X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารักยอดหญิงเทพสมุนไพร

ทดลองอ่าน ยอดหญิงเทพสมุนไพร เล่ม 1 ตอนที่ 7

หน้าที่แล้ว1 of 5

ตอนที่ 7

อี๋เหนียงทั้งสามก้าวขึ้นมาคารวะคุณชายรองกับสะใภ้รองและยืนแยกอยู่สองฝั่ง เซียวจวิ้นเห็นหลี่อี๋เหนียงไม่มาจึงลอบคิดว่า เรื่องเมื่อวานข้ากับหลี่อี๋เหนียงก็ทำเกินไป ตอนนี้หลี่อี๋เหนียงยังไม่มาคารวะอีก แม้จะบาดเจ็บก็สมควรส่งคนมาแจ้งถึงจะถูก นี่มิเท่ากับแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เห็นภรรยาเอกอยู่ในสายตาหรือไร หยิ่งยโสเพราะเห็นว่าเป็นคนโปรดหรอกหรือ

ที่แท้เขายังไม่รู้ว่าหลี่อี๋เหนียงถูกขังอยู่ เมื่อวานตอนบ่ายเขาอาศัยช่วงที่หลี่เมิ่งซีไม่อยู่ ให้หงอวี้นำยารักษาบาดแผลชั้นดีไปมอบให้หลี่อี๋เหนียง เพียงแต่ภายหลังเหล่าไท่จวินมาเยี่ยมเสียก่อน หลังจากหงอวี้กลับมา เขาก็ลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

ด้วยเกรงว่าหลี่เมิ่งซีจะตำหนิหลี่อี๋เหนียงจึงหันไปถามอี๋เหนียงใหญ่เสียงเฉียบ “วันนี้หลี่อี๋เหนียงเป็นอันใด ไม่มาคารวะก็ไม่รู้จักส่งคนมาแจ้งหน่อยรึ ไม่รู้กฎธรรมเนียมแม้แต่น้อย!” น้ำเสียงเซียวจวิ้นฟังดูเฉียบขาด แต่ในใจกลับปกป้องหลี่อี๋เหนียง ในเมื่อเขาถามแล้ว หลี่เมิ่งซีย่อมไม่สะดวกจะก้าวก่ายถามไถ่เรื่องนี้อีก เขาแสร้งทำทีตำหนิอีกสองสามคำ เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว หลี่เมิ่งซีไม่อาจถือโอกาสนี้อาละวาดทำให้หลี่อี๋เหนียงต้องลำบากอีกได้

เรื่องภายในเรือน เดิมทีควรให้นางที่เป็นนายหญิงเป็นคนลงโทษ แต่เซียวจวิ้นกลับตำหนิออกมาโดยไม่แยกแยะเช่นนี้ คนโง่ก็เข้าใจอุบายของเขา หลี่เมิ่งซีฟังแล้วก็คิดในใจ มาปกป้องอนุรักของตนเองจริงๆ เสียด้วย เดิมทีนางคิดว่าเหล่าไท่จวินลงโทษหนักพอแล้ว วันนี้จึงไม่คิดจะเอาความหลี่อี๋เหนียง แต่พอเห็นเซียวจวิ้นเป็นเช่นนี้ ในใจก็ยังขุ่นมัวมากอยู่ดี ในเมื่อเขาเอ่ยปากออกมาแล้ว นางจะนั่งเงียบเพื่อชมความครึกครื้นอยู่ตรงนี้

อี๋เหนียงใหญ่เห็นสะใภ้รองนั่งสง่างามอยู่ตรงนั้นเหมือนพระพุทธรูป ไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไร คุณชายรองก็กำลังมองตนอยู่ อี๋เหนียงใหญ่จึงได้แต่ก้าวออกไป “เมื่อวานคุณชายรองหมดสติไปจึงยังไม่รู้ หลี่อี๋เหนียงถูกขังอยู่ตลอดเจ้าค่ะ รอการลงโทษจากเหล่าไท่จวิน”

เซียวจวิ้นกับหลี่เมิ่งซีได้ยินคำพูดนี้เข้าต่างก็มองหน้ากันอย่างตกตะลึง ทั้งสองลืมเรื่องนี้ไปเสียแล้ว เดิมยังคิดว่าหลี่อี๋เหนียงเพียงพักฟื้นอยู่ในเรือนของตนเสียอีก

ตามหลักตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว วันนี้ตอนหลี่เมิ่งซีไปคารวะเหล่าไท่จวินตอนเช้าก็ควรขอร้องเหล่าไท่จวินให้ปล่อยตัวหลี่อี๋เหนียงออกมาจึงจะถูก อย่างไรเรื่องของอี๋เหนียงก็เป็นเรื่องภายในเรือน ควรให้สะใภ้รองเป็นผู้ลงโทษ และมีเพียงสะใภ้รองเท่านั้นที่ออกหน้าได้ ตัวเขาเองย่อมไม่สะดวกที่จะขอร้อง ทั้งยังไม่สามารถขอร้องแทนได้

ครั้นคิดว่านี่มิใช่เรื่องที่เขาควรยุ่ง เขาไม่สะดวกจะออกหน้า สายตาจึงเลื่อนไปยังหลี่เมิ่งซีที่อยู่ข้างๆ กลับเห็นนางนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในใจบังเกิดโทสะขึ้นขุมหนึ่งอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งยังโวยวายไม่ได้ ใบหน้าเซียวจวิ้นพลันบึ้งตึง แต่เขากลับลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่ใครเป็นคนร้อนใจก้าวก่ายเรื่องภายในเรือน บีบให้หลี่เมิ่งซีต้องปิดปาก

เขาไม่เชื่อหรอกว่าเมิ่งซีจะลืมเรื่องนี้ แม้เขาจะหมดสติไป แต่นางยังมีสติดีมาก เขาคิดว่านี่เป็นความจงใจของหลี่เมิ่งซี นางคงจะใช้โอกาสนี้แก้แค้นหลี่อี๋เหนียง สะใภ้รองผู้นี้มีความคิดจิตใจที่ชั่วร้ายเกินไปแล้ว

เห็นเซียวจวิ้นหน้าบึ้ง หลี่เมิ่งซีก็รู้ว่าเขาเข้าใจผิด เมื่อวานนางมัวแต่คิดเรื่องหงซินเจียวจึงลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ ทว่าตอนนี้ก็ไม่อาจชี้แจงอันใดได้ ยิ่งพูดยิ่งฟังดูแย่ เห็นเซียวจวิ้นตีหน้าถมึงทึงมองนางโดยไม่พูดไม่จา นางจึงได้แต่เอ่ยปากด้วยความจนใจ “ในเมื่อคุณชายรองไม่เป็นอะไรแล้ว คิดว่าเหล่าไท่จวินคงหายโกรธแล้วกระมัง ข้าภรรยาจะส่งคนไปขอร้องเหล่าไท่จวินให้ปล่อยตัวนางออกมาพักฟื้นเร็วหน่อย” พูดพลางเหลือบมองหงจูแวบหนึ่ง

หงจูเข้าใจทันที รีบพูดต่อ “บ่าวจะไปเรียนเหล่าไท่จวินเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

“อืม” เห็นหลี่เมิ่งซีไม่ชี้แจงออกมาสักคำ แต่กลับจัดการทันที ราวกับทำเช่นนี้เพื่อไว้หน้าเขาเท่านั้น เซียวจวิ้นก็ยิ่งปักใจเชื่อว่านางจงใจ ในใจจึงยิ่งดูแคลนนางกว่าเดิม เขารับคำเสียงเรียบและนั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงนั้น

จางอี๋เหนียงที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นทั้งสองเกิดความขัดแย้ง ในใจก็ดีใจจนเหมือนมีดอกไม้ผลิบาน ลอบคิดว่าโอกาสของตนมาถึงแล้ว

ที่แท้เมื่อวานจางอี๋เหนียงก็ได้ยินสาวใช้เสี่ยวเชี่ยนมารายงานแล้ว ในใจจึงแค้นนัก ทักทายบรรพบุรุษของสะใภ้รองผู้นี้จนครบทุกคน สะใภ้รองผู้นี้ช่างเป็นเจ้านายที่ร้ายกาจโดยแท้ เดิมทีก็เกลียดนางอยู่แล้ว เพียงเพราะคุณชายรองไปค้างคืนกับหลี่อี๋เหนียง นางก็หาวิธีผูกมัดคุณชายรองไว้ในเรือนกลางนานถึงครึ่งเดือน เวลาเจ็ดวันแต่เดิมก็ถูกนางเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัวในชั่วเวลาสั้นๆ ลำบากอี๋เหนียงทั้งหลายอย่างพวกตนยิ่งนัก ดีไม่ดีในช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้ สะใภ้รองผู้นี้อาจจะไม่ให้พวกนางได้พบหน้าคุณชายรองเลยด้วยซ้ำ เฉกเช่นเมื่อวานตอนบ่าย

นางไม่เชื่อคำพูดบ้าๆ ของหมอดูหรอก ยิ่งไม่เชื่อว่าสะใภ้รองเป็นคนมีบุญ หากจะกล่าวถึงคนมีบุญ ต้องเป็นนางจางเยี่ยนต่างหากเล่า จะเป็นสะใภ้รองที่เพิ่งแต่งเข้ามาได้อย่างไร จางอี๋เหนียงปักใจเชื่อว่านี่เป็นหนทางในการแย่งชิงความรักของหลี่เมิ่งซี

คุณชายรองชอบกลิ่นหอมประหลาดมาแต่กำเนิด โดยเฉพาะกลิ่นหอมของหงซินเจียว เพื่อหงซินเจียวกระถางนี้ นางต้องทุ่มเทความคิดไปประจบเอาใจจางอี๋ไท่ไม่น้อย ตั้งแต่ได้หงซินเจียวกระถางนี้มา คุณชายรองก็มาเรือนนางบ่อยขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นับๆ ดูแล้วหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณชายรองก็แทบจะไม่ได้ไปหาอี๋เหนียงใหญ่เลย ตอนนี้หลี่เมิ่งซีพูดคำเดียวก็จะแย่งเอาหงซินเจียวกระถางนี้ไป นางกลับได้แต่เคียดแค้นอยู่ในใจ

หงซินเจียวนี้มีเพียงเรือนของนางกับหลี่อี๋เหนียงเท่านั้นที่มี คิดจะปรึกษากับหลี่อี๋เหนียงเพื่อคิดหาวิธีรับมือ ตอนนี้หลี่อี๋เหนียงก็ยังถูกขังอยู่ สาวใช้ยกดอกไม้ไปนานแล้ว หากคิดจะไปร้องไห้โอดครวญกับคุณชายรองก็มีคำสั่งของนายท่านใหญ่อยู่ ประตูเรือนกลางยังเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ หวังอี๋เหนียงเองก็อยากให้หงซินเจียวในเรือนนางหายไปใจจะขาด ส่วนเฉินอี๋เหนียงก็มีท่าทางเหม่อลอยโง่งมทั้งวัน ไม่อาจช่วยนางคิดหาวิธีรับมือสะใภ้รองได้

แต่บัดนี้ในที่สุดสวรรค์ก็ให้โอกาสนาง ควรเป็นทีของนางบ้างแล้ว ขณะเค้นสมองขบคิดว่าทำอย่างไรถึงจะได้เจอคุณชายรอง วันนี้เขากลับออกมาพบพวกนางเป็นเพื่อนสะใภ้รองเอง นางครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าจะบอกเรื่องนี้ให้คุณชายรองทราบอย่างไร ครั้นเห็นคุณชายรองโกรธสะใภ้รองก็รู้ว่าโอกาสของตนมาถึงแล้วในที่สุด

จางอี๋เหนียงกำลังเดิมพัน นางเดิมพันว่าคุณชายรองไม่รู้เรื่องที่สะใภ้รองบังคับเอาหงซินเจียวไปจากนางและหลี่อี๋เหนียง หากรู้เข้าเขาจะต้องโกรธจัดเป็นแน่ ดังนั้นจึงก้าวขึ้นไปคารวะสะใภ้รอง แล้วพูดอย่างเคารพนบนอบ “สะใภ้รอง อนุทำตามคำสั่งของท่าน ย้ายหงซินเจียวกระถางที่อยู่ในเรือนของอนุออกมาแล้ว เพียงแต่อนุคิดว่าหงซินเจียวนี้มีกลิ่นหอมหวน คุณชายรองชอบมากทีเดียว ตั้งวางไว้ในสวนดอกไม้ออกจะน่าเสียดาย มิสู้นำไปวางในห้องของสะใภ้รอง คุณชายรองย่อมได้เห็นและได้กลิ่นบ่อยๆ จะเจริญตาเจริญใจมากกว่า”

ฟังคำพูดนี้ของจางอี๋เหนียงแล้ว เซียวจวิ้นก็หันไปมองหลี่เมิ่งซี ตาหงส์ฉายแววเย็นเยียบออกมา

จางอี๋เหนียงเห็นเข้าก็ลอบคิดในใจ สำเร็จ! นางรู้สึกยินดียิ่งนัก

หลี่เมิ่งซีฟังคำพูดของจางอี๋เหนียงแล้วก็คิดในใจ นางไม่ยอมแพ้นี่ เห็นทีอี๋เหนียงพวกนี้แต่ละคนล้วนมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน

รู้สึกถึงประกายเย็นชาจากสายตาของเซียวจวิ้น หลี่เมิ่งซีพลันโมโหลอบสบถในใจ ข้าทำเช่นนี้มิใช่เพื่อถอนพิษให้คนปัญญาอ่อนไม่รู้จักแยกแยะอย่างเจ้ารึ เจ้าไม่สำนึกในบุญคุณก็แล้วไปเถอะ ยังจะมาชักสีหน้าใส่ข้าอีก เจ้าคนสารเลว! น่าโมโหชะมัด!

นางอยากคว้าตัวสารเลวที่ถูกคนปองร้ายแล้วยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวเข้ามากระทืบให้แบน แบนแล้วก็ปั้นเป็นก้อนกลม แล้วเตะออกไปให้เหมือนลูกบอลเสียเหลือเกิน!

หลี่เมิ่งซีสงบสติอารมณ์ สบตากับเซียวจวิ้นและเอ่ยอย่างสุขุมเยือกเย็น “เมื่อวานข้าภรรยาเดินผ่านสวนดอกไม้ ใจลอบอุทานว่าดอกไม้ชนิดนี้ช่างงดงามเฉิดฉัน ยิ่งชื่นชอบกลิ่นหอมประหลาดที่คงอยู่นาน น่าเสียดายที่มีเพียงต้นเดียว ได้ยินสาวใช้บอกว่าที่เรือนของจางอี๋เหนียงกับหลี่อี๋เหนียงยังมีอีกสองกระถาง ดังนั้นจึงคิดว่าหากสามารถย้ายมาอยู่ด้วยกันได้ กลายเป็นหมู่มวลบุปผา สามารถไปชื่นชมได้บ่อยๆ จะดีสักเพียงใด ด้วยเหตุนี้จึงสั่งให้อี๋เหนียงทั้งสองย้ายหงซินเจียวเข้าไปในเรือนด้านหลัง เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกคนย่อมสามารถชื่นชมได้”

เซียวจวิ้นฟังคำพูดนี้แล้วคิดในใจ หมู่มวลบุปผาอะไรกัน เห็นชัดเจนว่ากลัวอี๋เหนียงจะใช้ดอกไม้ล่อเขาไปหามากกว่า เป็นการแย่งของรักของผู้อื่นชัดๆ คิดถึงเสียงเล่าลือของชาวบ้านร้านตลาดที่ว่าบุตรสาวสายตรงสกุลหลี่ร้ายกาจเอาแต่ใจ เห็นทีจะไม่ผิดจริงๆ เขาเกือบถูกความอ่อนโยนเสแสร้งของนางหลอกลวงจนตกหลุมพรางนางเสียแล้ว คิดถึงตรงนี้เซียวจวิ้นก็ตบโต๊ะ ทำให้บรรดาสาวใช้กับบ่าวหญิงทั้งหลายตกใจคุกเข่า

เซียวจวิ้นหันกลับไป แต่เขาไม่ได้มองหลี่เมิ่งซีอีก เพียงมองจางอี๋เหนียงและเอ่ยว่า “กลิ่นหอมประหลาดของหงซินเจียวไม่มีสิ่งใดเทียบได้ ทั้งหายากในต้าฉี จะเทียบกับดอกไม้ใบหญ้าทั่วไปพวกนั้นได้อย่างไร ในคฤหาสน์ก็มีอยู่เพียงสามต้นเท่านั้น ตั้งวางอยู่ในเรือนต่างๆ ข้าเองก็ได้เห็นบ่อยๆ หากสะใภ้รองชอบหมู่มวลบุปผาจริง พรุ่งนี้ก็สั่งให้คนปลูกดอกไม้ให้เต็มสวนเลยแล้วกัน จางอี๋เหนียง เจ้าย้ายหงซินเจียวกระถางนั้นกลับเรือนไปเถอะ!”

จางอี๋เหนียงเห็นสะใภ้รองผิดหวัง หัวใจพลันลิงโลด ฝืนข่มความยินดีไว้ในใจและคุกเข่ากับพื้นอย่างหวาดหวั่น

“อนุขอบคุณคุณชายรองที่เมตตา เพียงแต่…เพียงแต่ ในเมื่อสะใภ้รองชอบ ยังคงย้ายมาดีกว่าเจ้าค่ะ หนึ่งสะใภ้รองจะได้เบิกบานใจ สองย้ายดอกไม้มาคุณชายรองอยู่ในห้องของสะใภ้รองย่อมได้เห็นทุกวัน”

“ไม่ว่าดอกไม้นี้จะอยู่ที่ใด ข้าอยากเห็นย่อมได้เห็นทุกวัน แค่ไม่กี่วันก็คิดแต่จะประจบเอาใจสะใภ้รองของพวกเจ้าแล้วรึ”

“คุณชายรองโปรดบรรเทาโทสะด้วย อนุผิดเอง ใคร่ครวญไม่รอบคอบ อนุคิดแค่เพียงว่าสะใภ้รองดีใจแล้ว คุณชายรองย่อมดีใจตามไปด้วย” จางอี๋เหนียงโขกศีรษะด้วยท่าทางหวาดหวั่นกว่าเดิม

หลี่เมิ่งซีมองทั้งสองโต้ตอบกันไปมาราวกับกำลังดูละคร ความเหนื่อยล้าผุดขึ้นในใจอย่างไร้สาเหตุ อยากปล่อยมือแต่เพียงเท่านี้จริงๆ การตายของเซียวจวิ้นไม่เกี่ยวอะไรกับนางอีกต่อไป ปล่อยให้เขาตายอยู่ในเรือนอี๋เหนียงก็แล้วกัน ดังที่กล่าวว่า…ตายใต้ดอกโบตั๋น ถึงเป็นผีก็งดงามมิใช่หรือ

นางอยากลุกขึ้นเดินหนีไปเสีย แต่เมื่อเงยหน้าเห็นใบหน้าคมคายกระชากวิญญาณของเขาแล้ว นางก็อดลอบถอนหายใจไม่ได้ ปล่อยให้เขาตายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวภายใต้การแย่งชิงตำแหน่งประมุขเช่นนี้ ออกจะน่าเสียดายเกินไปหน่อย

ช่างเถอะ นางเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อนดวงหนึ่งเท่านั้น ช้าเร็วก็ต้องไปจากที่นี่ ถือเป็นการตอบแทนที่สกุลเซียวยอมรับนางไว้ก็แล้วกัน คิดแล้วจึงลุกขึ้นพูดอย่างสุขุม “คุณชายรองกล่าวถูกต้อง ข้าภรรยาไม่ดีเอง ใคร่ครวญไม่รอบคอบ เดิมทีเรื่องภายในเรือนอยู่ในความรับผิดชอบของข้าภรรยาอยู่แล้ว บัดนี้กลับต้องให้คุณชายรองเป็นกังวล คุณชายรองต้องจัดการงานใหญ่ในคฤหาสน์แล้วยังต้องกลุ้มใจกับเรื่องภายในเรือนอีก ข้าภรรยาจะไปเรียนเหล่าไท่จวินเดี๋ยวนี้ ขอรับการลงโทษเองเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งซีพูดพลางย่อกายให้เซียวจวิ้น นางหมุนตัวและให้หงซิ่งประคอง ทำท่าจะเดินออกไป

“สะใภ้รองอย่าโกรธเลยเจ้าค่ะ อนุไม่ดีเอง อนุย้ายดอกไม้เข้าไปในสวนดอกไม้แล้ว ไม่ย้ายกลับไปหรอกเจ้าค่ะ สะใภ้รองโปรดอย่าไปรายงานเหล่าไท่จวินเลยนะเจ้าคะ” จางอี๋เหนียงคลานเข่าไปแทบเท้าหลี่เมิ่งซี กอดขานางพลางอ้อนวอน

เรียนเหล่าไท่จวิน? ล้อเล่นแล้วหรือ! เหล่าไท่จวินเกลียดที่สุดคืออี๋เหนียงทั้งหลายใช้มารยาอุบายดึงหลานชายนางไปที่เรือน โดยเฉพาะเมื่อวานนายท่านใหญ่เพิ่งมีคำสั่งว่าใครกล้าล่อลวงคุณชายรองไปที่เรือนของตนจะถูกขับออกจากคฤหาสน์ทันที เวลาเช่นนี้ หากเหล่าไท่จวินรู้เรื่องนี้เข้าจะต้องบันดาลโทสะแน่!

แม้จะบอกว่าไปขอรับการลงโทษด้วยตนเอง แต่คนปัญญาอ่อนก็ยังรู้ว่านางจะไปฟ้อง เหล่าไท่จวินหรือจะลงโทษนาง ย่อมไม่มีทางอยู่แล้ว แต่สิ่งที่รอพวกนางเหล่าอี๋เหนียงอยู่ สถานเบาคือตบตีรอบหนึ่ง สถานหนักคือขับออกจากคฤหาสน์สกุลเซียว

สะใภ้รองกำลังผลักนางไปตาย นางหลงกลอีกฝ่ายได้อย่างไรนะ! ยามนี้จางอี๋เหนียงได้ลิ้มรสความร้ายกาจของสะใภ้รองผู้นี้แล้วจริงๆ จึงไม่กล้ามีใจดูแคลนอีก เพียงใช้มือกอดขาสะใภ้รองแน่น อ้อนวอนอย่างสุดชีวิต ให้ตายก็ไม่ยอมคลายมือ ตอนนี้นางไม่กล้าขอร้องคุณชายรองเด็ดขาด กระทั่งมองยังไม่กล้ามองเขาด้วยซ้ำ

หวังอี๋เหนียงกับเฉินอี๋เหนียงต่างคุกเข่าลงด้วย ขอความเมตตาจากสะใภ้รอง

หลี่เมิ่งซีเพียงยืนสุขุมอยู่ตรงนั้นไม่พูดจา นางกำลังรอ…รอให้เซียวจวิ้นถอนคำพูดเมื่อครู่นี้ อี๋เหนียงเป็นเพียงบ่าวเท่านั้น คุกเข่านานหน่อยจะเป็นอะไรไป ที่สำคัญคือเซียวจวิ้นต่างหาก จำต้องให้เขาเอ่ยปากเรื่องนี้จึงจะยุติ ในเมื่อขัดแย้งกันแล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยให้เรื่องนี้จบลงแบบไม่ชัดเจนได้

เซียวจวิ้นคิดอะไรไม่ออกชั่วขณะ ไม่รู้จะยุติเรื่องนี้อย่างไร แต่เขาไม่มีทางพูดเสียงอ่อนกับหลี่เมิ่งซีแน่ นางก็แค่สตรีคนหนึ่งเท่านั้น จะปล่อยให้นางใหญ่คับฟ้าอย่างนั้นรึ!

เขานั่งหน้าบึ้งอยู่ตรงนั้น เห็นอี๋เหนียงทั้งสามคุกเข่าลงหมดแล้ว หลี่เมิ่งซียังไม่ยอมเอ่ยปากอะไรอีก นางทำให้เรื่องบานปลายเกินไปแล้วจริงๆ ในใจจึงยิ่งชิงชังนาง

เซียวจวิ้นตบโต๊ะดังปัง เขวี้ยงถ้วยชาในมือลงกับพื้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าหลี่เมิ่งซี แล้วจ้องนางเขม็งพร้อมประกายเย็นเฉียบที่สาดวูบออกมา พูดย้ำชัดทีละคำ “หลี่เมิ่งซี ต่อให้ย้ายดอกไม้ทั้งหมดเข้าไปไว้ในห้องเจ้า ข้าก็ไม่มีทางแตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายนิ้ว!”

“หงอวี้ ย้ายหงซินเจียวของจางอี๋เหนียงไปที่สวนดอกไม้ด้านหลัง” เซียวจวิ้นหันไปสั่งหงอวี้และเดินออกไปโดยไม่เหลียวหลัง

หงอวี้รีบรับคำ เดินตามหลังเขาออกไป

เห็นคุณชายรองเอ่ยคำพูดแล้ว ทุกคนก็โล่งอก จางอี๋เหนียงทรุดฮวบลงกับพื้น ไม่เหลือท่าทีหยิ่งทระนงเฉกเช่นเมื่อครู่นี้อีก ทุกคนเห็นคุณชายรองโกรธ แต่ละคนจึงคุกเข่าอยู่ที่เดิมไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง สาวใช้สองคนย่องเข้าไปเก็บกวาดถ้วยน้ำชาบนพื้น

หงซิ่งลอบอุทานในใจว่าตนเองโชคไม่ดี บ่าวคนอื่นติดตามเจ้านายแล้วมีหน้ามีตาทั้งนั้น ทว่าพวกตนติดตามสะใภ้รองผู้นี้ วันทั้งวันกลับมีแต่เรื่องอกสั่นขวัญหาย ต้องถูกด่าถูกตีไปพร้อมกับนาง ไยชีวิตนางจึงอาภัพเช่นนี้หนอ เดิมทีคิดว่าคุณชายรองเป็นว่าที่ประมุขคฤหาสน์สกุลเซียว ติดตามคุณชายรองแล้ว วันหน้าย่อมได้ลืมตาอ้าปาก ไม่คิดว่าคุณชายรองจะแต่งงานกับสตรีที่ไม่รู้จักสำรวมเลยสักขณะเดียว นี่เพิ่งแต่งเข้ามาไม่กี่วันก็อาละวาดจนเรือนหลังวุ่นวายไม่สงบ คุณชายรองมีกิริยามารยาทดีที่สุดในคฤหาสน์สกุลเซียวแล้วแท้ๆ ยังถูกนางยั่วโมโหจนขาดการควบคุมได้

ส่วนหลี่เมิ่งซีเห็นเซียวจวิ้นเอ่ยปากในที่สุด อี๋เหนียงทั้งหลายก็สำรวมลงแล้ว นางจึงกลับมานั่งที่

สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามาให้ใหม่แล้ว หลี่เมิ่งซีจึงยกน้ำชาขึ้นดื่ม เปิดฝาถ้วยเป่าเล็กน้อยและจิบคำหนึ่ง พูดมานานก็รู้สึกกระหายน้ำแล้วจริงๆ นางวางถ้วยชาลงเบาๆ ก่อนจะหันไปมองอี๋เหนียงทั้งหลายที่คุกเข่าอยู่บนพื้น พูดเสียงเบาเนิบช้า “ลุกขึ้นเถอะ บนพื้นมันเย็น ร่างกายของอี๋เหนียงนั้นมีค่า ถูกความเย็นเข้าจะไม่ดี”

เหล่าอี๋เหนียงลอบคิดในใจ กลัวพวกเราจะถูกความเย็น แล้วเมื่อครู่เจ้ามัวไปทำอะไรอยู่เล่า

หลี่เมิ่งซีเห็นจางอี๋เหนียงยังนั่งเหม่ออยู่ที่เดิมจึงเงยหน้าพูดกับหลิงเอ๋อร์สาวใช้ประจำตัวของจางอี๋เหนียง “ยังไม่รีบประคองอี๋เหนียงของพวกเจ้าขึ้นมาอีก ไม่มีตาหรือไร หากจางอี๋เหนียงเป็นอะไรไป ระวังหนังของพวกเจ้าให้ดีเถอะ!”

หลิงเอ๋อร์คิดในใจ หากอี๋เหนียงของพวกเราเป็นอะไรไปจริงๆ ก็เพราะท่านต่างหาก ไยจึงมาโทษพวกเราเล่า กล้าโกรธกลับไม่กล้าพูด นางรีบก้าวเข้าไปประคองจางอี๋เหนียงขึ้นมา

หลี่เมิ่งซีเห็นอี๋เหนียงทั้งหลายลุกขึ้นมายืนอยู่สองฝั่งแล้วจึงเอ่ยว่า “วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันแล้ว กลับไปก่อนเถอะ อาหารกลางวันกับอาหารเย็นไม่ต้องมาปรนนิบัติแล้ว” พูดพลางโบกมือให้ทุกคนออกไปและหันไปพูดกับหงซิ่งที่อยู่ด้านข้าง “ไปสั่งการ วันนี้สายแล้ว ไม่ต้องให้แม่นางน้อยทั้งหลายมาคารวะ”

หงซิ่งรับคำ ก่อนจะออกไปสั่งสาวใช้รุ่นเล็กให้ไปถ่ายทอดคำสั่ง

หลี่เมิ่งซีรู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ หลังจากไล่ทุกคนออกไปแล้ว นางก็เอนร่างที่นั่งจนแข็งทื่อกับพนักพิงเก้าอี้และหลับตาลง

เรื่องที่ทำให้หลี่เมิ่งซีปวดหัวคือการที่คนสองคนซึ่งเข้ากันไม่ได้ถึงเพียงนี้ถูกผูกให้อยู่ด้วยกันถึงครึ่งเดือน นี่มิใช่เรื่องน่ายินดีเลยจริงๆ นางไม่อยากตื่นมาแล้วร่างกายแข็งทื่อไปครึ่งซีกทุกเช้า ต้องคิดหาวิธีย้ายออกไปให้ได้

หลังอาหารกลางวัน นางให้หงจูประคอง พาสาวใช้สองคนมาที่เรือนปีกตะวันออก คิดว่ามาดูสถานที่ก่อน วันหน้าค่อยคิดหาเหตุผลย้ายมาที่นี่ก็ไม่เลวเหมือนกัน

เรือนปีกตะวันออกนี้ประกอบด้วยห้องใหญ่สามห้อง เข้าประตูเดินอ้อมฉากบังลมไปก็จะเจอห้องโถงใหญ่ ให้อี๋เหนียงทั้งหลายมาคารวะที่นี่ทุกวันก็ไม่เลวเหมือนกัน หลี่เมิ่งซีคิดพลางเดินไปยังห้องทิศเหนือ นี่เป็นห้องนอน เครื่องเรือนในห้องเมื่อเทียบกับในห้องหอของนางแล้วดูเก่าโทรมกว่ามาก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นสกุลสูงศักดิ์ แม้จะเก่าโทรม แต่ก็ดีกว่าชาวบ้านทั่วไปเป็นร้อยเป็นพันเท่า เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าต่างของห้องทิศเหนือก็จะ มองเห็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ด้านหลังได้พอดี ตกแต่งซ่อมแซมเรียบร้อยเป็นสัดส่วน เป็นสถานที่สงบเงียบงดงามแห่งหนึ่ง หลี่เมิ่งซีหลงรักที่นี่ในทันที นางอยากจะย้ายมาเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่เพิ่งแต่งงานเป็นวันที่สาม นางมิอาจทำอะไรโจ่งแจ้งเกินไปได้ จัดเก็บก่อนค่อยว่ากัน

“ปกติคุณชายรองมาที่นี่หรือไม่” เดินวนอยู่ในห้องทิศเหนือรอบหนึ่ง หลี่เมิ่งซีจึงหันไปถามหงจูที่อยู่ด้านข้าง

“ปกติเวลาคุณชายรองกลับมาที่เรือน เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในห้องหนังสือใน เรือนปีกข้างสองฝั่งนี้ว่างตลอดเจ้าค่ะ จึงไม่มีการจัดวางเครื่องเรือนมากนัก”

หลี่เมิ่งซีมองเครื่องดินเผาและของสะสมโบราณบนชั้นวางทั้งสองฝั่ง ไม่มีชิ้นใดไม่สะท้อนความหรูหรา อย่างนี้ก็เรียกว่า ‘ไม่มีการจัดวางเครื่องเรือน’ หรือ

“สินเจ้าสาวของข้าอยู่ที่ใด”

กำลังพูดถึงเรื่องห้อง จู่ๆ ก็ถามถึงสินเจ้าสาว ความคิดของสะใภ้รองผู้นี้เปลี่ยนเร็วเกินไปแล้ว หงจูมองสะใภ้รองอย่างประหลาดใจพลางตอบ “ล้วนวางอยู่ในห้องทิศตะวันตกของเรือนกลางในสภาพเดิมไม่มีการแตะต้องเจ้าค่ะ คิดว่ารอไว้วันใดสะใภ้รองมีเวลา ตรวจสอบแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะจัดการอย่างไรเจ้าค่ะ”

“ดี ส่งคนมาปัดกวาดทำความสะอาดที่นี่ แล้วขนสินเจ้าสาวเข้ามาไว้ในห้องทิศใต้ของเรือนปีกตะวันออก โต๊ะเล็กกับโต๊ะยาวพวกนี้ขนออกไป ภาพติดผนังพวกนั้นเก็บเอาไว้ ตรงนี้เอาโต๊ะเขียนหนังสือมาตั้งสักตัวจะได้อ่านหนังสือคัดอักษรได้ หาเครื่องเขียนและส่งมาที่นี่ด้วย ใช่แล้ว ตรงหน้าต่างวางตั่งนุ่มอีกตัว ของใช้บนเตียงไม่เอาสีแดง อืม เอาสีชมพูแล้วกัน!”

“สะใภ้รองจะย้ายมาอยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” หงจูฟังการจัดการของสะใภ้รองแล้วรีบถาม

“คิดว่าหากจัดเสร็จแล้ว เอาไว้มาอ่านตำราคัดอักษรที่นี่ก็ไม่เลว”

“หากสะใภ้รองจะคัดอักษรจริง ที่เรือนนี้ก็มีห้องหนังสือโดยเฉพาะ ยังสามารถสร้างอีกห้องไว้ในห้องทิศใต้ ธรรมเนียมที่ไหนจะวางโต๊ะเขียนหนังสือไว้ในห้องนอนเล่าเจ้าคะ!”

“ไม่ได้? สกุลเซียวมีกฎเกณฑ์ข้อนี้ด้วยหรือ”

ฟังหงจูพูดเช่นนี้แล้วหลี่เมิ่งซีก็อดอึ้งไปไม่ได้ นางแค่คิดว่าหากวางโต๊ะเขียนหนังสือไว้ในห้องนอน เช่นนี้เวลานางอ่านตำรา หัดคัดอักษรจนเหนื่อยก็จะได้นอนพักผ่อนบนเตียงได้เลย ชีวิตในยุคปัจจุบันของนางก็เป็นเช่นนี้จึงไม่ทันคิดว่าจะสอดคล้องกับกฎธรรมเนียมหรือไม่ พอหงจูพูดขึ้นมา นางก็ตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นทั่วทั้งตัว สองวันนี้นางตระหนักดีถึงความน่ากลัวของกฎธรรมเนียมในคฤหาสน์ ดังนั้นจึงระวังรอบคอบอยู่เสมอ คิดว่าหากไม่สอดคล้องกับกฎธรรมเนียมจริงๆ ก็จะยกโต๊ะเขียนหนังสือไปตั้งในห้องทิศใต้ นอกจากนี้ หากนางมีเวลาเมื่อไรก็จะต้องศึกษากฎบ้านของคฤหาสน์สกุลเซียวให้ละเอียดเสียแล้ว หาไม่วันใดไม่ระวังพลาดพลั้งเหยียบถูกระเบิดเข้า ร่างกายจะแหลกสลายเป็นผุยผง

หงจูคิดในใจ ไฉนคำพูดนี้จึงฟังดูเหมือนจับผิดนางเช่นนี้เล่า นางเองก็เตือนสะใภ้รองด้วยความหวังดีเท่านั้น เหลือบมองสะใภ้รองแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยตอบอย่างระวัง “ไม่ใช่กฎบ้านของสกุลเซียวเจ้าค่ะ แต่เป็นธรรมเนียมทั่วไป ครอบครัวทั่วไปไม่มีการจัดวางเช่นนี้ มีแต่บ้านของคนจนเท่านั้น เนื่องจากมีห้องน้อยเกินไปจึงจัดห้องหนังสือไว้ในห้องนอน”

“ไม่ใช่กฎบ้านก็ดีแล้ว จัดตามที่ข้าบอกเถอะ!”

“เครื่องเรือนในห้องนี้เรียบง่ายเกินไป ทั้งยังถูกขนออกไปบางส่วน สะใภ้รองไปเรียนคุณชายรองดีหรือไม่เจ้าคะ จะได้ซื้อหาเพิ่มบางส่วน”

“ไม่ต้อง แบบนี้ก็ดีแล้ว ย้ายชั้นวางอันนั้นรวมถึงของตกแต่งไปไว้ในคลัง”

“เช่นนั้นห้องนี้ก็ไม่เหลืออะไรแล้วสิเจ้าคะ”

“ข้าชอบแบบนี้ กว้างขวางโปร่งโล่ง ใช่แล้ว เรื่องห้องยังไม่ต้องบอกคุณชายรอง วันหลังข้าจะบอกเขาเอง”

หงจูไม่กล้าพูดมากต่อหน้าสะใภ้รองอีก ตอนนี้นางยินดีเหลือเกินที่ไม่ต้องบอกเรื่องพวกนี้กับคุณชายรอง ถึงอย่างไรคุณชายรองก็ไม่ย่างเท้ามาที่นี่อยู่แล้ว สะใภ้รองผู้นี้อยากจัดการเช่นไรก็ตามใจนางเถอะ ปิดบังคุณชายรองได้ยิ่งดี หาไม่ย่อมเป็นการหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็น คิดเช่นนี้แล้วจึงพยักหน้า “สะใภ้รองวางใจเถอะเจ้าคะ บ่าวทราบว่าควรทำอย่างไร”

 

ออกจากห้องทิศเหนือ หลี่เมิ่งซีก็ไปที่ห้องทิศใต้ ห้องทิศใต้มีรูปแบบเหมือนห้องโถงขนาดเล็ก เล็กกว่าห้องทิศเหนือเล็กน้อย ห้องทิศเหนือมีการกั้นแบ่งบริเวณชั้นนอกสำหรับสาวใช้ที่เฝ้าเวรตอนกลางคืน ทว่าห้องทิศใต้กลับไม่มี หลี่เมิ่งซียังคิดไม่ออกชั่วขณะว่าห้องทิศใต้จะใช้ทำสิ่งใดดี นางจึงไม่ได้สั่งให้คนจัดห้อง เพียงให้ทำความสะอาดเท่านั้น หันกลับไปเงยหน้ามอง เห็นผนังตรงข้ามกับหน้าต่างแขวนภาพไว้ภาพหนึ่ง เป็นดอกเหมยกิ่งหนึ่งที่อยู่กลางหิมะอย่างเดียวดาย นางจึงอดคิดถึงตนเองไม่ได้ นางก็เหมือนกับกิ่งเหมยกลางฤดูหนาวกิ่งนี้ เป็นวิญญาณเร่ร่อนที่อ้างว้างซึ่งเข้ามาอยู่ในยุคโบราณที่ไม่คุ้นเคย อาศัยอยู่ในคฤหาสน์สกุลเซียวหลังใหญ่ตามลำพัง ความปรารถนามีเพียงได้มีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น ไยจึงถูกดึงเข้ามาพัวพันกับการแก่งแย่งชิงดีระหว่างภรรยากับอนุได้หนอ นางคิดแล้วก็ท่องกลอนบทหนึ่งออกมา

“ริมสะพานนอกจุดพักม้า ดอกเหมยบานเหว่ว้าไร้คนชม

ยามเย็นอ้างว้างแสนขื่นขม เผชิญลมฝนโหมกระหน่ำ

หาได้คิดแก่งแย่งแข่งขัน หาได้ท้าประชันมวลบุปผา

แม้นวันหนึ่งร่วงโรยรา สุคนธากำจายไม่จากจร”

“สะใภ้รองแต่งกลอนเก่งยิ่งนัก เหมยแดงกลางหิมะ ความหมายงดงามเหลือเกินเจ้าค่ะ” หงจูฟังแล้วอดตะลึงไม่ได้

หลี่เมิ่งซีหันไปมองหงจู “เจ้าไม่เคยได้ยินกลอนบทนี้หรือ”

“กลอนบทนี้สะใภ้รองเป็นผู้แต่งขึ้นมามิใช่หรือเจ้าคะ”

“นี่เป็นบทกลอนที่คนรุ่นก่อนแต่งขึ้น” หลี่เมิ่งซีจำได้ว่ากลอนบทนี้เป็นของลู่โหยว นางจึงพูดเช่นนี้

“คนรุ่นก่อน? ใครหรือเจ้าคะ กลอนของคนรุ่นก่อนส่วนใหญ่บ่าวเคยอ่านมาหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยได้ยินกลอนบทนี้เลยจริงๆ เจ้าค่ะ” หงจูถามต่อ

หลี่เมิ่งซีนึกขึ้นได้ว่าตนไม่รู้ประวัติศาสตร์ของต้าฉีแม้แต่น้อย แต่นางมั่นใจว่าที่นี่มิใช่ยุคสมัยที่อยู่ในประวัติศาสตร์ของมิติที่นางจากมาแน่นอน ดูท่าแล้วต้าฉีแห่งนี้คงแตกต่างไปจากประวัติศาสตร์ในสมัยถังซ่งที่นางรู้จักแน่ คิดเช่นนี้แล้วนางจึงไม่พูดมากอีก ตอบเพียงว่า “ข้าแค่รู้สึกว่ากลอนบทนี้เหมาะกับภาพนี้มาก มิสู้หาคนเขียนและใส่กรอบเอาไว้ นำมาแขวนไว้ข้างภาพนี้ จะได้เป็นดังคำกล่าวที่ว่า บทกลอนสะท้อนภาพวาด…ภาพวาดเป็นไปตามบทกลอน”

หงจูมองหลี่เมิ่งซีอย่างแปลกใจ ทั้งที่แต่งขึ้นเอง แต่กลับไม่ยอมรับ นางคิดในใจ คงกลัวคุณชายรองรู้เข้าแล้วจะไม่ชอบกระมัง ความจริงคุณชายรองไม่เหมือนกับคนอื่น หาได้คร่ำครึถึงเพียงนั้นแต่อย่างใด ย่อมไม่คิดว่าสตรีไร้ความสามารถถือเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่ง สตรีที่คุณชายรองชอบอย่างแท้จริงคือสตรีที่มีความรู้ความสามารถ ดูจากสาวใช้รุ่นใหญ่ที่เลือกไว้ปรนนิบัติข้างกายก็รู้แล้ว ใครบ้างที่ไม่รู้จักโอ้อวดความรู้ด้วยน้ำหมึก แต่งโคลงกลอนแสดงพรสวรรค์ หลี่อี๋เหนียงเป็นที่ชื่นชอบถึงเพียงนั้นยังมิใช่เพราะแต่งโคลงกลอนเป็นอยู่บทสองบทหรอกหรือ

อ้าปากแล้ว คิดๆ ดูก็ไม่พูดดีกว่า หงจูรีบผงกศีรษะรับคำพลางคิดในใจ ยังจะต้องไปขอให้ใครเขียนอีกเล่า เห็นทีสะใภ้รองจะไม่รู้จักชื่อเสียงของสามีตนเองในเมืองผิงหยาง คุณชายรองกับหลี่จั้นที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทคนปัจจุบัน โอวหยางจู๋ซื่อจื่อของสกุลใหญ่โอวหยาง และเถาจวิ้นตงเซียนแห่งกวีล้วนมีชื่อเสียงโด่งดัง ได้รับการเรียกขานว่าสี่ผู้มีพรสวรรค์ คุณชายรองโดดเด่นเรื่องอักษรและภาพวาด ภาพนี้เป็นภาพที่คุณชายรองวาดไว้สมัยวัยเยาว์ ตัวอักษรของคุณชายรองก็ทรงพลัง พลิ้วไหวฉวัดเฉวียน รอให้ร่างกายของคุณชายรองดีขึ้นสักหน่อยค่อยขอให้เขาเขียนก็ได้ บทกลอนของสะใภ้รองคู่กับภาพวาดและอักษรของคุณชายรอง แขวนไว้ตรงนี้ ช่างเข้ากันโดยแท้!

 

(ตอนต่อไปพบกันวันที่ 28 มีนาคม)

หน้าที่แล้ว1 of 5

Comments

comments

Jamsai Editor: