให้เซียวอวิ้นอีกครั้ง

“นายหญิงใหญ่ทำเช่นนี้ได้อย่างไร แบบนี้ แบบนี้…” หงจูฟังจือซย่าเล่าแล้วก็ตกใจจนหน้าซีดขาว คำพูดที่เอ่ยออกมาติดขัดเล็กน้อย

เซียวอวิ้นยิ่งตกใจจนเหงื่อเย็นซึมทั่วร่าง โชคดีที่เขาเชื่อหงจูและตามมา หาไม่แล้วเกรงว่าพี่สะใภ้รองคงได้ตายอยู่ที่นี่จริงๆ ไม่พูดถึงว่านายหญิงใหญ่จะลอบวางยาพิษหรือไม่เลย แค่พี่สะใภ้รองเจ็บไข้ได้ป่วยเล็กๆ น้อยๆ อยู่ที่นี่ เช่นกินของไม่สะอาดและท้องเสีย หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ใช้เวลาไม่กี่วันก็อาจตายได้

พอคิดว่าพี่สะใภ้รองที่ตนเคารพนับถือมาตลอดจะถูกนายหญิงใหญ่ทรมานจนตายอยู่ที่นี่ ในใจก็บังเกิดโทสะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาตบโต๊ะทันใด ลุกขึ้นพูดว่า “พี่สะใภ้รองรออยู่ที่นี่ ข้าจะไปเรียนเหล่าไท่จวินเดี๋ยวนี้ ดูว่าเหล่าไท่จวินจะว่าอย่างไร!”

เซียวอวิ้นพูดจบก็ก้าวเท้าเดินออกไป หงจู จือซย่า จือตงเห็นท่าทีโกรธเกรี้ยวของคุณชายสามแล้วก็ตกใจ พวกนางมองคุณชายสามอย่างตะลึงงันจนลืมห้ามเขาไว้ พวกนางไม่เคยเห็นคุณชายสามที่อารมณ์ดีมาตลอดโมโหถึงเพียงนี้เลยจริงๆ

หลี่เมิ่งซีเห็นเซียวอวิ้นจะจากไปจึงรีบร้องเรียกเขา “ช้าก่อนคุณชายสาม!”

ได้ยินพี่สะใภ้รองเรียกตน เซียวอวิ้นชะงักเท้าแล้วหันกลับมามองนาง ได้ยินหลี่เมิ่งซีพูดว่า “คุณชายสามอย่าวู่วามเช่นนี้ ท่านไม่คิดถึงตนเองก็ต้องคิดถึงจางอี๋ไท่บ้าง หากล่วงเกินนายหญิงใหญ่เข้าจริงๆ เกรงว่าคุณชายสามกับจางอี๋ไท่จะต้องลำบากแน่ อีกทั้งเหตุใดนายหญิงใหญ่จึงทำเช่นนี้ก็ยังไม่รู้ อาศัยคำพูดเพียงไม่กี่คำของสาวใช้จะปักใจเชื่อว่าเป็นเจตนาร้ายได้อย่างไร เรื่องนี้ยังคงต้องวางแผนระยะยาว”

แม้หลี่เมิ่งซีจะยังไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์ปองร้ายเซียวจวิ้นเมื่อสองปีก่อน เซียวอวิ้นมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ แต่นางเชื่อว่าด้วยนิสัยเปิดเผยของเซียวอวิ้นแล้ว ยามนี้เขาต้องการปกป้องนางจริงๆ ทว่าการเชื่อใจเซียวอวิ้นไม่ได้หมายความว่านางจะเชื่อไปด้วยว่าจางอี๋ไท่จะปกป้องนางและไม่อยากให้นางตาย ด้วยเรื่องหงซินเจียว ในคฤหาสน์หลังนี้คนที่ปรารถนาให้นางตายมากที่สุด นอกจากนายหญิงใหญ่แล้วก็คือจางอี๋ไท่กระมัง

วันนี้หากเซียวอวิ้นออกไป สามารถไปถึงเรือนโซ่วสี่อย่างราบรื่นได้ย่อมดี แต่หากระหว่างทางถูกนายหญิงใหญ่กับจางอี๋ไท่ขวางทางเอสไว้ สถานการณ์ย่อมเปลี่ยนไป พวกนางสองคนไม่ว่าใครก็ไม่ยอมให้เซียวอวิ้นไปหาเหล่าไท่จวินทั้งนั้น ถึงอย่างไรจางอี๋ไท่ก็เป็นมารดาบังเกิดเกล้าของเซียวอวิ้น นี่เป็นจุดอ่อนของเขา หากเป็นเช่นนั้น นางก็ยังคงถูกขังไว้ที่นี่อยู่ดี

เมื่อครู่นี้ที่เซียวอวิ้นบุกเข้ามา เกรงว่าเรื่องนี้คงถูกรายงานไปที่เรือนหยั่งซินแล้ว เซียวอวิ้นออกจากประตูนี้ไปแล้วยังจะไปถึงเรือนโซ่วสี่ได้อย่างราบรื่นหรือ

คนปัญญาอ่อนยังรู้ว่าเป็นไปไม่ได้!

วันนี้เซียวอวิ้นมาเยี่ยมเช่นนี้ นี่ถือเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวของตน หลี่เมิ่งซีต้องใช้โอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวนี้ให้เกิดประโยชน์ ยึดอำนาจกลับคืนมา เปลี่ยนจากฝ่ายรับเป็นฝ่ายรุก จะเกิดข้อผิดพลาดไม่ได้แม้แต่น้อย หาไม่แล้วตนคงต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงร้องเรียกเซียวอวิ้นที่หุนหันจะออกไปเอาไว้อย่างร้อนใจ

ได้ยินหลี่เมิ่งซีพูดถึงจางอี๋ไท่ เซียวอวิ้นร่างกายสะท้าน เขาเงียบไปครู่หนึ่งและหันหลังกลับมานั่งลง “ข้าวู่วามไปจริงๆ โชคดีที่พี่สะใภ้รองเตือนสติ ไปเรียนเหล่าไท่จวินตอนนี้ เหล่าไท่จวินซักถามเรื่องนี้เข้า หากนายหญิงใหญ่ไม่ยอมรับหรือบอกว่าเพราะหวังดีต่อพี่สะใภ้รอง แต่ข้ารับใช้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง กลับเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้จางอี๋ไท่จริงๆ แล้วพี่สะใภ้รองมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร”

ได้ยินเซียวอวิ้นถาม หลี่เมิ่งซีนิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “ให้ข้ามาอยู่อารามชิงซินอย่างสงบ เดิมทีเป็นการจัดการของเหล่าไท่จวิน นายหญิงใหญ่หวังดีไม่ให้ใครมารบกวนก็สมเหตุสมผล เพียงแต่เมื่อวานมาอย่างเร่งร้อน ของหลายอย่างจึงไม่ได้นำมาด้วย รู้สึกไม่สะดวกอย่างมาก หากคุณชายสามสามารถพาจือซย่า จือตงไปเรือนเซียวเซียงเพื่อเก็บข้าวของของข้าและนำมาที่นี่ ข้าจะซาบซึ้งใจมาก”

“พี่สะใภ้รอง…”

“คุณชายสามไม่ต้องเป็นห่วง ถึงอย่างไรก็อยู่ที่นี่แค่ไม่กี่วัน มือของคุณชายรองหายดีเมื่อไร ข้าก็ไปจากที่นี่แล้ว ขอเพียงคุณชายสามพาสาวใช้ทั้งสองไปเอาของและส่งพวกนางกลับมาก็พอ หาไม่แล้วบ่าวหญิงเฝ้าประตูเห็นว่าเป็นเพียงสาวใช้สองคนก็จะรังแกเอาได้ ไม่ให้นำของเข้ามาอีก ทำให้ความปรารถนาดีของคุณชายสามต้องเสียเปล่า”

อยู่ที่นี่แค่ไม่กี่วัน?! ตรงหน้าเซียวอวิ้นผุดภาพใบหน้าไร้สีเลือดของพี่รองทันที พี่รองจะหายได้ภายในไม่กี่วันจริงๆ หรือ นายหญิงใหญ่จิตใจคับแคบออกอย่างนั้น ความแล้งน้ำใจที่แสดงต่อพวกเขาแม่ลูกหลายปีมานี้ ทำให้เขาตระหนักดี ยิ่งมีจางซิ่วอยู่ด้วย นายหญิงใหญ่จะละเว้นพี่สะใภ้รองง่ายๆ ได้อย่างไร พี่สะใภ้รองมองโลกในแง่ดีเกินไปหรือไม่

ฟังคำพูดหลี่เมิ่งซีแล้ว เซียวอวิ้นก็นั่งเงียบไม่พูดจา กำลังคิดว่าจะโน้มน้าวพี่สะใภ้รองที่มองโลกในแง่ดีผู้นี้อย่างไรให้ระวังป้องกันนายหญิงใหญ่ ก็ได้ยินหลี่เมิ่งซีเอ่ยว่า “ดูข้าสิ มัวแต่คุยจนลืมว่าเที่ยงแล้ว คุณชายสามกินอาหารกลางวันที่นี่ก่อนค่อยกลับออกไปเถอะ”

หลี่เมิ่งซีพูดจบ ไม่รอให้ทุกคนพูดอะไร ก็หันไปพูดกับจือซย่า จือตงที่ลุกขึ้นยืนแล้ว “พวกเจ้าสองคนไปเร่งหน่อย แล้วยกอาหารกลางวันเข้ามา”

มีพี่สะใภ้ที่ไหนกินอาหารกับน้องชายสามีตามลำพังบ้าง โดยเฉพาะในสถานที่เช่นนี้ หากน้องชายสามีเป็นเด็กน้อยที่เพิ่งหัดพูดก็แล้วไปเถอะ แต่นี่คุณชายสามเป็นบุรุษคนหนึ่ง ทั้งยังมีอนุถึงสองคนแล้ว

หากเรื่องนี้แพร่ออกไปย่อมไม่น่าฟัง กระทบต่อชื่อเสียงของสะใภ้รองเป็นแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่เต็มไปด้วยคนของนายหญิงใหญ่ ทำเช่นนี้มิเท่ากับเปิดช่องให้นายหญิงใหญ่จับผิดหรือ

ฟังคำสั่งของหลี่เมิ่งซีแล้ว จือซย่ากำลังจะเอ่ยปากคัดค้าน พลันนึกถึงเรื่องอาหารเช้าขึ้นมา นางจึงรีบรับคำแล้วดึงตัวจือตงที่ร้อนใจจะพูดอะไรเดินออกไป

หงจูเห็นสองสาวใช้ไม่ห้ามปรามและเดินออกไปแล้วก็รีบเอ่ยปากทัดทาน “สะใภ้รอง เรื่องนี้ เอ่อ…”

อึกอักอยู่นาน ยามอยู่ต่อหน้าคุณชายสามกลับหาวาจาที่เหมาะสมมาโน้มน้าวสะใภ้รองไม่ได้

แน่นอนว่าหลี่เมิ่งซีไม่เข้าใจว่าหงจูอยากพูดอะไร นางเอาแต่นั่งมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น หงจูถูกจ้องจนประหม่า ยิ่งพูดอะไรไม่ออก

เซียวอวิ้นเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “น้ำใจของพี่สะใภ้รองข้าขอรับไว้ เพียงแต่เมื่อคืนบอกแล้วว่าจะไปกินอาหารกลางวันกับจางอี๋ไท่ ครั้งนี้อย่าเลยดีกว่า ไว้วันหน้าถ้ามีโอกาสข้าต้องกินอาหารฝีมือพี่สะใภ้รองแน่”

“คุณชายสามกลับมาบ้าน เดิมทีคุณชายรองควรจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านด้วยตนเอง แต่คุณชายรองนอนป่วยอยู่บนเตียง มีใจแต่ไร้เรี่ยวแรง วันนี้ข้าเชิญคุณชายสามกินอาหารที่นี่ เดิมทีไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมมารยาท แต่ข้าคิดว่าอีกไม่กี่วันก็จะออกจากคฤหาสน์แล้ว เกรงว่าวันหน้าคงยากที่จะได้พบกันอีก วันนี้หนึ่งเพื่อต้อนรับคุณชายสามกลับมา สองเพื่อขอบคุณคุณชายสามที่ดูแลข้าตลอดสองปีมานี้ ข้าจึงไม่คำนึงถึงคำครหาของคนอื่น เชิญคุณชายสามกินอาหารด้วยกันเถอะ ข้าทำไปด้วยความจริงใจ ขอคุณชายสามอย่าตำหนิข้าว่าไร้มารยาทเลย วันนี้ในเมื่อคุณชายสามมีธุระ ข้าย่อมไม่ฝืนใจอีก วันหน้าหากพบกันบนท้องถนน ข้าต้องขอบคุณที่คุณชายสามช่วยเหลือข้าในวันนี้แน่นอน ถึงเวลานั้นคุณชายสามอย่าได้ปฏิเสธข้าอีกเล่า”

ฟังคำพูดจริงใจของหลี่เมิ่งซีแล้ว ความไม่พอใจที่เกิดจากนางบุ่มบ่ามชวนเขากินอาหารพลันหายไปสิ้น ลอบตำหนิตนเองว่าจิตใจคับแคบเกินไป คิดถึงแต่ขนบธรรมเนียมจนละเลยน้ำใจของพี่สะใภ้รองไป ครั้นคิดว่าพี่สะใภ้รองจะออกจากคฤหาสน์แล้ว เขาก็ลอบโมโหตนเองที่เมื่อครู่ปฏิเสธเร็วเกินไป อดรู้สึกเศร้าไม่ได้จึงรีบเอ่ยว่า “พี่สะใภ้รองพูดถูก หากพี่สะใภ้รองออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวจริง ไม่ว่าท่านไปที่ใด ข้าเซียวอวิ้นก็จะเห็นท่านเป็นคนสนิทคนหนึ่ง วันหน้าหากพี่สะใภ้รองพบความลำบากและคิดถึงข้า ข้าเซียวอวิ้นจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่แน่นอน”

“ขอบคุณในน้ำใจของคุณชายสาม คุณชายสามโปรดรอสักครู่ จือซย่า จือตงกลับมาแล้วจะให้ตามท่านไปทันที”

เซียวอวิ้นผงกศีรษะ นั่งจิบน้ำชารอ

หงจูเห็นสะใภ้รองไม่รั้งตัวคุณชายสามให้อยู่กินอาหารด้วยก็พรูลมหายใจยาว เห็นคุณชายสามไม่พูดอะไรจึงเงยหน้าพูด “สะใภ้รองมีคำพูดอะไรจะบอกคุณชายรองหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะนำคำพูดไปถ่ายทอดให้”

ฟังคำหงจูแล้ว หลี่เมิ่งซีก็รู้สึกปวดใจ สองคนที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องพรากจากกัน เวลานี้ยังจะพูดอะไรอีกเล่า

เงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะเงยหน้าพูดกับหงจู “หงจูกลับไปบอกคุณชายรองว่า นักปราชญ์ว่าร่างกายและเส้นผมได้รับมาจากบิดามารดา มิควรทำลาย หวังว่าคุณชายรองจะทะนุถนอมร่างกายตนเอง หายดีในเร็ววัน”

เห็นสะใภ้รองเป็นห่วงสุขภาพของคุณชายรอง คิดถึงคุณชายรองที่หมดอาลัยตายอยากแล้ว หงจูพลันรู้สึกเศร้าใจ รีบผงกศีรษะรับคำและเบือนหน้าไปทางอื่น

ในห้องเงียบงัน หลี่เมิ่งซีมองเซียวอวิ้นและคิดถึงเหตุการณ์ที่เซียวจวิ้นถูกวางยาพิษเมื่อสองปีก่อน ไม่รู้เซียวอวิ้นมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่ ตรึกตรองครู่หนึ่งจึงถามว่า “คุณชายสามกลับมาครั้งนี้ วางแผนไว้ว่าอย่างไรหรือ”

“ครั้งนี้ถูกพี่รองเรียกตัวกลับมาอย่างเร่งด่วน ยังไม่ทันได้วางแผนอะไร คอยไปก่อนแล้วกัน รอให้พี่รองหายดีและสามารถจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้แล้ว ข้ายังคงอยากท่องเที่ยวไปตามป่าเขาลำเนาไพร ถือโอกาสตามหาร่องรอยของเซียนปรุงยาด้วย”

ยังจะตามหาอีก! เห็นท่าทีจริงจังของเซียวอวิ้นแล้ว หลี่เมิ่งซีเกือบจะหลุดเสียงร้องออกมา เงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ภาษิตว่าคนเรามีปณิธานต่างกันไป คุณชายสามอยากท่องไปในยุทธภพ เดิมทีข้าไม่ควรห้าม เพียงแต่บุรุษเวลาตั้งตัวควรยึดถือการงานเป็นสำคัญ ไม่พูดถึงว่าคุณชายสามเกิดในสกุลสูงศักดิ์ ย่อมมีภาระหน้าที่ของสกุล จะเอาอย่างเซียนปรุงยาแก่ตัวอยู่ในป่าเขา ทำให้เหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ผิดหวังได้อย่างไร”

ภาระหน้าที่ของสกุล?! เดิมทีพี่รองเป็นคนกตัญญูอย่างยิ่ง แบกรับภาระของประมุขสกุลมาตั้งแต่เด็ก สุดท้ายก็ยังถูกบีบคั้นจนขัดคำสั่งบิดามารดามิใช่หรือ เพียงเพื่อตำแหน่งประมุขสกุลกลับต้องพลัดพรากจากพี่สะใภ้รองที่เป็นคู่ครองที่ดีเช่นนี้ คนหนึ่งนอนป่วยอย่างเศร้าโศกอยู่บนเตียง อีกคนอยู่กับตะเกียงในอารามอย่างเงียบเหงาอ้างว้าง

คุ้มค่าแล้วจริงหรือ

สมัยเป็นเด็กมักเห็นมารดาบังเกิดเกล้าจางอี๋ไท่หลั่งน้ำตาเงียบๆ คนเดียวกลางดึก นั่นเป็นเพราะอะไรเล่า มีบิดาเป็นถึงประมุขสกุลที่ต้องแบกความรับผิดชอบของทั้งสกุลไว้ แต่กลับมิอาจปกป้องอนุรักไม่ให้ถูกรังแกได้ ปล่อยให้นางอยู่ในค่ำคืนอันเหน็บหนาวอ้างว้างคนเดียว และเสียใจตามลำพัง

คำพูดเดียวของหลี่เมิ่งซีทำให้เซียวอวิ้นสะท้อนใจยิ่งนัก เขาพึมพำว่า “เกิดในสกุลสูงศักดิ์นั้นดีจริงๆ หรือ”

หลี่เมิ่งซีตกใจกับคำพูดของเซียวอวิ้น หรือว่าเซียวอวิ้น…

ระหว่างที่คิดก็เห็นจือซย่าเลิกม่านเดินเข้ามา มองหลี่เมิ่งซีกับเซียวอวิ้นด้วยสีหน้าไม่เป็นธรรมชาติ นางย่อกายพูดว่า “เรียนสะใภ้รอง คุณชายสาม อาหารกลางวันยกมาแล้ว บ่าวให้พวกนางรออยู่ข้างนอก จะให้ยกเข้ามาตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”

หลี่เมิ่งซีเหลือบมองจือซย่าแวบหนึ่ง เห็นนางพยักหน้านิดๆ จึงพูดว่า “คุณชายสามนัดกับจางอี๋ไท่แล้วว่าจะไปกินอาหารด้วย จึงไม่อยู่กินอาหารที่นี่ ให้พวกนางรออยู่ข้างนอกก่อนเถอะ เจ้ามาก็ดีแล้ว ไปเรียกจือตงมาด้วย เดี๋ยวพวกเจ้าสองคนตามคุณชายสามไปเรือนเซียวเซียง เก็บข้าวของเครื่องใช้ของข้ามาที่นี่ ใช่แล้ว นกที่ข้าเลี้ยงไว้ในสวนด้านหลังพวกนั้นก็นำมาด้วย ที่นี่น่าเบื่อเกินไปแล้ว”

จือซย่ารีบรับคำ หันหลังออกไปเรียกจือตงที่อยู่ข้างนอก

เซียวอวิ้นเห็นสีหน้าของจือซย่าผิดปกติ เดิมทีจะสอบถาม แต่เห็นหลี่เมิ่งซีพูดเช่นนี้จึงเงียบไป

ไม่นานจือซย่ากับจือตงก็เดินเข้ามาพร้อมกันและคารวะคุณชายสาม

เซียวอวิ้นลุกขึ้นอำลาหลี่เมิ่งซี พาสาวใช้ทั้งสามเดินออกไป

จือซย่าเดินนำไปก้าวหนึ่งและเลิกม่านให้ เซียวอวิ้นก้าวออกไป พอเงยหน้าก็ชะงักอยู่ตรงนั้น เห็นบ่าวหญิงสูงวัยสองคนยืนอยู่ข้างนอก สองมือประคองถาดไว้ บนนั้นเป็นอาหารกลางวันที่ไม่ต่างจากอาหารหมูสักเท่าไร น่าจะเตรียมมาให้สะใภ้รอง

มองเห็นอาหารตรงหน้าแล้ว เซียวอวิ้นที่อารมณ์ดีมาแต่ไหนแต่ไรเส้นเอ็นบนใบหน้าถึงกับปูดนูน มองบ่าวหญิงสูงวัยทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา

คุณชายสามมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร! บ่าวหญิงสองคนเห็นคุณชายสามเดินออกมาต่างก็ตะลึงงัน เห็นสายตาน่าเกรงขามของคุณชายสามแล้ว พวกนางก็ตกใจจนสองขาสั่นพั่บๆ อดไม่ได้ที่จะคุกเข่าลงทั้งที่ถือถาดอยู่

เซียวอวิ้นเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จ้องบ่าวหญิงสองคนนั้นแล้วเอ่ยถามทีละคำ “นี่คืออาหารกลางวันที่เตรียมให้พี่สะใภ้รองหรือ”

ได้ยินคำถามของคุณชายสามแล้ว บ่าวหญิงทั้งสองก็ตกใจตัวสั่น ลอบตำหนิคนเฝ้าประตูว่าปล่อยคุณชายสามเข้ามาแล้ว ไฉนจึงไม่บอกกันสักคำ เห็นคุณชายสามจ้องพวกนางเขม็งจึงได้แต่ตอบอย่างอึกอัก “เจ้าค่ะ”

เพิ่งจะพูดจบ เซียวอวิ้นก็เตะอาหารในมือของบ่าวหญิงคนหนึ่งจนหก หมั่นโถวกับผักดองกลิ้งกระจายไปบนพื้น น้ำสีดำในชามที่แยกไม่ออกว่าเป็นน้ำแกงหรือเป็นของเหลือทิ้งหกใส่ตัวบ่าวหญิง บ่าวหญิงผู้นั้นตัวสั่นเทา คุกเข่าอยู่ตรงนั้นโดยไม่กล้าส่งเสียงสักแอะ

“คุณชายสาม เกิดอะไรขึ้น!” หลี่เมิ่งซีที่ตามเซียวอวิ้นออกมาเอ่ยถาม ก้มหน้าเห็นบ่าวหญิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นก็ตกใจ ร่างกายชะงักอยู่ที่เดิมและเงยหน้ามองเซียวอวิ้น

หงจูเห็นอาหารที่คุณชายสามเตะลงบนพื้นแล้ว ใบหน้าก็ซีดเผือดทันใด มิน่าเมื่อวานคุณชายรองถึงพยายามเขียนหนังสือหย่าให้ได้ เพื่อจะส่งสะใภ้รองออกไปทันที ที่แท้คุณชายรองคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าสะใภ้รองถูกส่งมาที่นี่ต้องไม่ได้อยู่อย่างสบายแน่นอน พวกนางจะกลั่นแกล้งสะใภ้รองให้ถึงตาย!

นางก้าวออกไป มือสั่นเทาขณะประคองสะใภ้รองเอาไว้ ยามพูดริมฝีปากสั่นระริก “สะใภ้รอง ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลย โมโหแล้วจะเสียสุขภาพได้ มีคุณชายสามอยู่ ต้องคืนความเป็นธรรมให้ท่านแน่เจ้าค่ะ”

เห็นพี่สะใภ้รองที่ปกติสุขุมเยือกเย็นดวงตาฉายแววโกรธ เซียวอวิ้นพลันหัวใจสะท้าน เมื่อครู่ลืมไปว่าพี่สะใภ้รองอยู่ข้างหลัง ทำให้นางเห็นภาพที่ไม่ควรเห็นเข้าแล้วจริงๆ นางจะต้องรู้สึกผิดหวังกับสกุลเซียวเป็นแน่

มองพี่สะใภ้รองแล้ว เซียวอวิ้นก็อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่แล้วก็เงียบไป

ยกขาขึ้นเตะหมั่นโถวแข็งโป๊กที่อยู่ข้างเท้าไปตรงหน้าบ่าวหญิง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ลำบากพวกเจ้าที่คอยปรนนิบัติด้วยความเคารพแล้ว ยกอาหารที่ดีเช่นนี้มาให้สะใภ้รอง วันนี้สะใภ้รองอารมณ์ดี มอบอาหารสำรับนี้ให้พวกเจ้า กินมันตรงนี้แหละ!” เซียวอวิ้นพูดจบก็เตะหมั่นโถวอีกลูกและผักดองก้อนใหญ่ไปตรงหน้าบ่าวหญิงอีกคน

เห็นบ่าวหญิงทั้งสองคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่พูดจา เซียวอวิ้นจึงพูดต่อ “ตกรางวัลให้พวกเจ้านับว่าให้หน้าพวกเจ้าแล้ว ปกติพวกเจ้ายังไม่คู่ควรจะได้รับรางวัลจากสะใภ้รองเสียด้วยซ้ำ ทำไมหรือ อาหารของสะใภ้รองพวกเจ้าไม่กล้ากินหรือ หรือว่าในอาหารมียาพิษถึงกินไม่ได้ หืม!”

คำว่า ‘หืม’ คำสุดท้ายของเซียวอวิ้นขึ้นเสียงสูงมาก ทำเอาบ่าวหญิงทั้งสองตกใจตัวสั่น พวกนางรีบโขกศีรษะเอ่ยว่า “บ่าวก็แค่ทำตามคำสั่ง ไหนเลยจะใจกล้าถึงเพียงนั้นปองร้ายสะใภ้รอง ขอคุณชายสามโปรดละเว้นชีวิตด้วยเจ้าค่ะ!”

“ข้าจะเอาชีวิตพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อไร แค่ให้พวกเจ้ากินอาหารพวกนี้เท่านั้น ในอาหารมีพิษหรือไร!”

“คุณชายสามละเว้นชีวิตด้วย น่าจะไม่มีพิษเจ้าค่ะ นี่ล้วนเป็นของที่ห้องครัวเตรียมให้ บ่าวแค่รับผิดชอบยกมาเท่านั้น”

“เช่นนั้นแสดงว่าอาหารนี้ไม่มีพิษ?”

“เรียนคุณชายสาม น่าจะใช่เจ้าค่ะ”

ฟังคำของบ่าวหญิงแล้ว เซียวอวิ้นพยักหน้า พูดคำว่าดีติดๆ กัน ก่อนจะตะโกนเสียงดัง “กิน!”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 16 พ.ค. 62

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

Jamsai Editor: