ตอนที่ 1
เกี้ยวเจ้าสาวสีแดงหลังใหญ่ เสียงฆ้องดังก้อง ปี่แตรกังวาน บรรยากาศชื่นมื่นมงคล สีแดงแผ่ไปครึ่งผืนฟ้า ความครึกครื้นอาบย้อมไปทั่วทุกตรอกซอกซอยของเมืองผิงหยาง
วันนี้เป็นวันสำคัญ คุณชายรองสกุลเซียวจากสี่สกุลสูงศักดิ์ของต้าฉีแต่งภรรยา ทว่าในขบวนส่งตัวเจ้าสาวยาวเหยียดกลับไม่เห็นเจ้าบ่าวที่เดิมทีควรขี่อาชาสูงใหญ่มารับตัวเจ้าสาว…
ว่ากันว่าคุณชายรองสกุลเซียวเป็นโรคประหลาด เชิญหมอชื่อดังทั่วเมืองผิงหยางมารักษา ใช้ยาล้ำค่าทั้งหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดรักษาได้ ทั้งไม่มีโอสถใดที่ใช้ได้ผล ยามนี้จึงหมดทางเยียวยาแล้ว
ว่ากันว่าพี่สาวสายตรงของคุณชายรองสกุลเซียวเป็นพระชายาในวัง ตั้งใจส่งหมอหลวงมารักษาโรคให้คุณชายรองสกุลเซียวโดยเฉพาะ แต่ก็ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าป่วยเป็นอะไร
ว่ากันว่าตอนนี้คุณชายรองสกุลเซียวมีสติรู้ตัวน้อยลงทุกวัน หมอที่รักษาเขาก็แอบพูดลับหลังว่าสกุลเซียวควรจัดเตรียมงานศพได้แล้ว
ว่ากันว่าวันนี้เหล่าไท่จวิน ของคฤหาสน์สกุลเซียวแต่งภรรยาให้คุณชายรองเพื่อเสริมมงคลการแต่งงานครั้งนี้เหล่าไท่เหยียเป็นผู้กำหนดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว อีกฝ่ายเป็นคุณหนูที่เกิดจากภรรยาเอกของคฤหาสน์สกุลหลี่ ลือกันว่าคุณหนูสกุลหลี่ผู้นี้นิสัยร้ายกาจเอาแต่ใจ คุณชายรองกับเหล่าไท่จวินต่างไม่ชอบ แต่ติดที่เซียวเหล่าไท่เหยียกำหนดการแต่งงานครั้งนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ ทั้งยังไม่ได้มีการยกเลิก
ว่ากันว่าปีนี้คุณชายรองสกุลเซียวอายุยี่สิบแล้ว รับอนุมาแล้วสี่คน มีบุตรสาวสามคน
ว่ากันว่า…
การแต่งงานเสริมมงคลทำให้ข่าวลือเกี่ยวกับคุณชายรองสกุลเซียวกลายเป็นเรื่องดังที่ชาวบ้านร้านตลาดในเมืองผิงหยางต่างพูดถึง ต่างถกเถียงพูดคุยกันสนุกปาก เมืองผิงหยางคึกคักไปทั่ว
หลี่เมิ่งซีสวมมงกุฎหงส์บนศีรษะ สวมชุดเจ้าสาวนั่งสง่างามอยู่ในเกี้ยว สองมือจับผ้าเช็ดหน้าแน่น เกี้ยวเจ้าสาว ชุดเจ้าสาว และชาดล้วนเป็นสีแดงสด บรรยากาศชื่นมื่นมงคลที่เต็มไปด้วยสีแดงนี้กลับมิอาจปกปิดความซีดขาวบนใบหน้านาง ก้นบึ้งดวงตาฉายความจนใจ นี่คือโชคชะตาหรือ นาง…เป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนดวงหนึ่ง บัดนี้กลับต้องเป็นเจ้าสาวที่แต่งงานเพื่อเสริมมงคลให้ผู้อื่น เจ้าสาวที่แต่งงานแทนผู้อื่น!
ชาติก่อนนางเป็นด็อกเตอร์สาขาการแพทย์ ระหว่างทำการทดลองถูกรังสีแกมมาจนเม็ดเลือดขาวเกิดความผิดปกติ จำได้ว่าตนเองกำลังถูกช่วยชีวิตในโรงพยาบาล แต่แล้วจู่ๆ ก็มาโผล่ในมิตินี้ ซึ่งเป็นมิติที่ไม่เหมือนกับประวัติศาสตร์ในความทรงจำเลยสักนิด ทั้งเป็นมิติที่ไม่คุ้นเคย และนางได้กลายเป็นเจ้าของร่างนี้
เดิมทีร่างนี้ของนางคือคุณหนูเจ็ดที่เกิดจากอนุของนายท่านสกุลหลี่ ปีนี้อายุสิบสามปี มารดาบังเกิดเกล้าเป็นอนุคนที่ห้าจ้าวอี๋เหนียง เดิมทีการแต่งงานครั้งนี้เจ้าสาวต้องเป็นหลี่เมิ่งเฟยบุตรสาวสายตรงคนโตของนายท่านสกุลหลี่ ด้วยหลี่เมิ่งเฟยหมั้นหมายกับเซียวจวิ้นมานานแล้ว แต่สกุลเซียวไม่มาตบแต่งเสียที ทว่าหลังจากป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้กลับคิดจะให้หลี่เมิ่งเฟยไปช่วยเสริมมงคล
หลี่ฮูหยินโมโหจนเต้นผางร้องด่า หากจะเสริมมงคลแต่งแค่อนุก็พอ กลับเอาภรรยาเอกมาช่วยเสริมมงคล เห็นคุณหนูสายตรงสกุลหลี่ของพวกเขาเป็นอะไร แม้จะเป็นสกุลสูงศักดิ์ก็ไม่อาจข่มเหงผู้อื่นเช่นนี้ได้
ทั้งยังได้ยินมาว่าตอนนี้คุณชายรองสกุลเซียวรู้สึกตัวน้อยมาก ส่วนใหญ่แทบจะไม่ได้สติ หมอที่เคยตรวจรักษาเขาบอกว่าคุณชายรองสกุลเซียวจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่พ้นเดือนนี้ บุตรสาวของตนหากแต่งออกไปแล้วย่อมจะกลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังไม่ทันเข้าประตู
ความฝันตลอดหลายปีที่บุตรสาวสายตรงของตนจะได้เป็นนายหญิงสกุลเซียวซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สกุลสูงศักดิ์ของต้าฉีดับสิ้นลงทันที แต่ติดที่อำนาจของสกุลเซียวจึงมิกล้าปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้ ในใจของหลี่ฮูหยินนึกแค้นสกุลเซียวและไปเอะอะโวยวายกับนายท่านสกุลหลี่
ด้วยทนการร้องไห้โวยวายไม่เลิกราของฮูหยินไม่ไหว นายท่านสกุลหลี่ที่จนปัญญาแล้วจึงคิดใช้วิธีลักขื่อเปลี่ยนเสารับบุตรสาวของจ้าวอี๋เหนียงเป็นบุตรสายตรง แม้ปีนี้หลี่เมิ่งซีจะยังไม่ถึงวัยปักปิ่น แต่บุตรสาวสกุลหลี่ที่เกิดจากอนุคนอื่นๆ ต่างก็มีอายุที่น้อยยิ่งกว่า คนหนึ่งคือหลี่เมิ่งเฉินบุตรสาวของจางอี๋เหนียง อายุขวบกว่า อีกคนคือบุตรสาวของหลินอี๋เหนียง เพิ่งถือกำเนิดได้หกเดือนกว่า ยังไม่ทันหย่านมด้วยซ้ำ
เกี้ยวถูกหามเข้าประตูใหญ่ของคฤหาสน์สกุลเซียวและจอดลงที่เรือนกลาง สี่เหนียงประคองคนตัวเล็กใบหน้าซีดขาวลงจากเกี้ยว หลี่เมิ่งซีทำตามธรรมเนียมพิธียิบย่อยแต่ละอย่างตามคำชี้แนะของสี่เหนียงจนกราบไหว้ฟ้าดินเสร็จ ในที่สุดนางก็ถูกคุณชายรองสกุลเซียวตรงหน้าที่แค่ลมพัดมาก็ล้มลงได้จูงเข้าห้องหอ
หลี่เมิ่งซีคิด ยังดี อย่างน้อยตนเองก็ไม่ต้องกราบไหว้ฟ้าดินกับไก่ตัวผู้เหมือนในละครหรือในหนัง ได้ยินมาว่าสกุลเซียวเตรียมไก่ตัวผู้ไว้เหมือนกัน แต่วันนี้คุณชายรองสกุลเซียวกลับได้สติอย่างหาได้ยากยิ่ง ด้วยการประคองของสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยจึงสามารถบรรลุหกพิธีของการแต่งงานได้อย่างทุลักทุเล
ระเบียงทางเดินยาวมืดสลัวและประตูห้องที่ปิดสนิทขวางกั้นงานเลี้ยงฉลองแต่งงานที่ครึกครื้นข้างนอก ในห้องหอเงียบสนิท บนหน้าต่างมีอักษรมงคลสีแดงสองตัวปิดอยู่ ดูคล้ายดวงตาสองดวงที่กำลังยิ้มมองมายังเจ้าสาวที่นั่งอยู่ขอบเตียง เปลวไฟสีน้ำเงินจากเทียนไขสีแดงสองเล่มบนโต๊ะสะท้อนเข้าสู่สายตาของหลี่เมิ่งซี นอกจากสีแดงก็มีแต่สีแดง หากไม่เพราะในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นยาอันเข้มข้น ในม่านมุ้งสีแดงมีเซียวจวิ้นที่นอนเหมือนคนตายอยู่ ซึ่งคอยเตือนหลี่เมิ่งซีว่านางแต่งงานกับคนที่ป่วยหนักใกล้ตาย มิเช่นนั้นยามนี้นางคงเชื่อ ว่านี่เป็นพิธีแต่งงานที่งดงามสมบูรณ์แบบจริงๆ
สาวใช้กับบ่าวหญิงสูงวัยถอยออกไปนานแล้ว แต่หลี่เมิ่งซีรู้ว่ามีหมอห้าหกคนพักอยู่ห้องข้างๆ เตรียมพร้อมตลอดเวลาหากเซียวจวิ้นเกิดเป็นอะไรขึ้นมา
กลิ่นยาเข้มข้นในห้องคละเคล้ากับกลิ่นกำยาน อากาศอุดอู้หนักอึ้งทำให้หลี่เมิ่งซีหายใจไม่ออก มิน่าช่วงเวลาที่เซียวจวิ้นได้สติจึงน้อยนัก เวลาที่หลับใหลจึงมีมากกว่า เดือนหกแล้วกลับยังไม่เปิดหน้าต่าง แม้แต่คนที่แข็งแรงดีก็ต้องอุดอู้จนเป็นโรคได้ นับประสาอะไรกับคนป่วย หลี่เมิ่งซีเดินไปผลักหน้าต่างที่อยู่ตรงข้ามกับเตียงเบาๆ อากาศสดชื่นปะทะเข้ามา นางสูดหายใจลึก ดีเหลือเกิน!
“สะใภ้รอง เหล่าไท่จวินไม่ให้เปิดหน้าต่างเจ้าค่ะ กลัวคุณชายรองจะถูกลม” สาวใช้หงจู หงอวี้ผลักประตูเข้ามา มือของหงจูถือชามยาใบหนึ่ง หงอวี้เห็นหลี่เมิ่งซีเปิดหน้าต่างก็รีบเข้ามาปิด
“ไม่เป็นไร”
หงอวี้หันไปมองหลี่เมิ่งซี ครั้นเห็นแววตาสุขุมยืนกรานของนางจึงหดมือที่ทำท่าจะปิดหน้าต่างกลับมา “เจ้าค่ะ”
หลี่เมิ่งซีรับยาจากมือหงจู แล้วนั่งลงบนเก้าอี้กลมข้างเตียง
หงจูค่อยๆ ประคองเซียวจวิ้นขึ้นมาและร้องเรียกเสียงค่อย “คุณชายรอง คุณชายรอง ได้เวลาดื่มยาแล้วเจ้าค่ะ”
เซียวจวิ้นส่งเสียงอืมเบาๆ จนแทบไม่ได้ยิน เปลือกตาขยับเล็กน้อย แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจะเปิดตาขึ้น
หงจูหยิบหมอนอิงใบหนึ่งมาหนุนหลังเซียวจวิ้น หลี่เมิ่งซีตักยาป้อนใส่ปากเขาทีละคำ ป้อนยาเสร็จก็รับผ้าเช็ดหน้าจากหงจู เช็ดคราบยาที่มุมปากให้เขาอย่างแผ่วเบา
“ประคองคุณชายรองนอนลงเถอะ เพิ่มผ้าห่มให้คุณชายรองอีกผืนด้วย”
“เจ้าค่ะ” หงจูรับคำ
“ให้บ่าวปรนนิบัติสะใภ้รองล้างหน้านะเจ้าคะ” หงอวี้พูดขึ้นมา
“ไปยกน้ำมา”
“เจ้าค่ะ” หงอวี้หมุนตัวออกไป
หงจูปรนนิบัติเซียวจวิ้นเสร็จ หันหลังเดินไปหน้าเตากำยานและจุดก้อนกำยานในเตา กลิ่นหอมระลอกหนึ่งโชยมา
“นี่เป็นเครื่องหอมอะไร”
“เรียนสะใภ้รอง เป็นอำพันทะเลที่ดินแดนตะวันตกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการเจ้าค่ะ มีสรรพคุณช่วยให้หลับสบาย ฮ่องเต้พระราชทานแด่พระชายาจิ้งเฟย เนื่องจากคุณชายรองชอบกลิ่นหอมแปลกๆ เป็นนิสัย พระชายาจิ้งเฟยจึงประทานให้คุณชายรองเป็นกรณีพิเศษเจ้าค่ะ”
“พระชายาจิ้งเฟย?”
“สะใภ้รองไม่รู้อะไร พระชายาจิ้งเฟยเป็นบุตรของชุยฮูหยิน เข้าวังในปีที่สามของการครองราชย์ของฮ่องเต้จิ่นตี้ พระชายาจิ้งเฟยกับคุณชายรองเป็นพี่น้องแท้ๆ ที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก พระชายาจิ้งเฟยทรงมีน้องชายสายตรงเพียงคนเดียวเท่านั้น จึงเอ็นดูและเอาอกเอาใจยิ่งกว่าอะไรเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” หลี่เมิ่งซีเหม่อมองต้นหงซินเจียวตรงหน้าต่าง
อำพันทะเลจากดินแดนตะวันตกกับหงซินเจียว?…ความคิดบางอย่างวูบขึ้นในหัวของหลี่เมิ่งซี หงซินเจียว ดอกไม้ประหลาดจากแคว้นหนาน ใบใหญ่ทรงรีสีเขียวเข้มล้อมกันเป็นช่อ ใจกลางเป็นสีแดง มองไกลๆ เหมือนดอกตูมที่เพิ่งผลิบาน งดงามเฉิดฉัน แต่มองใกล้ๆ กลับพบว่าเป็นใบไม้ ว่ากันว่าพืชชนิดนี้ไม่มีดอก ความแปลกอยู่ที่กลุ่มช่อสีแดงตรงใจกลาง ทนสภาพอากาศได้ทั้งสี่ฤดู เหมือนดอกไม้ที่ไม่มีวันโรยรา กลิ่นหอมประหลาดไม่มีสิ่งใดเทียบได้ จัดเป็นเครื่องหอมอย่างดี พบเห็นน้อยในดินแดนตอนกลาง หลี่เมิ่งซีมองดอกไม้ชนิดนี้อย่างเหม่อลอย
“สะใภ้รอง ดอกไม้นี้มีอะไรหรือเจ้าคะ” หงจูเห็นหลี่เมิ่งซีเอาแต่จ้องดอกไม้จึงรีบถาม
“ไปห้องครัวต้มน้ำขิงผสมน้ำส้มเก่า มา” หลี่เมิ่งซีหันกลับมาช้าๆ เอ่ยสั่งอย่างสุขุม นัยน์ตาราบเรียบ มองไม่เห็นความตื่นตระหนกและคลื่นอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเมื่อครู่นี้แม้แต่น้อย
หงอวี้ยกน้ำเข้ามา ปรนนิบัติหลี่เมิ่งซีล้างหน้าและถอดเครื่องประดับบนศีรษะออก ก่อนจะผลัดเปลี่ยนชุดเจ้าสาวที่สวมอยู่
รอจนหงจูยกน้ำขิงผสมน้ำส้มเก่าเข้ามาแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงสั่ง “พวกเจ้าออกไปเถอะ!”
“เจ้าค่ะ สะใภ้รอง” หงจู หงอวี้ย่อกายให้หลี่เมิ่งซี ก่อนจากไปไม่ลืมเตือนว่า “หมอที่รักษาคุณชายรองพักอยู่ในเรือนปีกทิศตะวันตกนี้เอง ถ้าตอนกลางคืนคุณชายรองเป็นอะไร สะใภ้รองตามหมอได้เลยนะเจ้าคะ”
“ข้ารู้แล้ว” หลี่เมิ่งซีพยักหน้า มองหงจู หงอวี้ถอยออกจากประตู จนกระทั่งฝีเท้าของทั้งสองค่อยๆ ห่างออกไปไกล นางจึงรีบลงกลอนประตูจากข้างใน ดับอำพันทะเลในเตากำยานและยกเตาไปวางนอกหน้าต่าง
แล้วหันกายกลับมาพิจารณาคนบนเตียงที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘สามี’ ของตนอย่างละเอียด ยามนี้เขาสลบไสลไม่ได้สติ ตาหงส์ปิดสนิท จมูกสูงโด่ง ริมฝีปากบางเม้มนิดๆ สะท้อนความแข็งกร้าวออกมา เป็นบุรุษประเภทหนุ่มหล่อที่เพียงแค่มองแวบเดียวก็ทำให้สาวๆ ต้องยอมจำนน หากอยู่ในยุคปัจจุบัน แม้แต่หลิวเต๋อหวา เซี่ยถิงเฟิงยังต้องชิดซ้าย เซียวจวิ้นจะต้องเป็นที่คลั่งไคล้ของคนนับหมื่นแน่ จนเป็นบ่อเกิดของหายนะ หลี่เมิ่งซีลอบอุทานในใจว่าตนได้กำไรแล้ว
หึๆ ฉันก็มีโอกาสได้ใกล้ชิดซุป’ตาร์กับเขาเหมือนกัน น่าเสียดาย มองได้กินไม่ได้!
หนุ่มหล่อตรงหน้าทำให้หลี่เมิ่งซีที่เป็น ‘โรคบ้าหนุ่มหล่อ’ ตั้งแต่ชาติที่แล้วอดโม้ในใจไม่ได้
หลี่เมิ่งซีวางมือลงบนชีพจรของเซียวจวิ้น ตรวจชีพจรให้เขาอย่างละเอียด ทั้งยังเปิดเปลือกตาเขาตรวจดูอยู่นาน นางมั่นใจอย่างยิ่งว่าเขาไม่ได้ป่วย แต่ถูกพิษชนิดหนึ่งที่ไร้สีไร้กลิ่น หลี่เมิ่งซีย้อนนึกถึงตำราโบราณเนื้อหาแปลกประหลาดนับไม่ถ้วนที่ตนเองเคยศึกษามาไม่น้อยตอนทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเมื่อชาติที่แล้ว
หงซินเจียวจากแคว้นหนานกับอำพันทะเลจากดินแดนตะวันตก เครื่องหอมสองชนิดนี้มีแหล่งกำเนิดคนละที่ แต่กลิ่นหอมล้วนไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้ ทั้งสองสิ่งนี้ล้วนเป็นเครื่องหอมที่หาได้ยากยิ่ง ทว่าไม่มีใครรู้ว่าหากนำเครื่องหอมสองชนิดนี้มาใช้ร่วมกันจะเกิดพิษประหลาดอย่างหนึ่งที่ไร้สีไร้กลิ่น หากสูดดมปริมาณน้อยจะไม่เป็นไร แต่หากสูดดมระยะยาวจะค่อยๆ ถูกพิษ อีกทั้งเมื่อถูกพิษแล้วจะตรวจสอบไม่ได้แม้แต่น้อย แรกเริ่มจะรู้สึกเหนื่อยล้า แขนขาไร้เรี่ยวแรง จากนั้นจะค่อยๆ นอนมากขึ้นจนกลายเป็นสลบไสล ประสาทการรับรู้ด้านชา สุดท้ายก็นอนหลับจนตายไป ทั้งหมดนี้กินเวลาราวครึ่งปี อาการของเซียวจวิ้นในตอนนี้ พิษซึมเข้าสู่กระดูกแล้ว หากยังไม่ขับพิษออกมา เกรงว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงสามวันห้าวันเท่านั้น คิดถึงตรงนี้ หลี่เมิ่งซีก็อดสะท้านเยือกไม่ได้
ใครกันที่ต้องการฆ่าเซียวจวิ้น คนทั่วไปแค่เครื่องหอมชนิดใดชนิดหนึ่งก็หายากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการครอบครองทั้งสองชนิดพร้อมกันเลย การใช้เครื่องหอมสองชนิดพร้อมกันนับเป็นการสิ้นเปลืองโดยแท้ เรื่องนี้ต้องไม่ใช่ความบังเอิญแน่ เห็นชัดว่าเป็นการวางแผนมาอย่างดี หลี่เมิ่งซีคิดว่าตนเพิ่งแต่งเข้าสกุลเซียว ไม่ว่าเซียวจวิ้นจะมีใจให้นางหรือไม่ เขาก็ยังได้ชื่อว่าเป็นสามีของนาง ซึ่งจะเป็นหลักยึดของนางในวันข้างหน้ายามอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียว เพราะอย่างนั้นเซียวจวิ้นจะตายไม่ได้เป็นอันขาด!
พิษนี้ยังต้องแอบขับออกมา ตอนนี้ไม่รู้ว่าใครในคฤหาสน์ปองร้ายเซียวจวิ้น ศัตรูอยู่ในที่ลับ นางอยู่ในที่แจ้ง หากตอนนี้หลี่เมิ่งซีโพล่งออกไปว่าเซียวจวิ้นถูกพิษ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่นางเป็นสตรีในห้องหับที่ไม่เคยย่างเท้าออกไปที่ใดเลย แค่นางรู้เรื่องพิษนี้ได้อย่างไรและจะถอนพิษได้อย่างไรก็ล้วนไม่อาจอธิบายได้แล้ว ทั้งน้ำในคฤหาสน์สกุลเซียวลึกเกินไปข้างกายก็ไม่มีคนของตนเองเลย เป็นไปได้ว่าวันนี้นางเพิ่งถอนพิษเสร็จ พรุ่งนี้ก็ถูกปองร้ายจนไม่เหลือแม้แต่ซากแล้ว
“แต่ไรมาข้าไม่เคยปิดทองหลังพระ เห็นแก่ที่เจ้าจะเป็นที่พึ่งในคฤหาสน์สกุลเซียวให้ข้าในวันข้างหน้า จึงได้แต่ยอมทำการค้าขาดทุนไปก่อน ถือเป็นการลงทุนระยะแรกแล้วกัน วันหน้าข้าจะต้องทวงคืนกลับมาทั้งต้นทั้งดอก เซียวจวิ้น เจ้าห้ามเบี้ยวข้าเด็ดขาด!”
หลี่เมิ่งซีหยิบขวดใบเล็กออกมาจากกล่องเครื่องประดับที่เป็นสินเจ้าสาวซึ่งนำติดตัวมาด้วย เทผงยาสีเขียวออกมา นี่เป็นสิ่งที่นางเก็บรวบรวมได้ตอนอยู่ที่คฤหาสน์สกุลหลี่ ก่อนจะเทผงยาลงในน้ำขิงผสมน้ำส้มเก่า คนให้ทั่วและค่อยๆ ป้อนให้เซียวจวิ้น
ไม่เหมือนพิษเจ็ดใบบั่นลำไส้ที่ต้องใช้คางคกหิมะพันปีที่หายากในการถอนพิษ พิษร้ายแรงที่เกิดจากการผสมผสานของอำพันทะเลกับหงซินเจียว แค่ใช้ของธรรมดาอย่างใบไห่ถัง ขิงสด ต้มกับน้ำส้มเก่าและดื่มก็เพียงพอแล้ว ด้วยเพราะของที่ใช้ถอนพิษธรรมดาเกินไป ทั้งยังไม่ใช่ยาอย่างแท้จริงจึงมีน้อยคนที่รู้ หากถูกพิษในระยะเริ่มแรก แค่ดื่มลงไปชามเดียวก็ถอนพิษได้แล้ว แต่เซียวจวิ้นรับพิษมานานจนพิษซึมเข้าสู่กระดูก ไม่อาจถอนพิษได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น ต้องใช้ใบไห่ถังต้มน้ำดื่มต่อเนื่องเป็นเวลาหนึ่งเดือนจึงจะถอนพิษได้ทั้งหมด หลี่เมิ่งซีครุ่นคิด
นางหาเข็มเงินออกมาเล่มหนึ่ง ลนกับเปลวไฟจากเทียนไขสีแดง จับมือเซียวจวิ้นขึ้นมาและจิ้มลงไปตรงจุดชีพจรที่ปลายนิ้ว แล้วปล่อยเลือดออกมา มองเลือดสีแดงฉานที่ไหลออกมาจากปลายนิ้วของเขาแล้ว หลี่เมิ่งซีพลันคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนตอนจ้าวอี๋เหนียงมารดาบังเกิดเกล้ามอบผ้าพรหมจารี ให้นางและคำพูดของอีกฝ่าย
‘ซีเอ๋อร์ ฟังคำของอี๋เหนียงนะ เจ้าออกเรือนไปเถอะ! นี่เป็นโชคชะตาของสตรีเช่นเรา นายท่านบอกแล้วว่าหากเจ้าไม่ออกเรือนแต่โดยดี หรือเรื่องที่เจ้าเป็นลูกอนุถูกเปิดเผย กระทั่งถูกขับออกจากคฤหาสน์สกุลเซียว แม่กับเจ้าล้วนหนีไม่พ้นความตาย…’
ดูจากที่สกุลเซียวหมั้นหมายกับพี่สาวหลายปีแต่ไม่ตบแต่งสักที สุดท้ายกลับแต่งเข้ามาเพื่อเสริมมงคล สกุลเซียวโดยเฉพาะ เช่นนั้นเซียวจวิ้นจะต้องไม่ชอบพี่สาวของนางหลี่เมิ่งเฟยแน่ ภรรยาเอกคนนี้แค่เอามาเสริมมงคลเท่านั้น เซียวจวิ้นไม่มีทางเข้าหอกับนาง หลี่เมิ่งซีเป็นคนยุคปัจจุบัน แน่นอนว่าย่อมไม่เหมือนคนโบราณที่ยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม มีชีวิตอยู่โดยพึ่งพาบุรุษ คิดหาสารพัดวิธีเพื่อให้เป็นที่รัก ดังนั้นนางจึงไม่ยินดีโอนอ่อนตามเซียวจวิ้นอยู่แล้ว
คืนวันเข้าหอเซียวจวิ้นสลบไสล ไม่เข้าหอย่อมเป็นเรื่องธรรมดา คนสกุลเซียวไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่หากวันใดพิษของเซียวจวิ้นถูกขับออกมาหมด ระหว่างที่นางยังไม่ได้เข้าหอกับเขา หากถูกจับได้ว่านางเป็นลูกอนุที่มาแต่งงานแทน เช่นนั้นนางย่อมถูกขับไล่ออกจากคฤหาสน์ จากนั้นก็มีแต่ต้องตายเท่านั้น แต่ถ้าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ทำให้ทุกคนในคฤหาสน์สกุลเซียวรวมถึงเหล่าไท่จวินรู้ว่านางเข้าหอกับเซียวจวิ้นแล้ว เช่นนั้นนางย่อมไม่ถูกขับออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวง่ายๆ แน่ ถึงอย่างไรสกุลเซียวก็เป็นสกุลสูงศักดิ์ เป็นสกุลบัณฑิตที่ทรงภูมิความรู้ หน้าตายังคงต้องรักษาไว้ แม้ตอนนี้เซียวจวิ้นจะไม่ได้สติ แต่เมื่อถอนพิษแล้ว พรุ่งนี้เขาต้องฟื้นแน่ ถึงเวลานั้นเรื่องนี้ย่อมเป็นไปตามที่นางคิด
คิดเช่นนี้ หลี่เมิ่งซีจึงหยิบผ้าพรหมจารีที่อี๋เหนียงมอบให้ตนก่อนออกเรือนออกมา “คุณชายรอง ขอยืมเลือดท่านมาใช้หน่อยแล้วกัน ถือว่าเอาของที่ต้องทิ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์ คงเป็นไปไม่ได้ที่คืนนี้ข้าช่วยชีวิตท่านแล้ว พรุ่งนี้ท่านจะปล่อยให้ข้าไปตายกระมัง!” หลี่เมิ่งซีพึมพำเสียงค่อย
เซียวจวิ้นลืมตา เขารู้สึกหิวเล็กน้อย ร่างกายก็ไม่หนักอึ้งหรือด้านชาเหมือนทุกวัน ซึ่งไม่ได้รู้สึกอย่างนี้มานานแล้ว เขาแกว่งแขน แม้จะยังอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่ก็ผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย หายดีแล้วหรือ หรือว่าโรคของข้าหายดีแล้วจริงๆ ในใจพลันตื่นเต้นยินดี พอพลิกตัวก็เห็นคนตัวเล็กหลับสนิทอยู่ข้างกาย ดวงหน้าขนาดเท่าฝ่ามือ ตาโตฟันขาว คิ้วตากระจ่างหมดจด ผิวกายเนียนลื่นประหนึ่งนวลไข ริมฝีปากแดงเม้มนิดๆ งามผุดผาดเป็นพิเศษ เขายื่นมือไปเกี่ยวปอยผมตรงหน้าผากนางขึ้นมา ลูบไล้ดวงหน้านางอย่างแผ่วเบา
“จั๊กจี้…” หลี่เมิ่งซีปัดมือเขาออกโดยสัญชาตญาณ ก่อนจะลืมตาอย่างเกียจคร้าน ดวงตาพร่าเลือนดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ เซียวจวิ้นเหม่อมองโดยไม่รู้ตัว
ครั้นมองเห็นใบหน้าขนาดใหญ่ของเซียวจวิ้น ในที่สุดหลี่เมิ่งซีก็นึกขึ้นได้ว่าตนเองอยู่ที่ใด พลางผุดลุกขึ้นทันที
“คุณชายรองตื่นแล้วหรือเจ้าคะ รู้สึกไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่ ภรรยาจะปรนนิบัติคุณชายรองสวมเสื้อผ้า”
“เรียกหงอวี้เข้ามาเถอะ ข้ารู้สึกหิวแล้ว”
หลี่เมิ่งซีลงจากเตียง สวมเสื้อชั้นนอกและเปิดประตู เรียกหงอวี้ หงจูเข้ามาปรนนิบัติเซียวจวิ้น ทั้งยังสั่งให้สาวใช้ไปห้องครัวสั่งทำโจ๊กเปล่า
“คุณชายรองฟื้นแล้ว อยากกินอาหารแล้วด้วย!” หงจู หงอวี้ได้ยินว่าคุณชายรองหิวก็รีบผลักประตูเข้ามาในห้อง เห็นเซียวจวิ้นนั่งอยู่บนเตียง ใบหน้าไม่ซีดขาวเช่นทุกครั้ง แต่กลับมีเลือดฝาดน้อยๆ จึงต่างตะโกนออกมาด้วยความดีใจ
“คุณชายรองหายดีแล้วจริงๆ! คุณชายรองกับสะใภ้รองเปี่ยมด้วยบุญบารมี การเสริมมงคลใช้ได้ผลจริงๆ ด้วย” หงอวี้พูดอย่างตื่นเต้น
“บ่าวจะส่งคนไปเรียนเหล่าไท่จวินเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” หงจูเดินออกจากประตูไปอย่างตื่นเต้น
“ผ้าพรหมจารีของสะใภ้รอง!” หงอวี้ปรนนิบัติเซียวจวิ้นสวมเสื้อผ้าเสร็จ ตอนพับผ้าห่มเห็นบนผ้าสีขาวบริสุทธิ์มีจุดสีแดง ดูเหมือนดอกเหมยที่ผลิบานจึงอุทานออกมา
คนในคฤหาสน์สกุลเซียวรวมถึงหงอวี้ต่างไม่คิดว่าคุณชายรองคนเมื่อวานที่ป่วยหนักจะสามารถเข้าหอกับสะใภ้รองได้ เดิมหลี่เมิ่งซีก็เป็นเพียงคนที่นำมาเสริมมงคลเท่านั้น แต่เห็นวันนี้คุณชายรองสดชื่นกระปรี้กระเปร่า หงอวี้ก็เริ่มสงสัยว่าบางทีคุณชายรองอาจป่วยจากสิ่งอัปมงคล หลังจากมีสะใภ้รองมาเสริมมงคลให้จึงหายดี มองผ้าพรหมจารีในมือแล้วหงอวี้ก็ครุ่นคิด เมื่อคืนคุณชายรองกับสะใภ้รองเข้าหอกันจริงๆ หรือ
ตอนหงอวี้อุทานออกมา หลี่เมิ่งซีประหม่าจนหัวใจแทบกระดอนออกมา นางเชื่อว่าเซียวจวิ้นไม่มีทางเปิดโปงออกมาเวลานี้ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน แต่นางยังคงเหมือนหัวขโมยที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา นางรู้สึกลนลานไปชั่วขณะ จิตใจว้าวุ่น จ้องพื้นอย่างร้อนตัวราวกับบนพื้นมีดอกไม้งอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าค่อยๆ แดงเรื่อ
เซียวจวิ้นจ้องดอกเหมยดอกเล็กในมือหงอวี้แล้วพลันหนาวเยือก เขาทำหรือไม่ทำในใจย่อมรู้ดี เหตุใดหลี่เมิ่งซีจึงสร้างผ้าพรหมจารีขึ้นมาระหว่างที่เขาหมดสติ นางคิดจะปกปิดอะไร คิดถึงข่าวลือเกี่ยวกับบุตรสาวสายตรงสกุลหลี่ที่ว่ากันว่าเอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ ทั้งไม่รักษาธรรมเนียมของสตรีแล้ว ดูท่าว่าจะจริง นางจะต้องสูญเสียความบริสุทธิ์ไปแล้วเป็นแน่!
เขาจ้องหลี่เมิ่งซีเขม็ง ส่วนลึกของดวงตาฉายความรังเกียจเย็นชา ความอ่อนโยนหวานชื่นที่บังเกิดขึ้นหลังตื่นนอนพลันหายไปไม่เหลือ
หลี่เมิ่งซีแค่กลัวว่าเรื่องที่ตนเป็นลูกอนุแต่งงานแทนจะถูกเปิดเผยและถูกไล่ออกจากคฤหาสน์ นางแค่อยากปกป้องชีวิตน้อยๆ ของตนเองถึงได้คิดอุบายนี้ขึ้นมา แต่กลับลืมนึกถึงความแตกต่างของคนยุคปัจจุบันกับคนยุคโบราณ จิตวิญญาณของนางเป็นคนยุคปัจจุบัน มาจากยุคที่ชายหญิงเท่าเทียมกัน ยุคที่หนุ่มสาวต่างไม่ร้องขอความเป็นนิรันดร์ชั่วฟ้าดินสลาย ขอเพียงเคยได้ครอบครองก็พอ ทว่านางลืมไปว่าตนเองอยู่ในยุคโบราณ คนบนเตียงที่นางเพิ่งช่วยชีวิต กราบไหว้ฟ้าดินกับนาง และเป็นสามีที่จะกุมชะตาชีวิตของนางนับแต่นี้ไปก็เป็นคนยุคโบราณ ยุคสมัยที่การอดตายเป็นเรื่องเล็ก การสูญเสียพรหมจารีเป็นเรื่องใหญ่ หากถูกสามีสงสัยว่าเสียความบริสุทธิ์ก่อนแต่งงานย่อมเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย
ดวงตาของหลี่เมิ่งซีเอาแต่รบรากับดอกไม้ที่จะงอกออกมาจากพื้น จึงไม่ทันสังเกตเห็นแววรังเกียจเดียดฉันท์ที่ฉายออกมาจากส่วนลึกของดวงตาเซียวจวิ้น
หงอวี้เห็นสะใภ้รองก้มหน้าไม่พูดจา ใบหน้าแดงเรื่อ ส่วนคุณชายรองมองสะใภ้รองเงียบๆ เนื่องจากตื่นเต้นเกินไป นางจึงไม่สังเกตเห็นความเย็นชาในดวงตาของคุณชายรอง คิดว่าสองคนคนหนึ่งเขินอาย อีกคนจ้องมองเงียบๆ เปี่ยมด้วยอารมณ์ความรู้สึก เป็นการยอมรับเรื่องนี้ นางจึงพับเก็บผ้าพรหมจารีอย่างระวัง เตรียมนำไปรายงานและให้เหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่ตรวจสอบ บุตรชายสายตรงสกุลเซียว ประมุขคฤหาสน์ในอนาคตแต่งภรรยาและเข้าหอกับภรรยาแล้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่มากทีเดียว!
เวลานี้หงจูก็ยกน้ำเข้ามา ปรนนิบัติเซียวจวิ้นกับหลี่เมิ่งซีล้างหน้า จากนั้นหวีผมให้หลี่เมิ่งซี ช่วยเตรียมชุดทางการสีแดงเอาไว้ให้
หลี่เมิ่งซีมองดวงหน้างดงามของคนในคันฉ่องอย่างเหม่อลอย สตรีก็เหมือนกับดอกไม้ เพียงแต่หลังจากนี้ไปจะไหวเอนเพื่อใคร แล้วจะมีผู้ใดมารักตนเองอย่างจริงใจ
มองมวยผมทรงหญิงแต่งงานแล้วที่หงจูเกล้าให้ พลันตระหนักว่านางได้กลายเป็นภรรยาของผู้อื่นในวัยที่เปรียบดังความฝันไปเสียแล้ว ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด อายุสิบสามเป็นช่วงวัยเด็กที่สดใส สามารถออดอ้อนเอาแต่ใจในอ้อมอกพ่อแม่ได้อย่างเต็มที่ ทว่าอยู่ที่นี่ นางได้กลายเป็นภรรยาของผู้อื่นไปเสียแล้ว ใช้ชีวิตตามลำพังคนเดียวในคฤหาสน์หลังใหญ่ท่ามกลางพายุฝน นับแต่นี้ไปนางจะถูกพัดพาไปอยู่แห่งหนใด คิดแล้วหัวใจพลันบังเกิดความเศร้าสลด
หงจูเห็นหลี่เมิ่งซีนั่งเหม่อจึงรีบประคองนางขึ้นมา เอ่ยว่า “สะใภ้รองรีบเปลี่ยนชุดเถอะเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวยังต้องไปยกน้ำชาคารวะเหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่อีก”
ระหว่างพูด หงอวี้ก็ยกถาดใบหนึ่งเข้ามา ในถาดมีโจ๊กเปล่าชามหนึ่ง เครื่องเคียงสองอย่าง
“เรียนคุณชายรอง สะใภ้รอง สาวใช้ที่ไปส่งข่าวให้เหล่าไท่จวินทราบกลับมาแล้ว เหล่าไท่จวินมีคำสั่งว่า สะใภ้รองยังไม่ต้องรีบไปยกน้ำชาที่เรือนหลัก ให้ปรนนิบัติคุณชายรองให้ดีก่อน ประเดี๋ยวเหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่จะมาเยี่ยมคุณชายรองเจ้าค่ะ” พูดพลางวางถาดลงบนโต๊ะ แล้วสั่งสาวใช้ให้ย้ายโต๊ะไปหน้าเตียงเซียวจวิ้น ก่อนจะจัดชามตะเกียบ
“ร่างกายของคุณชายรองเพิ่งหายดี อย่าลงจากเตียงเลย นั่งกินบนเตียงแล้วกัน” หลี่เมิ่งซีรับโจ๊กจากหงจู “คุณชายรองเพิ่งหายจากการป่วยหนักมา ไม่เหมาะจะกินอาหารที่มันเกินไป กินโจ๊กเปล่าก่อนนะเจ้าคะ” พูดพลางนั่งลงบนขอบเตียง ใช้ช้อนตักโจ๊กยื่นไปที่ปากเซียวจวิ้น
“วางลงเถอะ ข้ากินเอง” เซียวจวิ้นไม่กินโจ๊กที่หลี่เมิ่งซีป้อนให้ เขาเพียงพูดเสียงเย็น
“เจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีประหม่า แต่สีหน้ายังคงสุขุม นางเพียงรับคำอย่างนอบน้อม วางโจ๊กลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบา หงอวี้เห็นแล้วอึ้งไปครู่หนึ่ง รีบเข้ามาปรนนิบัติ ในห้องพลันเงียบงัน ได้ยินเพียงเสียงกินโจ๊กของเซียวจวิ้น
หงจูปรนนิบัติหลี่เมิ่งซีสวมชุดสีแดงจัด นางนั่งอย่างสง่างามอยู่บนเก้าอี้ มองหงอวี้ปรนนิบัติเซียวจวิ้นเงียบๆ
เซียวจวิ้นกินโจ๊กไปสองชามและสั่งให้ยกออกไป
รอจนเซียวจวิ้นบ้วนปากเสร็จ โต๊ะถูกยกออกไป หงอวี้จึงหยิบหมอนมาหนุนหลังเซียวจวิ้น ให้เขาเอนพิง ทั้งยังหยิบผ้าห่มผืนบางมาคลุมขา ก่อนจะถอยออกไป สั่งให้สาวใช้ไปเตรียมขนม ประเดี๋ยวเหล่าไท่จวินจะมา
เวลานี้เอง สาวใช้เข้ามารายงานว่าเหล่าไท่จวินกับนายหญิงใหญ่มาถึงแล้ว เพียงครู่เดียวก็เห็นเหล่าสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยห้อมล้อมสตรีสูงวัยผู้มีจอนผมสีเงินเดินเข้ามา
“หลานรักของข้าหายดีแล้วจริงๆ หรือ!” เหล่าไท่จวินไม่สนใจสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้นและหลี่เมิ่งซีที่ลุกขึ้นคารวะ รีบตรงไปนั่งบนเก้าอี้กลมข้างเตียงโดยมีสาวใช้หน้าตาสะสวยสองคนคอยประคอง นางกุมมือเซียวจวิ้นแน่นและร้องเรียกด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“ท่านย่า จวิ้นเอ๋อร์ดีขึ้นมากแล้ว รู้สึกกระปรี้กระเปร่ากว่าเดิมมาก ร่างกายก็เบาขึ้น เพียงแต่มือเท้ายังชาอยู่เล็กน้อย คิดว่าอีกสองวันน่าจะหายดีขอรับ”
“ด้วยบุญบารมีของเหล่าไท่จวิน จวิ้นเอ๋อร์หายดีแล้วจริงๆ หรือ”
หลี่เมิ่งซีแอบมองประเมินผู้พูด เห็นว่าอีกฝ่ายอายุประมาณสี่สิบ มือข้างหนึ่งถูกประคองโดยคนที่แต่งตัวแบบอี๋เหนียง มือข้างหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา ศีรษะเกล้ามวยผมอย่างสตรีสูงศักดิ์ สวมสีแดงจัด ตาหงส์รียาว คิ้วโค้งยาวเรียวจรดจอนผม ริมฝีปากบางเม้มเข้าด้วยกันนิดๆ แม้ไม่โกรธก็ดูน่าเกรงขาม เป็นเจ้านายอีกคนที่รับมือไม่ง่ายนัก หลี่เมิ่งซีมองแล้วคิดว่า นี่แหละแม่สามีของข้า ในใจอดบังเกิดความหนาวเยือกไม่ได้
“มารดา จวิ้นเอ๋อร์ดีขึ้นมากแล้วขอรับ จวิ้นเอ๋อร์อกตัญญู ทำให้มารดาเป็นห่วง”
“เหล่าไท่จวินเปี่ยมด้วยบุญบารมี การเสริมมงคลครั้งนี้ดียิ่งนัก เช้าวันนี้คุณชายรองตื่นมาก็รู้สึกหิว กินโจ๊กไปสองชามแล้วเจ้าค่ะ” หงอวี้ที่คุกเข่าอยู่ตอบเสียงใส
เหล่าไท่จวินถึงได้ตระหนักว่าหงจู หงอวี้ กับเหล่าสาวใช้รุ่นเล็กอีกหลายคนยังคุกเข่าอยู่กับพื้น หลี่เมิ่งซีก็ย่อกายนิ่งอยู่ตรงนั้น
“ลุกขึ้นเถอะ ตอนเช้าจวิ้นเอ๋อร์กินยาหรือยัง” เหล่าไท่จวินพินิจมองหลี่เมิ่งซีพลางถาม
หงจู หงอวี้รีบลุกขึ้นและสั่งพวกสาวใช้ยกขนมน้ำชาเข้ามา
หลี่เมิ่งซียืดตัวขึ้น นางก้าวไปข้างหน้าพลางย่อกายและเอ่ยตอบ “เรียนเหล่าไท่จวิน เนื่องจากคุณชายรองเพิ่งกินอาหารเสร็จ ไม่เหมาะจะกินยาทันที หลานคิดว่ารอให้เหล่าไท่จวินมาก่อน ให้หมอตรวจดูอาการแล้วค่อยกินยาเจ้าค่ะ”
ช่างเป็นเด็กสาวที่งดงามคนหนึ่ง รูปร่างอ้อนแอ้น ดวงหน้ามีขนาดเพียงฝ่ามือ ตาโตกระจ่างสุขุม อากัปกิริยาสุภาพสง่าผ่าเผย สะท้อนลักษณะของบุตรีสกุลใหญ่ออกมาทุกกระเบียด เหล่าไท่จวินเห็นแล้วใจบังเกิดความชื่นชอบขึ้นหลายส่วน แต่แล้วก็คิดถึงคำเล่าลือตามท้องถนนที่ว่าสตรีผู้นี้เอาแต่ใจอย่างร้ายกาจ นางจึงลอบคิดในใจว่า น่าเสียดาย
“ดีๆ ยังคงเป็นหลานสะใภ้ที่รอบคอบ ตามหมอมา” เหล่าไท่จวินผงกศีรษะพลางสั่ง
ได้ยินหลี่เมิ่งซีตอบ นายหญิงใหญ่ชุยซื่อจึงหันมามอง ลูกสะใภ้คนนี้นับเป็นโฉมงามคนหนึ่ง แม้ร่างกายและใบหน้าจะดูบอบบางยิ่งนัก แต่กลับแฝงเสน่ห์โดยธรรมชาติ เมื่อโตเต็มที่แล้วจะต้องเป็นนางจิ้งจอกช่างยั่วคนหนึ่งแน่ คิดถึงชื่อเสียงของสตรีผู้นี้แล้ว ทั้งคิดถึงหลานสาวผู้อาภัพของตนเอง ครั้นได้ยินคำชมของเหล่าไท่จวินเมื่อครู่นี้ ดวงตานางก็ฉายความรังเกียจ
ที่แท้บ้านเดิมของชุยซื่อมีพี่น้องสายตรงสองคน พี่สาวแต่งงานเป็นภรรยาเอกของผู้ตรวจการจางจ้ง มีบุตรชายสองคนบุตรสาวหนึ่งคน บุตรสาวมีนามว่าจางซิ่ว อายุสิบห้า เฉลียวฉลาดมีไหวพริบ ปากหวานเป็นพิเศษ ปะเหลาะเอาใจชุยซื่อจนนางแทบอยากให้อีกฝ่ายมาเป็นลูกสาวแท้ๆ ของตนเอง จึงหมายจะให้หลานสาวผู้นี้แต่งเป็นภรรยาของเซียวจวิ้น ส่วนจางซิ่วก็เติบโตกับญาติผู้พี่มาตั้งแต่เล็ก กล่าวได้ว่าเล่นด้วยกันอย่างสนิทสนม จนใจที่สมัยมีชีวิตอยู่เหล่าไท่เหยียหมั้นหมายบุตรสาวสายตรงสกุลหลี่ไว้ให้เซียวจวิ้นแล้ว ชุยซื่อได้ยินบ่อยครั้งว่าชื่อเสียงของสตรีผู้นี้ไม่ดีจึงยิ่งไม่ชอบลูกสะใภ้คนนี้ นางมักเสนอกับเหล่าไท่จวินอยู่บ่อยครั้งให้ปฏิเสธการแต่งงานครั้งนี้เสีย เหล่าไท่จวินกลับเห็นว่านี่เป็นความปรารถนาของสามีสมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ด้วยไม่อยากฝ่าฝืนจึงรั้งรอมาจนถึงบัดนี้
ชุยซื่อรับอนุให้เซียวจวิ้นหลายคน บุรุษที่มีการหมั้นหมายแล้ว ทั้งที่ยังไม่แต่งภรรยาแต่กลับแต่งอนุเข้ามาก่อน ในต้าฉีถือเป็นการตบหน้าภรรยา ชุยซื่อทำเช่นนี้เพราะหวังบีบสกุลหลี่ให้ปฏิเสธการแต่งงานนี้ไป แต่เดิมสกุลหลี่อยากกอดขาสกุลเซียวไว้ให้แน่นอยู่แล้ว ไหนเลยจะห่วงเรื่องหน้าตามากมายเพียงนั้น การแต่งงานจึงยืดเยื้อมาเรื่อยๆ เช่นนี้
จวบจนเซียวจวิ้นป่วยหนัก หมอหลวงพูดตรงๆ ว่าให้สกุลเซียวจัดเตรียมงานศพได้เลย พี่สาวของชุยซื่อรู้เข้าก็รีบจัดการหมั้นหมายจางซิ่วกับคนอื่น ชุยซื่อแม้จะไม่พอใจการกระทำของพี่สาว แต่ก็เกรงว่าหากบุตรชายตายไปจริงๆ จะเป็นการทำร้ายหลานสาวที่ต้องเป็นม่าย นางจึงดับความหวังนี้ไปและเห็นด้วยกับการแต่งบุตรสาวสายตรงของสกุลหลี่เข้าบ้าน ใช้ภรรยาเอกเสริมมงคล แต่วันนี้เห็นบุตรชายหายดีแล้ว นางกลับนึกชิงชังหลี่เมิ่งซี รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่คู่ควรกับบุตรชายตนแม้แต่น้อย แต่ที่นางไม่รู้ก็คือหากไม่ได้หลี่เมิ่งซี บางทีบุตรชายของนางอาจตายไปแล้วจริงๆ ทั้งยังลืมไปว่าพี่สาวของนางไม่ยอมให้จางซิ่วมาเสริมมงคล
ระหว่างที่นายหญิงใหญ่ครุ่นคิด สาวใช้ก็เข้ามารายงานว่าหมอรออยู่นอกห้องแล้ว เหล่าไท่จวินสั่งให้หลี่เมิ่งซีและคนอื่นๆ หลบไปอยู่ในโถงข้าง เหลือไว้เพียงหมัวมัว สองคน ก่อนจะให้หมอเข้ามา
หมอตรวจชีพจรอย่างละเอียด สำรวจดูสีหน้าของเซียวจวิ้นก่อนถามว่า “วันนี้คุณชายรองดูสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก ไม่ทราบร่างกายรู้สึกอย่างไรบ้าง”
“วันนี้ตื่นมาก็รู้สึกสดชื่นกว่าทุกวัน ร่างกายเบาขึ้นไม่น้อย เพียงแต่มือเท้ายังรู้สึกชาอยู่บ้าง ไม่มีเรี่ยวแรง” เซียวจวิ้นตอบ
“เหล่าไท่จวินเปี่ยมด้วยบุญบารมี วันนี้ชีพจรของคุณชายรองหนักแน่นมีพลัง ชีพจรไม่ดูอ่อนไร้กำลังเหมือนก่อนหน้านี้ คิดว่าคงไม่เป็นอะไรมากแล้ว เพียงแต่คุณชายรองนอนอยู่บนเตียงมานาน ร่างกายยังคงอ่อนแออยู่บ้าง ยังต้องจ่ายยาบำรุงธาตุหยาง ดูแลอย่างระวังอีกสักระยะหนึ่ง” หมอประสานมือพูดกับเหล่าไท่จวิน แต่ในใจยังคงสงสัยอยู่มาก เขาจึงถามต่อ “คุณชายรองได้กินอะไรเข้าไปหรือไม่”
“ก่อนหน้านี้ดื่มยาต้มที่หมอจ่ายให้มาตลอด เช้าวันนี้กินโจ๊กเปล่าไปสองชามเท่านั้น นอกจากนี้ก็ไม่ได้กินอะไรอีก” เซียวจวิ้นตอบ
หมองุนงงสงสัยกว่าเดิม เมื่อวานตอนเช้าเขามาดูอาการ เห็นๆ กันอยู่ว่าไม่ไหวแล้ว ไยวันนี้จึงดีขึ้นได้ หรือว่าจะเป็นโรคจากสิ่งอัปมงคลจริงๆ เสริมมงคลแล้วจึงหายดี คิดพลางกวาดสายตามองไปรอบห้อง ห้องนี้มีสิ่งอัปมงคลจริงๆ หรือ คิดเช่นนี้แล้วพลันรู้สึกว่าอากาศรอบด้านหนาวเยือก กระทั่งเขาอยากรีบออกจากห้องนี้เหลือเกิน แต่ให้อย่างไรก็ไม่กล้าพูดออกมา เพียงส่ายหน้าแล้วส่ายหน้าอีก เอ่ยวาจาแสดงความยินดีกับเหล่าไท่จวินและเซียวจวิ้น กำชับรายละเอียดอีกเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบร้อนขอตัวจากไป
แน่นอนว่าเหล่าไท่จวินเข้าใจความสงสัยของหมอ เพียงแต่นางเองก็สงสัยเช่นกันว่าจวิ้นเอ๋อร์ป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ จู่ๆ ก็ล้มป่วยอย่างแปลกประหลาด แล้วก็หายดีอย่างแปลกประหลาดเช่นกัน เมื่อคิดไม่ออกจึงยกให้เป็นความดีความชอบของการแต่งงานเสริมมงคล ในใจยิ่งมั่นใจว่าหลี่เมิ่งซีเป็นผู้อุปถัมภ์ของเซียวจวิ้น เป็นคนมีบุญผู้หนึ่ง
เวลานี้เอง นายหญิงใหญ่ก็เดินนำสาวใช้ บ่าวหญิงสูงวัย และอี๋เหนียงออกมาจากโถงข้าง พูดคุยกับเหล่าไท่จวินเรื่องอาการป่วยของเซียวจวิ้น
เหล่าไท่จวินเห็นเซียวจวิ้นเริ่มเหนื่อยแล้วจึงสั่งนายหญิงใหญ่ “จวิ้นเอ๋อร์คงเหนื่อยแล้ว ให้เขาพักผ่อนเถอะ! เจ้าส่งคนไปเรียนนายท่านใหญ่สักหน่อยว่าจวิ้นเอ๋อร์ดีขึ้นมากแล้ว บอกเขาว่าไม่ต้องเป็นกังวลและไม่ต้องตั้งใจมาเยี่ยม ให้จวิ้นเอ๋อร์พักผ่อนให้มากๆ”
“ลูกจะส่งคนไปเรียนนายท่านใหญ่เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่ก้าวขึ้นไปรับคำ ส่งสายตาให้สาวใช้รุ่นใหญ่คนหนึ่ง สาวใช้คนนั้นก็รีบนำความไปเรียนนายท่านใหญ่ทันที
“ซีเอ๋อร์อยู่ปรนนิบัติจวิ้นเอ๋อร์ที่นี่ให้ดี กลางวันค่อยไปเรือนหลักยกน้ำชา จวิ้นเอ๋อร์ร่างกายไม่แข็งแรง วันนี้วันที่เก้า กำหนดเจ็ดวันให้หลังวันที่สิบห้าค่อยไปกราบไหว้ศาลบรรพชนแล้วกัน ส่วนยกน้ำชาจวิ้นเอ๋อร์ไม่ต้องไป ช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ไม่ต้องยึดถือธรรมเนียมพิธีมากมายถึงเพียงนั้น”
“หลานทราบแล้วเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีย่อกาย
เหล่าไท่จวินกำชับพวกหงจู หงอวี้ให้ปรนนิบัติคุณชายรองให้ดี ก่อนจะพาทุกคนจากไป
พอเหล่าไท่จวินกับคนอื่นๆ จากไป หลี่เมิ่งซีกับหงจู หงอวี้ก็คอยปรนนิบัติเซียวจวิ้นดื่มน้ำและพักผ่อน จากนั้นค่อยตั้งโต๊ะกินอาหารในห้องโถง หลี่เมิ่งซีให้หงอวี้ หงจูไปกินอาหาร
หลี่เมิ่งซีพลันนึกขึ้นได้ว่ายังต้องต้มน้ำไห่ถังให้เซียวจวิ้นดื่มต่อไป นางจึงร้องเรียก “ใครก็ได้”
“บ่าวอยู่นี่เจ้าค่ะ” สาวใช้รุ่นเล็กท่าทางคล่องแคล่วคนหนึ่งเข้ามา
“เจ้าชื่ออะไร”
“บ่าวชื่อหงซิ่งเจ้าค่ะ”
“เรือนของคุณชายรองมีห้องครัวหรือไม่”
“เรียนสะใภ้รอง มีห้องครัวเล็กอยู่ห้องหนึ่งเจ้าค่ะ แต่ไม่เคยใช้ทำอาหารเลย ช่วงนี้ใช้ต้มยาให้คุณชายรองเท่านั้น ปกติล้วนเป็นห้องครัวใหญ่ส่งอาหารมาให้ สะใภ้รองอยากกินอะไรหรือเจ้าคะ บ่าวจะไปสั่งให้เจ้าค่ะ”
“ข้าอยากตุ๋นโจ๊กให้คุณชายรองด้วยตนเอง เจ้าพาข้าไปทีเถอะ”
“ไม่ได้นะเจ้าคะสะใภ้รอง! ท่านเป็นเจ้านาย มีอะไรแค่สั่งให้พวกบ่าวไปทำก็พอเจ้าค่ะ”
“อะไรคือไม่ได้ ทำตามที่ข้าสั่ง ได้ยินหรือไม่…”
คำลงท้ายว่า ‘หรือไม่’ หลี่เมิ่งซีลากเสียงเสียยาวจนทำให้หงซิ่งตกใจจนเหงื่อเย็นออกเต็มตัว ไม่กล้าดูถูกนางในใจอีก เห็นหลี่เมิ่งซียืนกราน เพราะไม่รู้ว่าสะใภ้รองที่มาใหม่คนนี้นิสัยเป็นเช่นไร แม้จะรู้สึกว่าไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมเท่าใดนัก แต่คิดดูแล้วคงมิใช่เรื่องใหญ่อะไรกระมัง นางจึงรับคำ ก่อนจะปรนนิบัติหลี่เมิ่งซีสวมชุดธรรมดาและประคองนางเดินไปห้องครัว
(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 14 มีนาคม)
Comments
comments